บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอน ร้อยกรองหลากลีลา => ข้อความที่เริ่มโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:11:23 AM



หัวข้อ: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:11:23 AM
(https://preview.ibb.co/gintLz/39196665_2137580516566278_5035008238618148864_n.jpg) (https://ibb.co/e2TNDK)


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:21:45 AM


                                  คำนำเสนอ
(โคลงสี่สุภาพ)
              สมุทรโฆษฉบับเก่าร้อย        คำฉันท์
             ฉบับใหม่เป็นกลอนบรร-         เจิดบ้าง
            ใช่หมายแต่งแข่งขัน                ครูเก่า
             เพียงอ่านง่ายหมายสร้าง         สื่อไว้วงกวี

(ภุชงคปยาตฉันท์ ๑๒)

          สมุทรโฆษสังโยชน์เหตุ     บุรุษเพศกะอิตถี
             เสน่หา ณ ราตรี               เพราะเทพแกล้งแสวงกาม
          มิรู้รักนะมีฤทธิ์                  สนุกคิดมิเคยถาม
             ผิว์รักแล้วมิรู้ยาม            ขะยิกยั่วจะกลัวไย
          เพราะมีรักประจักษ์ทุกข์    ละคนสุขเพราะรักไฉน
             และมีทุกข์เพราะรักใคร      ก็มีสุขเพราะทุกข์นั้น

(กาพย์ยานี  ๑๑)

          สมุทรโฆษประโยชน์คิด   ผู้ผลิตคำนวณสรรค์
 สื่อใจให้รู้กัน                       ก่อนหน้านี้ก็มีรัก

(กลอนสุภาพ)

 สมุทรโฆษคำกลอนย้อนแบบใหม่ หวังเพียงให้ท่านเห็นกลอนเป็นหลัก
 “ธนุ เสนสิงห์” จึงซึ้งใจนัก    ถ้าท่านทัก... “เล่มนี้เขียนดีจริง”

                                 มังกร  แพ่งต่าย  บ้านร้อยฝัน
                                    นายกสมาคมกวีร่วมสมัย
                                     ๒๒  กุมภาพันธ์  ๒๕๖๐
 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:38:49 AM
คำบอกกล่าว
…………………………….


“สมุทรโฆษคำฉันท์” อาจอ่านยาก
คำศัพท์มากถ้าไม่แม่นความหมาย
เรื่องจักเพี้ยนผิดผันเกินบรรยาย
ความงดงามจะกลายเบื่อหน่ายพลัน

“ธนุ เสนสิงห์” ..จึงสร้างแนวทางใหม่
แกนเรื่องใช้ของเดิม..เสริมสีสัน
เป็น“คำกลอน” เข้าใจง่ายได้ทั่วกัน
ขอเชิญทุกชนชั้น..ลองอ่านครับ

สุวัฒน์  ไวจรรยา
ศิลปินดีเด่นจังหวัดนนทบุรี สาขาวรรณศิลป์
อุปนายกสมาคมกวีร่วมสมัย
 บรรณาธิการ
 ๑๙  กุมภาพันธ์  ๒๕๖๐


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:42:07 AM
                                  อารัมภกถา
                                          (๑)
             “สมุทรโฆษชาดก”   เป็นนิทานชาดก เรื่องลำดับที่  ๑
        ใน  ๔๘ เรื่องของ “ปัญญาสชาดก”     เนื้อความในชาดกคล้ายเรื่องย่อ  
        มีเพียงเนื้อหาหลักอันเป็นโครงเรื่องเท่านั้น      อ้างถึงพระบรมศาสดา
        เล่าความเป็นมาในอดีตครั้งเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์   เพื่อประกอบ
        การแสดงพระธรรมเทศนา แก่เหล่าพระ ภิกษุสงฆ์    โดยยกธรรมบท
        บาลีขึ้นแล้วขยายความถึงเหตุและผล ความเป็นมา เป็นไปย่อๆ พอให้
        เห็นแนวทางแห่งธรรม  มิได้พรรณนาในรายละเอียดอันแสดงถึงลีลา
        และอารมณ์ของตัวละครแต่อย่างใด

            ต่อมาเป็นหนังสือ“สมุทรโฆษคำฉันท์” ซึ่งหนังสือนี้ช่วงแรก
        ประพันธ์โดยพระมหาราชครู      ช่วงกลางพระราชนิพนธ์โดยสมเด็จ
        พระนารายณ์มหาราช   ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
      
      จนเวลาผ่านไปกว่า  ๑๕๐ ปี  ถึงสมัยรัตนโกสินทร์   ได้มีพระ
        นิพนธ์ช่วงท้ายต่อจนจบเรื่อง โดย   สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ
        ปรมานุชิตชิโนรส     ลักษณะของคำประพันธ์เป็นคำฉันท์ทั้งสิ้น โดย
        ทั้งสามตอนคงเป็นความตั้งใจที่จะให้มีลีลาที่กลมกลืนกัน การดำเนิน
        ความส่วนใหญ่นั้นมากด้วยบทพรรณนาความถึงสิ่งต่างๆโดยละเอียด
         และเนื้อเรื่องมีที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากความเดิมในชาดกอยู่หลาย
       ตอน


[/color][/size]


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, สิงหาคม, 2561, 11:45:12 AM
        

                                   อารัมภกถา
                                       (๒)
         ลักษณะดำเนินความใน “สมุทรโฆษ คำกลอน” นี้   ถือเอาทั้ง
        สองส่วน คือ“สมุทรโฆษชาดก”และ“สมุทรโฆษคำฉันท์”มาประกอบ
        กันนั้นนัยหนึ่ง      แต่ยังมีที่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปตามโวหาร  
        และ   แนวคิดของผู้แต่ง ซึ่งถือเป็นผู้เก็บความมาเล่าอีกส่วนหนึ่ง
  
        ทั้งขอละเสียที่จะพรรณนาความอย่างยืดยาว ขอดำเนินเรื่องให้
        กระชับฉับไวขึ้น   แต่ยังคงครบถ้วนเนื้อหา และอารมณ์ของเรื่อง
        
         ทั้งนี้มีความมุ่งหมายให้เกิดอรรถรสแห่งบทกลอนเป็นสำคัญ

                                                      ธนุ  เสนสิงห์



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, สิงหาคม, 2561, 10:43:05 AM
 


                            นมัสการกถา

(กาพย์ห่อโคลง)

       ๏  มโนประณตน้อม            พระพุทธ
ดวงจิตสุวิสุทธิ์                         ผ่องแผ้ว
เกิดดับก่อนวิมุต                       หลายชาติ ภพเฮย 
ทุกข์ สุขมามากแล้ว                  จึ่งพ้นบ่วงกรรม

         ๏ พระโพธิสัตโต             ยิ่งภิญโญเนื่องในธรรม
   ความดีที่น้อมนำ                 เพื่อชนทั้งพสุธา
         ๏ พระองค์ทรงรู้แจ้ง        ภาวะแห่งธรรมดา
   กรรมตนดลชีวา                   มิใช่ฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ใด
         ๏ เมามัวในตัวตน            จิตร้อนรนอยู่ด้วยไฟ
   รู้ธรรมนำล่วงไป                เลิกยึดติดอวิชชา   
        ๏ สรรพสิ่งอนิจจัง           เป็นทุกขังอนัตตา                 
   มิพึงปรารถนา                     จะยึดมั่นถือมั่นแท้
        ๏ ผู้ซึ้งสัจธรรม              เชื่อในกรรมความผันแปร
   รู้การเกิด เจ็บ แก่ -                ตาย ว่ายวัฏสงสาร
      ๏ กิเลส ตัณหาดับ           ได้พบกับพระนิพพาน
   คือแดนแสนชื่นบาน           สงบเย็นเป็นนิรันดร์
        ๏ ที่ยังไม่หลุดพ้น           บุญกุศลดลสวรรค์
   ทำดีโดยทั่วกัน                    สันติเกิดในโลกเทอญ






หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, สิงหาคม, 2561, 10:45:36 AM
  
       ๏ ขอนำชาดกหนึ่งมาสนอง
      ตามแนวทางสร้างงานด้านร้อยกรอง
      แนวทำนองกลอนนิทานพรรณนา

        ๏ แม้มิเยี่ยมเทียมทันบรรพกวี
      หมายพอมีอรรถรสบทภาษา
      เดินเรื่องไปให้กระชับปรับลีลา
      ธรรมดาชนถนัดปัจจุบัน

        ๏ แลโวหารการบรรยายในกลอนนี้
      บางช่วงที่แปลกไปบ้างเพื่อสร้างสรรค์
      ถือตรรกะแห่งพระธรรมเป็นสำคัญ
       ย้อนปางบรรพ์เมื่อพระพุทธองค์.....
   
        ๏ แสดงธรรมเทศนาในคราหนึ่ง
      ทรงเล่าถึงพระโพธิสัตว์ผู้สูงส่ง
      บารมีทวีศักดิ์รักมั่นคง
      จิตจำนงดีงามล้ำเมตตา

        ๏ ณ ชมพูทวีปก่อนพุทธกาล
      เมืองโอฬารหนึ่งนี้มีนามว่า...
     “พรหมนคร” กำจรเกียรติเดชา
     เขตพารากว้างใหญ่จรดไพรวัลย์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, สิงหาคม, 2561, 10:47:53 AM

        ๏ หมู่ปราสาทราชวังมลังเมลือง
       ชนลือเลื่องความโอฬารปานเทพสรรค์
       ประดับเพชรเก็จมณีสีอำพัน
       งามเฉิดฉันเคหาทั่วนาคร

        ๏ กำแพงแก้วแวววาวพราวจรัส
       ป้อมปราการอาคารรัตน์ประภัสสร
       ปวงอำมาตย์ราชเสนาประชากร
       จอแจจรแน่นขนัดรัถยา

        ๏ แดนประชันการอาชา คชินทร์ชาติ
       ศิลปศาสตร์โรมรันประจัญกล้า
       ลานประลองผองอาวุธยุทธนา
       มากโยธาไพร่พลมุขมนตรี

        ๏ พระเหนือเกล้าเจ้าธานินทร์“พินทุทัต”
       นคเรศเศวตฉัตรเรืองรัศมี
       คู่องค์ “เทพยธิดา” ราชินี
       ราษฎร์จงรักภักดีโดยทั่วกัน

       ๏ กาลล่วงมาวาระ “พระโพธิสัตว์”
       หมายอุบัติลาล่วงสรวงสวรรค์
       จุติมาปฏิสนธิในพระครรภ์
      “นางเทพยธิดา” พลัน..บุญบันดาล


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, สิงหาคม, 2561, 10:49:38 AM
    
     ๏ วันประสูติมหาสมุทรประดุจคลั่ง
     คลื่นซัดฝั่งระลอกกระฉอกฉาน
     เกิดเสียงก้องท้องฟ้าสุธาธาร
     อัศจรรย์อนันตการณ์มิเคยมา

      ๏ ถือนิมิตด้วยฤทธิ์พระราชบุตร
     เรียก “สมุทรโฆษ” นามงามสง่า
     ชนกล่าวขานทุกบ้านเมืองเลื่องลือชา
     เทิดบุญญาบารมีฤทธีไกล

      ๏ ศุภลักษณ์พักตร์พรรณวรรณฉวี
     มากนารีมีจิตพิสมัย
     การศึกษาศิลปศาสตร์ฉกาจไกร
     ยังเดินไพรสืบหาสิทธาจารย์

       ๏ ทรงศึกษาสูงสุดทั้งศาสตร์ ศิลป์
     เป็นหนึ่งในธรณินทร์ทุกสถาน
     พระเวทย์วิทยาฤทธาชาญ
     พร้อมภูมิด้านลักษณ์คชาและภาชี

      ๏ ยังไร้ใจใฝ่ปองการครองคู่
     พิสุทธิ์อยู่มิเคยชิดเชยอิตถี
     เพียงหมายมาดประพาสในพนาลี
     เปล่าเปลี่ยวทรวงดวงฤดีอยู่เดียวดาย


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 23, สิงหาคม, 2561, 11:18:55 AM
-๑๑-
ธนุ เสนสิงห์

        

          ๏ แม้กลางใจคล้ายมีนารีหนึ่ง
         ที่ฝันถึงคะนึงหามิห่างหาย
         เป็นจอมนางกลางราตรีมิมีกลาย
         แต่ยามสายตื่นนิทราเอกาองค์

         ๏ ธรรมชาติมิอาจห้ามความปรารถนา
         เฝ้าฝันหาคู่ครองปองประสงค์
         เนิ่นนานวันฉันใดไม่พะวง
         รักษ์ดำรงราชกิจมิคิดตรม

         ๏ บุบเพสันนิวาสมิคลาดแคล้ว
         คู่กันแล้วได้ชื่นชู้ร่วมสู่สม
         แม้ร้อนรุ่มด้วยรักหักอารมณ์
         รอพระพรหมอุ้มชูคู่เคียงกาย

         ๏ วันหนึ่งมีสี่พราหมณ์ตามมาพบ
         หลังนอบนบทูลคดีมีความหมาย
        “ทั่วชมพูทวีปนี้มีหญิงชาย
         อยู่มากหลายคู่ตรงสมพงศ์กัน

         ๏ แต่ที่เน้นเป็นหนึ่ง ณ กาลนี้
         บารมีเกณฑ์ชะตามาคู่ขวัญ
         กับพระองค์ซื่อตรงรักศักดิ์อนันต์
         บุญร่วมสร้างแต่ปางบรรพ์ยังมั่นคง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 23, สิงหาคม, 2561, 11:22:46 AM


-๑๒-
สมุทรโฆษคำกลอน


        ๏ พระนาม “พินทุมดี” นารีรัตน์
        ราชธิดากษัตริย์ศักดิ์สูงส่ง
        คือ “สีหนรคุปต์” เดชดำรง
        และอนงค์ “กนกวดีราชินี”

        ๏ แห่ง “รมยนคร” อมรสรรค์
        หลงปองกันมากชายหลายกรุงศรี
       พระบิดาหวงแหนแม้นฤดี
        ยากจะมีชายใดได้เมียงมอง”

        ๏“สมุทรโฆษ”ฟังคำพราหมณ์พร่ำว่า
        พลอยอุราเคลิ้มไปฤทัยข้อง
        แม้สัจจาว่าควรคู่อยู่เคียงครอง
        จะสมปองดังนั้นได้ฉันใด

        ๏ อันบุพเพสันนิวาสนั้นมาตรแม้น
        อยู่ไกลแสนมาประจักษ์รักกันได้
        ถึงว่าน้องนวลนางอยู่วังใน
        ปิตุรงค์คงมิให้ใครพบพักตร์

        ๏ แม้นเคยอยู่เป็นคู่สร้างแต่ปางหลัง
        พี่ก็หวังใจหมายได้รู้จัก
        เพื่อเอ่ยคำพร่ำเฉลยเผยความรัก
        มั่นใจนักมินานนี้คงมีทาง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 23, สิงหาคม, 2561, 11:27:11 AM

-๑๓-
ธนุ เสนสิงห์

      

       ๏ สนทนาวิสาสะกะเหล่าพราหมณ์
      ทั้งสอบถามความเป็นไปหลากหลายอย่าง
      สิ่งประสงค์สื่อตรงคำมิอำพราง
      พร้อมสรรค์สร้างสัมพันธ์สมานใจ

       ๏ แล้วมอบทรัพย์ให้พราหมณ์ตามเหมาะสม
      พระอารมณ์แต่นั้นเริ่มหวั่นไหว
      ได้พบพักตร์รักมั่นกันอย่างไร
      ช่องทางไหนไม่ขุ่นจิตปิตุรงค์

       ๏ แม้ความหวังยังเลือนรางห่างไกลนัก
      เชื่อว่ารักจักได้ชมสมประสงค์
      เมื่อบุญสร้างแต่ปางบรรพ์ยังมั่นคง
      ในจำนงมิมีท้อเฝ้ารอวัน

        ๏ จนวันหนึ่งถึงคราที่มีราชกิจ
      ซึ่งเฝ้าคิดอยู่ในความใฝ่ฝัน
      การเดินทางคล้องช้างเผือกสำคัญ
      อย่างราชันร่วมพระวงศ์องค์ก่อนมา

       ๏ ครั้นราชครูผู้รู้ทางด้านช้างสาร
      นำศิษย์พรานผู้ท่องไปอยู่ในป่า
      กลับเข้าเฝ้าเล่าความตามคชา
      ต้องตำราคชลักษณ์ประจักษ์แล้ว


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, สิงหาคม, 2561, 09:28:41 AM
-๑๔-
สมุทรโฆษคำกลอน

      

        ๏“กระหม่อมฉันนั้นล่วงไปในป่าลึก
      ด้วยสำนึกเดินทางหาช้างแก้ว
      ลักษณะประเสริฐงามเพริศแพร้ว
      อย่างแน่แน่วใช้เวลามานับปี

       ๏ เมื่อเข้าไปในหุบเขาลำเนาหนึ่ง
      ต้องตะลึงแลนิเวศเขตไพรศรี
      ต่างทั่วไปได้พบมาพนาลี
      แดนนั้นมีสระใหญ่ไกลสุดตา

       ๏ รอบสระมีสีสันมากพรรณไม้
      ชูดอกใบสลับกับผืนหญ้า
      สารพัดสัตว์อยู่คละเหลือคณนา
      พบคชาโขลงใหญ่วิไลลักษณ์


       ๏ สารเศวตรมงคลวิมลพรรณ
      เห็นครบครันสง่างามต้องตามหลัก
      ค่าควรเมืองคู่บารมีศรีสุภัค
      ดีใจนักรีบมาเข้าเฝ้าทูลความ”

       ๏“สมุทรโฆษ”โปรดปรานคำบรรยาย
      สิ่งสงสัยทั้งหลายได้ไต่ถาม
      ปรึกษาผู้เป็นครูหมอขอฤกษ์ยาม
      อันเหมาะงามโอกาสประพาสไพร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, สิงหาคม, 2561, 09:31:49 AM
-๑๕-
ธนุ เสนสิงห์


         ๏ จึงครูหมอตอบข้อถามตามนัยยะ
       “วัสสานะใกล้เข้ามาช้ามิได้
        อุปสรรคหนักหนาถ้าแม้นไป
        ยามทั่วในวนาธารานอง”

        ๏ เมื่อได้ความตามพระราชประสงค์
        ขึ้นเฝ้าองค์พระบิดาหาขัดข้อง
        ด้วยเป็นราชประเพณีมีครรลอง
        คือยุวกษัตริย์ต้องคล้องคชา

        ๏ แนะนำการ “อันจะไปในป่ากว้าง
        เพื่อคล้องช้างเผือกงามล้ำเลอค่า
        ต้องพร้อมพรั่งทั้งพหลพลโยธา
        แลช้างศึกอันฝึกมาได้การดี

        ๏ ตามครรลองของผู้เป็นครูหมอ
        ศึกษาข้ออันควรให้ถ้วนถี่
        การทั้งผองพึงให้ต้องตามพิธี
        อันเคยมีตรงตำราอย่าบิดเบือน”

        ๏ “องค์พินทุทัต-พระนางเทพยธิดา”
        ต่างรู้ว่าอันตรายในแดนเถื่อน
        การคล้องช้างร้างแรมไกลไปเป็นเดือน
        จึงพร่ำเตือนความทั้งปวงที่ห่วงใย


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, สิงหาคม, 2561, 09:38:02 AM
-๑๖-
สมุทรโฆษคำกลอน


  
   
         ๏ แลรู้พระราชบุตร “สมุทรโฆษ”
       นั้นทรงโปรดการคชากว่าสิ่งไหน
       ละข้อขัดตัดขุ่นข้องหมองฤทัย
       ทรงอำนวยอวยพรชัยพ้นภัยพาล

        ๏ กราบลาองค์ปิตุรงค์มาตุราช
       แล้วลีลาศคืนพระราชฐาน
       กิจทั้งหลายบัญชาให้ได้เตรียมการ
       ตามแผนงานทรงย้ำสำคัญนัก

        ๏  บัญชาเร่งเคร่งครัดจัดทหาร
       ตามโบราณประเพณีเคยมีหลัก
       เมื่อตรวจแลแน่ใจได้พร้อมพรัก
       กำหนดชักธงชัยไปป่าชัฏ

        ๏ มีทุกกองโยธามาครบถ้วน
       เรียงกระบวนแห่แหนแน่นขนัด
       พร้อมอาวุธยุทธนาสารพัด
       มุ่งพิกัติแดนดงตามพรานนำทาง

        ๏ โดยพระองค์ทรงคชสารศึก
       ที่หาญฮึกสูงสง่าคราเยื้องย่าง
       สองงางอนเงยงามอยู่ท่ามกลาง
        อีกร้อยช้างมุ่งหน้าวนาลี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25, สิงหาคม, 2561, 10:21:16 AM
-๑๗-
ธนุ เสนสิงห์

       

           ๏ รอนแรมไปในพนาพาสุขสันต์
         ชมพฤกษ์พรรณน้อยใหญ่กลางไพรศรี
         ท้องสินธู ปู ปลาบรรดามี
         ใต้เมฆีทิชากรร่อนเล่นลม

         ๏ เหล่าลิงค่างบ่างชะนีที่ยอดไม้
         โหนแล่นไล่น่าสนุกมีสุขสม
         เห็นพลไกรไม่นำพาเป็นอารมณ์
         ต่างกวางป่าตาคมเตลิดไกล

         ๏พวกสัตว์ใหญ่ไวต่อเสียงรีบเลี่ยงถอย
         พบแต่รอยร่างเร้นหาเห็นไม่
         มวลพฤกษามาลีล้วนพิไล
         แลเพลินใจไปพลางกลางพงพี

          ๏ เมื่อถึงยามสุริยนสนธยา
         สร้างพลับพลาประทับร่ายไปทุกที่
         ทรงแรมรอนนอนพนาหลายราตรี
         บรรลุถึงซึ่งนทีชโลทร

         ๏ ณ แดนนี้มีนานาพฤกษชาติ  
         จตุบาทเซ็งแซ่แลสลอน
         ทวิชาติกินมัจฉากลางสาคร
         โผผินร่อนเริงนภาช่างน่าชม


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25, สิงหาคม, 2561, 10:23:47 AM
-๑๘-
สมุทรโฆษคำกลอน

        
 
          ๏ แล้วชะลอรอราหน้าห้วงน้ำ
        ที่กระทำการตั้งค่ายได้เหมาะสม
        เสร็จจึงขอหมอช้างเฒ่าเจ้าอาคม
        เดินจงกรมในวนาหาลู่ทาง

        ๏ เมื่อพบไม้มงคลต้นสูงใหญ่
        มีดอกใบสวยงามต้องตามอย่าง
        ทำพิธีห่มพฤกษาผ้าแพรบาง
        ธูปเทียนวางประกาศอาราธนา

         ๏ บวงสรวงท้าวเจ้าพนาเทพารักษ์
        ตรงตามหลักวิธานการเปิดป่า
        แม้นล่วงล้ำก้ำเกินก็ขอขมา
        เทิดวันทาวอนช่วยอวยพรชัย

         ๏ สำเร็จการร่วมพรานไพรไปสืบหา
        โขลงคชาเลิศดีอยู่ที่ไหน
        ดูรอยทางวางแผนงานประการใด
        จึงเมื่อตกลงใจไม่รอรี

         ๏ ระดมพลโยธามาทั้งนั้น
        ช่วยตัดฟันต้นไม้กลางไพรศรี
        สร้างเพนียดเร็วพลันมั่นคงดี
         แนวผามีเพิ่มสามด้านงานง่ายดาย



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25, สิงหาคม, 2561, 10:27:09 AM

-๑๙-
ธนุ เสนสิงห์


           ๏ จึงแบ่งช้างทั้งผองเป็นสองหมู่
         หนึ่งอ้อมสู่ขอบไศลไกลจากค่าย
         โอบล้อมก่อนต้อนช้างป่ามาทางท้าย
         สองคัดย้ายช้างทั่วไปไม่ต้องการ

         ๏ เหล่าช้างงามตามคชลักษณ์นั้น
         ถูกผลักดันเข้าเพนียดเดินอีกด้าน
         จนได้ดังตั้งจิตปิดทวาร
         คชสารคลุ้มคลั่งแทบพังทลาย

         ๏ รอจนกว่าท่าทางช้างสงบ
         ร่วมปรารภคัดสรรกันทั้งหลาย
         มีครูหมอ นายพรานร่วมบรรยาย
        “สมุทรโฆษ” จดจำหมายที่ใจจง

         ๏ จุดสำคัญวรรณฉวีสีขาวเผือก
         ค่อยคัดเลือกให้ได้งามตามประสงค์
         ร่างสูงใหญ่ไอยราสง่าทรง
         ครบถ้วนองค์กำหนดคชลักษณ์

         ๏ ร่วมตกลงจำนงใจได้เจ็ดช้าง
         สารพางค์ทั้งผองต้องตามหลัก
         จึงพระองค์ทรงช้างศึกฮึกหาญนัก
         นำพลพรรคผู้เชี่ยวชาญการคชา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 27, สิงหาคม, 2561, 09:37:21 AM

-๒๐-
สมุทรโฆษคำกลอน


      
          ๏ เข้าเพนียดขนาบได้ถนัด
         เหวี่ยงพระหัตถ์ซัดบาศเข้ารัดขา
         เพิ่มรัดรึงดึงชักผลักนำพา
         ออกสู่หน้าเพนียดมิเนิ่นนาน

        ๏ จึงพลไกรใจหาญชาญกุญชร
         เข้าผูกพันตามขั้นตอนจนพ้นผ่าน
         เจ็ดช้างได้ตามหมายตาคชาธาร
         แม้ทำพันธนาการแน่นแน่นอน

         ๏ แต่ยังทำการนำพาหาได้ไม่
         ต้องกำราบปราบให้ช้างโอนอ่อน
         เลิกดิ้นรนจนกระเส่าหรือเร่าร้อน
         จึงพาจรแรมไพรไปบุรินทร์

        ๏ ราชบุตรสุดยินดีกิจที่ตั้ง
         สำเร็จดังใจหมายได้ทั้งสิ้น
         เหลือแต่เพียงนำพาคืนธานินทร์
         เพื่อเป็นปิ่นคชาแห่งธานี

        ๏ ช่วงพักรอขอเที่ยวชมพนมนิเวศ
         สุดพิเศษสารพัดสัตว์ ปักษี
         มากหลายหมู่ปู ปลาในวารี
         ชื่นชีวีตราตรึงตะลึงใจ
 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 27, สิงหาคม, 2561, 09:39:12 AM
-๒๑-
ธนุ เสนสิงห์

           ๏ “มฤคา มฤคีล้วนมีคู่
          เริงระรื่นชื่นชู้อยู่เคียงใกล้
          พยัคฆา พยัคฆีที่ครองไพร
          มีเยื่อใยพ่อแม่ลูกผูกสัมพันธ์

           ๏ หมู่ปักษา ปักษีที่เหินหาว
          ร่อนลงราวเคียงคู่กู่ก้องขัน
          แมลงทับจับคู่อยู่ทับกัน
          พนาวันทุกชีวีมีชีวา”

          ๏ เหล่าไกรสร ไกรศรีมีสุขแสน
          ครองดินแดนกว้างไกลในดงป่า
          ประหนึ่งราชินีมีราชา
          เจ้าอาณาเดชดำรงแห่งพงพี

          ๏ พวกอาชา พาชีที่พนัส
          เที่ยวเลาะลัดว่องไวไปทุกที่
          เริงระรื่นชื่นชมสมฤดี
          อกข้านี้ไร้คู่เรียงเคียงอุรา”

            ๏“สมุทรโฆษ”โอดครวญหวนละห้อย
          จิตล่องลอยหวามทรวงดวงยิหวา
          ใกล้ถึงยามสุริยนสนธยา
          กลับพลับพลาพาให้ใจอ้างว้าง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 27, สิงหาคม, 2561, 09:41:33 AM

-๒๒-
สมุทรโฆษคำกลอน


          ๏ ไหว้เจ้าเขา เจ้าป่าเทพารักษ์
        ผู้พิทักษ์ธารรุกข์สิ้นทุกอย่าง
        ช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพางค์
        ขอพักค้างสนิทในนิทรา

        ๏ สิ้นบำบวงสู่ห้วงสุบินนิมิต
        นำเนื่องจิตกระสันใฝ่ฝันหา
        อกหวามไหวไปด้วยแรงแห่งกามา
        ดุจเมฆาคะนองรอโรยพิรุณ

          ๏ ครานั้นเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์
        ผู้ทรงฤทธิ์มากหลายหมายเกื้อหนุน
        แจ้งวิจักษณ์สักขีผู้มีบุญ
        กุศลกรรมทำเป็นทุนมานานกาล

         ๏ เห็นใจนักจากพาราเอกาองค์
        นอนพฤกษ์พงแทนพระราชฐาน
        หนาวสายลมพรมน้ำค้างกลางพนานต์
        จึงพิจารณ์สมานคู่ไม่ดูดาย

         ๏ รำลึกกาลผ่านมาสังสารวัฏ
        ปฏิพัทธ์องค์ชายาพระฤๅสาย
        บัดนี้นางห่างเหเอกากาย
        นิมิตหมายถึงโฉมฉิน “พินทุมดี”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 29, สิงหาคม, 2561, 12:11:08 PM

-๒๓-
ธนุ เสนสิงห์


          ๏ ธิดา “สีหนรคุปต์” ภูธร
          แห่ง “รมยนคร” รุ่งเรืองศรี
          กับ “กนกวดี”นาถ..ราชินี
          พระบุตรีเลิศพิไลหาใครปาน

           ๏ ตกลงใจได้มิช้าเทพารักษ์
          จะนำชักกษัตริย์สองปองสมาน
          สะกดจิตนิทรานฤบาล
          แลข้าราชบริพารไพร่พล

           ๏ แล้วอุ้มพระบุตราพาเหาะเหิน
          โดยดำเนินแน่วไปในเวหน
           ลงสู่ห้องบรรทมแม่นิรมล
          วางองค์บนบรรจถรณ์นอนเคียงพลัน

           ๏ จึงเทพารักษ์ได้คลายมนตรา
           ทั้งสองฟื้นตื่นนิทราอุราสั่น
           พระกรสอดกอดก่ายแนบกายกัน
            ต่างงงงันในพระหฤทัย

             ๏ “สมุทรโฆษ” ย้อนคิดพินิจว่า
            นอนหลับที่พลับพลากลางป่าใหญ่
            บัดนี้อยู่คู่นางกลางวังใน
            หรือเป็นไปด้วยเทวัญดลบันดาล


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 29, สิงหาคม, 2561, 12:14:27 PM


-๒๔-
สมุทรโฆษคำกลอน


        ๏ ส่วน “พินทุมวดี” ศรีสมร
        พระกายอ่อนสุดผลักจะหักหาญ
        พิศพักตร์พระกษัตราอุราสะท้าน
        คือชายชาญที่ฝันถึงคะนึงนัก

        ๏ เทพบุตร บุรุษชาติมิอาจรู้
        แม้เป็นผู้เพิ่งเห็นเป็นประจักษ์
        ดวงใจพลันมั่นแม่นว่าแสนรัก
        มิทันทักเอ่ยถามความอันใด

         ๏ “สมุทรโฆษ” โลมไล้สายสวาท
        ดุจฟ้าฟาดวิชชุดาพายุใหญ่    
        พรรณพฤกษาสุดท้าสู้ลู่ลมไป
        โอนเอนไหวปานล้มทับธรณี

         ๏  ธารฟูฟองยามเมื่อท้องทะเลคลั่ง
        คลื่นซัดฝั่งหาดผายให้เสียดสี
        เหมือนนาคาเกี้ยวกระหวัดรัดนาคี
        ท้องนทีมินิ่งอยู่เนานาน

         ๏ พิรุณโรยโปรยปรายหยาดสายสินธุ์  
        ธรณินทร์อิ่มอาบแสนซาบซ่าน
        พระชวนนางค้างเมืองแมนแดนพิมาน
        สมสราญแล้วสนิทสู่นิทรา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 29, สิงหาคม, 2561, 12:17:19 PM
-๒๕-
ธนุ เสนสิงห์

        

          ๏ ก่อนรุ่งแจ้งแสงทองส่องเวหน
         องค์เทวัญผู้บันดลวนมาหา
         เห็นพระสอดกอดแก้วกัลยา
         สองพักตราเอมอิ่มดั่งพิมพ์จันทร์

         ๏ รู้พระนางต่างเกษมอิ่มเอมรัก
         ชื่นมื่นนักตอบรับประทับขวัญ
         แม้พระทัยไม่อยากให้พรากกัน
         แต่การณ์นั้นมีภาวะอันตราย

         ๏ “พินทุมดี” ธิดาเดียวแห่งท่านไท้
         แสนรักหวงดวงฤทัยใครอย่าหมาย
         การอุ้มสมสวาทอาจท้าทาย
         เรื่องความรักจักเป็นร้ายได้แท้เทียว

         ๏ คิดดังนั้นเทวัญคลายก่ายตระกอง
         แยกทั้งสองครองโสดอยู่โดดเดี่ยว
         ทอดทิ้ง “พินทุมดี” นอนแดเดียว
         พระกรเกี่ยวองค์บุตราคืนป่าดง

          ๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องฟ้าใส
         พระบุตราอาลัยฤทัยหลง
         เหมือนยังไม่อยากตื่นฟื้นพระองค์
         หัตถ์ยังคงกอดพระเขนยเคียง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 31, สิงหาคม, 2561, 09:18:52 AM


-๒๖-
สมุทรโฆษคำกลอน


    
       ๏ เหล่าช้างสารควาญนำไปในดงหญ้า
       หมู่นกกากินผลกันสนั่นเสียง
       สติคืนตื่นสดับรับสำเนียง
       เดียวดายเพียงพระองค์กลางพงไพร

       ๏ ลำดับการณ์ผ่านมาครายามค่ำ
       อกชื่นฉ่ำเคียงนุชวิสุทธิ์ใส
       เป็นจำนงองค์เทวัญหรือฝันไป
       กำหนดใจไตร่ตรองมองรอบกาย

       ๏ เมื่อคืนนี้ที่นอนแม้นแดนสวรรค์
       ได้เชยขวัญเคล้าโลมแม่โฉมฉาย
       ฉมกลิ่นปรางนางติดอยู่มิรู้คลาย
       พอยามสายตื่นกลับอยู่พลับพลา

       ๏ ฤๅนารีที่สี่พราหมณ์ว่าความไว้
       เป็นไปได้อัศจรรย์นั่นเจียวหนา
       เทพคงซึ้งพี่คะนึงถึงกานดา
       จึงนำพาให้สุขสมภิรมย์รัก

       ๏ หรือภูตผีมีอิทธิฤทธิ์หลอน
       กลางดงดอนงำจิตคิดประจักษ์
       เป็นนางไม้ไพรอำพรางหรือนางยักษ์
       มานำชักไปด้วยกลมนต์มายา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 31, สิงหาคม, 2561, 09:20:40 AM

-๒๗-
ธนุ เสนสิงห์



        ๏หรือนวลปรางเป็นนางไพรในดงนี้
        ดวงฤดีพี่หมายมั่นด้นดั้นหา
        ทั่วถิ่นถ้ำเถื่อนแถวแนวพนา
        หมายพบหน้าพาคืนมาชื่นชู้
  
         ๏ จึงออกตามนำโยธาท่องป่ากว้าง
        ค้นหานางกลางไพรใจหดหู่
        ทุกหุบห้วงคูหาประดาดู
        โอษฐ์ป่าวร้องก้องกู่หาชู้ชม

        ๏ หลายทิวาราตรีมิพานพบ
        แม้น้อมนบเทวัญผู้นำสู่สม
        แต่เงียบงำมินำพาดั่งอารมณ์
        ทุกข์ระทมเรียกโยธาคืนนาคร

         ๏ กลับถึงวังยังไห้หวนเฝ้าครวญคร่ำ
        อกร้องร่ำพร่ำหาสุดาสมร
        ทุกค่ำเช้าเฝ้าถวิลทั้งกินนอน
        จึงภูธรระดมหาบรรดาพราหมณ์

       
         ๏ ผู้เชี่ยวชาญการเดินทางต่างแว่นแคว้น
        ทุกดินแดนที่ไปให้สอบถาม
        พระบุตรี ธิดาพะงางาม
        อันทรวดทรงนงรามตามพรรณนา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 31, สิงหาคม, 2561, 09:23:11 AM


-๒๘-
สมุทรโฆษคำกลอน


    
         ๏ “รูปโฉมสวยสำอางไปทั้งสิ้น
       ไร้ราคินแม้นิดหนึ่งอย่าพึงหา
       พรรณเรืองรองผ่องพิศุทธิ์ดุจนางฟ้า
       พิศโสภาทั่วสรรพางค์กาย

       ๏ หากพบหน้าเลิศนารีดั่งนี้แล้
       สืบความนัยให้แน่แม่โฉมฉาย
       กำลังทุกข์หรือยังสุขอยู่สบาย
       แม้นฟูมฟายโศกาเศร้าอาลัย

       ๏จิตประหวัดด้วยพลัดพรากจากคนรัก
       จำจุดหมายให้ประจักษ์นางอยู่ไหน
       แล้วขยับกลับหลังยังเวียงชัย
       แจ้งข่าวให้ฉันรู้อย่าอยู่ช้า

        ๏ อาจเป็นได้ก็ไม่แน่แม่โฉมศรี
       นาม “พินทุมดี” สี่พราหมณ์ว่า
       เป็นคู่สร้างแต่ปางบรรพ์ร่วมกันมา
       ปรารถนาให้จริงจังดังว่านั้น

      ๏ แม้ชีวิตมนุษย์สุดจักหมาย
       สิ่งทั้งหลายสมฤดีที่ใฝ่ฝัน
       แต่ก็ยังหวังคืนชื่นชีวัน
       สายสัมพันธ์มิเลือนไปในเวลา”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, กันยายน, 2561, 09:42:24 AM
  

-๒๙-
ธนุ เสนสิงห์


    
            ๏ ย้อนถึง “พินทุมดี” นารีนาฏ
          คืนสวาทสู่เมืองแมนแสนหรรษา
          ได้ชื่นชู้คู่ชมสมอุรา
          ตื่นนิทราไม่พบพระสวามี

          ๏ เฝ้าย้ำคิดสะกิดใจฤๅในฝัน
          ความสัมพันธ์เพ้อรักไร้สักขี
          มองพระแท่นแสนยับยู่ดูกายี
          การเคลื่อนคลี่ภูษาครองฉลององค์

          ๏ จึงมั่นใจได้เคียงคู่ชื่นชูจิต
          มิได้คิดมากไปจนใหลหลง
         “เป็นเทวินทร์ อินทราช ขัตติยวงศ์
          ผู้ดำรงมนตรามาลอบชม

          ๏ เมื่อเชยชื่นรื่นใจแล้วไกลจาก
          เขาฝังฝากรอยราคินสิ้นสุขสม
          ช่างใจดำทำได้แกล้งให้ตรม
          จึงลอยลมจากลาไม่อาวรณ์

          ๏ แม้นน้องเป็นเช่นมาลีที่วังหลวง
          บิดาหวงดูแลแต่วัยอ่อน
          ยามอ้างว้างกลางราตรีมีภมร
          มาออดอ้อนลิ้มหวานซ่านฤดี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, กันยายน, 2561, 09:45:54 AM

-๓๐-
สมุทรโฆษคำกลอน


    
         ๏ พี่เสนอน้องเผลอใจใฝ่สนอง
        ได้เคียงครองสมอุราแล้วลาหนี
        เขาจะคิดนิดไหมว่าใช่มาลี
        เป็นสตรีมีทั้งตัวและหัวใจ”

        ๏ นางซมเซาเศร้าสร้อยละห้อยหา
        ภัสดาลาร้างหนทางไหน
        เฝ้าถวิลมิกินนอนร้อนฤทัย
        จนนางในพี่เลี้ยงรู้มาดูแล

        ๏ ครานั้น “รัตนวารี” พี่เลี้ยง
        แรกฟังเพียงคำรำพันแห่งขวัญแม่
        เชื่อว่าเพ้อละเมอฝันนั้นจริงแท้
        มิมีแน่ชายใดรอดสายตา

        ๏ หลายระยะทวาราปราสาททอง
        อีกทั้งกองทหารกันแน่นหนา
        แม้แมลงเหลือบริ้นบินบนฟ้า
        มิอาจมาลอบย้ำปรางพระนางเลย

        ๏ เมื่อฟังคำรำพันกระชั้นเสียง
        ค่อยเอนเอียงตามพจีที่พร่ำเผย
        พิศพักตรากายาผู้มีชู้เชย
        จึงเอื้อนเอ่ยโอดครวญหวนรำพัน



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, กันยายน, 2561, 09:48:34 AM

-๓๑-
ธนุ เสนสิงห์
    


           ๏ “โอ้น้องพี่นี่ใครล้ำย้ำสมร
         พระโอษฐ์อ่อน พระศอ ลออถัน
         แลสองปรางด่างพร้อยด้วยรอยทันต์
         เหมือนจะย่ำยีกันจนแหลกลาญ

        ๏ พี่เชื่อแน่แท้แล้วหนาแก้วตาพี่
         หาทางแก้แง่ใดดียอดสงสาร”
         พี่เลี้ยงตอบปลอบให้คลายร้าวราน
         รำพึงจิตจักคิดอ่านประการใด

          ๏ “รู้ว่าพี่มีวิชาแลสามารถ
         ที่จะวาดรูปฉายาประดาได้
         ทั้งอินท์พรหม ยมพญา ราชาชัย
         เจนจบในงานชนิดจิตรกรรม

         ๏ ขอพี่ช่วยด้วยหนาในครานี้
         วาดรูปชายชาตรี..มิสูง - ต่ำ
         ศุภลักษณ์งามเลิศประเสริฐล้ำ
         ผู้ฝังจำกลางใจน้องไม่จาง”
 
         ๏ “รัตนวารี” สาวพี่เลี้ยง
         ฟังสำเนียงวอนไหว้ใจหมองหมาง
         สิ่งทำได้เต็มใจทำมิอำพราง
         จึงเริ่มร่างรูปพักตราเทวาวงศ์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 03, กันยายน, 2561, 08:46:58 AM
-๓๒-
สมุทรโฆษคำกลอน
 


        ๏ ตั้งต้นวาดภาพพระนารายณ์
        พรรณเฉิดฉายโสภาน่าลุ่มหลง
       “พินทุมดี” มิมีปองต้องจำนง
        ต่อด้วยองค์อินทราเทวาฤทธิ์

        ๏ แลพระพรหมเทวัญผู้สรรค์สร้าง
       โลกากว้างใหญ่ ธ ทรงประสิทธิ์
        สัตว์ มนุษย์ทั้งหลายให้ชีวิต
        มิตรงจิตฝังจำเป็นสำคัญ

        ๏ วาดเทวะโลกบาลนั้นทั้งหลาย
        พระพิรุณ พระพาย กายเฉิดฉัน
        พระอัคนีมีคุณอเนกอนันต์
        แลพระยมผู้บั่นทุกชีวิน

        ๏ วาดเทวัญอันตำรามีว่าไว้
        ลำดับไล่ไปครบจนจบสิ้น
        ลำดับมาว่าด้วยหมู่ภูบดินทร์
        จอมนรินทร์ กินราที่ว่างาม

       ๏ มิพบองค์ตรงจินต์ “พินทุมดี”
        ยิ่งโศกีด้วยรักเกินหักห้าม
        วิจิตรศิลป์มิสิ้นค่าพยายาม
        ลดลงตามชั้นอีกชุดราชบุตรา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 03, กันยายน, 2561, 08:51:07 AM

-๓๓-
ธนุ เสนสิงห์



          ๏ หลายองค์ผ่านครั้นถึง“สมุทรโฆษ”
         อาการโอดเปลี่ยนแปร “แน่นักหนา
         คือโฉมยงพระองค์นี้แหละพี่ยา
         ผู้เข้ามาชมชิดสนิทใจ”

         ๏ จึงซักไซ้ไต่ถามหาความว่า
        “ขัตติยะ เทวามาจากไหน”
         พระพี่เลี้ยงทูลเรื่องราวเข้าพระทัย
        “พระบุตราแห่งราชัย “พินทุทัต”

         ๏ กับนาง “เทพยธิดา” “พรหมนคร”
         เมืองอมรล้นพระราชสมบัติ
         วังอารามงามเรืองรองผ่องพิพัฒน์
         ปราสาทรัตน์พิลาสล้ำเลิศอำไพ”

          ๏ ขอฉายาลักษณ์มาแอบแนบอุระ
         แลทรงพระแย้มสรวลแล้วหวนไห้
         พี่เลี้ยงปลอบประโลมนางอย่างห่วงใย
         กลัวเป็นไปถึงขั้นการประชวร

        ๏ พิศวาสบาดจิตฤทธิ์แรงร้อน
         ทรวงสะท้อนหวาดหวั่นจิตปั่นป่วน
         แม้นยิ่งปรามห้ามหักนักมิควร
         เป็นชนวนให้คลุ้มคลั่งอกพังภินท์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 03, กันยายน, 2561, 08:52:57 AM

-๓๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ พิเคราะห์การณ์อันจะแก้แง่มุมไหน
       กลับร้ายให้กลายดีที่ถวิล
       ควรกราบทูลมูลความตามระบิล
       เจ้าธานินทร์ร่วมช่วยด้วยปรองดอง

        ๏ ปัญหาใจในธิดาเกิดครานี้
       กระทำการฉันใดดีมิมีหมอง
       ทูลตรงไปก็ไม่ได้ต้องไตร่ตรอง
       ถูกทำนองจำเพาะเหมาะแก่การณ์”

        ๏ ครานั้น “นางรัตนวารี”
       รีบขึ้นเฝ้าพระชนนีแล้วทูลสาร
       เชิญเสด็จดูธิดามิช้านาน
       ทรงร้าวรานเมื่อมาเห็นท่าที

        ๏ พี่เลี้ยงว่า “วาระด่วนมิควรช้า
       ทูลราชาซึ้งฤทัยในวิถี
       ล่วงเลยกาลผ่านผันวันเดือนปี
       ถึงเวลาธิดามีคู่เคียงครอง

        ๏ ก่อนธิดามาเจ็บป่วยยากช่วยได้
       ต้องแก้ไขป้องปัดสิ่งขัดข้อง
       ควรช่วยกันผลักดันไปในครรลอง
       โดยจะต้องให้มีพระสยมพร”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กันยายน, 2561, 01:10:59 PM
-๓๕-
ธนุ เสนสิงห์



             ๏ ราชินีเชื่อตามที่พี่เลี้ยงว่า
          คอยจ้องหาทางทูลองค์พระทรงศร
          ด้วยเป็นผู้รู้ฤทัยพระภูธร
          หวงบังอรที่สุดราชบุตรี

             ๏ คิดหาคำนำความไปตามอรรถ
          สารพัดใคร่ครวญจนถ้วนถี่
          รอจังหวะเมื่อพระอารมณ์ดี
          เอ่ยพาทีถึงความรักหลักโลกา

             ๏ “เป็นพ่อแม่แม้พันผูกรักลูกสาว
          หวงเอาไว้ให้ยืนยาวในภายหน้า
          จนสูญสิ้นความสาวเฒ่าชรา
          ดุจบุปผาแห้งคาต้นไร้คนมอง”

           ๏ ราชันว่า “หาไว้นานถึงปานนั้น
          ต้องคัดสรรคู่ชมประสมสอง
          ด้วยสำคัญการจะอยู่เป็นคู่ครอง
          ตามครรลองราชประเพณี”

             ๏ พระมารดายังหาคำย้ำเร่งเร้า
          โดยอ้างเอาเรื่องล้วนอันควรที่
          ถึงวาระสยมพร ณ ตอนนี้
          แต่ราชันนั้นยังมีอิดออดองค์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กันยายน, 2561, 01:14:08 PM
-๓๖-
สมุทรโฆษคำกลอน




           ๏ พระมารดรย้อนหาวาทีใหม่
        ตราบมิได้ผลตามความประสงค์
        จะมิละพยายามตามจำนง
        แม้นมิปลงใจให้ไม่เลิกรา

        ๏ ชวนคะนึงถึงความหลัง“เราทั้งสอง
        รักเคียงครองราบรื่นชื่นหรรษา
        จากสยมพรพิธีที่ผ่านมา
        ด้วยสายตาน้องเลือกสรรอย่างมั่นใจ

         ๏ เกินร้อยพระกษัตรามาเสนอ
        น้องจะเผลอนัยนาก็หาไม่
        จ้องเล็งแลแต่พระองค์ปลงฤทัย
        คล้องมาลัยด้วยใจมั่นมิผันแปร

         ๏ หนึ่งฤทัยใฝ่รักสมัครหมาย
        ร้อยพันชายอื่นใดไม่แยแส
        คือคู่บุญปางบรรพ์นั้นจริงแท้
        และบุตรีเช่นนี้แน่ไม่แพ้กัน

        ๏ พลังแรงแห่งรักจักเปิดเผย
        แม้มิเคยพบพักตร์จงรักมั่น
        เหมือนกับน้องมองพี่นาทีนั้น
        สามารถสรรผู้ประเสริฐเลิศชาตรี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กันยายน, 2561, 01:16:48 PM


-๓๗-
ธนุ เสนสิงห์




            ๏ ที่แน่ชัดผู้คัดสรรกันทั้งหลาย
         เทียบศักดิ์ชายแล้วพระองค์สูงส่งศรี
         มากในคุณบุญญาบารมี
         แลฤทธีเป็นหนึ่งในธรณินทร์

          ๏ พระมารดาว่าวอนย้อนความหลัง
         สู่เป้าหมายที่ได้ตั้งหวังถวิล
         จึงเมื่อจอมราชันครั้นได้ยิน
         ที่แข็งขันนั้นทั้งสิ้นกลับยินยอม

          ๏ ถึงเหล็กแข็งแกร่งนักสักปานไหน
         ย่อมละลายพ่ายไฟในเตาหลอม
         มธุรสวาจามาหว่านล้อม
        “ลูกยอ”พร้อมทูลถวายจึงได้ใจ

         ๏ ทรงเลิกขัดปรารถนามารดาเจ้า
        “จงเลือกเอากำหนดวันนั้นมอบให้
         แต่คัดสรรนั้นต้องผ่านประการใด
         ต้องเป็นไปตามจิตแห่งบิดร”

         ๏ พระมารดรยินดีเป็นที่ยิ่ง
        “วันงานจริงให้โหราหาฤกษ์ก่อน
        หม่อมฉันทราบจะกราบทูลพระภูธร”
        พระมารดาจบว่าวอนจรลี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, กันยายน, 2561, 10:26:10 AM

-๓๘-
สมุทรโฆษคำกลอน




          ๏ ทางด้านพราหมณ์ตามหานารีนาฏ
       รักนิราศจากองค์พระทรงศรี
       ที่คะเนว่าพระนาง “พินทุมดี”
       รู้ตอนนี้นางระทมตรมดวงมาน

        ๏ เมื่อเหล่านางวังในไปบวงสรวง
       สิ้นทั้งปวงเทพยดาสถาน
       ขอเทวัญนั้นทรงพระอภิบาล
       ราชบุตรีที่ร้าวรานพระหทัย

       ๏ เข้าไต่ถามความแต่ต้นเหตุผลนั้น
       ก็เป็นอันตรงจินต์สิ้นสงสัย
       เตรียมเดินทางกลับยังวังเวียงชัย
       ทูล “สมุทรโฆษ” ดังได้ความนัยมา

        ๏ ย้อนกล่าวถึงฝ่ายพระราชินี
       ถือฤกษ์ที่โหรให้ไปปรึกษา
       กับ “สีหนรคุปต์” ราชา
       อีกไตรมาสราชตรากำหนดการ

        ๏ เน้นสามวันก่อนการสยมพร
       มีขั้นตอนคัดสรรตามบรรหาร
       เลือกผู้ที่มีบุญญาวิชาชาญ
       จนพ้นผ่านจึงได้ไปในพิธี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, กันยายน, 2561, 10:29:10 AM

-๓๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ การเลือกคู่ชู้ชมอาจสมหมาย
         เฉพาะชายที่เก่งกล้าสมราศี
         ให้ตีฆ้องร้องป่าวบอกข่าวนี้
         ถึงธานีมากหลายทั้งใกล้ไกล

          ๏ พระพี่เลี้ยงทูลธิดา “ถ้าเช่นนั้น
         กระหม่อมฉันจะทำการประสานให้
         ปล่อยพระองค์รู้ข่าวเองเกรงช้าไป  
         ทั้งแจ้งนัยการคัดสรรตามขั้นตอน

         ๏ อีกความรักจากฤดีมีไฉน
         ซึ้งฤทัยกันและกันมั่นเสียก่อน
         จะเดินทางไปยัง “พรหมนคร”
         ทูลภูธรสมควรส่วนพระองค์”

         ๏ ถือเป็นการภายในไม่เปิดเผย
         อำมาตย์เคยชิดใกล้ร่วมไปส่ง
         จาก “รมยพารา” มุ่งหน้าตรง
         ดั่งจำนงถึงวังในไม่ช้านาน

         ๏ “สมุทรโฆษ”รับข่าวจากเหล่าพราหมณ์
         เตรียมออกตามไปหาดังว่าขาน
         พอพี่เลี้ยงมาเข้าเฝ้าทูลการณ์
         ทรงปฏิสันถารสานไมตรี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, กันยายน, 2561, 10:31:48 AM


-๔๐-
สมุทรโฆษคำกลอน




          ๏ เล่าความหลัง“แต่ครั้งอยู่กลางป่า
       ออกตามหาในพนัสรัศมี
       ห้วงคูหาประดาไปในพงพี
       ไม่เห็นมีจึงกลับหลังยังบุรินทร์

        ๏ ให้เหล่าพราหมณ์ตามหาในครานั้น
       เพิ่งกลับกันเพื่อรายงานการณ์ทั้งสิ้น
       ตั้งใจว่าไปหานางกลางธานินทร์
       ยังถวิลมิถูกพระกติกา

        ๏ ครานั้นนาง “รัตนวารี”
       แสนยินดีจึงรายงานเหตุการณ์ว่า
      “ตั้งแต่วันที่ท่านพรากจากธิดา
       เธออับเฉาเศร้าอุราแสนอาวรณ์

        ๏ หม่อมฉันวาดรูปให้หลายใบหน้า
       แต่พรหมาทุกนริศอดิศร
       ลำดับมาคราถึงพระภูธร
       สองพระกรกอดภาพไว้ไห้จาบัลย์

        ๏ จนเห็นว่าช้ามิควรประชวรแน่
       จึงขอช่วยด้วยพระแม่แก้คับขัน
       หลังกราบทูลพระบิดาบัญชาพลัน
       กำหนดวันแห่งพระสยมพร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, กันยายน, 2561, 01:18:24 PM

-๔๑-
ธนุ เสนสิงห์




             ๏ แต่องค์ “สีหนรคุปต์”ยืนยัน
          จักต้องผ่านการคัดสรรกันเสียก่อน
          เชื่อได้ว่าต้องหนักหนาอย่างแน่นอน
          ขอภูธรอย่าวางพระหฤทัย”

          ๏ “สมุทร์โฆษ” ฟังคำตามที่กล่าว
          ตอบความสาวพี่เลี้ยงว่า “หาห่วงไม่
          การประกวดประชันช่วงชิงชัย
          ประการใดขอนางอย่ากังวล

          ๏ เราก็ศิษย์มีครูผู้เรืองฤทธิ์
          เรียนเวทย์วิทย์เจนจบประสพผล
          แลรักนี้มีเทวามาบันดล
          มิอับจนหนทางสร้างรักแท้

          ๏ ขอให้พระธิดาอย่าหม่นหมอง
          รักเราสองต้องสมในฤทัยแน่
          ตราบจนสิ้นชีวันมิผันแปร
          พร้อมจักแก้อุปสรรคเพื่อรักเรา”

          ๏ พระพี่เลี้ยงราชนารียินดีล้น
          สิ้นกังวลก่อนคืนยังเวียงวังเก่า
          บอก “เมื่อทูลธิดาน่าบรรเทา
          ความโศกเศร้าทั้งปวงในดวงแด


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, กันยายน, 2561, 01:20:09 PM

-๔๒-
สมุทรโฆษคำกลอน




          ๏ แม้นนางตอบมอบสารประการใด
       ครั้นท่านไปค่อยเล่าความตามกระแส
       ท่านอย่าล่วงล้ำวังในไม่ดีแท้
       จะเกิดแง่มิพอพระหฤทัย”

        ๏ พระพี่เลี้ยงลากลับพอลับหลัง
      “สมุทรโฆษ” พลันสั่งตั้งทัพใหญ่
       หมายสู่ “รมยนคร” จรโดยไว
       ตามดวงใจใฝ่หายอดนารี

        ๏ ระดมพลโยธาหน้าวังหลวง
       เมื่อพร้อมพรั่งทั้งปวงทัพเคลื่อนที่
       กองยาตราน่าครั่นคร้ามแต่งามดี
       ไพร่พลมีทุกกองเช่นหมายชิงชัย

        ๏ สมพระเกียรติยศปรากฏชัด
       นครรัฐเอกบุรินทร์ปิ่นสมัย
       เสริมบุญญาบารมีที่เกริกไกร
       เป็นเลิศในอาณามานานวัน

        ๏ กองคชาสง่างามล้ำเลอแสน
       ให้เหมือนแม้นลือเลื่องเมืองคัดสรร
       เลิศคชา ภาชีมีอนันต์
       แต่ละปีมีประชันกันมากมาย



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, กันยายน, 2561, 01:22:30 PM


-๔๓-
ธนุ เสนสิงห์




             ๏ รูปแบบราชยาตราสง่าแสน
          แถวแห่แหนธงงามตามเป็นสาย
          เสียงไชโยโห่ร้องก้องกำจาย
          ปวงประชามาเรียงรายชายมรรคา

           ๏ ทูลถวายพระพรชัยด้วยใจภักดิ์
          ให้ความรักสมมาดปรารถนา    
          เร่งเดินทัพโดยไวมิได้ช้า
          หมายเวลาถึงที่มั่นก่อนวันงาน

           ๏ กำหนดจุดให้หยุดยั้งหน้าวังใหญ่
          คู่ชิงชัยจากต่างแดนแน่นสถาน
          รอพิธีมีอย่างเป็นทางการ
          ตั้งโยธาหน้ากระดานลานประชัน


           ๏ ตามหมายกำหนดการต่อวันใหม่
          ภูวไนยนัดสำแดงการแข่งขัน
          แม้นผู้ใดใครผ่านด่านสำคัญ
          จึงธิดามาเลือกสรรอีกขั้นตอน

          ๏ หลากชนชาติกษัตรา นาคา ครุฑ
          เตรียมลองยุทธ์หลายทัพสลับสลอน
          มีครบสิ้นกินรา วิชาธร
          ดั่งภมรมากหลายหมายมาลี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 08, กันยายน, 2561, 10:45:21 AM

-๔๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ ด้วยลือเลื่องเมืองไกลไปทุกแคว้น
       หานางใดไม่งามแม้นแม่โฉมศรี
       แลรู้ว่าพระธิดา “พินทุมดี”
       พระบุตรีที่บิดาหวงกว่าใคร

        ๏ รุ่งสุรีย์สีทองส่องเวหน
       ทั่วมณฑลกระจ่างสว่างใส
       จึงมีกองโยธาแห่งราชัย
       อันเกริกไกรยกออกนอกวังมา

        ๏ ขัตติยะประทับบนพระแท่น
       พลโยธาหนาแน่นทั้งซ้ายขวา
       มีอีกหมู่ออกประตูวังราชา
       อย่างเชื่องช้ามุ่งตรงลงกลางลาน

        ๏ สิบสองพราหมณ์หาม“โลหะธนู”นั้น
       ดูแข็งขันพร้อมพรักสมัครสมาน
       วางเข้าที่มีแท่นทำประจำการ
       เมื่อพร้อมพรั่งสั่งเริ่มงานราชพิธี


        ๏ “ท้าวสีหนรคุปต์” ประกาศก้อง
       ยินทั่วท้องพระลานสถานที่
       “ผู้ใดยกโลหะธนูนี้
       ผ่านได้จึงถึงวิถีสยมพร”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 08, กันยายน, 2561, 10:48:01 AM
-๔๕-
ธนุ เสนสิงห์




            ๏ เมื่อยินหมู่ผู้ร่วมงานนั้นทั้งหลาย
          อันปองหมายราชบุตรีศรีสมร
          เข้ายื้อแย่งแข่งวาระพละกร
          ไร้บุญญาร่วมมาก่อนล้วนอ่อนใจ

         ๏  “สมุทรโฆษ” ถึงวาระแสดงเดช
          ร่ายพระเวทย์บูชาครูผู้ยิ่งใหญ่
          บำบวงองค์เทวัญอันเรืองไกร
          อ้างเคยได้สรรค์บุญญาบารมี

          ๏ ขอช่วยสร้างพลังแรงสำแดงฤทธิ์
          เกิดประสิทธิผลเลิศเชิดศักดิ์ศรี
          ได้สมปองครอง “พินทุมดี”
          จบวาทีหัตถะยกโลหะธนู

           ๏ เหมือนภาวะธรรมดาแห่งอาการ
          ที่กระทำโดยชำนาญการต่อสู้
          ท่าแนบเนียนมิเพี้ยนผิดศิษย์มีครู
          ยกคันเล็งไปสู่ท้องนภา

          ๏ ง้างแล้วปล่อยลูกธนูสู่เวหน
          เสียงอึงอลสนั่นลั่นเวหา
          ยังสะท้อนย้อนปะทะพสุธา
         ก้องเถื่อนแถวแนวผานภาธาร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 08, กันยายน, 2561, 10:50:55 AM
    

-๔๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



           ๏ ดอกที่สองส่องไปในท้องฟ้า
        แสงเจิดจ้ากระจายคล้ายหมอกม่าน
        ปั้นเมฆีมีภาพแมนแสนโอฬาร
        เกริกตระการปราสาทพิลาสพิไล

        ๏ ดอกที่สามมีสรรพเสียงเช่นแตรสังข์
        เกิดภวังค์สร้างพะวงชวนหลงใหล
        พร่างพรูเห็นเป็นข้าวตอกแลดอกไม้
        โปรยปรายไปด้วยฤทธิ์พิสดาร

        ๏ สำแดงอิทธิฤทธิ์นั้นในด้านดี
        หมายบุญญาบารมีแผ่ไพศาล
        มิสำแดงแรงร้ายในฝ่ายมาร
        พลังผลาญให้ย่อยยับระงับไว้

        ๏ อันอาวุธยุทธนาบรรดานั้น
        เทียบเทียมกันกับอำนาจฉกาจใหญ่
        อยู่ในมือถือครองของผู้ใด
        สำคัญใจมีธรรมะหรืออธรรม

        ๏ อาจจักใช้ในทางชั่วเมามัวบาป
        เมื่อใจหยาบเสริมพลังในทางต่ำ
        ถ้าใจบุญหนุนความดีที่เลิศล้ำ
        จักน้อมนำสันติบริบาล



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 10, กันยายน, 2561, 10:04:07 AM
-๔๗-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ครบสามดอกออกแรงสำแดงฤทธิ์
         จึงบูชิตเทวะทุกสถาน
         แล้วบังคมราชะผู้ประธาน
         สำเร็จการทั้งสิ้นดั่งจินดา

        ๏ “สีหนรคุปต์” แสนยินดี
         ประกาศดัง “ยังมีอีกไหมหนา
         ท่านผู้หมายได้สำแดงแรงฤทธา”
         เมื่อรอท่าจนชัดเจนมิเห็นใคร

         ๏ จึงประกาศราชบัญชาว่า..
        “ผู้ที่ผ่านการสรรหาครานี้ได้
         เมื่อมีเพียงหนึ่งท่านเท่านั้นไซร้
         มอบโลหะธนูให้เป็นรางวัล

         ๏ รอพิธีที่ธิดามาเลือกคู่
         ว่าโฉมตรูจะพอใจไฉนนั่น
         ในส่วนนี้ผ่านพิธีที่สำคัญ
         ตรัสจบพลันคืนหลังยังวังทอง

         ๏ “สมุทรโฆษ” ยินคำราชดำรัส
         ปลื้มมนัสอภิวันท์สรรค์สนอง
         ถือของดีที่ท่านมอบมาครอบครอง
         ไว้ปกป้องคุณธรรมความดีงาม


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 10, กันยายน, 2561, 10:06:03 AM

-๔๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ ผู้ร่วมงานเสร็จไปส่วนใหญ่กลับ
       ทั้งยอมรับด้วยใจไม่เหยียดหยาม
       เหลืออีกหมู่ผู้ที่มีจิตทราม
       บังเกิดความริษยาด้วยอาธรรม์

        ๏ สิบกษัตริย์นัดหมายไม่ยอมแพ้
       พาลตั้งแง่พวกตนโดนเย้ยหยัน
       ถือเคยผ่านการศึกมาสารพัน
       เตรียมรวมกันพิฆาตสิบศาสตรา

        ๏ จึงประกาศสงครามตามจิตหมาย
      “เราทั้งหลายไม่ยอมแพ้แน่นักหนา
       จะให้ย้อนกลับหลังยังพารา
       อย่างง่ายดายอย่าหมายว่าจักมีวัน”

        ๏ การประยุทธ์พระบุตราหากลัวไม่
       สั่งพลไกรต้อนรับศึกคับขัน
       พลไพรีมีมากกว่ากล้าประจัน
       เพียงหมายมั่นสอนศัตรูรู้สำนึก

        ๏ ครั้น”สีหนรคุปต์” ทราบข่าว
       ถึงเรื่องราวสิบกษัตริย์เตรียมทำศึก
       รู้ถึงภัยมหันต์อันล้ำลึก
       ที่หาญฮึกปะทะโลหะธนู


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 10, กันยายน, 2561, 10:07:56 AM

-๔๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ สั่ง “อำมาตย์สุสังกัลป์” อันคำคม
         ใช้คารมโน้มจิตเลิกคิดสู้
         แจ้งภาวะอันตรายให้เขารู้
         แล้วเดินสู่ลานที่จะรณรงค์

         ๏ กล่าวแก่สิบกษัตริย์พลัน “ท่านทั้งหลาย
         อย่ามาดหมายชัยชนะดังประสงค์
         อยากเตือนให้ได้รู้ความไปตามตรง
         แม้นว่า “องค์สมุทรโฆษ” โกรธโรมรัน

         ๏ ใช้โลหะธนูสู้ประยุทธ์
         อำนาจดุจองค์พระรามรังสรรค์
         พร้อมพิฆาตรากษสทศกรรณ
         ให้ชีวันมลายไปในพริบตา

         ๏ ศพทหารท่านจะเห็นเป็นก่ายกอง
         โลหิตนองท่วมหลังบาทอนาถหนา
         จงเชื่อความตามที่ฉันพรรณนา
         มอบวาจามายับยั้งด้วยหวังดี”

         ๏ สิบกษัตริย์ขัดคำยังย้ำว่า
         “อันพวกข้านั้นรักซึ่งศักดิ์ศรี
         ให้กลับหลังอย่างผู้พ่ายอย่าหมายมี
         ใช่คนขลาดหวาดชีวีสิ้นชีวัน”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12, กันยายน, 2561, 11:26:27 AM

-๕๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ “อำมาตย์สุสังกัลป์”นั้นกล่าวย้ำ
        จนสิ้นคำยังตะแบงอยู่แข็งขัน
        ต้องคืนวังดังว่าทูลราชัน
        การดึงดันเดินทัพเกินยับยั้ง

        ๏ สิบกษัตริย์จัดทัพเสร็จสรรพแล้ว
         ตั้งเป็นแถวโค้งเว้าเข้าสองฝั่ง
         ตามแผนการประสานสิบพลัง
         หมายใจหวังบดขยี้ให้ย่อยยับ

        ๏ เอกหนึ่งองค์ทรงรถคชสาร
        ดูฮึกหาญชูโตมรสองกรจับ
        มีหลายองค์ทรงรถม้ามาพรึบพรับ
        พระแสงดาบวาบวับขยับไกว

        ๏ บ้างทรงรถเทียมอูฐสุดองอาจ
        ยืนผงาดห้าวหาญถือขวานใหญ่
        ที่รถเทียมจามรีมาไรไร
        เห็นธงชัยสะบัดชายใกล้เข้ามา

        ๏ ในครานั้น”สมุทรโฆษ”มิโกรธขึ้ง
        ยังคำนึงว่าชีวันนั้นมีค่า
        อยากหลีกลี้เป็นที่สุดยุทธนา
        ความเมตาปรานีมีมากล้น


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12, กันยายน, 2561, 11:29:11 AM

-๕๑-
ธนุ เสนสิงห์



             ๏ กรุณาธิคุณมั่นสำคัญหมาย
           อยู่ในฝ่ายความดีมีกุศล
           คิดสรรค์สุขปัดทุกข์ภัยให้ผู้คน
           มองเหตุผลไม่ตำหนิปวงริปู
 
           ๏ หยิบโลหะธนูชูกำหนด
           ทำลายเพียงราชรถเสียทั้งหมู่
           เมื่อแผลงไปในหนึ่งดอกธนู
           แยกเป็นสิบเข้าสู่หมู่ไพรี

           ๏ สิบราชรถนั้นพลันแหลกยับ
           สัตว์ล้มพับแล้วเพริดเตลิดหนี
           รวมทั้งกองพหลพลโยธี
           เสียงอึงมี่ด้วยตระหนกตกตื่นใจ

           ๏ ทรงยิงศรอีกดอกไปในเวหา
           กลายเป็นห่าแสนศรว่อนลงใส่
           ปวงโยธาจ้าละหวั่นพรั่นฤทัย
           วิ่งหนีตายกันไปกระเจิดกระเจิง

          ๏ แล้วกลายเป็นเช่นกลฝนโปรยฉ่ำ
           พาผู้นำการณรงค์เพิ่มหลงเหลิง
           ธนูศรอ่อนพิษภัยใจระเริง
           คิดหาเชิงสู้ต่อขอท้าทาย



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12, กันยายน, 2561, 11:31:36 AM

-๕๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ แล้ว “สุสังกัลป์”มาอีกคราหนึ่ง
        เมื่อมาถึงกล่าวคำย้ำความหมาย
       “ณ บัดนี้ยังไม่มีการล้มตาย
        สิ่งทั้งหลายจากต้นเหตุความเมตตา

        ๏ “สมุทรโฆษ” นั้นหนายังปรานี
        มิได้มีจิตมารการเข่นฆ่า
        แม้นหมายจะกระทำการบีฑา
        แลชีวาทั้งผองต้องแหลกลาญ

        ๏ จงเลิกทัพกลับก่อนในตอนนี้
        ด้วยหวังดีเชื่อเถิดหนาอย่าหักหาญ
        อีกข้อหนึ่งพึงเข้าใจให้ซึ้งการณ์
        ที่พวกท่านเปิดศึกใหญ่ในแว่นแคว้น

        ๏ ผู้ปกครองอาณาหายอมไม่
        ยิ่งชิดใกล้ชายเวียงวังน่าชังแสน
        อีกทั้งคู่ต่อสู้กันนั้นเหมือนแม้น
        เป็นตัวแทนพระบุตรเขยอย่าเลยเลือน

         ๏ แม้น “สีหนรคุปต์” ทรงพิโรธ
        ความเหี้ยมโหดยิ่งใหญ่มิใครเหมือน
        จบเพียงนี้ที่จะห้ามปรามตักเตือน
        แม้นจะเคลื่อนทัพนั้นต้องทันที



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 14, กันยายน, 2561, 08:34:29 AM
-๕๓-
ธนุ เสนสิงห์



             ๏ คำของ“สุสังกัลป์”นั้นชัดแจ้ง
          สิ้นกำแหงสิบกษัตริย์คิดบัดสี
          ยากต่อรองทั้งสองกรณีย์
          แค้นเหลือที่จำระงับยกทับจร

          ๏ ในครานั้น “พระนางพินทุมดี”
          ทราบข่าวว่าสวามีพระทรงศร
          นำพลไกรมาอยู่ใกล้พระนคร
          ผ่านขั้นตอนคัดกรองลองฤทธา

           ๏ ความอ้างว้างกลางฤดีเคยมีอยู่
          รักชื่นชูชีวันให้หรรษา
           คงสมหวังดังคำวอนขอเทวา
          ภัสดามาร่วมเรียงเคียงกมล

            ๏ เมื่อถึงวันอันนัดหมายให้เลือกคู่
          องค์ราชัยคงไม่รู้ความเบื้องต้น
          จะถูกใจไหมบุตรีมีกังวล
          เพียงหนึ่งคนที่ผ่านการสรรมา

          ๏ “สมุทรโฆษ” เข้าปะรำทำพิธี
          ราชบุตรีเมื่อมาใกล้ได้เห็นหน้า
          สองพระองค์ทรงสบพระนัยนา
          เสน่หาเอ่อล้นท้นฤทัย


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 14, กันยายน, 2561, 08:37:30 AM

 -๕๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ ตะลึงคิดพินิจกายกันและกัน
        นึกคืนนั้นเคยชมชิดพิสมัย
       “พินทุมดี” ถวายพระมาลัย
        โน้มกายไปกราบลงที่บาทา

       ๏ “สมุทรโฆษ”ประคองนุชนาฏ
        สายสวาทผูกพันกันแน่นหนา
        วาระนั้นปวงพระญาติกา
        พระราชา ราชินีแสนดีใจ

         ๏ กล่าวชื่นชมยินดีเป็นที่สุด
       “พินทุมดี”เลือก“สมุทรโฆษ”เคียงใกล้
        แสดงความตกลงปลงฤทัย
        สมดั่งนัยแห่งพระสยมพร

        ๏ คิดเหมือนกันอันมาสู่เป็นคู่สอง
        คงเคยครองรักมั่นกันมาก่อน
        เป็นบุพเพผูกพันนิรันดร
        เมืองอมรขีดเส้นเกณฑ์ชีวัน

        ๏ ฐานันดรศักดิ์ชั้นนั้นเสมอ
        สองเลิศเลอศุภลักษณ์ประจักษ์มั่น
        เกียรติเดชาพาราเลิศเทียมทัน
        ทั้งเขตขัณฑ์การปกครองสองบุรินทร์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 14, กันยายน, 2561, 08:39:30 AM

-๕๕-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ เมื่อ “สีหนรคุปต์” นั้นกำหนด
          วันอภิเษกสมรสดั่งถวิล
          แต่งประดับประดาทั่วธานินทร์
          แลโศภินเจิดจ้าทั้งธานี

          ๏ เชิญราชกษัตริย์ท้าวเจ้าแว่นแคว้น
          ทุกดินแดนที่สัมพันธ์มั่นศักดิ์ศรี
          มาร่วมงานอภิเษกสมรสพิธี
          ด้วยปีติยินดีโดยทั่วกัน

           ๏ แลมีบรรหารให้มหาอำมาตย์
         ถือพระราชสารพิเศษสรรค์
         ทั้งเครื่องบรรณาการสานสัมพันธ์
         ไปสู่ “พรหมนคร” นั้นโดยทันใด

         ๏ ทูลราชา ราชินีทรงรับรู้
         แลทูลเชิญมาสู่พิธีใหญ่
         พร้อมทั้งเล่าเค้าความตามเป็นไป
         ทั้งสองพระองค์ให้ซึ้งใจความ

         ๏ ตั้งแต่คราวป่าวร้องประลองฤทธิ์
         ทั่วทุกทิศอภิชนมาล้นหลาม
         ยกโลหะธนูทุกผู้ทุกนาม
         มิได้ตามที่หวังตั้งจิตไว้


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15, กันยายน, 2561, 11:20:33 AM

-๕๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ “สมุทรโฆษ” ลองฤทธาในครานั้น
       เหมือนสามัญธนูดูรู้ได้
       ยกครั้งเดียวเชี่ยวชาญเรื่องการใช้
       เชื่อแน่ไซร้คู่บุญญาบารมี

        ๏ เมื่อได้เข้าเลือกคู่ดูเหมือนว่า
       สองชีวาเคยผูกพันบรรพ์วิถี
       มิลังเลต่อกันรับทันที
       เหตุฉะนี้จึงสุขสมสยมพร”

        ๏ ครานั้น “องค์พินทุทัต” มิขัดข้อง
       การปรองดองพันธะอนุสรณ์
       สมานรัฐประชาสองนาคร
       คือบวรแห่งวัตรพิพัฒน์คุณ

         ๏ พระบุตรามาสมหมายนางในฝัน
       ได้ครองกันปานเทวามาเกื้อหนุน
       อภิเษกสมรสอยู่เป็นคู่บุญ
       สืบสกุลขัตติยะกษัตรา

         ๏ ด้วยยินดีมีหมายกำหนดการ
       ไปร่วมงานปรองดองสองวงศา
       เตรียมจัดกองพหลพลโยธา
       เครื่องบรรณาการใหญ่สานไมตรี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15, กันยายน, 2561, 11:22:33 AM
-๕๗-
ธนุ เสนสิงห์



             ๏ เสด็จไปในวาระศุภฤกษ์
          พระเกียรติเกริกกุศลมงคลดิถี
          เมื่อถึงยัง “รมยธานี”
          จึงองค์ “สีหนรคุปต์” มาคอยรับ

          ๏ ทรงโอภาปราศรัยใฝ่สมาน
          เมื่อปฏิสันถารกันเสร็จสรรพ
          เชิญเสด็จปราสาทศรีที่ประทับ
          งามระยับศิลป์สรรค์พรรณราย

          ๏ เตรียมพระกระยาหารชั้นเลิศสรร
          พระสุธารสน้ำจัณฑ์อันหลากหลาย
          รับแขกวังด้วยสังคีตรำกรีดกราย
          กรสอดส่ายร่ายลีลากินรี

           ๏ ร่วมสังสรรค์สนทนาปราศรัย
          ราชาชัยได้ปรองดองสองสุขี
          รวมทั้งสองพระมารดาแสนยินดี
          มิตรไมตรีเหนียวแน่นมิแคลนคลอน

         ๏ เมื่อถึงวันอภิเษกสมรส
          ก็ปรากฏแขกเหรื่อเหลือสลอน
          ราชบุตร องค์ราชา นรากร
          ภราดร ญาติกามาพร้อมกัน
 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15, กันยายน, 2561, 11:24:23 AM
-๕๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ ราชพิธีมีบูชาเทพเจ้า
        บวงสรวงเหล่าเทวะทั้งสวรรค์
        พิธีพราหมณ์ตามจำนงองค์ราชัน
        เหมือนดังบรรพกาลเนิ่นนานมา
  
      ๏ เสร็จพิธีมีวาระเฉลิมฉลอง
        ไท้ทั้งผองญาติพงศ์สองวงศา
       “สมุทรโฆษ” “พินทุมดี” เทิดวันทา
        พระบิดรมารดาสองธานี

         ๏ รักราบรื่นชื่นฤดีมีสุขแสน
        ดุจครองแมนแดนฟ้าสง่าศรี
        เสวยสุขทุกทิวาและราตรี
        ก่อนถึงวันอันควรที่คืนบุรินทร์

          ๏ ขึ้นกราบทูลพระบิดา “พินทุทัต”
        มีภาระต้องปฏิบัติที่ในถิ่น
        ก่อนจะกลับคืนหลังยังธานินทร์
        การทั้งสิ้นมากมายหลายขั้นตอน

          ๏ บำบวงเทวะสถานบนบานไว้
        ทั้งเทพไทในวนาเมื่อคราก่อน
        หลังนำ “พินทุมดี” เดินดงดอน
        แล้วจักย้อนคืน “พรหมนครา”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17, กันยายน, 2561, 12:58:35 PM

-๕๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ “พินทุทัต” อนุญาตดังมาดหมาย
         พร้อมถวายพระพรชัยให้หรรษา
         แล้วนิวัตคืนยังวังราชา
         เมื่อสัมฤทธิ์พระกิจจาแห่งราชัย

         ๏ “สมุทรโฆษ” “พินทุมดี” มีภาระ
         แต่ยังจะมิแรมร้างไปทางไหน
         ขอเคียงคู่ชู้ชมสมฤทัย
         เพลินอยู่ในสวาทหวานหลายวารวัน
 
         ๏ ถึงเวลาใช้อามิสติดค้างไว้
         ของเซ่นไหว้ครบดังคิดมิผิดผัน
         ทุกเทวะสถานในการณ์นั้น
         นางกำนัลหลายคนช่วยบนบาน

         ๏ ราชทรัพย์นับให้ไปจัดหา
         แก้บนก่อนเคยวอนว่าสิ้นทุกศาล
         เป็นการมอบตอบแทนคุณบุญบันดาล
         มิเป็นการเมินหมางให้ค้างคา

          ๏ แล้ว “สมุทรโฆษ” “พินทุมดี”
         จากธานีออกไปในแดนป่า
         เพื่อบำบวงปวงรุกขเทวดา
         ผู้นำพาพบคู่ชมสมฤทัย







 

 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17, กันยายน, 2561, 01:00:24 PM

-๖๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เหล่าพหลล้นหลามตามเสด็จ
        ความสำเร็จแก้บนบานเป็นงานใหญ่
        พร้อมทั้งพราหมณ์ราชครูผู้เข้าใจ
        การพิธีมีฉันใดไม่ผันแปร

        ๏ สู่แดนดงตรงไปมิได้ช้า
        ถึงชัฏลึกที่พฤกษาป่าเก่าแก่
        ไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าตาชะแง้
        ลำเนาแลเข้าตำรามหาพราหมณ์

        ๏ จึงตั้งศาลบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
        ผู้ทรงฤทธิ์ในพิภพจบโลกสาม
        ท่านพิทักษ์รักษ์ประเทศป้องเขตคาม
        แลอ้างความเป็นมาคราก่อนนั้น

        ๏ เทพองค์ไหนได้อุ้มสมกษัตริย์สอง
        เป็นคู่ครองดังใจที่ใฝ่ฝัน
        ซึ้งฤดีที่ช่วยดลผลอนันต์
        อภิวันท์มารับมอบตอบแทนคุณ

          ๏ พิธีกรรมนำเน้นการเซ่นไหว้
        แทนคุณไท้หมายเชิดชูผู้เกื้อหนุน
        มิมองข้ามความเมตตารักการุณย์
        เอกอดุลย์จริยานรากร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17, กันยายน, 2561, 01:02:48 PM
-๖๑-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ เมื่อสำเร็จเสร็จสรรพคืนกลับหลัง
          สู่เวียงวังอีกครั้งหนึ่งกึ่งพักผ่อน
          ค่อยชมนกชมไม้ไม่รีบร้อน
          มุ่งหมายจรสู่วนอุทยาน   
    
            ๏ เพลานี้ที่ริมหิมวันต์
          พงพีอันกว้างใหญ่แสนไพศาล
          พิทยาธร “รณาภิมุข” สราญ
          กับภรรยายุพาพาลรักบูชา

          ๏ เที่ยวชมห้วงละหารธารสวรรค์
          ขุนคีรี สีสันพันธุ์บุปผา
          ทวิบาท จตุบาทดาษดา
          เพลินพนาแนวเนินอยู่เนานาน

          ๏ จวนสายัณห์ผันจรร่อนเวหา
          อุ้มภรรยาคู่ชื่นคืนถิ่นฐาน
          เผอิญพบพิทยาธรผู้ใจมาร
          นาม “รณบุตร” ผ่านสวนทางมา

          ๏ “รณบุตร”สะดุจตาภรรยาสาว
          เด่นเช่นดาววาววามงามนักหนา
          เกิดกระสันสวาทบาดอุรา
          อยากจะคว้ามาชมสมฤทัย


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18, กันยายน, 2561, 01:20:27 PM

-๖๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เมื่อตัณหาขึ้นหน้าหมายได้เมียเขา
        หลงลืมตัวมัวเมากามวิสัย
        ใจมืดมนต้นเหตุแห่งเภทภัย
        คือเหตุใหญ่ฆ่ากันตายในโลกนี้

         ๏ อีกการหลงทะนงตนเหนือคนอื่น
        ย่ำเขาตรมขมขื่นสิ้นศักดิ์ศรี
        เมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ยอมพร้อมราวี
        เกิดคดีชิงชัยในโลกา

        ๏ อีกโลภมากอยากได้ลาภหลายล้น
        ถึงจี้ปล้นล้างผลาญการเข่นฆ่า
        อยากมีคุณบุญหนักศักดินา
        แย่งยศถาเขตขัณฑ์กันทั่วไป

        ๏ ครานั้น “รณบุตร” ร้ายหมายอมิตร
        ทักแบบท้าว่า “ถือสิทธิ์เหนือไฉน
        เมื่อพบข้ามิคารวะจะหลีกไกล
        คงยังไม่รู้ฤทธาข้าดีพอ

       ๏ แม้นรักตัวกลัวตายอย่าได้ช้า
        มอบภรรยามาให้ค่อยไปต่อ
        มิเช่นนั้นพระขรรค์ข้าไม่รารอ
        จักเชือดคอเจ้าให้ขาดถึงฆาตพลัน”
[/size]


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18, กันยายน, 2561, 01:21:58 PM
-๖๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เมื่อตัณหาขึ้นหน้าหมายได้เมียเขา
        หลงลืมตัวมัวเมากามวิสัย
        ใจมืดมนต้นเหตุแห่งเภทภัย
        คือเหตุใหญ่ฆ่ากันตายในโลกนี้

         ๏ อีกการหลงทะนงตนเหนือคนอื่น
        ย่ำเขาตรมขมขื่นสิ้นศักดิ์ศรี
        เมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ยอมพร้อมราวี
        เกิดคดีชิงชัยในโลกา

        ๏ อีกโลภมากอยากได้ลาภหลายล้น
        ถึงจี้ปล้นล้างผลาญการเข่นฆ่า
        อยากมีคุณบุญหนักศักดินา
        แย่งยศถาเขตขัณฑ์กันทั่วไป

        ๏ ครานั้น “รณบุตร” ร้ายหมายอมิตร
        ทักแบบท้าว่า “ถือสิทธิ์เหนือไฉน
        เมื่อพบข้ามิคารวะจะหลีกไกล
        คงยังไม่รู้ฤทธาข้าดีพอ

        ๏ แม้นรักตัวกลัวตายอย่าได้ช้า
        มอบภรรยามาให้ค่อยไปต่อ
        มิเช่นนั้นพระขรรค์ข้าไม่รารอ
        จักเชือดคอเจ้าให้ขาดถึงฆาตพลัน”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18, กันยายน, 2561, 01:24:53 PM
  
-๖๓-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ “รณาภิมุข” นั้นพลันตอบโต้
         “หยุดยโสเอ่ยย้ำคำเย้ยหยัน
          เราก็ศิษย์มีครูอยู่เหมือนกัน
          ชาติพันธุ์มิได้ต่างห่างวรรณวงศ์

          ๏ มาขอเมียเสียง่ายง่ายกระไรหนา
          หรือหลงผิดเลิศฤทธาพาเหลิงหลง
          จึงเหยียบย่ำหยามหยันกันโดยตรง
          แม้นตกลงปลงให้เหมือนไร้ใจ”
        
            ๏ “รณบุตร” หมายฉุดคร่ามิช้าอยู่
          เริ่มต่อสู้บนเวหาถลาใส่
          ตีฉะฉาดฟาดฟันตะบันไป
         “รณาภิมุข” ก็มิใช่ไร้ฝีมือ
    
           ๏ รับกันไว้ได้ถ้วนกระบวนท่า
          แต่ถอยล่าหาหลักรักษาชื่อ
          ป้องที่รักจากคนพาลใจมารยื้อ
          หนักอกคืออุ้มนางพลางณรงค์

          ๏ เสียกำลังทั้งมิคล่องการป้องปัด
          จักฟาดฟัดมิได้ดังตั้งประสงค์
          ต้องถอยล่าหาหลักพะวักพะวง
         “รณบุตร” เห็นจุดปลงคู่ประยุทธ์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18, กันยายน, 2561, 01:27:36 PM
-๖๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ ทะลวงฟันมั่นหมายกายคู่รบ
        ก็เลี่ยงหลบปัดป้องไปไม่สิ้นสุด
        กลับหมายฟันภรรยาบ้าประทุษ
        เยี่ยงมนุษย์ทั่วไปทำไม่ลง

          ๏ เลี่ยงก็ขัดปัดมิได้เอากายป้อง
        ด้วยรักน้องนิ่มนุชสุดใหลหลง
        จึงถูกคมพระขรรค์ฟันโดยตรง
        ร่วงสู่พงพับกับพื้นพสุธา

          ๏ แล้วศัตรูผู้เป็นปรปักษ์
       ชิงคนรักจากไกลไปซึ่งหน้า
        ทั้งเจ็บแค้นแสนทุกขเวทนา
        วอนวาจาพึ่งแม่พระธรณี

         ๏ พระบุตราครานั้นจรัลผ่าน
        เห็นเหตุการณ์ทั้งผองเศร้าหมองศรี
        ช่างใจดำทำได้ร้ายสิ้นดี
        คิดแย่งชู้คู่ชีวีบั่นชีวา

        ๏ เข้าโอบอุ้มอภิบาลดวงมานห่วง
        สั่งหมอหลวงทั้งหลายให้รักษา
        เลิศโอสถกำหนดหมายใช้เยียวยา
        หลายเพลาจึงฟื้นคืนพลัง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19, กันยายน, 2561, 04:57:34 PM
-๖๕-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ โอ้ “รณาภิมุข” ทุกข์เหลือที่
          ดวงฤดีพังภินท์สิ้นความหวัง
          ดุจกลางทรวงไร้ดวงแดแม้ชีพยัง
          แล้วจึงตั้งสติพินิจการณ์

          ๏ “ความสุขสันต์พลันสลายกลายเป็นเศร้า
          เพราะใจเรามีความหลงติดสงสาร
          หมายเชิดชูบูชาเมียที่จิตมาร
          พบคนพาลชิงสวาทเห็นธาตุแท้

          ๏ รักนารีผู้มีใจไม่คงมั่น
          ความผูกพันอันใดไม่แยแส
          ชอบเปลี่ยนชายมิหมายอยู่กับผู้แพ้
          เจ็บดวงแดกว่าแผลกายหลายเท่านัก”

          ๏ วอนวาทะ “สมุทรโฆษ โปรดฟังฉัน
          รับพระขรรค์อันมอบให้ใจแน่นหนัก
          แทนบุญคุณยิ่งใหญ่ด้วยใจภักดิ์
          และความรักท่านที่งามด้วยน้ำใจ

           ๏ เมื่อท่านถือพระขรรค์เทพสรรค์นี้
          เกิดฤทธีเดชาเหินฟ้าได้
          แม้นหมายจรนครเขตประเทศใด
          เหาะเหินไปตามถวิลจินตนา”


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19, กันยายน, 2561, 04:59:25 PM

-๖๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ พระบุตราว่าแย้งสำแดงนั้น
       “ของสำคัญมอบให้ไฉนหนา
        ควรเป็นของครองอยู่คู่กายา
        ในภายหน้าท่านต้องไว้ป้องตน”

        ๏ “รณาภิมุข” ว่า “ครานี้ไซร้
        ซึ้งฤทัยเมื่อตรองความตามเหตุผล
        รักและชังตั้งใจตัดขาดกมล
        หมายนักพรตกำหนดพ้นกามโลกีย์”

        ๏ “สมุทรโฆษ” ยังมีข้อต่อคำถาม
        “ฉงนความผันแปรไปไวเหลือที่
        ผู้มากในเสน่หายอดนารี
        ถึงยอมพลีร่างให้ป้องกายนาง”

        ๏ “เรารักหลงอนงค์นาฏอย่างมาดมั่น
        ก็รับกันโดยดีมิอางขนาง
        เมื่อตรองการณ์เป็นกรรมที่อำพราง
        ตาสว่างสิ้นเขลาเลิกเมาใจ

        ๏ อันฝีมือชื่อชั้นการต่อสู้
        มันเป็นผู้เหนือกว่าก็หาไม่
        มีภรรยาเป็นภาระช่างกระไร
        ความว่องไวปัดป้องมิคล่องตัว


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19, กันยายน, 2561, 05:01:26 PM

-๖๗-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ซึ้งอุรานารีนี้ไฉน
          ดูท่าทีดีใจได้เปลี่ยนผัว
          แลดวงเนตรสังเกตได้ใฝ่พันพัว
          โดนชิงตัวไร้วาจากล่าวอาลัย

          ๏ เห็นผัวเอียงเพลี่ยงพล้ำจนย่ำแย่
          เมียถีบแพทิ้งเพื่อพึ่งเรือใหม่
          เสียแรงเราเอากายป้องต้องช้ำใน
          เหมือนเปลไกวใจแม่มิแน่นอน

          ๏ คล้ายฝูงสัตว์จตุบาทชาติกักขฬะ
          ผู้ชนะเป็นใหญ่แห่งไกรสร
          เมื่อแพ้พ่ายตัวเมียไม่อนาทร
          ร่วมสมจรคู่ใหม่ผู้ชัยชาญ”

          ๏ ครั้นจบคำร่ำลามิช้าอยู่
          จรลีปรี่สู่หมู่ไพรสาณฑ์
         “สมุทรโฆษ” มิอาจขัดหรือทัดทาน
          มอบดวงมานซึ้งจาคะเอกอดุลย์

           ๏ น้อมคำนับรับพระขรรค์อันสูงค่า
          คำนึงคิดกฤษฎามาเกื้อหนุน
          วาสนาชะตาดลด้วยผลบุญ
          รำลึกคุณแล้วลองเหินเดินเมฆี



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, กันยายน, 2561, 04:01:52 PM
-๖๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เหาะเวหนวนรอบขอบพนัส
        วกฉวัดเฉวียนไปกลางไพรศรี
        แล้วกลับคืนยังพื้นธรณี
        แสนยินดีมีพระขรรค์เทพสรรค์มา

         ๏ อยากประพาสหิมพานต์อันลึกล้ำ
        เคยยินคำบอกเล่าเพียงเขาว่า
        อัศจรรย์พันลึกพฤกษ์พนา
        นานนักหนาหมายเที่ยวเล่นเย็นฤทัย

        ๏ ยิ่งได้ชวนนวลฉวีท่องชี้ชม
        คงสุขสมยิ่งนักจักหาไหน
        ขอเหินฟ้าถลาล่องท่องแดนไกล
        ชมพงไพรคล้ายวิหกผกนภา

        ๏ จึงชวน “พินทุมดี” ศรีสมร
        คเนจรชมมฤคพรรณพฤกษา
        เลิศวิไลในวนหิมวา
        พอปรีดาค่อยนิวัตรัฐบุรินทร์

        ๏ สองตกลงปลงจิตลิขิตสาส์น
        ทูลภูบาลลาเดินทางดั่งถวิล
        เล่าความหลังตั้งแต่มาจากธานินทร์
        หมดทั้งสิ้นจนพบพิทยาธร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, กันยายน, 2561, 04:03:52 PM

-๖๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ให้พระขรรค์อันเรืองเดชวิเศษนัก
         สามารถจักเหินเมฆาถลาร่อน
         ขอทูลลาครานี้ไปไกลนคร
         ชมดงดอนค่อยคืนหลังยังเวียงชัย

         ๏ แล้วให้หมู่เสนามหาอำมาตย์
         ยุรยาตรคืนวังลำพังได้
         ทรงรับสั่ง “เราทั้งสองจักท่องไพร”
         ปวงข้าไททูลถวายพระพรลา

         ๏  สักพักหนึ่งดึงชายาเข้ามากอด
         พระกรสอดบั้นพระองค์มั่นคงท่า
         แล้วชูพระขรรค์ชัยโดยไม่ช้า
         ลอยล่องฟ้าลิ่วไปได้ดั่งจินต์

         ๏ ข้ามขุนเขาโขดเขินเนินพนัส
         ชมรกชัฏ โอฆะ กระแสสินธุ์
         ดั่งใจปองว่องไวไกลธานินทร์
         ลงสู่ดินหิมพานต์โอฬารอรัญ

         ๏ ชมบรรดาวารีที่สวยใส
         มองลงไปถึงท้องน้ำงามเฉิดฉัน
         น่าชื่นชูหมู่มัจฉานานาพันธุ์
         เห็นเวียนว่ายเล่นไล่กันล้วนเพลินแล



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21, กันยายน, 2561, 04:06:02 PM
-๗๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ ปลาเกต กา กริม กราย แน่นสายน้ำ
        ปลากดดำกบดานธารกระแส
        ปลากระทิง หลด ไหล ไน ตุ๊กแก
        ปลากระแห กระโห้ ชะโด  พลวง

        ๏ ปลาฉลาด เทพา ปลาเนื้ออ่อน
        ถูกปลาช่อนไล่ล่าน่าเป็นห่วง
        ปลาเค้า ดุก มัดมีสีด่างดวง
        บึกใหญ่กว่าปลาทั้งปวงไร้เทียมทัน

        ๏ ปลาซิว สร้อยลอยผิวน้ำตามเป็นฝูง
        หางนกยูง  ตะเพียนมากหลากสีสัน
        กริม ตะกรับ เทโพ  ม้า ปลานวลจันทร์
        อีกส่วนนั้นหลบเร้นในหมู่ใบบัง  

           ๏ แนวพนาป่าอุดมสมบูรณ์สัตว์
        สารพัด  แรด ช้าง กวาง ละมั่ง
        สิงโต เสือกินเนื้อผู้อยู่ลำพัง
        สัตว์ใหญ่น้อยคอยระวังเตลิดไกล

        ๏ พวกกินพืชสัมพันธ์กันใกล้ชิด
        มองเป็นมิตรรวมหมู่อยู่กันได้
        เหล่าลิง ค่าง บ่างโหนบนต้นไม้
        กระรอก กระแต ไก่ นางอาย ชะนี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, กันยายน, 2561, 03:32:10 PM
-๗๑-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ มากหลายหมู่อยู่อย่างมิตรไม่คิดล่า
         เก้ง ควายป่า ตัวนิ่มขด ชะมด หมี
         ตุ่น  กระต่าย  กระซู่ เม่น กูปรี
         อีกมากที่เร้นกายอยู่ไกลเกิน

          ๏ ยามชมไพรไปเจอทางก้าวย่างยาก  
         เมื่อลำบากย่างกรายใช้เหาะเหิน
         ลอยเวหาฟ้ากว้างพลางมองเพลิน
         ข้ามเขาเขินเนินผาสารพัน

           ๏ แล้วแวะลงสรงสระอโนดาต
         แลพิลาสละลานธารสวรรค์
         มากจงกล อุบล ปัทม์ สัตตบรรณ
         อัศจรรย์ปานดลด้วยมนตรา  

         ๏ น้ำสะอาดเย็นใสหนึ่งในโลก
         ท้องธารโบกดินและหินปิ่นคุณค่า
         โอบล้อมอยู่ด้วยยอดภูมหึมา
         อัศจรรย์ทั้งนั้นห้านคินทร

         ๏ แสงรพีคีรีป้องยากส่องถึง
         นับเป็นหนึ่งร่มรื่นนักน่าพักผ่อน
         นาคราช เทวินทร์ ยักษ์ กินนร
         ใช้สาครนี้ลงสรงกายา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, กันยายน, 2561, 03:39:56 PM
-๗๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



            ๏ จากนั้นสู่หมู่พนมชมทิวทัศน์
         แม้เหล่าสัตว์ร่วมพันธุ์พงศ์สืบวงศา
         แต่ต่างถิ่นดินแดนธรรมดา
         ดูแปลกตาสีสันแปรผันไป

          ๏ บริบทงดงามตามธรรมชาติ
         แปลกประหลาดแต่จริงและยิ่งใหญ่
         ทั้งพรรณพฤกษ์ มฤคา ผกาไพร
         ดูทางใดจำเริญเพลินอุรา

         ๏ บนเนินไพรมองได้เด่นเห็นถนัด
         สารพัด ม้า ช้างกลางทุ่งหญ้า
         เหล่าเก้ง กวาง ต่างพันธุ์กันนานา
         พวกที่เริงเหลิงนภาทิชากร

         ๏ กลางธารไหลเวียนว่ายอยู่หมู่มัศยา
         โพระดก กระโงก กาถลาร่อน
         ดูหลายหลากปักษาพนาดร
         กลุ่มจับปลากลางสาครบินว่อนวน

         ๏ พวกกินผลพฤกษาผลาหาร
         เกาะกิ่งก้านโยกย้ายอยู่ปลายต้น
         เป็นพ่อแม่คอยแลลูกวัยซุกซน
         คละปะปนพวกลิงค่างบ่างชะนี



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22, กันยายน, 2561, 03:43:59 PM
-๗๓-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ แล้วดำเนินเหินลมชมบรรพต
          เหนือกำหนดยอดรายกลางไพรศรี
          บางปลายล่วงทะลวงไปในเมฆี
          เนินคีรีมีปราสาทราชวัง

          ๏ รู้ไกรลาสนิวาสสถานอันกว้างใหญ่
          การลงไปจนถึงมิพึงหวัง
          วงศ์กินนรแต่ก่อนผู้อยู่ลำพัง
          ถือศักดิ์ดังเทวัญอันเรืองไกร

           ๏ มิมีความสัมพันธ์กันมาก่อน
          เข้านครเหมือนล่วงล้ำหางามไม่
          พึงควรเพียงแต่ชมพนมไพร
          จึงตัดใจวนกลับหลังยังหิมวา

          ๏  ข้ามนิเวศเขตห้าร้อยสิงขร
          ศิขรินนคินทรซ้อนแนวผา
          ภูพนมบรรพตงดงามตา
          พบคูหาวิจิตรพิสดาร

          ๏ ผนัง เพดานมีมณีดาด
          พื้นปูลาดด้วยจินดามหาศาล
          ดั่งทิพย์ท้องพระโรงโล่งโอฬาร
          กลางสถานมีพระแท่นไพฑูรย์ทอง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, กันยายน, 2561, 04:12:22 PM

-๗๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ สองพระองค์ลงพักอิริยาบถ
        ลมโชยชื่นรื่นรสหมดจิตหมอง
        ทอดบรรทมชมเพดานอันรังรอง
        แล้วทั้งสองม่อยหลับประทับทรวง

        ๏ ครานั้นมีพิทยาธรตนหนึ่ง
        ผ่านมาถึงสถานอันใหญ่หลวง
        ไม่นานนักเคยพักนั่งเหมือนรังรวง  
        อยากจะทวงพระแท่นที่บรรทม

        ๏ แลเห็นพระขรรค์วางข้างหัตถา
        ริษยาจะยื้อแย่งแกล้งให้สม
        ลักพระขรรค์พลันเหินฟ้าด้วยอาคม
        ลอยตามลมจากไปมิใยดี

        ๏ “สมุทรโฆษ” ตื่นองค์ทรงไขว่คว้า
        ข้างกายาพระขรรค์ไม่อยู่ในที่
        ต้องลุกขึ้นตื่นฤทัยไห้โศกี
        เหมือนชีวีถูกทิ้งขว้างกลางพงไพร

        ๏ แม้นหวนคืนผืนดงเหมือนหลงป่า
        จักฟันฝ่าก้าวย่างหนทางไหน
        ต้องลำบากตรากตรำย่ำย่างไป
        พนาลีมากมีภัยสารพัด


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, กันยายน, 2561, 04:14:47 PM
-๗๕-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ เรามาไกลเกินกว่าหาทางกลับ
          แสนลึกลับครรลองล้วนข้องขัด
          สุดจะคิดจำทิศาพานิวัต
          ก้าวเลาะลัดดั้นด้นไปอย่างไรกัน

          ๏ ในครานั้น “นางพินทุมดี”
          เห็นพักตร์พระสวามีสีเปลี่ยนผัน
          จึงสอบถามความเป็นมาปัญหานั้น
          พระเผยคำจำนรรจ์ที่พรั่นพรึง

          ๏ “เราเหินฟ้ามาไกลไม่ยั้งคิด
          ลืมพินิจระยะทางย่างกลับถึง
          มีพระขรรค์พานเริงใจไม่คำนึง
          ฉะนั้นจึงเหาะมาห่างธานินทร์

          ๏ ยามสนิทนิทราในครานี้
          อาจเจ้าที่เขาป่ารักษาถิ่น
          เกิดขัดเคืองเรื่องใดไม่ซึ้งจินต์
          แท้มิหมิ่นทั้งปวงที่ล่วงล้ำ

         ๏ ชิงพระขรรค์อันเหมือนว่าพาหนะ
          เกิดภาวะชีวีที่ตกต่ำ
          ให้ระหกระเหินเดินตามกรรม
          คงชอกช้ำเกินจักรักษ์ชีวิน


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24, กันยายน, 2561, 04:16:40 PM
-๗๖-
สมุทรโฆษคำกลอน


           ๏ พี่แสนห่วง “พินทุมดี” แท้
        ชวนขวัญแม่มาจมปลักศักดิ์สูญสิ้น
        แต่เกิดมามิน่าเคยเลยเดินดิน
        สุดถวิลให้ย่ำย่างกลางพนา

        ๏ โอ้อกพี่นี้ก่อนไรไม่เคยคิด
        จะมีฤทธิ์เหาะเหินเดินเวหา
        ครั้นเมื่อได้พระขรรค์ปานเทวา
        ก็หลงฟ้าปลาบปลื้มลืมธรณี

        ๏ เมื่อหวนคิดชีวิตคนบนโลกหล้า
        เหลิงยศถาบุญหนักสูงศักดิ์ศรี
        แต่มิพ้นคนเดินดินอยู่ดี
        เมื่อถึงทีตกต่ำจึงช้ำใจ

         ๏ อันอำนาจวาสนาหาคงมั่น
        เหมือนหลับฝันตื่นมีชีวิตใหม่
        เอกสิทธิ์ฤทธามาหายไป
        กลับอยู่ในภาวะธรรมดา”

        ๏ “พินทุมดี” ยินความตามที่ห่วง
        สะท้านทรวงแต่ทำใจให้แกร่งกล้า
        แล้วเฉลยเอ่ยตอบปลอบวาจา
       “ขอพี่อย่าห่วงใยให้กังวล



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 26, กันยายน, 2561, 12:04:18 PM
-๗๗-
ธนุ เสนสิงห์



             ๏ อยู่แดนดินถิ่นใดไม่สำคัญ
          สถานะจะแปรผันมิมีผล
          ขอเพียงมีพี่กับน้องครองกมล
          จะทุกข์ทนเพียงไหนไม่นำพา”

           ๏  “สมุทรโฆษ” ยินคำพร่ำพจี
         ชื่นฤดีขึ้นบ้างพลางเอ่ยว่า
         “คงเป็นวิบากกรรมเคยทำมา
          ตกชะตาคราหลงกลางพงไพร
 
          ๏ พี่นำพามาทุกข์ยากลำบากแล้ว
         แม้นน้องแก้วพร้อมอยู่คู่ชิดใกล้
          เราร่วมกันสรรค์สร้างพลังใจ
          ฝ่าฟันไปจนได้ถึงซึ่งปลายทาง”
 
          ๏ สองพระองค์ทรงรำพึงคะนึงคิด
          จึงปลงจิตออกสาวเท้าย่ำย่าง
          แม้ความหวังยังเหมือนจะเลือนราง
          ชีพมิดับอับปางยังจำจร

          ๏ ความเหนื่อยยากลำบากกายมากมายนัก
          ค่ำลงพักกลางเถื่อนแถวแนวสิงขร
          เช้าขึ้นมาเดินหน้าไปในดงดอน
          แม้ร้าวรอนคงมุ่งมั่นหลายวันวาร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 26, กันยายน, 2561, 12:10:15 PM

-๗๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ สองพระวรกายลายด้วยแผล
        อนาถแท้พระฉวีสีดำกร้าน
        เมื่อยามหลงดงไพรไม่สราญ
        เหมือนเคยผ่านทุกสิ่งที่ชวนชี้ชม

        ๏ สองพระองค์ทรงมีรักได้พักพิง
        พอเอนอิงคลายทุกข์ค่อยสุขสม
        ความระกำมินำพาเป็นอารมณ์
        ถึงกายตรมข่มกมลทนตรากตรำ

        ๏ ออกเดินทางย่างไปโดยไม่ท้อ
        มิรีรอสู้ทนเช้าจนค่ำ
        เมื่อถึงคราอาภัพยอมรับกรรม
        มิเพ้อพร่ำร่ำไรข่มใจตน

        ๏ อันวนหิมพานต์ไพศาลแสน
        ผิข้ามแดนด้วยเดชะพระกุศล
        ดุจดังเทพเทวัญบันดาลดล
        พบสายชลล่องไหลในพนา

        ๏ เห็นเคว้งคว้างกลางสาครเป็นขอนไม้
        คิดขึ้นได้ “สมุทรโฆษ” กระโดดหา
        นำเถาวัลย์ผูกพันไว้ชายคงคา
        ได้เหมือนแม้นแทนนาวาพากายจร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 26, กันยายน, 2561, 12:13:11 PM

-๗๙-
ธนุ เสนสิงห์


            ๏ แล้วออกหาผลาหารใกล้ธารนั้น
          มามากครันกองไว้กลางไม้ขอน
          สองกระบอกกรอกน้ำใสในสาคร
          เก็บไว้ก่อนเผื่อภายหน้าหาไม่มี

            ๏ ควรเตรียมการกันไว้ไม่ประมาท
          ด้วยสุดคาดหมายใดในทุกที่
          ชวนกันนอนเกาะขอนไม้ได้มั่นดี
          ปล่อยเชือกให้สายวารีพารี่ไป

          ๏ วันหนึ่งเพลียเสียพลังกันทั้งสอง
          สายน้ำล่องตามลำดับก็หลับใหล
          มินำพาเวลาผ่านนานเท่าใด
          ตื่นขึ้นในสมุทรสุดคะนึง

          ๏ เกิดพายุใหญ่มาฟ้าพยับ
          เพิ่มระดับวาตะเพชรหึง
          เกลียวคลื่นซัดตัดไม้คล้ายฉุดดึง
          สักพักหนึ่งฟัดฟาดจนขาดกลาง

           ๏ แยกทั้งสองล่องไปในสายสินธุ์
          อกพังภินท์โหยหาเมื่อฟ้าสาง
          เฝ้าร้องร่ำโอ้กรรมใดให้อับปาง
          โดยอ้างว้างเดียวดายกลางสายชล


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 28, กันยายน, 2561, 09:01:42 AM
-๘๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ “พินทุมดี” รำพัน “การจำพราก
        ชีพฝังฝากอยู่หรือดับกับกุศล
        ได้พบกันต่อวันใดหรือไกลพ้น
        ดวงกมลสุดมาดหมายให้เป็นจริง

        ๏ ความรักเอ๋ยเคยสุขแสนแม้นสวรรค์
        เมื่อยามพรากจากกันพลันโศกยิ่ง
        เคยฝากคำพร่ำพลอดมิทอดทิ้ง
        โอ้ทุกสิ่งผันแปรมิแน่นอน
 
        ๏ ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มากยามพรากรัก
        ห่วงยิ่งนักเป็นหรือตายสุดถ่ายถอน
        เหมือนโนรีที่ไร้รังเซซังจร
        อาลัยหาอาวรณ์ทุกวารวัน

         ๏ ต้องปล่อยตามชะตาฟ้าลิขิต
        มิมีสิทธ์ไขว่คว้ามาดังฝัน
        ร้องร่ำไปใครยินคำเพ้อรำพัน
        เจ็บมหันต์..มั่นใจรักไม่รวนเร

        ๏ ด้วยบุญดลกุศลชูให้อยู่ยั้ง
        เกิดพลังลมผลักคลื่นหักเห
       “พินทุมดี” ได้ขึ้นยังฝั่งทะเล
        เดินซวนเซออกหาน้ำท่ากิน








 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 28, กันยายน, 2561, 09:03:22 AM
 
-๘๑-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ เห็นอาหารกินกันตายไม่เลือกสรร
         แค่ชีวันอยู่ต่อไปไม่สูญสิ้น
         พอเริ่มมีพลังแรงแห่งชีวิน
         จึงถวิลจะมุ่งไปในชุมชน

         ๏ หวั่นอุรากระทาชายหมายเชิงชู้
         หรือพบหมู่กักขฬะอกุศล
         จึงคลุกคลีธุลีดินสิ้นโสภณ
         ประดุจคนจัณฑาลซมซานไป

         ๏ เพื่อให้รู้เป็นผู้ไม่ใฝ่โลกีย์
         จึงบวชชีพราหมณ์สิ้นจินต์สงสัย
         มิหันมองจ้องกายชายใดใด
         ค่อยครรไลเทวษล้ำตามมรรคา

         ๏ เข้าสู่ “เมืองมัทราช” มิคาดหมาย
         พบตายายใจดีมีปุจฉา
        “โอ้แม่คุณบุญน้อยต้อยชะตา
         ไฉนมาเร่ร่อนจรเดียวดาย

         ๏ กิริยาท่าทีผู้ดีแท้
         ใครทำแม่ช้ำชีวันขวัญสลาย
         ดูดุ่มเดินเหมือนดังซังกะตาย
         อย่าเขินอายยายอยากช่วยเอื้ออวยกัน”
  







 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 28, กันยายน, 2561, 09:05:01 AM
 
-๘๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



           ๏ ครั้นเมื่อยินจึง “พินทุมดี”
        รับไมตรีจากยายดังหมายมั่น
        ความห่วงใยจากสายตาส่งมานั้น
        ชวนตื้นตันพลันดำรัสตามสัจจริง
    
          ๏ ว่าพลัดพรากจากพระสวามี
        ร้าวชีวีรันทดสลดยิ่ง
        สองตายายได้ชวนชักไปพักพิง
        พออุ่นอิงอาศัยในเรือนชาน

         ๏ จึง “พินทุมดี” มีจิตหมาย
        ขอตั้งหลักพักกายบ้านยายท่าน
        สวามีคงตามมามิช้านาน
        เดินทางผ่านคาดการณ์ว่าพบหน้ากัน

        ๏ คิดหาทางอย่างไรให้เป็นผล
        พบทรงพลดังใจที่ใฝ่ฝัน
        นึกขึ้นได้ใช้ธำมรงค์วงสำคัญ
        มอบยายพลันวานไปขายในพารา

        ๏ ยายมุ่งบ้านท่านโภคีเศรษฐีใหญ่
        ที่ใครใครยอมรับนับถือว่า…
        เป็นคนซื่อเชื่อถือได้การขายค้า
        เมื่อพบหน้าปราศรัยด้วยไมตรี


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, ตุลาคม, 2561, 12:55:18 PM

-๘๓-
ธนุ เสนสิงห์


            ๏ ยายจึงส่งธำมรงค์วงงามให้
          พลันก็ได้ยินอุทานท่านเศรษฐี
         “ช่างเลิศล้ำค่าคำนวณควรบุรี
          ฉันมิมีทรัพย์พอให้ต่อรอง

           ๏ จักขอนำพาไปตามใจหวัง
          พบขุนคลังวังในไม่ขัดข้อง
          ประเมินค่าราคาเน้นเป็นเงินทอง
          คงสมปองที่ตั้งความหวังไว้”

          ๏ เศรษฐีนำยายไปในวังหลวง
          กิจทั้งปวงช่วยจัดการประสานให้
          ด้วยเป็นคนมิจนแท้แม้น้ำใจ
          สิ่งช่วยได้เอื้ออวยด้วยยินดี  

          ๏ ครั้นเมื่อพบขุนคลังดังมั่นหมาย
          จึงบอกขายธำมรงค์สูงส่งศรี
          พินิจดูรู้ว่าค่าเทียมธานี
          เอ่ยวจีขอให้แจ้งแหล่งที่มา

          ๏ ฟังยายว่าน่าตั้งใจไม่เปิดเผย
          จึงมิเอ่ยย้ำซักจนนักหนา
          เตรียมแลกเปลี่ยนเหรียญหิรัญ กาญจนา
          ตามอัตรานิยมสมดุลกัน


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, ตุลาคม, 2561, 12:57:53 PM

-๘๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ มณีนี้เป็นหนึ่งในธรณินทร์
        พิศุทธิ์สิ้นไร้ราคีเลิศสีสัน
        ประกายแสงแรงกล้าท้าตะวัน
        เชื่อแน่ว่าราชันท่านโปรดปราน

        ๏ ด้วยมากค่ากว่าในคลังมีทั้งหมด
        เหนือกำหนดมูลค่ามหาศาล
        เมื่อตีค่าราคาของเป็นกองกาญจน์
        ได้ประมาณทองเต็มร้อยเล่มเกวียน

          ๏ ขุนคลังให้ฝ่ายคุ้มภัยนำไปส่ง
        ตามจำนง “พินทุมดี” มิผันเปลี่ยน
        ระดมช่างสร้างมณฑลทำมณเฑียร
        มองระเมียรเด่นศิลป์ในดินแดน

        ๏ หน้าสร้างโถงเป็นโรงทานอาคารคู่
        เพื่อเลี้ยงผู้ที่จนยากลำบากแสน
        ทั้งพราหมณ์อันสัญจรไปในแว่นแคว้น
        ผู้ขาดแคลนมอบทุนให้ไปสร้างตน

        ๏ โรงหนึ่งให้อาหารทานอิ่มท้อง
        โรงที่สองให้ทรัพย์พอไปก่อผล
        สถานที่นี้หมายให้ทุกคน
        ได้พักยลภาพศิลป์จินตนา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 01, ตุลาคม, 2561, 12:59:37 PM
-๘๕-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ แล้วจ้างหมู่ผู้ช่วยงานการทั้งหลาย
         แบ่งเป็นฝ่ายหน้าที่มีถ้วนหน้า
         ช่างประดิษฐ์วิจิตรศิลป์ดั่งจินดา
         รายรอบฝาผนังห้องชวนต้องใจ
 
         ๏ ศาลาสองปองหมายให้รอท่า
         มีเวลาชมภาพศิลป์ซึ้งจินต์ได้
         ด้วยลำดับรับทุนรอนก่อนให้ไป
         ต้องซักไซ้เห็นความหวังตั้งใจจริง

          ๏ เพราะว่าคนยากจนนั้นต่างกันอยู่
         หนึ่งคือผู้มิพยายามทำสักสิ่ง
         ชีวิตอยู่อย่างผู้ขอรอพึ่งพิง
         ถึงละทิ้งความรักศักดิ์ศรีตน

          ๏ หมู่สองนั้นหมั่นเพียรและเรียนรู้
         ทั้งต่อสู้การงานด้านกุศล
         ช่องทางที่มีไม่มากจึงยากจน
         ยังอดทนมุ่งมั่นสรรค์ความดี

          ๏ พวกหนึ่งนั้นทานอิ่มท้องก็ผ่องใส
         ด้วยมิใฝ่ฝันเห็นเป็นเศรษฐี
         อยู่วันวันแบบปล่อยวางสร้างชีวี
         ประเภทนี้ให้ไปเพียงโภคภัณฑ์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, ตุลาคม, 2561, 08:15:38 AM
-๘๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ พวกสองปองทุนรอนสักก้อนหนึ่ง
        เพื่อก้าวถึงชีวีที่ใฝ่ฝัน
        ทุนต่อทุนหนุนเนื่องไปไม่ตีบตัน
        ถึงวันนั้นคนทั้งหลายได้พึ่งพิง

        ๏ “พินทุมดี” มีทุกอย่างสมดังคิด
        ศิลป์วิจิตรสำเร็จเสร็จทุกสิ่ง
        จึงเริ่มงานแจกทานไปไม่ประวิง
        คนรับทานนานวันยิ่งทบทวี

        ๏ ชนนิยมชมศิลป์จินตนิยาย
        มองความหมายบันเทิงใจไม่หมองศรี
        แม้เล่าความตามอรรถคดี
        จริงตามที่ชีวันผันผ่านมา

        ๏ จากราตรีที่เทพสรรค์การอุ้มสม
        ถึงพระแท่นบรรทมแสนหรรษา
        ผ่านวาระอภิเษกสุขอุรา
        จนถึงคราจำเป็นต้องท่องอรัญ

        ๏ พิทยาธรช้ำถูกทำร้าย
        ทูลถวายสิ่งประเสริฐเลิศพระขรรค์
        แล้วเหินลมชมวนหิมวันต์
        จนชะตามาพลิกผันพลันเดินไพร








 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, ตุลาคม, 2561, 08:18:10 AM
 
-๘๗-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ครั้นเมื่อผ่านธารสายเกาะไม้ขอน
         จากดงดอนสู่โอฆะทะเลใหญ่
         มีพายุคลื่นแรงเหมือนแกล้งไซร้
         ซัดขอนไม้ขาดกลางจำร้างกัน

         ๏ เป็นคดีชีวิตลิขิตไว้
         มิรู้นัยที่มาว่าเพ้อฝัน
         ทุกทิวาให้อาหาร ทาน สารพัน
         ผู้หมายมั่นทุนรอนผ่อนยากจน
  
         ๏ สั่งทาสีมีความสำคัญว่า
        “ผู้ที่มาดูภาพเรื่องแต่เบื้องต้น
         พินิจแน่แลท่าทีดีทุกคน
         ก่อนจะพ้นจากลามีอารมณ์

         ๏ พลอยแช่มชื่นรื่นอุราหรือว่าเศร้า
         แม้นใครเขามีลีลาว่าขื่นขม
         แจ้งข่าวไวเพื่อให้เข้ามาดูชม
         เป็นเงื่อนปมที่เน้นย้ำสำคัญนัก”

        ๏ ตั้งแต่นั้นโรงทานนี้มีผู้ผ่าน
         ยิ่งเนิ่นนานมากล้นชนรู้จัก
         คนห่างเหเคหาได้มาพัก
         ส่วนมากมักเห็นภาพซาบซึ้งใจ


 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, ตุลาคม, 2561, 08:20:04 AM
 
-๘๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เหมือนยลยินศิลปะประโลมโลก
        จักทุกข์โศกตามจินดาก็หาไม่
       “พินทุมดี” มิมีท้อรอต่อไป
        คงมั่นในรักศรัทธาไม่ราร้าง

        ๏ ย้อนภาวะ“สมุทรโฆษ”อยู่โดดเดี่ยว
        ใจห่อเหี่ยวรู้เอกาเมื่อฟ้าสาง
        ชะเง้อชะแง้แลทางไหนใจอ้างว้าง
        ขอบน้ำกว้างไกลเหมือนเดือนตะวัน

          ๏ อกวิโยคโชคชะตามาพลัดพราก
        เมื่อจำจาก “พินทุมดี” มีโศกศัลย์
        ลอยสาครนอนละเมอเพ้อรำพัน
        “กรรมใดกันกลั่นแกล้งรุนแรงเกิน

          ๏ ตั้งใจมั่นต่อกันมาว่าชาตินี้
        จักมิมีเริดร้างหรือห่างเหิน
        โชคชะตามาแยกไกลให้เผชิญ
        บนทางเดินที่เป็นตายยังไม่รู้

        ๏ เห็นแต่น้ำกับฟ้าน่าท้อแท้
        ฟากฝั่งแลห่างหายใจหดหู่
        อยากจะแปลงกายาเป็นปลาปู
        แหวกธาราหาพธูคู่ชีวัน


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, ตุลาคม, 2561, 09:11:16 AM

-๘๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ชีพน้อยน้อยลอยล่องเศร้าหมองศรี
         ฝากชีวีด้วยเดชะแห่งสวรรค์
         แม้นยามนี้มีน้องครองสัมพันธ์
         คงมิหวั่นพรั่นพรึงคะนึงครวญ

        ๏ รักจำพรากจากรักสุดหักจิต
         รำพึงคิดหวั่นไหวฤทัยป่วน
         ถ้ายังอยู่คู่คนดีจะชี้ชวน
         แม่เนื้อนวลล่องชลเล่นเช่นโลมา”

          ๏ เฝ้าละเมอเพ้อพร่ำคร่ำครวญอยู่
         แสนรันทดอดสูอาลัยหา
         ตายหรือรอดห่วงแต่ยอดพระชายา
        “อนิจจาแม่พลอยต้องหมองจาบัลย์

           ๏ ร่วมฤดีพี่กับน้องหมายครองสุข
         ตกชะตามาทุกข์ยิ่งโศกศัลย์
         ถึงเวรกรรมจำพรากต้องจากกัน
         ขอรักมั่นตราบที่ยังชีวา”
 
         ๏ แล้วเทพีที่รักษาชลาศัย
         พิมพ์ประไพนาม “มณีเมขลา”
         เหาะเวหนวนสำรวจตรวจธารา
         สายนัยนาเห็น “สมุทรโฆษ”นั้น


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, ตุลาคม, 2561, 09:14:14 AM
-๙๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ เฝ้าแหวกว่ายไม่ยอมแพ้กระแสสินธุ์  
       ห่างไกลแสนจากแผ่นดินถิ่นเขตขัณฑ์
       รู้บารมีเป็นที่อเนกอนันต์
       “สมุทรโฆษ” นามโจษจันลือขานไกล

        ๏ วันประสูติสมุทรยังคลั่งเหลือหลาย
       จะมาตายขายชื่อหรือไฉน
       ควรชูช่วยอวยชีวันหรือฉันใด
       ยากปลงใจจึงนำความถามอินทรา

       ๏ ครานั้นองค์อัมรินทร์ปิ่นเทเวศ
       ทิพยเนตรส่องดูก็รู้ว่า…
      “สมุทรโฆษ” ชดใช้กรรมเคยทำมา
       ถึงเวลาพ้นเคราะห์จำเพาะกาล

       ๏  ควรเวลาคลาไคลไปชูช่วย
       มิให้ม้วยลับล่วงห้วงละหาร
      “เมขลา” รับบัญชามิช้านาน
       เหาะทะยานดิ่งตรงลงชลธี

       ๏ “สมุทรโฆษ” ซมซบสลบไสล
       โอบอุ้มไว้กระทำตามหน้าที่
       เหาะโดยไวไปยังฝั่งธานี
       หาวารีจืดได้หยอดให้กิน




หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05, ตุลาคม, 2561, 09:16:24 AM
-๙๑-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ ข้างฝ่ายองค์อินทราในครานั้น
         จักษุพลันแลเล็งเพ่งกสิณ
         หาพิทยาธรที่มีราคิน
         ทั่วแดนดินมินานพบพานกาย

         ๏ ในพริบตาอินทรท่านเสด็จถึง
         ถมึงทึงเข้าหาว่าเสียหาย
        “เจ้าเป็นผู้รู้วิชามิน่าร้าย
         ล่วงทำลายทั้งไร้สิทธิ์คิดเคืองแค้น

         ๏ ขโมยพระขรรค์ชัยเขาใช้อยู่
         เกิดอดสูแก่เจ้าของหมองเหลือแสน
         ดุจพรากแม่ลูกอ่อนไปก็ไม่แม้น
         เขาต้องเดินดินแดนอันแสนไกล

         ๏ เจ้าทำเล่นเห็นสนุกแต่เพียงนิด
         จะมีคิดเมตตาก็หาไม่
         ถ้ารู้ตัวว่าชั่วช้าจงพาไป
         เอาคืนให้เขาอย่าถึงกึ่งชั่วยาม”
 
        ๏ พิทยาธรอ่อนใจหวั่นไหวยิ่ง
         กลัวเสียจริงโทษทัณฑ์พลันไต่ถาม
        “เขาดั้นด้นอยู่หนใดไม่รู้ความ
         จะติดตามคืนพระขรรค์ให้ทันการณ์”



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, ตุลาคม, 2561, 06:35:11 AM
-๙๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ องค์อินทร์ชี้ทิศที่ไปสู่ชายฝั่ง
        มิรอรั้งกราบลาอินทราท่าน
        เหินเวหาฝ่าไปไม่เนิ่นนาน
        เมื่อพบพานคืนพระขรรค์ในทันที

        ๏ เห็น “สมุทรโฆษ” ซบสลบอยู่
        จึงรับรู้ว่าทุกข์ยากมากเหลือที่
        คงตะเกียกตะกายสายวารี
        กระยาหารนั้นมิมีเลี้ยงกายา

        ๏ เห็นดังนั้นพลันออกหาผลาผล
        เป็นเบื้องต้นพอได้ลิ้มชิมภักษา
        วางเอาไว้ใกล้พระขรรค์แล้ววันทา
        จิตจดจ่อขอขมาก่อนลาไกล

         ๏ ครั้น “สมุทรโฆษ” ฟื้นตื่นลืมตา
        รู้ตัวว่ามาขึ้นยังฝั่งกว้างใหญ่
        คงด้วยบุญบารมีที่ทำไว้
        แลเทพไท้เบื้องบนดลบันดาล

         ๏ เห็นพระขรรค์นั้นวางข้างกายด้วย
        ทั้งเอื้ออวยด้วยนานาผลาหาร
        เกิดนิยามความหวังกลางดวงมาน
        ทุกข์คงผ่านไปหนึ่งขั้นพอบรรเทา



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, ตุลาคม, 2561, 06:37:21 AM

-๙๓-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ เสวยผลไม้ใกล้องค์นั้น
          คิดได้พลัน “พินทุมดี” เล่า
          จักขึ้นฝั่งยังแดนใดในลำเนา
          หรือว่าเจ้าชีพวายกลางสายชล

          ๏ กิจสำคัญอันจะออกซอกซอนหา
          แม้นเหินฟ้าไปก็เห็นมิเป็นผล
          ควรจะถามความดูจากหมู่คน
          ต้องดั้นด้นให้ทั่วถิ่นทุกดินแดน

          ๏ มิเหมาะที่มีเครื่องทรงวงศ์กษัตริย์
          เที่ยวจรจัดผู้คนฉงนแสน
          เครื่องทรงนอกถอดออกมาผ้าคลุมแทน
          จึงเหมือนแม้นพราหมณ์อันรักสัญจร

          ๏ มิต้องหาอาหารชาวบ้านให้      
          ตอนกลางวันครรไลไม่หยุดหย่อน
          สืบเค้าลางนางกษัตริย์พลัดนคร
          ต้องเร่ร่อนตามหาสวามี

          ๏ ออกซอกซอนจรไปเทียวไต่ถาม
          ทุกเขตคามถามแต่แม่โฉมศรี
          กล่าวถึงรูปสมบัติกษัตรี
          จนผู้ที่ยินวาจาระอาใจ


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06, ตุลาคม, 2561, 06:39:24 AM

-๙๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



           ๏ ผู้ถามหาสารรูปซูบโซมาก
        เมื่อเอ่ยปากหามิ่งมิตรพิสมัย
        ยอดนารีที่บรรเจิดเลิศพิไล
        เหลือเชื่อได้ในคำพร่ำพรรณนา

        ๏ เพียงตอบพอขอไปทีมิมีจิต
        ที่จักคิดเป็นจริงจังเหมือนดังว่า
        มักบุ้ยใบ้บ่ายเบี่ยงเลี่ยงกายา
        บ้างคิดพ้นเป็นคนบ้านินทากัน

        ๏ จึงมิได้ความใดใครพบหน้า
        ผู้โฉมงามตามวาจาพรรณนานั่น
        แม้ซักถามพราหมณ์ทั้งหลายได้ยืนยัน
        หญิงผ่องพรรณมิเห็นมีวิถีใด

        ๏ ถึงจะถามความผู้ที่มีพบเห็น
       “พินทุมดี” ก็มิเป็นเช่นขานไข
        เพราะผิวพรรณจำแลงเปลี่ยนแปลงไป
        มิมีใครมองซึ้งถึงความงาม

        ๏ เมื่อทรงปลอมกายาเช่นทาสี
        ดังเพชรดีเปื้อนโคลนคนมองข้าม
        แลเมื่อละโสภีเป็นชีพราหมณ์
        เปลี่ยนรูปนามความนัยยากใครรู้



หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 07, ตุลาคม, 2561, 03:22:46 PM
-๙๕-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ คนเรามักมองพักตราผ้าสวมใส่
          เป็นฉันใดแล้วแยกจำแนกหมู่
          กิริยา วาจา ใจมิได้ดู
          บางคนหลู่ผู้ผิวกายไร้โสภา

           ๏ เขาจะดีมีคุณใดไม่เกิดผล
           เพราะเริ่มต้นก็หยามหมิ่นคนสิ้นค่า
           แยกเลว ดี ขี้เหร่ สวยด้วยสายตา
           เปื้อนธุลีตีตราคนราคิน

          ๏ พระบุตราพยายามตามมุ่งมั่น
          จรจรัลเรื่อยไปหลายท้องถิ่น
          จนล่วงเข้ามัทราชธานินทร์
          จึงได้ยินว่าถิ่นนี้มีโรงทาน

          ๏ จุนเจือให้ผู้ใดที่มีทุกข์ยาก
          แม้นอดอยากจาคะกระยาหาร
          ที่พึ่งพาบรรดาคนพิกลพิการ
          ผู้แรมรอนจรผ่านมีบ้านพัก

          ๏ “สมุทรโฆษ” ลิงโลดใจมุ่งไปหา
          เพื่อเล่าสู่ผู้ไปมาน่ารู้จัก
          โฉมฉิน “พินทุมดี” ที่แสนรัก
          คอยถามทักเรื่อยไปตามรายทาง


 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 07, ตุลาคม, 2561, 03:25:02 PM
 

-๙๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



         ๏ เมื่อมาถึงโรงทานดังมั่นหมาย
       คนมากมายเต็มในโถงใหญ่กว้าง
       แถวลำดับรับอาหารเดินผ่านพลาง
       แล้วตั้งวางกินกันโรงชั้นใน

        ๏ ที่อิ่มหนำสำราญกันทั้งหลาย
        เริ่มแยกย้ายร่วมอีกหมู่สู่โรงใหญ่
       เพื่อรับทรัพย์โภคภัณฑ์สิ่งอันใด
       ที่ตั้งใจขอรับสำหรับตน

        ๏ ขณะนั่งรอในโถงใหญ่นั้น
       กิจสำคัญมั่นไว้เพื่อหมายผล
       ผู้รับทานทั้งหลายยังได้ยล
       ภาพวาดบนผนังข้างศาลา

          ๏ “สมุทรโฆษ” ครานั้นพลันพินิจ
        มิทันคิดชมภาพศิลป์จินต์หรรษา
        เมื่อดูไปคล้ายชีวาตม์อาตมา
        จึงย้อนพิจารณาอย่างจริงจัง

        ๏ เริ่มแต่เทพอุ้มสมภิรมย์รัก
        สุขยิ่งนักเพียงราตรีที่สมหวัง
        แล้วความฝันพลันสลายไม่จีรัง
        ดวงจิตยังปองหมายมิคลายคลอน


 


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 07, ตุลาคม, 2561, 03:27:14 PM
 
-๙๗-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ พระบิดามาเห็นใจให้ประกาศ
          กษัตริย์ชาติมากหน้ามายกศร
          ผู้ยกผ่านการเสร็จสมสยมพร
          ได้ครองคู่ภูธรดั่งใจจินต์

           ๏ ออกเซ่นไหว้เทวาในป่าลึก
          ความรู้สึกชื่นชมสมถวิล
          พิทยาธรเจ็บมากจากเมฆินทร์
          ร่วงลงดินช่วยไว้ได้ขรรค์ชัย

           ๏ ด้วยเดชะพระขรรค์นั้นสูงค่า
           นำเหินฟ้าสู่แดนไกลใดก็ได้
           จึงชวนชมหิมพานต์อันพิไล
           เริงอยู่ในพนาวันนั้นเนานาน

            ๏ แสนตื่นตาสารพัดอัศจรรย์
          สัตว์ พฤกษ์พรรณนานาหาศาล
         สระเทโวอโนดาตพิลาสธาร  
         ปทุมมาลย์ดาษดื่นแสนรื่นรมย์

          ๏ ชมบรรพตกำหนดหมายถึงไกรลาส
          คีรีมาศนคราน่าสุขสม
          ปราสาทรายหลายหลากมากเกินชม
           ถลาลมกลับวนหิมพานต์


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 08:50:21 AM
-๙๘-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ มากมายยิ่งสิ่งล้วนชวนประพาส
        ธรรมชาติสรรค์ศิลป์ถิ่นสถาน
        ขุนคีรีที่สูงเยี่ยมเทียมวิมาน
        พิสดารทั่วไปในแดนดิน

        ๏ ชมพงไพรในมุมมองของปักษา
        เหินนภาเที่ยวไปได้ทุกถิ่น
        แสนเพลิดเพลินเนิ่นนานปานเทวินทร์
        ดั่งลืมดินมั่นนักในศักดา
 
         ๏ หิมพานต์อันพิไลท่องไปทั่ว
        มิคิดกลัวทางไกลในแดนป่า
        วันหนึ่งเพลินท่องไพรให้เหนื่อยล้า
        แวะคูหาหนึ่งนอนพอผ่อนคลาย

        ๏ เคลิ้มหลับไปไม่นานนักพักกลางวัน
        เมื่อตื่นมาครานั้นพระขรรค์หาย
        พลันหัวอกตระหนกล้นกระวนกระวาย
        เมื่อรู้ว่าต้องพากายเดินสายไพร

        ๏ อนิจจาชะตาผันฝันสลาย
        สุดมาดหมายกลับยังเวียงวังได้
        มิรู้ทิศรู้ทางย่างครรไล
        ก็จำเป็นจำไปเดินในดง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 08:52:21 AM
-๙๙-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ พบธารากลางป่าใหญ่น้ำไหลล่อง
          เราทั้งสองนั่งท่อนไม้คล้ายบุญส่ง
          ผ่านหลายวันเวลาน้ำพาลง
          สู่สมุทรสุดจำนงคะนึงคะเน

          ๏ ตกชะตาวาระทะเลบ้า
          คลื่น ลม ฟ้าผลักไสให้หักเห
          ไม้ขาดกลางร่างแยกไกลในทะเล
          ต้องว้าเหว่อ้างว้างกลางธารา

          ๏ เมื่อชายที่ฝากชีวามาไกลจาก
          การจำพรากทั้งแสนรักเศร้านักหนา
          ชีพยังรอดหรือวอดวายในคงคา
          อนิจจาความหวังช่างมืดมน

          ๏ สิ้นสติมิรู้นานสักปานไหน
          น้ำซัดให้ขึ้นฝั่งอย่างกุศล
          มิย่นย่อต่อเวรกรรมหรือจำนน
          จึงดั้นด้นตามหาสวามี

         ๏ แต่จะไปในฐานะขณะนั้น
          อาจผกผันปัญหาพาเสื่อมศรี
          ยามเดินเดี่ยวชายเกี้ยวพาเกิดราคี
          จึงบวชชีพราหมณ์ให้ไร้มัวมล


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 08:54:22 AM
-๑๐๐-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ เข้านครจรไปไต่ถามหา
        ภัสดาภูบดินทร์สิ้นทุกหน
        จากนั้นมาพบตายายใจดีล้น
        ให้พักตนร่วมเคหาตั้งตารอ

        ๏ ในที่สุด “สมุทรโฆษ” ถึงโอดไห้
        ดวงฤทัย“พินทุมดี” ของพี่หนอ
        ปากเพ้อพร่ำร่ำหาน้ำตาคลอ
        เกิดทุกข์ท้อเกินจักหักอาวรณ์

        ๏ ผ่านสักพักพนักงานแจกทานอยู่
        เมื่อรับรู้เช่นที่นายกล่าวไว้ก่อน
        เธอจึงได้รายงานนางอย่างรีบร้อน
        มีคนจรเห็นภาพวาดอนาถใจ

        ๏ “พินทุมดี” ชื่นชีวันพลันมาพบ
        เมื่อประสบกับพระองค์สิ้นสงสัย
        นำพาออกนอกโรงทานเข้าบ้านใน
        แล้วจึงได้ละเพศที่เป็นชีพราหมณ์

        ๏ และถวายเครื่องทรงพระภูษา
        เตรียมรอท่าอย่างดีไม่ผลีผลาม
        สองพระองค์ทรงคืนมาสง่างาม
        เมื่อสิ้นความที่กระทำการจำแลง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 08:56:49 AM
-๑๐๑-
ธนุ เสนสิงห์



           ๏ แสนตื้นตันพลันสองตระกองกอด
         แลพร่ำพลอดรำพันพร้อมกรรแสง
         กายพรากไกลไม่อาจผลักรักเปลี่ยนแปลง
         คงฤทธิ์แรงสวาทมิคลาดคลาย

        ๏ ผลัดกันเล่าเรื่องราวคราวพลัดพราก
         ความทุกข์ยากร้าวรานการณ์ทั้งหลาย
         คลื่นทะเลเหห่างแทบวางวาย
         รักมิกลายปรารถนามาพบกัน

        ๏ ด้วยบุญดลกุศลชูจึงอยู่ยั้ง
         ได้กลับคืนชมชื่นดังที่ใฝ่ฝัน
         สิ้นเคราะห์กรรมเสียทีหนอชีวัน
         ถึงกาลอันควรคืนหลังยังพารา

          ๏ ป่านฉะนี้ปิตุรงค์ มาตุราช
         ปวงพระญาติทั้งผองสองวงศา
         ที่อยู่หลังกังวลใจไปนานา
         ด้วยลับลามาไกลไร้ข่าวคราว        
  
        ๏ จักคืนถิ่น “พินทุมดี” มีบรรหาร
         ให้แม่บ้านเชิญยายตามาแล้วกล่าว
         ถึงความจริงทุกสิ่งสรรพ์อันยืดยาว
         ทั้งแจ้งข่าวที่ต้องพรากจากกันไกล


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 08:58:48 AM
-๑๐๒-
สมุทรโฆษคำกลอน



        ๏ “อันเงินทองของมีค่าคณานับ
        หมายนำกลับยังพาราก็หาไม่
        ขอแบ่งสรรปันกองสองส่วนไซร้
        กึ่งหนึ่งให้ยายมอบตอบแทนคุณ

        ๏ อีกกึ่งนั้นวานยายแจกจ่ายต่อ
        สิ่งที่ขอโปรดด้วยช่วยเกื้อหนุน
        ผู้ยากไร้จงได้เอื้อช่วยเจือจุน
        ร่วมสร้างบุญด้วยกันมิผันแปร”

        ๏ ยายรับปากฝากคำแล้วย้ำว่า
        “ขออาศัยไปประสายายตาแก่
        เพียงรับงานการเป็นผู้คอยดูแล
        ทรัพย์ทั้งหลายมิหมายแท้จักให้ทาน”

        ๏ ร่วมอนุโมทนาแล้วลาจาก
        เมื่อจบคำจำพรากจากถิ่นฐาน
        ครั้นลับตาคราไปไกลเรือนชาน
        สองพระองค์ทรงทะยานขึ้นเมฆี

        ๏ ลอยล่องลิ่วปลิวลมดั่งพรหมมาสตร์
        มิเคลื่อนคลาดจำนงตรงวิถี
        โดยเร็วพลันบรรลุถึงบุรี
        ขึ้นเฝ้า “สีหนรคุปต์” ราชัน


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11, ตุลาคม, 2561, 09:01:19 AM
-๑๐๓-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ ทั้งองค์พระราชา ราชินี
          ทรงยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
          ประกาศข่าวชาวพารามาร่วมกัน
          งานรับขวัญจัดยิ่งใหญ่ในนคร

          ๏ “สมุทรโฆษ - พินทุมดี” มีสุขสม
          รื่นอารมณ์สมอุราเหมือนคราก่อน
          นึกขึ้นได้ให้สัญญาว่าจะย้อน
          เมืองบิดร “พินทุทัต” ผลัดวันมา

          ๏ ทูลลา “สีหนรคุปต์” ท้าว
          ยินเสียงกล่าวคำเปรยเอ่ยขึ้นว่า..
          “อย่าไปนานควรแก่กาลคืนพารา
          ทำพิธีราชาภิเษกพลัน

          ๏ ด้วยบิดาชรามากอยากสละ
          ซึ่งราชสมบัติรัฐเขตขัณฑ์
          หมายกำหนดเป็นนักพรตในอรัญ
          ครองชีวันสงบวัยปลายชีวี”

          ๏ แล้วมีพระบัญชาเสนามาตย์
          จัดเตรียมราชยาตราสง่าศรี
          เพื่อเดินทางไปยัง “พรหมบุรี”
          ให้เป็นที่สมพระเกียรติเกริกไกร


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12, ตุลาคม, 2561, 12:57:10 PM
-๑๐๔-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ กองช้างศึกเคยฮึกหาญชาญณรงค์
        แต่งเครื่องทรงชูธงทิวปลิวไสว
        กองอัศวทหารผู้ชาญชัย
        แต่งยศใหญ่หมวกยอดพู่ดูโสภี

        ๏ เหล่าพลราบปราบริปูผู้เหี้ยมหาญ
        ประจำการโห่ร้องก้องวิถี
        ทั้งสองแถวแนวมรรคาประชาชี
        ร่วมยินดีส่งเสด็จถึงชายแดน

        ๏ ครั้นถึงเขต “พรหมบุรี” มีพหล
        เป็นกองพลเมื่อทราบความตามแห่แหน
        ประชาชีดีใจหาใดแม้น
        ชมบุญญาหนาแน่นถึงวังใน
 
         ๏ “ท้าวพินทุทัต - นางเทพยธิดา”
        ความห่วงหาเลือนหายกลายสดใส
        ตั้งตารอจนแทบท้อหฤทัย
        สองพระองค์ทรงเดินไพรไปนานครัน

         ๏ เมื่อเข้าเฝ้าเล่าความยามที่จาก
        ทนทุกข์ยากเดินทางกลางไพรสัณฑ์      
        บุญช่วยดลกุศลส่งคงชีวัน
        แม้ผกผันห่างหายหลายเพลา


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12, ตุลาคม, 2561, 01:04:23 PM
-๑๐๕-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ พระบิดร พระมารดามารับขวัญ
          ราชบุตรพร้อมกันพระสุณิสา
         “สิ้นเคราะห์โศกมีโชคชัยให้วัฒนา
          แต่วันนี้ถึงภายหน้าสถาวร

          ๏ จะให้มีพิธีราชาภิเษก
          เป็นงานเอกใหญ่กว่าที่มีมาก่อน
          ตั้งให้ลูกทั้งสองครองนคร
          เป็นมิ่งขวัญราษฎรสืบต่อไป”

           ๏ ครานั้น “สมุทรโฆษ - พินทุมดี”
          เมื่อทรงมีพระเมตตามิช้าได้
          กราบถวายพระบังคมราชาชัย
          รับหน้าที่อันมีในสันตติวงศ์

          ๏ “พินทุทัต” ออกหมายกำหนดการ
          ให้จัดงานพระราชพิธีที่ประสงค์
          เชิญพระญาติกามาทุกองค์
          เจตจำนงประจักษ์สักขีพยาน

          ๏ ทั้งราชาสหายหลายแว่นแคว้น
          ผู้ครองแดนใกล้ไกลอันไพศาล
          ลุวาระราชกุศลมงคลวาร
          ทำพิธีที่โอฬารกลางเวียงวัง


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 13, ตุลาคม, 2561, 08:35:53 AM
-๑๐๖-
สมุทรโฆษคำกลอน



          ๏ ราชาภิเษกสถาปนา
       “สมุทรโฆษ” เป็นราชาเหมือนใจหวัง
        สืบราชสกุลไปให้ยืนยัง
        ครองบัลลังก์สร้างพาราสถาพร

        ๏ “ลูกพานพบประสบการณ์เป็นฐานอยู่
        ที่เรียนรู้ถือครุอุทาหรณ์
        ไว้ปกครองป้องอาณาประชากร
        สิ้นเดือดร้อนกังวลพ้นทุกข์ภัย

        ๏ เป็นมิ่งขวัญปวงชนมณเฑียรรัตน์
        มงคลนามงามจรัสนิรัติศัย”
       “พินทุทัต” ตรัสอำนวยอวยพรชัย
        พร้อมทั้งได้ให้โอวาทโอกาสนั้น
    
        ๏ “สมุทรโฆษ”และ “พินทุมดี”
        ครองธานีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
        แต่มีห่วงล่วงกาลมินานวัน
        นึกถึงคำสำคัญก่อนวันมา

        ๏ “สีหนรคุปต์” สั่งเอาไว้
        อย่าอยู่ให้เนิ่นกาลนานนักหนา
        จึงย้อนคืนยัง “รมยพารา”
        ตามสัญญาว่าไว้ไม่นานวัน


หัวข้อ: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 13, ตุลาคม, 2561, 08:37:51 AM
-๑๐๗-
ธนุ เสนสิงห์



            ๏ จึง “สีหนรคุปต์” ท่านไท้
          ราชาภิเษกให้ครองไอศวรรย์
          สถาปนา “สมุทรโฆษราชัน”
          ครอง“รมยนคร” นั้นอีกหนึ่งเมือง

          ๏ ทรงเสด็จไป มามิอาธรรม์
          ยิ่งสร้างสรรค์สองเวียงชัยให้ฟูเฟื่อง
          องค์ราชาเมตตาธรรมงามประเทือง
          ชนลือเลื่องเชิดเดชะเกริกขจร
 
           
           ๏ “พระนางพินทุมดีราชินี”
          มั่นภักดีในองค์พระทรงศร
          คงจาคะสละทานชานบัญชร
          ทั้งสองพระนครตั้งโรงทาน

          ๏ ร่วมสร้างคุณบุญญาบารมี
          ยิ่งนานปีเกริกไกรแผ่ไพศาล
          ทรงครองราชย์โดยธรรมยิ่งยืนนาน
          จนถึงกาลสองพระองค์ทรงชรา

          ๏ เมื่อทั้งสองพระองค์สิ้นอายุขัย
          บำเพ็ญบารมีใหม่ในภพหน้า
          นิทานชาดกนี้วิสัชนา
          หมดกถาเพียงนี้โชคดีเอย