บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: Black Sword ที่ 11, พฤศจิกายน, 2561, 10:34:57 PM



หัวข้อ: ..-๐ น้ำนมสีแดง : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
เริ่มหัวข้อโดย: Black Sword ที่ 11, พฤศจิกายน, 2561, 10:34:57 PM
(https://image.ibb.co/cVTXHq/A-Plea-1a-blk-white-web.jpg) (https://imgbb.com/)
ขอบคุณรูปภาพจาก Internet


น้ำนมสีแดง

          แจ่มจันทร์เจ้าฉายแสงทอหน้าผาอาบสีเงินยวงอย่างวิเวกวังเวงจากฟากฟ้าพู้น  ประกายดาราร่วงรุ้งเรียงรายลงดั่งสายพิณพิเศษ  แม้มีหัตถ์ทิพย์แห่งความเป็นไปเอื้อมเลยจากเงื้อมผาขาว  ดีดสายพิณพิเศษนั้น  ก็จะเป็นลำนำซับซ้อนมิติภพชาติสะท้อนคลื่นกระแสกรรมไปหลายดาราจักร

          บรรยากาศสงบนิ่งชักชวนมวลอนุภาคแห่งเรณูหอมบุหงาลดามาลย์อันอ่อนหวานนั้น  ลอยล่องตรลบหอมลงตรงซอกหุบเหวลึก  ระหว่างโตรกชะโงกเงื้อมง้ำมีกระแสแควป่าคดเคี้ยวหลากไหลไปดั่งพญานาคราชร้ายพรายเกล็ดเหลือบสีกลางคืน  ประกายเกล็ดประดับด้วยแสงดาวระยับวับวาวเลื้อยแล้วสงบนิ่งเล่ห์หลับไหลอยู่ใต้แสงเสี้ยวเดือนทองคำ  คืออัจกลับแก้วของปฐพี

          ท่ามกลางป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัยใหญ่กว้างอ้างว้างนั้น  คลื่นแห่งเทือกขุนภูผาสลับซับซ้อน  เสียงหมาป่าเห่าหอนโหยหวนอยู่ที่เงื้อมผาหนึ่งซึ่งสูงเสียดแสงดาว  คลื่นเสียงหอนโหยหวนกระเพื่อมวง  กังวานไปจนเวิ้งเทือกเขาลำเนาไม้  ค่อยค่อยจางหายแผ่วเบาละลาย  ลงในละอองหมอกเมฆกลางดึกดื่น

          เสียงสะอื้นเบา ๆ  จากเงาของเจตภูติหนึ่งซึ่งเรือง ๆ  แสงสกาววาว  กำลังทักษิณาวัฏฏ์รอบเงื้อมผาสูง  บางรอบก็ห่างออกไป  บางรอบก็ใกล้เข้ามาเกือบถึงหน้าผานั้น  ประหนึ่งจะร้อยรัดไว้ด้วยอำนาจสายใยแห่งเสน่หาอาลัยไม่ขาดหาย

          เสียงสามหมาป่าเห่าหอนโหยหวน  เรียกหาแม่หมาป่าในดวงเดือน  แต่มันไม่สามารถมองเห็นเจตภูติ  คือดวงวิญญาณหนึ่งซึ่งไหว ๆ  ระยับแสงสีนิลในรูปแม่หมาป่า  เขี้ยวขาวราวแสงดาว  แววตาวาวราวเร่าร้อนด้วยเปลวไฟอันปรารถนามาไหม้หัวใจตัวเอง  ให้วอดวายดับสลายลงตรงซอกเงื้อมผาป่าชัฏนั้น

          ย้อนหลังระลึกไปถึงวาระหนึ่ง  ซึ่งรอนรอนแสงพระสุริยา  อ้างว้างกลางป่าใหญ่  โพล้เพล้ลงรำไรเริ่มสนธยา  แม่หมารีบลงมาตามไหล่เขา  กระทั่งถึงป่าโปร่ง  ตั้งใจจะหาอาหารไปฝากลูกน้อยทั้งสามชีวิต  ซึ่งรอคอยแม่อยู่ในโพรงใต้ซอกเงื้อมหินใหญ่ ณ หน้าผาสูงเสียดแสงดาว

          แต่ถึงคราวเคราะห์ร้าย  บังเอิญแม่หมาป่าพลาดพลั้งขาหลังข้างหนึ่งไปติดกับเหล็กของนายพรานไพรใจฉกรรจ์  นางอกสั่นขวัญหนีตกใจเป็นที่สุด  จึ่งในนาทีอันคับขันนั้น  นางตัดสินใจกัดขาตัวเองจนเข่าขาด  อิสระเสรีหนีไปได้  แต่เจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลตลอดทาง รีบวิ่งเซซังมาหาลูกน้อยในโพรงใต้แท่นหินใหญ่นั้น

          สามลูกหมาป่าดีใจ  รุมล้อมแม่หมา  ขออาหาร  วิ่งเวียนซ้ายเวียนขวา  รุมรอบมารดาด้วยสุดเสน่หาอาลัย  แม่หมาสุดที่จะเจ็บปวดโซเซ  เสียหลักล้มลงก็รีบกลับตัวอยู่ในท่าให้นมลูก  จ้องมองลูกแล้วสลดใจ  เสียงสั่นเครือบอกลูกหมาว่า  "ลูกเอ๋ย  คืนนี้แม่เหนื่อยเหลือเกินแล้ว  ยังหาเหยื่อไม่ได้เลย แต่แม่ยังมีน้ำนมสีแดงเหลืออยู่  ถนอมไว้ให้ลูกทั้งสามเป็นพิเศษ  แต่ต้องผลัดกันดูดดื่มทีละตัวตามลำดับ"

          ลูกหมาป่ายังไร้เดียงสา  ตามประสาสัตว์มันจึงดูดเลือดจากบาดแผลขาหลังตรงเข่าขาดนั้น  ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำนมพิเศษ  เหตุหิวจัดจึงดื่มจนอิ่มทั้งสามชีวิต  กระทั่งแม่หมาสุดอ่อนเพลีย  ชีพจรเต้นช้าลงเพราะสูญเสียเลือดมาก  ลูกหมาตัวสุดท้องถามแม่ว่า  "ทำไมน้ำนมของแม่เป็นสีแดงและปนรสเนื้อหวาน  ลูกไม่เคยกินเลย"

          "ลูกเอ๋ย  นี่แหละน้ำนมมื้อสุดท้าย  ที่แม่สะสมทะนุถนอมไว้ทั้งชีวิต  บัดนี้ถึงเวลาแล้ว  แม่ปรารถนาให้ลูกดื่มสิ้นทั้งหัวใจ"  เสียงแม่หมาค่อย ๆ  แผ่วเบาลง  เมื่อสายเลือดจะเหือดหายหมดไปจากกาย  สั่งลูกว่า

          "เลยสามวันไปแล้ว  ถ้าแม่หลับไม่ตื่นฟื้นขึ้น  ขอให้พวกเจ้าซึ่งอดอยากหิวโหยแทะกินอสุภซากของแม่เป็นอาหาร  รีบเติบโตแข็งแรงรักษาตัวเองให้ได้  สามพี่น้องอย่าทอดทิ้งกัน"  หยุดสักสองสามอึดใจ กล่าวต่อไปว่า  "วิญญาณแม่จะลาเจ้าไปแสวงหาอาหารในดวงเดือน  ถ้าเจ้าระลึกถึงแม่และความรักแท้ของแม่แต่เดิมแล้วไซร้  ให้ลูกไปเรียกแม่ในแจ่มจันทร์จ้า ณ พู้นฟากฟ้าฝั่งฝัน"

          พลันแม่หมาก็สิ้นแรง  ซบสลบไสลขาดใจตาย

          ลูกหมาเห็นแม่นิ่ง  และสิ้นลมหายใจก็หวั่นไหวรู้สึกไปถึงความตาย  ดั่งที่แม่เคยเล่าให้ฟังแต่หนหลัง  ทั้งสามชีวิตวิปโยคโศกเศร้าเป็นที่สุด  แล้วซบกับอสุภซากของมารดา  นิ่งน้ำตาไหลพรากจากทำนบแห่งหัวใจ  ซึ่งพังทลายอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น  อันความสุดที่ทุกข์โศกาดูรนั้นเสมอกันทุกรูปนาม  ไม่เว้นหมู่มนุษย์และสรรพสัตว์

          ล่วงสามทิวาราตรีกว่าแล้ว  สามลูกหมาทนหิวโหยไม่ไหว  นึกถึงคำสั่งของแม่ในวาระสุดท้ายได้  ก็แทะอสุภซากแม่กินต่างอาหาร  จนเติบโตแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้  สามชีวิตก็ยังจดจำคำมั่นสัญญาอาลัยแม่ไม่เคยหลงลืม  จึ่งพร้อมกันไปร่ำไห้  คือหอนอย่างโหยหวนเป็นลำนำเพลงวังเวงอยู่บนเงื้อมผาสูง  ปรารถนาให้คลื่นเสียงของลูกน้อยอันเศร้าสร้อยละห้อยหา  ก้องกังวานฝั่งฟ้าไปถึงมารดา ณ ดวงเดือนดวงดาวกระจายอยู่ระยับระย้าทั่วฟากฟ้า  เพื่อให้ใต้หล้าแลเห็นคุณค่าวิเศษแห่งสุนทรีย์  อันประเสริฐเลิศล้ำนั้นฉันใด

          ในโพรงหินใต้เงื้อมผ่า  คูหาแห่งมารดาแก้วนั้น  อัฏฐิของแม่ก็กระจายอยู่เพื่อเตือนใจสามลูกน้อยให้ละห้อยผูกพันใฝ่ฝันระลึกถึงแต่แม่ไปไม่วางวาย  เมื่อสามลูกน้อยได้มาเห็นกองอัฏฐิของมารดา  ก็ประดุจดั่งเห็นดวงหน้าแม่  และความเป็นไปในหนหลัง  เคยสั่งเสียลูกไว้  ทุกห้องหัวใจหวั่นไหวระลึกถึงคุณค่าน้ำใจของมารดาอันดีงามสุดประเสริฐเลิศล้ำก็ฉันนั้น

          กาลจักรก็เคลื่อนคล้อยโคจรไปนับหลากหลายวันเดือนปี  ทั้งสามชีวิตก็ยังระลึกถึงมารดาอยู่เช่นนั้นเป็นนิจศีล  ยิ่งในวันเดือนเพ็ญ  เช่นวิสาขมาสสมัย  สามชีวิตจะไปหอนโหยหวนขออโหสิกรรมต่อแม่  ที่ลูกได้ล่วงเกินแทะกินซากของมารดาเป็นอาหาร

          ทั้งสามลูกหมามักจะมาจ้องมอง  หอนไปหาแม่หมา ณ ป่าช้าจันทรามหาสถานเป็นประจำอยู่ช้านานเช่นนั้น  จวบจนวันที่สามชีวิตจวนจะจบสิ้นอายุขัย  สามลูกหมาป่านัดกันมาพร้อมใจตาย  ยึดเอาเงื้อมผาของมารดาเป็นป่าช้าจิตกาธาน  ให้แสงพระสุริยา  ทั้งสายฟ้า  สายฝน  ลมบนหมอกเมฆ  และหยาดเหมยหนาว  ช่วยชำระล้างกระดูกจนขาวโพลง  กระจุยกระจาย  ท้าทายแสงเดือนแสงดาว  หนาวเย็นยะเยือกอยู่กลางดึกดื่น ณ ชะง่อนเงื้อมผาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย

          รุกขเทพเจ้าป่า  ผู้เป็นใหญ่ซึ่งสิงสถิตอยู่ในวิมานมิ่งไม้  อันเลอเลิศด้วยสภาวะทิพยนั้น  เล็งเห็นรู้แจ้งสิ้นด้วยกำลังญาณวิเศษ  ก่อนจะเอนกายทิพย์ลงสนิทนิทราลัย  ทรงสมเพชเวทนาเป็นที่ยิ่ง  นิ่งประมวลความรู้สึกสังเวช  หวั่นไหว  ละลายฝากไว้ในยวงหยาดน้ำค้างเป็นสื่อสัญลักษณ์พิเศษ  ซึมหายบอกเล่าให้ทุกเม็ดธุลีทรายดินฟัง  ประดุจดั่งลายสือทิพย์ของภพชาติ  ซ่อนเร้นไว้ในมิติพิเศษแห่งอันตกาล

          ปลงสังเวช  รูปนามนิมิตนั้น  ซึมหายไปกับเม็ดธุลีทรายดินอันประดุจนาฬิกาแก้วของกาลจักร  จะหยดหยาดอำนาจพิเศษแห่งยวงเวลาไว้เตือนแหล่งหล้าฟ้าดินไตร  ท่ามกลางความเป็นไป  อยู่ชั่วนิจนิรันดร ฯ


อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ ปณิธานกวี ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๐๐))