บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 10, เมษายน, 2562, 03:20:50 PM



หัวข้อ: นิทานสอนใจ "ความสุขหาได้ในทุกมุมชีวิต"
เริ่มหัวข้อโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 10, เมษายน, 2562, 03:20:50 PM
(https://i.ibb.co/7QtP2nn/56551684-2421991024501543-6985263161569968128-n.jpg) (https://imgbb.com/)


"ความสุขหาได้ในทุกมุมของชีวิต"

ความสุขอยู่ในทุกมุมของชีวิต รอบ ๆ ตัวเราเอง
ตราบใดที่เราเข้าใจ ก็จะรู้สึกได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากที่ผ่านไปไม่ได้  
แต่ยังคงไม่ย่อท้อและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
อย่าหยุดที่จะมีความรักในชีวิต
จงมีอยู่เสมอเพื่อความสุขของตัวเราเอง

เคยมีคนไปเยี่ยมผู้มองโลกในแง่ดีที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง
ใบหน้าของผู้มองโลกแง่ดีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
และดูสุภาพมาก เราถามคำถามผู้ที่มองโลกในแง่ดี

“ถ้าหากคุณไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว คุณยังจะมีความสุขไหม”

“แน่นอนสิ ฉันมีความสุข เพราะสิ่งที่ฉันไม่มีเป็นเพียงเพื่อน ไม่ใช่ตัวของฉันเอง”
ผู้มองโลกในแง่ดีตอบยิ้มๆ

“ถ้าหากคุณไม่ระวัง กลิ้งตกลงไปในบ่อโคลนจนเนื้อตัวคุณสกปรกไปหมด
คุณยังจะมีความสุขอยู่ไหม”

“ที่ฉันตกลงไปเป็นเพียงบ่อโคลน มิใช่ก้นเหวนรก แน่นอนว่าฉันก็ควรมีความสุขแล้ว”

“ถ้าหากอยู่ดีๆ คุณโดนใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาชกหน้าคุณ คุณจะยังมีความสุขไหม"

“ดีใจมากที่ฉันแค่โดนต่อย แต่ไม่ได้สูญเสียชีวิตไป”

“ถ้าหมอฟันทำพลาด ถอนฟันซี่ที่ดีของคุณออกมา
กลับทิ้งฟันซี่ที่ปวดไว้ คุณจะยังมีความสุขไหม”

“โชคดีที่หมอฟันถอนฟันฉันผิดไปซี่เดียว แต่ไม่ได้ถอนเอาหัวใจของฉันไป”

“ถ้าหากตอนที่คุณกำลังหลับฝันหวานอยู่ แล้วจู่ ๆ มีคนมาร้องโวยวายตรงหน้าคุณ
จนคุณสะดุ้งตื่น คุณจะยังมีความสุขอยู่ไหม”

“ฉันจะคิดอย่างมีความสุขว่า โชคดีมากจริง ๆ
ที่ไม่ใช่เสียงเห่าหอนของสุนัข หากแต่เป็นเสียงคน”

“แล้วถ้าหากชีวิตของคุณกำลังจะจบลงในไม่ช้า คุณจะยังมีความสุขอยู่ไหม”

“ในที่สุดฉันก็เดินมาจนสุดทายของชีวิตนี้ จะได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงบนสวรรค์แล้ว
นี่ยังไม่ควรมีความสุขอีกหรือ”

“หมายความว่า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณต้องกังวลหรือเจ็บปวดเลยหรือ”

ผู้มองโลกในแง่ดีกล่าวว่า
“ความเจ็บปวดมักจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ
ส่วนความสุขนั้นต้องการให้ผู้คนเข้าไปหาและค้นพบด้วยตนเอง
แค่คุณยินดีที่จะมองหามัน คุณก็จะพบความสุขในชีวิตได้อย่างแน่นอน”

ทุกคนต่างปรารถนาการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
การถึงจุดนั้นได้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องยาก
ความสุขเพียงซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจทุกคน
เพียงต้องใช้ใจรับความรู้สึกนั้น ก็จะพบกับความสุขได้

คนเรามักจะจ้องมองไปยังด้านที่ไม่น่าพอใจของตนเองเป็นหลัก
แต่กลับไม่เคยมองด้านที่ดี ด้านที่สวยงามที่เรามีอยู่
ขอให้เราค้นหาด้านที่สวยงามของชีวิตเรา ค้นจากสิ่งที่เรามีอยู่
เก็บเอาสิ่งที่เรียบง่าย หลีกหนีจากเรื่องที่วุ่นวาย
แล้วเราก็จะมีความสุขมากขึ้น

ขอบคุณนิทานสอนใจ และภาพน้องแมวนอนสบายใจค่ะ

                     :057:





หัวข้อ: Re: นิทานสอนใจ "ความสุขหาได้ในทุกมุมชีวิต"
เริ่มหัวข้อโดย: นักเลงกลอน ที่ 10, เมษายน, 2562, 09:22:10 PM




                ผมได้อ่านบทความทั้งหมดข้างบนนั้นแล้ว ทำห้ผมเกิดข้อสงสัยบางประการว่า

๑.  ปกติของคนเรา ถ้ามีความสุขกับสิ่งใด มักขลุกอยู่สิ่งนั้นเป็นเวลานานๆ  ทีนี้ในคำถามด้านบน
     เขาถามว่า ถ้าเกิดกลิ้งตกลงไปในบ่อโคลน และจะมีความสุขอีกไหม  ผู้มองโลกในแง่ดีตอบว่า
     เขามีความสุข เพราะว่าที่เขาตกลงไปนั้น เป็นบ่อโคลน ไม่ใช่ก้นเหว
     สิ่งที่ผมสงสัยคือ เมื่อเขาตกลงไปในบ่อโคลนแล้ว เขาจะคงมีความสุขทั้งๆที่โคลนเลอะเทอะเปรอะร่างกาย
      หรือว่า เขาจะรีบไปอาบน้ำชำระน่างกาย   ถ้าหากว่าเขาจะต้องรีบไปอาบน้ำชำระร่างกาย
      ก็แปลว่า เขาไม่ได้มีความสุขจริงๆ สิ่งที่เขากล่าวว่ามีความสุขนั้น เป็นแค่ ความคิดหลอกลวงตนเองและผู้อื่น
     ให้หลงเชื่อเท่านั้น

๒. สมมุติว่า วันหนึ่ง ผู้มองโลกในแง่ พาลูกสามคนไปตลาด ขากลับ ระหว่างเดินข้ามบนสะพาน
    ลูกคนเล็กสุดเกิดพลัดตกลงไปในลำคลอง และเด็กก็ยังเล็กอยู่ ว่ายน้ำไม่เป็น
     ผู้มองโลกในแง่ดี เขาจะตัดสินใจทำอย่างไร ระหว่าง
     ก.รีบพยายามปีลงไปช่วยลูก หรือว่า รีบแหกปากร้องตะโกนให้คนอื่นมาช่วยด้วยท่าทีเป็นทุกข์เป็นร้อน
     ข. เฉยๆ ยิ้ม แล้วก็คิดว่า ฉันช่างโชคดีเสียจริง ที่ลูกตกลงไปแค่คนเดียว  ฉันยังเหลือลูกอีกตั้งสองคน
      จากนั้น ก็ยิ้มอย่างมีความสุข แล้วพาลูกๆที่เหลือกลับบ้านไป โดยไม่ต้องคิดอะไร ?
     (ตามหลกการที่เขามักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ)


ชีวิตของคนเรานั้น ต้องประกอบด้วยสองส่วน คือ ความทุกข์กับความสุข
      ความทุกข์ คือส่วนที่เราไม่ต้องการ  และอยากที่จะขจัดมันออกไป หรือออกไปให้พ้นจากมัน
       ความสุข คือ สิ่งที่เราเสาะแสวงหา และอยากได้มา ไม่ว่าใครๆ ก็อยากพบความสุข

      แต่...ก่อนที่เราจะพบกับความสุข  เราก็ต้อง เรียนรู้เสียก่อนว่า อะไรคือ ทุกข์ อะไรคือสุข
      ความทุกข์  คือสิ่งที่เราจะต้อง กำจัด แก้ไข ออกไปจากชีวิต  เมื่อกำจัดความ ทุกข์ออกไปได้แล้ว
      สิ่งที่จะได้กลับมา กคือ ความสุข  ยกตัวอย่างเช่น คนมีบาดแผล  ถือว่า มีความทุกข์
      การ รักษาบาดแผลให้หาย คือ การขจัดความทุกข์ ทำอย่างไรจึงจะรักษาบาดแผลให้หายได้
      สิ่ง ที่ต้องทำ ก็คือ การคิดค้นยา เพื่อมารักษาบาดแผลให้หายไป  นั่นคือ การขจัดทุกข์
      เมื่อ รักษาบาดแผลได้แล้ว ความทุกข์ที่เกิดจากบาดแผลหายไป สิ่งที่ได้กลับมาคือ การหมดสิ้นทุกข์
       หรือจะเรียกว่า ความสุขก็ได้

      ความทุกข์  เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้น ให้เกิดการแก้ไข  เปลี่ยนแปลง เพื่อออกไปจากสิ่งเป็นทุกข์อยู่นั้น
      ส่วน ความสุข  จะไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิด การแก้ไข เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย  เพราะคนเรา มีความสุข
       กับสิ่งใด มักจมปลักกับสิ่งนั้น

       ดังนั้น ความทุกข์  เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้น  ให้เกิดการแก้ไข เปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้น
       เปรียบเหมือน คนที่เดินขึ้นบันได้  ยิ่งเดินก็ยิ่งขึ้นสู่ที่สูง  ไปสู่ที่ดีกว่าเก่า

       ความสุข เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราจมปลักอยู่กับที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรเลย
        นับวันยิ่งแย่ลง  เหมือนกับคนเดินลงบันได  ยิ่งเดิน ยิ่งลงไปสู่ที่ต่ำ ชีวิตยิ่งแย่


       ยกตัวอย่าง  คนที่มองโลกในแง่ดี และคิดว่า ชีวิตของเขาช่างมีแต่ความสุข

        วันหนึ่ง เขาถูกโจรบุกปล้นบ้านจนหมดตู้เซฟ   เขาก็คิืดว่า ชีวิตฉันช่างโชคดี ที่โจร ไม่ได้
         เอาเครื่องเพชรไปด้วย  จากนั้น เขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ โดยที่ไม่ได้ไปแจ้งตำรวจ หรือหาทางป้องกันโจร
        เพราะเขาคิดว่า ชีวิตของเขา ก็ปกติสุขดีอยู่  เสียเงินไป แต่อย่างอื่นไม่ได้เสีย

         ต่อมา โจรก็กลับมาปล้นเขาอีก คราวนี้ ปล้นเอาเครื่องเพชรไป
          ผู้มองโลกในแง่ ก็ใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเขาคิดว่า  โจรแค่มาปล้นเอาเครื่องเพชร  ไม่ได้เอารถ
           และบ้าน  และโฉนดที่ดินอื่นๆไปชีวิตของเขายังมีความสุขอยู่

        ต่อมา พวกโจร ก็มาปล้นเอารถ และโฉนดที่ดินไปด้วย
        ผู้มองโลกแง่ดี ก็คิดว่า  แค่เสียรถกับโฉนดที่ดินไป แต่เขายังมีบ้าน กับลูกสาวอยู่
         ดังนั้น ชีวิตของเขายังมีความสุข  ไม่จำเป็นจะต้องเดืดไปแจ้งความ เพราะชีวิตของเขาไม่ได้มีทุกข์อะไร

         ต่อมา บ้านเขาถูกคนมาวางเพลิง เผาวอดไปทั้งหลัง  เขากับลูกสาวรอดชีวิต
         เขาก็คิดว่า เขายังโชคดี ที่ยังมีชีวิตอยู่ และก็มีลูกสาวอยู่เป็นเพื่อน  ไม่มีบ้านก็ไม่เป็นอะไร
         ยังไงชีวิตเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เพราะเขายังมีลูกสาว....

         ต่อมา....ก็มีกลุ่มวัยรุ่นหื่น มาฉุดคร่าลูกสาวเขาไปข่มขืนแล้วฆ่าปิดปาก....

        สรูปแล้วคือ เมื่อเขามัวแต่คิดว่า ชีวิตเขามีความสุข  ถึงจะสูญเสียโน่นไป ก็ยังเหลือสิ่งนี้
        ถึงสูญเสียสิ่งนี้ไป ก็ยังเหลือสิ่งนั้น   ถึงสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็ยังเหลือสิ่งนู้นนน...
         เมื่อเขามัวแต่คิดอย่างนี้ และหลอกลวงตนเองว่ามีความสุข  ในที่สุด เขาก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
         ไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้มีความสุขกับมันอีกเลย

          การมีความสุขกับการคิดหลอกตนเอง หลอกผู้อื่น ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา มันกลับยิ่งทำให้
          ทุกอย่างแย่ลงไปอีก    การเรียนรู้ว่า สิ่งใดคือความทุกข์ แล้วหาทางแก้ไขต่างหาก คือสิ่ง
          ที่จะทำให้พบกับความสุขที่แท้จริง
          มนุษย์เราเจริญขึ้นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะเรายอมรับตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดคือทุกข์  ต้อแก้ไข
          และกำจัด  สิ่งใดคือสุข ก็ต้องรักษาไว้  ดังนั้น มนุษย์เราจึงพัฒนาขึ้นมา มีบ้านมีเมือง
          มีเทคโนโลยี มีความเจริญรุ่งเรือง   หากเราติดกับความสุขจอมปลอม มนุษย์เราคงไม่ออกจากถ้ำ
          และคนทุกวันนี้ก็คงเป็นได้แค่มนุษย์ถ้ำ
         เหมือนอย่างเราเดินด้วยเท้า เรารู้ว่ามีหนาม และการเดินถูกหนามตำนั้น ไม่เป็นที่สบายนัก
          ดังนั้น เราก็แก้ไข โดย คิดค้นรองเท้าขึ้นมาเพื่อขจัดทุกข์ เพราะการถูกหนามตำตัวนี้
          ต่อมา เรารู้สึกว่า การเดินด้วยเท้ามันช้า และเหนื่อย เราก็แก้ไขโดย ไปจับสัตว์มาขี่เป็นพาหนะ
          และพัฒนามาเป็๋น เกวียน จักรยาน  รถยนต์ และเครื่องบินในที่สุด  นี่คือ ผลของการคิดโดยยอมรับ
          ความจริง ว่าสิ่งที่เป็นทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายนั้น ต้องได้รับ การกำจัดและแก้ไข
           ไม่ใช่ไปทำใจให้ยอมรับมัน โดยไม่ยอมทำอะไร แล้วก็หลอกลวงตยเอง หลอกลวงผู้อื่นว่ามีความสุข.

           เรื่อง ของความเชื่อบางสิ่งบางอย่าง  บางทีเราคิดว่าดี  แต่ที่จริงไม่ดี  บางทีเราคิดว่าถูก
           แต่ความจริงไม่ถูก  และความเชื่อประเภทนี้ ก็มักแฝงปนๆกันมากับหลักคำสอนทางศาสนา
           ที่เรานับถืออยู่แล้ว  เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่คำสอนที่เป้นศาสนาจริงแท้  เป็นแค่ความคิดของใครบางคน
           ที่เอาหลักคำสอนทางศาสนานิดหนึ่ง  มาปนกับความคิดเห็นของตนเองอีกนิดหนึ่ง(มากกว่าที่เอามาจาก
           หลักธรรมคำสอน) แล้วเอาคำสอนนั้น มาเผยแพร่ ให้คนอื่นรู้ เชื่อตาม และหลงตาม
            คนที่ขาดปัญญาพิจารณาโดยรอบคอบ  ก็จะหลงเชื่อ โดยคิดว่า นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
           เพราะเขาพูด และสอน เหมือนกับ คำสอนในศาสนา  อันนี้คือ ความจริง

            แต่จริงๆแล้ว  ความเชื่อเหล่านี้ เหมือนกับเม็ดกรวดที่ตกอยู่ในแก้วน้ำ  เม็ดกรวดที่มีขนาดเล็ก
            และนอนนิ่งๆอยูในก้นแก้ว มองเห็นได้ยาก  คนที่ไม่พิจารณาโดยรอบคอบ  หลงดื่มเข้าไป
            โดยคิดว่าตนเองดื่มน้ำ  ก็หลงดื่มก้อนกรดนั้นไปด้วย  แต่คนที่พิจารณาโดยรอบคอบ จะแยกออกได้
            และไม่หลงดื่มก้อนกรวดเข้าไป แต่จะดื่มเฉพาะน้ำในแก้วเท่านั้น
            หรือเปรียบเหมือนเม็ดกรวดที่ปนอยู่ในข้าวลุก ซึ่งมองเห็นได้ยาก คนไม่พิจารณาโดยรอบคอบ
             ก็จะเผลอกินก้อนกรวดนี้ไปพร้อมข้าว โดยไม่รู้ตัว  ส่วนคนที่ระมัดระวัง  ก็จะกินเฉพาะข้าว โดย
            ที่ไม่เผลอกินก้อนกรวด ที่เป็นปลอมปนเข้าไปด้วย
             เรื่อง ลัทธิความเชื่อ  ความคิดเห็น  ก็เป็นเช่นเดียวกัน  บางสิ่ง ถูกสอนกันแบบผิดๆ
             เพราะผู้สอน เอาความคิดเห็นของตัวมาสอน โดยเข้าใจว่าถูกต้อง  คนที่รับไป ก็รับไปแบบผิดๆ
              เพราะเข้าใจว่าถูกต้อง  ก็เพราะว่ามันปลอมปน และมันแอบแฝง คล้ายๆเม็ดกรวดในแก้วนำแบบนั้น

             หลายครั้งที่ผมได้เจอหลักความเชื่อแปลกๆ คำสอนแปลกๆ ในอินเตอร์เน็ต  แต่ถ้าผมได้พิจารณาแล้ว
             หากไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องหาเหตุผลมาหักล้างไปว่า สิ่งนั้น มันผิดยังไง
              หากว่า การแสดงความคิดเห็นครั้งนี้ ทำให้ไม่พอใจ ก็ต้องขออภัยด้วย.



หัวข้อ: Re: นิทานสอนใจ "ความสุขหาได้ในทุกมุมชีวิต"
เริ่มหัวข้อโดย: นักเลงกลอน ที่ 10, เมษายน, 2562, 09:43:16 PM


หมายเหตุ.  คำว่า"มักแฝงปนๆกันมากับหลักคำสอนทางศาสนา"

ผมไม่ได้หมายถึงตัวศาสนา ซึ่งคือ คำสอนของพระพุทธเจ้า  หรือพระไตรปิฎก

แต่หมายถึง บรรดาหนังสือคำสอนต่างๆ  ที่ท่านนั้นท่านนี้ แต่งขึ้นมาในภายหลัง

ซึ่งอาจจะเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า สัก ๕%  ๑๐  %  นอกนั้นคือ ทัศนคติ ความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ

ซึ่งบางทีมันก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และบอกต่อๆกันไปแบบผิดๆ  เพราะไปเอา

ความคิดเห็นส่วนบุคคลมาแทนที่คำสอนของ พระพุทธเจ้า  ก็ขอให้เข้าใจตามนี้

จะได้ไม่มีปัญหาดราม่าเกิดขึ้น..  ไม่งั้นเดี๋ยวจะเข้าใจผิดคิดว่าผมไปลบหลู่ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า





หัวข้อ: Re: นิทานสอนใจ "ความสุขหาได้ในทุกมุมชีวิต"
เริ่มหัวข้อโดย: Black Sword ที่ 11, เมษายน, 2562, 12:07:43 AM

น่าสนใจ  ได้อ่านข้อเขียนของทั้งสองแล้ว เมื่ออ่านแล้ว ทั้งนิทานข้างต้น และความเห็นของคุณนักเลงกลอน
ก็ไม่ได้สงสัยหรือคิดอะไรแบบซับซ้อนมากมาย
เพราะว่าสิ่งที่คุณนักเลงกลอนสงสัย คิดว่ามันมีคำตอบอยุ่แล้วในนิทานนี้ คือข้อความที่บอกว่า


ความสุขอยู่ในทุกมุมของชีวิต รอบ ๆ ตัวเราเอง
ตราบใดที่เราเข้าใจ ก็จะรู้สึกได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากที่ผ่านไปไม่ได้  
แต่ยังคงไม่ย่อท้อและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
อย่าหยุดที่จะมีความรักในชีวิต
จงมีอยู่เสมอเพื่อความสุขของตัวเราเอง

และ

“ความเจ็บปวดมักจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ
ส่วนความสุขนั้นต้องการให้ผู้คนเข้าไปหาและค้นพบด้วยตนเอง
แค่คุณยินดีที่จะมองหามัน คุณก็จะพบความสุขในชีวิตได้อย่างแน่นอน”


ตรงนี้ คิดว่าชัดเจนอยุ่ในตัวเองอยุ่แล้ว  เช่นคำถามที่ว่า


"ถ้าเกิดกลิ้งตกลงไปในบ่อโคลน และจะมีความสุขอีกไหม  ผู้มองโลกในแง่ดีตอบว่า
เขามีความสุข เพราะว่าที่เขาตกลงไปนั้น เป็นบ่อโคลน ไม่ใช่ก้นเหว
สิ่งที่ผมสงสัยคือ เมื่อเขาตกลงไปในบ่อโคลนแล้ว เขาจะคงมีความสุขทั้งๆที่โคลนเลอะเทอะเปรอะร่างกาย
หรือว่า เขาจะรีบไปอาบน้ำชำระน่างกาย   ถ้าหากว่าเขาจะต้องรีบไปอาบน้ำชำระร่างกาย
ก็แปลว่า เขาไม่ได้มีความสุขจริงๆ สิ่งที่เขากล่าวว่ามีความสุขนั้น เป็นแค่ ความคิดหลอกลวงตนเองและผู้อื่น
ให้หลงเชื่อเท่านั้น"

ตรงนี้ มันก็ชัดเจนว่า เขาไม่ได้มีความสุขที่เขามีโคลนเปรอะร่างกายหรอก
เพียงแต่ยอมรับว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว ตกลงไปในโคลนแล้ว (ทำความเข้าใจในสภาพการณ์ที่ไม่ได้รับเชิญ)
จะทำยังไงได้ ยังดีนะที่ไม่ใช่การตกเหว ไม่งั้นอาจพิการหรือตายได้ (ค้นหาและค้นพบมุมดีที่เหลืออยู่)
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ปีนจากบ่อโคลน ชะล้าง ชำระกาย ดำเนินชีวิตต่อไป
(ไม่ย่อท้อ อย่าหยุดที่จะมีความรักในชีวิต จงมีอยู่เสมอเพื่อความสุขของตัวเราเอง )

มันก็ชัดเจนในข้อความด้านบนอยุ่แล้ว ไม่ซับซ้อน

มันไม่ใช่ว่าความสุขเกิดขึ้นมาลอย ๆ ในความคิดอย่างไร้ระบบแบบเพ้อเจ้อ เพ้อฝันหรือหลอกลวง

และความสุขในเหตุการณ์นี้มันเกิดเพราะยอมรับและทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ (พลาดตกไป และเลอะเทอะ)
เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ และดำเนินชีวิตต่อไป โดยการชะล้างอย่างที่คุณนักเลงกลอนว่า

หรืออย่างเหตุการณ์ลูกตกน้ำ (เหตุการณ์ที่ไม่ได้รับเชิญ)
แน่นอน ว่าผู้เป็นแม่ก็ต้องพยายามดิ้นรนช่วย ช่วยได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าช่วยไม่ได้ ลูกตาย ก็ต้องทำความเข้าใจในชีวิต ลูกไม่อาจฟื้น (ความเจ็บปวดที่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ )
ถ้าทำความเข้าใจได้ (ความทุกข์ที่ยากจะก้าวผ่าน)
ชีวิตต้องเดินต่อไป (ดิ้นรน)  เพื่อความสุข (เท่าที่จะเป็นไปได้) ของตนเองและคนข้างหลัง (ลูกที่ยังเหลืออยู่)
เพราะไม่งั้น ก็จะจมอยุ่กับความทุกข์นั้นโดยไม่เป็นอันทำอะไร
สิ่งที่เหลืออยุ่ (ตนเองและลูก) ก็หาความสุขไม่ได้อีกในชีวิตนี้ตลอด

เรืองโจรเครื่องเพชรก็หลักเดียวกัน

สิ่งเหล่านี้ ชัดเจนอยู่ในความข้อความนิทานด้านบนอยุ่แล้ว

จากบทความในนิทานนั้น เมื่ออ่านทั้งหมดทุกตัวอักษร และประมวลความคิดโดยรวม
หลัก ๆ แล้วสิ่งที่นิทานสื่อว่าเป็นความสุขนั้น ไม่ใช่ได้มาหรือให้คิดแบบเฉื่อยชาเลื่อนลอย
แต่ได้มาโดยการทำความเข้าใจกับความทุกข์ ยอมรับความทุกข์ที่ไม่ได้รับเชิญ
ไม่ย่อท้อ และค้นหามุมมองที่จะมีชีวิตอยุ่ต่อไปอย่างมีความสุข เพื่อที่จะไม่จมกับความทุกข์ที่เข้ามา
ผมเข้าใจว่านิทานมันสื่ออย่างนั้นน่ะ

ชัดเจน ไม่ซับซ้อนเลย

ซึ่งมันก็คือสิ่งที่คุณสริญเขียนอธิบายมาอย่างยาวนั่นแหละครับ

แน่นอน ว่าบางครั้งบางเหตุการ์มันก็ยาก ไม่ทุกเหตุการณ์ที่จะก้าวผ่านได้ง่าย ๆ
แต่นิทานนี้มันก็สื่อให้พยายามทำความเข้าใจ ยอมรับ
และหามุมมองคิดบวกอยู่กับสิ่งที่เหลืออยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ (ไม่ใช่อย่างหลอกตัวเองหรือผู้อื่น)

บทความอย่างในนิทานนี้ ถ้าเอาชีวิตจริง ๆ  มันก็มีหลาย ๆ ตัวอย่างชัดเจนอยุ่
เช่นคุณ นิค วูจิซิค หรือคุณทนง โคตรชมภู  ฯลฯ หรืออีกหลาย ๆ ท่าน (ลองหาอ่านดู)
คนเหล่านี้พยายามมีความสุข โดยการทำความเข้าใจ ยอมรับสิ่งที่เป็น สิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งที่ต้นทุนชีวิตทุกอย่างแทบไม่เอื้ออำนวยเลย (ถ้าเป็นผมคงทำไม่ได้แน่นอน)
มุมมองของคนเหล่านี้ ล้วนเข้าเหตุผลหรือหลักการอย่างในนิทานนั้น
ไม่ใช่สุขอย่างลอย ๆ หรือหลอกตนเองไปวัน ๆ


ก็อย่างที่บอก นิทานนี้หากอ่านจนจบทั้งหมด สิ่งที่สงสัยนั้น
มันมีคำตอบอยู่ในนั้นชัดเจนแล้ว ไม่ซับซ้อนเลยครับ