บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอน ร้อยกรองหลากลีลา => ข้อความที่เริ่มโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กุมภาพันธ์, 2558, 12:28:04 PM



หัวข้อ: ไม่ว่างเขียนกลอน...
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กุมภาพันธ์, 2558, 12:28:04 PM



ไม่ได้ว่างเขียนกลอนมาอ้อนมิตร
แต่มิคิดหลีกลี้หนีไปไหน
แม้มิว่างแต่มิร้างลากันไกล
เวียนว่ายในอักษรแห่งกลอนกานท์

ห่างขึ้นข้อต่อคำนำเสนอ
มิใช่เผลอเล่นเฟซจนฟุ้งซ่าน
แต่งเรื่องยาวเป็นคนเล่ากลอนนิทาน
ต้องใช้จิตวิญญาณลงทุ่มเท

ธนุ  เสนสิงห์

(เรื่องต่อไป "พระสุธน มโนราห์ คำกลอน")


หัวข้อ: Re: ไม่ว่างเขียนกลอน...
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 04, กุมภาพันธ์, 2558, 02:58:36 PM
 ตัวอย่างตอนพระสุธนได้นางมโนราห์
 
 

    ๏ ถึงเวียงวังกลางสวนขวัญพลันไปหา    ปรารถนาปลอบประโลมแม่โฉมศรี
พบเห็นนางเศร้าโศกวิโยคฤดี    พระจึงมีจำนรรจาปลอบยาใจ

   ๏ “แม้วิโยคอย่าโศกใจให้มากนัก    ขอจงพักผ่อนกายให้สดใส
ห่วงบิดรมารดาที่มาไกล    กาลต่อไปต้องได้พบประสบกัน

   ๏ อันความรักญาติกาจำลาจาก    รู้ว่ามากยิ่งนักหนักมหันต์
ขอเอารักจากอกพี่เทียมชีวัน    มากำนัลทั้งหมดเพื่อทดแทน

   ๏ ต้องเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต    สองชีวิตเราเกิดกายอยู่ไกลแสน
บุญนำพาน้องมาถิ่นถึงดินแดน    เชื่อมั่นแม่นเราคู่กันแต่บรรพกาล”

   ๏ มโนราห์ฟังปรารภนั่งซบหน้า    ชลนารินลงน่าสงสาร
ส่งผ้าซับชลนัยให้ดวงมาลย์    มิกล้าจักหักหาญจำรับไว้

   ๏ พระมองเห็นหัตถาทั้งขวาซ้าย    เป็นแผลลายด้วยรอยหนามผิวช้ำไหม้
หยิบโอสถมาจะทาให้อรทัย    นางเบี่ยงเลี่ยงกายไปตกใจกลัว

   ๏ พระสุธนย้ำว่า “อย่าหน่ายหนี    เพราะไม่มีพระพี่เลี้ยงแล้วทูนหัว
พี่เองจะดูแลน้องมิหมองมัว”    เสียงระรัวมโนราห์ว่า “อย่าเลย

   ๏ น้องดูแลตนเองได้มิใช่เด็ก    ตัวเล็กเล็กที่ไหน” ฝืนใจเอ่ย
พระสุธนมิยั้งฟังคำเปรย    มิเชือนเฉยคว้ามากุมทั้งสองกร

   ๏ มโนราห์ทรวงสั่นสะท้านสะเทิ้น    สุดขัดเขินมิต้องกายชายมาก่อน
ร้องห้ามไว้แต่พระไม่ฟังคำวอน    จำโอนอ่อนนั่งขดระทดระทวย

   ๏ ทรงชโลมลูบไล้ใส่โอสถ    จนครบหมดกรซ้ายขวาบาทาด้วย
มโนราห์อนงค์ยังงงงวย    ยอมให้ช่วยพึ่งพาพยาบาล

   ๏ ตั้งแต่วันนั้นมาหาขาดไม่    พระดูแลเอาใจยอดสงสาร
มโนราห์คลายขมขื่นชื่นดวงมาน    เมื่ออาการเจ็บไข้กลับหายดี

   ๏ ในครานั้นพระสุธนรักล้นอก   แต่วิตกอยู่ภายในใจเหลือที่
ด้วยมิเคยเลยก่อนมาเรื่องนารี    จักพลอดรักสัตรีวิธีใด

   ๏ พระกุมกรเหมือนก่อนมาทาโอสถ    เหลือจะอดหักจิตพิสมัย
จึงจุมพิตหัตถาอรทัย    เผยความนัยขอความรักมโนราห์

   ๏ มโนราห์บ่ายเบี่ยงเลี่ยงองค์หนี    จึงอ้อนวอนวจีว่า “พี่จ๋า
มองน้องเป็นเชลยหรือไรนา    เห็นกำพร้าจึงลวนลามตามอารมณ์”

   ๏ คนวนาจากป่าชัฏพลัดเคหา    ขัดจำนงลงอาญาให้สาสม”
พระว่า “ทำด้วยความรักอยากชื่นชม    มิหมายข่มเหงกันทั้งใจกาย

   ๏ ทรงตระกองกอดก่ายมิให้ห่าง    โนราห์นางอกสั่นพระขวัญหาย
ยังวอนว่า “ พระองค์คงเป็นนาย    น้องพรานป่ามาถวายเป็นทาสพระองค์

   ๏ มิควรคู่ผู้เป็นราชบุตร    เสมือนฉุดรั้งศักดิ์ศรีมิเสริมส่ง
ยากยิ่งนักรักครองคู่อยู่ดำรง”    พระจุมพิตสนิทอนงค์พร้อมพลอดพลาง

   ๏ “พี่มิเคยรักใครในโลกนี้    ทุกคนล้วนรู้ดีที่เอ่ยอ้าง
พี่สวาทปรารถนาพระน้องนาง    มิมีใครไหนขัดขวางอย่ากังวล”

   ๏ “น้องเสมือนลูกไก่ในกำมือ    พี่ปล่อยไปได้ชื่อสร้างกุศล”
พระมิฟังวาจานฤมล    สวาทล้นอุระแล้วแม่แก้วตา

   ๏ พระชมชิดพิสมัยไม่เหหัน   ทรวงสนิทติดพันไซ้นาสา
พระโอฐแอบแนบชมดมพักตรา    หัตถ์เคล้าคลึงปทุมมาเป็นเนานาน

   ๏ การโลกีย์มีกฎรสสวาท    มนุษยชาติทั่วถึงย่อมซึ้งซ่าน
สุขกระสันปานท่องแมนแดนพิมาน    อันรสชาติสวาทหวานนับอนันต์

   ๏ จนอนงค์ปลงจิตสนิทมนัส    ปฏิพัทธ์เริงรุดสุดสวรรค์
ทรงเปรมปรีดิ์ราตรีกาลทั้งวารวัน    พร่ำรำพันแต่คำรักปักฤดี