น่าสนใจ ได้อ่านข้อเขียนของทั้งสองแล้ว เมื่ออ่านแล้ว ทั้งนิทานข้างต้น และความเห็นของคุณนักเลงกลอน
ก็ไม่ได้สงสัยหรือคิดอะไรแบบซับซ้อนมากมาย
เพราะว่าสิ่งที่คุณนักเลงกลอนสงสัย คิดว่ามันมีคำตอบอยุ่แล้วในนิทานนี้ คือข้อความที่บอกว่า
ความสุขอยู่ในทุกมุมของชีวิต รอบ ๆ ตัวเราเอง
ตราบใดที่เราเข้าใจ ก็จะรู้สึกได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากที่ผ่านไปไม่ได้
แต่ยังคงไม่ย่อท้อและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
อย่าหยุดที่จะมีความรักในชีวิต
จงมีอยู่เสมอเพื่อความสุขของตัวเราเอง
และ
“ความเจ็บปวดมักจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ
ส่วนความสุขนั้นต้องการให้ผู้คนเข้าไปหาและค้นพบด้วยตนเอง
แค่คุณยินดีที่จะมองหามัน คุณก็จะพบความสุขในชีวิตได้อย่างแน่นอน”
ตรงนี้ คิดว่าชัดเจนอยุ่ในตัวเองอยุ่แล้ว เช่นคำถามที่ว่า
"ถ้าเกิดกลิ้งตกลงไปในบ่อโคลน และจะมีความสุขอีกไหม ผู้มองโลกในแง่ดีตอบว่า
เขามีความสุข เพราะว่าที่เขาตกลงไปนั้น เป็นบ่อโคลน ไม่ใช่ก้นเหว
สิ่งที่ผมสงสัยคือ เมื่อเขาตกลงไปในบ่อโคลนแล้ว เขาจะคงมีความสุขทั้งๆที่โคลนเลอะเทอะเปรอะร่างกาย
หรือว่า เขาจะรีบไปอาบน้ำชำระน่างกาย ถ้าหากว่าเขาจะต้องรีบไปอาบน้ำชำระร่างกาย
ก็แปลว่า เขาไม่ได้มีความสุขจริงๆ สิ่งที่เขากล่าวว่ามีความสุขนั้น เป็นแค่ ความคิดหลอกลวงตนเองและผู้อื่น
ให้หลงเชื่อเท่านั้น"
ตรงนี้ มันก็ชัดเจนว่า เขาไม่ได้มีความสุขที่เขามีโคลนเปรอะร่างกายหรอก
เพียงแต่ยอมรับว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว ตกลงไปในโคลนแล้ว (ทำความเข้าใจในสภาพการณ์ที่ไม่ได้รับเชิญ)
จะทำยังไงได้ ยังดีนะที่ไม่ใช่การตกเหว ไม่งั้นอาจพิการหรือตายได้ (ค้นหาและค้นพบมุมดีที่เหลืออยู่)
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ปีนจากบ่อโคลน ชะล้าง ชำระกาย ดำเนินชีวิตต่อไป
(ไม่ย่อท้อ อย่าหยุดที่จะมีความรักในชีวิต จงมีอยู่เสมอเพื่อความสุขของตัวเราเอง )
มันก็ชัดเจนในข้อความด้านบนอยุ่แล้ว ไม่ซับซ้อน
มันไม่ใช่ว่าความสุขเกิดขึ้นมาลอย ๆ ในความคิดอย่างไร้ระบบแบบเพ้อเจ้อ เพ้อฝันหรือหลอกลวง
และความสุขในเหตุการณ์นี้มันเกิดเพราะยอมรับและทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ (พลาดตกไป และเลอะเทอะ)
เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ และดำเนินชีวิตต่อไป โดยการชะล้างอย่างที่คุณนักเลงกลอนว่า
หรืออย่างเหตุการณ์ลูกตกน้ำ (เหตุการณ์ที่ไม่ได้รับเชิญ)
แน่นอน ว่าผู้เป็นแม่ก็ต้องพยายามดิ้นรนช่วย ช่วยได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าช่วยไม่ได้ ลูกตาย ก็ต้องทำความเข้าใจในชีวิต ลูกไม่อาจฟื้น (ความเจ็บปวดที่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ )
ถ้าทำความเข้าใจได้ (ความทุกข์ที่ยากจะก้าวผ่าน)
ชีวิตต้องเดินต่อไป (ดิ้นรน) เพื่อความสุข (เท่าที่จะเป็นไปได้) ของตนเองและคนข้างหลัง (ลูกที่ยังเหลืออยู่)
เพราะไม่งั้น ก็จะจมอยุ่กับความทุกข์นั้นโดยไม่เป็นอันทำอะไร
สิ่งที่เหลืออยุ่ (ตนเองและลูก) ก็หาความสุขไม่ได้อีกในชีวิตนี้ตลอด
เรืองโจรเครื่องเพชรก็หลักเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้ ชัดเจนอยู่ในความข้อความนิทานด้านบนอยุ่แล้ว
จากบทความในนิทานนั้น เมื่ออ่านทั้งหมดทุกตัวอักษร และประมวลความคิดโดยรวม
หลัก ๆ แล้วสิ่งที่นิทานสื่อว่าเป็นความสุขนั้น ไม่ใช่ได้มาหรือให้คิดแบบเฉื่อยชาเลื่อนลอย
แต่ได้มาโดยการทำความเข้าใจกับความทุกข์ ยอมรับความทุกข์ที่ไม่ได้รับเชิญ
ไม่ย่อท้อ และค้นหามุมมองที่จะมีชีวิตอยุ่ต่อไปอย่างมีความสุข เพื่อที่จะไม่จมกับความทุกข์ที่เข้ามา
ผมเข้าใจว่านิทานมันสื่ออย่างนั้นน่ะ
ชัดเจน ไม่ซับซ้อนเลย
ซึ่งมันก็คือสิ่งที่คุณสริญเขียนอธิบายมาอย่างยาวนั่นแหละครับ
แน่นอน ว่าบางครั้งบางเหตุการ์มันก็ยาก ไม่ทุกเหตุการณ์ที่จะก้าวผ่านได้ง่าย ๆ
แต่นิทานนี้มันก็สื่อให้พยายามทำความเข้าใจ ยอมรับ
และหามุมมองคิดบวกอยู่กับสิ่งที่เหลืออยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ (ไม่ใช่อย่างหลอกตัวเองหรือผู้อื่น)
บทความอย่างในนิทานนี้ ถ้าเอาชีวิตจริง ๆ มันก็มีหลาย ๆ ตัวอย่างชัดเจนอยุ่
เช่นคุณ นิค วูจิซิค หรือคุณทนง โคตรชมภู ฯลฯ หรืออีกหลาย ๆ ท่าน (ลองหาอ่านดู)
คนเหล่านี้พยายามมีความสุข โดยการทำความเข้าใจ ยอมรับสิ่งที่เป็น สิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งที่ต้นทุนชีวิตทุกอย่างแทบไม่เอื้ออำนวยเลย (ถ้าเป็นผมคงทำไม่ได้แน่นอน)
มุมมองของคนเหล่านี้ ล้วนเข้าเหตุผลหรือหลักการอย่างในนิทานนั้น
ไม่ใช่สุขอย่างลอย ๆ หรือหลอกตนเองไปวัน ๆ
ก็อย่างที่บอก นิทานนี้หากอ่านจนจบทั้งหมด สิ่งที่สงสัยนั้น
มันมีคำตอบอยู่ในนั้นชัดเจนแล้ว ไม่ซับซ้อนเลยครับ