หัวข้อ: ภาษาไทย "ภาษาแห่งการสื่อเสียง" เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 18, ธันวาคม, 2555, 08:15:30 AM เรียน พี่น้องชาวบ้านกลอนทุกท่าน
ก่อนที่ผม "ศรีเปรื่อง" จะเอาความรู้ที่พอมีอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องฉันท์ มานำเสนอผ่านทางเว็บบ้านกลอนน้อย ฯ แห่งนี้ ผมขออนุญาตย้อนกลับไกลสักเล็กน้อย เพื่อจะให้ทุกท่านได้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวงานกวีของไทยมากขึ้น ภาษาไทย เป็นภาษาที่มีความวิจิตรพิสดารอย่างอัศจรรย์พันลึก ไม่เพียงแต่จะสื่อความหมายระหว่างบุคคลเท่านั้น ยังสามารถสื่อถึงลักษณะของเสียงที่ซับซ้อนที่เราจะต้องเปล่งออกมาได้อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการมีวรรณยุกต์ และกฎเกณฑ์แปลก ๆ ที่ยากต่อการทำความเข้าใจอยู่หลายเรื่อง เช่น คำเป็น-คำตาย ครุ-ลหุ และ อักษรสูง-กลาง-ต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อความหมายเลยแม้แต่น้อย... ...แต่มันเป็นเรื่องของเสียง ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานกวีล้วน ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า “ภาษาไทย เป็นศาสตร์และศิลปะแห่งการใช้เสียง” ครับ การประพันธ์บทกวีนั้น มีเป้าหมายสำคัญอยู่สองอย่าง คือ ๑) แสดงความหมายของสารที่ต้องการจะสื่อ ซึ่งอาจมีทั้งโดยตรง หรือ โดยนัย และ ๒) แสดงศิลปะของเสียงและท่วงทำนอง ซึ่งอาจประเมินเบื้องต้นได้จากความถูกต้องของแบบแผนการเขียน หรือ ที่เราเรียกกันว่า "ฉันทลักษณ์" แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ มันไม่ใช่ฉันทลักษณ์ แต่เป็นเสียงและท่วงทำนองที่จะเกิดขึ้นจากการอ่านหรือการขับกวีนั้น ๆ ต่างหาก เปิดเรื่องไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วจะเข้ามาเล่าต่อ :014: :014: :014: ด้วยจิตคารวะ ศรีเปรื่อง ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ หัวข้อ: Re: ภาษาไทย "ภาษาแห่งการสื่อเสียง" เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 18, ธันวาคม, 2555, 02:28:43 PM ต่อครับ...
"ฉันทลักษณ์" หรือ ที่ต่อไปจากนี้ ผมจะเรียกว่า "แบบแผนการเขียน" เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อเสียงจากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ตาม แบบแผน ฯ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถสื่อถึงลักษณะเสียงของงานกวีได้อย่างครบถ้วน เฉกเช่นกับความรู้ของมนุษย์เรา มีบางอย่างที่ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้ และมีบางอย่างที่ทำได้ยากหรืออาจทำไม่ได้เลย ดังนั้น หากเราต้องการจะเขียนงานกวีให้ออกมาไพเราะ เราควรจะพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้หรือสิ่งที่นอกเหนือไปจาก “แบบแผนการเขียน” เหล่านั้นด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าอะไรดี ก็เลยขออนุญาตตั้งชื่อขึ้นมาเองว่า “แบบแผนการขับ” ( :014: :014: :014: ที่เรียก ฉันทลักษณ์ ว่า แบบแผนการเขียน ก็เพราะอยากให้มันคล้องกันครับ) ผมได้ทำการแจกแจงองค์ประกอบต่าง ๆ ของงานกวีไทย ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการเขียน และแบบแผนการขับ ตามความสามารถที่ผมพอจะทำได้ ดังนี้ องค์ประกอบที่เกี่ยวกับแบบแผนการเขียน ๑. คณะหรือจำนวนเสียง >> จำนวนเสียงในวรรค บาท และ บท ๒. ความคล้องจองระหว่างเสียง >> สัมผัส, นอก-ใน, สระ-อักษร ๓. ระดับความสูง-ต่ำของเสียง >> วรรณยุกต์, คำเอก-คำโท (คำตาย ถือ เป็นคำเอก) ๔. ความยาว-สั้นของเสียง >> ครุ (แปลว่าหนัก แต่จริง ๆ มันคือเสียงยาว) – ลหุ (แปลว่าเบา แต่มันคือเสียงสั้น) สำหรับใน ๓ ข้อแรก ผมขอไม่ลงในรายละเอียด แต่จะเกริ่นแนะนำไว้เฉพาะข้อ ๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉันท์ ครุ คือ เสียงยาว ส่วน ลหุ คือ เสียงสั้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในงานกวีประเภทฉันท์ รูปแบบของเสียงยาว-สั้นที่แตกต่างกันไปของฉันท์แต่ละประเภท จะทำให้ได้งานกวีที่คล้ายกับเสียงกลอง (มาณวก >> ชื่อ ชึ่ ชึ่ ชื่อ ชื่อ ชึ่ ชึ่ ชื่อ; ปมาณิก >> ชึ่ ชื่อ ชึ่ ชื่อ ชึ่ ชื่อ ชึ่ ชื่อ) สำหรับแบบแผนการขับ ขอค้างไว้ก่อนนะครับ แล้วครั้งหน้าจะมาเล่าต่อ :015: :015: :015: ศรีเปรื่อง ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ปล. ขอแก้ไข ข้อ ๔ จาก "ความหนัก-เบาของเสียง" เป็น "ความยาว-สั้นของเสียง" ครับ หัวข้อ: Re: ภาษาไทย "ภาษาแห่งการสื่อเสียง" เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 18, ธันวาคม, 2555, 09:38:53 PM สำหรับแบบแผนการขับที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมเรียบเรียงขึ้นจากสังเกต มิได้อ้างอิงตำราเล่มใด และหากมีข้อบกพร่องประการใด ก็มาแชร์ความรู้กันได้นะครับ
องค์ประกอบด้านแบบแผนการขับ ที่ผมแจกแจงขึ้นมีดังนี้ครับ ๑. การแบ่งวรรคอ่าน โดยทั่วไปแล้ว ในขับกวีจะแบ่งวรรคอ่านประมาณ ๒-๓ เสียง แต่สำหรับงานกวีประเภทฉันท์ที่มีคำลหุต่อเนื่องกันเยอะ ๆ ก็อาจจะมากกว่านั้น ๒. ลักษณะการให้เสียงและการเอื้อน ๑) เสียงที่ต้นของวรรคอ่าน มีความพิเศษสำหรับเสียงที่เป็น อักษรสูง, คำเป็น และไม่มีวรรคยุกต์ (มีองค์ประกอบทั้ง ๓ อย่างพร้อมกัน) โดยจะให้เสียงเป็นเสียงตรี เช่น ถึ๊งหน้าวัง – ดังหนึ่ง – ใจจะขาด ส๊ายลม – ปะทะกาย (จริง ๆ อักษรสูงไม่มีรูปตรี แต่ที่ใส่ไว้เพื่อสื่อถึงเสียงเท่านั้นครับ) ๒) เสียงที่ท้ายของวรรคอ่าน มีความพิเศษสำหรับเสียงที่เป็น อักษรสูง, คำเป็น และไม่มีวรรคยุกต์ (มีองค์ประกอบทั้ง ๓ อย่างพร้อมกัน) โดยจะให้เสียงโดยไต่ไปที่เสียงตรีแล้วม้วนลงมาหาจัตวา (จริง ๆ รูปสามัญของอักษรสูง จะเป็นเสียงจัตวาอยู่แล้ว) และต้องมีการไล่เสียงขึ้นไปตั้งแต่คำก่อนหน้า เพื่อให้ระดับของเสียงไปรับกันอย่างลงตัว) เช่น มุ่งร้าย-และหมายขวัญ มะนะมั่น-จะหักจะหาญ (สังเกตสีฟ้านะครับ) แฮ่ ๆ อธิบายได้เต็มที่แค่นี้ ยังไงลองฟังตัวอย่างใน link นะครับ ตัวอย่างที่ ๑ เป็นวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ของครูพรายม่าน ลักษณะเสียงท้ายจะล้อมาจากกลอนสุภาพ คือ วรรคที่ ๒ นิยมเสียงจัตวา แต่จริง ๆ ฉันท์ไม่ได้จำกัดเสียงท้ายของแต่ละวรรค แต่ที่จะไพเราะก็คือ สามัญ และ จัตวา ครับ http://www.homelittlegirl.com/index.php/topic,1081.0.html (http://www.homelittlegirl.com/index.php/topic,1081.0.html) ตัวอย่างที่ ๒ เป็นมาณวกฉันท์ ๘ ของผมเอง มีผิดแผกจากงานประพันธ์ดั้งเดิมอยู่หนึ่งจุด ที่วรรคแรก "นั่ง ณ ลำเรือ" ปกติแล้ว สระอำ จะใช้เป็นลหุ เมื่อไม่ใช่คำโดด เช่น อำนวย ชำเลือง (ประกอบกับคำอื่นจึงมีความหมาย) แต่ผมแหกกฎ :014: ลองสังเกตท่อน "เอื้อมหัตถา" นะครับ http://www.homelittlegirl.com/index.php/topic,914.0.html (http://www.homelittlegirl.com/index.php/topic,914.0.html) ๓) การเอื้อน (ผมจะให้ความสำคัญเฉพาะการเอื้อนที่ท้ายของวรรคครับ) - คำเป็นจะเอื้อนยาว ส่วนคำตายจะเอื้อนสั้น - คำที่มีเสียงวรรณยุกต์เอก จะเอื้อนสั้นกว่าวรรณยุกต์อื่น ๆ - การเอื้อนที่ท้ายวรรคใหญ่ หรือ วรรคตามฉันทลักษณ์ จะเอื้อนยาวกว่าวรรคอ่านธรรมดา ๓. จังหวะในการขับ การควบคุมจังหวะในการขับนั้นมีหลักที่ต้องพิจารณา ๒ ประการ คือ ๑) ความสม่ำเสมอ แต่ละวรรคขับควรมีความสม่ำเสมอ แต่อาจจะมีเร่งขึ้นหรือช้าลงได้ตามอารมณ์ของเนื้อหา ๒) อารมณ์ แบ่งออกเป็น - อารมณ์ตามเนื้อหา และ - อารมณ์ตามประเภทการประพันธ์ เช่น มาณวกฉันท์ เวลาขับจะค่อนข้างเร็วกว่าฉันท์ประเภทอื่น เพราะเป็นฉันท์แนวสนุก ศรีเปรื่อง ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ หัวข้อ: Re: ภาษาไทย "ภาษาแห่งการสื่อเสียง" เริ่มหัวข้อโดย: รินดาวดี ที่ 19, ธันวาคม, 2555, 07:37:59 PM (http://upic.me/i/1f/atoon45.jpg) |