บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
วัดวรเชษฐาราม : อยุธยา - สมเด็จพระเอกาทศรถ -
สมเด็จพระเอกาทศรถ เกียรติปรากฏไม่ฟ่องก้องกาหล เป็น“พระรอง”น้องนเรศร์ผู้จอมคน ทรงรับผลงานพี่มิยากเย็น
ครองกรุงศรีมีสุขไร้ข้าศึก ริปูนึกเกรงขามฝังความเห็น ภาพเคียงคู่พระเชษฐาคราลำเค็ญ ปราบยุคเข็ญเศิกเสี้ยนโล่งเลี่ยนไป |
อภิปราย ขยายความ...........
หลังจากสมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จพระเอกทศรถพระอนุชาธิราชสืบราชสมบัติตามพระราชประเพณี ขุนหลวงหาวัดให้การไว้ว่า
“ ครั้นพระนเรศร์สวรรคตแล้ว พระเอกาทศถจึงครอบครองกรุงฉลองพระเชษฐาสืบไป จึงทำการราชาภิเษกอันครบครัน จึงถวายพระมเหสีพระนามชื่อพระสวัสดี พระองค์จึงสร้างวัดไว้ที่ถวายพระเพลิงพระนเรศร์ แล้วจึงสมมุตินามเรียกวัดสบสวรรค์ พระองค์จึงสร้างวัดไว้ที่สวนฉลององค์พระเชษฐาวัดหนึ่ง จึงสมมุตินามที่เรียกว่า วัดวรเชษฐาราม แล้วพระองค์จึงถวายที่เขตอาราม จึงจารึกไว้ในแผ่นศิลา อันเหล่าบรรดาทหารทั้งนั้น พระองค์ปูนบำเน็จหนักหนาให้เป็นชั้นหลั่นกันลงมา ทั้งบุตรภรรยาได้ดี อันทหารห้าร้อยคนเดิมนั้น พระองค์เพิ่มบำเหน็จภาษี ให้ทั้งโคควายไร่นาและถิ่นฐานบ้านเรือน ทั้งทาสีทาสา แล้วให้มีตราราชสีห์คุมห้าม ด่านขนอนอากรทั้งปวงเบ็ดเสร็จ มิให้เบิกจ่ายทุกกระทรวงจนต้องคดีโรงศาลประทานให้ทั้งพินัยหลวง ที่พระองค์ประทานทั้งปวงนี้มิให้ล่วงพระโองการที่พระเชษฐาสั่งไว้ อันเมืองกรุงศรีอยุธยานี้มีมอญและลาวมากมาแต่ครั้งนั้น จึงเอาจ่ายในการเมือง แล้วให้เลี้ยงช้างทั้งกรุงทั้งหมู่โขลงแล่น มียศทั้งสิ้น ก็มีมาแต่ครั้งนั้น อันมอญและลาวเหล่าเชลยจึงมีหนักหนา ด้วยพระนเรศร์เธอกวาดต้อนเอามาทุกบ้านเมืองจึงมีมากมาแต่ครั้งนั้น กรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งนั้น มีเดชานุภาพเลื่องลือชาปรากฏหนักหนา แล้วพระองค์จึงสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่ง จึงสมมุตินามเรียกพระศรีสรรเพชญ์ ใหญ่สูงสิบแปดศก หล่อด้วยสังกะสีเป็นชั้นใน ข้างนอกนั้นหุ้มทองคำ หนักทองร้อยเจ็ดสิบสามชั่ง จำได้แล้วพระองค์จึงทำเป็นรูปพระเชษฐาธิราช คือรูปพระนเรศร์ จึงเอาไว้ในโรงแสงขวา แล้วพระองค์จึงสร้างปราสาทชื่อบรรยงค์รัตนาศน์ แล้วจึงขุดสระล้อมรอบ แล้วจึงสร้างวัดราชบูรณะวัดหนึ่ง อยู่ในกรุงทิศตะวันออกเฉียงใต้วัง วัดโพธารามวัดหนึ่งอยู่นอกกรุงทิศตะวันตกเฉียงเหนือเมือง แล้วจึงสร้างพระเจดีย์เรียกมหาคาราเจดีย์องค์หนึ่งอยู่วัดกุฎีดาวนอกเมืองอยูทิศตะวันออก อันพระเอกทศรถนั้นรักพระนเรศร์เชษฐายิ่งนัก อันดาบทรงของพระนเรศร์ที่คาบแล้วปีนค่ายขึ้นไปในวันนั้น ก็ยังปรากฏเป็นรอยพระทนต์คาบนั้นมีอยู่ตัวดาบ อันด้ามนั้นทำด้วยนอแล้วประดับพลอยแดง อยู่ในโรงแสงซ้าย อันชาวแสงนั้นเชิญออกมาชำระทีใดแม้นมิบาดก็ไม่ได้ อันพระแสงองค์นี้กินเลือดคนอยู่อัตราแต่ไรมา อยู่จนเสียกรุงเมืองครั้งนี้ อันพระแสงง้าวที่ฟันอุปราขาขาดคอช้าง ชื่อเจ้าพระยาแสนพลพ่ายนั้น ก็เอาไว้ในโรงแสงซ้าย อันพระแสงที่ตีช้างมอญล้มนั้น เรียกพระแสงช้างตีล้ม ก็ไว้ในโรงแสงซ้าย อันพระมาลาที่อุปราชาฟันถูกเข้าบิ่นไปนั้น ก็ไว้ในโรงแสงซ้าย อันรูปพระนเรศร์นั้นไว้ในโรงแสงขวา อันพระเอกาทศรถนั้น จักได้ไปรบพุ่งบ้านใดเมืองใดนั้นหามิได้ ตั้งอยู่ในธรรมสิบประการ ทั้งอาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งสมณชีพราหมณ์ก็จำเริญศีลาบารมี ก็เป็นสุข อันพระเอกาทศรถนั้นได้เสวยราชสมบัติมาแต่เมื่อจุลศักราช ๙๖๐ มีพระชนม์ได้ ๒๐ ปี อยู่ในราชสมบัติได้ ๑๙ ปี สวรรคตเมื่อจุลศักราชได้ถึง ๙๗๙ ปีฯ..”
คำให้การของขุนหลวงหาวัดดังกล่าวให้ถือไว้เป็นความรู้อีกข้อมูลหนึ่ง ในที่ทั่ว ๆ ไปว่า พระเอกาทศรถหรืออีกพระนามหนึ่งคือ พระอนุชาธิราชพระราเมศวร ทรงครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๑๔๘ –๒๑๕๓ เป็นเวลา ๕ ปี ดร.หม่อง ทินอ่อง กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์พม่าว่า พระองค์ไม่นิยมการบ จึงอยู่อย่างสงบ ตรงกับคำให้การขุนหลวงหาวัดที่ว่า “จักได้ไปรบบ้านใดเมืองใดนั้นหามิได้” และยังตรงกับวันวลิตที่กล่าวไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ความในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาต่างจากพงศาวดารฉบับอื่น กล่าวไว้ดังนี้
“ พระอนุชาสมเด็จพระนเรศราชาธิราช เสวยราชย์เมื่อพระชนมายุ ๔๕ พรรษา ทรงพระนามว่า พระอนุชาธิราชพระราเมศวร ถ้าหากเปรียบเทียบกับการปกครองอันเข้มงวดของพระนเรศแล้ว พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี มีพระปรีชาสามารถ และทรงตัดสินพระทัยดี แต่พระองค์ไม่ทรงเป็นนักรบ ในรัชสมัยของพระองค์ไม่ทรงทำสงครามเพื่อรุกรานประเทศอื่น หรือเพื่อป้องกันประเทศ แม้ว่าเหตุการณ์ทั้งสองอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ตั้งหลายครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากผู้ครองนครและพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในพระราชอำนาจของพระเชษฐาได้แข็งเมือง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) นอกจากนั้นพระองค์ทรงดำเนินสายกลางในการปกครอง ไม่เคร่งครัดในศาสนา แต่ทรงชอบพระสงฆ์บ้างเล็กน้อย ทรงนิยมการล่าสัตว์ ทรงม้า ทำยุทธหัตถี และทรงเรือไปตามสถานที่ต่างๆฯลฯ”
นอกจากนี้ วันวลิต ได้ให้รายละเอียดโดยสรุปว่า พระองค์ทรงนิยมคบค้าชาวต่างประเทศและออกกฎหมายในทำนองกดขี่หลายฉบับ ทรงสร้างราชมณเฑียรใหญ่ ๆ ด้วยหยาดเหงื่อของคนจนและชาวต่างประเทศเป็นสำคัญ และจบตอนด้วยความว่า “ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองใด ๆ ในสมัยพระองค์ และกลับเป็นระยะเวลาที่มีความยุ่งยากเรื่อยมา”
* จบเรื่องสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่เรื่องสมเด็จพระนเรศวรยังมีประเด็นค้างคาใจอยู่จึงจบไม่ลงครับ
เต็ม อภินันท์ ใถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, กลอน123, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, เนิน จำราย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, หนูหนุงหนิง, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" - มเหสีพระนเรศวร -
นาม“มณีรัตนา”มหาเหสี พระนางนี้เอกอนงค์พระองค์ใหญ่ มเหสีนเรศวรล้วนไฉไล มีทั้งไทยลาวเขมรอยู่เป็นพรวน
นักประวัติศาสตร์ไทยไม่กล่าวถึง ดูประหนึ่งองค์พระนเรศวร มิทรงชื่นชมเนื้ออะเคื้อนวล ความคิดล้วนเหี้ยมหาญการสงคราม.... |
อภิปราย ขยายความ ..........
มีคำถามแทรกเข้ามาว่า “สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีพระมเหสี พระราชโอรสพระราชธิดาหรือไม่ ? ซึ่งเป็นคำถามที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยนำมากล่าวถึงในที่ใด ๆ เพราะมัวมุ่งเน้นในพระราชกรณียกิจความเป็นนักรบ ผู้เก่งกล้าสามารถของพระองค์เป็นสำคัญ ลืมไปว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ปุถุชน ซึ่งบริโภคกามคุณเช่นกัน พระองค์ต้องมีพระมเหสีอย่างแน่นอน
ดังนั้น จึงใคร่พาไปหาคำตอบจากคำให้การขุนหลวงหาวัด, วันวลิต ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และเอกสารกัมพูชา กับสเปน ซึ่งเชื่อว่าให้คำตอบได้ชัดเจนที่สุด
ขุนหลวงหาวัด คือพระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาพระองค์ที่ ๔๙ ตามประวัติกล่าวว่าพระองค์ทรงผนวชหลายครั้ง ชาวกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นจึงเรียกพระองค์ว่า ขุนหลวงหาวัด ในคราวที่ “ฉินบูชิน หรือมังระ (ดร.หม่อง ทินอ่อง เรียกอย่างนั้น) มาตีกรุงศรีอยุธยาแตกและเผาทำลายจนยับเยิน ได้นำตัวพระเจ้าอุทุมพร ขณะที่ครองบรรพชิตเพศไปพม่าด้วย และทรงสอบถามเรื่องราวของไทยตั้งแต่ตั้งประเทศมาจนถึงกรุงแตก พระองค์ทรงให้การตอนที่สมเด็จเด็จพระนเรศวรขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าแผ่นดินว่า
“ ส่วนพระนเรศร์นั้นก็เข้าไปกรุงศรีอยุธยา ก็เสด็จขึ้นบนพระราชฐาน อันอัครมหาเสนาบดีและมหาปุโรหิตทั้งปวง จึงทำการปราบดาภิเษก แล้วเชื้อเชิญขึ้นให้เสวยราชสมบัติ จึงถวายอาณาจักรเวนพิภพแล้ว จึงถวายเครื่องเบญจกุธภัณฑ์ทั้งห้า แล้วเครื่องมหาพิชัยสงครามทั้งห้า ทั้งเครื่องราชาอุปโภคทั้งปวงจนครบครันแล้ว จึงถวายพระนามใส่ในพระสุพรรณบัฏสมญา แล้วฝ่ายกรมในจึงถวายพระมเหสีพระนามชื่อนั้น “พระมณีรัตนา” แล้วถวายสนมกำนัลทั้งสิ้น แล้วครอบครองราชสมบัติเมื่อปีจุลศักราชได้ ๙๕๒ ปี.....”
จึงได้ความชัดเจนว่าในการเสด็จขึ้นเถลิงมหาปราสาทครองราชบัลลังก์เป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยานั้น เมื่อมหาเสนาบดีและมหาปุโรหิตถวายแผ่นดิน ถวายเครื่องราชกุธภัณฑ์และเครื่องราชูปโภคครบครันแล้ว ฝ่ายกรมใน นำพระนางมณีรัตนา ถวายเป็นพระมเหสี พร้อมนางสมนมกำนัลในจำนวนหนึ่ง
“พระมณีรัตนา” เป็นใครมาจากไหน ในทางสันนิฐานเชื่อได้ว่า พระนางเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ อันประสูติแต่พระสนม พระนามเดิมว่า “พระแก้วฟ้า” ในคราวที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งราชอาณาจักรลาว ทูลขอพระเทพกษัตรี ขนิษฐาพระสวัสดิราช (พระวิสุทธิกษัตรี) อันประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ในวันที่กำหนดส่งตัวพระเทพกษัตรีนั้น พระนางเกิดประชวรหนัก จึงส่งพระแก้วฟ้าไปแทน พระเจ้าล้านช้างทราบว่ามิใช่คนที่ต้องการจึงส่งคืนมา ดังความที่กล่าวมาแล้วนั้น
คำว่า “แก้วฟ้า” หมายถึงแก้วที่หยาดลงมาจากฟ้า ส่วนมณีรัตนา หมายถึงแก้วหินสีแดง คือมณีรัตนานั่นเอง มีความเป็นไปได้ว่า เมื่อพระเจ้าล้านช้างทรงส่งพระแก้วฟ้าคืนมา จึงเปลี่ยนพระนามใหม่เป็น “มณีรัตนา” และครองโสดอยู่ในราชสำนักจนกระทั่งวันที่สมเด็จพระนเรศวร์เถลิงปราสาทเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสนาอำมาตย์ราชวงศานุวงศ์มีความเห็นพ้องกันให้ยกพระนางซึ่งมีศักดิ์เป็นพระน้านาง ผู้มีพระชันษาไม่ห่างกันมากนักนั้นขึ้นเป็นพระมเหสี พระนางจึงเป็นมเหสีพระองค์แรก (อัครมเหสี) ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จดหมายเหตุ ฟานฟลีต หรือ วันวลิต ชาวฮอลันดา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระเจ้าทรงธรรมทรงกริ้วพระหมื่นศรีสรรักษ์ (พระเจ้าปราสาททอง) ที่ไปทำร้ายพระยาแรกนา เมื่อถูกมหาดเล็กจับตัวได้แล้ว “......พระเจ้าแผ่นดินทรงฟันเขา ๓ ที ที่ขาทั้ง ๒ ข้าง จากหัวเข่าลงมาถึงข้อเท้า แล้วพระองค์จับเขาโยนเข้าไปในคุกดิน รับสั่งให้พันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ส่วนทั้ง ๔ ของร่างกาย พระหมื่นศรีสรรักษ์ถูกจำขังอยู่ในคุกมืดเป็นเวลา ๕ เดือน จนกระทั่ง “เจ้าขรัวมณีจันทร์” ชายาม่ายของพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ คือพระ Marit หรือพระองค์ดำ ได้ทูลขอ จึงได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีก”
“เจ้าขรัวมณีจันทร์” ที่วันวลิตกล่าวว่า เป็นพระชายาม่ายของพระองค์ดำ นี่ก็ชัดเจนว่าพระนางคือพระมเหสีในสมเด็จพระนเรศวร และควรจะเป็นพระองค์เดียวกันกับ “พระมณีรัตนา” พระหมื่นศรีสรรักษ์ ซึ่งต่อมาได้ครองราชสมบัติมีพระนามว่าพระเจ้าปราสาททองนั้น ท่านน่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันกับ “เจ้าขรัวมณีจันทร์” หรือพระนางมณีรัตนา และเช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงธรรมกับพระนางมณีรัตนา หรือ เจ้าขรัวมณีจันทร์ ควรจะเกี่ยวข้องเป็นพระญาติสนิท จนสามารถทูลขออะไรกันได้ด้วย หาไม่แล้วคงไม่สามารถขอให้พระเจ้าทรงธรรมยกโทษให้หมื่นศรีสรรักษ์ ได้เป็นแน่
เรื่องยังจบไม่ลงครับ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อไป
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพจากภาพยนตร์
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, กลอน123, เนิน จำราย, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" - ปรากฏมเหสีสามองค์ -
มเหสีสามองค์ล้วนทรงยศ ซึ่งปรากฏที่มาหมดทั้งสาม ส่วนที่สี่ที่ห้าหากมีตาม ก็มีความเป็นได้ไม่ชัดเจน
มีโอรสธิดามากกว่าหนึ่ง ไร้องค์ถึงรุ่งโรจน์ขึ้นโดดเด่น ด้วยการเมืองเรื่องมากยากกะเกณฑ์ หลักโอนเอนไปมาไม่มั่นคง |
อภิปราย ขยายความ.........
พระมเหสีพระองค์แรกของสมเด็จพระนเรศวรมีที่มาอย่างชัดเจนว่า มหาอำมาตย์ปุโรหิตพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เห็นพ้องต้องกันให้ยกพระนางมณีรัตนาถวายเป็นพระมเหสีในพระราชพิธีราชาภิเษก และพระนางมณีรัตนาพระองค์นี้สันนิษฐานว่าคือ พระแก้วฟ้า ราชธิดาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิซึ่งประสูติแต่นางพระสนม หลังจากพระเจ้าล้านช้างประทานกลับคืนมาแล้ว ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น “มณีรัตนา” ......คราวนี้ไปดูพระมเหสีพระองค์อื่นๆกันบ้าง
มีจดหมายเหตุสเปนชื่อ History Of the Pilippins and Kingdom ซึ่งบาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเคเนอิรา เขียนขึ้นตามคำบอกเล่าของบาทหลวงนิกายฟรานซิสกัน ผู้เคยพำนักอยู่ในกรุงศรี อยุธยาช่วงตอนปลายรัชสมัยพระมหาธรรมราชา ต้นรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ. ๒๑๒๕ - ๒๑๓๙) พูดถึงขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตอนที่ว่าด้วยพระมเหสีและพระราชโอรส เสด็จโดยเรือพระที่นั่ง น่าสนใจดังต่อไปนี้
“ .......แล้วจากนั้นเป็นพระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่สุดในพระเจ้าแผ่นดินที่เสด็จปรากฏพระองค์ ในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก ติดตามมาเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีและสาวสรรกำนัลใน........”
เรื่องนี้เป็นการพูดถึงพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดแห่งหนึ่ง แม้ไม่ระบุพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ก็พอจะอนุมานเอาได้ว่า ได้แก่สมเด็จพระนเรศวร เพราะว่าผู้บอกเล่าอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ต้นรัชการสมเด็จพระนเรศวร จึงเป็นไปไม่ได้ว่าพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์นั้นจะเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ด้วยพระราชโอรสของพระองค์มีเพียงสมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถ เท่านั้น จึงเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่าพระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่เสด็จมาในขบวนพยุหยาตรานั้น เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระนเรศวร อันประสูติแต่พระนางมณีรัตนา เอกอัครมเหสี
เจ้าของนามว่า “สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์ พบข้อมูลว่า มีพระมเหสีสมเด็จพระนเรศวรอีก โดยได้เสนอเรื่องนี้ไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือน มกราคม ๒๕๕๐ สรุปความได้ว่า พงศาวดารพม่ากล่าวว่า มีพระมเหสีอยุธยาของสมเด็จพระนเรศ เรียกว่า “โยธยามี้พระยา” พระนางเป็นราชธิดาองค์โตของพระเจ้าเชียงใหม่ คือ นรธาเมงสอ หรือฟ้าสาวถีนรธมังคอย ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองราชบิดาโปรดให้เสวยราชสมบัติเมืองเชียงใหม่ปี พ.ศ. ๒๑๒๑-๒๑๕๐ ทรงถวายพะราชธิดาองค์โตให้พระเอกาทศรถ พระเอกาทศรถรับแลัวถวายให้พระเชษฐา ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีในสมเด็จพระนเรศวร พงศาวดารพม่าเรียกนามพระนางว่า “โยธยามี้พระยา” แปลว่า “มเหสีอยุธยา”
พงศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ.๑๑๗๐ (พ.ศ. ๒๓๕๑) กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรยกไปตีเมืองละแวกได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๑๓๗ เนื้อความในพงศาวดารละแวกดังกล่าวนั้น มีว่าดังนี้ “ครั้น ณ ปีมะเมีย ฉศก (พ.ศ.๒๑๓๗) สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า พระองค์ได้สมบัติในเมืองละแวกสมดุจหนึ่งพระทัยปรารถนาแล้ว พระองค์ก็เลิกกองทัพกลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วพระองค์ให้นำมาซึ่งพระศรีสุริโยพรรณกับพระมเหสี พระราชบุตร พระราชธิดา และพระศรีไชยเชษฐ พรรคพวกพระศรีสุริโยพรรณเข้ามาอยู่เมืองกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกกำแพงกรุง และเมื่อพระนเรศวรนำเอาซึ่งพระศรีสุริโยพรรณมานั้น พระชันษาพระศรีสุริโยพรรณนั้นได้ ๓๘ ปี แล้วจึงสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้านำเอาพระราชธิดาพระศรีสุริโยพรรณพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเอกกษัตรี เป็นพระมเหสีพระนเรศวรเป็นเจ้า ในปีมะแม สัปตศก (พ.ศ.๒๑๓๘)”
วันวลิต กล่าวในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า สมเด็จพระนเรศตีกรุงละแวกแตกแล้ว นำพาพระศรีสุริโยพรรณพร้อมด้วยพระมเหสี พระราชโอรสธิดามากรุงศรีอยุธยาด้วย แต่มิได้บอกว่า พระราชธิดาในสมเด็จพระศรีสุริโยพรรณได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสี ซึ่งก็เป็นไปได้ตามความในพงศาวดารละแวกที่ว่า พระราชธิดาสมเด็จพระศรีสุริโยพรรณชื่อ เอกกษัตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีอีกพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระนเรศวร
สรุปได้ว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระมเหสีซึ่งมีที่มาอย่างแน่ชัด ๓ พระองค์ คือพระนางมณีรัตนาเป็นเอกอัครมเหสี ได้มาพร้อมกับพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ๑ และพระราชธิดาของพระเจ้านรธาเมงสอ หรือ ฟ้าสาวถีนรธามังคอย โอรสพระเจ้าบุเรงนอง ที่พระบิดาให้มาครองเมืองเชียงใหม่ถวายราชธิดาไม่ปรากฏพระนามเดิมแก่พระเอกาทศรถ แล้วพระเอกาทศรถถวายแก่พระเชษฐา หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีสมเด็จพระนเรศวรแล้ว พม่าเรียกนามพระนางว่า “โยธยามี้พระยา” อีก ๑ กับพระราชธิดาสมเด็จพระศรีสุริโยพรรณ พระนามว่า เอกกษัตรี อีก ๑ นอกจาก ๓ พระองค์นี้อาจจะมีอีกแต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด
“เจ้าขรัวมณีจันทร์” พระชายาม่ายของพระองค์ดำที่วันวลิตกล่าวถึงนั้น “สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์” กล่าวว่า เป็นมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระนเรศวรนั้น ไม่มีที่มาแน่นอน และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า พระนางเป็นพระองค์เดียวกันกับองค์เอกอัครมเหสีมณีรัตนา จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระนเรศวร มีพระมเหสีซึ่งมีที่มาแน่นอน ๓ พระองค์ เป็นเจ้าหญิงไทยพระองค์หนึ่ง เจ้าหญิงพม่าพระองค์หนึ่ง และเจ้าหญิงกัมพูชาพระองค์หนึ่ง
จะมีเจ้าหญิงลาว เจ้าหญิงจาม อีกหรือไม่ ใครมีมีหลักฐานที่มา โปรดแจ้งเพิ่มเติมด้วย พ้นเทศกาลไปแล้วจะกลับมาว่าเรื่องนี้กันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพจากภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ปริศนาพระเจ้าทรงธรรม -
“พระเจ้าทรงธรรม”องค์นี้มีปัญหา ต่างตำราต่างรู้ระบุบ่ง ให้ที่มาสับสนอ่านจนงง ความจะตรงต้องพิเคราะห์ให้เหมาะความ
ค่อยค่อยอ่านแล้วคิดพินิจเรื่อง ให้ต่อเนื่องเหตุผลไม่บุ่มบ่าม หลายแง่มุมมีไว้ให้ติดตาม พยายามหยิบมาศึกษากัน |
อภิปราย ขยายความ.........
ได้เว้นว่างการ "แลหลังอยุธยา" ไว้ในช่วงการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เสียหลายวัน วันนี้ได้เวลาที่จะมา "แลหลังอยุธยา" กันต่อไป จะกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาในช่วงที่สับสนอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม โดยพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาพระองค์ที่ ๒๒ มีพระนามที่รู้จักกันทั่วไป คือ “พระเจ้าทรงธรรม” นอกจากพระนามนี้แล้วยังมีอีกหลายพระนามตามความในพงศาวดารหลายฉบับ หน้าเพจน้อยนิดนี้ใคร่ขอนำเรื่องของพระองค์จากตำราต่าง ๆ มาแสดง เพื่อการศึกษาดังต่อไปนี้
คำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า ในขณะที่สมเด็จพระเอกาทศรถครองราชสมบัติทรงพระชนม์อยู่นั้น พระองค์เสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาทบนเขารังรุ้ง เมืองหาง หลายครั้ง พระองค์ทรงมีพระมเหสี ๘ พระองค์ แต่มิได้มีพระราชโอรสพระราชธิดาเลยสักพระองค์เดียว ครั้นเสด็จสวรรคตแล้วไม่มีรัชทายาทครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล ดังนั้น บรรดาข้าราชการทั้งปวงจึงพากันยก “พระเจ้าทรงธรรม ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระสุธรรมราชา” ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แต่ วันวลิต กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระราเมศวร ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระอินทราชา ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถ และมีความเมตตากรุณา......”
ตามคำกล่าวนี้หมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาพระองค์ที่ ๒๒ เป็นราชโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงพระนามว่า พระอินทราชา ต่างไปจากคำให้การขุนหลวงหาวัดที่กล่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ เป็นหลานของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ทรงพระนามว่า “พระเจ้าทรงธรรม” คำให้การขุนหลวงหาวัดไม่มีรายละเอียดเหมือนคำกล่าวของวันวลิต จึงใคร่ขอนำความที่วันวลิตเขียนไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบางช่วงบางตอนมาแสดง ดังต่อไปนี้
“พระองค์ไม่ทรงเป็นนักรบ แต่ทรงขยันขันแข็งทรงอุทิศพระองค์เพื่อต่อต้านการเคารพเทวรูป (Idolatry) ทรงปรับปรุงศาสนาและกฎหมายในแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณียกิจร่วมกับคนจนและพระสงฆ์ ทรงสร้างปฏิสังขรณ์วัดหลายแห่ง เจดีย์และกุฏิพระ ทรงทำพระราชกรณียกิจมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด ๆ ก่อนรัชสมัยของพระองค์ ทรงเอาใจใส่ให้ขุนนางแต่งกายดี และมีที่อยู่ดี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว จึงสร้างที่พักหลายแห่งให้แก่ข้าราชบริพาร ซึ่งยังอาศัยอยู่จนบัดนี้
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ใจบุญ จนกระทั่งชาวสยามอ้างว่าพระองค์ไม่มีศัตรูเลย หรือไม่ทรงสามารถหาศัตรูได้เลย อย่างไรก็ดี ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงข้ามกับที่คาดคิดไว้ พระองค์ทรงถูกชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในสยามจับในพระราชวังของพระองค์เอง พวกญี่ปุ่นที่ชั่วร้ายนี้จะไม่ยอมปล่อยพระองค์จนกว่าพระองค์จะยินยอมให้ผลประโยชน์มากมายแก่พวกเขา และทรงสาบานว่าจะไม่ทรงทำอะไรตอบแทนการกระทำอันชั่วร้ายนี้
ทรงนิยมชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวฮอลันดามาก แต่ทรงเป็นศัตรูกับพวกสเปน ทั้งนี้ เนื่องจากการกระทำที่เลวร้ายของ ดอน เฟอร์นันโด เดอซินว่า ซึ่งมีผู้กล่าวว่าถูกโยนลงแม่น้ำสยาม
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามองค์แรก ที่สร้างเรือรบและเรือใบขนาดใหญ่พร้อมฝีพายในสยาม ซึ่งรัชสมัยองพระองค์ไม่เคยมีใครรู้จักเลย
ทรงทำสงครามที่ยากลำบากสองครั้งในรัชสมัยของพระองค์ กับล้านช้างและกัมพูชา หลังจากทรงพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้งก็ทรงทำสัญญาสงบศึกกับพระเจ้าแผ่นดินล้านช้าง และยกทัพสองทัพไปยังกัมพูชา โดยยกไปทางเรือทัพหนึ่ง หลังจากกองทัพเรือของพระองค์เข้าไปน่านน้ำกัมพูชาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็ต้องถอยกลับ โดยไม่ประสบความสำเร็จอันใดเลย แม้กองทัพเรือถอยไปแล้ว ทหารกัมพูชาก็สามารถเตรียมตัวดักซุ่มโจมตีกองทัพที่ยกมาทางบกได้ ทัพกัมพูชาล่อทัพสยามให้ไปผิดทาง และลอบซุ่มโจมตี ทำให้ทัพสยามเสียทีแตกหนีไป พระอินทราชาทรงเสียพระอนุชาและทหารสี่พันคนจากจำนวนห้าพันคน พระเจ้าแผ่นดินกัมพูชาจับม้าได้ ๔๕๐ ตัว ช้าง ๒๕๐ เชือก และเชลย ๗๐๐ คน”
ทั้งหมดนี้เป็นตอนหนึ่งที่วันวลิตกล่าวถึงพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นด้านดี วันนี้ยังไม่อาจนำมาแสดงให้สิ้นความได้ อ่านต่อกันวันพรุ่งนี้เถิดครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๙ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, เนิน จำราย, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ลมหนาว ในสายหมอก, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
พระบรมราชานุสรณ์ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม : สระบุรี - ช้างเผือกอัปมงคล -
“พระเจ้าทรงธรรม”ทรงได้ช้างเผือก ในสามเชือกหนึ่งที่มีอาถรรพณ์ เป็นอัปมงคลร้ายทำลายพันธุ์ ใครได้มันมาครองล้วนต้องตาย
พระทรงธรรมมีอันสวรรคต เรื่องรันทดวิปริตผิดคาดหมาย “วันวลิต”กล่าวอ้างดั่งนิยาย เป็นเรื่องร้ายมีส่วนควรรับฟัง..... |
อภิปราย ขยายความ.......
วันวลิตได้บอกกล่าวเรื่องราวของพระเจ้าทรงธรรมไว้อย่างเหลือเชื่อต่อไปอีกว่า
“ในรัชสมัยของพระองค์ทรงได้ช้างเผือกสามเชือก สองเชือกเกิดในรัชสมัยของพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ประมาณ ๑ ปี พระองค์เสด็จไปเพนียดเพื่อคล้องช้าง ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่เพนียดได้ครู่หนึ่ง ก็มีช้างเผือกรูปร่างประหลาดเดินเข้ามาในเพนียดเอง งาข้างขวาหดสั้นเกือบติดคาง ส่วนงาข้างซ้ายยาวประมาณกึ่งหน้าอกซึ่งบวมเบ่ง หางถูกตัดสั้นกุด และมีจุดดำที่ก้นกบ
ในบรรดาขุนนางที่เฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นมีคนหนึ่งชื่อว่า ออกพระกริต (Oprae Kridt) ซึ่งเมื่อเห็นช้างเผือกนี้เดินเข้ามาก็ร้องไห้ เมื่อมีผู้ถามว่าทำไมจึงร้องไห้ ออกพระกริตก็ตอบว่า “ช้างเชือกนี้มีลักษณะประหลาด แ ละทำให้นึกถึงคำทำนายที่แปลกข้อหนึ่ง
และออกพระกริตก็แอบเล่าให้ออกหลวงชด (Oioangh tiut) ซึ่งเป็นผู้ปกครองแขกมัวร์ว่า “เนื่องจากงาข้างขวาหดสั้นแทบจะไม่มีเลยนั้น ทำนายได้ว่าพระเจ้าแผ่นดินของเราจะสิ้นพระชนม์เร็ว ๆ นี้ เนื่องจากงาข้างซ้ายปลายไม่แหลม ดูแล้วเหมือนฟัน พวกขุนทัพและขุนนางที่เที่ยงธรรมจะเสียชีวิตขณะยังมีอายุน้อย และแผ่นดินนี้ก็สิ้นขุนทัพและขุนนางที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากช้างเผือกมีจุดดำที่ก้นกบ ผู้ที่ขึ้นเสวยราชย์จะเป็นคนชั้นต่ำ และชั่วร้ายกว่าพระเจ้าแผ่นดินของเราองค์นี้ การปกครองบ้านเมืองจะไม่เป็นไปตามขัตติยราชประเพณีหรือโดยเที่ยงธรรม หางที่สั้นกุดแสดงว่าพวกขุนนางจะชั่วร้ายเช่นเดียวกับพระเจ้าแผ่นดิน ลักษณะทรวงอกที่ผิดปกติแสดงว่า ดูภายนอกแล้วพระเจ้าแผ่นดินและขุนนางจะเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความดี แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความหลอกลวง และนำความเดือดร้อนมาสู่พสกนิกร เพราะว่ามีการปกครองที่เลว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และโลภ”
ช้างเผือกเชือกนี้ได้นำไปฝึกที่โรงช้าง แต่ก็ได้ตายหลังเวลาที่จับได้ ๑๖ วัน และลูกน้องของออกญากำแพง ออกญากลาโหม และขุนกำแพง (พันโททหารม้า) ได้นำซากไปฝังอย่างแกน ๆ และต่อมาหลังจากนั้นไม่นาน พวกที่มีส่วนช่วยในการฝังศพช้างเผือกเชือกนี้ก็เสียชีวิตอย่างอเนจอนาถ
ในปีเดียวกันนั้นเอง พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงประชวร ในระหว่างนั้นพระองค์ก็ทรงปรึกษาขุนนาง ขอคำแนะนำว่า ใครจะได้ครองราชสมบัติสืบต่อเนื่องจากพระองค์ พระอนุชา หรือพระราชโอรสองค์ใหญ่ ขุนนางกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า ถ้าหากจะเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว พระอนุชาควรจะได้ขึ้นครองราชย์ ขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่า พระราชโอรสสมควรจะขึ้นครองราชย์ ขุนนางกลุ่มที่สามเห็นว่า สมควรเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดิน และทูลว่า “เจ้าชายทั้งสองพระองค์ทรงมีความสามารถ และพวกเราจะเชื่อฟัง และจะรับใช้เยี่ยงทาสต่อบุคคลใดก็ตามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงเลือกให้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์”
พระเจ้าแผ่นดินทรงแก้ปัญหา โดยทรงทำพินัยกรรมมอบให้พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ไม่ได้ทรงประกาศการตัดสินพระทัยครั้งนี้ให้ทราบทั่วกัน อาการของพระองค์ทรุดหนักลง และทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๓๖ พรรษา เสวยราชย์อยู่ ๑๙ ปี รัชสมัยของพระองค์ไม่มีเหตุการณ์ยุ่งยากใด ๆ และบ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง”
วันวลิต จบเรื่องของพระเจ้าทรงธรรมที่เขาเรียกว่า “พระอินทราชา” ลงแล้ว แต่เรื่องยังไม่ควรจบลงตามคำบอกเล่าของวันวลิตนะครับ เพราะยังมีประเด็นที่แย้งกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตอยู่มาก พรุ่งนี้จะหยิบแต่ละประเด็นที่ขัดแย้งกันมาแสดงต่อไปครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๐ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, เนิน จำราย, ฟองเมฆ, ชลนา ทิชากร, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, รพีกาญจน์, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร : สระบุรี - พระเจ้าติโลกนาถทรงธรรม -
ทรงฝักใฝ่ในธรรมรู้ล้ำลึก “ธรรมกถึก”สอนศิษย์วิเศษสั่ง ด้วยบุญญาบารมีดีประดัง พบที่ฝังรอยบาทพระศาสดา
ได้พระนามความดีเป็นศรีศาสน์ “ติโลกนาถทรงธรรม”งามสง่า ทรงความดีมีพระเดชด้วยเมตตา ปวงปัจจายอมสยบนบพระคุณ..... |
อภิปราย ขยายความ..........
“ดอน เฟอร์นันโด เดอซิลวา” ชาวสเปนที่ “วันวลิต” กล่าวถึงว่า พระอินทราชาทรงเป็นศัตรูนั้น สอบดูแล้วได้ความว่า เขาเป็นกัปตันเรือชาติสเปนที่แล่นเรือมาจากฟิลิปปินส์เข้ามาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา เวลาเดียวกันนั้น มีเรือของชาติฮอลันดาชื่อ กรีน ซีแลนด์ จากปัตตาเวียเข้ามาจอดลอยลำอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงนั้นประเทศชาติฮอลันดาและสเปนกำลังทำสงครามกันอยู่ ดอน เฟอร์นันโด เดอซิลวา พบเห็นเรือชาติฮอลันดาจึงทำการโจมตี และสามารถยึดเรือ Cleen Zeelnt ของฮอลันดาได้ พระเจ้าทรงธรรมทราบแล้วทรงโกรธมากที่สเปนละเมิดน่านน้ำ เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจา จึงทรงยกแสนยานุภาพทัพเรือเข้าโจมตีเรือสเปน ทรงยึดเรือได้ ทรงคืนเรือแก่ฮอลันดาโดยไม่คืนสินค้า แล้วสั่งจำคุกชาวสเปนไว้ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นการขัดแย้งระหว่างกรุงศรีอยุธยากับสเปนเป็นเวลานาน
ความที่วันวลิตกล่าวว่า พระอินทราชา หรือพระเจ้าทรงธรรม ทำสงครามกับล้านช้างและกัมพูชา ทรงบาดหมางกับสเปน ทรงได้ช้างเผือกประหลาด และปรึกษาขุนนางในการตั้งองค์ผู้สืบราชสมบัตินั้น ไม่ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่าและขุนหลวงหาวัด จึงขอนำความในคำให้การของชาวกรุงเก่ามาแสดงเป็นการเปรียบเทียบกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต ดังต่อไปนี้
“ บรรดาข้าราชการทั้งปวงจึงยกพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระสุธรรมราชาขึ้นเปนพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อจุลศักราช ๙๗๙ ปี (พ.ศ. ๒๑๐๖) ถวายพระนามว่าพระเจ้าติโลกนาถ พระเจ้าติโลกนาถมีพระมเหสี ๒ พระองค์ ทรงพระนามว่า จันทราชา พระองค์ ๑ ขัตติยเทวี พระองค์ ๑ พระนางจันทราชามีพระราชธิดา ๔ พระองค์ องค์ที่ ๑ มีพระนามว่าปทุมาเทวี องค์ที่ ๒ พระนามว่าสุริยา องค์ที่ ๓ พระนามว่าจันทาเทวี องค์ที่ ๔ พระนามสิริกัลยา พระนางขัตติยเทวีมีพระราชธิดา ๔ พระองค์ องค์ที่ ๑ พระนามว่าอุบลเทวี องค์ที่ ๒ พระนามว่านภาเทวี องค์ที่ ๓ พระนามว่าอรบุตรี องค์ที่ ๔ พระนามว่ากนิษฐาเทวี
แลพระเจ้าติโลกนาถนั้นมีพระราชนัดดาองค์ ๑ ทรงพระนามว่าสุริยกุมาร (ขุนหลวงหาวัดว่าชื่อ “สุริยวงศ์กุมาร”) เปนเชื้อพระวงศ์ฝ่ายพระราชมารดาของพระเจ้าติโลกนาถ พระสุริยกุมารนี้มีอัธยาศัยผิดกว่าคนธรรมดามาแต่ยังเยาว์ เวลาที่เล่นกับเพื่อนทารกด้วยกันนั้น พระสุริยกุมารให้เอาเครื่องลาด ๆ บนจอมปลวกแล้วเสด็จขึ้นนั่ง ตั้งแต่งพวกทารกให้เปนเสนาบดีแลข้าราชการ แล้วก็เล่นว่าราชการ วินิจฉัยพระราชกฤษฎีการกฎหมาย อย่างทำนองกษัตริย์ ดังนี้เนือง ๆ
พระเจ้าติโลกนาถนั้นทรงรอบรู้พระไตรปิฎกมาก ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งกว่ากษัตริย์ก่อน ๆ ทรงสมาทานศีล ๕ เปนนิจ ทรงสมาทานอุโบสถศีลเดือนละ ๔ ครั้ง ทั้งทรงพระอุสาหะบอกพระไตรปิฎกแก่ภิกษุสามเณร ทรงเล่าเรียนพระกรรมฐาน ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่ชำรุดให้ปรกติขึ้นเปนอันมาก แม้กิจการบ้านเมืองทั้งปวงก็เอาพระราชธุระวินิจฉัยโดยราชธรรมเที่ยงตรง คดีที่ถึงประหารชีวิตทรงลดหย่อนผ่อนให้เบาลงเพียงจำจองพอสมควร คดีที่ควรจะรับพระราชอาญาหนักก็ให้รับแต่อาญาที่เบา คดีที่เบาก็ให้ยกโทษพระราชทานเสียทีเดียว แลพระเจ้าติโลกนาถนั้นทรงพระอุสาหะเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทไม่ใคร่ขาด ครั้นต่อมาทรงเห็นว่าลำบากแก่ข้าราชการนัก นาน ๆ จึงเสด็จครั้งหนึ่ง
พระเจ้าติโลกนาถ ทรงตั้งพระสุริยกุมารให้เปนมหาอุปาราช ทรงมอบราชการบ้านเมืองทั้งสิ้นให้แก่พระสุริยกุมาร ส่วนพระองค์ทรงเปนพระราชธุระแต่กิจทางพระพุทธศาสนา”
คำให้การชาวกรุงเก่ากับขุนหลวงหาวัดเป็นไปในทำนองเดียวกัน ผิดกันแต่ในรายละเอียดของบางเรื่องที่ขุนหลวงหาวัดให้รายละเอียดลึกซึ้งกว่า อย่างเช่นพระนามสุริยกุมารนั้น ขุนหลวงหาวัดว่าพระนามคือ “สุริยวงศ์กุมาร”
เกี่ยวกับการเสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาท (สระบุรี) นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปีจุลศักราช ๙๖๘ ตรงกับพุทธศักราช ๒๑๔๙ กล่าวกันว่า พรานบุญไปล่าสัตว์ ได้พบรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา จึงมีผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูล พระเจ้าติโลกนาถทรงธรรมเสด็จไปทอดพระเนตรแล้วทรงศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จไปนมัสการเป็นประจำทุกเดือน ต่อมาทรงเห็นว่าการเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทในแต่ละครั้ง ทำความลำบากแก่ข้าราชบริพารมาก จึงเปลี่ยนเป็นนาน ๆ จะเสด็จไปสักครั้งหนึ่ง ตามคำให้การของชาวกรุงเก่าข้างต้น
เรื่องของพระเจ้าทรงธรรมยังจบไม่ลงครับ พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังต่อก็แล้วกัน
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๑ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ญี่ปุ่นกับพระเจ้าทรงธรรม -
พระทรงธรรมกำราบคนหยาบช้า ด้วยเมตตาบารมีมิเคืองขุ่น เป็นศัตรูจู่มาทรงการุณย์ เช่น“ญี่ปุ่น”ที่หมายทำร้ายพระองค์
ทรงยกโทษไม่ถือบันลือเกียรติ เว้นการเบียดเบียนใครในประสงค์ ประชาชียกย่องไว้ยืนยง พระนาม“ทรงธรรม”สมที่สมญา.... |
อภิปราย ขยายความ......
ประชุมพงศาวดารภาค ๖๓ ระบุว่า พระเจ้าทรงธรรมครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระศรีสรรเพชฌ์พระองค์ที่ ๔ (เจ้าศรีเสาวภาคย์) แห่งราชวงศ์สุโขทัย โดยไม่นับเนื่องราชวงศ์สุโขทัย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช กลับนับว่าตั้งราชวงศ์ให้เรียกว่าราชวงศ์ทรงธรรม และออกพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑” อีกนัยหนี่งเรียกว่า “สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม” อย่างหนึ่งเรียกว่า “พระเจ้าทรงธรรม”
ไม่ปรากฏในคำให้การขุนหลวงหาวัดและชาวกรุงเก่าว่า พระเจ้าทรงธรรม ทรงทำสงครามกับล้านช้างและกัมพูชา มีแต่เรื่องราวที่ชาวญี่ปุ่นลอบเข้าในพระราชวังเพื่อประหารพระองค์ โดยให้รายละเอียดไว้มากกว่าวันวลิตที่กล่าวอย่างคลุมเครือ ดังที่ยกมาแสดงแล้วนั้น ชาวกรุงเก่าให้การไว้อย่างละเอียดดังต่อไปนี้
“ คราวนั้น มีพวกพ่อค้ายี่ปุ่น บรรทุกสินค้าเข้ามาขายในพระนครศรีอยุธยา ๑ ลำ อำมาตย์คน ๑ เปนคนทุจริต แอบอ้างว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ซื้อสิ่งของต่าง ๆ ครั้นพวกพ่อค้ายี่ปุ่นขายให้แล้ว อำมาตย์ก็เอาเงินแดงให้พ่อค้ายี่ปุ่น ๆ รับเงินแดงไว้ไม่ทันพิจารณา ครั้นอำมาตย์นั้นไปแล้วพ่อค้ายี่ปุ่นจึงเอาเงินออกดูเห็นเปนเงินแดงทั้งนั้น ก็โกรธว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาไม่ตั้งอยู่ในธรรม ใช้เงินแดง จึงให้คนใช้ที่มีฝีมือ ๔ คน ซ่อนอาวุธลอบเข้าไปในพระราชวัง กำลังพระเจ้าติโลกนาถเสด็จออกบอกพระปริยัติธรรมพระสงฆ์อยู่ ครั้นยี่ปุ่นเข้าไปถึงจึงชักอาวุธออกจะทำร้าย แต่ด้วยบุญญาภินิหารของพระเจ้าติโลกนาถ บันดาลให้ยี่ปุ่นทั้ง ๔ คนนั้นชักอาวุธไม่ออก ข้าราชการซึ่งเฝ้าอยู่เห็นพิรุธก็พากันจับค้นอาวุธได้ทั้ง ๔ คน พระเจ้าติโลกนาถจึงรับสั่งถามเอง ว่าเหตุใดพวกเจ้าเหล่านี้จึงซ่อนอาวุธมาจะทำร้ายเรา ญี่ปุ่นทั้ง ๔ จึงทูลว่า พระองค์ใช้อำมาตย์ผู้ ๑ เอาเงินแดงไปซื้อของ ๆ นายสำเภาพวกข้าพเจ้า นายสำเภาโกรธว่าพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ใช้เงินแดง จึงใช้ข้าพเจ้ามาทำร้ายพระองค์ พระเจ้าติโลกนาถจึงรับสั่งให้สืบสวนจับได้อำมาตย์ทุจริตนั้นมาซักถาม ได้ความเปนสัตย์ว่าเอาเงินแดงไปซื้อของยี่ปุ่นจริง จึงพระราชทานเงินดีให้ไปให้แก่นายสำเภา แล้วให้ปล่อยยี่ปุ่นเสียมิได้เอาโทษ
ต่อมาพระเจ้าติโลกนาถ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างวัดสำหรับพระสงฆ์เล่าเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นอีก ๒ วัด คือ วัดพุทไธศวรรย์ ๑ วัดรัตนมหาธาตุ ๑ แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ซ่อมปราสาทกระจกแดง แลปฏิสังขรณ์วัดวาอารามอีกเปนอันมาก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลจนตราบเท่าสวรรคต”
ขุนหลวงหาวัดให้การตอนนี้ละเอียดกว่าชาวกรุงเก่าลงไปอีกว่า
“ครั้นอยู่มาครั้งหนึ่งจึงมีคนร้ายเป็นเสนาข้างฝ่ายทหารขวา ครั้นสำเภาญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายแต่บรรดาสินค้าทั้งปวงที่มา ขุนนางผู้นั้นเข้ากวาดกว้านจำหน่ายเอาเองว่าเป็นภาษีหลวง แล้วจึงเอาเงินทองแดงแต่งไปฉ้อล่อลวงนั้น อันญี่ปุ่นก็สำคัญสัญญาเอาเป็นมั่นว่า พระองค์คิดกันมาทำดั่งนี้ ญี่ปุ่นจึงแต่งทหารสี่คนให้ลอบเข้าไปในกรุง แล้วจึงเข้าไปในพระราชวัง วันนั้นพระองค์เสด็จอยู่ที่หน้าจักรพรรดิพิมานชัย ทรงฟังสวดสำรวจคำหลวงอยู่ ญี่ปุ่นมันล่วงเข้าไปได้จนถึงพระองค์ ผู้ใดมิได้ทักทาย ครั้นญี่ปุ่นถอดกริช อันกริชนั้นติดฝักอยู่ ถอดออกมิได้ดังใจหมาย ก็ยืนจังงังอยู่ที่ตำบลอันนั้น ก็พอพระองค์ทอดพระเนตรแลมาเห็นญี่ปุ่นสี่คนอยู่ที่นั้น พระองค์จึงตวาดด้วยสีหนทภูมี อันญี่ปุ่นทั้งสี่คนนั้นก็ซวนซบสลบอยู่ทันที พระองค์จึงให้จับตัวแล้วไต่ถาม ขุนล่ามก็แปลทันที ญี่ปุ่นจึงว่าเอาเงินทองแดงแต่งไปลวงกันบอกว่าเงินดีที่ในคลัง เป็นกษัตริย์มาฉ้อพ่อค้า ญี่ปุ่นจึงขัดอัฌชาศัย อันคนดีมีสี่คนบัดนี้ จักมาสังหารพระองค์มรณา พระองค์ได้ฟังคำสำนวนญี่ปุ่นว่ากล่าวให้การดังนี้ ก็ทรงพระสรวล จึงตรัสสั่งให้หาเจ้า พระยาศรีสุริยวษ์เข้ามาบัดนี้ จึงสั่งให้พิจารณาหาตัวคนร้าย แล้วให้เอาเงินดีให้มัน อย่าให้ลงโทษทัณฑ์ชีวิตให้ฉิบหาย ถึงญี่ปุ่นก็อย่าทำให้มันวุ่นวาย มันไม่ร้ายเราร้ายไปฉ้อมัน จึ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์รับสั่งแล้วก็ลงมาขมีขมัน จึ่งเรียกญี่ปุ่นทั้งสี่คนมาทันใดก็ส่งตัวให้นายกำปั่นทันที อันที่ฉ้อญี่ปุ่นนั้นก็ลงโทษทัณฑ์ประจานความที่แล้วให้ญี่ปุ่นรู้ว่าคนนี้เป็นคนร้าย แล้วปล่อยเสียดุจมีพระโองการ อันที่ผิดทั้งนี้ควรที่จักทำโทษ พระองค์ก็โปรดมิได้สังหารชีวิตให้ฉิบหาย....”
ขุนหลวงหาวัดและชาวกรงเก่า ระบุพระนามของพระเจ้าแผ่นดินพระงค์นี้ว่า “ติโลกนาถ” ซึ่งแปลได้ว่า พระองค์เป็นที่พึ่งของ ๓ โลก เป็นนัยให้รู้กันว่าทรงสืบสายมาแต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ไตรโลก กับ ติโลก แปลว่า ๓ โลก นาถ แปลว่า ที่พึ่ง) แต่ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ เรียกพระนามว่า พระบรมราชาที่ ๑ บ้าง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรมบ้าง วันวลิตเรียกว่าพระอินทราชา แต่เพราะเหตุที่พระองค์ทรงฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา และเคร่งครัดในการรักษาศีล ปฏิบัติธรรม เป็นอย่างยิ่ง คนทั่วไปจึงเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าทรงธรรม”
เรื่องราวของพระองค์ยังไม่จบเฉพาะ เพราะองค์เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ติดตามต่อไปในวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๒ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" - โอรสนเรศวรครองราชย์ -
ด้วยเหตุผลประจักษ์เป็นหลักฐาน เอกสารไทยฝรั่งต่างภาษา สรุปได้ชัดเจนความเป็นมา “มหาธรรมราชา”นัดดาจริง
คือ“พระเจ้าทรงธรรม”เป็นตามกฎ ที่กำหนดมณเฑียรบาลไว้นานยิ่ง สลับสายพี่น้องครองราชย์ระวิง มีแย่งชิงกันบ้างในบางคราว...... |
อภิปราย ขยายความ..............
มีตำนานในพระราชพงษาวดารกล่าวว่า พระเจ้าทรงธรรมเป็นโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถอันประสูติแต่หญิงสามัญชน ทรงบวชอยู่ในบรรพชิตเพศเป็นเวลานานจนมีสมณะศักดิ์เป็นที่ “พระพิมลธรรมอนันตปรีชา” ต่อมาลาสิกขาออกมาทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ผู้เป็นพระราชโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถอันประสูติแต่พระมารดาที่เป็นพระราชวงศ์ มีศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของพระองค์ เมื่อทรงขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วทรงพระนามว่า “พระเจ้าทรงธรรม” และ “พระบรมทรงธรรม” อีกพระนามหนึ่ง ทรงอยู่ในราชสมบัติ ๑๘ ปี
ตำนานกรุงเก่าในประชุมพงศาวดารภาค ๖๓ ลำดับกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร ก็เป็นสมเด็จพระเอกทศรถ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ หรือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม คือ พระเจ้าทรงธรรม (พระพิมลธรรม) ประเด็นนี้ อาจารย์ขจร สุขพานิช ได้สอบศักราชปีรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถจากพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาและในที่อื่น ๆ ได้ความตรงกันว่า
“พระเจ้าเอกาทศรถมีพระชนม์อยู่มาถึงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๑๕๓ พระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์สมบัติก่อนวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๑๕๔ และหลักฐานสองแหล่งของอังกฤษระบุว่าปี พ.ศ. ๒๑๕๓ เป็นปีที่พระเอกาทศรถสิ้นพระชนม์ ไม่มีหลักฐานอันใดที่กล่าวมานี้ระบุเรื่องพระเจ้าศรีเสาวภาคย์เลย”
พระนาม “ศรีเสาว” ปรากฏในสงครามช้างเผือกที่พระราชพงศาวดารกรุงเก่ากล่าวว่า เป็นโอรสของพระมหาจักรพรรดิ เอาพระทัยใส่ในการรบกับพม่าอย่างเข้มแข็ง จนพระมหินทราธิราชทรงระแวง จึงสั่งให้ประหารชีวิตเสีย พระศรีเสาวพระองค์นี้น่าจะถูกนำมาใส่ในตำนานภายหลังว่าเป็นโอรสพระเอกาทศรถ และครองราชย์อยู่ ๑ ปี ๒ เดือน แล้วถูกพระพิมลธรรมลาสิกขาออกมาชิงราชสมบัติ ซึ่งไม่ควรจะถือเป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ไทย
พระเจ้าทรงธรรมควรนับเนื่องในพระราชวงศ์สุโขทัย เป็นสมเด็จพระศรีสรรเพชฌ์พระองค์ที่ ๔ ต่อจากสมเด็จพระเอกาทศรถ ไม่ใช่ตั้งราชวงศ์ใหม่เป็นพระราชวงศ์ทรงธรรมตามตำนานกรุงเก่า เพราะพระองค์เป็นหลานสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือสมเด็จพระศรีสรรเพชฌ์ ที่ ๑ โดยทั้งขุนหลวงหาวัด (พระเจ้าอุทุมพร) และชาวกรุงเก่าให้การตรงกันว่า พระองค์เป็นเชื้อสายพระสุธรรม หรือ เป็นพระราชนัดดาของพระสุธรรมราชา อันหมายถึงพระมหาธรรมราชาธิราชนั่นเอง
เชื้อสายพระสุธรรม หรือราชนัดดาพระสุธรรมราชา ก็มีแต่โอรสในสมเด็จพระนเรศวร กับ โอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือโอรสพระนางสุพรรณกัลยาเท่านั้น แต่ว่าในเรื่องนี้ สมเด็จพระเอกาทศรถ มีพระราชธิดา ๘ พระองค์ ไม่มีพระราชโอรสเลย ส่วนโอรสพระนางสุพรรณกัลยาอันเกิดจากพระเจ้านันทบุเรงนั้น ตามตำนานก็ว่าถูกประหารสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังเยาว์แล้ว ดังนั้น ก็ยังมีแต่โอรสในสมเด็จพระนเรศวรเท่านั้น
จดหมายเหตุสเปนที่บาทหลวง มาร์เซโล เด ริบาเคเนอิรา จดตามคำบอกของบาทหลวงนิกายฟรานซิสกัน ผู้อยู่ในเหตุการณ์เสด็จทางชลมารคของสมเด็จพระนเรศวรว่า เห็นเรือพระที่นั่งของพระราชกุมาร ตามด้วยพระมเหสี ดังที่ได้ยกมาแสดงแล้วนั้น จึงเป็นไปได้ว่าพระราชกุมารในเรือพระที่นั่ง ซึ่งบาทหลวงฟรานซิสกันเห็นนั้น ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ที่ วันวลิต เข้าใจผิดไปว่าเป็นโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ ทั้งนี้ เพราะวันวลิตเรียกสมเด็จพระนเรศวรว่า พระนริศ เรียกพระเอกาทศรถว่า พระราเมศวร เมื่อได้ยินชาวกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า พระเจ้าทรงธรรมเป็นโอรสสมเด็จพระนเรศวร วันวลิตก็ฟังเป็น สมเด็จพระราเมศวรไป
จดหมายเหตุฟานฟลีต หรือ วันวลิต บันทึกเรื่องของพระเจ้าปราสาททองไว้ว่า ก่อนจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นพระหมื่นศรีสรรักษ์ ทำความผิดอย่างร้ายแรงโทษถึงประหารชีวิต ถูกพระเจ้าแผ่นดิน คือ พระเจ้าทรงธรรม ใช้พระแสงดาบฟันขาทั้งสองข้างแล้วจับโยนเข้าไปไว้ในคุกมืด จำโซ่ตรวนขังไว้นานถึง ๕ เดือน “เจ้าขรัวมณีจันทร์” พระชายาม่ายของพระองค์ดำ คือสมเด็จพระนเรศวร ทูลขออภัยโทษ จึงพ้นโทษแล้วกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าขรัวมณีจันทร์” พระชายาม่ายของพระองค์ดำนี้ เป็นพระองค์เดียวกันกับ “พระมณีรัตนา” มเหสีในพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระนเรศวร และคือ พระราชมารดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ที่บาทหลวงฟรานซิสกันพบเห็นในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ดังนั้น พระนางจึงทูลขออภัยโทษให้พระหมื่นศรีสรรักษ์ได้สำเร็จ
จึงขอสรุปว่า พระเจ้าทรงธรรม เชื้อสายพระสุธรรม-พระนัดดาของพระสุธรรมราชาพระองค์นี้ คือ พระราชโอรสในสมเด็จพระนเรศวร อันประสูติแต่พระนางมณีรัตนา หาใช่พระราชโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถตามที่วันวลิตกล่าว และ ตามคำบอกเล่าในตำนานพระราชพงษาวดารไม่
เมื่อทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระนเรศวร ก็ชอบที่จะขึ้นครองราชย์สืบต่อจากสมเด็จพระเอกาทศรถพระเจ้าอา ตามกฎมณเฑียรบาล ที่กำหนดขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย ที่กำหนดให้โอรสพระเจ้าแผ่นซึ่งมีหลายพระองค์นั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต ให้โอรสองค์โต ครองบัลลังก์แทน ให้อนุชาเป็นอุปราชา เมื่อพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ ก็ให้อนุชาครองบัลลังก์แทน แล้วให้ โอรสของพระเชษฐาเป็นอุปราชาสลับกันอย่างนี้ตลอดไป มีบางช่วงบางตอนที่เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต แทนที่อุปราชจะได้ครองบัลลังก์ โอรสพระเจ้าแผ่นดินกลับแซงขึ้นครอง จนเป็นเหตุให้อุปราชต้องใช้กำลังชิงบัลลังก์ อย่างเช่นสมัยพระงั่วนำถมสิ้นพระชนม์ พระโอรสขึ้นครองสุโขทัย พระยาลิไทอุปราชจำต้องยกกำลังจากศรีสัชนาลัยลงมาชิงบัลลังก์ตามสิทธิ์ของพระองค์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีสมัยที่ สมเด็จบรมราชาหน่อพุทธางกูรสวรรคต ขุนนางยกพระโอรสขึ้นครองบัลลังก์ พระชัยราชาจำต้องยกกำลังจากพิษณุโลกลงไปชิงบัลลังก์ครองตามสิทธิ์อันชอบธรรม เป็นต้น
ขอจบเรื่องพระเจ้าทรงธรรมไว้เพียงแค่นี้ ท่านผู้ใดมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือคัดค้านความที่กล่าวมา ก็ยินดีรับฟังและแก้ไขให้ถูกต้อง เป็นประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ต่อไป
พรุ่งนี้ “แลหลังอยุธยา” ตอนต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าปราสาททองครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๓ มกราคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, เนิน จำราย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระเชษฐราชา -
พระเจ้าทรงธรรมครั้นสวรรคต ความปรากฏสับสนคำคนกล่าว ผู้สืบราชบัลลังก์ไม่ยั้งยาว ควรสืบสาวราวเรื่องเบื้องหลังดู
ขุนหลวงหาวัดทั้งชาวกรุงเก่า ต่างบอกเล่าข้อความเรื่องงามหรู วันวลิตกล่าวอ้างอย่างผู้รู้ เหตุเพราะอยู่ร่วมสมัยใกล้เหตุการณ์..... |
อภิปราย ขยายความ...........
หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าทรงธรรม ก็เป็นช่วงผลัดแผ่นดินใหม่ ขุนหลวงหาวัดกับชาวกรุงเก่าให้การแก่พระเจ้าอังวะไว้ว่า พระเจ้าทรงธรรมทรงตั้งพระศรีสุริยวงศ์กุมารเป็นอุปราชแล้ว ครั้นพระองค์สวรรคตโดยที่ไม่มีมีพระราชโอรส พระราชนัดดาผู้เป็นอุปราชจึงขึ้นครองราชสมบัติ โดยไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไร
ส่วนในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ ว่าด้วยตำนานกรุงเก่ากล่าวว่าหลังจากพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตแล้ว พระราชโอรสนามว่า พระเชษฐราชา ขึ้นครองราชสมบัติเรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระบรมราชา พระองค์ที่ ๒ จัดอยู่ในราชวงศ์ทรงธรรม ครองราชย์ได้ ๑ ปี ๗ เดือน
แต่ อาจารย์ขจร สุขพานิช ตรวจสอบจนได้ความแน่ชัดแล้วว่า ทรงครองราชย์อยู่ ๘ เดือน ในปี พ.ศ. ๒๑๗๑-๒๑๗๒ คาบเกี่ยวกัน ซึ่งก็ตรงกันกับพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาและวันวลิต
พระเชษฐราชาสวรรคตได้ ๔ ปี วันวลิตก็ได้เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา ดังนั้น เรื่องราวในสมัยพระเชษฐราชาจึงควรถือว่าวันวลิตรู้ดีกว่าใคร ๆ ที่เขียนตำนานและพงศาวดารตอนที่ว่าด้วยพระเชษฐราชา และพระเจ้าปราสาททอง จึงขอนำความที่เขาเขียนไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและจดหมายเหตุ ฟานฟลีต มาแสดงโดยสรุปความดังต่อไปนี้
“พระเชษฐราชา พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๓ แห่งสยาม เสวยราชย์อยู่ ๘ เดือน พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระอินทราชา (พระเจ้าทรงธรรม) ขึ้นเสวยราชย์ (ขัดต่อกฎมณเฑียรบาล) เมื่อพระชนม์ได้ ๑๕ พรรษา ทรงมีพระนามว่า พระองค์เชษฐราชา”
ทรงเป็นเจ้าชายที่มีอารมณ์รุนแรง และเอาพระทัยยาก จึงเป็นที่หวั่นเกรงกันว่าพระองค์จะปกครองประเทศอย่างเข้มงวด ทรงไม่สนใจกิจการใด ๆ ทั้งสิ้น ตัณหาจัด ไร้ความคิด ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความสำราญมากกว่าปกครองบ้านเมือง
พระอนุชาของพระอินทราชา (หรือพระปิตุลาของพระองค์) ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ แต่ถูกปฏิเสธ ก็ทรงสละทางโลกหันเข้าหาร่มผ้ากาสาวพัสร์ ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อรักษาชีวิตของพระองค์เองไว้ เนื่องจากพระองค์ถูกขู่คุกคาม อย่างไรก็ดี พระองค์ก็ทรงเฝ้าดูความประพฤติและพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์อย่างใกล้ชิด ทรงเข้าพระทัยดีกว่าทำไมขุนนางและประชาชนจึงเกลียดชังพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อสบโอกาสจึงลาผนวชเสด็จไปบางกอก ซ่องสุมผู้คนอย่างลับ ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อต่อต้านพระเจ้าแผ่นดิน”
ขออนุญาตสรุปเอาแต่ใจความที่วันวลิตเขียนรายละเอียด ตอนที่พระเชษฐราชาทรงทราบเรื่องที่พระเจ้าอา (ไม่ใช่ลุง) ลาผนวชไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่บางกอกนั้น ความสำคัญว่า ทรงให้พระยากลาโหมนำกองทัพญี่ปุ่นไปปราบปรามพระเจ้าอา (นามว่า ศรีศิลป์ หรือ ศรีสิน) พระเจ้าอาไม่สู้รบ จึงหลบหนีไปอยู่เมืองเพชรบุรี พระยากลาโหมยกกำลังตามไปจับกุมพระองค์ได้นำมาถวาย พระเชษฐราชาไม่ประหารชีวิตในทันที แต่ทรงทรมานหมายให้ตายด้วยการอดอาหารในคุกดินที่เพชรบุรี แต่พระภิกษุสงฆ์ที่รักในพระศรีศิลป์ ลอบขุดอุโมงค์นำอาหารเข้าไปในคุก ให้เสวยอาหารและยาจนมีพละกำลังแข็งแรงดีแล้วนำออกจากคุกดิน ไปตั้งซ่องสุมกำลังเพื่อชิงราชบัลลังก์ให้จงได้ ความทราบถึงพระเชษฐราชา จึงให้พระยากลาโหมยกกำลังไปจับกุมพระองค์ได้อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ พระเชษฐราชาสั่งให้ประหารชีวิตเสียทันที ก่อนถูกประหาร พระศรีศิลป์ขอโอกาสกราบทูลข้อความบางอย่าง เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงกราบทูลเตือนใจและคำแนะนำเป็นแก่นสารแก่พระเจ้าแผ่นดิน ในตอนท้ายกล่าวว่า “พระเจ้าแผ่นดินไม่ควรจะทรงไว้ใจออกญากลาโหม หรือ ให้ออกญากลาโหมมีอำนาจมากเกินไป ทรงเพิ่มเติมว่า ออกญากลาโหมเป็นสุนัขจิ้งจอกที่แยบยล จะแย่งมงกุฎจากพระเศียรพระองค์ จะฆ่าพระองค์ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นของพระราชบิดา และจะปกครองอาณาจักรดุจราชสีห์”
พระเชษฐราชามิได้เอาพระทัยใส่ในคำกราบทูลนั้น ตรัสสั่งให้นำพระเจ้าอาไปประหารทันที พระองค์ถูกนำไปสู่ป่าช้าที่เงียบเหงา แล้วบังคับให้นอนบนพรมสีแดง แล้วทุบพระอุระด้วยท่อนจันทน์จนสิ้นพระ ชนม์ จากนั้น ทั้งพระศพและท่อนจันทน์ห่อหุ้มด้วยพรมสีแดง ถูกโยนลงบ่อน้ำไป เมื่อทรงประหารพระเจ้าอาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเพิ่มความประมาท หยิ่งผยองให้แก่พระองค์เอง แล้วกดขี่บรรดาขุนนางทั้งหลาย จนเป็นที่รังเกียจของขุนนาง ส่วนพระยากลาโหมนั้นทำตัวเป็นมิตรแก่ทุกคนจนเป็นที่รักแก่คนทั่วไป..”
ตามเรื่องมาถึงตรงนี้ ก็พบพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งของสมเด็จพระนเรศวร คือพระศรีศิลป์ ราชอนุชาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ส่วนพระศรีศิลป์จะประสูติแต่พระนางมณีรัตนา (เจ้าหญิงไทย) หรือ พระนางโยธยามี้พระยา (เจ้าหญิงพม่า) และ หรือ พระนางเอกกษัตรี (เจ้าหญิงกัมพูชา) ยังไม่พบข้อมูลครับ
พรุ่งนี้ ดูบทบาทพระยากลาโหมต่อไปนะครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๔ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, เนิน จำราย, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระอาทิตยสุรวงศ์ -
ฝ่ายพระยากลาโหมวางแผนโหด ให้เห็นโทษพระราชาความดีด้าน ประชาชีเริ่มชังแช่งประจาน ล้วนรำคาญติฉินเฝ้านินทา
พระยากลาโหมเหี้ยมเด็ดขาด ยึดอำนาจง่ายดายไร้ปัญหา ให้ประหารพระเชษฐราชา พระน้องยายังเยาว์เอาขึ้นแทน... |
อภิปราย ขยายความ...........
ในขณะที่พระเชษฐราชาเหลิงพระราชอำนาจนั้น พระยากลาโหม (คือพระหมื่นศรีสรรักษ์ เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา) ก็วางแผนยึดครองบัลลังก์ โดยสร้างสัมพันธไมตรีในเหล่าขุนนาง จนกระทั่งมีอำนาจเหนือพระเจ้าแผ่นดิน
วันวลิต กล่าวไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า ในคราวที่น้องชายพระยากลาโหมเสียชีวิต มีการจัดงานศพใหญ่โต ปรากฏว่าขุนนางส่วนมากพากันไปร่วมงาน จนในท้องพระโรงว่าง ขุนนางเข้าเฝ้าพระเชษฐราชาตรัสถามผู้ที่เข้าเฝ้าว่าเหล่าเสนาข้าราชการไปไหนกันหมด ทำไมไม่เข้าเฝ้าเหมือนก่อน ทรงทราบว่า ขุนนางทั้งหลายพากันไปร่วมงานศพน้องชายพระยากลาโหม ก็ทรงพิโรธ ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าตั้งใจไว้แล้วว่า แผ่นสยามนั้นจะต้องมีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว และพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นก็คือข้า ออกญากลาโหมเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สองหรือ ข้าไม่ยักรู้ เอาเถิด ปล่อยให้มันและพวกพ้องกลับมาถึงราชสำนักก่อน แล้วข้าจะให้รางวัลในการกระทำของพวกมันอย่างเต็มที่” มีขุนนางผู้หนึ่งนำความไปบอกเล่าแก่ออกญากลาโหม เขาแสร้งแสดงอาการตกใจและวุ่นวายใจ แล้วกล่าวให้พวกขุนนางในที่นั้นได้ยินกันทั่วไปว่า “เรายินดีที่จะตายถ้าหากเลือดเนื้อของเราจะทำให้พระเจ้าแผ่นดินหายโกรธพวกเราได้ และกล่าวเพิ่มเติมในทำนองยุแหย่ว่า “ถ้าข้าซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาพวกเรา จะต้องสิ้นชีวิตลงแล้ว พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร” บรรดาขุนนางเหล่านั้นได้ฟังแล้วก็พากันหวั่นวิตก เกรงว่าถ้าพระยากลาโหมถูกประหารแล้ว พวกเขาก็คงต้องถูกประหารด้วยเช่นกัน จึงตกลงใจสาบานกันว่า จะสนับสนุนพระยากลาโหมทุกประการ จากนั้นก็นัดแนะกันที่จะโค่นล้มพระเจ้าแผ่นดินต่อไป
เย็นวันนั้น พระยากลาโหมก็พาทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในพระราชวัง พวกขุนนางทั้งหลายก็พากันรวบรวมพวกพ้องเข้าสมทบโดยพร้อมเพรียงกัน พระเจ้าเชษฐราชาทราบเรื่องดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงรีบหลบหนีข้ามแม่น้ำไปโดยเร็ว พระยากลาโหมติดตามจับพระองค์ได้ แล้วก็ให้นำไปประหารเสียในสถานที่เดียวกันกับที่ประหารพระศรีศิลป์ โดยกระทำเช่นเดียวกันกับที่ทำแก่พระศรีศิลป์ทุกประการ คำเตือนของ พระศรีศิลป์ที่พระเจ้าเชษฐราชาไม่เชื่อนั้นก็เป็นจริงขึ้นมาแล้ว หลังจากประหารพระเจ้าเชษฐราชาแล้ว พระยากลาโหมก็แสร้งเสนอยกอนุชาพระเชษฐราชาผู้มีพระชนม์เพียง ๑๐ พรรษา ขึ้นครองราชย์สมบัติเฉลิมพระนามว่า พระองค์อาทิตยสุรวงศ์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามองค์ที่ ๒๔
พระยากลาโหมได้ประหารพระเชษฐราชา พระราชมารดา และพวกพ้องของพระเชษฐราชาจำนวนหนึ่งบ้าง ถอดยศปลดตำแหน่งและเนรเทศผู้ที่มิใช่พรรคพวกตนบ้าง จากนั้นจึงพร้อมกับพระยาพระคลัง แอบไปพบออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) แม่กองอาสาญี่ปุ่นเพื่อหยั่งความในใจของออกญาผู้นี้ ได้กล่าวในเชิงปรึกษาว่า “บ้านเมืองไม่อาจตั้งอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่เพิ่งสวรรคตนี้ ได้ทิ้งพระราชโอรสและพระราชธิดาเล็ก ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก..ฯ.. การที่จะไว้วางใจยกเจ้าชายองค์น้อย ๆ ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น น่าที่จะเป็นอันตราย เป็นที่น่าสังเวชที่จะเห็นเด็กปกครองอาณาจักรที่ยิ่งด้วยอำนาจ เขาขอร้องให้ออกญาเสนาภิมุขลงความเห็นว่าจะเป็นการโง่หรือไม่ ที่จะเลือกขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งซึ่งสมควรปกครองแผ่นดิน และสมควรได้สวมมงกุฎชั่วคราว จนกว่าเจ้าชายจะอยู่ในภาวะที่จะปกครองประเทศด้วยตนเองได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความยุ่งยากทั้งมวล ตามความคิดนี้ ขุนนางผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องไม่เห็นแก่เกียรติยศและเข้าปฏิบัตินี้ในอำนาจของรัชทายาทอย่างแท้จริง ฯลฯ
ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) ก็แนะนำให้ตั้งเจ้าชายซึ่งทรงพระเยาว์ พระอนุชาพระเชษฐราชาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และให้พระยากลาโหมทำหน้าที่ถวายคำแนะนำพระเจ้าแผ่นดินว่าราชการ พระยากลาโหมทำกิริยาอิดเอื้อนพอเป็นพิธี แล้วก็รับดำเนินการตามคำแนะนำของออกญาเสนาภิมุข ครั้นเมื่อมีการประชุมขุนนางปรึกษาหารือในเรื่องนี้ ที่ประชุมจึงตกลงให้ยกพระองค์อาทิตยสุรวงศ์ พระชันษา ๑๐ พรรษา ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้พระยากลาโหมเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ความจริงออกญากลาโหมมีแผนการยึดครองตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต จึงวางแผนให้พระเชษฐราชาประหารพระศรีศิลป์เพื่อขจัดเสี้ยนหนามอันดับแรกออกไปเสีย จากนั้นจึงกำจัดพระเชษฐราชาให้พ้นทาง และไม่ผลีผลามยึดครองบัลลังก์ ด้วยเกรงว่าจะไม่ราบรื่น เนื่องจากยังมีพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมเหลืออยู่อีก ๓ พระองค์ จึงขอเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก่อน และเห็นว่ามีขุนนางผู้มีอำนาจมากเป็นอุปสรรคอยู่อีก ๒ คน คือ ออกญากำแหง กับ ออกญาเสนาภิมุข จำต้องกำจัดทั้งสองคนนี้เสียก่อน ตนจึงจะมีอำนาจสมบูรณ์ได้ ดังนั้นจึงพยายามยุแหย่ให้พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์ชิงชังรังเกียจออกญากำแหง จนในที่สุดออกญากลาโหมได้กราบทูลว่า ออกญากำแหงเป็นตัวการทำให้พระเจ้าแผ่นดินหลบหนีไป แล้วบังอาจขึ้นนั่งบนบัลลังก์ แต่งกายด้วยเครื่องกษัตริย์ ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนพระเชษฐราชา พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่อตามคำกราบทูลนั้น จึงสั่งจับกุมคุมขัง ถอดถอนยศตำแหน่งและริบทรัพย์สมบัติข้าทาสบริวารเสียสิ้น และก็ให้ประหารชีวิตเสียในที่สุด”
คำกราบทูลของพระศรีศิลป์ที่ว่า พระยากลาโหมเป็นสุนัขจิ้งจอกที่แยบยล แต่พระเชษฐราชาไม่เชื่อ แล้วก็เป็นจริงดังคำกราบทูลนั้น จากคำกล่าวของวันวลิตที่ยกสรุปย่อมานี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า พระยากลาโหมเป็นอย่างไร เรื่องของท่านยังจบไม่ลง
พรุ่งนี้มาดูกันต่อไปครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, เนิน จำราย, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- กำจัดเยาวกษัตริย์ -
วางแผนการณ์กำจัดกษัตริย์น้อย โดยค่อยค่อยทีละขั้นสำคัญแสน ให้“เสนาภิมุข”ไปต่างแดน ดำเนินแผนการแอบอย่างแยบยล
ปั่นหัวขุนนางใหญ่ให้เห็นด้วย พร้อมเอออวยสอพลอร่วมฉ้อฉล ยึดตำแหน่งเจ้าแผ่นดินสิ้นมณฑล ปลงพระชนม์ราชาไร้ปรานี |
อภิปราย ขยายความ......
ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) ทราบภายหลังว่าออกยากำแหงถูกประหารชีวิตแล้วก็โกรธพระยากลาโหม ด้วยรู้แก่ใจว่าเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักของตนถูกประหาร แต่ก็ไม่รู้จะทำประการใด เพราะขณะนั้นพระยากลาโหมมีอำนาจที่สุด จึงงดไปวังเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับพระยากลาโหม การณ์เป็นดังนั้น พระยากลาโหมจึงพยายามหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนออกญาเสนาภิมุข หมายมั่นจะปรับความเข้าใจให้มิตรภาพอันดีกลับคืนมา แต่ออกญาเสนาภิมุขไม่ยอมให้เข้าพบ จนกระทั่งมีจังหวะเหมาะเมื่อมีพ่อค้าชาวฮอลันดาชื่อ นายเซบอลด์ วอนเดอร์เรียร์ (Sebald Wondereer) ผู้ทำการค้าโดยเสรีเป็นกัปตันเรือรับส่งสินค้าชื่อ “เพิล” และเป็นผู้เก็บผลประโยชน์รายได้ของอินเดียตะวันออกที่เมืองปัตตาเวีย ได้เดินทางมาถึงน่านน้ำไทย กรุงศรีอยุธยา
พระยากลาโหมเกรงว่าพ่อค้าชาวฮอลันดาดังกล่าวจะไปเข้ากับออกญาเสนาภิมุข จึงรีบออกไปต้อนรับเจรจา และกล่าวถึงเหตุการณ์มิสู้ดีของบ้านเมือง เพื่อให้กัปตันระมัดระวังในการวางตัวและไม่กระทำการใด ๆ หากถูกบังคับให้เข้าเป็นพรรคพวกของฝ่ายใด ขอให้พิจารณาแต่เฉพาะเรื่องที่จะเป็นผลประโยชน์ของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น พร้อมกันนั้นก็ได้มอบดาบโค้งจากพระคลังเล่มหนึ่งแก่กัปตัน ดาบเล่มนี้มีกระบังและลวดลายฝักดาบเป็นทองฝังพลอย สร้างความพึงพอใจแก่กัปตันเป็นอย่างมาก จากนั้น พระยากลาโหมก็ให้คนปล่อยข่าวลือแพร่ไปว่า “ออกญาเสนาภิมุขได้ทำความตกลงกันเป็นพิเศษกับกัปตันเรือผู้นี้ และว่าออกญาเสนาภิมุขมีเจตนาจะรวมกำลังลูกเรือสินค้าเข้ากับกองทหารญี่ปุ่นของตน เพื่อเข้าโจมตีพระเจ้าแผ่นดินในพระราชวังหลวง” ข่าวลือนี้สร้างความหวาดวิตกแก่ขุนนางและราษฎร จนคนเหล่านั้นพากันพกศัสตราวุธติดตัวตลอดเวลา
พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์ทรงสดับข่าวลือนี้แล้วเกิดความสงสัยจึงตรัสเรียกออกญาเสนาภิมุขเข้าเฝ้า แต่ออกญาเสนาภิมุขไม่ยอมเข้าเฝ้า อ้างว่าป่วย เพื่อปิดบังความหวาดกลัวของตน จังหวะนั้น พระยากลาโหมก็ได้โอกาสเข้าเยี่ยมเยือนที่บ้าน และได้กล่าวคำแก้ตัวทุกเรื่องทุกประเด็นที่ออกญาเสนาภิมุขไล่เลียงจนสิ้นความสงสัย และทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญาทำสัตย์สาบานเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
พระยากลาโหมวางแผนกำจัดออกญาเสนาภิมุข โดยมีหนังสือเชิญตัวเจ้าเมืองตามหัวเมืองไกล ๆ เข้ามายังราชสำนักเพื่อถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาต่อพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้งหนึ่ง พระยานครศรีธรรมราชมิได้เดินทางเข้ามาตามหนังสือเชิญ เพราะไม่ไว้วางใจชาวปัตตานีที่กำลังบีบคั้นรุกรานจ้องจะทำสงครามด้วย และชาวเมืองเองก็กำลังจะลุกฮือก่อขบถ จึงส่งตัวแทนพร้อมถือหนังสือคำแก้ตัว นำกราบบังคมทูลความจำเป็น และยืนยันความจงรักภักดีที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวในฐานะกษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของอาณาจักรสยาม จึงเป็นเหตุให้พระยากลาโหมได้ช่องทางกำจัดออกญาเสนาภิมุข โดยเสนอให้พระออกญาเสนาภิมุขเป็นเจ้าเมืองนครแทนพระยานครคนเก่าที่ต้องหาเป็นขบถ ออกญาเสนาภิมุขมิอาจบ่ายเบี่ยงได้ เพราะเขาใช้วิธี “มัดมือชก” โดยกราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดิน ประกาศแต่งตั้งในที่ประชุมขุนนาง ให้ออกญาเสนาภิมุขดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนคร ทรงสวมชฎารูปกรวยแหลมให้ นับเป็นพิธีมอบเกียรติยศซึ่งไม่เคยกระทำให้แก่บุคคลใดมาก่อน แทนที่ออกญาเสนาภิมุขจะดีใจ เขากลับไม่พอใจจนแสดงออกให้พระยากลาโหมเห็นได้ พระยากลาโหมจึงพยายามเอาอกเอาใจ มอบทรัพย์สินเงินทองให้มากมาย จากนั้น ออกญาเสนาภิมุขได้ถวายสัตย์ปฏิญาณรับตำแหน่งพระยานคร แล้วเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยทหารญี่ปุ่นทั้งหมดไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ท่ามกลางความยินดีปรีดาของพระยากลาโหมเป็นที่สุด
จากนั้น พระยากลาโหมได้กล่าวยุยงเกลี้ยกล่อมพวกขุนนางให้เห็นคล้อยตามว่า พระเจ้าแผ่นดินยังเยาว์และพระนิสัยหยาบ ควรให้ได้รับการกล่อมเกลาอุปนิสัย โดยส่งไปรับการศึกษาอบรมอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์ในวัด และให้พระยากลาโหมปฏิบัติหน้าที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนจนกว่าพระองค์จะบรรลุนิติภาวะ จึงค่อยมอบให้ครองบัลลังก์ต่อไป ครั้นที่ประชุมขุนนางเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงเชิญเยาวกษัตริย์ไปประทับอยู่ในพระอาราม แล้วยกพระยากลาโหมขึ้นเป็น “พระเจ้าแผ่นดินชั่วคราว” จากนั้นไม่นาน พระยากลาโหมก็กล่าวคำโน้มน้าวให้บรรดาขุนนางใหญ่น้อยเห็นด้วยกับตนในการกำจัดพระอาทิตยสุรวงศ์ เยาวกษัตริย์เสียจาการาชบัลลังก์ แล้วยกพระยากลาโหมขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป วันวลิตได้กล่าวความตอนที่นำเยาวกษัตริย์ไปประหารไว้ว่า......
“.....พระเจ้าแผ่นดินผู้เยาว์ถูกนำมาจากสำนักศึกษาโดยทันที แล้วใช้อุบายเล่ห์กลให้พระองค์ทรงเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วนำพระองค์ไปยังสถานที่เดียวกับที่พระปิตุลาและพระเชษฐากับพระราชมารดาถูกสำเร็จโทษอย่างไร้มนุษยธรรม ทั้งนี้ก่อให้เกิดความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงในหมู่ราษฎรผู้จงรักภักดีทั้งปวง เยาวกษัตริย์พระองค์นี้ได้ขึ้นเสวยราชย์เพียง ๓๖ วันเท่านั้น ขณะเมื่อพระองค์ทรงถูกถอดออกจากราชบัลลังก์เพื่อมาสู่ตะแลงแกง เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงสถานที่ประหารชีวิต ทรงคร่ำครวญร่ำไห้และตรัสว่า “ทำไมฉันต้องตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๑๑ ปีด้วยเล่า ? ยังไม่เพียงพออีกหรือที่ที่ประชุมกระหายเลือดได้สำเร็จโทษพระปิตุลา พระเชษฐา และพระมารดาของฉัน แล้วจะแย่งมงกุฎไปจากฉันโดยไม่ต้องสำเร็จโทษฉันมิได้หรือ ? ปล่อยให้คนซึ่งได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์เขาครองสมบัติไปซิ แล้วให้เขาเหล่านั้นยอมให้ฉันมีชีวิตต่อไปเถิด” .....ถ้อยคำเหล่านี้สั่นสะเทือนหัวใจของคนทุกคนซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น แม้แต่เหล่าเพชฌฆาตก็แสดงความโศกเศร้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น คนเหล่านั้นก็จำต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่ง เยาวกษัตริย์พระองค์นี้จึงต้องสวรรคต”
ก็เป็นอันว่าขวากหนามบนเส้นทางเดินสู่ราชบัลลังก์พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาของพระยากลาโหม ได้ถูกกำจัดกวาดทิ้งสิ้นแล้ว เรื่องใน “แลหลังอยุธยา” จะดำเนินต่อไปอย่างไร อ่านต่อกันในวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพืธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, เนื้อนาง นิชานาถ, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), กลอน123, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, ก้าง ปลาทู, เนิน จำราย, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
รูปปั้นของยามาดะ นางามาสะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข ซามูไรอโยธยาภายในหมู่บ้านญี่ปุ่น : อยุธยา - พระเจ้าปราสาททอง -
ยามะดะ“ออกญาเสนาภิมุข” ถมความทุกข์ราษฎร“นครศรี” กระทำบาปหยาบหยามสิ้นความดี ประชาชีเกลียดชังหมดทั้งเมือง
“พระเจ้าปราสาททอง”ครองอำนาจ พระองค์คาดการณ์ถูกไปทุกเรื่อง วางแผนฆ่า“ยามะดะ”ไม่สิ้นเปลือง ใช้ปมเขื่องพวกมันฆ่ากันเอง |
อภิปราย ขยายความ...........
วันวลิตกล่าวว่า ในปี ค.ศ. ๑๖๒๙ (พ.ศ. ๒๑๗๒) นั้น หลังจากประหารเยาวกษัตริย์แล้ว พระยากลาโหมผู้มีชนมายุได้ ๓๐ ปี ก็ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีพิธีราชาภิเษกใหญ่โต ได้เฉลิมพระนามว่า “พระองค์ศรีธรรมราชาธิราช” ทรงนำพระธิดาคนโตของพระขนิษฐาพระเจ้าทรงธรรมมาเป็นชายาองค์ที่ ๔ ต่อจากที่มีอยู่แล้ว ๓ พระองค์ พระธิดาองค์รองมอบให้พระอนุชาของพระองค์ที่ทรงสถาปนาเป็นอุปราชในคราวดียวกัน พระองค์ปรารถนาได้พระราชมารดาของพระเชษฐราชาซึ่งเป็นสตรีงามที่สุดคนหนึ่งในสยามมาเป็นสนม แต่พระนางไม่ยอมรับ ทั้งยังตรัสว่า “พระเจ้าแผ่นดินเจ้าชีวิตของฉันไม่มีอีกแล้ว และโอรสของฉันก็สวรรคตแล้วด้วย ฉันก็เหนื่อยหน่ายต่อชีวิต ฉันเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทั้งสองพระองค์นั้นอีก แต่ขณะที่ฉันมีชีวิตอยู่ ร่างกายของฉันต้องอยู่อย่างบริสุทธิ์ และจะไม่ยินดีในโจรแย่งราชสมบัติและทรราชผู้นี้เลย”
พระเจ้าแผ่นดินกริ้วต่อการปฏิเสธคำตอบที่เผ็ดร้อนและการตำหนิติเตียนอันรุนแรงนั้นยิ่งนัก จึงสั่งให้คร่าตัวนางไปที่ริมฝั่งน้ำ แล้วให้สับร่างนางออกเป็น ๒ ท่อน เอาส่วนหัวติดตรึงขาหยั่งไม้ไผ่ ปักประจานไว้ พระสงฆ์เห็นไม่น่าดู จึงขอร้องให้เลิกกระทำเช่นนั้น จึงทรงให้นำลงมาจัดการเผาโดยปราศจากพิธีรีตอง
จากนั้นก็เอานางสนมอื่น ๆ และพระธิดาพระเจ้าทรงธรรมที่ยังสาวและมีโฉมสะคราญมาเป็นสนม ผู้ที่ปฏิเสธตำแหน่งจะถูกประหารอย่างทารุณ ส่วนสตรีที่มีวัยค่อนชราแล้วก็ถูกกักกันอยู่ในวัง อันเป็นที่อยู่ของนางสนมเป็นอันมาก และได้รับการเลี้ยงดูอย่างแร้นแค้น
พระองค์ศรีธรรมราชาธิราช หรือพระเจ้าปราสาททอง เปลี่ยนนิสัยจากพระยากลาโหมมาเป็นโหดเหี้ยม จนเป็นที่สยดสยองหวาดกลัวกันทั่วไป เช่นให้ผ่าร่างของคนที่แสดงความรักความอาลัยในพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน เป็นต้น ความโหดเหี้ยมร้ายกาจในการลงพระอาญา เป็นเหตุให้คนในกรุงศรีอยุธยาพากันปิดกั้นความเศร้าโศกเสียใจไว้โดยสิ้นเชิง
คราวนี้มาดูความเป็นไปของ ยามาดะ นางามาสะ หรือออกญาเสนาภิมุขบ้าง วันวลิตกล่าวถึงชาวญี่ปุ่นผู้เข้ามาได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนักสยามผู้นี้ต่อไปว่า ..... เมื่อออกญาเสนาภิมุขเจ้าเมืองนครคนใหม่ถึงนครศรีธรรมราชก็แสดงความโหดเหี้ยมทารุณให้ทุกคนเห็น โดยดำเนินการปราบจลาจลทั้งปวงทันที จนกระทั่งไม่มีพวกกบฏคนใดกล้าแสดงตน เขาสืบทราบว่าผู้ใดลอบตั้งตนเป็นหัวหน้าก่อการจลาจลใหม่ ก็จะจับตัวลงโทษด้วยการประหารอย่างโหดเหี้ยม บางคนถูกลงโทษทารุณด้วยวิธีอื่น ๆ บางคนถูกเนรเทศ และคนเหล่านั้นจะถูกริบทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ทรัพย์ที่ยึดมานั้นก็จะแจกจ่ายไปในบรรดาทหารญี่ปุ่นของตน เขาได้รับคำปรึกษาแนะนำจากเจ้าเมืองนครคนเก่า ที่ตั้งไว้ในตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษา
ออกญาเสนาภิมุข ดำเนินการปราบปรามชาวนครศรีธรรมราช วางรากฐานอำนาจของตน ดูแลรักษาความมั่นคงของหัวเมืองนี้ไว้เพื่อพระมหากษัตริย์ โดยมิได้ทราบเรื่องความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้นเลย เมื่อเขาจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้วจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลยังราชสำนัก พระเจ้าปราสาททองทรงทราบโดยละเอียดแล้ว แสร้งแสดงความยินดีและมีนำพระทัยโอบอ้อมอารีด้วยการตอบแทนความดีความชอบของเขา โดยให้บรรดาขุนนางทั้งหลายส่งของกำนัลจำนวนมากมายไปให้ พร้อมด้วยเหล่าสาวงามจำนวนหนึ่งในนามพระเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะมีคนหนึ่งซึ่งเจ้าเมืองนครจะต้องทำการสมรสด้วยตามประเพณีของสยาม การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็ว มีการแห่แหนพวกหญิงสาวรวมทั้งของกำนัลมากมายหรูหราใหญ่โตไปยังเมืองนครศรีธรรมราชในทันที พร้อมกันนั้น พระเจ้าปราสาททองมีรับสั่งให้พระยาพระคลังมีหนังสือลับไปยังเจ้าเมืองคนเก่าว่า หากเขาสามารถกำจัดเจ้าเมืองชาวญี่ปุ่น (ออกญาเสนาภิมุข) ได้ และทำบ้านเมืองให้รอดพ้นจากความหยาบคายโอหังของชนชาตินั้นได้แล้ว จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองใหญ่ดุจเดิม
ออกญาเสนาภิมุข หรือออกญานคร ปีติยินดีอย่างยิ่งที่เห็นของกำนัลมากมาย แต่ก็รู้สึกสะเทือนใจในการสวรรคตของเยาวกษัตริย์ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ทราบว่าพวกขุนนางเลือกพระยากลาโหมเป็นกษัตริย์โดยไม่ได้ฟังคำแนะนำจากตนเลย ความเศร้าเสียใจทำให้เขาลืมตัวถึงกับกล่าวออกมาว่า “การปลงพระชนม์และการเลือกตั้งกษัตริย์โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนี้ คงต้องมีผู้คิดทำการแก้แค้นทดแทนกันอย่างแน่นอน” หลังจากรู้สึกตัวก็รีบระงับความไม่พอใจของเขาไว้ และหันมาแสดงความยินดีในการได้รับของกำนัลจากราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ทั้งจัดให้มีงานรื่นเริงอื่น ๆ อีก เ ป็นการฉลองสืบราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน
ออกญานคร (เสนาภิมุข) เริ่มเกิดความคิดไม่ไว้วางใจเจ้าเมืองนครคนเก่า และสั่งห้ามไม่ให้เจ้าเมืองคนเก่ามาที่จวนของตน และไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกต่อไป แต่เขามิได้ตัดความสัมพันธ์กับออกพระมะริด น้องชายของเจ้าเมืองคนเก่า บอกอนุญาตให้มาเยี่ยมได้ตลอดเวลา ในระยะเวลานั้น มีเรื่องอยู่ว่า ออกญานคร (คนใหม่) คุมทัพไปราบชาวปัตตานีแล้วได้รับบาดเจ็บที่ขา แผลนั้นปวดระบมมาก ออกพระมะริดจัดหายาให้ใส่รักษาแผล ทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลง บาดแผลเกือบจะหายแล้ว ดังนั้น เขาจึงจัดงานฉลองการสมรสของตนกับหญิงสาวที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานมา
วาระสุดท้ายของออกญานคร – เสนาภิมุขมาถึง เมื่อเขากำลังสดชื่นในความรักนั้น งานฉลองสมรสกำลังเป็นไปด้วยความสนุกสนานถึงขีดสุด ออกพระมะริดได้ใช้ผ้าพันแผลอาบยาพิษปิดให้ที่ขา จึงทำให้ออกญานคร- เสนาภิมุข ถึงแก่ความตายในเวลา ๒-๓ ชั่วโมงต่อมา.........
แม้ออกญาเสนาภิมุขจะตายแล้ว แต่เรื่องของกองกำลังญี่ปุ่นในเมืองนครศรีธรรมราชยังไม่จบ หลังจากเขาตายลง ความวุ่นวายเกิดตามมามากมาย อ่านต่อวันพรุ่งนี้นะครับ .....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, เนิน จำราย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, กลอน123, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, รพีกาญจน์, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ "ซามูไรอโยธยา (Yamada)" - ล้างผลาญพวกยามาดะ -
“ออกขุนเสนาภิมุข”ลูกยามาดะ กักขฬะเกินพ่อก่อข่มเหง เมืองนครร้อนร้างเปล่าวังเวง ญี่ปุ่นเก่งแก่งแย่งฆ่าแกงกัน
ที่เหลือตายไม่อยู่กรูกันหนี เพราะรู้ดีรอท่าจะอาสัญ พระเจ้าปราสาททองต้องฆ่าฟัน เป็นไปตามความนั้นวันต่อมา.. |
อภิปราย ขยายความ.........
ความในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของวันวลิตกล่าวต่อไปอีกว่า บุตรชายของออกญานครชื่อ ออกขุนเสนาภิมุข อายุประมาณ ๑๘ ปี เชื่อว่าพระยานครเจ้าเมืองคนเก่าเป็นผู้วางยาพิษบิดาของตน หลังจากที่เขาประกาศตนเป็นเจ้าเมืองนครแทนบิดาแล้ว สั่งให้จับตัวเจ้าเมืองคนเก่ามาเป็นนักโทษและตั้งใจจะประหารชีวิตเสีย แต่เจ้าเมืองคนเก่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ สามารถทำให้ออกขุนเสนาภิมุขสิ้นความเคลือบแคลงในตัวเขาได้ จึงมิเพียงยกโทษให้เท่านั้น เขายังได้สมรสกับลูกสาวคนโตของผู้ที่ฆ่าบิดาตนอีกด้วย และยังได้สาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทุกกรณี อดีตเจ้าเมืองนครพยายามทำให้บุตรเขยเชื่อว่า เขาปกครองเมืองนครในฐานะกษัตริย์มีอำนาจเต็มไม่ขึ้นแก่เมืองหลวง และมณฑลนี้เป็นเหมือนอาณาจักรมรดกตกทอดในตระกูล คำพูดของอดีตเจ้าเมืองได้รับการสนับสนุนของพวกผู้ประจบสอพลออีกจำนวนหนึ่ง ออกขุนเสนาภิมุขจึงเชื่อถืออย่างง่ายดาย คลายความรู้สึกในเรื่องการตายของบิดาไป เขาเริ่มจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ โดยบรรจุคนเข้าไปในตำแหน่งต่าง ๆ ที่ว่าง ให้บำเหน็จรางวัลอย่างมากแก่คนโปรด ตั้งตำแหน่ง ออกญา ออกพระ แต่งตั้งขุนนาง เสนาอำมาตย์ ทั้งกำหนดวันเพื่อเฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกเพื่อตนเองเป็นที่เคารพยกย่องในฐานกษัตริย์ และเพื่อให้ข้าแผ่นดินใหม่ ๆ ดื่มน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาต่อตน
พร้อมกันนั้น อดีตเจ้าเมืองนครได้ลอบติดต่อยุยงให้ ออกขุนวิชาวุธ (ศรีไวยาวุธ) ซึ่งเป็นคนน่าเกรงขามที่สุดในกองทัพญี่ปุ่น เขากล่าวยกย่องว่า ออกขุนวิชาวุธเป็นคนเก่งกล้าหาญที่สุดในกองทัพญี่ปุ่น ส่วนออกขุนเสนาภิมุขนั้นหย่อนความสามารถ ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุด คำพูดของอดีตเจ้าเมืองนครทำให้ออกขุนวิชาวุธเอนเอียงไป จนปรารถนาแย่งชิงอำนาจสูงสุดในกองทัพญี่ปุ่นมาเป็นของตน ในที่สุดก็ประกาศตนเป็นปรปักษ์กับออกขุนเสนาภิมุข กองทัพญี่ปุ่นเริ่มแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย และมีการปะทะถึงกับล้มตายกันบ่อย ๆ จนกำลังพลกำลังร่อยหรอลงทั้งสองฝ่าย
จากนั้น อดีตเจ้าเมืองก็กล่าวยุยงเสี้ยมสอนขุนนางและราษฎรชาวเมืองนครให้เกลียดชังทหารญี่ปุ่นผู้หยาบช้าโอหัง ชี้ให้เห็นว่าพวกญี่ปุ่นเป็นเสมือนโจรชิงราชสมบัติโดยแท้ ชาวนครควรร่วมกันต่อต้านแผนการของชาวญี่ปุ่น พวกขุนนางและราษฎรเห็นด้วยกับคำยุยงเสี้ยมสอนของอดีตเจ้าเมือง จึงพากันงดไปงานที่จวนเจ้าเมืองในวันทำพิธีราชาภิเษก อย่างไรก็ตาม งานพิธีราชาภิเษกของออกขุนเสนาภิมุขก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากสิ้นพิธีราชาภิเษก เขาประกาศเป็นคำสั่งออกไปให้ราษฎรเคารพยกย่องเขาในฐานพระราชา ต้องให้เกียรติตามประเพณีนิยม ต้องถวายความเคารพและดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ชาวนครศรีธรรมราชขัดขืนไม่ยอมทำตาม ซ้ำพากันกล่าวว่า ออกขุนเสนาภิมุขเป็นโจรชิงราชสมบัติ เป็นกบฏต่อกษัตริย์สยาม
ขุนวิชาวุธรู้ตัวว่าตนเองถูกอดีตเจ้าเมืองหลอกลวง เพื่อหาทางให้ตนได้กลับเป็นเจ้าเมืองอีกครั้ง จึงรวมกำลังกับออกขุนเสนาภิมุขและคนญี่ปุ่นทั้งปวง ยกกำลังบุกไปบ้านอดีตเจ้าเมืองเข้าฆ่าฟันบริวารอดีตเจ้าเมืองล้มตายลงเป็นอันมาก มีการรบกันอย่างดุเดือด จนฝ่ายญี่ปุ่นก็ล้มตายลงไม่น้อย ในที่สุดอดีตเจ้าเมืองก็ถูกฆ่าตาย คนในบ้านทุกคนถูกเชือดคอตายอย่างน่าอนาถ ชาวไทยพากันหนีกระเจิดกระเจิง บ้านเรือนถูกปล้นสะดม จึงพากันหนีออกจากเมืองไปอยู่ตามป่าดงและหัวเมืองอื่น ๆ จนเมืองนครศรีธรรมราชยามนั้นกลายเป็นเมืองร้าง
ออกขุนเสนาภิมุข เป็นพระราชากำมะลอ ที่ไม่มีประชาชนราษฎรให้ปกครอง ญี่ปุ่นขาดอาหารการกินจนไม่อาจอยู่ได้ พระราชากำมะลอจึงออกประกาศนิรโทษกรรม เชื้อเชิญให้ชาวเมืองกลับมาอยู่ในสภาพเดิม โดยจะคืนทรัพย์สมบัติให้แก่ทุกคน แม้กระนั้นก็ไม่มีใครกล้ากลับมา ทหารญี่ปุ่นทั้งสองฝ่ายก็ยังสู้รบกันเองอยู่ ล้มตายลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดออกขุนวิชาวุธก็ถูกฆ่าตาย ชาวญี่ปุ่นคิดเห็นตรงกันว่า คงจะอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชต่อไปไม่ได้แน่แล้ว เพราะนอกจากจะอดอยากยากแค้นแล้ว พระเจ้าแผ่นดินสยามคงจะมิยอมให้พวกตนอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ เมื่อคิดกันดังนี้แล้ว จึงพากันทิ้งเมืองนคร ถอนตัวไปยังประเทศเขมรจนหมดสิ้น ชาวเมืองก็กลับเข้ามาอยู่ในเมืองตามเดิม
มีญี่ปุ่นบางคนกลับมาเมืองนครแต่ก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครต้อนรับ ทุกคนพากันชิงชังรังเกียจคนญี่ปุ่น และมีบางคนกลับไปกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ทำการค้าใด ๆ ไม่ได้ จึงพากันขนของลงเรือ กลับประเทศญี่ปุ่น และแวะรับศพออกญาเสนาภิมุขกลับไปด้วย พระเจ้าปราสาททองจึงสั่งให้จับกุมไว้ทั้งหมด แต่ทรงเกรงว่าญี่ปุ่นกลายเป็นสุนัขจนตรอก จึงทรงคืนเรือสำเภาให้ พร้อมทั้งอนุญาตให้ทำการค้าในกรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ แต่พวกเขากลับไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อวดดีเหิมเกริมถึงกับพูดออกมาดัง ๆ ว่า “พวกตนจะเข้าโจมตีพระเจ้าแผ่นดิน และจะทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับสมัยพระเจ้าทรงธรรม” เมื่อมีผู้นำความกราบบังคมทูล พระเจ้าปราสาททองจึงตัดสินพระทัยโจมตีญี่ปุ่นก่อน
ในคืนวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๑๗๓ (ค.ศ. ๑๖๓๐) ทรงให้จุดไฟเผาหมู่บ้านญี่ปุ่นของชาวญี่ปุ่น พร้อมกับยิงปืนใหญ่ใส่หมู่บ้านญี่ปุ่นอย่างดุเดือดจนคนญี่ปุ่นพากันหนีจากหมู่บ้านเป็นโกลาหล พากันลงเรือสำเภาของตนล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาหนีไป พระเจ้าปราสาททองสั่งให้ค้นหาชาวญี่ปุ่นที่หลงเหลือในกรุงศรีอยุธยา เมื่อพบให้ประหารเสียจนสิ้น
เมื่อกวาดล้างชาวญี่ปุ่นจนสิ้นจากกรุงสีอยุธยาแล้ว เรื่องราวทางเมืองนครศรีธรรมราชจะเป็นอย่างไรต่อไป อ่านต่อกันวันพรุงนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, กลอน123, รพีกาญจน์, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
วัดโลกโมฬี : เชียงใหม่ - พระเจ้าปราสาททองตีเชียงใหม่ -
ล้างญี่ปุ่นหมดกรุงศรีสมที่คาด "เจ้าปราสาททอง"ท่านยิ่งหาญกล้า ยกทัพเป็นพหลพลโยธา ตีเชียงใหม่ไม่ช้าเพิ่มบารมี |
อภิปราย ขยายความ......
หลังจากล้างผลาญคนญี่ปุ่นสิ้นไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว วันวลิตได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของเขาต่อไปอีกว่า
" ส่วนทางเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เมื่อพวกญี่ปุ่นออกไปหมดแล้ว ชาวเมืองก็กลับเข้าเมืองรวมตัวกันใหม่ และต้องการปลดแอกการปกครองจากกรุงศรีอยุธยา จึงพากันเป็นกบฏตั้งตนเป็นอิสระ ไม่ยอมนับถือพระเจ้าแผ่นดินสยาม พระเจ้าปราสาททองจึงให้จัดกองทัพกรุงศรีอยุธยาเป็น ๓ ทัพ มีกำลังพล ๑๐,๐๐๐ ให้พระยาศักดาพลฤทธิ์คุมทหาร ๓,๒๐๐ คนเป็นทัพหน้า พระยาท้ายน้ำคุมทหาร ๔,๐๐๐ คนเป็นทัพหลวง และพระยานครคนใหม่ เป็นแม่กองระวังหลัง ทั้ง ๓ ทัพได้เข้าตีเมืองนครศรีธรรมราชพร้อม ๆ กัน และสำเร็จได้โดยง่าย ได้ตัวกบฏเป็นนักโทษสำคัญ ๑๗ คน ส่งไปกรุงศรีอยุธยา นักโทษทั้งหมดถูกทรมานอย่างทารุณจนพระภิกษุสงฆ์ทนเห็นการทรมานไม่ได้จึงถวายพระพรขออภัยโทษ พระเจ้าแผ่นดินก็ประทานให้แล้วปล่อยตัวไปทั้งหมด"
ความวุ่นวายในกรุงศรีอยุธยาและนครศรีธรรมราชสงบลง แต่เรื่องราวของพระเจ้าปราสาททองยังดำเนินต่อไป เยเรเมียส ฟานฟลีต หรือวันวลิต ได้กล่าวถึงเรื่องการศึกสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเชียงใหม่และลาว ซึ่งมีรายละเอียดไม่ปรากฏในที่ใด ดังความต่อไปนี้
“ ขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ และเจ้านครน่าน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เกิดมีเรื่องบาดหมางกันอย่างรุนแรง เพราะพระเจ้าเชียงใหม่เชษฐาผู้ได้ปกครองมรดกในภาคที่ดีกว่า มีพระประสงค์จะรุกรานดินแดนส่วนแบ่งของพระอนุชา ทรงขับไล่พระอนุชาออกจากอาณาจักรที่ครองอยู่ และบีบบังคับให้เจ้านครน่านต้องร่นหนีเข้ามาในอาณาจักรสยามพร้อมด้วยข้าทาสบริวารไม่กี่คน แต่ภายหลังจากที่ได้พำนักอยู่ในความคุ้มครองของสยามชั่วคราวระยะหนึ่ง ราษฎรของพระองค์ประมาณ ๕๐๐ คน ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนลาว พากันหนีและมุ่งไปสู่เชียงใหม่ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุให้พระเจ้าแผ่นดินสยามยุ่งยากพระทัย เพราะทรงเกรงว่าพระเจ้าเชียงใหม่จะถูกราษฎรเหล่านั้นยุยง แล้วอาจจะไปยุยงพระเจ้าอังวะให้เป็นปรปักษ์กับพระองค์ด้วย และทรงเกรงว่ากษัตริย์ ๒ องค์นี้อาจรวมกำลังกันทำสงครามกับพระองค์ เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยทำสงครามกับพวกนี้ก่อน และเพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ประชุมพล ๙๐,๐๐๐ คน ทหารเดินเท้าและทหารม้ารวมไปกับช้างศึกเป็นจำนวนมาก และปืนใหญ่กับสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ทั้งปวง รวมกันเป็นกองทัพหลวงซึ่งอาจยึดได้ทั้งอาณาจักรเชียงใหม่ เจ้าพระยาพิษณุโลกเป็นทัพหน้าของทัพนี้ ออกญากลาโหมและออกญาพิชัยเป็นแม่ทัพนำพล ๙,๐๐๐ คน มีทหารญี่ปุ่นซึ่งนำตัวมาจากคุกปะปนอยู่บ้าง ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเสด็จร่วมกับกองทัพที่เหลืออยู่ ตามไปเป็นทัพหลังในเวลา ๓ วันต่อมา ก่อนที่จะเสด็จออกจากพระราชวังพระองค์ทรงกล่าวสาบานว่า พระองค์จะใช้หญิง ๔ คนแรกที่ทรงพบ เป็นเครื่องเซ่นสังเวยโดยจะสับหญิงเหล่านั้นเป็นท่อน ๆ จะชโลมเรือพระที่นั่งของพระองค์ด้วยเลือด ไขมันและไส้พุงของสตรีทั้ง ๔ คนนี้ พระองค์มิค่อยยอมเสด็จออกจากพระราชวัง จนกระทั่งพบสตรี ๔ คนในเรือลำหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงปฏิบัติตามคำสาบานนั้น ครั้นแล้วจึงให้เคลื่อนกองทัพต่อไปด้วยความปีติอย่างยิ่งที่ได้พบหญิงเหล่านี้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลางดี ทำให้มั่นพระทัยว่าจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึก ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่เมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามกำลังยกทัพอันมีแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ขึ้นมา ก็ละทิ้งบ้านเมือง เสด็จหนีไปกับข้าราชบริพารทั้งปวง โดยมิได้รอคอยความช่วยเหลือซึ่งกษัตริย์อังวะอาจจะส่งมาให้
พระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จมาถึง มิพบข้าศึก พระองค์ไม่ประสงค์จะยกทัพกลับโดยมิได้ทำการสู้รบในสงครามสำคัญแต่อย่างใด จึงทรงตกลงพระทัยเข้าโจมตีนครลาว เพราะกษัตริย์ของมณฑลนั้นเป็นเจ้าประเทศราชของเชียงใหม่ และถวายความจงรักภักดีแก่พระเจ้าเชียงใหม่ เพื่อให้เป็นไปดังพระราชประสงค์ พระองค์มีรับสั่งให้ออกญาพิษณุโลกคุมกองทัพบางส่วนเดินทางล่วงหน้า และทรงสัญญาว่าจะทรงยกทัพที่เหลืออยู่ติดตามไป แต่ออกญาพิษณุโลกคิดว่าจะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศของตนถ้าจะให้พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาด้วยความลำบาก จึงเข้าโจมตีเมืองนครลาวทุกด้าน ทลายประตูเมืองและจุดไฟเผาบ้านเรือนราษฎรเสีย เหตุการณ์นี้เป็นที่ตื่นตระหนกของชาวเมือง แม้ว่าจะมีกำลังป้องกันเมืองเกินกว่า ๒,๐๐๐ คนก็ตาม พระเจ้าแผ่นดินลาวก็เสด็จหนีไปกับข้าราชบริพาร แต่ถูกติดตามอย่างเร่งรีบและถูกจับได้ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยและเสียพระทัยมากเกินไป จึงสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่พระองค์จะถูกนำกลับมายังเมือง ฝ่ายกษัตริย์สยามเสด็จตามมาในระยะทางห่างจากเมืองนครลาว ใช้เวลาเดินทาง ๓ วัน ได้ทรงทราบเรื่องราวเข้ายึดเมือง การจับพระเจ้าแผ่นดินลาวได้และสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระเจ้าแผ่นดินสยามก็ไม่ประสงค์จะรุกรบไกลออกไปอีก พระองค์ไม่ประสงค์จะเดินทางต่อไปจึงหยุดยั้งกองทัพอยู่ที่นั่น และมีพระราชดำรัสให้ปิดประกาศทั่วถนนหนทางว่า ถ้าหากโอรสพระเจ้าลาวที่สิ้นพระชนม์ประสงค์จะถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์แล้ว ก็อาจจะกลับมายังพระราชวังได้โดยปลอดภัย และจะให้ปกครองอาณาจักรของบิดา แต่เจ้าชายหนุ่มก็มิได้ปรากฏพระองค์ ดังนั้น เมื่อออกญาพิษณุโลกพักอยู่ในเมืองได้ ๑๐ วันก็ทิ้งเมือง ทำการปล้นสะดมและกวาดต้อนครัวลาวจำนวนหนึ่งไปกับตนพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งมวล อาวุธยุทธภัณฑ์และเสบียงอาหารทั้งหมดในเมือง และเหลือคนไว้ราว ๑,๐๐๐ คน เพื่อจัดการถวายพระเพลิงพระศพพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนตามประเพณี ในทันทีทีออกญาพิษณุโลกยกมาสมทบกับทัพหลวง พระเจ้าแผ่นดินสยามก็ทรงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา พระองค์เสด็จเข้าเมืองอย่างภาคภูมิในชัยชนะ มีเชลยมาในกระบวนทัพ ๑๐,๐๐๐ คน รวมทั้งพวกที่ละทิ้งเจ้านครน่านไปเข้าเชียงใหม่ด้วย เชลยเหล่านี้จำนวนมากถูกประหารชีวิตด้วยพิธีพิสดาร คือถูกเสียบเข้ากับไม้ไผ่ผ่าซีกซึ่งขึ้นเป็นลำอยู่บนดิน คนพวกนี้ตายอย่างทนทุกขเวทนา คนที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่สี่หรือที่ห้า ถูกตัดสินให้ไฟคลอก แต่พระสงฆ์ได้ทูลขอชีวิตไว้ คนเหล่านั้นจึงได้รับอภัยโทษ”
วันวลิตไม่ได้บอกว่า ปีที่พระเจ้าปราสาททองยกทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่นั้นตรงกับปีคริสตศักราช หรือพุทธศักราชที่เท่าใด แต่ปีที่ทรงกวาดล้างชาวญี่ปุ่นในพระนครศรีอยุธยานั้นตรงกับ คริสตศักราช ๑๖๓๐ ซึ่งก็ตรงกับพุทธศักราช ๒๑๗๓ เปิดพงศาวดารโยนกดูแล้วพบว่าในช่วงเวลาที่พระเจ้าปราสาททองขึ้นครองกรุงศรีอยุธยานั้น เชียงใหม่ซึ่งถูกปกครองโดยพระเจ้าสุทโธธรรมราชาแห่งอังวะ ในปี พ.ศ. ๒๑๖๙ พระเจ้าหงสาวดีสวรรคต เจ้าสุทโธธรรมราชาจึงเสด็จกลับไปอังวะ-หงสาวดี ฝ่ายพระยาเชียงใหม่ก็คิดแข็งเมืองขึ้น หลังจากพระเจ้าปราสาททองกวาดล้างญี่ปุ่น ๑ ปี คือ พ.ศ. ๒๑๗๔ พระเจ้าสุทโธธรรมราชาก็ยกทัพกลับมาตีเชียงใหม่คืนได้ แล้วกุมพระยาเชียงใหม่ไปหงสาวดี ตั้งให้พระยาหลวงทิพเนตรเจ้าเมืองฝางมาครองนครเชียงใหม่ โดยให้อยู่ในความควบคุมดูแลของพระเจ้าสุทโธธรรมราชา ต่อมาถึงปี พ.ศ. ๑๒๙๓ พระยาหลวงทิพเนตรถึงแก่อสัญกรรม พระแสนเมืองผู้บุตรจึงได้ครองเชียงใหม่สืบแทน จนถึง พ.ศ. ๒๒๐๓ จึงมีกองทัพกรุงศรีอยุธยายกขึ้นไปตีเชียงใหม่ได้ เมื่อรบชนะเชียงใหม่และล้านช้างแล้ว เยเรเมืยส ฟานฟลีต ได้บันทึกเรื่องราวของพระเจ้าปราสาททองต่อไปอีกว่า
“ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินสยาม เมื่อทรงเห็นว่าพระองค์มีชัยแก่อริราชศัตรู ทั้งทรงวางรากฐานกิจการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กลอุบายกำจัดขุนนางคนสำคัญ ๆ ของประเทศเสียเป็นจำนวนมาก แม้แต่ผู้ที่ได้ช่วยเหลือสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งในการขึ้นครองบัลลังก์ ที่พระองค์ทรงทำดังนั้น เพราะทรงเกรงว่าคนเหล่านั้นอาจกระทำทุจริตต่อพระองค์เช่นเดียวกับที่ได้กระทำกับพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองมาแล้ว”
บุคคลที่พระเจ้าปราสาททองกำจัดตามที่วันวลิตกล่าวไว้ ก็มีพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมผู้เยาว์วัย ๒ พระองค์ ต่อมาทรงทราบว่ายังมีพระโอรสพระเจ้าทรงธรรมหลงเหลืออยู่อีก ก็สั่งให้พระยาจักรีจัดการสำเร็จโทษเสียสิ้น เว้นไว้ ๒ พระองค์ที่ไม่ประหารชีวิต เพราะพระมารดาและพระมเหสีเอก ๒ องค์ทรงทูลทัดทาน และขู่ว่า หากประหารเจ้าชายทั้งสองแล้ว พระมารดาจะโดดน้ำตาย พระมเหสีจะเสวยยาพิษตายตาม จึงทรงงดโทษประหารไว้ โดยบังคับให้ออกจากราชวังไปอยู่อีกฟากฝั่งแม่น้ำข้างหนึ่ง มีข้าทาสใช่สอยไม่กี่คน แต่ต่อมาเจ้าชายองค์ใหญ่สมรสกับหญิงสาวตระกูลต่ำคนหนึ่ง และถูกบังคับให้ต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินทุกครั้งที่เสด็จออกให้ราษฎรเฝ้า
เหตุการณ์ทางด้านตอนใต้แผ่นดินสยาม แม้เมืองนครเป็นปกติดีแล้ว แต่ทางปัตตานียังมีปัญหาให้ต้องจัดการแก้ไข วันวลิตได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ พรุ่งนี้จะนำมาเสนอต่อไปครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๙ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู, รพีกาญจน์, พิณจันทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ "ปืนใหญ่จอมสลัด" - ปราบปัตตานี -
ได้ล้านนาล้านช้างทั้งสองแคว้น ไม่ยึดแดนครองดินทุกถิ่นที่ ปล่อยทั้งคู่อยู่เย็นเป็นเสรี “ปัตตานี”ที่ผยองต้องจัดการ... |
อภิปราย ขยายความ.........
หลังจากยกทัพขึ้นไเชียงใหม่ แล้วเลยไปตีล้านช้างได้อย่างง่ายดาย พระเจ้าปราสารททองมิได้ยึดครองล้านนาและล้านช้าง ทรงปล่อยให้ชาวล้านนาและล้านช่างอยู่กันอย่างอิสรเสรี วันวลิตกล่าวว่า จากนั้นพระเจ้าปราสาททองทรงจัดการกับหัวเมืองทางใต้ในปกครองครองรัฐปัตตานีต่อไปว่า
“ชาวเมืองปัตตานีปฏิเสธไม่ยอมถวายความจงรักภักดีตามที่เคยปฏิบัติต่อกษัตริย์สยามเสมอมา ดังนั้น เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้แสวงหาพรรคพวกจากเพื่อนบ้านประเทศใกล้เคียงมาช่วยเสริมกำลังในการก่อกบฏหรือรบกวนความสงบสุขของประเทศด้วยการสงครามกับต่างประเทศ พระองค์จึงส่งคณะทูตสำคัญไปยังกษัตริย์แห่งเมืองอะจิน (อัดแจ ในเกาะสุมาตรา) และกษัตริย์แห่งยะไข่ ในระยะแรกเพื่อต่อสัญญาพันธมิตร พันธไมตรีและการติดต่อซึ่งก่อน ๆ ทรงทำไว้กับกษัตริย์ทั้งสองนี้ กับได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพกับประเทศนั้นด้วย ถึงแม้เหตุการณ์ต่อมามีทีท่าว่าสนธิสัญญานี้จะไม่ยืดยาวต่อไปถึงที่สุดก็ตาม พระเจ้าแผ่นดินยังคงใช้สนธิสัญญานี้เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งชาวปัตตานีให้กลับมาถวายความเคารพแลเชื่อฟังต่อพระองค์
ในปี ค.ศ. ๑๖๓๔ (พ.ศ. ๒๑๗๗) พระองค์ส่งทหารไปปัตตานี ๓๐,๐๐๐ คน พระองค์ได้เสริมกำลังด้วยทหารต่างด้าวจำนวนหนึ่ง เพื่อให้กองทัพเข้มแข็ง ทหารต่างด้าวเหล่านี้มีโปรตุเกส คนเชื้อชาติผสม ญี่ปุ่น มลายู และชาติอื่น ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศ พระองค์ทรงเตรียมกองทัพนี้พร้อมสรรพด้วยช้าง ม้า ศัสตราวุธ เสบียงอาหารและสัมภาระที่จำเป็นสำหรับการสงครามใหญ่ กองทัพนี้มีแม่ทัพ ๔ คน คือ ออกญานคร ออกญาพระคลัง ออกญากลาโหม และออกญารามสิทธิ์ แต่ความไม่เรียบร้อยของกองทัพอันเกิดจากวิวาทะระหว่างกัน ทั้งความต้องการได้เปรียบในการรบ และความประพฤติอันเสื่อมเสียของบรรดาทหาร กลับเป็นผลประโยชน์กับฝ่ายปัตตานี กล่าวคือ กองทัพเหล่านี้ต้องประสบกับการต้านทานอย่างเข้มแข็งจนทำให้ต้องล่าถอย เนื่องจากกองทัพบางเหล่าต้องการนำทัพเข้าโจมตีข้าศึกตามลำพัง โดยไม่ใช้กองทัพต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารชาวฮอลันดา ซึ่งเป็นทหารที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดเข้าโจมตีด้วย เป็นเหตุให้พระเจ้าแผ่นดินต้องส่งกองทัพที่สองมาอีก ทัพนี้เข้มแข็งเป็นที่หวาดกลัวมาก จนนางพญาตานียอมจำนน เมื่อกษัตริย์ไทรบุรีเข้ามาไกล่เกลี่ยและปฏิบัติหน้าที่ที่เคยกระทำ โดยส่งทูตมาถวายบรรณาการดอกไม้เงินดอกไม้ทองยังราชสำนักสยามในปี ค.ศ. ๑๖๓๖ (พ.ศ. ๒๑๗๙) และทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าขอบขันธสีมาตามประเพณี”
วันวลิตกล่าวต่อไปได้ความโดยสรุปว่า พระเจ้าปราสาททองทรงผูกสัมพันธไมตรีกับเจ้านายอินเดียทุกพระองค์ ตลอดจนแว่นแคว้นในหมู่เกาะอินเดียทั้งปวง ทั้งนี้เพื่อได้ส่งสำเภาของพระองค์และชาวสยามให้ไปทำการค้าขายได้อย่างเสรีตามเมืองท่าของประเทศเหล่านั้น ภายหลังพระองค์ก็ชักนำชาวญี่ปุ่นให้กลับมา และส่งทูตไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อทำไมตรีต่อกันอีกด้วย โดยมีหลักฐานทางเอกสารว่า ราชทูตไทยไปญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๙ แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับราชทูต เพราะเริ่มนโยบายปิดประตูประเทศเสียแล้ว
สำหรับประเทศจามปานั้น เดิมทีเป็นประเทศราชของสยาม ตกมาถึงสมัยพระองค์ดำ คือสมเด็จพระนเรศวร กษัตริย์จามปาไม่ยอมถวายความจงรักภักดี สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องยกทัพไปราบปรามและบังคับให้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ต่อเมื่อสมเด็จพระนเรศวรสวรรคตแล้ว กษัตริย์จามปาก็ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อสยามอีก พระเจ้าปราสาททองทรงส่งราชทูตไปเฝ้ากษัตริย์จามปาโดยมีพระยาโกษาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะ ครั้งแรกกษัตริย์จามปาให้การต้อนรับเป็นอันดี และรับปากว่าจะส่งคนของพระองค์มายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แต่แล้วก็เงียบเฉยไป พระเจ้าปราสาททองจึงส่งคณะทูตเดินทางไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งหลังนี้ผลเป็นอย่างไร วันวลิตบอกว่าไม่ทราบผล เ พราะตัวเขาได้เดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาไปเสียแล้ว
ออกญาพระคลัง บุคคลสำคัญผู้เป็นคู่คิดคู่บารมีที่ทำให้ออกญากลาโหมได้ขึ้นครองบัลลังก์กษัตริย์กรุงศรีอยุธยานั้น วันวลิตบอกเล่าเรื่องราวของท่านผู้นี้ไว้ยืดยาว ซึ่งพอสรุปใจความได้ว่า ออกญาพระคลังได้ทำความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง จนสุดท้ายได้รับการแต่งตั้งให้เป็นออกญาพิษณุโลก โดยที่ท่านไม่พอใจในตำแหน่งนี้ เพราะว่าแต่เดิมนั้นออกญากลาโหมเคยให้สัญญาว่า เมื่อได้ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาแล้วจะให้ออกญาพระคลังเป็นเจ้าฝ่ายหน้าหรือมหาอุปราชแห่งราชอาณาจักรสยาม ครั้นเมื่อได้ฃึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจริงแล้วกลับไปตั้งพระอนุชาให้เป็นมหาอุปราช แต่งตั้งออกญาพระคลังเป็นออกญาสวรรคโลก และในที่สุดก็ตั้งให้เป็นออกญาพิษณุโลก โดยไม่ยอมทำตามสัญญา ออกญาพิษณุโลกเคยทูลทวงถามบ่อย ๆ พระองค์ก็ทรงบ่ายเบี่ยง และยังว่าออกญาพิษณุโลกคือผู้มีพระคุณต่อพระองค์มากที่สุดในโลก และจะทรงเลื่อนยศตำแหน่งให้จนถึงชั้นสูงที่สุดในประเทศ จากการรบชนะศึกที่ลำปางทำให้ออกญาพระคลังได้รับความดีความชอบไว้ทั้งหมด จนเป็นที่หวาดระแวงของอุปราช พระอัยกีของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชมารดา พระมเหสี จึงทูลยุแหย่จนพระเจ้าปราสาททองสั่งจับกุมออกญาพระคลังหรือออกญาพิษณุโลก ทรงให้เอาไฟนาบฝ่าเท้าแล้วพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทั้งร่าง แล้วนำไปทิ้งไว้ในคุกสกปรก ให้ออกญายมราชศัตรูของออกญาพิษณุโลกควบคุมดูแล มีพระภิกษุบางองค์แนะนำให้ลูกชายน้อยของออกญาพิษณุโลกไปคุกเข่าอ้อนวอนพระเจ้าปราสาททอง ขออภัยโทษบิดาตน พระองค์ทรงให้สัญญาว่าจะปล่อยออกญาพิษณุโลกให้เป็นอิสระ และในวันเดียวกันนั้นทรงเสวยน้ำจัณฑ์จนมึนเมา ตรัสถามออกญายมราชว่าควรจะทำอย่างไรกับออกญาพิษณุโลกดี ออกญายมราชหาโอกาสกำจัดออกญาพิษณุโลกอยู่แล้ว จึงกราบทูลว่า “งูซึ่งคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวยังเล็ก ก็ยังไม่วายขบกัดคนเลี้ยงที่ไปเหยียบหางมันเข้า” พระเจ้าปราสาททองทรงพอพระทัยในคำตอบนั้น จึงให้ออกญายมราชประหารชีวิตออกญาพิษณุโลกเสียในที่สุด นอกจากนั้นพระองค์ยังหาเรื่องถอดยศปลดตำแหน่งผู้ที่ทรงเห็นว่าจะเป็นภัยแก่พระองค์ จนไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจในพระองค์ให้ปรากฏอีกเลย
วันวลิตได้กล่าวในตอนท้ายประวัติพระเจ้าปราสาททองไว้ให้อ่านแล้วใจหายไปกับความไม่สง่างามของพระองค์ โดยวันวลิตกล่าวว่า “พระองค์ทรงเสวยน้ำจัณฑ์มากเกินไป เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ได้พระมารดาและพระขนิษฐาของพระมเหสีเป็นพระสนม พระองค์ทรงมีพระราชโอรสและธิดากับพระมเหสีและพระสนมทั้งสามพระองค์ พระองค์เป็นที่เกรงกลัวของบุคคลทั่วไปมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ เสมอ พระองค์ทรงโลภมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น ๆ ทรงให้รื้อฐานวัดเพื่อจะขุดหาของและเงินที่ฝังไว้”
เยเรเมียส ฟานฟลีต หรือวันวลิต เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาทันรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง แต่อยู่ไม่ตลอดรัชสมัย เพราะต้องเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปเมื่อพระเจ้าปราสาททองทรงครองราชย์ได้ ๑๐ ปี ๗ เดือนเท่านั้น เรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้จึงไม่จบในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พระราชพงศาวดารและตำนานอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพระเจ้าปราสาททองนั้นล้วนแต่เขียนขึ้นภายหลังวันวลิตทั้งสิ้น ความน่าเชื่อถือจะมีมากกว่าฉบับวันวลิตหรือไม่ ก็เป็นปัญหาที่ควรต้องขบคิด ข้อด้อยของวันวลิตผู้เขียนเรื่องนี้คือเขาเป็นชาวฮอลันดาที่เข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยาด้วยเวลาอันสั้น แม้จะประสบพบเห็นเรื่องราวเหตุการณ์ในสมัยพระเจ้าปราสาททองด้วยหูด้วยตาตนเอง ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเขียนได้ถูกต้องทั้งหมด ทั้งนี้เพราะว่าเขาเข้าใจในวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยไม่มากเท่าที่ควร
เต็ม อภินันท์ สถาบันกในิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|