หัวข้อ: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา ~ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, เมษายน, 2567, 12:12:53 PM (https://i.ibb.co/BKhfr1j/Screenshot-20240410-114112-Chrome.jpg) (https://ibb.co/fG3Xnct) ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ (กาพย์ขับไม้) ๑.พระพุทธฯสถิตย์....ณ "เชตะฯ"ชิด....กรุงสาวัตถี "ปิงคลโกฯ"พราหมณ์....ถาม"เหล่าครู"นาม....ชื่อกระฉ่อนดี ครูแจ้งทวี....หรือแจ้งบ้างรี่.....หรือไม่แจ้งเลย ๒.ทรงไม่วิจารณ์.....แต่แจงธรรมซ่าน.....แก่ปิงคลฯเผย เปรียบหาแก่นไม้....แต่ตัดกิ่ง,ใบ....นึกว่าแก่นเชย คนที่รู้เคย....ก็จะติงเปรย....เสียประโยชน์ปลง ๓.ตัวอย่างหนึ่งไซร้....ถากสะเก็ดไม้....นึกว่าแก่นบ่ง หรือถากกระพี้....คิดว่าแก่นชี้....ผลดีหมดลง ถูกพิศวง....ไม่รู้แก่นตรง....จริงแท้แน่เทียว ๔.อุปมาหนึ่ง....ต้องการแก่นพึง....ก็ตัวแก่นเชี่ยว คนจะกล่าวยิ่ง....รู้แก่น,เปลือก,กิ่ง....ทุกส่วนต้นเจียว ต้องการแก่นเปรียว....ก็เลือกแก่นเฉี่ยว....ผลมุ่งมากมาย ๕.ดูก่อน"ปิงคลฯ"....บ้างออกบวชก่น....พ้นทุกข์สลาย เกิด,แก่,เจ็บโศก....ทุกข์ถึงตนโชก....จึงมุ่งบวชกราย สักการะปลาย....ชื่อเสียงฉ่อนง่าย....ยกตนเหนือใคร ๖.พุทธ์เจ้ากล่าวว่า....บุคคลนี้คว้า....เอาแต่กิ่ง,ใบ ละเลยแก่นทิ้ง....เอาส่วนอื่นอิง....สำคัญผิดไกล คุณธรรมหนีไป....พฤติย่อหย่อนไว....กระทำผิดราน ๗.บางคนออกบวช....สักการะยวด....มีอิ่มใจหาญ มุ่งธรรม,ศีลบ่ม....สงฆ์อื่นถูกข่ม....ผู้อื่นศีลซาน ตนสมาธิ์พล่าน....พุทธ์องค์เรียกขาน....เอาสะเก็ดครอง ๘.บ้างออกบวชเกิด....สักการะเจิด....ไม่เอาลาภผอง พฤติศีลขยัน....สมาธิ์ตั้งมั่น....กว่าผู้อื่นกรอง ธรรมเลิศอื่นพร่อง....พุทธ์องค์กล่าวพร้อง....เอาแค่เปลือกไป ๙.คนออกบวชกราบ....มิพึงในลาภ....ศีล,สมาธิ์ใส ธรรมะทำแจ้ง...."ญาณทัสฯ"เกิดแกร่ง....ยกตนข่มไผ ญาณยิ่งไถล....พุทธองค์ว่าไว้....เอากระพี้นา ๑๐.บ้างออกบวชลี้....สักการะมี....ไม่ต้องการหนา ได้ศีล,สมาธิ์....และ"ญาณทัสฯ"พา....อิ่มใจไม่คว้า มิข่มใครนา....เพียรแจ้งญาณจ้า....ยิ่งขึ้นชื่นชม ๑๑.ดูก่อน"ปิงคลฯ"....ธรรมยิ่งกว่าท้น....ญาณทัสฯสุดฉม ภิกษุศาสน์นี้....ปฐมณานชี้....ทุติย์ฌานพรม "ตติย์ฌาน"รมย์...."จตุต์ฌานฯ"สม...."อากาสฯฌาน" ๑๒."อากาสาฯ"ชี้....อรูปฌานคลี่.....เพ่งอากาศขาน สู่"วิญฯ"อารมณ์....ไม่สิ้นสุดบ่ม....เข้า"อากิญฯ"งาน มุ่งอรูปฌาน....ไม่มีใดคาน....แม้แต่น้อยเอย ๑๓."เนวสัญฯ"นี้....ไม่ใช่,ไม่มี....สัญญา,จำเผย สู่"สัญญาฯ"ปลง....ดับสัญญาลง....มิสุข,ทุกข์เลย "อาสวะ"เสย....สิ้นสุดลงเปรย....เพราะคุณปัญญา ๑๔.ดูปิงคลพราหมณ์.....คุณธรรมนี้หวาม....กว่า"ญาณทัสฯ"หนา คนนี้เปรียบได้....ต้องการแก่นไป....ก็ตัดแก่นมา พรหมจรรย์กล้า....มิใช่ลาภหล้า....มิใช่ศีลทรง ๑๕.มิใช่สมาธิ์...."ญาณทัสฯ"จะคว้า....เป็นอานิสงส์ แต่ใจหลุดพ้น....มิกำเริบก่น....เป็นแก่นสารตรง ปิงคลพราหมณ์บ่ง....ถึงพระรัตน์ฯทรง....ตลอดชีวิน ๑๖.สรุปลาภครัน....สักการะนั้น....เหมือน"กิ่ง,ใบ"ปิ่น สมบูรณ์ศีลไซร้....เปรียบสะเก็ดไม้....สมาธิ์,"เปลือก"ยิน ญาณทัสฯเปรียบสิ้น....ปัญญาหลั่งริน....คือกระพี้แล ๑๗.ใจหลุดพ้นเนิบ....ไม่กลับกำเริบ....เปรียบเหมือนแก่นแท้ "อกุปปา"รื่น....มิหวั่นไหวคืน....กำลังจิตแน่ "เจโตวิมุตฯ"แพร่....จิตหลุดพ้นแผ่....ฝึกด้วยสมาธิ์ ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา :จูฬสาโรปมสูตร ๑๒/๓๗๔ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๔๘-๕๐ เชตะฯ=เชตวนาราม ปิงคลฯ,ปิงคลโกฯ=ปิงคลโกจฉะ เป็นชื่อของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงเหล่าสมณพราหมณ์ที่เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียงว่า ได้รู้แจ้งเห็นจริง,หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย,หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้ เหล่าครู=สมณพราหมณ์ข้างต้น ๖ คนซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เช่น ปูรณะ กัสสปะ, มักขลิ โคสาล, อชิตะ เกสกัมพล,ปกุธะ กัจจายนะ,สัญชัย เวสัฏฐบุตร และ นิครนนาฏบุตร ญาณทัสสนะ=ความเห็นด้วยฌาน ฌาน=การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ เป็น อัปปนาสมาธิ,ภาวะจิตสงบประณีตซึ่งมีสมาธิเป็นอารมณ์ ปฐมฌาน=เป็นฌานอันแรกที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ ประกอบด้วย องค์ ๕ ได้แก่ ๑)วิตก คือตรึก ๒)วิจาร คือ ตรอง ๓) ปีติ คืออิ่มใจ ๔) สุข คือสบายใจ ๕)เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ทุติย์ฌาน=ทุติยฌาน คือฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ตติย์ฌาน=ตติยฌาน คือฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข,เอกัคคตา จตุต์ฌาน=จตุตถฌาน คือฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา,เอกัคคตา อากาสฯฌาน=อากาสานัญจายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ วิญฯ=วิญญนัญจายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อากิญฯ=อากิญจัญญายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดว่าไม่มีอะไรแม้แต่นิดหน่อย เนว=เนวสัญญาสัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่มีสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญา ก็ไม่ใช่ สัญญาฯ=สัญญาเวทยิตนิโรธ คือสมาบัติชั้นสูงสุดในพุทธศาสนา อาสวะ=อาสวกิเลส คือกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง ขุ่นมัวอยู่เสมอ มี ๔ คือ ๑)กาม ติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ ๒) ภพ ความติดอยู่ในภพ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ ๓) ทิฏฐิ ความเห็นผิด ความหัวดื้อรั้น ๔) อวิชชา ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา พระรัตน์ฯ=พระรัตนตรัย อกุปปา=ไม่กำเริบ,ไม่หวั่นไหว เจโตวิมุตฯ=เจโตวิมุตติ คือความหลุดพ้นด้วยอำนาจของสมาธิ (ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต) หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา ~ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, เมษายน, 2567, 01:02:49 PM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๒.เกาะชายสังฆาฏิพระพุทธเจ้ายังไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้
กาพย์ยานี ๑๑ ๑.ดูก่อนท่านทั้งหลาย................แม้จับชาย"สังฆาฯ"แน่ว เดินรุกทุกก้าว..............................แต่ยังแจวแผ่วโลภกาม ๒.มีจิตคิดอาฆาต.......................นึกคาดแลแต่โทษขาม สติสัมป์ชัญญะฟ่าม......................จิตลามไหวไม่ระวัง ๓.จิตหมุนไม่สำรวม.....................ตา,หูร่วมจมูกยั้ง ลิ้น,กาย,ใจมิตั้ง.............................พฤติดีหวังดั่งลืมธรรม ๔.ภิกษุนั้นครันไกล......................พุทธ์เจ้าไซร้ใจห่างนำ ภิกษุไม่เห็นธรรม............................จึงไม่ด่ำเห็นพุทธ์องค์ ๕.ดูก่อนภิกขุกล้า..........................แม้ว่าห่างร้อยโยชน์บ่ง แต่ไร้ละโมบลง................................ไม่ติดกรงกามคุณ ๖.จิตไม่พยาบาท...........................ใจปราศโทษโกรธใครขุ่น สติสัมป์ชัญญะดุลย์..........................มั่นบุญสำรวมอินทรีย์ ๗.ภิกขุนั้นพลันใกล้.........................พุทธ์องค์ใสใจผ่องศรี ภิกขุเห็นธรรมคลี่.............................จึงจิตรี่ปรี่พุทธ์องค์ ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : อิติวุตตก ๒๕/๓๐๐ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๕๐-๕๑ สังฆาฯ=สังฆาฏิ คือผ้าที่ซ้อนทับจีวรอีกชั้นหนึ่ง ทำนองเป็นผ้าคลุมป้องกันความหนาว เมื่อห่มทาบจีวร ก็จะเป็นผ้าสองชั้นทำให้อบอุ่นขึ้น อินทรีย์=ร่างกายและจิตใจ หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา ~ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, เมษายน, 2567, 12:51:29 PM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๓.สกุลที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๑. ภิกษุฟังถ้อย เรือนใดบุตรคอย.......................บูชาพ่อแม่ วงศ์นั้นพลัน"พรหม"...................ประนมบ่มแท้ บุตรใดใฝ่แปล้...........................คนแรกเทวา ๒. บุตรกราบแม่พ่อ พงศ์มี"ครู"ก่อ.............................คนแรกเทียวนา นบพ่อแม่ถ้วน.............................ควรของบูชา พ่อแม่คุณกล้า............................คุ้มลูกเจริญ ๓. คำว่า"พระพรหม" "เทวา"แรกสม..............................ครูแรกเผชิญ "อาหุเนยยะ"................................จะรับของเพลิน พ่อแม้แท้เสริญ.............................แจ้งโลกบุตรา ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : อิติวุตตก ๒๕/๓๑๓ พระไตรปินฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๕๓-๕๔ อาหุเนยยะ=ผู้ควรนำของมาบูชา หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา ~ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, เมษายน, 2567, 10:26:35 AM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔.ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒ ๑.ภิกษุฟังเถิด...........................ธรรม์ชาติ"ไม่เกิด" "ไม่เป็น"อย่างเชิด........................ยังคงมีอยู่ "ไม่มีใครทำ"................................นำไหนมากรู "ไม่มีปรุง"พรู................................ยังมีอยู่จริง ๒.ถ้ามิมีธรรม-.............................ชาติที่กล่าวนำ ธรรม์ชาติ"เกิด"พร่ำ......................."ที่เป็น,ทำ"ยิ่ง "มีปรุงแต่ง"ผล...............................จึงพ้นละทิ้ง ธรรม์ชาติกลิ้ง................................เลิก"เกิด,เป็น,มี" ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๕๕ |