เรื่องกุมาทองยังไม่จบครับเหตุการณ์ต่อจากนั้น
ภายหลังจากที่ผมถูกหวยผ่านไปแล้วหลายวัน(ไม่แน่ใจว่ากีวัน)
ในค่ำคืนวันหนึ่ง ขณะที่หลับก็ได้เกิดฝันไปว่า มีพระแก่ๆรูปหนึ่ง รูปร่างผอม ผิวคล้ำ ศรีษะล้าน
ได้มาพูดกับผมในฝันว่า"กุมารทองได้ใช้พลังจนหมดสิ้นแล้ว นับจากนี้ต้องหลับไปอีก ๑ ปีถึงจะฟื้นคืนมาได้"
วันต่อมา ผมได้นึกถึงความฝันเมื่อคืนจึงได้หยิบกุมารทองนั้นมาถือพร้อมกับเพ่งจิตแผ่พลังเข้าไปที่กุมารนั้น
(ทำเหมือนกับที่ทำในความฝัน) โดยหวังว่าถ้าความฝันที่พระรูปนั้นมาบอกเป็นเรื่องจริงเราก็น่าจะถ่ายทอดพลัง
เพื่อให้กุมารทองนี้ฟื้นเร็วขึ้น................
แล้วในคืนนั้นเองผมก็ได้ฝัน(อีก) ว่าตัวเองได้เดินเข้าไปในสุสานแห่งหนึ่ง ภายในสุสานนั้นมีโลงศพหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนแท่น
ภายในโลงศพมีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่...(ไม่รู้เห็นได้ยังไง...แต่ในความฝันทุกอย่างเป็นไปได้หมด)
ผมเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปแตะฝาโลงเพื่อจะเปิดออก.....ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น.....ฝาโลงเปิดออก พร้อมกับร่างที่นอน
อยู่ในโลงนั้นระเบิดกระจัดกระจายกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมด....ภายในเหลือแต่โลงที่ว่างเปล่า......
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา....กุมารทองที่เคยมีอภินิหารมีเหตุการณ์แปลกๆ...ของเพิ่มของลด ของบางอย่างย้ายที่ได้เอง
เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย....แม้จะรอจนเวลาผ่านไป ๑ ปีตามที่พระรูปนั้บอกในฝันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.....
ผมจึงรู้ตัวว่าการที่เราคิดจะถ่ายพลังเพื่อจะปลุกกุมารทองให้ฟื้นเหมือนที่ทำกับเด็กในฝันนั้นเราคงจะทำเกินงามสียแล้ว..
บางทีการกระทำของเราอาจเป็นการไปทำลายหรือไปปลดปล่อยจนกระทั่งวิญญาณที่มีอยู่ในรูปนั้น
เป็นอิสระหรือไปเกิดใหม่
ดังนั้นแม้จะรอจนครบ ๑ ปีตามที่พระในฝันบอกกุมารทองก็ไม่ได้กลับมามีปาฏีหาริย์ใดๆอีกเลย
ทุกวันนี้กุมารทองก็ยังอยู่กับผม....แต่ก็มีแค่รูป...ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ...ไม่มีอภินิหารใดๆอีกต่อไป.....
เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างที่เคยเป็น....ของไม่หายหรือย้ายที่เอง...
เงินไม่เพิ่มหรือลดจากกระเป๋า
หรือไม่ย้ายไปในที่ๆเราไม่ได้นำไปไว้....ทุกอย่างกลับเป็นปกติ...กุมารทองมีแค่รูป.......
ถามว่าเสียดายไหม.....ก็เสียดายอยู่....นึกแล้วก็ได้แต่ตำหนิตัวเองที่ไม่น่าจะทำจนเกินงาม.....
ถึงจะซื้อหรือเช่าตัวใหม่
แต่ก็ไม่ได้แบบเดิม....กุมารตัวอื่นๆที่มีให้เช่าไม่ได้มีอภินิหารแบบที่เคยได้.......
(เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นเมื่อพศ.๒๕๔๖)
แต่ที่ไม่เอ่ยชื่อวัดหรือบอกชื่อหลวงพ่อก็เนื่องจากไม่ได้ประสงค์จะให้เป็นการโฆษณาขายสินค้า....
แล้วก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะตัว
บอกไปเกิดใครไปเช่าแล้วไม่เป็นเหมือนกันก็จะด่าได้ว่าเราโกหก ดังนั้นขอแค่เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังเท่านั้นครับ
มือขวา