|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
แม่ศรีวรรณทอง
ISBN ; 978 – 974 – 7291 – 52 – 9 ผู้ประพันธ์/ เจ้าของ ; ธนุ เสนสิงห์ พระแสงการไฟฟ้า-ก่อสร้าง อ.พระแสง สุราษฎร์ธานี 84210 ประสานงานการพิมพ์ ; สมาคมกวีร่วมสมัย ประธานดำเนินการ ; พ.ท. สมพงษ์ โหละสุต บรรณาธิการอำนวยการ ; นายประจักษ์ สิทธิกรทวีชัย บรรณาธิการบริหาร ; นายมังกร แพ่งต่าย คณะที่ปรึกษา ; นายณรงค์ อิ่มเย็น นายสมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกุล นางบุญล้อม โหละสุต นางเพชรีย์ แพ่งต่าย บรรณาธิการผู้พิมพ์ ; นายสุวัฒน์ ไวจรรยา พิสูจน์อักษร ; กองบรรณาธิการ ภาพปก ; ศิลปินกลุ่มเมืองสุราษฎร์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ; ตุลาคม 2550 จำนวนพิมพ์ ; ๑,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่ บริษัทธรรมรักษ์การพิมพ์ จำกัด 1/5-6 ถนนไกรเพชร ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี โทร. 0 3232 5534-5. 0 3233 7518 โทรสาร 0 3231 4147 นายธนิตศักดิ์ พิชิตศักดิ์พงศ์ เจ้าของ/ผู้จัดการ[/size]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
อาเศียรวาท *********** จากฟ้ามาสู่พื้นดินชื่นฉ่ำ เย็นหยาดน้ำพระหทัยดุจสายฝน พระบารมีแผ่ครองทุกผองชน ทั่วแห่งหนจึงเกษมสุขเปรมปรีดิ์ แปดสิบพรรษามหาราช ไทยทั้งชาติหลอมใจในทุกที่ เป็นหนึ่งเดียวด้วยรู้รักสามัคคี ถวายแด่พระภูมี ทรงพระเจริญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดทำหนังสือแม่ศรีวรรณทอง (นายสุวัฒน์ ไวจรรยา ร้อยกรอง)
(ภาพเสด็จพระราชดำเนิน บ้านย่านดินแดง อ.พระแสง เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๑)
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, รพีกาญจน์, Black Sword, ฟองเมฆ, รินดาวดี, ก้าง ปลาทู, Mr.music
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 7
คำนิยม *******
“แม่ศรีวรรณทอง” ที่มองเห็น นับว่าเป็น “เพลงยาว” ยอดเยี่ยมยิ่ง เป็นเรื่องเก่าเล่าขานกาลก่อนจริง “คุณธนุ เสนสิงห์” สร้างตำนาน
เขียน “กลอนเก้า” เคล้าคละ “กลบท” ครบทุกรส “ร้อยวลี” ที่สืบสาน เป็น “สื่อถ้อยร้อยกรอง” ของโบราณ เพื่อลูกหลานเหลนโหลนได้เรียนรู้
เป็น “รากฐาน” จารึกประวัติศาสตร์ คือเก่งกล้าสามารถจัดหมวดหมู่ “วิสัยทัศน์” ชี้ให้เห็นความเป็นครู เพื่อเชิดชู “วรรณศิลป์” ท้องถิ่นไทย
พันโท สมพงษ์ โหละสุต นายกสมาคมกวีร่วมสมัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
8 แม่ศรีวรรณทอง
คำนำ
เรื่อง “แม่ศรีวรรณทอง”นี้เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เคยเห็น เขียนรวมเป็นเล่มไว้เหมือนกัน แต่สำหรับเล่มนี้ คุณธนุ เสนสิงห์ ผู้มีความเพียรพร้อมได้ประดิด- ประดอยร้อยกรองเป็นรูปแบบของกลอน ทำให้น่าอ่านยิ่งขึ้น เรื่องราว จะเป็นเช่นไร ขอท่านผู้อ่านได้โปรดพลิกอ่านโดยเร็วพลัน สิ่งที่ผมได้จากการอ่าน ขอเรียนฝากไว้คือ ภูมิปัญญาของบรรพชน ของเรา เรื่องท้องถิ่นทุกเรื่องที่เล่าขานหรือบันทึกไว้ ล้วนมีนัยะที่เป็น คติธรรมแฝงไว้ เพื่อเป็นความรู้ประเทืองปัญญา เพื่อสอนใจ เพื่อให้ เกิดสติ ความระลึกได้ถึงความถูกต้อง ความดีงามในการอยู่ร่วมกัน ให้เป็นปรกติสุข สังคมคนเรามักจะเกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งเย้ายวน ต้องการสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องการสิ่งที่ชัง แก่งแย่งชิงดี ซึ่งล้วนเป็นโลกียวิสัย อันมี รัก โลภ โกรธ หลง.....ความทุกข์ พื้นฐานของคนเราคืออยากได้แล้วไม่ได้..... ไม่อยากได้แล้วได้...อยากมีอยากเป็นแล้วไม่มีไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ ไม่อยากมีไม่อยากเป็น...แล้วก็ต้องมีต้องเป็นอย่างที่ไม่ต้องการ........ การปลด ปลง การปล่อยวางนั้นมีวิธี แต่ก็เผลอสติทุกทีที่กิเลสมันมา แม่ศรีวรรณทอง เป็นเรื่องราวโลกียะอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าใครอ่าน แล้วตรองตามอย่างผู้รู้เท่าทัน...จะรู้จะคิดได้ว่า... ไปทำอย่างนั้นทำไม.. มาอาฆาตจองเวรกันอยู่ทำไม... ทำไมไม่ใช้ขันติธรรม... ทำไมไม่ใช้หลัก สามัคคีธรรม... ทำไมไม่ใช้อภัยทาน... ฯลฯ
รายนามผู้เยี่ยมชม : รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, รพีกาญจน์, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, Mr.music, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ทำไมจึงเกิด... ทำไมจึงเป็น... ทำไม... ก็เพราะว่า ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลงนี่น่ะมันคอยปิดหูปิดตา คอยบังสติปัญญา ใคร ไม่อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้หรอก เหมือนเพลงที่ร้อง.... “เธอไม่เจ็บเธอไม่รู้” ดังนั้น เมื่อ(เธอ) ท่านผู้อ่านอ่านแล้ว คงจะได้อะไรต่อมิอะไรจากภูมิ- ปัญญาชาวบ้านมากมาย แล้วจะนึกออกทันทีว่า ถ้าสังคมมนุษย์อยู่ด้วยรัก มีความพร้อมด้วยศีลห้า... พวกเรา สรรพสัตว์ และธรรมชาติจะอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นปรกติสุขที่สุด ลองทบทวนดู ถ้าเราไม่เบียดเบียนกัน ไม่ข่มเหง รังแกกัน ไม่ฆ่ากัน... ไม่ยินดีในทรัพย์สินของผู้อื่น....ไม่ล่วงละเมิดทางเพศ สตรีผู้มิใช่ภรรยาของตน..ไม่พูดปด... ไม่เป็นผู้มัวเมาในสิ่งเสพติดทั้งหลาย แล้วรักษาให้สมบูรณ์ โลกนี้จะสุขสันต์ ร่มเย็นและน่าอยู่เพียงใด ส่วนเรื่อง แม่ศรีวรรณทอง จะจบลงอย่างไรนั้นท่านลองอ่านดู
มังกร แพ่งต่าย บ้านร้อยฝัน กรุงเทพมหานคร ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐
รายนามผู้เยี่ยมชม : รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, รพีกาญจน์, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, Mr.music, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
10 แม่ศรีวรรณทอง
ความเป็นมา...เป็นไป...และจากใจผู้เขียน
บ้านย่านดินแดง เป็นที่ตั้งของอำเภอพระแสง จ.สุราษฎร์ธานี แต่เดิมการเดินทางเข้าสู่อำเภอนี้ อาศัยเพียง แม่น้ำตาปี และ คลองอีปัน เท่านั้น เมื่อผ่านถึงย่านที่ตลิ่งสูงและมีสีแดงเข้มเป็นที่สังเกตได้ง่าย ผู้ที่ เดินเรือจะรู้ได้ทันทีว่าถิ่นนี้คือที่ตั้งชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองสุราษฎร์ คือ “บ้านย่านดินแดง” อันมีตำนานเล่าขานต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ก่อให้เกิด “ดินแดงดั่งเป็นสีเลือด”ตลอดย่านตลิ่งนั้นคือ พญาท่าข้าม พญายอดน้ำ และแม่ศรีวรรณทอง ทั้งสามชื่อนี้เป็นที่รู้จักของคนสุราษฎร์และท้องถิ่น ใกล้เคียงเป็นอย่างดี แต่ตำนานอันเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากมิได้บันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องจึงไม่ปะติดปะต่อ ขาดหายเป็นห้วง ๆ ตอน ๆ ไม่มีที่มาที่ไป ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้นคือบางคนก็เล่าไปคนละที่ละทางเลย
ผู้เขียนเห็นว่าตำนานเรื่องนี้มีคุณค่า จึงได้นำเกล็ดสำคัญๆ มา สร้าง“โครงเรื่อง” ขึ้นใหม่ ให้มีที่มาที่ไปอย่างมีเหตุมีผล การดำเนินเรื่อง ได้สอดแทรกเรื่องราวความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นแต่อดีตไว้ เช่น การล่องซุง และการสัญจรทางเรือ ซึ่งวิถีชีวิตในอดีตนั้น ในปัจจุบันนี้ได้ เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วอย่างสิ้นเชิง ทั้งผู้เขียนยังได้สอดแทรกตำนาน ที่มาของชื่อเรียกท้องถิ่นต่างๆ มาบันทึกไว้ด้วยเพื่อให้เรื่องราวและความ เป็นมาของแต่ละที่แต่ละถิ่นได้สืบทอดต่อๆ กันไป
“แม่ศรีวรรณทอง” นี้ได้เคยพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นลักษณะ ของกลอนพื้นบ้าน มิได้เน้นเรื่องฉันทลักษณ์มากนัก จึงมีทั้งสัมผัสซ้ำ ผิดเสียง ฯลฯ อยู่หลายที่หลายแห่งจนเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นสมาชิก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 11
สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และสมาชิกสมาคมกวีร่วมสมัยในเวลา ต่อมา ก็ได้รับการแนะนำจากผู้ใหญ่หลายท่านให้ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ถูก ต้องตามฉันทลักษณ์ ผู้เขียนจึงเริ่มปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ อ่านหนังสือ“กลกลอน” ของ พันโท สมพงษ์ โหละสุต นายกสมาคมกวี ร่วมสมัย ซึ่งท่านกรุณามอบให้ไว้ศึกษา จึงเหมือนเป็นการจุดประกายให้ ในที่สุดตำนานพื้นบ้านเรื่อง “แม่ศรีวรรณทอง” จึงมี “กลบท”แทรกไว้ จนครบโดยเฉพาะกลอนกลบทที่เป็น “กลอนเก้า”
อนึ่ง ตั้งแต่เริ่มปรับปรุงมาจนถึงขณะนี้ ได้รับความกรุณาช่วย ตรวจแก้ไขจากครูกลอนหลายท่าน เช่น คุณสุวัฒน์ ไวจรรยา อุปนายก สมาคมกวีร่วมสมัย ท่านได้ให้คำแนะนำในเรื่องความหมายของ “คำ” และ “เสียงวรรณยุกต์” ตลอดจนช่วยปรับปรุงแก้ไขให้ด้วยดี โดย เฉพาะ พันโท สมพงษ์ โหละสุต นายกสมาคมกวีร่วมสมัย นอกจากที่ ผู้เขียนศึกษากลอนกลบทจากหนังสือของท่านแล้ว ท่านยังได้ช่วยตรวจ หลายครั้งหลายคราว เกินกว่าที่ใครจะเชื่อว่าจะมีครูบาอาจารย์ท่านใดที่ ตั้งใจ อดทน และสละเวลาให้กับศิษย์ ดังที่ท่านได้ทุ่มเทให้กับผู้เขียนและ หนังสือ “แม่ศรีวรรณทอง” เล่มนี้ ตลอดจนคุณบุญล้อม โหละสุต คุณมังกร - คุณเพชรีย์ แพ่งต่าย คุณณรงค์ อิ่มเย็น คุณประจักษ์ สิทธิกรทวีชัย คุณสมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกุล อดีตนายกสมาคมนักกลอน แห่งประเทศไทย และคุณธงชัย จุลินทร ที่ให้การช่วยเหลือแนะนำทั้งเป็น กำลังใจให้ด้วยดีตลอดมา จึงขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ไว้ ณ ที่นี้
ธนุ เสนสิงห์ พระแสง สุราษฎร์ธานี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
12 แม่ศรีวรรณทอง
จากใจ ********
คำนิยมชมชื่นนักจักสมค่า ดั่งวาจาร้อยรับมาขับขาน เพียงเรื่องราวเล่าลับไปกับกาล หากไร้ท่านขัดเกลาจนเงางาม
ผิดพลาดมากยากจะแก้รู้แต่ต้น เหตุและผลตอบได้หากใครถาม เขียนไปก่อนย้อนศึกษาพยายาม นับเป็นความพลาดมหันต์ของขั้นตอน
จาก...เม็ดหินดินทรายที่ไร้ค่า มีราคาขึ้นด้วยครูผู้สั่งสอน หากผู้อ่านซ่านซึ้งใจในคำกลอน คือดอกไม้แทนคำพร...บูชาครู
ธนุ เสนสิงห์ ประธานเครือข่ายสมาคมกวีร่วมสมัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 13
สารบัญ ********
ตอนที่ ๑ สวรรค์อาญา หน้า ๑๗-๒๔
ตอนที่ ๒ เสน่หาสามนงลักษณ์ หน้า ๒๕-๓๕
ตอนที่ ๓ แรงรักแห่งอดีตชาติ หน้า ๓๖-๔๐
ตอนที่ ๔ นิราศตาปี หน้า ๔๑-๕๘
ตอนที่ ๕ กุมภีล์หลุมพราง หน้า ๕๙-๗๙
ตอนที่ ๖ สละร่างเพื่อรัก หน้า ๘๐-๘๖
ตอนที่ ๗ อกหักคืนดง หน้า ๘๗-๙๐ ตอนที่ ๘ สัตว์สงคราม หน้า ๙๑-๑๐๓
ตอนที่ ๙ ละกามโลกีย์ หน้า ๑๐๔-๑๐๖
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 17
แม่ศรีวรรณทอง ******** ตอนที่ ๑ สวรรค์อาญา น้อมประณตคณาจารย์ผ่านยุคสมัย สืบตำนาน“ย่านดินแดง”ให้แจ้งใจ มอบ “แม่ศรีวรรณทอง”ไว้ในแผ่นดิน ชุลีกรไหว้ครูต้นผู้ค้นคิด เริ่มประดิษฐ์เรียงอักษรเป็นกลอนศิลป์ ระรื่นรสพจนาทิพย์วาทิน หยาดคำรินร้อยอักษรเป็นกลอนกานท์ แม้รู้น้อยด้อยศึกษาอุรารัก ด้วยใจภักดิ์ภูมิภาษาจักสืบสาน ขอตั้งต้นเรื่องหนหลังครั้งโบราณ ณ พิมานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สรวงสวรรค์ชั้นที่สองอันผ่องใส มิว่าใครต่างมุ่งหมายไปให้ถึง องค์อินทราเทวราช*ทรงรำพึง เหตุใดจึงมิชื่นเย็นดั่งเป็นมา
กลบทสะบัดสะบิ้ง
ยามนี้ในพระหทัยไยรุ่มไยร้อน อาสน์เคยอ่อนมาแกร่งเป็นแผงเป็นผา ทิพย์เนตรส่องเห็นสองเทวเทวา ต่างโกรธาจู่โจมเข้าโรมเข้ารัน กามาพจรร้อนฤทธิ์สถิตสถาน ทิพย์พิมานสะเทือนจนเลื่อนจนลั่น ฤทธิ์โทษาอาฆาตฉกาจฉกรรจ์ จ้าละหวั่นปานแมนสรวงทะลวงทลาย ด้วยเทพสองปองอัปสรสวรรค์สวาท หลายภพชาติผ่านพ้นยังขวนยังขวาย หญิงมิปัดตัดรักสักชู้สักชาย จึงวุ่นวายชิงดีทุกวี่ทุกวัน สองชายต่างหมายปองครองหนึ่งหญิง แก้ยากยิ่งจริงแน่แท้แม้สวรรค์ สองเทพท่านด้านความดีมีอนันต์ แต่รักนั้นทำให้เขลาจนเมามัว เฝ้าขันแข่งแย่งชิงนางต่างหลงรัก มิรู้จักคิดจำแนกแยกดีชั่ว มีกึ่งดีกึ่งชั่วช้ามาพันพัว ไม่เกรงกลัวต้องตกไปในอบาย
------ --------------------------------------------------------------------- อินทราเทวราช เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และจาตุมหาราช คือ พระอินทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
องค์อินทร์กลุ้มรุ่มร้อนเร่าเศร้าในอก คิดไม่ตกยังก้ำกึ่งซึ่งความหมาย ส่งคดีอติเทพ*แล้วบรรยาย เรื่องวุ่นวายป่วนสวรรค์ขอบัญชา
เมื่อครานั้นเอกองค์พระมุนินทร์ สามโลกสิ้นชี้โศกสุขทุกสังขาร์ อัตตาจิตอนิจจังอนัตตา พระพรหมาท่านผู้สร้างสัพพัญญู
ตามกรรรมตัวทั้งชั่วดีวายชีวาตม์ ชดใช้ชาติเพิ่มเติมศักดิ์จักอดสู เทพวนากรรมสนองตกต้องงู ทพนทีกรรมนำสู่หมู่กุมภา
พินิจกรรมด้านความดีที่รักมั่น ก้ำกึ่งกันกับชั่วมีที่หิงสา แจงเหตุย้ำคำสำคัญพรหมบัญชา เทพวนาก็เกิดพลันในกลางไพร
กรรมดีตนส่งผลเห็นเป็นมนุษย์ เพ็ญพิสุทธิ์ข้างขึ้นอันจันทร์สุกใส ถึงเดือนแรมต้องรับกรรมที่ทำไว้ ร่างกลับกลายเป็นงูใหญ่ในพนา
แรมล่วงผ่านกาลข้างขึ้นให้คืนร่าง ได้เดินทางกลับคืนสู่อยู่เคหา เทพนทีก็ต้องเห็นเป็นกุมภา อยู่ธาราจนเดือนขึ้นคืนร่างคน
เทพอัปสรศรีสุวรรณกัลยา สู่พนาไพรผืนกว้างกึ่งกลางหน ณ จุดอันบรรจบของสองสายชล อีปันข้นไหลล่องมาลงตาปี
เป็นดินแดนแร้นแค้นนักไร้มรรคา สายธาราใช้เดินทางต่างวิถี มิเช่นนั้นต้องดั้นดงลัดพงพี จึงไม่มีผู้ปรารถนามาเขตคาม
พระพรหมท่านเปล่งวาจาประกาศิต ผู้ลิขิตเวไนยสัตว์โลกทั้งสาม สิบเอ็ดภูมิสบสุขโศกโลกนิยาม ติดห่วงกามตัณหากามาวจร
อบายภูมินั้นทั้งสี่มีนรก* ที่ไหม้หมกผู้ชั่วช้ายากจะถอน แปดขุมลึกอเวจีนิรันดร ถูกบั่นทอนทรมานนานกัปกัลป์
ขึ้นเป็นเปรตอสูรกายเดียรัจฉาน สิ่งบันดาลกรรมตนแท้มิแปรผัน กรรมผ่อนคลายได้เป็นคนชนสามัญ ดีสร้างสรรค์จนเป็นเลิศประเสริฐชน --------------------------------------------------
อติเทพ เทวดาผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย คือ พระพรหม
นรก มี ๘ ขุม คือ (๑) สัญชีวะนรก (๒) กาฬสูตรนรก (๓) สังฆาตนรก (๔) โรรุวนรก(๕) มหาโรรุวนรก (๖) ตัปนรก (๗) ปตาปนนรก (๘) อเวจีนรก
[/color][/size]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 19 หากระเริงเหลิงถลำสร้างกรรมชั่ว หลงเมามัวต้องตกต่ำซ้ำอีกหน ด้วยกงกรรมดั่งกงเกวียนซ้ำเวียนวน จักหลุดพ้นเพราะผลบุญหนุนชีวี
สู่สวรรค์ลำดับไปได้หกชั้น ทิพย์สวรรค์ผู้ปรารถนาหาสุขศรี ต้องไต่เต้าเท่าบุญผลอันตนมี ลำดับที่เริ่มจาตุมหาราชิกา
ดาวดึงส์ยามาดุสิตสองสามสี่ ถึงนิมมานรดีชั้นที่ห้า ปรนิมมิตวสวัตดีสุดเทวา ชั่วลงมาดีขึ้นเปลี่ยนหมุนเวียนวน
แม้นผู้ใดไม่มั่นหมายในวัฏฏะ ขันธ์สละปล่อยจิตว่างทางมรรคผล ก่อนกลับโลกไปตามกรรมทั้งสามคน จำเหตุที่จรดลให้จงดี
อันเงื่อนปมความรักเก่าเจ้าทั้งสาม แก้ให้ตามเหตุและผลชนวิถี ไม่พ้นวันชันษายี่สิบห้าปี ช่วงชีวีอันชนชมนิยมกัน สิ้นปัจฉิมโอวาทพรหมในบัดดล ทั้งสามคนพลันลาล่วงสรวงสวรรค์ จุติลงมาตามกรรมทั้งสามครรภ์ สถานอันตามเหมาะสมพรหมบัญชา ล่าวถึงบ้านชื่อ“ท่าข้าม”นามกระเดื่อง ค้ารุ่งเรืองทุกกิจการนานนักหนา ชาวจีนเรียกกัน“พานพาน”โบราณมา มีธาราผ่านหลายสายขยายไกล
ฝรั่งแขกมาลายูต่างรู้จัก เป็นแหล่งพักสำเภาผ่านกาลสมัย ป็นเมืองท่าอาณาจักรศรีวิชัย ช่องข้ามไปสู่พังงาอันดามัน
จุดบรรจบสองสายน้ำนามยิ่งใหญ่ ดั่งล่องไหลล่วงลงมาจากสวรรค์ แม่น้ำหลวงจากเขาหลวงห้วงอรัญ เมื่อครานั้นได้นามใหม่พระราชทาน
จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า แก่ผู้เฝ้า ณ สราญรมย์สถาน เทียบอินเดีย “ตาปติ”มีมานาน ซึ่งไหลผ่านเมือง “สุรัฎฐ์”ธานี*
ด้วยสายน้ำสายใหญ่นี้มิแห้งเหือด เป็นสายเลือดสายใยรักร่วมศักดิ์ศรี พระราชทานนามไว้ว่า “แม่ตาปี” อันนามนี้ผูกชีวิตจิตสัมพันธ์
------------------------------------------------------------- สุรัฎฐ์ - สุราษฎร์ ในช่วงที่มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองสุราษฎร์นี้สายงานการปกครอง เคยขึ้นกับ มณฑลนครศรี -ธรรมราช ชุมพร ไชยา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบางช่วงเวลา จนเมื่อ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “สุราษฎร์ธานี” และหนึ่งเดือนต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ให้แม่น้ำหลวง ว่า “ตาปี” และโปรดเกล้าฯ ให้เรียก “มณฑลสุราษฎร์” เมื่อมีการปกครองแบบจังหวัด เมืองสุราษฎร์ธานี ได้เป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีตั้งแต่บัดนั้นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
นามมณฑลท่านแปลงให้ใช้ “สุราษฎร์” ด้วยหมายมาดให้ความดีนี้สร้างสรรค์ “สุราษฎร์ธานี”เป็นศรีนามจังหวัดนั้น ท่านหมายมั่นให้รุ่งเรืองเมืองคนดี
ลุปี “สองสี่ห้าแปด” พุทธศก ประกาศยกมงคลนามตามดิถี แดนวัฒนธรรมล้ำค่าประเพณี อารามมีทั่วทุกถิ่นแผ่นดินธรรม
เหนือท่าข้ามอีกสายน้ำมาสมทบ จุดบรรจบสองสายธารนานฉนำ เรือสินค้าขึ้นล่องเห็นเป็นประจำ ช่องทางนำสินอันดาเชื่อมตาปี ชื่อสายน้ำนาม“พุมดวง”เดิมเรียกขาน ตามชื่อท่านเจ้าเมืองสองคีรีศรี* แลเจ้าเมือง “ท่าทอง” ครองบุรี สองท่านนี้เคยสร้างชื่อจนลือชา
ณ ท้ายย่านมีบ้านเศรษฐีเก่า ทิ้งเรือนเหย้ากิจการเคยสรรหา ท้อแท้ใจเมื่อไร้บุตรและธิดา กิจการค้าแม้ยิ่งใหญ่มิใยดี
ขายโรงร้านกิจการอันล้ำค่า สองยายตารอวันตายไร้สุขศรี เหลือแต่เพียงบ่าวไพร่กระฎุมพี จะจนมีรักกันจริงไม่ทิ้งกัน
ทุกค่ำเช้าเฝ้าสวดมนต์ภาวนา ขอเมตตาทายาทจากสรวงสวรรค์ กาลเวลาล่วงเลยลับนับคืนวัน บุญมาทันกรรมส่งฟ้าให้ปรานี
ด้วยคำขอข้อสุดท้ายให้ได้ลูก จะผิดถูกอัปลักษณ์สิ้นศักดิ์ศรี เป็นลูกเสือลูกจระเข้ก็ยินดี เทพนทีมาเกิดได้ดังใจพลัน
---------------------------------------------------------- สองคีรี คือ ๑. เมืองธาราวดี หรือ คงคาวดี ปัจจุบันได้แก่ อ.คีรีรัตน์นิคม ๒. เมืองท่าทอง ซึ่งก่อนนั้นชื่อเมืองสะอุเลา ปัจจุบันได้แก่ อ.กาญจนดิษฐ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|