บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 15, มีนาคม, 2559, 05:14:08 AM



หัวข้อ: ทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร
เริ่มหัวข้อโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 15, มีนาคม, 2559, 05:14:08 AM

(https://i.ibb.co/9nNM6fR/10259334-527516637408455-3724537781487520757-n.jpg) (https://imgbb.com/)
   

                     ทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร
                            ...............

สมัยที่ทำงานในสำนักงาน เพื่อนคนหนึ่งชอบหยิบขนมบนโต๊ะเพื่อนใส่ปากเลย
ไม่ถามเจ้าของสักคำว่ากินได้ไหม...

พวกที่ชอบทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไรส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนรักของเรานี่แหละ!

นักอ่านหลายคนบอกผมว่า เพื่อนถือวิสาสะหยิบยืมหนังสือไปอ่านแล้วไม่คืน
 จึงต้องซื้อใหม่ เพราะคนเป็นเพื่อนมักถือคติ “ไม่เป็นไรหรอก ซี้กัน!”

เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่เพื่อนโทรศัพท์มาหาแล้วพูดเลย
สรุปเสร็จสรรพว่าเราว่าง และอยากคุยด้วย

เพื่อนบางคนเปิดเพลงที่เขาชอบดังไปทั่วออฟฟิศ
เพราะทึกทักเอาว่าคนอื่นชอบเพลงแบบนั้นเหมือนเขา

อยู่หอพักหรือบ้านเช่าหลังเดียวกัน เพื่อนก็ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้า
หยิบเสื้อผ้าของเราไปใช้เลย

เหล่านี้คือการถือวิสาสะหรือทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร

การไม่คืนหนังสือสักเล่มหรือกินขนมสักชิ้นสองชิ้นไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
แต่บางครั้งการถือวิสาสะอาจไปไกลกว่าขอบเขตที่สมควร

เคยไหมที่เพื่อนบางคนมาเคาะประตูเยี่ยมโดยไม่บอกล่วงหน้า
การคิดถึงเพื่อนแล้วไปเยี่ยมก็เป็นเรื่องดี แต่หากโผล่เขามาผิดจังหวะอาจไม่ค่อยดี!

เพื่อนบางคนมาเยี่ยมพร้อมเด็กเล็ก บอกว่า “ฝากดูเด็กหน่อยซี รู้ว่าเธออยู่บ้านทั้งวัน”

บางคนยกกระเป๋ามาหนึ่งใบ บอกว่า
“เธอกำลังจะไปเยี่ยม (ชื่อคน) ที่ (ชื่อจังหวัดหรือชื่อประเทศ) ใช่ไหม?
ฝากของให้เขาหน่อย”

เพื่อนอาจไม่ทันคิดว่า บางทีเราอาจมีกระเป๋าเดินทางหลายใบ

บ้างเมื่อรู้ว่าเราจะเดินทาง ก็ยื่นรายการของฝากซื้อทันที

การถือวิสาสะบางอย่างเป็นเรื่องประจำวัน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นทุกวัน ก็คิดว่าเราเป็น ‘ของตาย’

บางคนมักมีนิสัยตัดสินใจให้คนอื่นเสร็จสรรพ เพราะคิดเอาเองว่าดีแล้ว หรือดีสำหรับเขาแล้ว

นานมาแล้ว ผมเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง
เพื่อนบ้านที่อยู่ไกลออกไปกรุณาส่งคนงานมาตัดต้นไม้หน้าบ้านให้
โดยไม่บอกกล่าวหรือขออนุญาต เพราะทนความรำคาญตาไม่ไหว
ที่ต้นไม้โตเกินมาตรฐานความงามของเขา เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

การทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไรยังปรากฏในเรื่องมารยาทพื้นฐาน
ที่เห็นบ่อยที่สุดคือการเอ่ยคำขอบคุณ

สังเกตไหมว่าบ่อยครั้งเราแสดงมารยาทที่ดีต่อคนแปลกหน้ามากกว่า
กับเพื่อนสนิทของเราเอง บางคนพูดจากับคนแปลกหน้าสุภาพมาก
แต่พูดกับคนรักห้วนเป็นมะนาวไม่มีน้ำ หรือมะนาวตากแห้งมาสามปี

สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่มากคู่ที่ยังเอ่ยคำขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายช่วยทำอะไรให้

ภรรยาดูแลสามีอย่างดี แต่สามีกลับมองไม่เห็น
เพราะคิดว่าคู่ครองของตนเป็น ‘ของตาย’ หรือ “ก็เป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้วนี่นา”

ยิ่งน้อยคนขอบคุณคนรับใช้ ทึกทักเอาเองว่าไม่ต้อง ก็เป็นคนใช้นี่นา!

หลายคนไม่เคยขอบคุณพนักงานร้านอาหารเมื่อยกของกินมาเสิร์ฟ “ก็เป็นหน้าที่ของเขานี่”

ทว่าหน้าที่ก็คือหน้าที่ มารยาทก็คือมารยาท เป็นคนละเรื่องกัน

พ่อแม่ก็มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก แต่มิได้หมายความว่าเราไม่แสดงออกความขอบคุณเมื่อท่านทำอะไรให้เรา

ผมโชคดีได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนหลายคนหลายชาติในต่างประเทศหลายปี
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่น เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ใช้ห้องครัวห้องน้ำร่วมกัน

เป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะต่างคนต่างนิสัยกันเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในภาคปฏิบัติ
มันช่วยให้เข้าใจเรื่องเอาใจเขามาใส่ใจเราดีขึ้น

คนทุกคนที่หัวใจ แม้แต่คนที่สังคมจัดว่าอยู่ในระดับล่างที่สุด ก็มีความรู้สึก

มารยาทเป็นเรื่องสากล มันมีสองด้านคือมีมารยาทกับไม่มีมารยาท
ไม่มีกลางๆ เคยสังเกตไหมว่าคนจำนวนมากเมื่อเผลอเหยียบเท้าคนแปลกหน้า
จะขอโทษทันที แต่เมื่อเหยียบเท้าลูกแล้วทึกทักเอาว่าไม่เป็นไร
 ลูกไม่ถือสา คนกันเอง ไม่ต้องขอโทษ

อย่าทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร เพราะมันเท่ากับว่าเราให้ราคาคนที่เรารักน้อยกว่าคนที่เราไม่รู้จัก

การทึกทักเอาเองอาจสร้างความเข้าใจผิด หรือส่งสารผิดๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้
ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ คิดเสมอว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร

สมัยที่ทำงานในสำนักงาน เพื่อนคนหนึ่งชอบหยิบขนมบนโต๊ะเพื่อนใส่ปากเลย
ไม่ถามเจ้าของสักคำว่ากินได้ไหม

วันหนึ่งเขาเห็นขนมปัง โอรีโอ ไส้ขาวบนโต๊ะ ก็คว้าหมับยัดใส่ปากทันที
เพื่อนๆ หัวเราะ เพราะขนมปัง โอรีโอนั้นถูกปาดไส้ขาวออก บีบยาสีฟันแทนไส้

คงเข็ดขนมปังยาสีฟันไปอีกนาน!

ขอบคุณบทความจาก
วินทร์ เลียววาริณ

www.winbookclub.com

12 มีนาคม 2559