บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทวาย มะริด ตะนาว เป็นเมืองขึ้น -
เมืองทวาย,มะริด ,ตะนาวศรี ล้วนยินดีโอนประเทศมอบเขตขัณฑ์ ให้สยามปกครองอยู่ร่วมกัน กระชับมันไมตรีแต่นี้ไป |
อภิปราย ขยายความ.......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ มาให้ท่านอ่านกันถึงตอนที่แมงจันจาชาวพม่าเจ้าเมืองทวาย ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม ขอนำเมืองทวาย ตะนาวศรี และ มะริด มาขึ้นเป็นข้าขอบขัณฑสีมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป อ่านความต่อจากเมื่อวันวานครับ
* “ สมุหนายกนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ทูตทวายอาศัยพักอยู่ ณ โรงรับแขกเมือง ทรงพระกรุณาให้เลี้ยงดูพวกแขกเมืองทวายทั้งนายและไพร่ให้บริบูรณ์ ส่วนพระมหาแทนนั้นก็ให้ส่งไปสำนัก ณ วัดบางว้าใหญ่ (ระฆังโฆสิตาราม) ครั้นดำรัสให้จัดการทั้งปวงตามอย่างออกแขกเมือง โดยโบราณราชประเพณีพระบรมราชาธิราชแต่ปางก่อนแล้ว เสด็จออก ณ มุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เสนาบดีมนตรีหมู่มุขมาตย์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ฝ่ายทหารพลเรือนประชุมเฝ้า ณ ทิมดาบซ้ายขวาตามตำแหน่ง จากนั้นให้เบิกแขกเมืองทวายเข้ากราบถวายบังคมในปะรำระหว่างทิมดาบคด พระยาราชนิกูลกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายเครื่องราชบรรณาการแล้วอ่านศุภอักษรเจ้าเมืองทวายเนื้อความในแผ่นทองว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าแมงจันจา ขอกราบบังคมมาแทบพระบวรบาทบงกชมาศ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา ด้วยข้าพระองค์เดิมเป็นเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสีมากรุงรัตนบุระอังวะ บัดนี้มีความผิดขัดเคืองกันกับพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะให้กองทัพพม่ายกมากระทำวิหิงสาการย่ำยีเมืองทวาย ให้สมณะพราหมณาจารย์ไพร่ฟ้าประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อน ข้าพระพุทธเจ้าหาที่พึ่งที่พำนักมิได้ จะขอเอาพระราชกฤษฎาเดชานุภาพพระบารมีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวปราสาททอง ไปปกครองป้องกันเกศสรรพสัตว์นิกรในเมืองทวายให้พ้นภยันอันตรายแห่งปัจจามิตร ขอรับพระราชทานกองทัพออกไปช่วยป้องกันรักษาเมือง
อนึ่ง ข้าพระองค์ถวายนางอันเป็นประยูรวงศ์เข้ามาเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย แล้วจะขอส่งพระราชภาคิไนยซึ่งไปตกอยู่เมืองทวายเข้ามาถวายต่อภายหลัง บัดนี้ให้มหาแทนถือหนังสือของพระราชภาคิไนยเข้ามาถวายด้วย อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ากับทั้งกรมการเมืองทวาย เมืองมะริด เมืองตะนาว และอาณาประชาราษฎรทั้ง ๓ เมือง ขอเป็นเมืองขึ้นขอบขัณฑสีมากรุงเทพมหานครศรีอยุธยา เหมือนดังกาลก่อนสืบไปตราบเท่ากัลปาวสาน”
* ครั้นอ่านศุภอักษรถวายเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสปฏิสันถารด้วยทูตานุทูตตามขัตติยราชประเพณีแล้วเสด็จขึ้น ฝ่ายอัครมหาเสนาบดีก็พาแขกเมืองออกจากที่เฝ้านำไปรับประทานอาหารเลี้ยงดู ณ ศาลาลูกขุนมหาดไทย ทรงพระกรุณาโปรดให้เถ้าแก่จ่าโขลนและกรมวังออกไปรับนางทวายคือ นางเอก ๑ นางโท ๒ สาวใช้ข้าไท ๕๗ รวม ๖๐ คนนั้นส่งเข้าไปในพระราชวัง
แล้วโปรดให้เสนาบดีพิจารณาดูหนังสือพระราชภาคิไนยที่พระมหาแทนถือเข้ามาถวายนั้น ได้ไต่ถามไล่เลียงพระมหาแทนจนได้ความแน่ชัดว่า เป็นพระธิดาของพระเจ้าขุนรามรณรงค์สมเด็จพระเชษฐาธิราช เป็นพระเจ้าหลานเธอแน่แล้ว จึงให้ถวายไตรจีวรเครื่องสมณะบริขารแด่พระมหาแทน พระราชทานเสื้อผ้าเงินตราเป็นรางวัลแก่ทูตานุทูต และจัดสิ่งของพระราชทานตอบแทนออกไปให้แก่พระยาทวายโดยสมควร
ดำรัสสั่งสมุหนายก(เจ้าพระยารัตนาพิพิธ) ให้มีตราออกไปถึงพระยาทวาย และส่งทูตานุทูตกับพระมหาแทนกลับออกไปเมืองทวายก่อน แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพ นำท้าวพระยาหัวเมืองถือพล ๕,๐๐๐ ยกออกไปช่วยรักษาเมืองทวาย พร้อมกับพระราชทานพานทองเครื่องยศให้พระยายมราชคุมออกไปพระราชทานพระยาทวายด้วย”
** ท่านผู้อ่านครับ แมงจันจาเจ้าเมืองทวาย เป็นกบฏต่อพระเจ้าอังวะ(พระเจ้าปดุง) ขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพมหานคร ดังกล่าวมาแล้วนั้น นับได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยกับพม่าทำสงครามใหญ่กันอีก โดยในรัชกาลที่ ๑ มีการรบกันเข้มข้นถึง ๗ ครั้ง ในรัชกาลที่ ๒ รบกัน ๑ ครั้ง รัชกาลที่ ๓ รบกัน ๑ ครั้ง ในรัชกาลที่ ๔ รบกัน ๑ ครั้ง ในรัชกาลที่ ๕ ไม่มีการรบกัน หากแต่ทัพไทยยกไปขับไล่พม่าให้พ้นแผ่นดินไทยเท่านั้น การรบกับพม่าในรัชกาลที่ ๑ อย่างเข้มข้นนั้นมีรายละเอียดอย่างไร คอยติดตามอ่านกันต่อไปนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, กลอน123, ชลนา ทิชากร, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- รับพระองค์เจ้าชีเข้ากรุง -
ญวนเหนือรุกรานไทยในล้านช้าง เข้ามาทางเมืองพวนเป็นส่วนใหญ่ ถูกตีโต้แตกพ่ายมิทันไร เจ้าญวนใต้กราบทูลร่วมรุมตี
ทรงสั่งรอเรื่องญวนไม่ด่วนรุก ขอบั่นบุกทางพม่าอย่างเร็วรี่ ยาตราทัพไปด่านกาญจนบุรี รับเจ้าชีคืนกรุงก่อนพุ่งรบ |
อภิปราย ขยายความ......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์มาให้อ่าน ถึงตอนที่แมงจันจาเจ้าเมืองทวายเป็นกบฏต่อพระเจ้าอังวะ แล้วขอมาเป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพมหานครศรีอยุธยา ส่งเครื่องบรรณาการพร้อมนางงามเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอกองทัพไทยไปช่วยป้องกันรักษาเมืองทวาย สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงรับแล้วดำรัสให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพถือพล ๕,๐๐๐ ไปช่วยรักษาเมืองทวาย พร้อมกับพระราชทานพานทองเครื่องยศให้พระยายมราชคุมออกไปพระราชทานแก่เจ้าเมืองทวายด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรวันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับเดิมกันต่อไปครับ
* “ ก่อนจะเกิดสงครามกับพม่าอีกครั้งก็มีเรื่องจากทางเมืองญวนเข้ามาแทรก กล่าวคือ ในปีจุลศักราช ๑๑๕๕ (พ.ศ. ๒๓๓๖) ปีชวด จัตวาศก อันเป็นปีที่ ๑๑ ในรัชกาลที่ ๑ วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ องเชียงสือเจ้าอนัมก๊กมีหนังสือเข้ามาฉบับหนึ่ง มีใจความว่า ในคราวที่องลองเยืองยกทัพมาตีเมืองไซ่ง่อนนั้น ได้จับพวกขุนนางของเจ้าอนัมก๊กเอาไปไว้เมืองเว้แล้วตั้งเป็นขุนนาง ดังนั้นเมื่อองลองเยืองคิดการประการใด ขุนนางดังกล่าวก็จะแต่งคนถือหนังสือเล็ดลอดมาให้ทราบทุกครั้ง จึงได้รู้ว่าองลองเยืองแต่งให้นายทัพนายกองออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองตังเกี๋ย
และยังว่าเมืองลาวจับเอาทูตขององลองเยืองที่ไปพม่าส่งลงมากรุงเทพมหานคร แล้วโปรดให้จำไว้ องลองเยืองผูกพยาบาทคิดจะยกไปตีเมืองลาว เมื่อได้เมืองลาวก็จะให้ยกไปตีเขมร ได้เขมรแล้วก็จะยกทัพบกทัพเรือเข้าไป ณ กรุงเทพฯ ดังนั้น ถ้ากรุงเทพฯจะยกกองทัพไปตีองลองเยืองขอให้ยกไปทางเหนือเข้าตีเมืองตังเกี๋ย เจ้าอนัมก๊กจะยกกองทัพบกทัพเรือไปตีเมืองกุยเยิน เมืองเว้ ถ้าจะยกไปตีเมื่อใดขอให้มีตราออกไปให้แจ้ง จะไปด้วย
ณ วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้มีหนังสือพระยาพระคลังออกไปมีใจความว่า ญวนเมืองตังเกี๋ยยกกองทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ กองทัพเมืองเวียงจันทน์ยกออกไป ได้รบกันที่เมืองพวน กองทัพญวนเมืองตังเกี๋ยแตกไป จึงกวาดเอาครอบครัวชายหญิงใหญ่น้อยส่งมา ๔๐๐ เศษ และซึ่งองลองเยืองมีความพยาบาทจะยกกองทัพไปตีเมืองลาว ได้แล้วจะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯนั้น ตามแต่มันจะคิดเถิด หาวิตกไม่
และข้อซึ่งว่าจะแต่งกองทัพไปเมื่อใดให้บอกออกไปให้แจ้ง เจ้าอนัมก๊กจะยกกองทัพไปตีเมืองกุยเยิน, เมืองเว้ พร้อมกันทีเดียวนั้น ฝ่ายกรุงก็จัดเตรียมกองทัพหัวเมืองฝ่ายตะวันออก และกองทัพกรุงอยู่ เพราะบัดนี้แมงจันจาพม่าเมืองทวายสวามิภักดิ์มาขึ้นกรุงสยาม แมงจันจากับขุนนางพม่าที่มาขอพึ่งพระบรมราชกฤษฎาภินิหาร จะอาสาไปตีเมืองเมาะตะมะ,เมืองร่างกุ้ง การศึกเมืองอังวะครั้งนี้เป็นท่วงทีอยู่ จะต้องคิดทำให้สำเร็จเสียก่อน ถ้าจะไปทำแก่องลองเยืองได้เมื่อใด จึงจะมีตรากำหนดออกมาให้แจ้งครั้งหลัง และให้เจ้าอนัมก๊กรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคง บัดนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้องเบ็ดเลือง คุมสิ่งของออกมาพระราชทานเจ้าอนัมก๊ก แพรมังกรสีม่วง ๒ สีดำ ๒ กระดาษหีบ ๑ หมึกหีบ ๑
* ทีนี้กล่าวถึงพระยายมราชผู้รับพระราชบัญชาให้เป็นแม่ทัพคุมพล ๕,๐๐๐ ไปช่วยรักษาเมืองทวายนั้น เมื่อเดินทัพไปถึงเมืองทวายแล้วก็ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง พระยาทวายทราบเรื่องก็จัดให้ขุนนางกรมการนำเอาเสบียงอาหารออกมาต้อนรับกองทัพไทยโดยตนเองมิได้ออกไปรับด้วย พระยายมราชจึงให้ขุนนางไทยเข้าไปในเมืองกับกรมการเมืองทวาย ขอให้เจ้าเมืองทวายออกมาคำนับท่านแม่ทัพ พระยาทวายก็ออกมาต้อนรับนับถือยำเกรงเรียบร้อย พระยายมราชจึงให้พระรองเมืองคุมคนเข้าไปตั้งรักษาเมืองทวายอยู่ในกำแพงเมือง จากนั้นพระยายมราชจึงบอกกำหนดจะส่งพระองค์เจ้าชีลงมาให้ถึงแม่น้ำน้อย ขอเรือขึ้นไปรับ ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดให้เรือศรีประกอบหลังคาสีม่านทองลำ ๑ สำหรับจะได้รับพระองค์เจ้าชี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จยกพยุหยาตราออกไปเมืองกาญจนบุรีโดยทางชลมารค ถึงแม่น้ำน้อยก็เสด็จขึ้นประทับอยู่ที่พลับพลาค่ายหลวง เวลาบ่าย ๒ โมงวันนั้นพระยายมราชก็ส่งพระองค์เจ้าชีมากับพระราชาภิมณฑ์และข้าไทชาวกรุงตามเสด็จพระองค์เจ้าชีลงมาเป็นอันมาก ถึงพลับพลาที่ประทับก็เสด็จขึ้นเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯกรมพระราชวังบวรฯ ทั้งสองพระองค์ทรงไต่ถามถึงทุกข์สุขตั้งแต่ตกไปอยู่เมืองอังวะแล้วหลบหนีลงมาจนถึงเมืองทวาย พระองค์เจ้าชีเล่าถวายถึงความทุกข์ยากลำบากพร้อมกับทรงพระกันแสง ทั้งสองพระองค์ทรงฟังแล้วก็กลั้นน้ำพระเนตรไว้มิได้ จากนั้นรับสั่งให้พระองค์เจ้าชีลงสรงน้ำ ณ ที่สรงซึ่งทำไว้ที่ท่าหาดทรายในแม่น้ำน้อย และสรงน้ำพระปริตเสร็จแล้วก็ให้เรียกเรือมารับพระองค์เจ้าชีและข้าไทที่ตามมานั้น เป็นเรือหลายลำด้วยกัน ใ ห้สนมกรมวังนำส่งพระองค์เจ้าชีเข้ากรุงเทพมหานคร”
** ท่านผู้อ่านครับ เกิดเรื่องพะวักพะวงขึ้นกับพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามขึ้นแล้ว กล่าวคือทางฝ่ายญวนนั้น องเชียงสือเจ้าอนัมก๊กกราบทูลให้สยามยกกองทัพไปตีตังเกี๋ยทางด้านเหนือ โดยองเชียงสือจะยกทัพญวนตะลุยตีเมืองกุยเยิน เมืองเว้ ขึ้นไปตีตังเกี่ยทางด้านใต้ ซึ่งก็เป็นยุทธวิธีที่ดี สามารถตีตังเกี๋ยให้สำเร็จได้ไม่ยาก แต่ทรงทำดังนั้นมิได้ เพราะแมงจันจาเจ้าเมืองทวายพร้อมเมืองมะริด ตะนาวศรี ขอเป็นเมืองขึ้น และอาสายกไปตีเมาะตะมะ เมืองร่างกุ้ง เมืองจิตตกอง เมืองพสิม ถวายให้จงได้ในเร็ววัน และทรงรับปากแมงจันจาไปแล้ว จึงตรัสให้รอเรื่องทางเมืองญวนไว้ก่อน จากนั้นเสด็จยกพยุหยาตราทัพออกไปเมืองกาญจนบุรี แล้วทรงรับพะราชนัดดาพระองค์เจ้าชี ส่งกลับเข้ากรุงเทพมหานคร เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทรงห้ามรื้อเมืองทวาย -
กิริยาเจ้าเมืองทวายไม่เรียบร้อย ประหนึ่งคอยเล่นแง่ไม่สงบ กรมพระราชวังบวรฯทรงเว้นคบ หมายให้กลบเกลื่อนทวายไม่เหลือมี
กราบทูลเรื่องรื้อกำแพงแปลงเมืองสิ้น เหลืองเพียงดินเปล่าเปลือยไว้แทนที่ กวาดต้อนครัวทั่วหน้าประชาชี ทั้งผู้ดีแลไพร่ไปเมืองกรุง
ตรัสห้ามไว้ให้เมืองนี้มีเป็นหลัก เป็นที่พักทัพได้ไม่ยากยุ่ง ประโยชน์เมืองทวายล้วนควรปรับปรุง และบำรุงรักษาอย่าทำลาย |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ มาให้ท่านได้อ่านกันถึงตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระอนุชาธิราช ยกพยุหโยธาทัพหลวงไปเมืองกาญจนบุรีทางชลมารค ถึงที่ตั้งพลับพลาแม่น้ำน้อยทรงประทับรอรับพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าชี ครั้นพระยายมราชรับตัวพระองค์เจ้าหลานชีจากเจ้าเมืองถวายแล้ว ส่งมาถวาย ณ ค่ายหลวง ทรงซักถามทุกข์สุขแล้วจัดขบวนเรือส่งพระองค์เจ้าหลานชีเข้ากรุงเทพมหานคร แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอ่านกันต่อครับ
* “ครั้นส่งพระเจ้าหลานเธอเข้ากรุงเทพมหานครแล้วได้ ๓ วัน กรมพระราชวังบวรฯก็ทูลลายกทัพขึ้นไปเมืองทวาย จะไปดูแยบคายพระยาทวายว่าจะสุจริตหรือจะคิดประการใด ครั้นเสด็จไปถึงเมืองทวาย ทรงพิจารณาการทั้งปวงแล้วก็เห็นว่า จะรักษาเมืองทวายไว้มิได้ ทั้งพระยาทวายกิริยาก็ไม่เรียบร้อย ดูกระด้างกระเดื่องอยู่ ทรงพระดำริที่จะกวาดครอบครัวอพยพรื้อกำแพงเมืองทวายเสีย พวกกองทัพทราบพระดำรินั้นก็พากันหาครอบครัวมาใช้สอย ไปลักลอบพาหญิงชาวเมืองทวายผ่อนปรนให้บ่าวไพร่คุมลงมาเป็นอันมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จประทับอยู่ค่ายหลวงแม่น้ำน้อย ได้ทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้ข้าหลวงออกเที่ยวจับตัว คนเหล่านั้นรู้ก็หนีลัดเข้าป่าไป หมื่นสิทธิโสมตำรวจพาหญิงมาด้วย ๒ คน พวกในกองทัพหลวงออกไล่ตามจับ ได้ตัวหมื่นสิทธิโสมมาลงพระราชอาชญาเฆี่ยนแล้วจำไว้ พวกข้าหลวงในกรมพระราชวังบวรฯที่เป็นผู้ใหญ่ ๆ นั้น รู้ว่าหมื่นสิทธิโสมถูกจับได้แล้วลงพระราชอาชญาเฆี่ยนแล้วจำไว้ดังนั้น ก็เกิดความเกรงกลัว พากันสงบหาได้เกลี้ยกล่อมเอาชาวเมืองทวายลงมาอีกไม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ถามเจ้าพระยามหาโยธา อำมาตย์สายสมร พระยาไทรโยค ถึงระยะทางจากพระเจดีย์สามองค์ไปถึงเมืองเมาะตะมะ และจากบ้านระแหงไปถึงเมืองเมาะตะมะว่าเป็นระยะทางเท่าใด จากเมืองเมาะตะมะไปถึงหงสาวดีเป็นระยะทางเท่าใด เจ้าพระยามหาโยธา อำมาตย์สายสมร และพระยาไทรโยค กราบบังคมทูลว่า เมื่ออยู่เมืองมอญเดินไปมาอยู่บ้าง ประมาณตามระยะทางตั้งแต่เมืองกาญจนบุรีไปถึงไทรโยคประมาณ ๑,๗๗๕ เส้น ตั้งแต่เมืองไทรโยคเก่าถึงด่านผาวน ๕๕๒ เส้น ตั้งแต่ด่านผาวนถึงคลองปิลอก ๗๕๘ เส้น ตั้งแต่คลองปิลอกถึงสามสบ ๘๐๐ เส้น ตั้งแต่สามสบถึงแม่น้ำสังขะลา ๖๐๐ เส้น แต่แม่น้ำสังขะลาถึงพระเจดีย์สามองค์ทาง ๕๐๐ เส้น แต่พระเจดีย์สามองค์ถึงแม่น้ำกษัตริย์ ๘๐๐ เส้น แต่แม่น้ำกษัตริย์ถึงแม่น้ำสกลิก ๑,๐๐๐ เส้น แต่แม่น้ำสกลิกถึงสมิ ๒,๗๐๐ เส้น ทางเรือแต่สมิถึงเมืองเมาะตะมะ ๒,๗๐๐ เส้น แต่เมืองเมาะตะมะถึงเมืองยางเงิน ๑,๕๐๐ เส้น แต่เมืองยางเงินถึงเมืองสะเทิม ๑,๐๐๐ เส้น แต่เมืองสะเทิมถึงเมืองวาน ๑,๕๐๐ เส้น แต่เมืองวานถึงเมืองดัดคล้า ๑,๒๐๐ เส้น แต่เมืองดัดคล้าถึงเมืองกะเตา ๑,๒๐๐ เส้น แต่เมืองกะเตาถึงเมืองหงสาวดี ๑,๒๐๐ เส้น รวมเป็นระยะทาง ๑๙,๗๘๕ เส้น
ส่วนทางบ้านระแหง(จังหวัดตากปัจจุบัน)นั้น ตั้งแต่บ้านระแหงถึงด่านแม่ละเมา ๒,๕๐๐ เส้น แต่ด่านแม่ละเมาถึงแม่น้ำเม้ย ๒,๐๐๐ เส้น แต่แม่น้ำเม้ยถึงแม่น้ำกลีบ ๒,๐๐๐ เส้น แต่แม่น้ำกลีบถึงบ้านตะพู ๑,๒๐๐ เส้น ทางเรือตั้งแต่บ้านตะพูขึ้นไปเมืองเมาะตะมะขึ้นบก ๒,๗๐๐ เส้น รวมตั้งแต่บ้านระแหงถึงเมืองเมาะตะมะ ๑๐,๔๐๐ เส้น แต่เมืองเมาะตะมะถึงเมืองหงสาวดี ๗,๖๐๐ เส้น รวม ๑๘,๐๐๐ เส้น ทางพระเจดีย์สามองค์ถึงปากแพรกมากกว่าทางบ้านระแหง ๑,๘๘๕ เส้น
* ในขณะที่ตรวจสอบระยะทางไปเมืองหงสาวดีนั้น สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯก็มีรับสั่งให้พระยายมราชมีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูล สรุปความได้ว่า ขอรื้อเมืองทวายเอาอิฐลงแม่น้ำเสียให้หมด อย่าให้ทำขึ้นได้อีก แล้วจะกวาดเอาครอบครัวลงมาใส่บ้านเมือง เมืองทวายไกลนักเมื่อมีราชการทัพศึกมาช่วยไม่ทัน จะเอาพระยาทวายล่วงไปเสียก่อนจึงค่อยคิดต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบหนังสือบอกมาดังนั้นก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก รับสั่งให้มีหนังสือตอบขึ้นไปว่า พม่ายกมาตีกรุงกวาดครอบครัวชาวกรุงและพี่น้องขึ้นไปไว้แต่ที่เมืองทวายเมืองเดียวดอกหรือ เมืองอังวะและเมืองอื่น ๆ ไทยชาวกรุงไม่มีหรือ ไม่ช่วยเจ็บแค้นขึ้งโกรธบ้างเลย ได้เมืองทวายไว้จะได้เป็นเมืองพักผู้คน ไว้เสบียงอาหารเป็นกำลังทำศึกต่อไป ห้ามอย่าให้รื้อกำแพงเมืองและกวาดครอบครัว ให้รักษาเมืองระวังเหตุการณ์ให้มั่นคงให้ดี”
* * ท่านผู้อ่านครับ เรื่องเมืองทวายขอสวามิภักดิ์ เห็นจะมีปัญหาเสียแล้ว มีปัญหาอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อไปในวันพรุ่งนี้นะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, กลอน123, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- จัดทัพเตรียมตีพม่า -
ให้เจ้าเมืองทวายและพวกพ้อง ละเลิกครองเมืองเก่าเป็นเป้าหมาย พม่าเขม่นเผ่นล่าฆ่าถึงตาย จึงให้ย้ายเข้ากรุงเทพฯเสพสุขพอ
อยู่ ณ คอกกระบือไม่ดื้อแพ่ง มีตำแหน่งงานคิดทำติดต่อ ตั้งเจ้าเมืองทวายใหม่ไม่รั้งรอ วางแผนก่อศึกพม่ารุกราวี |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ มาให้อ่านถึงตอนที่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพไปเมืองทวาย เมื่อไปถึงแล้วก็ทรงพิจารณาเห็นว่าจะรักษาเมืองทวายไว้ไม่ได้ จึงมีพระราชดำริจะรื้อกำแพงเมืองทวายเสีย แล้วกวาดต้อนผู้คนมากรุงเทพฯ เมื่อมีหนังสือกราบบังคมทูลลงมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขัดเคืองแล้วให้ตอบไปว่าไม่ให้รื้อกำแพงเมืองทวาย ให้รักษาเมืองระวังเหตุการณ์ให้มั่นคง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป วันนี้มาติดตามพระราชพงศาวดารฉบับเดิมกันต่อครับ
* “มีความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ ทรงชำระว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีตราขึ้นไปให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า รักษาเมืองทวายไว้ให้ดี อยู่มาสักสี่ห้าวัน กล่าวถึงชายไทยชาวกรุงเก่าคนหนึ่งชื่อตามา เคยรู้จักใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาแต่ครั้งกรุงยังไม่เสีย ครั้งนั้นมีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันกับบ้านหลวง ครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งนั้น ตามาถูกกวาดต้อนไปตกอยู่เมืองทวาย แต่ไม่ได้เข้าอยู่ในกลุ่มพระองค์เจ้าชี เมื่อพระองค์เจ้าชีเสด็จลงมากรุงเทพฯ จึงไม่ได้ติดกลุ่มลงมาด้วย คงอยู่ในเมืองทวายนั้นเอง
ตามาทราบว่า พระยาทวายรู้ว่าพระเจ้าอังวะจะเอาสะดุแมงกองบิดาของตนขึ้นม้าเอาเลื่อย ๆ เสียเหมือนเลื่อยไม้ แล้วจะยกกองทัพมาตีเมืองทวาย พระยาทวายเสียใจคิดรวนเรวุ่นวายด้วยกลัวบิดาตนจะต้องรับอาชญา ใจจึงไม่เป็นหนึ่งแน่เหมือนแต่ก่อน ได้ให้ปลัดต่าย มองนุ น้องของตน พาไพร่พลพม่าเมืองทวายหลายคนลงมาดูทาง พบเห็นทางไหนแคบก็จะตัดไม้ทับทางเสียจะเอาคนระวังที่ช่องแคบ แล้วจะยกเข้าปล้นกองทัพที่รักษาเมืองทวาย เมื่อรู้ความดังนั้นแล้ว ตามาจึงเข้ากราบทูลกรมพระราชวังบวรฯ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าทราบแล้วจึงบอกส่งลงมา ณ ค่ายหลวงแม่น้ำน้อย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทราบความแล้วทรงพระราชดำริว่า อ้ายมองนุเป็นน้องพระยาทวาย อ้ายปลัดต่ายก็เป็นคนใช้สอยของพระยาทวาย จึงให้จับเอาตัวอ้ายมองนุ อ้ายปลัดต่ายมาถาม อ้ายมองนุ อ้ายปลัดต่าย ให้การว่ามาเที่ยวเล่นก็เลยลงมา คำแก้ตัวของทั้งสองฟังไม่ขึ้น จึงให้เอาตัวมองนุกับพวกทั้งหมดจำไว้ที่ค่ายหลวงแม่น้ำน้อย ไม่ให้เหลือกลับไปบอกข่าวกันได้ แล้วรับสั่งให้มีตราออกไปถึงพระยายมราชให้กราบทูลสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯว่า ไม่ไว้ใจแมงจันจาเจ้าเมืองทวายและปลัดกับพวกพ้องพระยาทวาย ให้ส่งตัวลงมาให้สิ้น จะทรงชุบเลี้ยงเป็นขุนนางอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยมีความชอบที่ยกเอาเมืองทวายมาขึ้นกับกรุงเทพมหานคร แล้วให้ตั้งเจ้าเมืองทวายขึ้นใหม่ โดยเอาพวกพ้องนางทวายที่ส่งลงมาถวายนั้น ดูว่าคนใดเหมาะสมก็ให้ตั้งเป็นเจ้าเมืองต่อไป
สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯ จึงรับสั่งให้พระยายมราชหาตัวพระยาทวายมาบอกว่า มีตราให้พระยาทวายเข้าไปเฝ้า จะทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเป็นขุนนางอยู่ที่กรุงเทพฯ หากจะให้อยู่รักษาเมืองทวายก็จะต้องให้กองทัพสยามอยู่รักษาเมืองด้วยทั้งตาปี จะไว้ใจพม่ามิได้ ถ้าไปอยู่เสียที่กรุงเทพฯแล้ว พม่าก็จะสิ้นความอาฆาต ส่วนทางเมืองทวายตั้งให้ผู้อื่นอยู่รั้งเมืองก็จะได้
พระยาทวายฟังแล้วก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าไปอยู่กรุงเทพฯ แต่ขัดมิได้ด้วยเห็นกองทัพกรุงสยามตั้งอยู่ที่ทวายเป็นอันมาก ต้องยอมตามรับสั่ง จึงจัดเตรียมพรรคพวกครอบครัวของตนได้หลายร้อยคน พระยายมราชก็ส่งลงมาถึงแม่น้ำน้อย และได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ค่ายหลวงแม่น้ำน้อย โปรดให้จัดเรือส่งพระยาทวายเข้ากรุงเทพฯ และพวกพระยาทวายทั้งหมดนั้นโปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนพักอยู่นอกป่าช้าวัดสระเกศพลางก่อน ครั้นสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯ เสด็จจากทวายลงมาถึงแม่น้ำน้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับกรมพระราชวังบวรฯก็เสด็จพระราชดำเนินกลับคืนพระนคร จากนั้นโปรดตั้งพระองค์เจ้าชีขึ้นเป็นเจ้าฟ้าฝ่ายในอีกพระองค์หนึ่ง และพวกพระยาทวายนั้นก็คัดเอาไว้เป็นช่างเรือบ้าง ที่เหลือนั้นให้ไปอยู่คอกกระบือกับพระยาทวาย
* ในปีฉลู จุลศักราช ๑๑๕๕ (พ.ศ. ๒๓๓๖) นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริกับด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯว่า เมืองมะริด เมืองตะนาว เมืองทวาย ก็ได้เป็นของสยามแล้ว ควรจะไปตีเมืองเมาะตะมะ(นครพัน) เมืองร่างกุ้ง เขตแดนพม่าต่อเข้าไปลองดู ถ้าสมคะเนได้การก็จะตีให้ถึงเมืองอังวะทีเดียว จึงโปรดให้เกณฑ์ทัพ โดยให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา ยกไปสมทบเจ้าพระยายมราชที่เมืองทวายก่อน
สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯ เสด็จไปทางสิงขรแล้วตั้งต่อเรือรบอยู่ฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อเตรียมยกทัพเรือไปเมืองมะริด ส่วนทัพหลวงซึ่งจะยกไปทางบกนั้นยังมิได้ยกไปในทันที ให้พระยากลาโหมราชเสนาออกไปเกณฑ์ทัพเมืองเขมร และให้พระยาไกรโกษาไปเกณฑ์ทัพเมืองลาว ส่วนเมืองเหนือนั้นมีตราให้ข้าหลวงถือขึ้นไป กำหนดให้เกณฑ์ทัพ ๔๐,๐๐๐ ให้พร้อมกันในเดือน ๑๒ ปีฉลูนั้น”
** อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ตอนที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชำระแล้วได้ความชัดเจนว่า ชาวบ้านชื่อตามากราบทูลสมเด็จพระอนุชาฯว่า แมงจันจา เจ้าเมืองทวายคิดมิซื่อเพราะทราบข่าวพระเจ้าอังวะจะฆ่าบิดาตนอย่างโหดเหี้ยม จึงทรง “ตัดไฟเสียแต่ต้นลม” ตรัสให้นำตัวเจ้าเมืองทวายและครัวครัวเข้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณคอกกระบือ (วัดทวาย แถว ๆ วัดดอนยานนาวา) จากนั้นตรัสให้จัดเตรียมกองทัพเพื่อจะยกไปตีเมืองเมาะตะมะ (นครพัน) เมืองร่างกุ้ง หากสำเร็จก็จะยกบุกไปยึดเมืองอังวะเลยทีเดียว เรื่องราวจะดำเนินการต่อไปอย่างไร พรุ่งนี้ตื่นมาอ่านกันต่อครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทวายเป็นกบฏ -
ทัพพม่ามาทวายใกล้ถึงแล้ว ชาวทวายรู้แกวก็กล้าหนี เลิกเกรงกลัวทัพไทยในทันที เริ่มโจมตีทัพไทยในทางเรือ
อ้ายวุ่นทอกออกสร้างกระด้างกระเดื่อง ให้ชาวเมืองทั้งหมดลดความเชื่อ กลับใจเป็นกบฏไทยไม่คลุมเครือ แตกหักเมื่อชาวทวายใช้ปืนยิง
ค่ายไทยที่นอกเมืองต้องเคืองแค้น ขยับแดนถอยไกลไม่อาจนิ่ง พ้นทางปืนรอทีเข้าช่วงชิง หาความจริงก่อนบุกเข้ารุกรบ |
อภิปราย ขยายความ....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์มาให้อ่านถึงตอนที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกตรัสให้เจ้าเมืองทวายอพยพครอบครัวเข้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร จากนั้นตรัสให้เตรียมกองทัพเพื่อยกไปตีเมืองเมาะตะมะ เมืองร่างกุ้ง และเมืองอื่น ๆ ต่อไป เรื่องจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอ่านกันต่อนะครับ
* “ในเวลานั้น เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา พระยายมราช บอกเข้ามาว่า พม่ายกกองทัพใหญ่มาแต่เมืองอังวะ จะมาตีเมืองทวาย พม่าเมืองทวายลอบออกไปหาแม่ทัพเมืองอังวะ จัดหญิงชาวเมืองทวายลงไปให้ ๒ คน หาให้กองทัพไทยรู้ไม่ แม่ทัพเมืองอังวะจับกรมการเมืองทวายนั้นฆ่าเสีย แล้วส่งตัวผู้หญิงกลับเข้ามาเมืองทวาย ไพร่พลในเมืองทวายนั้นตั้งแต่รู้ว่ากองทัพพม่ายกมาแต่เมืองอังวะ ความซึ่งยำเกรงกองทัพไทยนั้นก็น้อยลงกว่าเก่ามาก จะใช้สอยการงานบังคับบัญชาก็ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบในหนังสือบอกแล้ว ก็เป็นเวลาพอดีกันกับที่กองทัพหัวเมืองเข้ามาพร้อมกัน จึงเสด็จยกพยุหยาตราโยธาทัพบกทัพเรือไปขึ้นเดินที่ทัพหลวงแม่น้ำน้อย
ที่เมืองทวายในเวลานั้นก็ขัดเสบียงอาหารลง เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา พระยายมราช จึงปรึกษากันว่า ชาวเมืองทวายเสบียงอาหารก็ฝืดเคืองเกือบจะอดอยู่แล้ว จะชักเอาผู้ชายไปขนข้าวที่ฉางแม่น้ำน้อย คนก็จะติดรักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่ ให้แต่พวกผู้หญิงลงมาขนข้าว พวกพ้องของใครก็ให้คุมพวกพ้องลงมา แล้วให้พวกไทยกำกับลงมาด้วย
เมื่อเป็นดังนั้นก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น โดยชาวเมืองทวายพากันสงสัยว่า ไทยจะผ่อนครัว ก็หาฟังบังคับบัญชาไม่ ทุ่มเถียงเกะกะเอะอะโวยวายไป เจ้าพระยามหาเสนาจึงจับเอาอ้ายวุ่นทอกพม่าเมืองทวายตัวหัวโจกนั้นมาเฆี่ยนตี ๓๐ ที
* ในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จจากแม่น้ำน้อยขึ้นไปทางคะมองสวยแล้วตั้งค่ายอยู่ที่หินดาด ซึ่งไกลจากเมืองทวายเป็นระยะทาง ๒ คืน
สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯ ซึ่งยกออกไปต่อเรือรบอยู่ที่สิงขรนั้น เมื่อต่อเรือรบได้ตามพระราชประสงค์แล้วก็พอดีกับที่ได้โปรดให้พระยาจ่าแสนยากร พระยาไกรโกษา ไปเกณฑ์กองทัพนั้นตามเสด็จมากับพระยาพิไชยบุรินทรา พระยาแก้วเการพ จึงโปรดให้คุมกองเรือยกออกไปเมืองทวาย ครั้นส่งทัพไปแล้วก็เสด็จกลับมาประทับอยู่แขวงเมืองชุมพร
ส่วนกองทัพที่ยกไปนั้น เมื่อไปถึงเมืองมะริดก็ได้ข่าวว่าเมืองมะริดกลับใจเป็นกบฏ จึงยกเข้าตีเมืองมะริด ปืนป้อมและปืนหน้าเมืองชาวเมืองมะริดยิงระดมหนาแน่นนัก เข้าเมืองหาได้ไม่ จึงแจวเรือเข้าหาเกาะหน้าเมืองมะริด เกาะหน้าเมืองนั้นมีเขาอยู่ พระยาเสนหาภูธรทำพิณพาทย์อยู่ในเรือ เมื่อข้ามไปจะเข้าเกาะนั้นปืนพม่ายิงมาถูกวงฆ้องกระจายไปถูกคนตีฆ้องบาดเจ็บ พระยาไกรโกษา พระยาพิไชยบุรินทรา พระยาจ่าแสนยากร พระยาแก้วเการพ และนายทัพนายกองไปถึงเกาะได้พร้อมกัน เอาปืนใหญ่ขึ้นบนเขาช่วยกันยิงระดมเข้าไปในเมืองมะริด พม่าทนลูกปืนไม่ได้ก็ขุดหลุมทำสนามเพลาะ เอากระดานบังตัวกันลูกปืน ปืนทางฝ่ายเมืองมะริดก็ซาลงรอทีว่าจะแตก
ทางเมืองทวายนั้น อ้ายวุ่นทอกคนที่เจ้าพระยามหาเสนาเฆี่ยนนั้นเจ็บแค้นเจ้าพระยามหาเสนา จึงป่าวร้องยุยงพวกทวายว่าไทยจะไล่พลผ่อนครัวลงไปขนข้าว แล้วจะเลยกวาดคนและพวกครัวเมืองทวายไปไว้แม่น้ำน้อย พวกทวายทั้งปวงที่รักษาหน้าที่ก็เชื่อคำอ้ายวุ่นทอก แล้วกลับใจคิดเป็นกบฏขึ้น ช่วยกันเอาปืนใหญ่ยิงระดมเข้าไปในค่ายไทยที่ตั้งอยู่นอกเมือง กองทัพเจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เห็นดังนั้นจึงล่าถอยขยับค่ายออกให้ห่างไกลกำแพงเมืองจนพ้นทางปืน
** ท่านผู้อ่านครับ มีคำกล่าวอยู่ว่าการรบเพื่อยึดครองดินแดนนั้นไม่ยากนัก แต่เมื่อยึดได้แล้วจะปกครองผู้คนที่อยู่ในดินแดนนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง จึงปรากฏว่าเมื่อเข้าตียึดบ้านเมืองได้แล้วมักจะเผาทำลายบ้านเมืองและทำลายวัฒนธรรมประเพณีของผู้คนในดินแดนนั้นด้วย หาไม่แล้วผู้คนในดินแดนนั้น ๆ มักจะลุกฮือขึ้นต่อต้านปลดแอกได้ในภายหลัง ดังเช่นเมืองทวายที่ไทยยึดครองตามความที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า เราได้แต่เมืองทวาย แต่ไม่ได้ประชาชนชาวเมืองทวาย เมื่อเกิดกบฏขึ้นแล้ว เรื่องจะลงเอยอย่างไร อ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เสียแม่ทัพไทยแก่ทวาย -
ชาวทวายในเมืองเคืองไทยมาก ไทยลำบากเมื่อทวายไม่สยบ ได้กำลังพม่ามาสมทบ ไทยจึงพบความพ่ายไร้เชิงชาญ
แม่ทัพหน้าโง่แล้วอวดฉลาด ผสมขลาดขามศึกไม่ฮึกหาญ ปล่อยแม่ทัพหนึ่งหายลับวายปราณ โทษประหารคนโง่งมเห็นสมควร |
อภิปราย ขยายความ.........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้ท่านได้อ่านกันถึงตอนที่ กองทัพเรือไทยเข้าตีเมืองมะริดที่คิดกลับใจเป็นกบฏ และชาวเมืองทวายก็คิดกลับใจเป็นกบฏ เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป วันนี้มาอ่านกันต่อครับ
* “ กล่าวถึงพระรองเมือง ผู้ซึ่งพระยายมราชให้เข้าไปรักษาอยู่ในเมืองทวายนั้น เห็นพวกทวายเป็นกบฏ จึงจะพาพวกออกจากเมืองทวาย แต่พวกทวายก็ปิดประตูเมืองเสียหมด จึงพานายทัพนายกองเดินเลียบตามริมเชิงเทินข้างเหนือเมือง พอถึงประตูด้วยหมายจะออกทางประตูนั้น แต่มีผู้รักษาประตูอยู่ห้าหกคนไม่ยอมให้ออก จึงฟันผู้รักษาประตูนั้นตายไป ๒ คน ที่เหลือนั้นพากันวิ่งหนีไป พระรองเมืองจึงร่วมกับพรรคพวกกระทุ้งกลอนประตูจนกุญแจหัก เปิดประตูออกได้แล้วรีบไปหาพระยายมราช
ในขณะที่เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา และพระยายมราช ล่าถอยไปนั้นตั้งค่ายมิทันแล้วเสร็จ ก็ปรากฏว่ากองทัพพม่ากับทวายพลเมืองสมทบกันยกออกมาเป็นอันมาก จู่โจมเข้ารบรุกบุกบัน ไล่ยิง ฟันแทงกลางแปลง เหลือกำลังที่จะต่อรบ กองทัพไทยก็รับรบล่าถอยมาจนถึงค่ายพระยาอภัยรณฤทธิ ซึ่งเป็นกองหน้าของทัพหลวงตั้งค่ายปิดทางอยู่
กองทัพเจ้าพระยารัตนาพิพิธกับพวกที่ถอยร่นมาจะขอเข้าอาศัยผ่อนพักในค่ายรับทัพพม่า แต่พระยาอภัยรณฤทธิไม่ยอมให้เข้าค่าย อ้างว่าตนเป็นทัพหน้าของทัพหลวง ถ้าเข้ามาในค่ายคนกำลังตื่นแตกพม่าเข้าไป ค่ายจะเสีย ถ้าค่ายหน้าแตกแล้วข้าศึกก็จะถึงค่ายหลวงทีเดียว ตนก็จะถูกตัดศีรษะ จึงขอให้รับทัพพม่าอยู่แต่นอกค่าย
เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา พระยายมราช เข้าค่ายไม่ได้ก็ตั้งรับพม่าอยู่หน้าค่าย จมื่นราชาบาล(กระต่าย) จมื่นสมุหพิมาน(แสง) บุตรเจ้าพระยาราชบุรี ได้ขอร้องให้พระยาอภัยรณฤทธิเปิดประตูรับพวกเจ้าพระยารัตนาพิพิธเป็นหลายครั้ง พระยาอภัยรณฤทธิก็ไม่ยอม พระอินทรเดช (บุญเมือง) พระยามหามนตรี(ปลี) ก็เห็นด้วยกับพระยาอภัยรณฤทธิ กล่าวห้ามว่า อย่าเปิดค่ายรับ เพราะคนจะละเล้าละลุมเข้ามา ให้รับรบอยู่นอกค่ายนั่นแหละดีแล้ว
กองทัพพม่าตามมาถึงก็เข้ารบรุกบุกบัน พวกเจ้าพระยารัตนาพิพิธรับไม่หยุด เพราะไม่มีค่ายมั่นรักษาตัว จึงแตกพ่ายกระจายไป เสียเจ้าพระยามหาเสนาในที่รบหาศพก็ไม่ได้ ส่วนค่ายพระยาอภัยรณฤทธินั้นพม่าก็เข้าตีเอาได้ สูญเสียไพร่พลคราวนั้นมากนัก
* พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า จะทำการต่อไปไม่ตลอด จึงให้ถอยกองทัพทั้งปวงลงมาแม่น้ำน้อย ครั้นมาถึงแม่น้ำน้อยแล้วทรงทราบว่าเจ้าพระยามหาเสนาหายไป และทรงทราบอีกว่า เมื่อเจ้าพระยามหาเสนากับพวกถอยมาถึงค่ายพระยาอภัยรณฤทธิ จะเข้าอาศัยค่ายยิงปืนรับพม่า แต่พระยาอภัยรณฤทธิไม่ยอมให้เข้าอาศัย ปิดประตูค่ายเสีย
ทรงพระพิโรธพระยาอภัยรณฤทธิมาก ดำรัสว่า เสนาบดีผู้ใหญ่ทั้ง ๓ นายมาถึงแล้วควรให้เข้าพักอยู่ในค่าย นี่มันถือกฎหมายอะไรของมัน ไม่ให้เสนาผู้ใหญ่เข้าอยู่ในค่าย จนเสียแม่ทัพนายกองและไพร่พลเป็นอันมาก ทรงให้ซักถามพระยาอภัยรณฤทธิ พระยาอภัยรณฤทธิก็รับสารภาพผิด จึงให้ลงพระราชอาชญาประหารชีวิตพระยาอภัยรณฤทธิเสียที่ค่ายแม่น้ำน้อย ส่วนพระอินทรรเดช พระยามหามนตรี ที่เห็นด้วยกับพระยาอภัยรณฤทธินั้น ให้ถอดเสียจากที่เจ้ากรมพระตำรวจ แล้วลงพระราชอาชญาให้จำไว้ทั้ง ๒ คน และจมิ่นราชาบาล จมื่นสมุหพิมาน ที่บอกให้พระยาอภัยรณฤทธิเปิดประตูค่ายรับทัพ ๓ เสนาบดีผู้ใหญ่นั้น ถือว่ามีความชอบ จึงโปรดให้จมิ่นราชาบาลเป็นที่พระอินทรเดช ตำแหน่งพระราชรินทร์ว่างอยู่หามีตัวไม่นั้น โปรดให้จมื่นสมุหพิมาน เป็นที่พระราชรินทร์ แล้วโปรดเกล้าฯให้นายจ่าเรศ(เกด) บุตรพระยาเพชรพิไชยที่ถึงแก่กรรมถือหนังสือเข้ามาถึงผู้รักษาพระนคร ให้ระวังพวกพม่าที่จำไว้ทุกคุก และระวังรักษาพวกพระยาทวาย ถ้าเห็นว่าผู้ใดกำเริบขึ้นก็ให้จับจำเสีย
ผู้รักษาพระนครครั้งนั้นคือกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ พระยาพลเทพ(ปิ่น) พระยาธรรมา(ทองดี) พระยาเพชรพิไชยที่เป็นที่หลวงนายสิทธิ์ครั้งกรุงเก่า พระยามหาธิราชอยู่กรมเมือง แล้วโปรดให้นายฉิมมหาดเล็กผู้เป็นเชื้อชาวชุมพรถือตรารีบไปเฝ้าสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯฉบับ ๑ นายฉิมถือตรารีบเดินทางไปขึ้นที่เมืองเพชรบุรี เดินบกไปเฝ้าที่เมืองกระ กราบทูลราชการเมืองทวายตามท้องตรา
กรมพระราชวังบวรฯทรงทราบก็เสียพระทัยนัก รับสั่งว่า การจะสำเร็จอยู่แล้วกลับไม่สำเร็จไปได้ จึงสั่งให้ขึ้นไปบอกนายทัพนายกองให้ล่าทัพจากเมืองมะริด ขณะที่กองทัพไทยกำลังจัดการจะล่าทัพเรือนั้น กองทัพพม่าก็ลงมาถึงเมืองมะริดแล้วเข้าตีทัพไทยทันที กองทัพไทยต่อเรือรบครั้งนั้นมีตะกูดทั้งหน้าทั้งท้าย เวลาล่าถอยเอาท้ายลงมายิงปืนหน้ารับพม่าแข็งแรง พม่าก็ยิง ต่างคนต่างยิงกัน ไทยยิงพลางถอยพลางจนถึงฝั่งจึงทิ้งเรือเสียแล้วขึ้นบก พม่าก็ยกขึ้นบกตามตีกองทัพไทย พระยาจ่าแสนยากร(ทุเรียน) รับรบพม่าอย่างแข็งแรง พม่าหาอาจล่วงเกินเข้ามาได้ไม่
นายทัพนายกองพลฝ่ายไทยก็ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย เสียแต่เรือรบและปืนบาเหรี่ยมประจำเรือไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จจากแม่น้ำน้อยกลับคืนพระนคร สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯตั้งรอทัพอยู่จนทัพจากเมืองมะริดถอยกลับมาหมดแล้วก็เด็จกลับคืนพระนครเช่นกัน”
** การพ่ายแพ้ของไทยที่ไปรบเมืองทวาย เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดสำหรับกองทัพไทยอีกบทเรียนหนึ่ง หลายบทเรียนที่ไทยพ่ายแพ้แก่ศัตรูล้วนเกิดจากความขลาด ความโง่เขลา ความเห็นแก่ตัวของขุนศึกขุนพลในกองทัพไทย คนอย่างพระยาอภัยรณฤทธิ์ พระอินทรเดช พระยามหามนตรี จึงควรแก่การประหารเสียเป็นอย่างยิ่ง
เป็นอันว่าไทยต้องเสียทวาย มะริด ให้แก่พม่าไปอีกครา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, กลอน123, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่าเจรจาขอเป็นไมตรี -
พม่ามีหนังสือหารือผ่าน- เจ้าเมืองกาญจน์มาเห็นเป็นน่าสรวล ผิดจรรยามารยาทเหมือนยียวน ทรงตรัสทวนความใหม่ตรองให้ดี
ให้เจ้าเมืองกาญจน์ตอบเมาะตะมะ ข้อความสะใจนักสมศักดิ์ศรี อันจะมาเพาะปลูกผูกไมตรี ควรจะมีมรรยาทปราศเล่ห์กล |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์มาให้อ่าน ถึงตอนที่ชาวทวายเป็นกบฏรวมกำลังกับกองทัพพม่า โจมตีทัพหน้าไทยแตกพ่าย เสียแม่ทัพไทยให้แก่ทวาย และเสียเมืองทวาย ตะนาว มะริด ให้แก่พม่าไปสิ้น วันนี้มาอ่านความในพระราชพงศ์ฉบับเดิมกันต่อไปครับ
* “กล่าวถึงเจ้าอนัมก๊กแห่งเวียดนาม เมื่อแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู นั้น ได้มีหนังสือให้องเบ็ดเลืองถือเข้ามากรุงเทพฯ ความในหนังสือนั้นว่า เจ้าอนัมก๊กจะยกทัพไปตีเมืองกุยเยิน ขอตราสำหรับกองทัพออกไปเมืองลาว ขัดสนเสบียงอาหารลงจะได้ไปจัดซื้อโดยสะดวก กับจะให้ญวน ๗ คนไปทางเมืองลาว ให้ลาวจัดเสบียงอาหาส่งขึ้นไปเมืองตังเกี๋ย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดพระราชทานตรารูปพระอาทิตย์ทรงราชรถดวง ๑ ตราประจำผนึกดวง ๑ ตราพระราชสีห์สำหรับเดินทางไปเมืองลาวฉบับ ๑ มอบให้องเบ็ดเลืองออกไปพระราชทานเจ้าอนัมก๊ก ครั้นถึงวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือนอ้าย เจ้าอนัมก๊กจัดได้ต้นไม้ทองเงินกับเรือพระที่นั่งรูปมังกรลำ ๑ กระลำพักหนัก ๑๐ ตำลึงจีน ขี้ผึ้งหนัก ๕ หาบ น้ำตาลทรายหนัก ๕ หาบ ให้องเบ็ดตรึง องเบ็ดจัด คุมมาทูลเกล้าฯถวาย
* ครั้นมาถึงเดือน ๓ พระเจ้าอังวะสั่งให้เจ้าเมืองเมาะตะมะมีหนังสือให้เนรายยันกิสู พม่ากับพระยาปรากฏรามัญ ถือเข้ามาถึงพระยากาญจบุรี พระยากาญจบุรีส่งต้นหนังสือเข้ากรุงเทพฯ หนังสือนั้นแปลได้ความว่า จะขอเป็นทางพระราชไมตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า พระเจ้าอังวะให้เจ้าเมืองเมาะตะมะมาเจรจาความเมืองกับพระยากาญจนบุรีนั้น ไม่ต้องด้วยแบบอย่างธรรมเนียม จึงโปรดให้มีตราสั่งให้พระยากาญจนบุรีมีหนังสือตอบไปยังเจ้าเมืองเมาะตะมะว่า
“อักษรบวรสันถวมิตรสนิทเสน่หาเมตยาภิธยาศัยในท่านผู้ครองเมืองกาญจนบุรี มาถึงท่านผู้ครองเมืองเมาะตะมะ ด้วยให้พม่า มอญ ๙ คน ถือหนังสือเป็นเรื่องราวสรรเสริญพระเกียรติคุณ ในพุทธจักรอาณาจักรเป็นทางเจรจาความเมืองนั้น ได้ส่งเข้าไปยังท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ได้แจ้งทุกประการแล้ว จึงประชุมเสนาพฤฒามาตย์ปรึกษาพร้อมกันว่า ครั้นจะนำความขึ้นกราบทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐ ด้วยเหตุว่าเป็นหนังสือเจ้าเมืองเมาะตะมะ เกลือกจะเหมือนหนึ่งเมื่อจุลศักราช ๑๑๔๖ ปี พม่ากับไทยก็ได้เจรจากัน ณ อังงิว ปลายน้ำปิลอก ตำบลพระเจดีย์สามองค์ว่า จะเป็นทางพระราชไมตรี จนถึงได้ให้ของตอบแทนกัน ในเดือนนั้นฝ่ายพม่าก็มาจับคนทางเมืองเพชรบุรีไป ๙ คน ครั้นจุลศักราช ๑๑๔๗ ปี พระเจ้าอังวะก็ยกทัพมา ฝ่ายกรุงเทพฯตั้งอยู่ในกรุณาการุญแก่ประชากรพวกพลทั้งสองฝ่าย เพื่อพ้นชีวิตอันตรายอกุศลกรรม จึงให้นาข่านส้อยตองสิงคะสู่ ซึ่งเป็นพม่าด้วยกัน ถือหนังสือออกมาว่ากล่าวก็มิฟัง อันพม่ากับไทยทำศึกแก่กันหานิยมมิได้ เหมือนน้ำกับน้ำมัน แล้วมีหนังสือกลับเข้ามาว่า นาข่านส้อยตองสิงคะสู่ ออกไปเหมือนน้ำขุ่น ครั้งนี้เหมือนเอาแก้วทิ้งให้น้ำใสนั้น ถ้าจะใสจริงชอบจะให้นาข่านส้อยตองคะสิงสู่ผู้ถือหนังสือเดิม กลับถือหนังสือเข้ามาจึงจะชอบ
ประการหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าอังวะปรารถนาโพธิญาณเมตตากรุณาแก่สัตว์ ชุบเลี้ยงท้าวพระยานายกองให้งามดี ความข้อนี้ดีชั่วก็ไว้แต่ในใจของท่านเถิด เราแจ้งอยู่แล้ว ข้อซึ่งว่าทั้งสองพระนครปราศจากปัจจามิตรเป็นทางพระราชไมตรีมีความสุขนั้น คำอันนี้เป็นสัตย์จริงหรือ หรือเป็นกลอุบาย ถ้าจะเป็นกลอุบายแล้ว อย่าคิดว่าพม่าจะลวงไทยได้
ถ้าจะเป็นทางพระราชไมตรีกันนั้น จะให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองฝ่ายร่วมเศวตฉัตรกันหรือ หรือจะให้แต่เสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทแกล้วทหารทำสัตย์กัน หรือจะไม่ทำสัตย์ แล้วเป็นแต่จะไม่ทำยุทธสงครามแก่กัน ต่างคนต่างอยู่ประการใด ให้เสนาบดีเอาเนื้อความทูลแก่พระเจ้าอังวะ จะประพฤติฉันใดก็ให้แต่งขุนนางพม่าเป็นทูตานุทูต กับขุนนางไทยผู้ใหญ่ซึ่งไม่พอใจรบศึกเสียกรุง ซึ่งพม่ากวาดเอาไปไว้นั้น ถ้าผู้ใหญ่ไม่มีแล้วจนแต่หัวหมื่นมหาดเล็กก็เอาเถิด ให้มาสักสามนายสี่นาย กับพระสงฆ์อันทรงศีลสังวรบริสุทธิ์ จะได้เป็นสักขีพยาน จึงจะเป็นสัตย์มั่นคงได้
ถ้ากรุงอังวะแต่งมาได้ดังนี้ จะบอกเข้าไปให้ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่เอาเนื้อความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันมหาประเสริฐ ถ้าทำมิได้อย่าเจรจากันต่อไปเลย ต่างคนต่างประพฤติในราชกิจโดยยถานุชฌาศัยนั้นเถิด”
** ท่านผู้อ่านครับ อ่านพระราชพงศาวารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับเจ้าพระยาทพากรวงศ์(ขำบุนนาค) มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระเมตตา พระกรุณาแก่องเชียงสือเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยเหลือเกื้อกูลหนุนให้องเชียงสือรบเอาชนะญวนไกเซินให้จงได้ สำหรับการที่พระเจ้าอังวะให้เจ้าเมืองเมาะตะมะมีหนังสือถึงเจ้าเมืองกาญจบุรีเพื่อขอเป็นพระราชไมตรีนั้น ก็เป็นพฤติกรรมที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงไว้พระทัย ทรงให้พระยากาญจนบุรีมีหนังสือตอบไปดังแสดงข้างต้นนั้น อ่านแล้วก็สะใจคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินนักเชียวครับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปดูกันในวันพรุ่งนี้ครับ”
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พืะธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, ปลายฝน คนงาม, เนิน จำราย, ชลนา ทิชากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ปฏิเสธคู่ศึกองเชียงสือ -
พักเรื่องราวทางพม่าเอาไว้ก่อน ขอกล่าวย้อนสู่ยังญวนอีกหน องกันถินส่งทูตจากญวนบน มาหวังผลไทยช่วยด้วยอีกแรง
ให้รอจับแล้วส่งองเชียงสือ คำตอบคือเป็นน่าขยะแขยง ไทยไม่ทำดำขลับกลับเป็นแดง ทรงชี้แจงสมเหตุเจตนา |
อภิปราย ขยายความ.................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์มาให้อ่าน ถึงตอนที่พระเจ้าอังวะให้เจ้าเมืองเมาะตะมะมีหนังสือถึงพระยากาญจนบุรีขอเป็นไมตรีกับไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าไม่ต้องด้วยแบบอย่างธรรมเนียม จึงให้พระยากาญจนบุรีมีหนังสือตอบไปถึงเจ้าเมืองเมาะตะมะในทำนองว่า ทางฝ่ายไทยไม่เชื่อใจพม่า เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชำระครับ
* “ ความตอนนี้ได้พักเรื่องทางเมืองพม่าไว้ แล้วกล่าวถึงเรื่องราวทางเมืองญวนและกัมพูชา โดยกล่าวว่า ถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีเดียวกันนั้น องกันถินบุตรองลองเยือง คู่ศึกขององเชียงสือ ได้แต่งทูต ๖ นาย ถือหนังสือเดินทางมาทางบก เพื่อขอเป็นทางพระราชไมตรีกับกรุงเทพมหานคร
ความในหนังสือนั้นสรุปได้ว่า องเชียงสือหนีเข้ามาอยู่ ณ กรุงเทพฯ ไม่รู้พระเดชพระคุณกลับหนีออกไปตั้งตัวเป็นเจ้าอนัมก๊ก แล้วไปตีเอาเมืองพูเวียน เมืองมินคาง เมืองเตียนขัน ถ้ากองทัพองกันถินตีแตก องเชียงสือจะหนีเข้ามาในเขตแดนกรุงอีก ขอให้กองทัพกรุงเทพมหานครจับให้จงได้ ทางพระราชไมตรีจะได้ยืดยาวไปชั่วฟ้าและดิน ได้จัดขนจามรีแดง ๕๐๐ พู่ เข้ามาทรงยินดี ถ้ากรุงเทพฯจะต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้มีพระราชสาส์นออกไปให้แจ้ง จะได้เข้ามาถวาย และยังมีข้อความอื่นอีกเป็นหลายประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้มีพระราชสาส์นตอบออกไปว่า
“กรุงเทพฯนี้ดำรงทศพิธราชธรรมอันเสมอ มิได้คิดเบียดเบียนแก่บ้านใหญ่เมืองน้อยและลูกค้าวาณิชนานาประเทศ มีแต่เมตตากรุณาเป็นต้น อุปมาดุจดังเขาพระสุเมรุราชและมหาสาครสมุทร อันเป็นที่อาศัยแก่เทวามนุษย์แลฝูงมัจฉาชาติทั้งปวง มิดังนั้น เหมือนพฤกษาชาติต้นใหญ่เป็นที่อาศัยแก่สกุณปักษาชาติ อันเข้ามาพึ่งพักกระทำรวงรังฟักฟอง ครั้นสกุณโปดกมีขนปีกหางบริบูรณ์แล้ว ก็บินไปทั่วทิศานุทิศโดยความปรารถนาผาสุกแห่งตน
และซึ่งครั้งก่อนองเชียงสือแตกจากเมืองโลกนาย หนีเข้ามาพึ่งกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา ก็ทำนุบำรุงเลี้ยงดูให้เป็นสุขโดยตระกูลอันสูงศักดิ์สุริยวงศ์ แล้วก็กลับคืนไปยังเมืองโลกนาย อุปไมยเหมือนสกุณปักษาอันมีปีกหางบริบูรณ์ และบินไปสู่ประเทศแห่งตนโดยปรารถนา หาภัยอันตรายมิได้ ก็เป็นที่ยินดีแห่งกรุง โดยกรุณาหารังเกียจมิได้ และซึ่งว่าองเชียงสือไม่อยู่แต่เมืองโลกนาย ยกกองทัพไปรุกรบตีบ้านน้อยและเมืองใหญ่จนแดนเมืองตังเกี๋ย เมืองตังเกี๋ยแต่งกองทัพตีองเชียงสือแตกคืนมานั้น ความข้อนี้เป็นระยะทางไกล ยังหาแจ้งเหตุผลตระหนักไม่ และซึ่งว่ากองทัพเมืองตังเกี๋ยจะยกมาตีองเชียงสือ ขอให้กรุงแต่งกองทัพไปตั้งอยู่ปลายด่านแดน ถ้าองเชียงสือแตกมาให้ช่วยจับกุมให้ เจ้าตังเกี๋ยจะตอบแทนสนองพระคุณนั้น ฝ่ายกรุงมิรู้ที่จะเจรจาเลย ด้วยเหตุว่ามีคุณแล้วจะให้กลับเป็นโทษ ดังนี้ผิดพระราชประเพณีธรรม ประการหนึ่งกิตติศัพท์จะลือไปในนานาประเทศเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง จะหาว่ากรุงเทพมหานครเห็นแก่ลาภสักการเมืองตังเกี๋ยเท่านั้น ช่วยกันจับองเชียงสือส่งให้ไม่มีความเมตตากรุณา ความครหาติเตียนข้อนี้จะปรากฏอยู่ชั่วฟ้าและดิน ดูมิบังควร อันกรุงเทพมหานครจะประพฤติการที่จะทำได้ก็แต่คลองทศพิธราชธรรมตามประเพณี เจ้าตังเกี๋ยเป็นข้าศึกกัน ถ้าจะให้ระงับว่ากล่าวกันทั้งสองฝ่ายพอจะเจรจาได้ อนึ่ง ซึ่งว่าไม่รู้จักเขตแดน ขอให้กรุงแต่งกองทัพไปตั้งอยู่ปลายแดนนั้น อันกษัตราธิราชเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงก็ย่อมรู้จักกำหนดเขตแดนขอบขัณฑสีมา ราชธานีเขตแดนซึ่งกันและกันอยู่สิ้น เจ้าตังเกี๋ยจะทรงปัญญาดำรงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ให้ดำริจงชอบเถิด”
คณะทูตญวนไกเซินได้รับพระราชสาส์นตอบดังกล่าวนั้นแล้วก็ถวายบังคมลากลับไป ในเวลาต่อมา องเชียงสือเจ้าอนัมก๊ก แต่งให้องเบ็ดลือง องโดยเวียน เป็นทูตถือหนังสือเข้ามากราบทูลข่าวสารการสงคราม เมื่อเดือนยี่ ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๑๕๖ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้คัดสำเนาหนังสือญวนไกเซินที่มีมาถวาย และหนังสือที่ทรงตอบญวนไกเซิน มอบให้องเบ็ดเลืองนำไปแจ้งแก่เจ้าอนัมก๊กเพื่อทราบด้วย”
** หนังสือโต้ตอบพม่าเรื่องการทำสัมพันธไมตรีในนามเจ้าเมืองกาญจนบุรีนั้น ยังไม่ได้รับคำตอบจากพม่า ก็พอดีองกันถิน บุตรองลองเยือง คู่ศึกขององเชียงสือ ได้ให้ทูตถือราชสาส์นเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ในหนังสือนั้นกล่าวโทษองเชียงสือว่าเข้ามาพึ่งพระโพธิสมภาร ณ กรุงเทพฯแล้วไม่รู้บุญคุณ หนีกลับไปตั้งตนเป็นใหญ่แล้วยังยกทัพไปรุกรานบ้านเมืองต่าง ๆ ขอกรุงสยามยกกองทัพไปตั้งรอ ณ ชายแดน ต่อเมื่อตังเกี๋ยตีทัพองเชียงสือแตกหนีมาจะขอพึงพระโพธิสมภารอีก ขอให้จับตัวส่งให้ตังเกี๋ยด้วย ทางพระราชไมตรีจะได้ยืดยาวไปชั่วฟ้าและดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวทรงให้ตอบพระราชสาส์นไปดังความที่ยกมาข้างต้นนั้น เป็นความที่ไพเราะสมเหตุสมผลมาก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งมาอ่านกันใหม่ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, กลอน123, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, เนิน จำราย, ลมหนาว ในสายหมอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ตั้งนักพระองค์เองเป็นกษัตริย์ -
นักพระองค์เองอายุยี่สิบสอง ตั้งให้ครองเขมรพลันหมดปัญหา ตัดเสียมราฐ,พระตะบองสองเมืองมา กัมพูชาครองสิ้นถิ่นทั้งมวล |
อภิปราย ขยายความ...................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯทรงตรวจชำระมาให้อ่านถึงตอนที่ องกันถิน บุตรองลองเยือง ให้ทูต ๖ นายถือหนังสือมาถวาย ขอเป็นทางพระราชไมตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตอบเชิงปฏิเสธไปแล้ว วันนี้มาอ่านความกันต่อไปนะครับ
* “ณ ปีจุลศักราช ๑๑๕๖ อันเป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลที่ ๑ นั้น สมเด็จพระสังฆราชศรี อยู่วัดระฆัง อาพาธถึงแก่มรณภาพในเดือน ๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาพระวันรัตน (สุข) วัดพระศรีสรรเพชญ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ครั้นถึงเดือน ๘ ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ พระชนมายุครบ ๒๑ ควรทรงผนวชแล้ว และนักพระองค์เองซึ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ชนมายุ ๑๐ ขวบ บัดนี้ชนมายุก็ได้ ๒๒ ปี ครบอุปสมบทแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพนักงานจัดกระบวนแห่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ และพระพงศ์อมรินทร์ ซึ่งเป็นบุตรเจ้ากรุงธนบุรี กับนักพระองค์เอง ไปทรงผนวชและอุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในกระบวนแห่นั้นมีเครื่องเล่นต่าง ๆ มาก เมื่อทรงผนวชแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จไปอยู่วัดสมอราย
เมื่อออกพรรษา นักพระองค์เองลาสิกขาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้นักพระองค์เองออกไปครองกรุงกัมพูชาสืบราชวงศ์ต่อไป จึงพระราชทานนามแก่นักพระองค์เองให้เป็น สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณบรมสุรินทรามหาจักรพรรดิราช บรมนาถบพิตรเจ้ากรุงกัมพูชา ให้พระยากลาโหม (ปก) ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีมาแต่เยาว์นั้น เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะเอกอุมนตรีอภัยพิริยปรากรมพาหุ มีอำนาจสิทธิ์ขาดบังคับบัญชาการได้ทั่วไป และให้ทำนุบำรุงสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีเจ้ากรุงกัมพูชาด้วย
และทรงพระราชดำริอีกว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) นั้น ก็ได้ว่าราชการกรุงกัมพูชาเรียบร้อยราบคาบมาได้ ๑๒ ปี มีความชอบ แต่ว่าเป็นพวกนักองค์โนน สมเด็จพระรามราชา ซึ่งเคยวิวาทกับบิดานักองค์เองมาแต่ก่อน เกรงจะไม่สนิทกับสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีและสมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะ จึงได้ทรงขอเขตแว่นแคว้นเมืองพระตะบองและเมืองขึ้นและเมืองนครเสียมราฐ ซึ่งเป็นเมืองใกล้เขตแดนไทยตัดออกเป็นส่วนหนึ่ง ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศรว่ากล่าวบังคับบัญชา โดยให้มาขึ้นต่อกรุงเทพมหานครทีเดียว เพื่อจะไม่ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีความโทมนัส
* สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี กับ สมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะ ก็มีความยินดี ถวายเมืองพระตะบองและเมืองนครเสียมราฐ เมืองดังกล่าวจึงถูกตัดขาดจากกรุงกัมพูชามาขึ้นกรุงเทพมหานครแต่นั้นมา ครั้นตกลงกันได้ดังนั้น สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี สมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะ ก็กราบถวายบังคมลา พาบุตรภรรยาครอบครัวออกไปครองกรุงกัมพูชา ณ เดือนยี่ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๗ นั้นเอง
* เรื่องการตั้งนักองค์เองเป็นกษัตริย์เขมรนี้ ความในราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับนักองค์นพรัตน์ ตอนที่ ๓ กล่าวไว้ว่าดังนี้
ในปีขาล ๑๑๕๖ (พ.ศ. ๒๓๓๗) นี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาอภิเศกพระบาทบรมบพิตรพระองค์เอง ทรงพระนามเปนพระบาทสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช รามาธิบดี ศรีสุริโยพรรณ บรมสุรินทรา มหาจักรพรรดิราช บรมนาถพระบาทบรมบพิตร สถิตย์เปนยอดรัฐราษฎร์ โอภาษชาติวงษ์ ดำรงกรุงกัมพูชา พระมหานครอินทปัต กุรุรัฐราชธานีบุรีรมย์ อุดมมหาสถาน แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งให้ออกญากลาโหม (ปก) เปนเจ้าฟ้าทะละหะ เอกอุมนตรี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เปนพระบิดาเลี้ยง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกมาครอบครองกรุงกัมพูชาธิบดี เมื่อ ณ วันพุธ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล
ส่วนเจ้าพระยาอภัยธิเบศร์ (เจ้าฟ้าทะละหะ) นั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ แล้วให้กลับไปว่าราชการอยู่ ณ เมืองพระตะบอง มีเมืองเสียมราฐเปนเมืองขึ้น ครั้นสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (องค์เอง) เสด็จมาถึงเมืองอุดงฦๅไชย เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์ (เจ้าฟ้าทะละหะ) นำบรรดาขุนนางใหญ่น้อยเข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมทุกคน แล้วถวายตราสำหรับแผ่นดินแด่สมเด็จพระบรมบพิตร เสร็จแล้วก็กราบถวายบังคมลาพาสมัครพรรคพวกไปอยู่เมืองพระตะบอง ตามพระราชโองการแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ”
** ท่านผู้อ่านครับ วันนี้เราได้รู้แน่ชัดแล้วว่า เมืองพระตะบองและเสียมราฐที่เคยขึ้นอยู่กับกัมพูชานั้น มาขึ้นกับกรุงเทพมหานครเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๓๗ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนานักองค์เองเชื้อสายกษัตริย์เขมรที่ทรงชุบเลี้ยงไว้เป็นพระราชบุตรบุญธรรมนั้น ให้กลับเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมร ไปปกครองกรุงกัมพูชา แล้วขอแบ่งเอาเมืองพระตะบอง กับเสียมราฐ มาขึ้นกับกรุงเทพมหานคร โดยมอบหมายให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ( เขมรว่าเดิมชื่อ แป้น – ไทยว่า แบน) ปกครอง เรื่องของนักองค์เอง หรือสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช น่าติดตามดูต่อไปนะครับ วันพรุ่งนี้จะนำมาให้อ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ฃ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- นักองค์เองสร้างวังใหม่ -
ปรางค์ปราสาทราชวังยังสิ้นไร้ ประทับวังไม้ไผ่อยู่ในสวน กษัตริย์ใหม่ไม่ระกำทุกข์คร่ำครวญ เร่งสร้างจบครบถ้วนพระราชวัง
กราบทูลขอแม่ผองพวกพ้องเก่า กลับลำเนาเมืองขะแมร์แต่หนหลัง กัมพูชาคืนสภาพไม่ผุพัง เสมือนตั้งต้นใหม่ไทยประคอง |
อภิปราย ขยายความ.....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯทรงชำระมา ให้ทานอ่านถึงตอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนานักองค์เองเป็นพระเจ้าแผ่นดินกัมพูชา โดยขอแบ่งเมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราฐ มาขึ้นกับกรุงเทพมหานครแล้วให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศรปกครอง วันนี้มาดูเรื่องราวของเขมรต่ออีกวันนะครับ
* มีความในพระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาฉบับที่นักองค์นพรัตน์ ราชบุตรสมเด็จพระนโรดม แต่งเมื่อปีฉลู นพศก พุทธศักราช ๒๔๒๐ ห่างจากปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนานักองค์เองเป็นกษัตริย์กัมพูชา ๘๐ ปีเศษ ดังนั้นเรื่องราวคงไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากนัก เรื่องราวของสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช หรือนักองค์เอง เมื่อได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์กรุงกัมพูชาแล้ว เสด็จไปถึงเมืองอุดงฦๅไชย รับตราสำหรับแผ่นดินจากเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแล้ว ความในพงศาวดารฉบับนี้กล่าวต่อไปว่า
“ส่วนสมเด็จพระบรมบพิตรนั้น เสด็จประทับอยู่ที่พระตำหนักซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ อยู่ข้างใต้วัดวิหารสำนอ (วิหารตะกั่ว) ครั้นถึงเดือนอ้าย ทรงให้สร้างพระราชวังทำด้วยไม้กระดาน แลปลูกพระมณเฑียรมุขเด็จ อยู่ข้างทิศอาคเณย์แห่งพระวิหารวัดวังกระดาน
พระองค์ทรงใช้ให้ออกญาเดโช แทน นิมนต์ต้นโพธิซึ่งอยู่ในพระราชวังนั้นออกไปประดิษฐาน ปลูกไว้ข้างทิศตะวันตกพระราชวัง แล้วพระราชทานชื่อออกญาเดโช แทน เปนออกญาโพธิสกลราช”
* ท่านผู้อ่านครับ การเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชาของนักองค์เอง เริ่มต้นอย่างขัดสนมากนะครับ ไม่มีปราสาทราชมนเทียรเป็นที่ประทับ ต้องใช้ไม้ไผ่มาสร้างพระตำหนักอาศัยอยู่ข้างวัดไปพลาง จากนั้นจึงทรงสร้างพระราชมนเทียรด้วยไม้กระดาน ในบริเวณพระราชวังที่สร้างใหม่นั้นมีต้นโพธิอยู่ ไม่กล้าตัดโค่นทิ้ง เพราะถือว่าเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ด้วยความเคารพในพระบรมศาสดาอย่างชาวพุทธที่เคร่งในพระศาสนา จึงโปรดให้พระยาเดโชผู้มีนามเดิมว่า แทน ทำการขุดต้นพระศรีมหาโพธิ แล้วย้ายออกไปปลูกไว้นอกพระราชวังทางด้านทิศตะวันตก ความสามารถในการขุดย้ายต้นไม้ขนาดใหญ่ของพระยาเดโชปรากฏเป็นที่พอพระทัย สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชจึงโปรดพระราชทานชื่อใหม่ให้พระยาเดโช เป็นพระยาโพธิสกลราช ว่ากันว่านามนี้เทียบเป็นชั้นสมเด็จเชียวนะครับ กว่าจะสร้างพระราชวังใหม่เสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร ความในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชากล่าวต่อไปว่า
“ถึงปีเถาะ ๑๑๕๗ (พ.ศ. ๒๓๓๘) พระบาทบรมบพิตรได้เสด็จขึ้นสถิตยพระมณเฑียรมุขเด็จ ในพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ แล้วตรัสใช้ให้ออกญาวัง สัวะซ์ กับออกญาวิบุลราช เอก ให้เข้าไปที่กรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ พระองค์ ขอรับพระราชทานสมเด็จพระเอกกษัตรี กับสมเด็จพระท้าวและท้าวมหากษัตรีผู้เป็นพระมารดาเลี้ยง กับนักนางโอด นักนางแก นักนางรศ และบรรดาครอบครัวมุขมนตรีซึ่งเคยเป็นข้า กลับคืนไปยังเมืองเขมร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็พระราชทานให้ ครอบครัวได้ออกจากกรุงเทพฯมาเมื่อเดือน ๗ ปีเถาะ
พระบาทสมเด็จบรมบพิตรได้ทรงบัญญัติจัดการบ้านเมือง คือได้ทรงจัดตั้งให้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในตำแหน่งจตุสดมภ์เอก ๔ นาย ถือศักดินานายละ ๑๐,๐๐๐ ให้กั้นร่มหุ้มแพรแดง มีระบาย ๓ ชั้น สวมเสื้อครุยแดง ถือถุงเครื่องยศ ๖ เหลี่ยมเข้าเฝ้า ตั้งตำแหน่งจตุสดมภ์โท ๔ นาย ถือศักดินา ๘,๐๐๐ ให้กั้นร่มแพรสีตอง มีระบาย ๒ ชั้น สวมเสื้อครุยสีตอง ขุนนางที่มีศักดินา ๖,๐๐๐ ให้กั้นร่มสีม่วง มีระบายชั้นเดียว สวมเสื้อครุยสีม่วง ขุนนางที่มีศักดินา ๕,๐๐๐-๔,๐๐๐ ให้กั้นร่มญวน สวมเสื้อครุยพื้นเขียว แลขุนนางที่มีศักดินาแต่ ๓,๐๐๐ ลงมาให้สวมเสื้อครุยขาว ส่วนภรรยาขุนนางชั้นผู้ใหญ่จตุสดมภ์ที่มีศักดินา ๑๐,๐๐๐ กับ ๘,๐๐๐ นั้นทรงตั้งให้มียศ(เปนท่านผู้หญิง)ด้วย
ฝ่ายสมเด็จพระองค์แก้ว(องค์ด้วง)นั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสให้ไปรักษาเมืองเปี่ยมได้ ๑ ปีแล้ว ได้เสด็จกลับมาประทับอยู่ที่เมืองบันทายเพ็ชร
ครั้นถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ ๑๑๕๗ สมเด็จพระบรมบพิตรผู้ทรงราชย์ได้เสด็จไปกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าเฝ้าถวายบังคมสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จออกจากกรุงเทพฯกลับคืนกรุงกัมพูชาเมื่อเดือน ๖ ปีมะโรง ๑๓๕๘ (พ.ศ. ๒๓๓๙)”
** ก็เป็นอันว่า การสถาปนานักพระองค์เองเป็นกษัตริย์ครองประเทศกัมพูชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แม้พระราชอาณาจักรกัมพูชาจะลดน้อยลง สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชก็ทรงยินดีตัดเมืองเสียมราฐ พระตะบอง ถวายพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อทรงสร้างพระราชวังใหม่เรียบร้อยแล้ว จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่เข้ากรุงเทพฯกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานสมเด็จพระเอกกษัตรีพร้อมข้าราชบริพารกลับไปประทับ ณ กรุงกัมพูชาตามเดิม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ตามอ่านกันต่อวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระนารายณ์ราชาสวรรคต -
การครองราชย์สมบัติกษัตริย์เขมร สามปีเด่นดีล้นไม่หม่นหมอง มีราชบุตรหนึ่งองค์ทรงสมปอง เป็นบุญของชนชาวกัมพูชา
แต่เคราะห์ร้ายมาฟาดชาติเขมร หรือกรรมเวรเกิดแกล้งอย่างแรงกล้า กษัตริย์หนุ่มครองราชกษัตรา สามวัสสาสิ้นพระชนม์บนบัลลังก์
กัมพูชาว่างกษัตริย์ไม่ขัดสน ด้วยมีคนรักษาการงานเบื้องหลัง กรุงสยามดูแลเฝ้าระวัง เป็นอยู่ดั่งมิขาดกษัตริย์เลย |
อภิปราย ขยายความ.......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้ท่านได้อ่านกันถึงตอนที่ นักพระองค์เองได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ให้เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศกัมพูชา เฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช เสด็จไปประทับ ณ เมืองอุดงฦๅไชย ทรงสร้างปราสาทราชวังเสร็จแล้ว เชิญสมเด็จพระเอกกษัตรี สมเด็จและท้าวพระยาบริพารกลับไปกรุงกัมพูชา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรอ่านความในพระราชพงศาวดารฯต่อไปครับ
* สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิบดี หรือนักองค์เองเป็นโอรสสมเด็จพระนารายณ์ราชา(นักองค์นนท์)ซึ่งพระยายมราช(แบน) กับพระยากลาโหม(ปก) พาหลบหนีข้าศึกมาจากเมืองเขมรตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๒๕ มีพระชนม์เพียง ๑๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ประทับอยู่กรุงเทพมหานครจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๓๗ จึงได้รับการอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชา เวลาที่ประทับอยู่กรุงเทพมหานครนานถึง ๑๒ ปี จึงมีความรักผูกพันกับผู้คนในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นเหมือนพระราชบิดาแท้ ๆ ของพระองค์ ดังนั้นเมื่อกลับมาครองกรุงกัมพูชาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องเดินกลับเข้ากรุงเทพฯ และประทับอยู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อเสด็จกลับกรุงกัมพูชาแล้ว ความในพระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระองค์ต่อไปอีกว่า
“ปีมะโรง ๑๑๕๘(พ.ศ.๒๓๓๙) นี้ นักองรศได้สมภพพระราชบุตรองค์ ๑ ทรงนามนักองค์ด้วง ครั้นถึงเดือน ๙ ปีมะโรง ๑๑๕๘ (พ.ศ.๒๓๓๙) สมเด็จพระบรมบพิตรทรงพระประชวร จนถึงวันพุธ แรม ๑๔ เดือน ๑๒ ในปีมะโรง ๑๑๕๘ (พ.ศ.๒๓๓๙) นั้น พระองค์เสด็จสู่สวรรคต พระชนมายุ ๒๔ พรรษา อยู่ในราชสมบัติได้ ๓ ปี
เจ้าฟ้าทะละหะ ปก จึงใช้ให้ออกญาจักรี แกบ นำความเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ทรงทราบ แล้วมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าทะละหะ ปก จัดส่งพระศพเข้ากรุงเทพฯ เจ้าฟ้าทะละหะ ปก ให้จัดการทำราชรถมีรูปราชสีห์เทียม แล้วให้ทำมรคา จัดทำบรรดากระบวนแห่
ครั้นถึงเดือนยี่ ปีมเสง ๑๑๙๕ (พ.ศ.๒๓๔๐) ก็อัญเชิญพระศพออกจากพระราชมณเฑียร ยกขึ้นประดิษฐานบนราชรถ ให้เคลื่อนกระบวนแห่ลงมาถึงกำปงหลวง ยกพระศพตั้งบนเรือพระที่นั่งซึ่งทำเปนมุขเด็จ เสร็จแล้วแห่ออกไปโดยทางชลมารคถึงกำปงชโดข้างเหนือเมืองพะเนียด จึงเชิญพระศพขึ้นตั้งบนพระที่นั่งราชรถ แห่ทางบกไปถึงห้วยลำเจียก แล้วหยุดพักอยู่คืนหนึ่ง
ครั้งนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้บอกมาว่า ให้เจ้าฟ้าทะละหะ ปก นำพระศพคืนกลับหลัง ไม่ต้องนำเข้าไปกรุงเทพฯ ด้วยพม่ายกทัพมารบกวนวุ่นวายอยู่ ให้แต่ออกญาจักรี แกบ นำไพร่พล ๕,๐๐๐ คนเข้าไปช่วยทำราชการศึก
เมื่อเจ้าฟ้าทะละหะ ปก ได้รับกระแสพระราชโองการดังนั้น จึงจัดให้ออกญาจักรี แกบ คุมไพร่พล ๕,๐๐๐ คน เข้ากรุงเทพฯ แล้วก็นำพระศพแห่กลับคืนมายังเมืองบันทายเพ็ชร
ครั้นถึงเดือน ๖ ปีมเมีย ๑๑๖๐(พ.ศ.๒๓๔๑) เจ้าฟ้าทะละหะ ปก ได้จัดการให้ทำพระเมรุมณฑป แล้วยกพระศพมาตั้งถวายพระเพลิง ที่น่าพระราชวังเปนโอฬารึกอธึกมหิมา เสร็จแล้วให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่องค์ ๑ อยู่ข้างตวันออกแห่งพระเจดีย์ใหญ่องค์เก่าบนเขาพระราชทรัพย์ ปีหนึ่งสำเร็จบริบูรณ์ ครั้นถึงเดือน ๗ ปีมแม ๑๑๖๑(พ.ศ.๒๓๔๒) เจ้าฟ้าทะละหะได้จัดทำบุญฉลองพระอัฐิ แล้วเชิญไปบรรจุในพระเจดีย์ใหญ่ที่สร้างใหม่ กับให้สร้างพระพุทธรูปด้วยทองสำริดองค์ ๑ ด้วยตะกั่วองค์ ๑ เปนพระพุทธรูปสนองพระองค์สมเด็จพระบรมบพิตร แล้วนิมนต์ไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ใหญ่ใหม่นั้น เพื่อเปนที่นมัสการด้วย…..”
** ท่านผู้อ่านครับ นักองค์เองได้รับการอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นกรุงกัมพูชา ทรงอยู่ในราชสมบัติได้เพียง ๓ ปี ก็เสด็จสวรรคต พระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชากล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกให้นำพระศพเข้ากรุงเทพฯเพื่อจะจัดการพระศพด้วยพระองค์เอง แต่ภายหลังตรัสให้เชิญพระศพคืนไปด้วยอ้างว่าทางกรุงเทพฯกำลังมีพม่ามาวุ่นวายนั้น ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๑ กล่าวต่างออกไปว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เชิญพระศพเข้ากรุงเทพฯเพื่อทรงจัดการพระศพและพระราชทานเพลิง ดำรัสให้เจ้าฟ้าทะละหะ ปก เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและทำนุบำรุงเจ้าชาย ๕ องค์ ผู้เป็นโอรสสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิบดีนั้นไปพลางก่อน
ครั้งนั้น ข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยได้เข้าชื่อกันกราบบังคมทูลคัดค้านในการเชิญพระศพสมเด็จพระนารายณ์ราชาเข้ามาพระราชทานเพลิงในกรุงเทพฯ อ้างว่าผิดเยี่ยงอย่างธรรมเนียม เกรงจะเป็นอุบาทว์แก่บ้านเมือง คำคัดค้านของข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยมีผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วย จึงให้สมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะเชิญพระศพกลับไปดังความที่กล่าวในพระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชานั้น
เรื่องราวทางเขมรเห็นจะต้องพักไว้ก่อน เพราะศึกพม่าจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว วันพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่าตีเชียงใหม่อีกแล้ว -
พม่ายังหวังได้เมืองไทยอยู่ ลอบมาจู่โจมเชียงใหม่ไทยเฉยเฉย ถูกไทยตีแตกพ่ายไปดั่งเคย ผลลงเอยรบพ่ายแล้วไม่จำ |
อภิปราย ขยายความ......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารมาให้อ่าน ถึงตอนที่สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เชิญพระศพเข้ากรุงเทพฯเพื่อจะทรงจัดการพระศพเอง แต่ขุนนางผู้ใหญ่พากันกราบบังคมทูลทัดทานไว้ จึงให้เจ้าฟ้าทะละหะเชิญพระศพกลับไปถวายพระเพลิง ณ เมืองบันทายเพ็ชร กัมพูชา วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชำระต่อไปไปดังนี้ครับ
* “ ในปีขาลจุลศักราช ๑๑๕๖ (พ.ศ. ๒๓๓๗) นั้น มีผู้ฟ้องว่า เจ้านันทเสนแห่งล้านช้างเวียงจันทน์ กับพระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนม คบคิดกันเป็นกบฏ จึงมีศุภอักษรขึ้นไปถึงเจ้านครล้านช้างและพระบรมราชา มีใจความว่า มีผู้ฟ้องว่าเป็นกบฏ แต่ไม่ทรงเชื่อให้เอาตัวโจทก์จำไว้ ครั้นจะนิ่งเสียไม่ว่ากล่าวก็เป็นการแผ่นดินสำคัญอยู่ ถ้าเจ้านครล้านช้างและพระบรมราชาซื่อสัตย์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็ให้ลงไปเฝ้าสู้ความเขาโดยเร็ว ถ้าคิดประทุษร้ายจริงแล้วก็ให้ตกแต่งบ้านเมืองไว้รับกองทัพเถิด แล้วให้หลวงทรงพลราบเจ้ากรมเกราะทองขวาเชิญศุภอักษรนั้นขึ้นไป เจ้านันทเสนและพระบรมราชาก็ลงมาเฝ้าแต่โดยดี โปรดให้ชำระความก็ปรากฏว่าเจ้านันทเสนแพ้โจทก์ จึงรับสั่งให้ลงโทษถึงประหารชีวิต แต่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯทูลขอพระราชทานโทษประหารไว้ จึงโปรดให้เจ้าอินทร์ผู้น้องเจ้านันทเสนขึ้นไปครองเมืองศรีสัตนาคนหุตต่อไป โดยยกจากกรุงเทพมหานครไปเมื่อ วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาลนั้น
ในเวลานั้น พระยานครราชสีมาบอกเข้ามาว่า เมืองภูเขียวคล้องได้ช้างพังสีประหลาดช้าง ๑ เมื่ออาบน้ำขึ้นมาใหม่ ๆ ตัวแห้งแล้วจะมีสีตัวนวลเหมือนสีใบตองแห้ง ดวงตา เล็บ ขนตัว ขนหาง เป็นสีขาว เจ้าของฝึกหัดเชื่องราบแล้วก็ใช้สอย มีผู้รู้เห็นเข้าก็ทักท้วงขึ้นว่าเป็นช้างสำคัญไม่ควรเก็บไว้ใช้งานอย่างนี้ เจ้าของนั้นได้ฟังคำท้วงก็กลัวจะต้องถูกเก็บเป็นช้างหลวง จึงตัดหางช้างนั้นทิ้งเสีย ทรงทราบดังนั้นจึงโปรดให้มีตราขึ้นไปให้ส่งลงมาทอดพระเนตร ครั้น ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ช้างลงมาถึงกรุง ได้ทอดพระเนตรแล้วดำรัสว่า เป็นเผือกตรี เสียดายแต่หางด้วนเสีย ทรงพระพิโรธเจ้าของช้างนั้นมาก มิได้พระราชทานสิ่งใด หางนั้นให้เอาหางโคผูกเข้าต่อเป็นช้างโคบุตร เข้าโรงสวดมนต์สมโภชแล้ว พระราชทานชื่อขึ้นระวาง เป็น “พระอินทร์ไอยราคชาชาติฉัตรทันต์ ผิวพรรณเผือกตรี สียอดตองตากแห้ง วิษณุแกล้งรังรักษ์ มงคลลักษณเลิศฟ้า”
ลุถึงเดือน ๕ จุลศักราช ๑๑๕๗ (พ.ศ. ๒๓๓๘) ปีเถาะ กองทัพพม่ายกมาตีเมืองเชียงใหม่ เข้าตั้งล้อมเมืองไว้ พระยาเชียงใหม่มีใบบอกลงมาขอกองทัพกรุงเทพฯขึ้นไปช่วย จึงโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯเสด็จยกกองทัพขึ้นไป กรมพระราชวังบวรฯให้พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต ซึ่งเป็นพระโอรสผู้ใหญ่คุมทัพกองหนึ่งยกขึ้นไปทางเมืองลี้ ทัพหลวงเสด็จทางเมืองนครลำปาง กองทัพพม่าล้อมเมืองเชียงใหม่อยู่ ๒ เดือนเศษ ยังตีหักเอาเชียงใหม่ไม่ได้ เมื่อทัพกรุงยกขึ้นไปถึง ก็เข้าโจมตีทัพพม่าแตกพ่ายไป จับได้อุบากองนายทัพกับไพร่พลพม่า และได้เครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก
เมื่อเสร็จสิ้นการสงครามแล้วกรมพระราชวังบวรฯจะเสด็จกลับ พระยาเชียงใหม่ยอมถวายพระพุทธรูปอันทรงพระนามว่า พระพุทธสิหิงค์ เสด็จเชิญลงมาประดิษฐานไว้ในกรุงเทพมหานครแต่นั้นมา”
* * ท่านผู้ฟังครับ เรื่องราวของพระพุทธสิหิงค์พระพุทธรูปสำคัญของแผ่นดินองค์นี้ มีตำนานกล่าวไว้พิสดารดังได้เคยแสดงมาแล้ว ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาก็กล่าวความเป็นมาโดยพิสดารเช่นกัน โดยสรุปได้ว่า “พระเจ้ากรุงสุโขทัยเสด็จไปเมืองนครศรีธรรมราชและปรารภใคร่ได้พระพุทธรูปอันงามสักองค์หนึ่ง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจึงอาสาติดต่อพระเจ้ากรุงลังกา แล้วได้พระพุทธรูปชื่อพระพุทธสิหิงค์อันงดงามมาถวาย เจ้ากรุงสุโขทัยอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน ณ กรุงสุโขทัยสืบมาหลายชั่วกษัตริย์ ต่อเมื่อเจ้ากรุงศรีอยุธยายกขึ้นมาตีกรุงสุโขทัยได้ จึงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงไปประดิษฐาน ณ กรุงศรีอยุธยา ต่อมาพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาองค์หนึ่งมีพระชายาเป็นพระมารดาเจ้าเมืองกำแพงเพชรและหลงอุบายของพระชายานั้น ลวงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นมาประดิษฐาน ณ เมืองกำแพงเพชร ต่อมาพระยามหาพรหมเมืองเชียงราย พระอนุชาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ขอกำลังเมืองเชียงใหม่ยกลงมาตีเมืองกำแพงเพชร แล้วอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นไปเชียงใหม่แล้วอัญเชิญเลยขึ้นไปประดิษฐาน ณ เชียงราย ทำการหล่อจำลองพระพุทธสิหิงค์ขึ้นได้อีกองค์หนึ่ง แล้วเก็บรักษาไว้ที่เชียงรายหาได้ส่งให้เมืองเชียงใหม่ไม่ ต่อมาพระเจ้าเชียงใหม่ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ยกไปตีเมืองเชียงรายได้ฆ่าพระเจ้ามหาพรหมผู้เป็นอาเสียแล้วอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุธยายกทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่ได้แล้วอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับคืนกรุงศรีอยุธยา และเมื่อสิ้นสมเด็จพระนารายณ์แล้ว พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาได้ส่งคืนพระพุทธสิหิงค์ให้เชียงใหม่ตามเดิม”
** พักเรื่องนี้ไว้ก่อนครับ พรุงนี้เช้ามาอ่านกันต่อก็แล้วกันนะครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิะนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หะนขี้ผึ้งไทย ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- กรมพระราชวังบวรผนวช -
สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ทรงเข้าเฝ้าทูลขออุปถัมภ์ ปล่อยนักโทษนันทเสนพ้นเวรกรรม เพื่อจะนำไปบวชด้วยพระองค์
ทรงประทานปล่อยปลดนักโทษเว้น นันทเสนไม่ต้องในประสงค์ เชลยพม่าทั้งมวลก็ล้วนคง อยู่ในกรงขังเศร้ากับ “เจ้าลาว”
ทรงผนวชเจ็ดวันเป็นบรรพชิต เพื่ออุทิศบุญไปโดยไม่กล่าว เจาะจงใครเป็นพืดอย่างยืดยาว แต่ทรงน้าวน้อมไปไร้ประมาณ |
อภิปราย ขยายความ.........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้อานถึงตอนที่ เจ้านันทเสนผู้ครองศรีสัตนาคนหุตถูกกล่าวหาเป็นกบฏ ทรงเรียกเข้ามาไต่สวนแล้วแพ้โจทก์จึงสั่งประหาร แต่สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงทูลขอไว้ จึงโปรดให้เจ้าอินทร์ผู้น้องเจ้านันทเสนขึ้นไปครองศรีสัตนาคนหุตแทน ไม่นานก็ได้รับรายงานว่า พม่ายกกองทัพมาตีเชียงใหม่และตั้งล้อมเมืองไว้ จึงโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้ายกทัพขึ้นไปขับไล่พม่า สมเด็จฯกรมพระราชวังบวรยกทัพขึ้นไปตีกทัพพม่าแตกพ่ายไป เมื่อเสร็จสงครามแล้วจะเสด็จกลับ เจ้าเมืองเชียงใหม่ยอมถวายพระพุทธสิหิงค์ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพมหานคร เรื่องราวจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอานกันต่อครับ
* “ปัญหาของพระพุทธสิหิงค์ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า องค์เดิมนั้นสร้างในลังกาแล้วมอบให้เจ้านครศรีธรรมราช ถวายพระเจ้ากรุงสุโขทัยจริงหรือไม่ ปัจจุบันมีการอ้างกันว่า พระพุทธสิหิงค์ในบ้านเมืองของตนนั้นเป็นองค์จริง ทำให้เกิดความสงสัยว่าพระพุทธสิหิงค์มีกี่องค์กันแน่ องค์ไหนเป็นองค์จริง องค์ไหนเป็นองค์ไม่จริง ปัญหานี้ อาจารย์พิเศษ เจียจันทรพงษ์ สรุปตัดบทลงไปว่า พระพุทธสิหิงค์ทุกองค์เป็นองค์จริง ซึ่งก็เป็นการสรุปตัดบทที่ไม่เด็ดขาด องค์ที่ประดิษฐาน ณ กรุงเทพฯปัจจุบัน ผมเห็นแล้วเชื่อว่า เป็นพระพุทธรูปศิลปสุโขทัย หาใช่ลังกาไม่ เรื่องนี้จึงยุติลงไม่ได้ เมื่อยังหาข้อยุติไม่ได้ ก็ทิ้งปัญหาไว้ให้ผู้สนใจประวัติศาสตร์โบราณคดีค้นความหาข้อยุติกันต่อไป
* ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวต่อไปว่า ปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๕๗ ( พ.ศ. ๒๓๓๘) นั้น วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลาทรงผนวช และขอรับพระราชทานโทษเจ้านันทเสน เจ้านครล้านช้างที่ต้องโทษกับสมัครพรรคพวกเจ้านันทเสน พร้อมกับบรรดานักโทษที่ต้องพันธนาการอยู่ในเรือนจำให้พ้นโทษด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานโทษนักโทษออกจากเวรจำ ตามที่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้ากราบทูลขอ แต่เจ้านันทเสนและพรรคพวกที่เป็นกบฏ กับพวกพม่ารามัญข้าศึกรวมทั้งพวกโจรสลัดนั้น หาได้โปรดพระราชทานโทษไม่ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงพระราชศรัทธาบวชนักโทษในครั้งนั้นรวม ๓๒ คน
ครั้น ณ วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงเสด็จเข้าบรรพชาอุปสมบท ณ วัดพระศรีสรรเพชฌ์ มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ พระญาณสังวร วัดพลับ(ราชสิทธาราม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระธรรมกิติเป็นอนุสาวนาจารย์ สำเร็จกิจการบรรพชาอุปสมบท เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ
รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำ ทรงขึ้นเพลาพระปริยายบำเพ็ญพระธรรมภาวนา วันแรม ๔ ค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมง พระสงฆ์ ๕๐๐ รูปเจริญพระปริต ณ พระระเบียงพระอุโบสถวิหารวัดพระศรีสรรเพชฌ์ รุ่งขึ้นแรม ๕ ค่ำ ฉันเช้าเป็นการฉลอง สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯทรงผนวชอยู่ในสมณเพศครบ ๗ วัน จึงลาผนวชในวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ เพลา ๔ โมงเช้าเศษ
ในปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๕๗ (พ.ศ. ๒๓๓๘) นั้น การศึกว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริจะถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระชนกาธิบดีสนองพระเดชพระคุณ เพราะว่าในเวลาที่สมเด็จพระชนกสวรรคตนั้น บ้านเมืองเกิดการจลาจล พระราชวงศานุวงศ์กระจัดพลัดพรายกัน จึงหาได้มีโอกาสถวายเพลิงพระบรมศพไม่ เมื่อว่างจากการศึกครั้งนี้จึงโปรดให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ และเครื่องมหรสพสมโภชอย่างการพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่า
การสร้างพระเมรุเสร็จเรียบร้อยในปีมะโรง เดือน ๕ จุลศักราช ๑๑๕๘ ถึงวันขึ้น ๑๓ ค่ำ จึงโปรดให้แห่พระบรมสารีริกธาตุออกสู่พระเมรุ มีมหรสพสมโภช ๓ วัน ๓ คืน แล้วโปรดให้แห่พระบรมอัฐิสมเด็จพระชนากาธิบดีออกสู่พระเมรุ กระบวนแห่พระบรมอัฐิครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงพระราชยานโยงพระบรมอัฐิเอง สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฯทรงพระราชยานโปรยข้าวตอกนำมาในกระบวน และพระราชวงศานุวงศ์ทรงรูปสัตว์ สังเค็ดประคองผ้าไตรเข้าในกระบวนแห่ด้วยหลายพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งนั้นเป็นอเนกประการ”
** ท่านผู้อานครับ การทรงพระผนวชของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์มิได้เข้าพิธีผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ดังเช่นพระราชวงศ์องค์พระองค์อื่น ๆ หากแต่ทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชฌ์ หรือวัดนิพพานาราม คือวัดมหาธาตุฯในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะวัดนี้เป็นพระอารามประจำพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นที่น่าสังเกตว่า สมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นองค์พระอุปัชฌาย์นั้นมีนามเดิมว่า “สุข” และพระกรรมวาจาจารย์คือ พระญาณสังวรวัดพลับนั้นมีนามเดิมว่า “สุก”(หรือศุข) เช่นกัน และต่อมาพระราชกรรมวาจาจารย์องค์นี้ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชสืบต่อจากสมเด็จพระสังฆราช “สุข” คนทั่วไปเรียกสมเด็จพระญาณสังวร “สุก” ว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้เช้าตื่นมาอ่านกันได้เลยนะครับ.
(................ มีต่อพรุ่งนี้ ................)
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- สองวังบาดหมางตั้งปืนรอ -
การแข่งเรือผิดคาดเกิดบาดหมาง เรื่องลามอย่างใหญ่โตตั้งต่อต้าน ลากปืนใหญ่ใส่ป้อมพร้อมประจัญบาน เกือบเกิดการณ์เปรี้ยงปร้างศึกกลางเมือง
พระพี่นางทั้งสองต้องออกหน้า หลั่งน้ำตาวอนน้องปรองดองเรื่อง ทั้งสองพระองค์ทรงสลัดความขัดเคือง และปลดเปลื้องโกรธามาดีกัน |
อภิปราย ขยายความ....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้อ่านถึงตอนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระชนากาธิบดี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นอเนกประการดังกล่าวมาแล้ว วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารกันต่อไปครับ
* ความตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าในการสมโภชพระบรมอัฐินั้น มีโขนชักรอกโรงใหญ่ ทั้งวังหลวงและวังหน้ามาเข้าประสมโรงเล่นกลางแปลง จับเรื่องตอนศึกทศกัณฐ์ยกทัพกับสิบขุนสิบรถ โขนวังหลวงแสดงเป็นทัพพระรามยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้าแสดงเป็นทัพทศกัณฐ์ยกออกจากพระราชวังบวรฯ มาเผชิญหน้าเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา การรบกันนั้นมีการใช้ปืนบาเหรี่ยมรางเกวียนลากออกมายิงกันดังสนั่นไป
ถึงวันแรม ๔ ค่ำ เชิญพระบรมธาตุแห่กลับแล้ว เวลาบ่ายวันนั้นจึงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิด้วยไม้หอมต่าง ๆ รุ่งขึ้นโปรดให้แห่พระอังคารไปลอยตามพระราชประเพณี
ครั้นถึงเดือน ๑๑ มีการแข่งเรือกัน (นัยว่าเป็นประเพณี) และเรือที่จะเข้าแข่งกันนั้น เรือของวังหลวงชื่อ ตองปลิว เรือของวังหน้าชื่อ มังกร ในตอนที่เปรียบฝีพายก่อนจะแข่งกันนั้น สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เอาฝีพายที่อ่อนเข้าเปรียบโดยซ่อนฝีพายที่แข็งไว้ เมื่อเวลาลงแข่งก็ให้เอาฝีพายที่เปรียบนั้นออก แล้วเอาสำหรับที่ซ่อนไว้นั้นลงแข่ง ฝ่ายข้าราชการวังหลวงทราบความจริงดังนั้น จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบดังนั้นจึงดำรัสว่า เล่นดังนี้จะเล่นด้วยที่ไหนได้ แล้วทรงให้เลิกการแข่งเรือทันที ตั้งแต่นั้นมาสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯก็บาดหมางพระทัยไม่ได้เสด็จลงมาเฝ้า
อยู่มาจนถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนอ้าย สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯจึงเสด็จลงมาเฝ้า แล้วกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เงินที่พระราชทานขึ้นไปปีละพันชั่งนั้นไม่พอแจกเบี้ยหวัดข้าราชการในวังหน้า จะขอรับพระราชทานเงินเติมอีกให้พอแจกจ่ายกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสว่า เงินเก็บมาได้แต่ส่วยสาอากรก็พอใช้ทำนุบำรุงแผ่นดิน เหลือจึงได้เอามาแจกเบี้ยหวัด ก็ไม่ใคร่พอ ต้องเอาเงินกำไรตกแต่งสำเภามาเพิ่มเติมเข้าอีก จึงพอใช้ไปได้ปีหนึ่ง ๆ เงินคงคลังที่สะสมไว้ก็ยังไม่มี สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯเมื่อไม่ได้ตามพระราชประสงค์ก็ขัดเคือง มิได้ลงมาเฝ้าอีกเลย
ฝ่ายพระยาเกษตร(บุญรอด) ข้าราชการวังหน้า เห็นว่าเจ้านายทรงขัดเคืองกันดังนั้นก็กะเกณฑ์ข้าราชการเอาปืนขึ้นป้อมวังหน้า ให้เตรียมศัสตราวุธตั้งนอนกองระวังอยู่ ส่วนเจ้าพระยารัตนาพิพิธสืบรู้ว่าที่วังหน้าจัดเตรียมการเป็นสงคราม ไม่ไว้ใจแก่ราชการ ก็กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอรักษาพระราชวังให้มั่นคงแข็งแรงเกณฑ์กันรักษาหน้าที่ และเอาปืนขึ้นป้อมบ้าง ครั้งนั้นเกือบจะเกิดการยุทธสงครามแก่กัน
ขณะที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียดนั้น ความทราบถึงสมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ ดังนั้นก็รีบเสด็จขึ้นไปในพระราชวังบวรสถานมงคล ทั้งสองพระองค์ทรงพระกันแสงแล้วตรัสประเล้าประโลมไปถึงความเก่า ๆ แต่ครั้งตกทุกข์ได้ยากจนได้ราชสมบัติขึ้น สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯก็มีพระทัยลดหย่อนอ่อนจนสิ้นพระพิโรธ สมเด็จพระพี่นางทั้งสองจึงเชิญเสด็จลงมาเฝ้าสมัครสมานกันในวันนั้นเอง และพระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระอนุชาธิราชก็กลับเป็นปรกติกันแต่นั้นมา
* ลุถึงปีจุลศักราช ๑๑๕๙ (พ.ศ. ๒๓๔๐) ปีมะเส็ง อันเป็นปีที่ ๑๖ ในรัชกาลที่ ๑ ปรากฏว่า ในวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ พม่าเอาหนังสือเข้ามาแขวนที่ด่านเมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองไทรโยค เมืองอุทัยธานี เมืองตาก เมืองเชียงใหม่ เมืองหลวงพระบาง ความต้องกันว่า พม่าจะเข้าตีกรุง และอังกฤษจะมาช่วยเป็นทัพเรือ ยกเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา
ครั้นถึงเดือนยี่ปีเดียวกัน พระเจ้าอังวะให้อินแซะหวุ่นเป็นแม่ทัพ คุมไพร่พลมาตีหัวเมืองขึ้นเมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงใหม่ออกมารบพุ่งต่อสู้ จับพม่าได้ ๑๒ คน ถามให้การว่าพระเจ้าอังวะเกณฑ์กองทัพยกมาตีเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง อังกฤษจะเอาสลุบกำปั่นเข้ามารบทางทะเล”
** อ่านมาถึงตรงนี้ เห็นภาพการสมโภชพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนก การแสดงโขนกลางแปลงทำเหมือนเป็นเรื่องจริง กองทัพพระรามยกออกจากวังหลวง กองทัพทศกัณฐ์ยกออกจากวังหน้า ในการรบกันนั้นมีการยิงปืนปลอดลูกกระสุน ดังสนั่นหวั่นไหวตื่นเต้นเร้าใจมาก การแสดงที่เหมือนจริงอย่างนี้คงจะมีเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวในโลกเลยทีเดียว
หวาดเสียวมากก็ตอนที่หลังจากการแข่งเรือของสองวัง มีการโกงเรื่องฝีพาย จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งเลิกกะทันหัน กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงขัดเคืองจนไม่ยอมเสด็จเข้าเฝ้าเป็นนาน แล้วเสด็จเข้าเฝ้าอีกทีก็ทูลขอเพิ่มเงินค่าใช้จ่ายสำหรับวังหน้า เมื่อไม่ได้ตามที่ทูลขอ ก็ไม่ยอมเข้าเฝ้าอีกเลย ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายวังหน้าเห็นการณ์เป็นเช่นนั้นจึงเตรียมการรบ โดยเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมกำแพงวัง ตั้งกำลังพลขึ้นรักษาการเต็มที่ ฝ่ายข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายวังหลวงทราบข่าวเช่นนั้น ก็เอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมกำแพงเตรียมการรบเช่นเดียวกัน ร้อนถึงสมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ต้องออกมาไกล่เกลี่ยให้พระเจ้าอยู่หัวทั้งพระองค์คืนดีกัน
ศัตรูคู่ศึกสำคัญมาอีกแล้ว พม่าให้คนมาปิดประกาศทุกทิศทางประเทศไทย ว่าจะยกมาตีไทยอีกครั้ง โดยมีกองทัพเรืออังกฤษมาช่วยรบ จะยกเข้าตีไทยทางทะเลด้วย เรื่องราวจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไรพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่าตั้งท่าดีแต่ทีเหลว -
เค้าสงครามตั้งคึกศึกพม่า ทำทีท่าเข้าสู้ดูแข็งขัน ถูกตีโต้ตอบหน่อยถอยหนีพลัน ไปตั้งมั่นห่างประเทศไกลเขตแดน
ข่าวศึกมาให้พะวงทรงตั้งรับ สั่งจัดทัพญวนลาวรวมกันแน่น ไม่ประมาทศัตรูหมิ่นดูแคลน จะตอบแทนศึกพม่าจนสาใจ
พม่าม่อยไม่มาตามประกาศ คงขยาดคนสยามยามยิ่งใหญ่ หรือพม่ามีศึกลึกภายใน จึงนิ่งไว้ไม่โจมจู่อย่างวู่วาม |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารมาให้ท่านได้อ่านกัน ถึงตอนที่พม่ามีหนังสือมาปิดประกาศข่าวว่า จะยกทัพมาตีไทยหลายทาง และให้อินแซะหวุ่นคุมไพร่พลมาตีหัวเมืองเชียงใหม่ พระยากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ออกรบพุ่งต่อสู้กองทัพอินแซะหวุ่นแตกพ่ายหนีไป จับพม่าได้ ๑๒ คน จึงส่งลงมาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรตอไป อ่านความต่อไปนี้ครับ
* “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคำให้การของเชลยพม่าดังนั้น จึงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยกกองทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ แล้วให้เกณฑ์กองทัพไปรักษาเมืองตาก เมืองระแหง เมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองอุทัยธานี ตามทางซึ่งพม่าเคยมาแต่ครั้งก่อน ๆ พร้อมกันนั้นก็ทรงสงสัยอยู่ว่า อังกฤษจะเข้าด้วยจริง เพราะคำให้การกับหนังสือแขวนประกาศนั้นก็ต้องกัน
จึงโปรดให้มีตราออกไปเกณฑ์กองทัพ ให้เจ้าอนัมก๊กยกมาช่วยรักษาเมืองสมุทรปราการ องเชียงสือเจ้าอนัมก๊กก็บอกเข้ามาว่าจะให้องฮีกุนเป็นแม่ทัพ ให้องยำเกือนเป็นปลัดทัพ องโปโฮ องทำตรีบินโป องทุงวาย องพนวาย องโววาย องเป็ดวาย องพอเตียง เป็นนายกองคุมเรือรบใหญ่ปากกว้าง ๔ วา ๑๕ ลำ เรือกูไล ๑๕ ลำ เรือแง่ซาย ๗๘ ลำ รวมเป็นเรือ ๑๐๘ ลำ ไพร่ ๗,๗๒๐ คน พร้อมเครื่องศัสตราวุธ จะยกเข้ามาช่วยราชการทัพ ณ วันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕
เวลาต่อมาได้ทราบความที่พม่าว่าอังกฤษจะยกทัพเรือมาช่วยตีกรุงเทพมหานครนั้นเป็นความไม่จริง จึงโปรดให้มีตราออกไปบอกเลิกกองทัพญวนว่าไม่ต้องให้ยกมา
พระราชพงศาวดารบันทึกความต่อไปว่า เมื่อข่าวศึกพม่าผ่านพ้นไปแล้ว องเชียงสือเจ้าอนัมก๊กก็จัดต้นไม้เงินทองและสิ่งของต่าง ๆ ให้คณะราชทูตนำมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร ครั้นคณะทูตทูลลากลับก็ทรงจัดสิ่งของพระราชทานตอบแทนไปด้วย จากนั้นจึงโปรดให้มีการสมโภชฉลองพระมณฑปในวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งปลูกแทนหอพระมนเทียรธรรมที่ถูกไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ นั้น
* ลุถึงจุลศักราช ๑๑๖๐ ปีมะเมีย (พ.ศ. ๒๓๔๑) อันเป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลที่ ๑ ณ วันแรม ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ พระยาเชียงใหม่กาวิละมีหนังสือบอกส่งตัวอ้ายจันต๊ะเงี้ยว อ้ายจันสา พม่า ๒ คนลงมาถวาย ให้ไต่ถามแล้วได้ความว่า พระเจ้าอังวะแต่งให้จอจีนบุนส้อย สินโบขิวุ่นส้อย ยิวุ่นชีแวงมู เป็นแม่ทัพคุมพล ๕,๐๐๐ ยกมาทางเมืองตองอู มาตั้งอยู่เมืองตะราง ริมแม่น้ำโขง ซึ่งจะข้ามมาทางเมืองเชียงใหม่ ตั้งยุ้งฉางไว้เสบียงอาหารเป็นอันมาก
ในเวลานั้น เจ้านครหลวงพระบางก็บอกลงมาว่า ได้แต่งกองทัพออกไปลาดตระเวนทางเมืองเชียงแสน จับได้อ้ายน้อยจิจากับบุตรชายคนหนึ่งจึงส่งลงมาถวาย ให้ไต่ถามได้ความว่า พม่ายกกองทัพมาว่าจะตีเมืองเชียงใหม่ ถ้าตีได้แล้วจะออกทัพเรือไปทางลำน้ำแม่โขง ตีเอาเมืองลาวฝ่ายตะวันออก เพื่อมิให้ลงไปช่วยกรุงเทพมหานครได้ และในยามนั้นเจ้านครหลวงพระบางก็ได้เตรียมกองทัพรับพม่าไว้พร้อมแล้วด้วย
ต่อมาถึงวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีเดียวกันนั้น พระยาเชียงใหม่กาวิละบอกลงมาว่า ได้แต่งให้หมู่เดโชไปลาดตระเวนถึงเมืองกุ พบกองตระเวนพม่าแล้วได้รบพุ่งกัน กองตระเวนพม่าสู้ไม่ได้ก็แตกหนีไป จับได้พม่า ๓ คน ไต่ถามแล้วได้ความในคำให้การว่า พระเจ้าอังวะแต่งให้อะตนหวุ่นเป็นแม่ทัพคุมเงี้ยว ๑๙ เมือง ยกลงมาทางเมืองกุทัพ ๑ พม่ากำกับมาด้วยทัพ ๑ และศึกพม่าที่ได้ความมาทั้ง ๔ ทางก็ต้องกัน แต่กองทัพพม่ายังตั้งรออยู่จนเดือน ๔ นี้ มิได้ยกเข้ามาตีบ้านเมือง เหตุผลจะเป็นประการใดก็หาได้ความไม่ หรือจะเป็นกลศึกล่อลวงหน่วงไว้ให้ประมาทว่าพ้นเทศกาลจะได้เลิกกองทัพกลับไปเสีย พม่าได้ทีจึงจะจู่โจมเข้าตีเอาเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองฝ่ายเหนือก็ไม่แจ้ง จึงมิไว้ใจแก่ราชการ และได้ส่งพม่า ๓ คนที่จับได้นั้นลงมาถวาย
ได้ทรงทราบหนังสือบอกจากพระยาเชียงใหม่กาวิละดังนั้น จึงโปรดให้มีตราเกณฑ์ทัพเจ้านครล้านช้างเวียงจันทน์ไปตั้งรักษาอยู่ทางระแหง แต่ครั้งนั้นพม่าอยู่จนฤดูฝนก็เลิกกลับไป หาได้เกิดการศึกไม่”
* * ท่านผู้อ่านครับ ก็เป็นอันว่าข่าวศึกจากพม่าที่ได้เตรียมการเข้าตีกรุงเทพมหานครและหัวเมืองต่าง ๆ นั้น ดูว่าเป็น “ท่าดีทีเหลว” ข่าวจึงกลายเป็นเหมือนข่าวโคมลอย ซึ่งน่าจะเป็นกลศึกของพม่าดังที่พระยาเชียงใหม่กาวิละสันนิษฐาน พม่าจะรบกับไทยอีกหรือไม่ ติดตามอ่านกันต่อไปในวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|