เพลง ฉันทนาที่รักถ้าพูดถึงยุคสมัยสักปี 2520 เชื่อว่าทุกคนที่ชอบฟังเพลง ไม่มีใครไม่รุ้จักเพลงนี้
และเพลงนี้นั่นเองที่เป็นเหตุให้บรรดาสาวๆโรงงานทั้งหลายต้องได้นามว่า"ฉันทนา"
เนื้อเพลง ฉันทนาที่รัก
ขับร้องโดย รักชาติ ศิริชัย
ปิดไฟใส่กลอน จะเข้ามุ้งนอน คิดถึงใบหน้า
นั่งเขียนจดหมาย แล้วรีบทิ้งไป โรงงานทอผ้า
ถึงคนชื่อฉันทนา ที่เคยสบตา กันเป็นประจำ
ลายมือไม่ดี ต้องขอโทษที เพราะความรู้ต่ำ
หากคำพูดใด ไม่ถูกหัวใจ หรือไม่ชื่นฉ่ำ
ขอจงยกโทษถ้อยคำ ที่ผมเพลี่ยงพล้ำ บอกรักคุณมา
หากผิดพลังไป อภัยเถิดฉันทนา
ผมคนบ้านป่า ถ้อยวาจาไม่หวานกินใจ
ภาพถ่ายลายเซ็น ผมส่งให้เป็น ของขวัญปีใหม่
หากคุณเกลียด ก็อ่าด้านหลัง แล้วโยนทิ้งได้
หรือเอาไปฉีกเผาไฟ อย่าเก็บเอาไว้ ให้มันบาดตา
หากคุณการุณ ก็ส่งรูปคุณ ให้ดูแทนหน้า
ช่วยเซ็นรูปไป ว่ามอบด้วยใจ สาวโรงทอผ้า
ผมจะเอาไว้บูชา มอบความศรัทธา รักจนวายปราณ
จะปักหัวใจ หัวใจรักคุณนานนาน
รักสาวโรงงาน สาวโรงงานชื่อฉันทนา...
พูดถึงในแง่เนื้อหาเชื่อว่า หลายคนฟังแล้วคงมีคำถามว่า ในเมื่อปิดไฟแล้ว ยังเขียนจดหมายได้ยังไง ไม่มืดเหรอ ??
ที่เกิดถามที่เช่นนี้ เพราะว่าผู้ฟังในยุคนั้น ส่วนมากจะเป็นคนในชนบท อาชีพทำนาทำไร่ พอค่ำลง
ก็ดับไฟนอนกัน ไม่มีใครลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหรือเขียนหนังสือ
แต่ถ้าหากมองในมุมของคนที่อยู่ในเมืองที่มีไฟฟ้าสว่างไสวแล้ว การปิดไฟแล้ว ยังอ่านหรือเขียน
หนังสืออยู่ได้ ถือเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ เพราะว่า ทั้งบ้าน ไม่ได้มีไฟแค่ดวงเดียว
คือมีทั้งไฟหน้าบ้าน ไฟที่ห้องรับแขก ไฟที่ห้องครัว ไฟที่ห้องที่ห้องนั่งเล่น
ไฟที่หน้าประตูห้องนอน ไฟดวงใหญ่ภายในห้องนอน ไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ โคมไฟที่หัวเตียงฯลฯ
ฉะนั้น มันจะไปแปลกอะไรถ้าเราจะดับไฟด้านนอกและไฟในห้องแล้ว แต่ยังเหลือที่โต๊ะหนังสือ
และไฟที่หัวเตียงอยู่ ฉะนั้น การลุกขึ้นมาเขียนจดหมายถึงใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก....
แต่สิ่งที่แปลกคือ ที่บอกว่า"นั่งเขียนจดหมาย แล้วรีบทิ้งไปโรงงานทอผ็า"....
ซึ่งก็คงจะไม่มีติดแสมป์ อะไรเลย แถมยังลุกเอาจดหมายออกมาส่งทั้งๆกลางคืนอีก....(แต่จริงๆคำว่า
"แล้วรีบทิ้งไปโรงงานทอผ้า" คนแต่งเขาคงจะให้หมายความว่า จ่าหน้าซองเท่านั้นเอง)
อีกอย่งหนึ่งคือคำที่บอกว่า"ที่เคยสบตากันเป็นประจำ" คำนี้ส่อความหมายว่า
ฝ่ายชายยังไม่เคยเข้าไปพูดจาทำความรู้จักกับฝ่ายหญิง เพียงแค่เห็นหน้ากันและยิ้มให้กันบ่อยเท่านั้น
คำว่า"หากคุณเกลียดชัง ก็อ่านด้านหลัง แล้วโยนทิ้งได้" แสดงว่า ฝ่ายชายยังไม่แน่ใจว่า
ฝ่ายหญิงจะมีใจตอบให้ไหม.....
ในแง่ฉันทลักษณ์ของเนื้อเพลงเนื้อเพลงนี้มีฉันทลักษณ์ที่ต่างจากเพลงอื่นๆ
เพลงลูกทุ่งและลูกกรุงส่วนมาก มีฉันทลักษณ์แบบเดียวกับกลอนคือ
มีสัมผัสนอก และสัมผัสระหว่างบท แต่ละบทจะมีครบสี่วรรคคือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง วรรคส่ง
แต่จะไม่เคร่งสัมผัสใน จำนวนคำของแต่ละวรรคไม่จำเป็นต้องเท่ากัน และไม่เคร่งเรื่องเสียงวรรณยุกต์
ท้ายวรรคแบบกลอน และอีกส่วนหนึ่งคือ เพลงลูกทุ่งที่มีลักษณะเป็นกลอนหัวเดียว
แต่เนื้อเพลงนี้ มีฉันทลักษณ์ที่ต่างออกไป คือ จะมีฉันทลักษณ์ มีการรับส่งสัมผัสแบบ กาพย์ขับไม้
หรือกาพย์ "สุรางคนางค์ ๓๖" เพียงแต่ในวรรคที่สามจะมีเพิ่มมาสองคำ
และที่เน้นตัวหนัสือสีน้ำเงินนั้นจะเป็นกลอนธรรมดา
มีรูปแบบและสัมผัสคล้ายๆ กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ หรือกาพย์ขับไม้ สริญ สิริรัฐ เพลง ฉันทนาที่รัก รักชาติ ศิริชัย