เต็ม ธานี
|
Permalink: นิราศล้านนา
นิราศล้านนา (ความยาว ๒๙๖ บทกลอน)• อภินันท์ นาคเกษม ความเป็นมาของนิราศเรื่องนี้ > นายอภินันท์ นาคเกษม (ผู้แต่ง) เจ้าของ,บรรณาธิการหนังสือพิมพ์รักไท พร้อมด้วยคณะประกอบด้วย นายดำรงค์ สุวัฒน์เมฆินทร์ คหบดีชาวเมืองสุโขทัย(เป็นหัวหน้าคณะ) นายศิริ ใจดี ข้าราชการบำนาญ (อดีตผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดสุโขทัย)นายดำเกิง วชิโรดม ผู้รับเหมาก่อสร้าง(ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ) ใช้รถแวนอีซูซุเป็นพาหนะ ออกเดินทางจากเมืองสุโขทัย เวลาเช้าวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๕ เพื่อพักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดินทางออกจากเมืองสุโขทัยธานี ผ่านอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย “มรดกโลก” เมืองเก่าสุโขทัย ไปถึงจังหวัดตาก ผ่านเลยไป อำเภอบ้านตาก อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง เข้าสู่อำเภอสบเมย อำเภอแม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอขุนยวม เมืองแม่ฮ่องสอน กิ่งอำเภอปางมะผ้า อำเภอปาย อำเภอแม่แตง อำเภอเชียงดาว กิ่งอำเภอชัยปราการ อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ กิ่งอำเภอขุนตาล อำเภอเทิง อำเภอเชียงคำ อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน อำเภอสอง อำเภอร้องกวาง เมืองแพร่ อำเภอสูงเม่น อำเภอเด่นชัย อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง ถึงเมืองสุโขทัยธานีเย็นวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๕ จดบันทึกชื่อสถานที่ต่างๆไว้แล้วคิดเขียนเป็นบทกลอนนิราศดังต่อไปนี้ อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑ | | นิราศร้างห่างเรือนเดือนเมษา | ยี่สิบเอ็ดสุรทินปลอดนินทา | ปีสองห้าสามห้าฤกษ์คลาไคล | ใช้รถแวนงามสง่าเป็นพาหะ | ร่วมคณะเพื่อนหมู่ผู้ชิดใกล้ | รวมสี่นายดำเนินเดินทางไกล | ออกจากสุโขทัยไม่ลังเล | ผ่านเมืองเก่าสุโขทัยไม่แวะพัก | เพราะรู้จักเจนจิตสนิทเสน่ห์ | เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์คาดคะเน | คิดหันเหเหตุผลจนมากความ | ประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ความรู้ | ชนชาติอยู่เคล้าคละในสยาม | หลักฐานมีชัดเจนเห็นรูปนาม | ปรากฏตามหลักศิลาที่จารึก | ชนชาติไทยตั้งกลุ่มชุมนุมแน่น | เป็นปึกแผ่นเก่งกล้าเกินข้าศึก | สร้างกรุงไกรใหญ่อุดมสมใจนึก | ทวยราษฎร์ฮึกเหิมหาญการทั้งปวง | อดีตของสุโขทัยงามไพศาล | เป็นตำนานมีค่าน่าแหนหวง | ไทรักไทรวมไทยไร้เล่ห์ลวง | เหมือนแมนสรวงลอยสู่สุธาดล | ศิลปวัฒนธรรมประเสริฐ | ก่อกำเนิดประจักษ์เป็นมรรคผล | ไพร่ฟ้าทั่วทุกบ้านย่านตำบล | มีหรือจนนายนางอยู่อย่างไท |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๒ | “ท่วยปั่วท่วยนาง”มุ่งบำรุงวัด | เป็นสมบัติส่วนรวมที่ยิ่งใหญ่ | “ปู่ครู,เถร”สอนธรรมชำระใจ | ดัดนิสัยชาวบ้านสู่ด้านดี | บ้านกับวัดผลัดช่วยอวยประโยชน์ | รู้บาปบุญคุณโทษทุกวิถี | ช่วยกันสร้างและรักษาประเพณี | เสริมศักดิ์ศรีชาติไทยให้งดงาม | เจ็ดร้อยปีเศษผ่านตำนานสุข | ไทยล้มลุกเปะปะในสยาม | ธำรงชาติที่ถูกภัยคุกคาม | รักษาความเป็นไทยให้ยืนยง | อยุธยา,ธนบุรีทวีถวิล | รัตนโกสินทร์สืบประสงค์ | ความเป็นไทยผูกพันชาติมั่นคง | เทิดธำรงคุณค่าสถาบัน | ชาติ,ศาสนา,มหากษัตริย์ | เป็นหลักรัฐร่มราษฎร์ที่ลดหลั่น | ทวยไทยรักเคารพอภิวันท์ | เป็นมิ่งขวัญบำเรอเสมอมา | สุโขทัยเสื่อมโทรมโคมริบหรี่ | นับร้อยปีเมืองหายกลายเป็นป่า | แต่ไม่ภินท์สิ้นซากจากโลกา | ด้วยพระบารมีบุญ“พ่อขุนราม” | รัฐบาลไทยรู้ชูคุณค่า | ขุดค้นหาซากเมืองกระเดื่องสยาม | พบทุกสิ่งทุกอย่างยังสวยงาม | ประกาศความภิญโญสุโขทัย | เมื่อกรมศิลปากรทำการขุด | ค้นทุกจุดแจกแจงตำแหน่งใหญ่ | ศิลปหัตถกรรมอ่าอำไพ | ทั้งนอกในกำแพงมีชัดเจน | การขุดแต่งโบราณสถานวัตถุ | จนบรรลุที่หวังชื่อดังเด่น | “อุทยานประวัติศาสตร์”ประกาศเป็น | พม่า,เขมร,ลาว,ญวนล้วนไม่มี | “ยูเนสโก”โฆษณาหาเงินหนุน | ช่วยเป็นทุนบูรณะไม่ผละหนี | รักษาเมืองประวัติศาสตร์สวัสดี | เป็น“สมบัติโลก”ที่มีค่าล้ำ | ฟื้นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ | คือ“เผาเทียนเล่นไฟ”ไหว้พระพร่ำ | วันเพ็ญเดือนสิบสองจองประจำ | คนคลาคล่ำกราวเกรียวเที่ยวชมงาน | ศิลปสถาปัตย์จรัสสล้าง | ประเพณีต่างต่างวางรากฐาน | วัฒนธรรมล้ำค่ามาเนิ่นนาน | ชาวโลกขานรับลือถือเป็นครู | ยกเป็น“มรดกโลก”ค่าล้ำเลิศ | เหมือนไทยเกิดเป็นไทยได้คงอยู่ | สืบทอดไทไทยไว้ให้โลกรู้ | เพื่อเชิดชูจุดเด่นความเป็นไทย | จากเมือง“มรดกโลก”ไม่โศกเศร้า | ผ่านป่าเขา“ลานหอย”บ้านน้อยใหญ่ | เข้าเขต“วังประจบ”นึกเอะใจ | ประจบใครใครประจบประแจงกัน |
รายนามผู้เยี่ยมชม : กอหญ้า กอยุ่ง, วรรณดี, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, , รพีกาญจน์, เส้นชีวิต ดำเนินไป, , ศรีเปรื่อง, นายประทีป วัฒนสิทธิ์, ฅนช่างฝัน, ไม่เป็นไร ธรรมดา, รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, rattanatrai rattanajan, มนชิดา พานิช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เต็ม ธานี
|
Permalink: นิราศล้านนา 2
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๓ | คนประจบประแจงแต่งจริต | มิใช่มิตรแท้จักถือรักมั่น | เป็น“คนเทียมมิตร”ที่มีปากคัน | พูดผูกพันพร่ำเพรื่อเพียงเพื่อตน | ควรรับ “คนหัวประจบ”เพียงคบเล่น | อย่าถือเป็นเพื่อตายหมายมรรคผล | ใครคบคนประจบมักอับจน | ประจบคนเสียคนมามากมาย | คำประจบสอพลอพล่ามยอยก | ล้วนโกหกเชื่อมากมักเสียหาย | “เชื่อน้ำมนต์คนประจบ”เจ็บจนตาย | มี“เจ้านาย”ให้เห็นเป็นบทเรียน | ถึง“เมืองตาก”ตรึกตรูสู่อดีต | ก่อนรู้ค่าจารีตการขีดเขียน | เพื่อนรุ่นพี่ดีมากชวนพากเพียร | ฝึก“นั่งเทียน”เขียนกลอนหลอนตนเอง | ปล่อยอารมณ์จินตนาแส่หาเรื่อง | สร้างฝันเฟื่องจนผสมอารมณ์เก่ง | บันทึกถ้อยร้อยคำลำนำเพลง | แหล่งบรรเลงกานท์กวีไม่มีพอ | วิทยุ“ปชส.ตาก”มากคุณค่า | ให้เวลาวันดีตามที่ขอ | คืนวันเสาร์ข่าวจบพบตามรอ | อ่านกลอนคลอเพลงหวาน“สายธารใจ” | คนเขียนกลอนให้อ่านทั้งหวานขม | รสนิยมส่วนมากคือ“รักใคร่” | พวกหนุ่มเหน้าสาวรุ่นดรุณวัย | เขียนรักให้อ่านจนเอือมระอา | ปมหัวใจวัยหวานชุ่มชีวิต | เด็กสาวพบขบคิดติดปัญหา | ต้องช่วยแก้แผ่จิตแจกเมตตา | หลานกับอาว์ฟูมฟายนิยายรัก | หลายหลานสาวน้าวใจอาว์ไปกก | อัศจรรย์ฝันตลกเรื่องอกหัก | อารมณ์กลอนอ่อนไหวใจง่ายนัก | ไม่รู้จักหน้าตายังอาวรณ์ | ประทับใจใฝ่จำหลาน “น้ำทิพย์” | เฝ้าจับจิบผูกพันในฝันหลอน | เธออยู่ไหนปรารถนาเอื้ออาทร | เคยเขียนกลอนถามเก้อเธอไม่มี | ขาด“น้ำทิพย์”ชโลมใจให้ชุ่มชื่น | หมดแรงฝืนใจอุตส่าห์ทำหน้าที่ | มอบงาน“สายธารใจ”และไมตรี | ให้“ครูล้วน สาลี”รับทำแทน | ฟื้นอดีตคิดเพลินรถเดินด่วน | เลี้ยวแยกส่วนถนนใหญ่ไถลแล่น | เข้า“บ้านตาก”เมืองเก่าเป็นด้าวแดน | ฝังรอยแค้นฝากนาม“ขุนสามชน” | มี“ยุทธหัตถีเจดีย์”สถาน | เป็นผลงานการรบประสบผล | “พ่อขุนรามคำแหง”แซงไพร่พล | ต่อช้าง”จนศึกยับทรงรับชัย | “ขุนสามชน”คนเขื่องจาก“เมืองฉอด | ”ยกทัพห่ามข้ามยอดเขาน้อยใหญ่ | ขี่ช้างชื่อ“มาสเมือง”เยื้องย่างไกล | หวังเข้ายึดสุโขไทไว้ครอบครอง | “พระราม”ขี่ช้างหนุ่มคุมทัพหน้า | นำไพร่ฟ้าสุโขไทไม่ผยอง | พลเมืองฉอดนั้นห่ามเหิมลำพอง | ทัพทั้งสองปะทะกันถึงพันตู |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๔ | ช้าง“มาสเมือง”ห้าวยิ่งวิ่งรุดหน้า | ขับไพร่ฟ้าสุโขไทมิให้สู้ | “หนีญญ่ายพายจแจ้น”แล่นหลบกรู | “ขุนสามชน”ตะโกนขู่ข่มคุกคาม | “พระราม”เห็นเช่นนั้นไม่หวั่นหวาด | ยืดพระองค์องอาจน่าเกรงขาม | ไส“เบิกพล”ช้างหนุ่มประกาศนาม | เข้าขวางความหันหุน“ขุนสามชน” | ช้าง“เบิกพล”พุ่งใส่อย่างไวว่อง | กลางเสียงร้องหนุนฮาเกริกกาหล | ช้าง“มาสเมือง”พลาดท่าร้าแรงทน | จึงพ่ายย่นพ้นเพริดกระเจิงไป | ประวัติศาสตร์ตอนนี้มีจารึก | เมื่อ“พระราม”ชนะศึกอันยิ่งใหญ่ | พระบิดาประทานนามความเกรียงไกร | “พระรามคำแหง”ให้ไทยเทิดทูน | ศึกชนช้างครั้งนั้นถึงวันนี้ | องค์เจดีย์ทรงไว้เรื่องไม่สูญ | “บ้านตาก”คู่อู่ตะเภามีเค้ามูล | ให้สมบูรณ์ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย | เลย“บ้านตาก”รถไต่ตามไหล่เขา | ผ่านลำเนาดงดอยบ้านน้อยใหญ่ | ถนนเรียบลาดยางทางยาวไกล | แต่เล็กแคบโค้งไถลในหลายตอน | พฤกษ์น้อยใหญ่เขียวขจีมีอยู่มาก | สัก,กระบาก,กระแบกแทรกสลอน | ประดู่,มะค่า,รัง,เต็งเต็มดงดอน | ยาง,เหียงซ้อนไผ่,กระเบาแซมเถาวัลย์ | นั่งชมดงชมป่าอุราระรื่น | “พี่รงค์”ฟื้นความหลังคุยดังลั่น | ว่าเคยมาหา “ของ”ต้องใจกัน | มีสัมพันธ์ชาวเขาเผ่ามูเซอร์ | รวมทั้งเผ่าเย้า,ม้ง,ยาง,อีก้อ | อีกจีนฮ่อพบง่ายหาไม่เก้อ | มีของเก่าเบาราณไม่นานเจอ | ขุดเสนอซื้อขายไม่ยากเย็น | โถ,ถ้วย,ชามน้อยใหญ่ไห,กระถาง | กาน้ำอย่างจีนไทยมีให้เห็น | แจกัน,หม้อหลายอย่างต่างประเด็น | ทุกอย่างเป็นของแท้แต่โบราณ | เป็นเรื่องแปลกที่ว่าในป่าเขา | มีของเก่าในดินหลายถิ่นถาน | ตามเนินใหญ่ในถ้ำริมลำธาร | มากสุสานเก่ากาลนับพันปี | แสดงว่าป่าเขาลำเนาเถื่อน | เป็นบ้านเรือนโตใหญ่หลายท้องที่ | หลายชุมชนปนเผ่าเท่าที่มี | คนกับดงพงพีอยู่ร่วมกัน | เหมือนกับว่า“คนมีเพราะป่าปก” | และ“ป่ารกเพราะคนรักษา”มั่น | ป่ากับคนปนอยู่รู้ผูกพัน | ปัจจุบันเห็นชัดเป็นศัตรู | คนผูกเวรเป็นฝ่ายทำลายล้าง | เฝ้าถากถางป่าไม้สลายหมู่ | ตัดโค่นต้นน้อยใหญ่ไม่เอ็นดู | คนคือผู้ทำลายอย่างแท้จริง |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๕ | ขึ้นเขาสูงหวาดเสียวทางเคี้ยวคด | รถมิลดเร็วรุดไม่หยุดนิ่ง | “กิ่วสามล้อ”ล้ออะไรใจประวิง | ชื่อเป็นสิ่งบอกให้เห็นความเป็นมา | ใครถีบรถสามล้อขึ้นมาหรือ | ได้ยินชื่อเห็นทางแล้วกังขา | ตรงกลาง“กิ่ว”มีจุดสะดุดตา | เป็นมรรคาแยกย้ายไป“สามเงา” | เห็นทางเล็กลูกรังยังไม่เรียบ | ไม่เคยเหยียบย่างเยือนไปเหมือนเขา | รถสามล้อหรือจะฝ่าป่าลำเนา | คงหมายเอา“สามทางล้อ”ย่างจร | เริ่มลงจากยอดเขาเข้าป่าโปร่ง | ไม่เตียนโล่งเสียจนเนินล่อนจ้อน | มีนาไร่ไม้พุ่มเต็มลุ่มดอน | ประชากรรวมหมู่อยู่ประปราย | “แม่ระมาด”นามแรดไม่เห็นร่าง | เสือ,หมี,ช้าง,กระทิงยิ่งหดหาย | คิดถึง“แรด”เรื่องหลังยังเสียดาย | ที่ปล่อยหลาย“แรดคน”ให้พ้นมือ | แล้วเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ไปทางเหนือ | ยลไม่เบื่อป่าชัฏอันสัตย์ซื่อ | งามอย่างพิสดารพันลึกพันลือ | ดุและดื้ออ่อนหวานประสานกัน | “ท่าสองยาง”ยางสองมองไม่เห็น | ชื่อยางเป็นต้นไม้กลางไพรสัณฑ์ | อีกชื่อคนเผ่าใหญ่ในอรัณย์ | “กระเหรี่ยงแดง,ขาว”นั้นเผ่าพันธุ์ยาง | เป็นยางคนยางไม้ได้สองแง่ | เรื่องสุดแต่ตามใจใครจะอ้าง | มีเมืองเก่าเบาราณสถานร้าง | เขตยาวกว้างยังเห็นเป็นร่องรอย | สันนิษฐานกันว่าไม่น่าผิด | กำหนดทิศทางบุกทัพรุกถอย | “ขุนสามชน”ด้นดั้นข้ามเขาดอย | “ท่เมืองตาก”แล้วร่อยพ่ายย่อยยับ | “เมืองฉอด”ของ“สามชน”มณฑลชัด | ทั้งซากวัดกำแพงวังยังไม่ดับ | อายุเมืองเมื่อค้นคณนานับ | เก่าพอกับ“สุโขไท”ไม่น้อยเกิน | “ท่าสองยาง”อีกชื่อคือ“แม่ต้าน” | อดีตกาลบอกชัดไม่ขัดเขิน | คือ“เมืองฉอด”ลำเนาหมดเขาเนิน | ความเจริญหมดเชื้อไม่เหลือมี | แวะตลาดหาร้านอาหารอร่อย | หิวนิดหน่อยท้องถามตามหน้าที่ | บ่ายโขแล้วเดินทางไกลอย่างนี้ | ความพอดีย่อมจักได้ยากเย็น | มีบ้านเรือนร้านค้าไม่หนาแน่น | ดูขาดแคลนร้านอาหารนานนานเห็น | “สามอนงค์”โรงหลังตั้งกระเด็น | จัดว่าเป็นร้านดีที่ต้องการ | ความหิวเหตุให้ทานอาหารอร่อย | หมดไม่น้อยทยอยสั่งทั้งคาวหวาน | ต่างคนต่างอิ่มหนำพอสำราญ | อยู่ไม่นานลาละ“สามอนงค์” |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๖ | จาก“แม่ต้าน”ผ่านป่าไม้หนาแน่น | เลียบเลาะแดนไทย-พม่าป่าระหง | “แม่น้ำเมย”ไหลเลี้ยวลัดป่าดง | เครื่องหมายบ่งบอกเห็นเป็นเขตแดน | ฝั่งตะวันตกเขตประเทศพม่า | เขาเสียดฟ้าป่าใหญ่ไม้หนาแน่น | กระเหรี่ยงยางอยู่มากแม้ยากแค้น | ตั้งเป็นแคว้นอิสระรัฐบาล | พม่าปราบขับฆ่าอย่าบ้าบิ่น | แพ้ไม่สิ้นย้ายแยกกลุ่มแตกฉาน | ข้าม“น้ำเมย”เข้าไทยอยู่ไม่นาน | กลับรวมต้านพม่าต่อไม่ท้อแท้ | “แม่สลิด”ริมเมยที่รวมไม้ | ซุงน้อยใหญ่ขายซื้อเคยเซ็งแซ่ | อยู่ฝั่งไทยถูกพม่ากวนรังแก | กะเหรี่ยงรบร่อแร่แล้วหลบลา | ฝั่งตรงข้ามป่าเขาเขตกะเหรี่ยง | เคยข้ามเสี่ยงอันตรายไปศึกษา | “ตลาดมืด”กะเหรี่ยงไทยแลกขายค้า | มีเสื้อผ้า,รองเท้า,รถจักรยาน | รถกระบะของไทยที่หายมาก | ผ่านเขตตากข้ามเมยในหลายด้าน | กะเหรี่ยงซื้อดัดแปลงตามต้องการ | เป็นรถงานแบบเถื่อนเกลื่อนป่าดง | ทหารกะเหรี่ยงไม่น่ากลัวเห็นตัวจ้อย | อายุน้อย“อย่านม”นิยมประสงค์ | เป็นทหารลากปืนรบยืนยง | สักวันคงตั้งประเทศเสร็จสมใจ | รถขึ้นเขาสูงชันลาดหลั่นลด | สองตาจดจ้องดูภูเขาใหญ่ | เป็นเทือกยาวแยกป่าพม่า-ไทย | เขตเขาไม้มีหนาแน่นกว่าเรา | แม้ของเราไม้น้อยก็พอนับ | เป็นป่าทรัพยากรไม่อ่อนเฉา | บริสุทธิ์สกลสณฑ์ลำเนา | ควรจะเฝ้าแหนหวงห่วงดูแล | ป่าดงดิบลิบลิ่วทิวยาวเยิ่น | ดูแล้วเพลินสวยซุกงามทุกแง่ | อยากให้ป่าเป็นป่าไม่เปลี่ยนแปร | อนาถแท้ป่าล้วนถูกทำลาย | ผ่าน“สบเมย”เลยเรื่อยแม้เมื่อยขบ | คิดไม่จบปัญหาป่าเสียหาย | แหล่งต้นน้ำลำธารที่วอดวาย | ทะเลทรายร้อนลามจะตามมา | เมื่อป่าวายไม้หมดสิ้นสดชื่น | แม่น้ำตื้นห้วยหนองคลองหมดค่า | ขาดน้ำหล่อเลี้ยงในสวนไร่นา | หอยปูปลาพืชภินท์สูญสิ้นพันธุ์ | รถแล่นลงเทือกเขาเข้าเขตบ้าน | ดูเรือนร้านชานเมืองที่ตั้งมั่น | ไม่แปลกตาแต่งงามตามตามกัน | มิจัดสรรค์เอกลักษณ์ประจำเมือง | “แม่สะเรียง”เรียงนามอำเภอหนึ่ง | เดินทางถึงถิ่นงามยามแดดเหลือง | อำเภอใหญ่บ้านช่องร้านนองเนือง | นามกระเดื่องแดนไทยในด้านงาม |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๗ | ดูโอ่อ่าอาคารศาลจังหวัด | บ่งบอกชัดยุติธรรมค้ำสยาม | แหล่งเจริญย่อมมีคดีความ | เพราะมากคนล้นหลามความขัดแย้ง | ตามหาเพื่อนหลายตลบไม่พบเพื่อน | ก็เลยเลื่อนเถลไถลไปหลายแห่ง | สนธยาหาที่นอนพักผ่อนแรง | ก่อนที่แสงสุริยาลับฟ้าไป | “โรงแรมมิตรอารี”ที่โอ่อ่า | เหมือนร่มไม้ชายคาให้อาศัย | เปิดเตียงคู่สองห้องที่ต้องใจ | เขาต้อนรับคนไกลด้วยไมตรี | อาบน้ำเสร็จเตร็ดเตร่เดินเร่รอบ | เที่ยวตรวจสอบเจ้าของคนท้องที่ | ทราบเรื่องราวถ้วนทั่วทั้งชั่วดี | เรื่อง“สำนักโสเภณี”ไม่มีเว้น | ทานอาหารร้านใหญ่ในตลาด | ได้รสชาติซีดหมดไม่โดดเด่น | กว่าจะได้แต่ละอย่างช่างยากเย็น | เหมือน“สั่งเช้ากินเพล”พิเรนจริง | คิดถึงบ้านร่มเย็นความเป็นอยู่ | แม่ไอ้หนู”ดีเด่นสมเป็นหญิง | ทำอาหารหวานคาวไม่เคยทิ้ง | กินทุกสิ่งหายเรียบเพราะเลิศรส | เป็นสตรีมีเสน่ห์ดีอย่างหนึ่ง | เป็นที่พึ่งตนได้ไม่รู้หมด | คืองานบ้านการครัวไม่เคยงด | คิดกำหนดความถนัดหมั่นจัดทำ | โบราณว่า “เสน่ห์ปลายจวัก” | ผูก“ผัวรักจนตาย”ใช่เรื่องขำ | คือความจริงมีเห็นเป็นประจำ | “เสน่ห์น้ำมือนาง”สร้างไมตรี | หญิงยุคใหม่ส่วนมากจะมักง่าย | ผูกมัดชายด้วยหน้าแต่งราศี | การแต่งตัวยั่วยวนกวนราคี | คือความดีใช้ได้ใช่คงทน | เมื่อร่างกายคลายค่าหนั่นหนาแน่น | ทรุดโทรมแทนสวยทรามตามเหตุผล | หมดเสน่ห์วายสิ้นผู้ยินยล | ไม่มีมนต์มัดใจชายคู่ครอง | ถ้าเก่งการงานครัวให้ผัวรัก | ถึงแม้จักแก่เก่ากายเศร้าหมอง | เสน่ห์ในปลายจวักจักรับรอง | ให้ผัวต้องติดมนต์รักจนตาย | อาหารถุงที่ซื้อหรือ“ฟาสฟูด” | บทพิสูจน์รักเรี่ยหกเสียหาย | ไร้เสน่ห์เร่ร่อนหล่นเรี่ยราย | ผลสุดท้ายลองเดาเรื่องเอาเอง | กินอาหารเสร็จสรรพกลับที่พัก | ไม่ดึกนักนอนคลายเส้นหายเคร่ง | เห็น“โพธิ์เวช”ใกล้ชิดจิตระเบง | โดยไม่เกรงเกิดโศกจากโรคภัย | หวังให้หมอโบราณนวดฟั้นร่าง | ขาสองข้างร้าวรวดปวดหลังไหล่ | หมอนวดสาวเหลือสองนางยองใย | ตกลงให้“น้องตุ๋ย”กับ“พี่รงค์” |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๘ | “นายสยาม”เจ้าสำนักนึกทางออก | ชวนหมอนอกสำนักมาสมประสงค์ | ได้หนึ่งนางร่างต่ำจ้ำม่ำองค์ | “พี่หริ”ปลงปลดใจไม่นวดเฟ้น | จึงถือสิทธิ์รับเอาสาวจ้ำม่ำ | ให้คลึงคลำกล้ามเนื้อจนตื่นเต้น | หมอบอกว่านวดก็เพียงพอเป็น | ถ้าจับเส้นเอ็นน่ะถนัดนัก | หมอนวดเส้นหายากเคยอยากได้ | จึงดีใจโชคดีที่รู้จัก | นอนให้นวดเส้นสายด้วยใจรัก | หมอล้วงควักเส้นตึงเสียวซึ้งใจ | สองชั่วโมงนั่งนอนอ้อนหมอนวด | เจ็บหรือปวดเสียวก็พอทนไหว | ครั้นนวดเสร็จเคล็ดคลายเมื่อยหายไป | ความเคลื่อนไหวแคล่วคล่องคะนองตน | หลังปรึกษาหาบ่อนที่“นอนนาบ” | ได้รับทราบ“บุปผเพศ”พร้อมเหตุผล | แต่ละนางหน้าตาล้วนน่ายล | งามอย่างคนสวยแสร้งแต่งหาเงิน | มิปลอดภัยหลายโรคหมกซ่อนทุกข์ | หลงสนุกสุขสยิวเพียงผิวเผิน | คิดตรงนี้มีแต่ต้องแลเมิน | ถูกอ้อนเชิญ“นาบ”เลยไม่เชยชม | เข้าห้องนอนตอนดึกรู้สึกหนาว | ถอนใจยาวยอมรับค่าคุณผ้าห่ม | เห็น“พี่หริ”นอนนิ่งน่านิยม | ไม่กรนขรมให้รำคาญคนข้างเตียง | คิดถึงบ้านกานดา“อาหมวยหย่ง” | เคยร่วมวงวุ่นวายไม่หลบเลี่ยง | ดูแลลูกผูกพันอยู่พร้อมเพรียง | ค่ำนอนเคียงเคลิ้มสุขอยู่ทุกคืน | มานอนเดียวเปลี่ยวกายไร้ร่าง“หมวย” | ห่มผ้าผวยอุ่นกายก็ไม่ชื่น | เคยเคียงกายก่ายกอดรักกลมกลืน | สุดฝ่าฝืนใจคิดถึงชิดเชย | หลับในความคิดถึงด้วยซึ้งรส | สุขเคยซดยังไม่หายระเหย | ฝันเป็นความหวามหวานวาบผ่านเลย | ผลลงเอยตื่นตารับอรุณ | จากโรงแรมเร่งเร้าเข้าตลาด | ตามสัญชาตญาณท้องที่ต้องขุน | หาอาหารเบาหนักกินกักตุน | เพื่อเป็นทุนต่อเติมเสริมกำลัง | “โจ๊กตือฮวน”รวมผสม“ต้มเลือดหมู” | รอเพียงครู่เขาทำให้ตามสั่ง | ไม่อร่อยกร่อยลิ้นกินประทัง | มีความหวังที่ขอ“พอหนักท้อง” | มิโอ้เอ้เวลาเหลือไม่มาก | รีบออกจาก“แม่สะเรียง”ไม่คิดข้อง | เห็นป่าเขาข้างทางตั้งตามอง | ไม่มี“ดอกบัวตอง”สนองตา | “แม่ลาน้อย”เห็นนามแล้วสำเหนียก | ก่อนจะเรียกนามมักรู้จักค่า | มีความหมายหลายนามความเป็นมา | เหมือน“แม่ลาน้อย”นี้ที่น่าคิด |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๙ | ลาตัวแม่เหลือน้อยกระนั้นหรือ | คงถูกมือพรานดำอำมหิต | คอยตามล่าฆ่าฆาตขาดชีวิต | เหนือน้อยนิดพอนำมาคำนวณ | หรือลาน้อยวัยต่ำเริ่มกำหนัด | ริ“ติดสัด”มีลูกทุกข์กำสรวล | ถูกทอดทิ้งยิ่งช้ำร้องคร่ำครวญ | ป่าไม้ล้วนวิปโยคโศกเศร้าตาม | สงสาร“แม่ลาน้อย”ละห้อยไห้ | ฝากชื่อไว้วอนว่าอย่ามองข้าม | บอกสาวรุ่นดรุณีที่เริ่มงาม | อย่าเหิมห่ามปล่อยกายให้ชายชม | เป็นสาวน้อยปล่อยกายให้ชายชื่น | ชมความหื่นหรรษาตัณหาห่ม | ร่างไม่ช้ำสำรวลเริงอารมณ์ | ใจจะตรมโทรมหมองเมื่อ“ท้องโต” | ลูกในท้องของใครไร้คนรับ | ชื่อเสียงพลอยย่อยยับอับอายโข | ถูกทอดทิ้งคาท้องร้องไห้โฮ | นินทาโฉ่ฉาวบอก“ดอกสุวรรณ” | เคยคิดมากอยากมีลูกผู้หญิง | แต่เป็นสิ่งลางเลือนไปเหมือนฝัน | ลูกชายงาม“สามหน่อ”ต่อตามกัน | ต้องทำหมัน“หมวยหย่ง”ตกลงพอ | ถ้าหากมีลูกสาวถึงคราวนี้ | เธอก็รุ่นดรุณีน่าอี๋อ๋อ | ต้องห่วงใยไม่วางใจร้างรอ | กลัวถูกก่อกวนกามบำเรอชาย | เลย“แม่ลาน้อย”แล้วหมดแนวบ้าน | รถทะยานผ่านเขาสู่เป้าหมาย | ทางโค้งคดลดเลี้ยวอันตราย | ต้องวิ่งส่ายซ้ายขวาทั้งขึ้นลง | “พี่หริ”บอกตื่นเต้นเห็นครั้งแรก | นับจำแนกพันธุ์ไม้อย่างใหลหลง | เหมือน“อิเหนา”เดินทางกลางป่าดง | มิวายส่งเสียงชมพนมไพร | เสียดายที่รถวิ่งไม่นิ่งเงียบ | มิเหมือนเท้าก้าวเหยียบกลางป่าใหญ่ | ถ้าเดินเท้าฟังเพลงวังเวงใจ | จักจั่นเห่เรไรร้องให้ฟัง | ประสานเสียงนกกากู่โฮกป๊ก | โพระดกดาลดลเสียงมนต์ขลัง | เพลงซอไผ่เสียดสีดีประดัง | ชวนให้นั่งนอนสดับจนหลับเลย | อยู่ในรถฟังเพียงแค่เสียงรถ | ล้อยางบดดินหินเอ้อระเหย | ฝุ่นตรลบกลบป่าไม่น่าเชย | เมื่อก่อนเคยผ่านมาฝุ่นไม่มี | เขาขุดถนนทำใหม่ขยายกว้าง | ลอกฟื้นยางทิ้งไปหลายท้องที่ | อัดฟื้นดินหินใหม่หมายทำดี | เป็นวิธีพัฒนาคมนาคม | “ขุนยวม”นามอำเภอฟังไม่เพราะ | คิดวิเคราะห์ความหมายได้ไม่สม | “ยวม”คงเป็นคำ“ยาง”ตั้งนิยม | เรียกกันขรมโดยไทยไม่รู้ความ |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๐ | เป็นถิ่นที่มีกะเหรี่ยงกะหร่างหลาก | ดงดิบมากมากของที่ต้องห้าม | ไม้พม่าคละไทยท่อนใหญ่งาม | ขายในนามพม่าไทยไม่ดีนัก | พม่าขายไทยซื้อไม่ขัดสน | การโค่นขนตามสิทธิ์ไทยคิดหนัก | กะเหรี่ยงป่ารวมคนหลายพลพรรค | ถลันถลักถล่มต้านการขนไม้ | พ่อค้าไม้สุโขทัยคนใจถึง | เคยเป็นหนึ่งนายทุนหุ้นส่วนใหญ่ | ผูกสัมปทานทำป่าพม่าไทย | ต้อง“เจ๊ง”ไปให้เห็นเป็นบทเรียน | กะเหรี่ยงใน“ขุนยวม”ที่รวมกลุ่ม | ส่วนมากคุมประเพณีไม่มีเปลี่ยน | “กะเหรี่ยงคอยาว”ลิ่วเนื้อผิวเนียน | ภาพวนเวียน“ออกทีวี.”ที่เห็นกัน | อยากแวะเข้าเยี่ยมยางกระหร่างสาว | ชมคอยาวยลเนื้อที่แน่นหนั่น | เวลาน้อยถอยจิตไม่ติดพัน | รถถลันเลยลาไม่อาวรณ์ | “แม่ฮ่องสอน”แดนงาม“เมืองสามหมอก” | ตามคำบอกเบาะแส“แม่ฮ่องสอน” | มี“หมอกหนาว,หมกฝน”ปน“หมอกร้อน” | สามช่วงตอนหมอกงามตามฤดู | ประชากรมากเห็นเป็น“ไทยใหญ่” | จริงหรือไม่ถูกผิดยังคิดอยู่ | มีวัดใหญ่แปลกตาน่าเรียนรู้ | “ ดอยกองมู”อารามเด่นงามตา | “ปอยส่างลอง”งานบุญบวชลูกแก้ว | หลายครั้งแล้วชมภาพเหมือนบาปหนา | ปิดบังบุญวิบัติความศรัทธา | เห็นเพียงค่าฮาเฮประเพณี | หลังคาโบสถ์พิหารเป็นชั้นช่อ | เคียงข้างหอสวดธรรมนำวิถี | บอกสวรรค์ชั้นเจ็ดเก็จรูจี | ความหมายมีมากความตามแต่คิด | แวะไป“บ้านแปดเหลี่ยม”หวังเยี่ยมเพื่อน | พบร้านเรือนว่างเปล่าเป็นวันปิด | “น้องหนู”กลับบ้านตนคนละทิศ | จึงหมดสิทธิ์ชิดเชยเหมือนเคยทำ | “บ้านแปดเหลี่ยม”เป็นร้านอาหารพิเศษ | สตรีเพศ“นางโลม”ล้วนคมขำ | มีไทยใหญ่,ยาง,เย้าอยู่ประจำ | เคยลูบคลำคลึงเคล้น“เล่น”มาแล้ว | มาคราวก่อนนอนกอดแม่ยอดชู้ | ได้เรียนรู้บทสยิวเป็นทิวแถว | “ลูกเล่น”ไทยใหญ่สาวแม่พราวแพรว | เหมือนลูกแก้วกลมกลิ้งให้วิ่งตาม | แสนสดชื่นรื่นรสกับบทรัก | จะโหมหักอย่างไรไร้ข้อห้าม | “โรคเอดส์”ยังไม่มาปรากฏนาม | มีแต่ความปลอดภัยไร้กังวล | หมาย“มาหัน”วันนี้ไม่มีน้อง | เห็นแต่ห้องปิดตายฝันวายหล่น | หยุดสงกรานต์งานงดหมดทุกคน | เป็นตามผลประเพณีมีมานาน |
รายนามผู้เยี่ยมชม : วรรณดี, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, , รพีกาญจน์, กอหญ้า กอยุ่ง, เส้นชีวิต ดำเนินไป, , ศรีเปรื่อง, นายประทีป วัฒนสิทธิ์, ฅนช่างฝัน, รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, rattanatrai rattanajan, มนชิดา พานิช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เต็ม ธานี
|
Permalink: นิราศล้านนา
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๑ | คนล้านนาแก่สาวชาวเมืองเหนือ | มีความเชื่อถือสิ้นทุกถิ่นถาน | กตัญญูรู้คุณทำบุญทาน | ถึงสงกรานต์ชุมนุมญาติรุมล้อม | “น้องหนู”ไปขายเซ็กซ์เด็กผู้ใหญ่ | อยู่ไหนไหนไม่ถือเหม็นหรือหอม | กลับบ้านเกิดเทิดรักกันพรักพร้อม | ทะนุถนอมน้ำใจไม่ติเตียน | “นกขมิ้นคืนถิ่น”ดินแดนแม่ | เป็นลูกที่ดีแท้ไม่แปรเปลี่ยน | วัฒนธรรมล้านนาน่ารู้เรียน | ไม่ควรเวียนมองแต่แง่เริงรมย์ | จากเมือง“แม่ฮ่องสอน”เมื่อตอนสาย | มี“เมืองปาย”เป็นเป้าประสงค์สม | ผ่าน“ถ้ำปลา”เลยไปไม่แวะชม | ไต่พนมสูงชันอันตราย | เป็นเส้นทางสายใหม่ไม่เคยผ่าน | คำเล่าขานเคยฟังอย่างกระหาย | อยากจะเห็นเหินย่างทาง“สายปาย” | สมใจหมายตื่นเต้นเมื่อเห็นทาง | รถแล่นร่อนตลอดยอดเขาสูง | ทิวทัศน์จูงใจเผชิญไม่เมินหมาง | เหมือนลอยวนบนฟ้าฝ่าเมฆบาง | เหวสองข้างทางลึกสุดสายตา | คิดถึงน้องหน้ามนคนที่บ้าน | เธอชื่นชอบห้วยละหารลำธารป่า | ธรรมชาติสร้างสวรรค์รอบมรรคา | อยากให้มาเห็นบ้างเหมือนอย่างเรา | ถ้าจอมขวัญกานดาเธอมาด้วย | จะชี้ช่วยชมรอดไม้ยอดเขา | ชะง่อนผาชะโงกเงื้อมเสงี่ยมเงา | แซมลำเนาเป็นระลอกกลางหมอกควัน | รถไต่ขึ้นวิ่งลงสลับสลอน | ทุกเขตตอนชวนให้เก็บไปฝัน | คิดคำคมชมจนพ้นรำพัน | เห็นสุดสรรค์คำชมได้สมจริง | “ปางมะผ้า”เป็นจุดสูงสุดแล้ว | รถเข้าแนวตรงจุดจอดหยุดนิ่ง | ลงจากรถทันใดไม่ประวิง | ตามหลังหญิงชาวเขาเผ่าลีซอ | ยืนชมวิวทิวเขาข้างสาวสวย | เพียรพูดด้วยเธอเฉยเลยใจฝ่อ | จึงยกกล้องส่องส่ายไม่รีรอ | ถ่ายภาพพอแก้เขินแล้วเดินเลย | “พี่รงค์,พี่หริ”เดินย่องตาม“น้องตุ๋ย” | ชี้มือคุยหน้าเชิดอย่างเปิดเผย | ชมทิวทัศน์รอบทิศน่าชิดเชย | ยังไม่เคยพ้องพานสถานใด | มีป้อมยามตระหง่านเป็นด่านตรวจ | ถามตำรวจหนุ่มว่า“รู้ค่าไหม | ทางตรงนี้มีระดับสูงเท่าไร?” | อ้ำอึ้งก่อนตอบให้ “ไม่รู้ครับ! | รู้แต่ว่าแดนเด่นนี้เป็นจุด | สูงที่สุดกว่าทางทุกระดับ | แต่ว่าสูงแค่ไหนมิได้นับ” | รีบยอมรับข้อมูลเท่าที่รู้ |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๒ | เข้าเขต“ปาย”เมืองเก่าเผ่าไทยใหญ่ | บ้านเมืองไม่โอ่อ่าแต่น่าอยู่ | ร้านอาหาริมถนนวนเวียนดู | เลือกที่ชูป้ายเห็นเป็นภาคกลาง | “น้องเบียร์”ร้านสาวหนุ่มมุมถนน | จอดรถพ้นเส้นแดงไม่ไกลห่าง | สั่ง“ข้าวผัดกะเพรา”ไปพลางพลาง | มีหวานล้างคอเล่นเป็น“เฉาก๊วย” | ทานอาหารกันเสร็จเดินเตร็ดเตร่ | ไม่วาย“เหล่ตาวาว”ดูสาวสวย | ไม่เห็นสาวสะอางร่างสำรวย | คงเพราะด้วยเป็นคนอยู่บนดอย | จาก“เมืองปาย”บ่ายโขยังไต่เขา | นั่งง่วงเหงาแรงซีดความคิดหงอย | พิงเบาะรถแหงนหน้าตาปรือปรอย | จนถึงม่อยหลับไปตั้งหายคราว | ตื่นตาตอนรถเลี้ยวเลื้อยลงต่ำ | ผ่านเถื่อนถ้ำเลียบเลาะเหมือนเหาะหาว | ร่อนลงแล้วเหินย่างเส้นทางยาว | เลื้อยตามราวป่าสวย“ห้วยน้ำดัง” | “แม่มาลัย”เป็นจุดที่หยุดพัก | คนคึกคักรถรามาคับคั่ง | หลากอาคารร้านค้าไม่รุงรัง | ต่างคนสั่งน้ำดื่มตามต้องการ | เดินยืดเส้นยืดสายพอหายเมื่อย | ไม่อาจเฉื่อยชมสิ้นทั่วถิ่นถาน | “แม่มาลัย”มาลีกลีบคลี่บาน | คงหอมนานอยู่ในหัวใจคน | แยกทางขวาที่เห็นเป็นทางใหญ่ | สู่“เชียงใหม่”เมืองงามล้ำกุศล | เป็น“เมืองหลวงล้านนา”น่ายินยล | มากด้วยมนต์เสน่หาทิพย์อาทร | เคยท่องเที่ยวเชียงใหม่มาหลายครั้ง | มีความหลังหลายจุดอนุสรณ์ | “ท่องโลกีย์เสพกาม”หลายยามนอน | ตามขั้นตอนเหล่าชายยามไกลเมีย | ท่อง“ล้านนา”ครานี้เป็นพิเศษ | มิเข้าเขตเมืองใหญ่“ฉายมาดเสี่ย” | เพราะเมืองใหญ่ไฟกามลุกลามเลีย | ล้วนสูญเสียธรรมชาติสะอาดตา | ตามบ้านเล็กบ้านน้อยเพชรพลอยผุด | บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยคุณค่า | น้อยสีแสงแต่งสานแต้มมารยา | ปรารถนาพบเห็นตระเวนชม | กำหนดเดินทางซ้ายไป“เมืองฝาง” | จะนอนค้างแรมคืนให้ชื่นฉม | ผ่าน“แม่แตง”เลยลาไม่ปรารมภ์ | ปล่อยใจจมจินตนารักป่าดง | ทางไม่ชันเลียบเหลิงเลาะเชิงเขา | ไม้ไม่เฉาพฤกษาป่าระหง | คนพร้อมพรักรักษาป่ามั่นคง | ต้นไม้ทรงสภาพป่าคู่ฟ้าดิน | เรียงตามองท้องนาป่าภูเขา | ภาพลำเพาเย้ายวนป่วนถวิล | ถ้ายามนี้มีคู่อยู่ร่วมกิน | กลางเถื่อนถิ่นแถวนี้จะดีแท้ |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๓ | ผ่าน“เชียงดาว”ด้าวแดนป่าแสนสวย | เสียดายด้วยเวลาบ่ายร่อแร่ | อยากแวะชมเถื่อนถ้ำให้ฉ่ำแด | ได้เพียงแค่คิดเอาเท่านั้นเอง | ถิ่นแถบนี้มีประวัติศาสตร์ปรากฏ | คนไทยจดจารค่าความกล้าเก่ง | “พระนเรศวรเจ้า”ญวน,ลาวเกรง | ม่าน,ตะเลง,เขมรขามอยู่ครามครัน | ทรงยกทัพขับศึกมา“เมืองหาง” | ประทับวางแผนฮึดเข้าห้ำหั่น | จะตีม่านรานข้าศึกรามัญ | บำรุงขวัญทหารดีที่“เมืองงาย” | “เมืองหาง,งาย.ชัยปราการ”ผ่านตลอด | สุรีย์ทอดดวงต่ำบอกความหมาย | อำลาโลกตามวารกลางวันวาย | ราตรีกรายตามกฏมาทดแทน | เข้า“เมืองฝาง”แดนงามยามชิงพลบ | วนขวาซ้ายหลายตลบตลุยแล่น | หาที่พักถูกใจได้ตามแปลน | ไม่ผิดแผนโลกีย์ของ“พี่รงค์” | โรงแรมกึ่งรีสอร์ตแบ่งส่วนสัด | กระทัดรัดสงัดเงียบเหมือนแดนสงฆ์ | อาคารชั้นเดียวเด่นล้อมเป็นวง | ชื่อเหมือนกล้วยไม้ดงว่า“เอื้องคำ” | เปิดห้องเดี่ยวหวังดื่มสวาทหวาน | แสดงบทชายชาญให้ชื่นฉ่ำ | ประเพณีที่ชายมากมายทำ | เลวระยำหรือไรก็ไม่รู้ | หาอาหารทานก่อนนอนสนุก | ร้าน“กระเช้า”แขกชุกพลุกพล่านอยู่ | ไม่ผิดหวังสั่งอาหารผ่านเมนู | ไก่,ปลา,หมูปรุงแปลงแต่งเลิศรส | ท่องราตรีบันเทิงเริงรมย์เล่น | “พี่รงค์”พาตระเวนไปจนหมด | “สำนักหนู”ดูหนุ่มชุมเหมือนมด | รุมจ้องจดจับ“น้องหนู”เป็นคู่นอน | เที่ยวยืนมอง“น้องหนู”ในตู้กระจก | คิดถึงอกแม่พ่อท้อใจอ่อน | มีลูกสาวขายตัวทั่วนคร | สุดจะถอนขมขื่นสะอื้นอาย | ความยากจนดลให้ขายสวาท | โรคระบาดยากแท้จะแก้หาย | เป็นปัญหาของชาติที่เลวร้าย | นโยบายต้องแก้ที่วิชาการ | ศึกษาดีมีความรู้เอาตัวรอด | ไม่“ใบ้บอด”รู้จักสร้างหลักฐาน | มีภาระหน้าที่มีการงาน | ไม่หน้าด้านทนอายมาขายตัว | เที่ยวดูซ่องจนดึกเพื่อศึกษา | เป็นวิชาสังคมรู้ดีชั่ว | รู้ความจริงสองด้านเรื่องพันพัว | เรียน“รู้ทั่ว”สมญาว่า“รู้ดี” | กลับห้องพักอาบน้ำชำระเหงื่อ | เป็น“ผู้ชายพายเรือ”เพียบศักดิ์ศรี | เด็กหนุ่มนำหญิงรุ่นดรุณี | มามอบที่ห้องนอนเป็นหมอนเคียง |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๔ | บอกว่า“น้องหนูรักสมัครเล่น” | ไม่ใช่เป็น“นางซ่อง”ให้ต้องเสี่ยง | ดูสวยสมคมคายยามอายเอียง | รับไว้เรียงร้อยรักเล่นสักคืน | หล่อนผิวขาวสาวรุ่นหุ่นอ้อนแอ้น | ไม่หนั่นแน่นเนื้อนิ่มยิ้มหวานชื่น | นอนกกกอดเกี่ยวก่ายไม่กลมกลืน | พอเริงรื่นรักพล่ามไปตามเพลง | ไม่เหมือน“แม่ไอ้หนู”ผู้ยอดรัก | สนิทนักนอนเบียดไม่เครียดเคร่ง | ชื่นฉมเชื้อเนื้อหนั่นเป็นกันเอง | ไม่ต้องเกรงมลพิษสะอิดสะเอียน | “ราตรีกาม”กรีดกรายกลางสายหมอก | สองระลอกรักแร่รสแปรเปลี่ยน | “น้องหนู”ทวนครวญคร่ำจำบทเรียน | สวรรค์เวียนสู่สมอารมณ์เริง | ยามอุษาฟ้าสางสว่างแล้ว | ยังเหลือแววสวรรค์สวาสดิ์วาดค้างเติ่ง | ปิดบทเพลงโลกีย์ที่บันเทิง | รักษาเชิงชายซ้ำก่อนอำลา | ออกแต่เช้าเข้าถิ่นคน“จีนฮ่อ” | หนุ่มสาวรอริมถนนสลอนหน้า | ทุกคนสวมเสื้อเห็นเป็นสีฟ้า | สะดุดตาแปลกใจถามไถ่ดู | อ้อ..!เป็นเด็กโรงงาน“โครงการหลวง” | “พ่อฟ้า”ห่วงหาเห็นความเป็นอยู่ | สร้างอาชีพสาวหนุ่มทรงอุ้มชู | ให้เรียนรู้แล้วนำไปทำงาน | เข้าหมู่บ้าน“จีนฮ่อ”ด้วยอยากเห็น | ไม่ตื่นเต้นเมื่อดูทั่วหมู่บ้าน | ตั้งใจเลาะเสาะหาอาหารทาน | แต่ทุกร้านครัวฮ่อเพิ่งก่อไฟ | เจ็ดโมงแล้วฮ่อกล่าวว่าเช้านัก | อาหารหลักทำกันหาทันไม่ | กลับเข้าเมืองหาร้านอาหารไทย | รสถูกปากถูกใจจำไม่ลืม | ซื้อส้มเลือกเปลือกบางที่ฝางปลูก | ราคาถูกหาได้ด้วยใจปลื้ม | รสหวานฉ่ำชวนซื้อยื้อหยิบยืม | ใครได้ดื่มกินสักหนจำจนตาย | ลา“เมืองฝาง”ฝากใจรักไว้มั่น | แม้คืนวันเดือนปีลี้ลับหาย | ไม่ลืม“ฝาง”ห่างแท้เพียงแต่กาย | ใจมิกรายไกลฝางอยู่ข้างเคียง | “แม่อาย”โอ้..! อาลัยหวนใจหาย | เพลง“แม่อายสะอื้น”แว่วคลื่นเสียง | แม่ลำเค็ญครวญคร่ำลั่นสำเนียง | ทุกข์ยากเพียงเลือดตาสาดกระเซ็น | ถ้าแม่ไม่ทุกข์ท้อเพราะพ่อทิ้ง | ลูกผู้หญิงแม่ก็ฉาวโฉ่คาวเหม็น | แม่อับอายฟายเศร้าทั้งเช้าเย็น | ตายทั้งเป็นโอดสะอื้นขมขื่นทรวง | บ้าน“ท่าตอน”ตอนบนต้น“แม่กก” | นึกวิตกน้ำท่าน่าแหนหวง | นักท่องเที่ยวแขกฝรั่งไทยทั้งปวง | เช่าแพพวงเรือภิรมย์ล่องชมวิว |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๕ | จาก“ท่าตอน-เชียงราย”น้ำไหลล่อง | เคยเจิ่งนองกรากไกลไหลเร็วลิ่ว | ยามนี้แล้งแก่งหินดินเป็นทิว | คิดแล้วนิ่วหน้าขมวดใจปวดร้าว | ไม่อยากคิดอนาคตเมื่อหมดน้ำ | ตามแต่กรรมปรุงแต่งที่แข็งกร้าว | ชีวิตนี้มีได้ไม่ยืนยาว | ไม่ถึงคราวน้ำหมดก็ม้วยมรณ์ | จาก“ท่าตอน”วิ่งบนถนนฝุ่น | เห็นภาพคุ้นตายิ่งคือสิงขร | “เขาหัวโล้น”เคียงข้างหนทางจร | เห็นแล้วอ่อนดวงมานสงสารไม้ | ทางลูกรังสร้างใหม่ไม่เรียบร้อย | วิ่งค่อยค่อยพ้นนาเข้าป่าใหญ่ | ขึ้นเขาสูงวกวนผจญภัย | หวาดเสียวในหลายตอนรอดพ้นตาย | กว่าจะถึง“แม่จัน”ขวัญแทบฝ่อ | ไม่รีรอเลยแร่สู่“แม่สาย” | สี่โมงเช้าเข้าบ้าน“ขวัญใจชาย” | คนเชียงรายส่วนมากรู้จักดี | ชื่อ“บ้านถ้ำ”สำนักเรียนรักใคร่ | หญิง“ไทยใหญ่”ลำยองผ่องฉวี | จาก“เชียงตุงรัฐฉาน”อยู่บ้านนี้ | “คนมีสี”เลี้ยงดูอยู่ประจำ | “รังรัก”เป็นสัดส่วนกลางสวนไผ่ | กลมกลืนในธรรมชาติเย็นชื่นฉ่ำ | ศาลารับรองแขก“รับคมคำ” | ช่างจัดทำถูกใจไปทั้งนั้น | “น้องหนู”มีสี่สิบกว่าชีวิต | น่าเชยชิดชมชื่นขึ้นสวรรค์ | ผู้ร่วมทางต่างสนุกเลือกผูกพัน | จูงมือกันเข้าห้องไม่ต้องเตือน | ตัวเองเลี่ยงบทรักขอพักรบ | เพราะเพิ่งพบผ่านมาตัณหาเถื่อน | บอก“น้องหนู”วันหน้าจะมาเยือน | อยู่เป็นเพื่อนพลอดสั่งรักทั้งคืน | นั่งสัมภาษณ์ประวัติสาวไม่“เข้าถ้ำ” | ฟังความช้ำความตรมความขมขื่น | การเอาเปรียบกดขี่มียั่งยืน | หญิงต้องฝืนใจสู้อยู่จำเจ | เด็กสาวรุ่นน่ารักแก้มลักยิ้ม | หนุนตักพริ้มตาเสงี่ยมไร้เหลี่ยมเล่ห์ | รักเหมือนลูกเมตตาคุยฮาเฮ | ไม่คิดเหหันมั่วเกลือกกลั้วกาม | อยากพาตัวติดตามเป็นความถูก | เลี้ยงเป็นลูกประจำไม่ย่ำหยาม | เสียดสายเธอ“ไทยเถื่อน”กลางเขตคาม | กฎหมายห้ามเลี้ยงดูอยู่อย่างไทย | จาก“บ้านถ้ำ”อำลาอาลัยเหลือ | ขึ้นสู่เหนือสุดประเทศเขตไทยใหญ่ | “ท่าขี้เหล็ก”ไทย-พม่าข้ามมาไป | ความปลอดภัยช่วงนี้มีมากพอ | จอดรถฝากแม่สายในสนาม | เดินตามตามข้ามสะพานกันสอสอ | ชมสิ้นค้า,หน้าสาวกล่าวพะนอ | พูดหยอกล้อหลบเล่ห์กันเฮฮา |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๖ | พบเห็น“คนสุโขทัย”ตั้งหลายหมู่ | ซื้อสบู่แก่นจันทน์,แป้งพม่า | หยก,เพชร,พลอย,สร้อยดีมีดื่นตา | ทั้งเสื้อผ้าแพรพรรณนั้นมากมี | เขาว่าของที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ | จากฝั่งไทยแต่งลักษณ์เติมศักดิ์ศรี | เป็นพม่าขายไทยหลายวิธี | “เห่อของนอก”อย่างนี้แหละพี่น้อง | ข้ามกลับเข้าฝั่งไทยบ่ายโมงเศษ | ไม่มีเหตุอื่นอาจมาขัดข้อง | สิ่งสำคัญที่เพรียกเสียงเรียกร้อง | มันคือ“ท้องท้วงกระทอก”บอกหิวแล้ว | ร้านอาหารริมน้ำทำเลเหมาะ | เดินเลียบเลาะนั่งลงตรงริมแถว | เป็นมุมเหมาะมองเห็นเขื่อนเป็นแนว | สั่ง“ปลาแข้ว”ทอดกรอบมาลองทาน | “แข้ว”หรือ“แข้”เป็นปลาจากน้ำโขง | วมันโต้งหนังหนากว่าหนังห่าน | เนื้อแน่นหนึกน่าขบเคี้ยวนานนาน | เป็นอาหารพิเศษรสเด็ดดี | ฝีมือ“หมวยแม่สาย”ไม่แพ้ฝาง | แกงหลายอย่างเผ็ด,เค็มจัดเต็มที่ | อิ่มอาหารเหิมใจไม่รอรี | เลือกวิถีต่อไปสู่ปลายทาง | ไม่เข้าเมือง“เชียงราย”เพราะใจร้อน | รีบจ้านจรตามใจที่ไม่ว่าง | สู่“เชียงแสน”แดนดังไม่รู้จาง | ชื่อขึ้นค้างฟ้าไทยถึงไกวัล | “สามเหลี่ยมทองคำ”เขตประเทศติด | ไทยอยู่ชิดพม่า,ลาวนามลือลั่น | “ยาเสพย์ติด”ผลิตในพม่านั้น | ซื้อขายกันสามประเทศข้องเขตไทย | นักท่องเที่ยวนักค้าเยาเสพย์ติด | จากทุกทิศที่ทะลักมาขวักไขว่ | เที่ยว,เสพ,ซื้อ“ผงขาว”กันเกร่อไป | ทางการทราบ“จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน” | ตรง“สามเหลี่ยมทองคำ”ริมน้ำโขง | ไม่เลี่ยนโล่งเหมือนตอนมานอนฝัน | เดี๋ยวนี้มีอาคารร้านค้าครัน | ตั้งประชันขานค้าสารพัด | เครื่องประดับเสื้อผ้านานชนิด | จะซื้อติดมือเดินดูเขินขัด | ราคาแพงเกินเกณฑ์อย่างเด่นชัด | จึงต้องตัดสินใจไม่คิดซื้อ | จาก“สามเหลี่ยมทองคำ”เลียบลำโขง | ถนนโยงเชื่อมสายเครือข่ายสื่อ | เข้า“เชียงแสน”เมืองเก่าคนเล่าลือ | เชิดเชื่อถือศิลปะ“พระบูชา” | พระพุทธรูปเชียงแสนจัด“สามสิงห์” | ล้ำค่ายิ่ง“เซียนพระ”จะใฝ่หา | รุ่น“สิงห์หนึ่ง”เก่างามล้ำราคา | “สิงห์สอง,สาม”ตามมาค่ามากมี | มี“พระเครื่อง”เรืองคุณหลายรุ่นแบบ | ขโมยแอบขุดขายไม่อายผี | ก็เหมือน“เมืองสุโขทัย”ในก่อนนี้ | โบสถ์,เจดีย์“อมนุษย์”ขุดจนพัง |
รายนามผู้เยี่ยมชม : กอหญ้า กอยุ่ง, วรรณดี, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, , รพีกาญจน์, เส้นชีวิต ดำเนินไป, , ศรีเปรื่อง, นายประทีป วัฒนสิทธิ์, ฅนช่างฝัน, รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, rattanatrai rattanajan, มนชิดา พานิช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เต็ม ธานี
|
Permalink: นิราศล้านนา 4 (จบ)
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๗ | โบราณสร้างสิ่งของถวายวัด | เป็นสมบัติส่วนรวมร่วมความหวัง | สร้างสืบศาสน์วัฒนธรรมประนัง | เพื่อปลูกฝังต่อเนื่องเรื่องดีงาม | เหมือนลูกไทยหลานไทยมิใช่มนุษย์ | คอยจ้องขุดออกขายไม่ฟังห้าม | ทำลายศิลป์ศาสนาให้เสื่อมทราม | เหยียบย่ำหยามบรรพชนจนยับเยิน | วัฒนธรรมเก่าเห็นเป็นตลก | ไม่ยอยกยืนยันขึ้นสรรเสริญ | ถือต่างชาติมานำความเจริญ | พากันเดิน“ทางบาป”ชั่วหยาบคาย | จาก“เชียงแสน”แล่นเลียบเลาะริมโขง | ผ่านเทือกเขายาวโล่งตลอดสาย | “เขาหัวโล้น”โกร๋นเกลี้ยงยืนเรียงราย | ป่าไม้หายเห็นหินแซมดินแดง | ทางขรุขระขยายใหม่ในแนวเก่า | ขึ้นยอดเขาสูงบ้างในบางแห่ง | เลียบริมโขงบางตอนคลายร้อนแรง | เห็นเกาะแก่งกลางโขงเย็นโล่งใจ | ตาวันลับยอดเขาเข้า“เชียงของ” | ติดต่อห้องพักแรมพอหาได้ | “ปลาบึกรีสอร์ต”สร้างอย่างแบบไทย | เรียกห้องแถวคงไม่ผิดไปนัก | ตั้งอยู่ริมฝั่งโขงตอนโค้งลึก | “วังปลาบึก”อยู่ใกล้ให้ประจักษ์ | คนชุมนุมจับปลาบึกกันคึกคัก | เข้าที่พักเตรียมใจไว้ดูปลา | ห้องอาหาร“วังปลาบึก”ไม่ครึกครื้น | แขกกลุ่มอื่นต่างทยอยเข้าน้อยหน้า | “แม่แก้ว”เจ้าของร้านพรรณนา | ให้รู้ว่ามีอะไรเป็นอะไร | “ปลากบึก”นอนในวังยังไม่ขึ้น | คนจับมึนมองหาทั้งเหนือใต้ | น้ำยังมีหลั่งหลากมากเกินไป | ทั้งลาว,ไทยขึ้นล่องเรือตระเวน | รอน้ำลดอีกหน่อยคอยอีกนิด | ปลาขึ้นติดเบ็ด,ข่ายมีให้เห็น | จะจับปลาบึกได้ต้องใจเย็น | ให้ถือเป็นเรื่องล้ำความสำคัญ | สั่งอาหารจานเด็ดก่อนยามดึก | ไร้“เจ้าบึก”ยอดปลาเนื้ออาถรรพณ์ | กินปลาโขงของ“แม่แก้ว”ก็แล้วกัน | รสชาติมันแปลกใหม่ไม่เคยกิน | “เชียงของ”ยามค่ำพลบสงบเงียบ | ผู้คนเรียบร้อยหมดไม่โดดดิ้น | เขาอยู่กันนานเลยจนเคยชิน | คนต่างถิ่นอย่างเราดูเหงาเกิน | ทุกคนเหมือนเหนื่อยอ่อนเข้านอนหมด | ยกเลิกกฎ“ชายห่าม”ด้วยความเขิน | ไม่ดู“ซ่อง” แม้มีคนชี้เชิญ | ใจมองเมินเห็นว่า“มันน่าอาย” | ดึกคืนนั้นฝันว่าพา“หมวยหย่ง” | ถลาลงโขงพล่ามผุดดำว่าย | ขี่“ปลาบึก”คึกแข่งคู่กรีดกราย | ขึ้นล่องสายน้ำโขงอยู่คลอเคลีย |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๘ | เมื่อเหนื่อยนักพักตนบนตลิ่ง | นั่งแอบอิงอ้อยสร้อยละห้อยละเหี่ย | ให้แสงแดด,สายลมแทะโลมเลีย | ล้างความเพลียพร้อมเสริมเพิ่มพลัง | หายเหน็ดเหนื่อยลงน้ำเป็นซ้ำสอง | พายเรือล่องตามสายน้ำไหลหลั่ง | ชมทิวทัศน์ลาว,ไทยไร้เวียงวัง | โขงสองฝั่งยืนยาวทิวเขา,ไม้ | ธรรมชาติสะอาดตาพาเพลินสุข | หลุดกังวลพ้นทุกข์ที่รุกไล่ | เพลินเที่ยวท่องธารสวรรค์บันเทิงใจ | เหมือนอยู่ในโลกทิพย์ไกลลิบลับ | ผวาตื่นลืมตาใกล้ฟ้าสาง | ลุกขึ้นล้างหน้าตาตนพร้อมสรรพ | จากห้องพักตื่นใจไม่ระงับ | ส่องกล้องจับภาพงามอย่างย่ามใจ | อาทิตย์โผล่พ้นเขาฝั่งลาวโพ้น | แสงเริ่มโชนโชติสว่างกลางน้ำใส | โขงสีทองพลิ้วพราวทอดยาวไกล | ตัดราวไพรเทา,ครามอมน้ำเงิน | เหมือนเข้าสู่โลกฝันงามบรรเจิด | ตะลึงเพริดลืมคำพร่ำสรรเสริญ | พบภาพไม่เคยหวังโดยบังเอิญ | ต้องยืนเดินวนเวียนเปลี่ยนจุดชม | จาก“เชียงของ”ล่องใต้ตอนสายแล้ว | ลา“แม่แก้ว”ไม่คิดสนิทสนม | “กิ่งขุนตาล”ผ่านไกลไม่ปรารมภ์ | ถึงแดนดินอุดมอำเภอ“เทิง” | เป็นชุมชนหนาแน่นอีกแดนหนึ่ง | เคยเสพซึ้งรสกามในความเหลิง | “น้องหนู”พาสัมพันธ์ฝันกระเจิง | ด้วยชั้นเชิงชาญชนเล่ห์กลกาม | ใจจ่อจดรสชาติสวาทหล่อน | ร่วมหลับนอนหลายหนไร้คนห้าม | อยู่“บางกอก”โสดสดไม่เสื่อมทราม | วัยของความสาว,หนุ่มกระชุ่มกระชวย | สาวโรงแรมยอดชู้“คู่นอน”นั้น | เธอยืนยันเต็มคำไม่เขินขวย | ว่าบ้านอยู่“เทิง”อดระทดระทวย | คนร่ำรวยบ้านนี้มีอยู่น้อย | เป็นดินแดนกันดารบ้านไม่มาก | คนจนยากกระจอกอยู่งอกง่อย | สงสารชู้คู่นอนอ้อนสำออย | จึงต้องคอยจุนเจือไม่เบื่อเบือน | มาเห็น“เทิง”วันนี้ผิดที่รู้ | “แม่ยอดชู้”หลอกให้จริงไม่เหมือน | คนรวยมากมีแน่ไม่แชเชือน | เห็นบ้านเรือนใหญ่โตเมืองโอฬาร | เสียรู้“สาวเมืองเทิง”เพราะเริงรัก | มารู้จักความจริงทิ้งสงสาร | พิศดูเรือนหลังใหญ่ใจพิจารณ์ | “หลังคาบ้าน,ฝาเรือนเหมือนเงินเรา” | ไม่อยากคิดถึงเทิงให้แทงจิต | ความถูกผิดแล้วแต่ฉลาด,เขลา | เมื่อหูหนวกตาบอดและใจเบา | โง่ก็เข้าครอบจิตนำผิดทาง |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๑๙ | แวะ“เชียงคำ”เยี่ยมเพื่อนผู้รับเหมา | เขต“พะเยา”แคว้นใหญ่เมืองไกลห่าง | “คนเชียงคำ”หลายเผ่าพันธุ์อำพราง | มีตัวอย่างเห็นได้คือ“ไทยลื้อ” | อยากศึกษาสืบสายไทยทุกเผ่า | เพื่อรู้เขาเป็นใครได้จำชื่อ | พันธุ์“ขุนเจืองทรงธรรม”นามระบือ | สืบเชื้อสายถ่ายถือหมดหรือยัง? | เวลาน้อยถอยจิตคิดสืบเสาะ | รถแล่นเลาะค่ายทหารไม่หันหลัง | จาก“เชียงคำ”เมืองทอง“น้องหนูดัง” | ทางลูกรังเลาะไปอำเภอ“ปง” | ถ้าผ่าน“จุน,ดอกคำใต้”ทางไกล-อ้อม | ถูกเพื่อนกล่อมให้เชื่อเป็นเหยื่อหลง | เดินทางลัดฝ่าฝุ่นมุ่นป่าดง | หากรู้คงไม่เชื่อเพื่อนแนะนำ | กว่าจะถึง“ปง”แล่นรถแสนยาก | ทางวิบากรุงรังทั้งสูงต่ำ | ต้องปลงใจให้เห็นเป็นเวรกรรม | คงเคยทำบาปบ้างแต่ปางบรรพ์ | ตรง“ปง”เป็นสี่แยกจากทิศเหนือ | ขวามือเชื่อได้แน่ไม่แปรผัน | “ดอกคำใต้”นามนี้ที่รู้กัน | “สาวสวรรค์”บันเทิงเชิงโลกีย์ | แยกซ้ายมือต่อเนื่องไป“เมืองน่าน” | ไม่เคยผ่านโลดแล่นตามแผนที่ | ตรงลงใต้ทางจรลูกศรชี้ | เป็นวิถีที่หวังตั้งใจจร | เห็นบ้านเรือนเกลื่อนตาอิจฉานัก | บ้านไม้สักขุมทรัพย์สลับสลอน | ซุงเป็นเสาถี่ยิบไม่ตัดทอน | พร้อมจะถอนขายได้ในพริบตา | จาก“ปง”ผ่านบ้านเรียงถึง“เชียงม่วน” | บ้านไม้สักใหญ่ถ้วนล้วนมากค่า | เพิ่งได้รู้ได้เห็นความเป็นมา | ไม้หมดป่าด้วยวิธีอย่างนี้เอง | ผ่าน“เชียงม่วน”หมดพะเยาเข้าเขต“แพร่” | มองเหลียวแลป่าไม้ไม่โหรงเหรง | ริมถนนหนทางไม่วังเวง | ในป่าลึก“โป้งเหน่ง”เขาว่ากัน | “โป้งเหน่ง”คือป่าโกร๋นเขาโล้นเลี่ยน | ไม้ใหญ่ถูกตัดเตียนกลางป่านั่น | “กองทัพมด”ขนไม้ไม่เว้นวัน | ทำลายฝันนัก“อนุรักษ์นิยม” | ถึง“เมืองสอง”แดนดินถิ่นสาวสวย | ตำนานช่วยเสริมนามให้งามสม | “พระเพื่อนพี่แพงน้อง”สองเกลียวกลม | รักภิรมย์ล้อมเรียงเคียง“พระลอ” | “พระเพื่อน,แพง”แรกรุ่นเจริญศรี | เฉิดฉวีโฉมเฉลาลำเพาหนอ | หมด“แมนสรวง”หาอนงค์องค์ละออ | สวยไม่พอเทียบเหมือน“พระเพื่อน,แพง” | “พระลอ”ทราบข่าวสารถึง“แมนสรวง” | ทิ้งที่ห่วงเหิมรักห่ามกำแหง | บุกป่าดงพงหนามหมดความแคลง | ใจจิตแจ้งไม่จางหน้านางงาม |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๒๐ | เรื่อง“พระลอตามไก่”พาให้คิด | เคยตามติด “หมอนวด”อย่างเหิมห่าม | เธอเป็น“สาวเมืองสอง”สวยไม่ทราม | ทุกอย่างตามใจเฉยยามเชยชม | “พระเพื่อนพี่แพงน้องสองสมร……” | แว่วเพลงกลอนรวยรื่นชื่นใจฉม | มาเมืองสองร้องเพลงละเลงรมย์ | ปล่อยใจจมนิยายรักที่เลื่องลือ | ถึง“ร้องกวาง”กวางร้องหรือไรเล่า | ยังไม่เข้าใจเจนเมื่อเห็นชื่อ | กวางมันคงเร่าร้อนถูกต้อนตือ | จึงใช้สื่อเสียงร้องก้องพงไพร | ทางแยกซ้ายไป“น่าน”อีกนานถึง | เมื่อคราวหนึ่งรู้จักคนรักใคร่ | น้อง“นาน้อย”สัมพันธ์ขั้นกาย,ใจ | ความห่างไกลเหตุพารักราโรย | ว่าตามจริงหญิงน่านนั้นน่ารัก | ที่รู้จักไม่ทรามห่ามหิวโหย | อ่อนนุ่มนวลเรียบง่ายเย็นปรายโปรย | เหมือนลมโชยเฉื่อยชื่นอย่างยืนยาว | เลี้ยวขวาล่องลงลู่สู่“เมืองแพร่” | เมืองคน“แห่ระเบิด”จนชื่อฉาว | ตลกเล่าตลกเล่นเป็นเรื่องราว | เกิดเมื่อคราวสงครามมีตำนาน | เครื่องบินทิ้งระเบิดสร้างวิบัติ | สยามรัฐถึงคราวต้องร้าวฉาน | ทางเดินทัพสำคัญคือสะพาน | “พันธมิตร”มุ่งผลาญบั่นทางเดิน | สะพานที่เมืองแพร่พ้นระเบิด | เหมือนกับเกิดอาถรรพณ์ควรสรรเสริญ | ระเบิดลงหัวสะพานเพราะบังเอิญ | ไม่ยับเยินแตกตูมล้างมุมเมือง | “ระเบิดด้าน”กลมกลิ้งเหมือนสิ่งประหลาด | ชาวแพร่คาดคิดความไปตามเรื่อง | แล้วตกลงปลงใจไม่ขัดเคือง | ร่วมหนุนเนื่องตามเต้นกันเป็นพรวน | “แห่ระเบิด”เป็นพรวนขบวนใหญ่ | เป็นเหตุให้“ฉายา”เกิดน่าสรวล | “คนเมืองแพร่แห่ระเบิด”เชิดสำนวน | ควรมิควรอย่างไรรู้ไม่จริง | ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว | จอดรถแถวถนนใหญ่ไม่เกรงกริ่ง | กิน“ก๋วยเตี๋ยวชักธง”ไม่ต้องชิง | มีเด็กวิ่งรับหน้าบริการ | มีก๋วยเตี๋ยวน้ำ,แห้งแบ่งแยกรส | สั่งเด็กจดไม่ปล่อยคอยงุ่นง่าน | ชนิดน้ำใส่ชามอย่างชำนาญ | แห้งใส่จานเหมือนที่มีทั่วไป | เมื่ออิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า | “พี่หริ”พาหาสู่ญาติผู้ใหญ่ | “ไส้กรอกดี”มีค่าอนามัย | จึงตั้งใจซื้อมากฝากลูกเมีย | เสียดาย “ไส้กรอกดี”ที่รสเด็ด | ทำไม่เสร็จตามสูตรกันบูดเสีย | เขาให้รอหลับนอนคลายอ่อนเพลีย | ตาวันเกลี่ยยอดไม้“ไส้กรอกดี” |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๒๑ | จะนอนรอไส้กรอกตามบอกกล่าว | เห็นเรื่องยาวเป็นนิยายต้องย้ายหนี | ผัดไว้โอกาสหน้าเวลามี | มาอีกทีค่อยซื้อติดมือไป | หาซื้อ“เสื้อหม้อห้อม”ไม่เห็นยาก | มีขายมากโตเล็กเด็กผู้ใหญ่ | เอกลักษณ์เมืองแพร่แพร่หลายไกล | คนสวมใส่อวดว่าดีมีศีลธรรม | ผู้ถือศีลกินเจแม้เสแสร้ง | ถ้าตัวแต่งสมถะทางเนกขัม | “ผ้าหม้อห้อม”ย้อมครามอมความดำ | คือสื่อนำศรัทธาประชาชน | นักการเมืองเรืองนามในยามนี้ | แม้พูดชี้ธรรมเท็จอ่อนเหตุผล | คนก็เชื่อถือตามกันหลามล้น | ร่ายเป่ามนต์“ม่อฮ่อม”ตะล่อมจินต์ | นักการเมืองมายามากไม่อยากพูด | ตามพิสูจน์สามภพไม่จบสิ้น | ธรรมดาเหลือเกินคนเดินดิน | มีโกง,กิน,เกียรติ,กามเป็นธรรมเนียม | อยากมีสุขเกียรติศักดิ์รักสรรเสริญ | อยากมีเงินปิดงำทำอายเหนียม | ซ่อนความอยากมักใหญ่ไว้กลางเจียม | เป็น“พระเทียมทาขาวกล่าวธรรมปลอม” | แท้คือ“มาร”ป่าเถื่อนเหมือนอมนุษย์ | เข้ารวมจุดกลางป่าตัณหาห้อม | ใจทุกคนวนเทวษกิเลสย้อม | จึงต้องพร้อมเกิด-ตายว่ายเวียนวน | เคยบวชเรียนเพียรจำบำเพ็ญพรต | ไม่อาจอดอั้นจิตคิดเหตุผล | สมเพชภาพหยาบตามารยาคน | ปัญญาชนจนปัญญาหาความจริง | ผ่าน“เด่นชัย”ไม่ปะ“อุตรดิตถ์” | แยกสู่ทิศทางเก่าไม่เกรงกริ่ง | เลาะขุนเขาน้อยใหญ่ไม่ประวิง | แล้วทอดทิ้งดินแดน“แคว้นล้านนา” | เข้า“ศรีสัชนาลัย”ไร้ทางเปลี่ยว | แวะหาดเสี้ยวพักเหนื่อยคลายเมื่อยขา | พบเพื่อนฝูงคุยกันหันเฮฮา | ตามประสาหมู่มิตรเมื่อพบพาน | “คนหาดเสี้ยว”แบ่งจัดเป็นสัดส่วน | “ชาวไทยพวน”รวมอยู่เป็นหมู่บ้าน | ทั้งตำบลคนพวนอยู่ยาวนาน | ย้ายถิ่นถานจากลาวชาว“เมืองพวน” | สองร้อยปีเศษผ่านตำนานเล่า | คือต้นเผ่าไทยสยามงามทุกส่วน | สาวหาดเสี้ยวผิวเนื้ออะเคื้อนวล | ทุกนางล้วนน่ารักฝากไมตรี | “หญิงทอผ้าชายตีเหล็ก”เรื่องเคยรู้ | ยังเห็นอยู่ทำกันฉันน้อง-พี่ | หญิงทอผ้าใต้ถุนบ้านนั้นยังมี | งานพิธี“จุลกฐิน”เคยยินยล | “ทอผ้าซิ่นตีนจก”คนยกย่อง | ฝีมือของหาดเสี้ยวไม่ตกหล่น | งามและดีมีค่าครองใจคน | บรรพชนพวนได้ถ่ายทอดมา |
อภินันท์ นาคเกษม | นิราศล้านนา ๒๒ | ผ่าน“ศรีสัชนาลัย”ไม่หยุดพัก | เพราะประจักษ์ต้นทุนมากคุณค่า | คือเมืองเก่าเค้าเด่นเห็นชินตา | งามสง่าเป็นคู่สุโขทัย | ปัจจุบันสินค้าฉาวชนกล่าวขาน | “ทองโบราณ”ล้ำค่าหาที่ไหน | ลวดลายงามทำด้วยมือเลื่องลือไกล | หาซื้อได้ที่นี่มีแห่งเดียว | สาวมืองามทำทองหน้าผ่องใส | เคยเข้าใกล้หมายจิตคิดเกาะเกี่ยว | แต่คุณเอ๋ยเอ่ยปากยากจริงเจียว | ใจห่อเหี่ยวถอยตัวกลัวมือทอง | เลย“ท่าชัย”เมืองเก่าใจเหงาหงอย | เพราะต้องปล่อยรักที่มีเจ้าของ | ล่วงเลย“หาดสะพานจันทร์”ไม่หันมอง | ด้วยเกินปองหมายล่วงล้ำดวงจันทร์ | เมื่อเข้าถึงตลาด“เมืองสวรรคโลก” | ลงเดินโยกเยี่ยมเยือนเพื่อนที่นั่น | ถามภาวะการค้าที่สำคัญ | เพื่อแบ่งปันทางหุ้นทุนกำไร | “ท่าเกษม,ท่าทอง”ผ่าน“หนองโว้ง” | “ศรีสำโรง,คลองตาล”แว่วหวานไหว | เห็นภาพหน้าเมีย,ลูกที่ถูกใจ | วันนี้ได้ชิดเชื้อเหมือนเมื่อเคย | พ่อไปผ่าน“ล้านนา”รอบมาแล้ว | ขอ“ลูกแก้ว,เมียขวัญ”อย่าพลันเฉย | จดเรื่องราวยาวนี้มาภิเปรย | ไม่เปิดเผยอำพรางบางประเด็น | เรื่องควรรู้ก็ให้รู้ยกชูชี้ | เรื่องมิดีก็มิได้ชี้ให้เห็น | “นิราศล้านนา”มากจบยากเย็น | ให้ถือเป็นจดหมายเหตุพิเศษเอย. | *อภินันท์ นาคเกษม* ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕ นิราศล้านนา (ความยาว ๒๙๖ บทกลอน)• อภินันท์ นาคเกษม
รายนามผู้เยี่ยมชม : ธนุ เสนสิงห์, วรรณดี, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, , รพีกาญจน์, กอหญ้า กอยุ่ง, เส้นชีวิต ดำเนินไป, , ศรีเปรื่อง, นายประทีป วัฒนสิทธิ์, ฅนช่างฝัน, สมพงศ์ ชูสุวรรณ, รินดาวดี, ปลายฝน คนงาม, rattanatrai rattanajan, มนชิดา พานิช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|