บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา => ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม => ข้อความที่เริ่มโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 15, สิงหาคม, 2565, 11:30:28 PM



หัวข้อ: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร และสวรรค์ ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 15, สิงหาคม, 2565, 11:30:28 PM
(https://i.ibb.co/NVfcpLy/59712016-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ว่าด้วยเทวดา -

“เทวดา”นามสัตว์อุบัติสวรรค์
ท่านจัดสรรชั้นอยู่เป็นหมู่เหล่า
นับจากชั้นต่ำสุดมนุษย์เนา
มีขุนเขาไกรลาสเป็นแกนกลาง

เรียกชั้น“จาตุมหาราชิกา”
เทวดาเสพกามติดตามอย่าง-
เยี่ยงมนุษย์จุดเน้นเป็นนายนาง
มีข้อต่างมนุษย์ในหลายประการ

เช่นกายทิพย์ทิพย์ภิรมย์สุขสมบัติ
เนาเร้นลัดไม่เห็นเป็นหลักฐาน
ทุกหนแห่งแฝงอยู่ที่ทิพย์พิมาน
มักบันดาลฤทธิ์ดลให้คนดู

“ท้าวจาตุมหาราช”โลกบาล
จัดแบ่งการปกครองความเป็นอยู่
“ธตรฐ”บูรพาเฝ้าประตู
ปกครองหมู่คนธรรพ์เทพบรรเลง

“วิรุฬหก”ทักษิณถิ่นกุมภัณฑ์
คอยกวดขันอสูรไม่ให้อวดเก่ง
“วิรูปักษ์”ปัจฉิมทิศพิษน่าเกรง
ครองนาคเคร่งข่มพิษฤทธิรณ

“เวสสุวัณ,กุเวร”อุดรรักษ์
ปกครองยักษ์อยู่ดีมีเหตุผล
ทั้งสี่ท้าวสี่ทิศพิศดูคน
ประพฤติตนชั่วดีประการใด..
...

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัยธานี
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพสวย ๆ จาก
CR. Photo By KaiZtudio คลิก (https://web.facebook.com/KaiZtudio/)

ท้าวธตรฐ (ทิศตะวันออก)   และ   ท้าววิรุฬหก (ทิศใต้)
(https://i.ibb.co/zF0HdVV/1.jpg) (https://imgbb.com/) (https://i.ibb.co/526nFxs/o-1.jpg) (https://imgbb.com/)

ท้าววิรูปักษ์ (ทิศตะวันตก)   และ   ท้าวเวสสุวรรณ (ทิศเหนือ)
(https://i.ibb.co/Hx54d7Q/1.jpg) (https://imgbb.com/) (https://i.ibb.co/wsfdYWH/1.jpg) (https://imgbb.com/)



หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 16, สิงหาคม, 2565, 10:23:21 PM
(https://i.ibb.co/sKCqgVk/29133843-184-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- เทวดาชั้นต่ำ -

ทั้งสี่ท้าวโลกบาลมีงานหนึ่ง
ตรวจตราถึงพฤติกรรมคนน้อยใหญ่
เห็นทำชั่วทำดีมีอย่างไร
จดจารใส่พานถวายแด่องค์อินทร์

เทพเบื้องต่ำชั้นนี้มีสี่เหล่า
“คนธรรพ์”เผ่าธตรฐงดงามศิลป์
ระเริงรำบรรเลงร่ายเพลงพิณ
“กุมภัณฑ์”ถิ่นวิรุฬหกคุมปกครอง

กุมภัณฑ์คือ“เทพอสูร”ตระกูลยักษ์
ต่างที่ลักษณ์กุมภัณฑ์นั้นยืนหย่อง
ย่อขากางอัณฑะใหญ่คล้ายหม้อทอง
“รากษส”อีกนามของกุมภัณฑ์มาร

เทพนาคานาคีมากมีพิษ
แสดงฤทธิ์เดชามหาศาล
วิรูปักษ์ปกครองบริวาร
รักษาด้านตะวันตกเขาสุเมรุ

เทพยักโขยักขีที่ดุร้าย
มักก่อความวุ่นวายมิใช่เล่น
ล้วนเกรงกลัวระนาวท้าวกุเวร
รับกฎเกณฑ์เทินหัวกลัวเจ้านาย

เทวดาสี่เหล่าดังกล่าวนี้
อยู่ตามที่ลุ่มดอนร่อนเร่หลาย
ยึดพฤกษาภูเขาแฝงเนากาย
กินอยู่ง่ายไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคน....

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัยธานี
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 18, สิงหาคม, 2565, 12:07:51 AM
(https://i.ibb.co/mhC5mPC/291043-5646d2fe5c76b.jpg) (https://imgbb.com/)

- คันธัพพเทวดา -

“คนธรรพ์”เป็นเทวดาเรื่องน่ารู้
เกิดสิงอยู่ ณ ไม้หอมทุกแห่งหน
มวลพฤกษาหลายสีมีสุคนธ์
ล้วนเป็นแหล่งแฝงตนเทพคนธรรพ์

เมื่อไม้นั้นพลันพิบัติถูกตัดโค่น
เทพอื่นโผนผละหนีขมีขมัน
แต่คนธรรพกลับอยู่คู่ไม้นั้น
คนเรียกกันว่า“นางไม้”ให้สมญา

อยู่ในแก่นในเนื้อเยื่อกะพี้
และอยู่ที่เปลือกรากมากนักหนา
อยู่กิ่งก้านดอกใบพลิ้วไปมา
มวลพฤกษาไร้หอมมิยอมเนา

เทวดาหมู่นี้มากมีศิลป์
ร่ายเพลงพิณเลิศโลกล้างโศกเหงา
“ปัญจสิงขร”ดีดพิณเบาเบา
เสียงดังเข้าโสตผู้“หูพิการ”

เทพคนธรรพ์นั้นเก่งบรรเลงคีต
ทั้งประณีตจิตรกรรมภาพงามหวาน
ปรุงยาทิพย์หยิบทำอย่างชำนาญ
ทั้งเชี่ยวชาญปลูกตุนสมุนไพร

เป็นหมอดูรู้วิชาสารพัด
เกียรติประวัติเทพคนธรรพ์นั้นยิ่งใหญ่
เวลาน้อยร้อยคำเล่าเรื่องเท่าไร
ก็กล่าวไม่หมดพันเรื่องคนธรรพ์...

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัยธานี
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล

          คนธรรพ์  เป็นเทพที่อยู่กึ่งกลางมนุษย์กับสวรรค์  อาศัยอยู่ในต้นไม้มีกลิ่นหอม  โดยอยู่ในแก่นบ้าง  ในกะพี้บ้าง  ในเยื่อบ้าง  ในเปลือกบ้าง  ในกิ่งก้านสาขาต่าง ๆ บ้าง  ในใบบ้าง  ในดอกบ้าง  รวมอยู่กับพวกรุขเทวดา  เมื่อต้นไม้นั้นถูกทำลายโดยมนุษย์หรือธรรมชาติ  รุกขเทวดาก็จะพากันไปหาที่อยู่ใหม่  แต่พวกคนธรรพ์ไม่ไป  ยังคงเกาะติดอยู่กับไม้นั้นไปจนกว่าจะหมดอายุ  จึงเรียกพวกเทวดานี้อีกอย่างหนึ่งว่า  นางไม้  เช่นนางตะเคียนเป็นต้น

          หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของเทพคนธรรพ์  คือ ปลูกโสม  สมุนไพร  แล้วปรุงเป็นโอสถทิพย์ให้แก่ทวยเทพ

          เป็นพวกที่เก่งในทางบรรเลงดนตรี  ทำหน้าที่บรรเลงเพลงขับกล่อมทวยเทพ  ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  พระอินทร์บัญชาให้  ปัญจสิงขรเทพบุตร  หัวหน้าวงดนตรีคนธรรพ์บรรเลงเพลงส่งเสด็จ

          เป็นพวกที่เก่งในทางพยากรณ์ (หมอดู)  รอบรู้วิชาการนานา  พระนารทฤๅษี ผู้นำคนธรรพ์ท่านหนึ่ง สามารถในการทำฝนเทียม  เชี่ยวชาญในพิรุณศาสตร์
          และ... เทพคนธรรพ์มีเสน่ห์ (เจ้าชู้)  :headphones01:


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 18, สิงหาคม, 2565, 10:33:55 PM
(https://i.ibb.co/tb9jQ42/1419348232-92-o.jpg) (https://imgbb.com/)

- กุมภัณฑ์ รากษส อสูร -

เทพกุมภัณฑ์นั้นร่างพ่างกับยักษ์
ต่างรูปลักษณ์เห็นอยู่ดูน่าขัน
ผิวกายดำท้องโตพุงโรโย้ยัน
ปากมีฟันอย่างเดียวไร้เขี้ยวยาว

ผมหยิกฝอยตาพองมองถลน
คอยกินคนล้ำเขตแม้เพียงก้าว
เป็นรากษสซดเลือดเชือดเนื้อคาว
หยาบกร้านกร้าวเป็นอสูรไร้คุณธรรม

ยักษ์ปักหลั่นหาญเถื่อนทนเหมือนแรด
ภูตเถื่อนแทตย์หยาบช้าบ้าระห่ำ
รับใช้เทพเบื้องบนด้วยขนน้ำ
ที่อยู่ต่ำเป็นเทวะยมบาล......

          กุมภัณฑ์เป็นเทวดาทางทิศใต้เขาพระสุเมรุ  มีรูปลักษณ์คล้ายยักษ์  จนทำให้คนเห็นแล้วเข้าใจว่าเป็นยักษ์  ลักษณะที่กุมภัณฑ์ต่างจากยักษ์คือ  ผิวกายดำคล้ำ  ผมหยิก  ตาพองโต  ท้องโต  พุงโร  ไม่มีเขี้ยวยาวโง้งเหมือนยักษ์  ชื่อกุมภัณฑ์ แปลว่าหม้อ  มิใช่เพราะท้องโต พุงโร เหมือนหม้อเท่านั้น  ที่สำคัญคือเขามีลูกอัณฑะโต  เวลาเดินและยืนจะถ่างขา  เทวดาพวกนี้นอกจากเรียกนามว่ากุมภัณฑ์แล้ว  ยังมีนามว่า อสูร  รากษส  แทตย์  อีกด้วย

          กุมภัณฑ์แบ่งเป็น ๒ พวก คือ  กุมภัณฑ์ชั้นสูง  อาศัยในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและบนโลก  ทำหน้าที่รักษาสถานที่ต่าง ๆ  หากมีผู้ล่วงล้ำเข้าไป ก็จะจับผู้นั้นกินเสีย  กุมภัณฑ์กลุ่มนี้เรียกว่ารากษส   ส่วนกุมภัณฑ์ชั้นต่ำคือยมบาล อาศัยในนรกภูมิ  มีหน้าที่ลงโทษสัตว์นรกต่าง ๆ  ตามกรรมที่สัตว์นั้นได้ทำไว้

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 19, สิงหาคม, 2565, 10:34:34 PM
(https://i.ibb.co/RSQPqVY/image.jpg) (https://imgbb.com/)

- ว่าด้วยนาคเทวดา -

นาคนับเป็นเทวดาสัตว์ประเสริฐ
มีกำเนิดจากที่สี่สถาน
คือ“โอปปปาติกะ”หนึ่งประการ
สองจากฐาน“สังเสทชะ”หรือเถ้าไคล

สาม“ชลาพุชะ”จากครรภ์แม่
สี่เกิดแต่“อัณฑชะ”กะเทาะไข่
สี่ตระกูลมีพิษฤทธิ์เกรียงไกร
“วิรูปักษ์”นาคใหญ่กายสีทอง

“เอราปถ”ตระกูลนี้กายสีเขียว
เลื้อยปราดเปรียวเป็นหนึ่งไม่มีสอง
“ฉัพพยาปุตตะ”คึกคะนอง
สีกายของตระกูลนี้เป็นสีรุ้ง

“กัณหาโคตมะ”ตระกูลต่ำ
กายสีดำดุร้ายใครอย่ายุ่ง
วิรูปักษ์ปกครองเลี้ยงบำรุง
มีเมืองกรุงยิ่งใหญ่ใต้บาดาล

          นาคา  เป็นหนึ่งพวกเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  รักษาเขาพระสุเมรุอยู่ทางเบื้องทิศตะวันตก  ท้าววิรูปักษ์เป็นใหญ่ในเทพหมู่นี้  พวกเขามีกำเนิดผิดแผกไปจากเทพเหล่าอื่น  กล่าวคือ  เป็นโอปปาติกะ  เกิดผุดขึ้นบ้าง  เกิดจากเถ้าไคลบ้าง  เกิดจากครรภ์บ้าง  เกิดจากไข่บ้าง  แยกออกเป็นตระกูลใหญ่ได้ ๔ ตระกูล  คือ  วิรูปปักข์ มีกายสีทอง  เอราปถะ มีกายสีเขียว  ฉัพพยาปุตตะ มีกายสีรุ้ง  และ กัณหาโคตมะ มีกายสีดำ (พวกงูเห่า)

          ลัทธิพราหมณ์เชื่อถือว่า  นาคคือเทพเจ้าแห่งน้ำ  สามารถบันดาลให้ฝนตกได้ทั่วจักรวาล  เจ้าลัทธิต่าง ๆ ในชมพูทวีปนิยมบูชาพระยานาค (งูใหญ่) กันมาก  เมืองหลวงของนาคเทวดาคือ นาคพิภพใต้บาดาล ...

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเว็บฯเจ้าของภาพนี้ในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 21, สิงหาคม, 2565, 10:30:04 PM
(https://i.ibb.co/FW5KgFb/4n-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ยักษเทวดา -

“ยักษ์” เป็นเทวดาน่ากลัวเหลือ
ยึดทิศเหนือเขาสุเมรุเป็นถิ่นฐาน
มีเรือนร่างใหญ่โตมโหฬาร
จับช้างสารกินได้สบายมือ

มีหน้าตาดุร้ายใจหาญห้าว
เขี้ยวงอกยาวโง้งเป็นของอไม่ซื่อ
แสยะหน้าตาถลนคนร่ำลือ
ว่ามันคือมารร้ายมิใช่เทวา

ท้าวกุเวรเป็นเทพปกครองอยู่
ยักษ์ทุกหมู่เชื่อฟังหมดหลังหน้า
สงบเสงี่ยมเจียมฤทธิ์อิสรา
ร่วมรักษาอุดรทิศปิดทุกทาง

“โลกบาล”เทพมีทั้งสี่ทิศ
ล้วนทรงฤทธิ์เดชแปลกเห็นแตกต่าง
เทพคนธรรพ์นั้นอ่อนโยนโอนสำอาง
แต่เสกสร้างโลกสวยด้วยมนต์เพลง

เทพกุมภัณฑ์,นาคา,ยักษาเล่า
ร้ายดีเคล้าคละผสมสิ้นข่มเหง
ทำสวรรค์ชั้นแรกให้ไม่วังเวง
เทพครื้นเครงสมนามกามาพจร

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัยธานี
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 22, สิงหาคม, 2565, 10:45:26 PM
(https://i.ibb.co/G7ZqVsN/get-auc1-img-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- เขาพระสุเมรุหรือสิเนรุ -

เขาพระสุเมรุกลางสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
เป็นที่ซึ่งเทพยดาอยู่สลอน
มีคนธรรพ์,กุมภัณฑ์นาคมากอมร
ทิศอุดรยักษ์อยู่อย่างรู้กัน

แบ่งทวีปเวียงวังทั้งสี่ทิศ
เนรมิตบ้านเมืองเรืองลดหลั่น
มีนครใหญ่น้อยหลายร้อยพัน
เฉกประชันเมืองมนุษย์มโนรมย์

เช่นอุดรแดนทิพย์ทวีปยักษ์
ที่ประจักษ์เทพนครไร้ผู้ข่ม
“วิสาณะ,กุสินาฏา”น่าชม
“ชโนฆะ”งามสมเทพธานี

อีกหลายเมืองเรืองโรจน์วิลาสลักษณ์
ทั้งเมืองยักษ์,คนธรรพ์,กุมภัณฑ์ผี
นาคทวีปเมืองงามกามโภคี
ทั้งเทวาเทวีมีพิมาน

สิเนรุหรือสุเมรุเป็นแกนโลก
มิเอนโยกคลอนเคลื่อนเขยื้อนฐาน
มีป่าทิพย์นามว่า“หิมพานต์”
พิสดารดึงใจให้ติดตาม.....
......... ฯลฯ .........

  - อ่านต่อ  เขาพระสุเมรุหรือสิเนรุ -   คลิก (http://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=10703.msg39077#msg39077)

สำหรับเนื้อหาช่วงเข้าสู่  “เขาพระสุเมรุหรือสิเนรุ”
ว่ามีสิ่งใดอาศัยอยู่ในแดนหิมพานต์บ้าง
ผู้โพสขอตัดยกไปเป็นอีกกระทู้หนึ่ง
โดยวางลิงก์เชื่อมโยงไว้ให้ผู้สนใจอ่านสามารถ   คลิก >> ที่นี่ << (http://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=10703.msg39077#msg39077)    เข้าอ่านต่อได้
หรือจะข้ามไปอ่านเรื่อง เทวดา - อสูร ต่อไป ก็เลื่อนอ่านต่อด้านล่างนี้ได้เลยครับ /  


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 22, สิงหาคม, 2565, 10:46:17 PM
(https://i.ibb.co/SV4KQht/image.jpg) (https://imgbb.com/)

- เทวดาในมนุษย์  “ผี” -

“จาตุมหาราชิกา”สวรรค์
มีเทพชั้นต่ำสุดมนุษย์อยู่
เป็นกายทิพย์บางหนให้คนดู
บางครั้งขู่หลอกหลอนคนอ่อนแอ

“ภุมมเทวา”อาศัยในหลายที่
ตามเจดีย์,ศาลา,บ้านไม่แน่
ตามจอมปลวก,เนินดิน,ใต้ดินแปร
ภูเขา,แม่น้ำตามความพอใจ

“รุกขเทวา”เทพารักษ์
ดูมีศักดิ์สูงกว่า“ภุมม์”พอเห็นได้
อยู่ทั่วพฤกษ์ดอกผลยอดต้นใบ
วิมานไม้นานาอาศัยเนา

“อากาสเทวา”สูงกว่า“รุกข์”
ล่องลอยทุกแห่งหนพ้นป่าเขา
สูงจากดินหนึ่งโยชน์ลอยไร้เงา
เสมือนเจ้าไร้ศาลปานภูตพราย

เทวดาที่รู้สามหมู่นี้
คือภูตผีทั่วไปในความหมาย
มีอยู่บ้างบางคราปรากฏกาย
แล้วก็หายไร้หนให้คนงง....

          ยังมีเทวดาชั้นต่ำที่ถือว่าเป็นชาวสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อยู่วิมานบนพื้นดินถิ่นมนุษย์  เรียกชื่อตามที่อยู่อาศัย ดังนี้

          “ภุมมเทวา” เป็นเทวดาที่อาศัยบนพื้นมนุษย์ อยู่ตามจอมปลวก เนินดิน ใต้ดิน ภูเขา แม่น้ำ บ้าน เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู เป็นต้น บางองค์มีวิมานเป็นของตน บางองค์ก็ไม่มี ต้องอาศัยวิมานองค์อื่น หรือมนุษย์สร้างให้ เช่นศาลเจ้า ศาลพระภูมิ
เป็นต้น

          “รุกขเทวา” เป็นเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ กิ่งไม้หรือยอดไม้ต่างๆ ซึ่งสูงขึ้นไปกว่าพวกภุมมเทวา มีทั้งที่มีวิมานและไม่มีวิมานเป็นของตน

           “อากาสเทวา” เป็นเทวดาที่มีวิมานอยู่กลางอากาศ สูงขึ้นไปจากพื้นดินประมาณ 1 โยชน์  ไม่ไกลนักจากภูมิมนุษย์

          เทวดาเหล่านี้อยู่ในปกครองของท้าวจาตุมหาราช ซึ่งที่อยู่อาศัยของเทวดาเหล่านี้ จะอยู่ซ้อนกับภูมิของมนุษย์ ทำให้บางคราวมนุษย์สามารถมองเห็นพวกภุมมเทวา รุกขเทวา และอากาสเทวา ได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งก็จะมีทุกเผ่าพันธุ์  ที่เราเรียกกายละเอียด (กายทิพย์) หรือวิญญาณที่อยู่ปนกับภูมิมนุษย์เหล่านี้ว่า  “ผี”  มีความหมายกว้างมาก  หมายถึง กายละเอียดที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่รวมกับมนุษย์แต่สภาพที่ละเอียดกว่า เช่น สัมภเวสี (ผีเร่ร่อน) ภุมมเทวา สายยักษ์ สายวิทยาธร สายคนธรรพ์ เป็นต้น   อย่างผีปอบที่เราเคยได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ๆ จะเป็นภุมมเทวาสายยักษ์ อยู่ในการปกครองของท้าวเวสสุวรรณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์เพื่ออาศัยกินอาหาร  แต่ไม่สามารถจะเข้าสิงได้ทุกคน  จะเข้าสิงได้เฉพาะคนที่เคยสร้างกรรมประเภทฆ่าสัตว์ไหว้เจ้ามาในอดีต.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 23, สิงหาคม, 2565, 10:47:14 PM
(https://i.ibb.co/TmFbsDq/16807323-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- การเกิดขึ้นในสวรรค์ชั้น ๑ -

การบังเกิดในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
บุญมากจึงได้วิมานอันสูงส่ง
เป็นที่อยู่แห่งตนตามจำนง
เด่นดำรงอิสระบารมี

ถ้าบุญน้อยไร้สถานพิมานพัก
เกิดในตักเทวดาสง่าศรี
ถือเป็นบุตรธิดาท่านในทันที
รูปลักษณ์ดีร่างเรือนทิพย์เหมือนกัน

ว่าสตรีบุญน้อยตายลอยแล่น
เกิดบนแท่นบรรทมเทพที่สวรรค์
ได้เป็นบาทบริจาริกาพลัน
เทพองค์นั้นปกครองเป็นของตน

ผู้บุญมีแต่น้อยไม่ลอยเด่น
เกิดอยู่เวรรับใช้ไม่สับสน
มีเจ้านายในเรือนเหมือนอย่างคน
ตามแต่ผลบุญแบ่งตำแหน่งงาน...

                   สัตว์ทั้งหลายที่สร้างบุญกุศลไว้จะได้ไปเกิดในโลกสวรรค์เป็นอุบัติเทพ  มีรูปร่างเป็นทิพย์  ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาว  เป็นเทพบุตรเทพธิดาเลยทีเดียว  จะตั้งอยู่ในฐานะอะไรก็แล้วแต่สถานที่ซึ่งตนอุบัติขึ้น  คือ

          - ถัามีบุญน้อยไม่พอที่มีวิมานของตนเองได้  ครั้นไปอุบัติขึ้นที่ตักของเทวดาองค์ใด  ก็มีฐานะเป็นบุตรเป็นธิดาของเทวดาองค์นั้น

          - ถ้าเป็นสตรีทำบุญไว้  ตายแล้วไปอุบัติบังขึ้นเหนือแท่นที่บรรทมของเทพองค์ใด  ก็ต้องเป็นบาทบริจาริกาของเทพองค์นั้น

          - ถ้ามีบุญกุศลสร้างไว้น้อย  จะได้เป็นเพียงพนักงานตกแต่งประดับประดาอาภรณ์วิภูษิต  เครื่องต้นเครื่องทรงของเทพองค์ใด  ย่อมอุบัติ ณ ใกล้ ๆ ที่บรรทมของเทพผู้จะเป็นนาย

          - ถ้ามีวาสนาจะได้เป็นเพียงเทวดาประเภทรับใช้  เป็นบริวารของเทพผู้มีเทพผู้มีบุญองค์ใด  ก็ย่อมไปอุบัติเกิดภายในบริเวณปราลาทวิมานของเทพผู้จะเป็นนายองค์นั้น

                   ๐ หากว่าไม่ได้ไปเกิดในบริเวณวิมานทิพย์ของเทพองค์ใดทั้งนั้น  แต่อุบัติในที่ว่างระหว่างแดนต่อแดน  ไม่ทราบว่าจะเป็นบริวารของเทพผู้เป็นเจ้าของวิมานไหน   ในกรณีนี้  องค์เทพผู้เป็นใหญ่กว่าฝูงเทพทั้งปวงในเมืองนั้นจะเป็นผู้พิพากษาตัดสิน  วิธีพิพากษาของท่านก็คือ  หากเทวดาที่เกิดใหม่นั้น  เกิดใกล้วิมานของเทพองค์ใด  ก็ทรงตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น  หากว่าอนุมานดูแล้ว  สถานที่อุบัติเกิดนั้นกึงกลางพอดี  ก็ต้องดูที่หน้าของเทพที่เกิดใหม่  หากว่าหันหน้าเล็งแลไปทางวิมานของเทพองค์ใด  ก็ตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น  ถ้าว่าเทวดาผู้เกิดใหม่นั้น  ไม่แลดูวิมานของเทพองค์ใดเลย  เฉยอยู่เช่นนั้น  ท่านก็ตัดสินเอาเป็นบริวารของพระองค์เอง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการตัดปัญหาเสีย

                   ๐ ถ้าเคยสร้างบุญูกุศลไว้มากพอ  ก็ไปอุบัติบังเกิดในวิมานของตนเอง  เพราะว่ามีวิมานคอยต้อนรับอยู่แล้วพร้อมกับบริวาร  ไม่ต้องเป็นบุตรธิดาหรือเทวดารับใช้ของผู้ใด  เป็นอยู่อย่างอิสรเสรี  เสวยสุขอยู่แดนสวรรค์นั้น  เมื่อจะกล่าวถึงชีวะความเป็นอยู่  ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีสรีระร่างกายเป็นทิพย์  มีรูปโฉมโนมพรรณสวยงามนักหนา  กายาเนื้อตัวบริสุทธิ์  ละอาดปราศจากมลทินทั้งปวง  จะได้มีกลิ่นเหม็นและกลิ่นร้ายในกายของเช่นมนุษย์เรานี้แม้แต่ลักนิดหนึ่งก็หามิได้  และเขาย่อมจะเนรมิตกายให้ใหญ่โต หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามจิตปรารถนา  เพราะกายาของเขาเป็นทิพย์

                   ๐ ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมบริโภคสุธารสโภชนาหารอันเป็นทิพย์ทุกวารวัน  สุธารสโภชนาหารนั้นย่อมแห้งเหือดหายไปในกายของเขาจนหมดสิ้น  จะมีมูตรคูถมีกลิ่นเหม็นเช่นมนุษยชาติก็หาไม่  ตราบใดที่ยังเป็นเทพอยู่ในสรวงสวรรค์  อุปัทวันตรายอันเกิดแต่โรคภัยไข้เจ็บจะไม่มาเบียดเบียนบีฑาแม้แต่น้อยนิด  มีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ  ทรงผ้าผ่อนเครื่องประดับอลังการอันเป็นทิพย์  มีรัศมีรุ่งเรืองส่องสว่าง  ผ้าทิพย์ภูษาที่เทวดาทั้งหลายนุ่งห่มนั้น  ไม่เป็นอย่างเมืองมนุษย์  โดยผ้าของเขาเป็นผ้าทิพย์ผืนเล็กนิดเดียว  มีปริมาณเท่าดอกปีบเท่านั้น  ครั้นเขาคลี่ออกจะนุ่งห่มก็พลันใหญู่ยาวและกว้างพอแก่ร่างกายผู้เป็นเจ้าของ

                   ๐ รัศมีทั้งผอง  คือ  รัศมีแห่งอาภรณ์วิภูษิตต่าง ๆ ก็ดี  รัศมีแห่งวิมานที่สถิตอยู่ก็ดี  รัศมีแห่งกายตัวเทพยดาเองก็ดี  ย่อมส่องสว่างรุ่งเรืองนักหนา  เมื่อเทวดามากต่อมากต่างก็มีรัศมีรุ่งเรืองส่องสว่างเช่นนี้  ราตรีค่ำคืนอันมืดมัวในสวรรค์จึงไม่มีเหมือนอย่างมนุษยโลก  มีแต่ทิวาวารปรากฏเป็นดุจกลางวันอยู่เป็นนิจกาล  ไม่ต้องตามประทีปแสงไฟน้อยใหญ่  ด้วยอำนาจแห่งรัศมีเงินทองแก้วเก้าเนาวรัตน์อันเป็นทิพย์ซึ่งเกิดจากบุญูญูานุภาพที่เทพยดาทั้งหลายได้พากันสร้างสมอบรมมาแต่ปางบรรพ์

          ชีวิตความเป็นอยู่ที่พรรณนามานี้  เป็นการกล่าวถึงทวยเทพที่สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์จาตุมหาราชิกาภูมิชั้นสูง  นอกจากนี้   ยังมีเหล่าเทพยดาชั้นต่ำที่นับเนื่องในสวรรค์ชันนี้  ซึ่งมีอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ อีกมากมาย  เช่น  เทวดาบางพวกมี วิมานอยู่บนยอดเขา  บางพวกมีวิมานอยู่ที่แง่ภูเขาบรรพต  บางพวกมีวิมานอยู่บนอากาศ  บางพวกมีวิมานอยู่บนต้นไม้  ดังที่ได้บอกเล่ามาแล้วนั้นแล.....

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 24, สิงหาคม, 2565, 10:44:46 PM
(https://i.ibb.co/zFgY4pB/vz62vf-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ว่าด้วยอสูรพิภพ -

จะจับความตำนานมาขานไข
พิภพใต้เขาสุเมรุเป็นถิ่นฐาน-
เหล่าอสูรเทพทรงศักดิ์ใช่ยักษ์มาร
ถูกมัฆวานโยนยาวจากดาวดึงส์

เหตุเพราะดื่ม“คันธบาล”รสหวานหอม
ถูกเทพมอมเมามายคิดไม่ถึง
เสียตำแหน่งพระอินทร์พลั้งตกดังตึง
สู่กันบึ้งใต้เขาสุเมรุก่อเวรกัน

ทางฝ่ายว่า“มาฆเทพบุตร”
ขึ้นสูงสุดตำแหน่งประมุขสวรรค์
เป็นพระอินทร์องค์ใหม่ในฉับพลัน
ทวยเทวัญจงรัก “สักกรินทร์”

ส่วน“สัมพรเทพบุตร”สุดขมขื่น
หลังที่ฟื้นจากเมาเฝ้าถวิล
ถึงโทษน้ำเมาลืมตัวดื่มกิน
จึงหมดสิ้นศักดิ์ทรัพย์ได้อับอาย

สั่งเหล่า“เนวาสิก”พลิกโอกาส
เลิกเด็ดขาด“คันธบาล”พาลฉิบหาย
เปลี่ยนนามเป็น“อสูร”ไม่วุ่นวาย
มีความหมายไม่เมารสเหล้ายา

ได้ภูมิใหม่ด้วยบุญ“อสูรพิภพ”
งดงามครบราว “ดาวดึงสา”
ไม้“ปาตลี”มีประดับนครา
ให้เทวาระลึกชาติอย่างชัดเจน

ผูกเคืองแค้น“มัฆวาน”ไม่ผันผละ
พร้อมเตรียมจะทำสงครามตามฆ่าเข่น
จึ่งอสูรเทวาต้องจำจองเวร
ต่างฝ่ายเกณฑ์พลประสงค์ทำสงคราม.....


          ณ ใต้เขาพระสุเมรุแกนกลางของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้  มีพิภพที่สภาพคล้ายคลึงกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ชั้นที่ ๒) อยู่พิภพหนึ่ง  เรียกว่า  พิภพอสูร   ความเป็นมาของพิภพนี้ตำนานกล่าวว่า  ก่อนที่มัฆมาณพกับสหาย ๓๓ คนจะละจากโลกมนุษย์ขึ้นไปบังเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงนั้น  สวรรค์ชั้นนี้มีพวกเทพบุตรอยู่ก่อน  เทพพวกนี้มีสัมพรเทพบุตรเป็นประมุข  นั่งอยู่ในตำแหน่งพระอินทร์ปกครองสวรรค์ชั้นที่ ๒   มีนครชื่อว่า สุทัสสนเทพนคร  มีแม่ทัพสำคัญ ๆ ชื่อ  ท้าวสัมพร  ท้าวพลิ  ท้าวอสุรินทราหู  บางตำนานเรียกเทวดาพวกนี้ว่า  เนวาสิก  ทั้งหัวหน้าและบริวารชอบดื่มน้ำคันธบาลที่เป็นทิพย์ (น้ำเมาสวรรค์) ดื่มแล้วจะมึนเมา

          อยู่มาวันหนึ่ง  พวกเขาดื่มน้ำคันธบาลจนเมามายไม่ได้สติ  มัฆเทพบุตรจึงให้บริวารจับพวกเขาทั้งหมดโยนลงจากสวรรค์  ตกลงที่ใต้เขาสิเนรุ  ครั้นฟื้นตัวได้สติ  จอมเทพได้สั่งสอนบริวารไม่ให้ดื่มน้ำคันธบาลอีก  และให้ชื่อพวกตนว่า  อสูร  ซึ่งแปลว่าผู้ไม่ดื่มน้ำเมา  และกุศลกรรมที่เหล่าเทพเนวาสิกได้สั่งสมมา  จึงทำให้บังเกิดเทพนครกว้างใหญ่  รุ่งเรืองคล้ายดาวดึงส์พิภพทุกประการ  เพียงแต่ความวิจิตรพิสดารน้อยกว่าเล็กน้อย  นครนี้เกิดขึ้นที่ใต้เขาสิเนรุบรรพต  มีน้ำล้อมรอบกำแพงเมือง  มีต้นปาตลี (แคฝอย) ประดับประจำเทพนครอย่างงดงาม  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ดินแดนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า  อสูรพิภพ  กว้างใหญ่ถึง ๑๐,๐๐๐ โยชน์  ตั้งอยู่ใต้เขาสิเนรุ   รอบ ๆ อสูรพิภพนี้เป็นที่อยู่ของ  เปรต  อสุรกาย  ซึ่งเป็นอบายภูมิ  ความเป็นอยู่ของเหล่าอสูรนี้เสวยสุขเหมือนทวยเทพทุกอย่าง  มีแต่ความสดชื่น  รวยรื่นใจ  ไม่ต้องลำบากยากเข็ญ  ด้วยอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรทำไว้แต่ปางก่อน......

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณหุ่นขี้ผึ้งไทย
๑ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 25, สิงหาคม, 2565, 10:33:58 PM
(https://i.ibb.co/tQxzZxC/7976717404-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- เทวาสูรสงคราม -

ไม้“ปาตลี”หรือแคฝอย
ยืนต้นคอยเทพอสูรมาทักถาม
ถึงอดีตชาติคือดีหรือทราม
ได้ตอบตามเป็นจริงทุกสิ่งอัน

รำลึกชาติหนหลังได้คั่งแค้น
ร่วมทัพแล่นโลดรุกบุกสวรรค์
ฝ่ายท่านท้าวสหัสนัยได้รู้ทัน
พาเทวัญรบไล่ได้ทุกครา

“เทวาสูรสงคราม”ความยืดเยื้อ
ทุกครั้งเมื่อรบกันมีปัญหา
มองไม่เห็นนายตนพ้นสายตา
พระอินท์หาเครื่องหมายใช้แทนตน

เป็นธงผ้าผืนใหญ่ให้เห็นชัด
โบสะบัดเห็นแจ้งทุกแห่งหน
ทวยเทวัญขวัญดีตีผจญ
อสูรร่นหนีระย่อไม่ต่อกร......


          กลางอสูรพิภพนี้มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอุบัติขึ้น เรียกต้นไม้นี้ว่า ต้นจิตติปาตลี หรือต้นแคฝอย  คราใดที่ต้นแคฝอยผลิดอก  อสูรก็พลันหวนคิดถึงสรวงสวรรค์ว่าบัดนี้ต้นปาริฉัตต์ (ปาริชาติ) ก็คงผลิบานแล้วเหมือนกัน  พวกเราเคยได้รื่นเริงกัน แต่บัดนี้เรากลับต้องมาอยู่ใต้เขาสิเนรุ  คิดแล้วก็เกิดความแค้นพระอินทร์  จึงพร้อมเพรียงกันจัดเป็นกองทัพไปรบกับมัฆวานและพวกเทวดาเพื่อทวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์คืน

          เมื่อสงครามระหว่างเทวดากับอสูร (เทวาสูรสงคราม) เกิดขึ้น  ฝ่ายอสูรเทพบุตรมักจะพ่ายแพ้มากกว่า  พระอินทร์ทรงมีบัญชากับพวกเทวดาว่า  ต่อไปหากพวกเทวดาเพลี่ยงพล้ำถูกอสูรรบไล่มาอีก  ก็ขอให้มองดูยอดธงของท้าวจาตุมหาราช หรือธงบนยอดเวชยันต์วิมานของพระองค์  พวกเทวดารับเทวบัญชาไว้ทำตามเมื่อเกิดสงครามอีก  ครั้นทัพเทวดาเพลี่ยงพล้ำก็มองดูยอดธงนั้นแล้วพลันมีใจฮึกเหิมเหมือนมีพระอินทร์เสด็จมาอยู่ใกล้ ๆ  เกิดพละกำลังตีโต้กองทัพอสูรกลับไปได้ทุกครั้ง

          ทัพของอสูรนั้นมีจอมอสูรเป็นแม่ทัพ  และยังมีแม่ทัพสำคัญอื่น ๆ อีก เช่น ท้าวสัมพร  ท้าวพลิ  และอสุรินทราหู  เมื่อยกออกจากอสูรพิภพขึ้นมาที่ผิวมหานทีสีทันดร  ก็รุกไล่รบกองทัพนาคอันเป็นทัพหน้าของฝ่ายเทวดาแตกกระเจิง  ตีทัพครุฑ  กุมภัณฑ์  ยักษ์  ถอยร่นไม่เป็นขบวนจนทะลุถึงหน้าสุทัศน์เทพนคร  เผชิญหน้ากับทัพของท้าวมหาราชทั้งสี่ที่ตั้งท่ารอรบอยู่

          บัดนั้นพระอินทร์ก็เสด็จออกจากวิมานมารบกับอสูร  พวกอสูรรบมานานเริ่มเหนื่อยล้า  จึงสู้พระอินทร์ไม่ได้  ถอยร่นไม่เป็นขบวน  เลิกทัพกลับสู่อสูรพิภพไป

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๒ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 26, สิงหาคม, 2565, 11:51:40 PM
(https://i.ibb.co/t4MNwGG/1442031-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- คุณธรรมแห่งพระอินทร์ -

เทพอสูรปราชัยแตกพ่ายหนี
พบฤๅษีสร้างอาศรมเชิงสิงขร
คิดว่าเป็นฝ่ายเทวะพระอินทร
สั่งรื้อถอนบรรณศาลาอาศรมพลัน

ทุบหม้อน้ำทำลายกองไฟสิ้น
เป็น“บ้าบิ่น”โทโสมากโมหันธ์
เหล่าฤๅษีเหาะไล่ไปตามทัน
พูดจากันไม่รู้เรื่องเปลืองเวลา

เหล่าฤๅษีก่อนกลับกล่าวสาปสอน
“ท้าวสัมพร”ใจหยาบมีบาปหนา
ผลแห่งกรรมความชั่วมีนานา
จะตามมาราวีทุกวี่วัน

จากวันนั้นขวัญอ่อนนอนไม่หลับ
กระส่ายกระสับคิดขลาดวุ่นหวาดหวั่น
จึ่งนามใหม่“เวปจิตติ”มีติดพัน
รู้เรียกกันเรื่อยมานานตาปี

วันหนึ่งออกรบทัพเทพจับได้
นำตัวไปมอบพระอินทร์สิ้นศักดิ์ศรี
เผชิญหน้ามัฆวานในทันที
กล่าวพจีด่าพร่ำคำหยาบคาย

พระอินทร์นั่งฟังได้ไม่โต้ตอบ
ประพฤติชอบขันติธรรมมิส่าย
มิถือสาหาความคำพาลพาย
เทพถวายนามพระอินทร์“วิญญูชน”


          ท้าวสัมพรอสูรเมื่อหนีทัพพระอินทร์มาพบพวกโยคีฤาษี  สิทธาทั้งหลาย  ก็เข้าใจเองว่า  พระอินทร์คงมีพวกนี้เป็นที่ปรึกษา  จนทำให้ฝ่ายตนพ่ายแพ้อยู่เสมอ  จึงสั่งพวกของตนให้รื้อบรรณศาลาอาศรม  ทุบต่อยหม้อน้ำทำลายกองไฟของฤาษีทิ้งเสียสิ้น

          พวกฤาษีเห็นเช่นนั้นพากันเหาะตามไปทำความเข้าใจกับท่าวอสูรว่า  พวกตัวไม่เกี่ยวข้องกับการรบ  แต่สัมพรอสูรยังไม่เชื่อ  กล่าวปรักปรำ  ไม่ให้อภัย  แล้วว่ายังจะเบียดเบียนต่อไป  เหล่าฤาษีจึงตักเตือน ติเตียนว่า  คนบาปย่อมได้รับผลแห่งความชั่ว  แล้วพากันกลับไปสร้างอาศรมอยู่ตามเดิม

          ตั้งแต่นั้นมา สัมพรอสูรไม่เป็นอันกินอันนอน  มีแต่ความหวาดเสียวสะดุ้ง  เมื่อจะเอนหลังลงนอนในยามราตรี  ก็จะเห็นนิมิตเป็นเหล่าศัตรูมาแวดล้อม  จะเอาหอกหลาวทิ่มแทง  จึงหวาดผวาลุกขึ้นมาทันที  พวกเหล่าอสูรพากันมาเยี่ยม  สัมพรอสูรไม่กล้าบอก  กลายเป็นเทพอ่อนแอทั้งกายและใจ  มีจิตหวาดหวั่นตกใจกลัวเป็นนิตย์  จึงได้รับขนานนามใหม่ว่า  ท้าวเวปจิตติ  แปลว่า  จอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่น

          อสูรกับเทวดายังรบกันบ่อยครั้ง  ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะแต่ไม่เคยถึงขั้นหาญหักยึดสุทัศน์เทพนครได้

          จอมอสูรสั่งไพร่พลอสูรว่าถ้าเราชนะ  จงช่วยกันจับพระอินทร์มัดแล้วพามาหาเรา  ส่วนพระอินทร์สั่งไพร่พลเทวดาเหมือนกันว่าถ้าเทวดาชนะ  จงช่วยกันจับจอมอสูรมัดพามาหาเรา  และแล้ววันหนึ่งทัพอสูรเป็นฝ่ายปราชัย  จอมอสูรจึงถูกพวกเทวดาจับมัดพามาเฝ้าพระอินทร์ที่เทวสภา  จอมอสูรเมื่อถูกจับมัดไม่อาจใช้กำลังได้  จึงใช้ปากเป็นอาวุธ  ด่าว่าพระอินทร์ด้วยวาจาหยาบคายนานา

          พระอินทร์สดับคำด่าของจอมอสูรโดยอาการสงบนิ่งมิได้โต้ตอบเลย  มาตลีเทพบุตรเห็นดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  จอมอสูรผู้นี้ใช้วาจาหยาบคายต่อพระพักตร์ เหตุใดพระองค์จึงทรงสงบเฉย  ไฉนพระองค์ทรงอดทนได้  หรือเพราะไม่มีกำลังจะสู้ หรือเพราะความกลัว พระเจ้าข้า

          พระอินทร์ตรัสตอบว่า  มิใช่ว่าเราไม่มีกำลัง  และไม่ใช่ว่าเรากลัว  แต่เราอดทนต่อถ้อยคำหยาบคายของจอมอสูร  ด้วยเราเป็นวิญญูชน  จะโต้ตอบคำกับคนพาลเพื่อสิ่งใดกัน  จอมอสูรเป็นคนพาล  มีความโกรธ  และขาดสติ  เรายิ่งต้องใช้สติและขันติ  สงครามที่ใช้กำลังรบกันเอาชนะกันได้ไม่ยาก  แต่การเอาชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธนั่นสิยากยิ่งนัก  การเอาชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธนั้นแหละจึงเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย  แล้วพระอินทร์ก็ทรงปล่อยจอมอสูรกลับไป......

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๓ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 27, สิงหาคม, 2565, 10:46:39 PM
(https://i.ibb.co/Y8gfyXk/great-fire-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- แผ่นดินแรกคือกามภพ -

ความเป็นมาแห่งสวรรค์ชั้นที่สอง
ตำนานของพราหมณ์กล่าวเค้ามูลต้น
น้ำท่วมโลกนรกสวรรค์สุดชั้นบน
สัตว์ตายกล่นเกิดใหม่ในชั้นพรหม

เกิดมหาวายุมิรู้ทิศ
คะนองฤทธิ์แรงครืนคลื่นทับถม
น้ำปั่นป่วนหวนแห้งด้วยแรงลม
เกิดเปือกตมเมือกเลนเป็นดินดอน

ท่ามกลางห้วงหาวพืดมืดสนิท
เกิดอาทิตย์พันดวงขึ้นมาก่อน
ส่องสาดแสงแรงแดดเผาแผดร้อน
เลนดินอ่อนเดือดสุกทุกตาราง

แกนกลางผืนแผ่นดินดูสูงเด่น
พระสุเมรุขุนเขาเสลาสล้าง
อยู่ในมหาสมุทรสุดเวิ้งว้าง
ตำนานอ้างนั่นแม่นโลกแผ่นดิน

แล้วสูรย์ดับทีละดวงเห็นห้วงหาว
มีเดือนดาวลอยไสวนับไม่สิ้น
ดวงสูรย์จันทร์ผันดับเกิดสับชิน
ลมรวยรินแรงสลับสับสายลม

กลิ่นดินสุกฟุ้งตลบอบอวลสวรรค์
ซึ่งเหลือชั้นเดียวเทพมิเสพสม
อยู่ด้วยฌานศักดิ์สิทธิ์อกนิษฐ์พรหม
เป็นสยมภูกาลโลกบรรลัย

สุคนธ์อวลง้วนดินถวิลรู้
จี่งลงสู่ดินอุ่นหอมกรุ่นใกล้
สุธารสแตะลิ้นฌานสิ้นไป
กลับคืนพรหมมิได้กลายเป็นคน....


          สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เป็นผืนแผ่นดินผืนแรกที่เกิดขึ้นในโลกหลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ  เมื่อน้ำงวดลง  แผ่นดินผืนแรกที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ  "ยอดเขาสิเนรุ"  ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้เอง  เรื่องนี้มีความตำนานการกำเนิดโลก  แผ่นดิน  ของพราหมณ์ กล่าวโดยย่อว่า..

          เมื่อโลกเป็นกลียุค  เกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ  แล้วเกิดน้ำท่วมใหญ่  ท่วมหมดทั้งสามภพสามภูมิ  ตั้งแต่นรกขุมต่ำสุดสูงขึ้นไปท่วมสวรรค์เกือบหมดทุกชั้นฟ้า  ยังเหลือแต่สวรรค์อกนิษฐพรหมเพียงชั้นเดียว  บรรดาสัตว์นรก  เดรัจฉาน  มนุษย์  เทวดาอินพรหมยมยักษ์ทั้งหลายตายสิ้น  ที่รอดก็หนีน้ำขึ้นไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นอกนิษฐพรหม  จากนั้นเกิดมหาวาตะ  ลมแรงพัดน้ำปั่นป่วนกวนจนงวดลงเป็นเลนตมอยู่ตรงใจกลาง  เกิดเป็นแผ่นดินโด่โดดเด่นขึ้นราวภูเขา  จากนั้นก็เกิดดวงไฟใหญ่นับพันดวงส่องสาดแสงร้อนแรงกล้าลงมาเผาไหม้ผืนแผ่นดินที่รายลอบด้วยน่านน้ำนั้น  แผ่นดินถูกเผาจนสุกไหม้  แล้วดวงอาทิตย์ก็ดับหายไปทีละดวงจนเหลือเพียงดวงเดียว  เกิดมีท้องฟ้า  มีเดือนมีดาวขึ้น

          แผ่นดินที่ถูกดวงอาทิตย์เผาไหม้นั้น  เกิดเป็นง้วนดินมีกลิ่นหอมขจรอบอวลระเหิดขึ้นนไปถึงสวรรค์ชั้นอกนิษฐพรหม  พวกพรหมได้กลิ่นหอมประหลาดก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้  จึงพากันเหาะลงมาเที่ยวดูกันเป็นจำนวนมาก  มีบางพวกอยากรู้ว่าง้วนดินที่มีกลิ่นหอมหวนนี้จะมีรสอย่างไร  จึงเอานิ้วแตะดินแล้วเอาไปแตะที่ลิ้น  พลันที่ได้โอชารสแห่งง้วนดินแล้ว  ฌานก็เสื่อม  เหาะกลับสวรรค์มิได้  จึงกินง้วนดินอยู่  รัศมีแห่งเทวดาก็ค่อย ๆ หายไป  จนกระทั่งร่างกายปรากฏเป็นมนุษย์มีเพศเป็นหญิงชาย  เมื่อเพ่งเล็งแลเพศกันก็เกิดราคะกิเลสจนมีเพศสัมพันธ์กัน  สืบเผ่าพันธุ์มนุษยชาติแต่นั้นมา....

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขร้ผึ้งไทย
๔ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 28, สิงหาคม, 2565, 10:29:36 PM
(https://i.ibb.co/Wp4dmbQ/1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ยอดเขาพระสุเมรุเป็นดาวดึงส์ -

เมื่อเหล่าพรหมปรากฏเพศต่างเพ่งพิศ
ต่างดวงจิตเกิดราคะอกุศล
หลังสมพาสขาดสติมิรู้ตน
บังเกิดผลแพร่พันธุ์สัตว์นานา

กำเนิดโลกแยกถิ่นแผ่นดินสวรรค์
ยอดเขานั้นเป็นแดนแสนหรรษา
เป็นที่อยู่เทพบุตรเทพธิดา
มีนครานามสุทัศน์สมบัติอินทร์

ส่วนตีนเขาเป็นสวรรค์เริ่มชั้นต้น
สัตว์และคนคละกระจายอยู่หลายถิ่น
เป็นกามาพจรที่นอนกิน
สัตว์ทั้งสิ้นพัฒนากรรมพันธุ์

ผู้ครองอินทร์ปิ่นสวรรค์นั้นไม่แน่
ย่อมเปลี่ยนแปรเป็นไปไม่คงมั่น
มาถึง“ท้าวสัมพร”เมานอนวัน
เทพช่วยกันจับโยนไว้ใต้สุเมรุ

มัฆวานเทพบุตรยุดตำแหน่ง
ครองอินทร์แห่งเทพสุทัศน์นครเด่น
ดาวดึงส์นามอุบัติใหม่ชัดเจน
แต่มีเวรกับอสูรรบวุ่นวาย.....


          ดาวดึงส์ (บาลี: ตาวตึส) หรือ ตรัยตรึงศ์, ไตรตรึงษ์ (สันสกฤต: त्रायस्त्रिंश ตฺรายสฺตฺรึศ) เป็นชื่อของสวรรค์อันสำคัญยิ่งในจักรวาลวิทยา คำว่า ตฺรายสฺตฺรึศ เป็นรูปคำคุณศัพท์ของคำว่า ตฺรายสฺตฺรึศตฺ (จำนวน ๓๓) แปลความหมายได้ว่า  "ที่อยู่ของเทพ ๓๓ องค์"  เป็นนามที่ได้หลังจากที่มัฆมาณพกับเพื่อน ๓๓ คนละจากโลกมนุษย์ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้  แล้วจับท้าวสัมพรเทพบุตรผู้เป็นพระอินทร์องค์เก่ากับบริวารที่เมาน้ำคันธบาลจนไม่ได้สติโยนลงสู่ใต้เขาพระสุเมรุ  จนเกิดอสูรพิภพขึ้น ดังกล่าวมาแล้ว

          ดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ในสวรรค์กามาพจรทั้ง ๖ ชั้น  สูงจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ กิโลเมตร  ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุอันสูง ๘๐,๐๐๐ โยชน์  ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุด  อาณาบริเวณโดยรอบ ๘๐,๐๐๐ ตารางโยชน์  มีท้าวสักกะหรือพระอินทร์เป็นผู้ปกครอง

          สวรรค์ชั้นนี้  คือแดนสุขาวดีแห่งปวงเทพยดาชาวฟ้าผู้อุปปัติเทพ  มีเทพผู้เป็นอธิบดีมเหศักดิ์รวม ๓๓ องค์  ท้าวมัฆวานหรือท้าวสักกรินทร์ เป็นหัวหน้าผู้ปกครอง  อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ  ช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อ  "เอราวัณ"  สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา  มีเศียร ๓๓ เศียร  เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่  บนเศียรมีวิมาน  มีปราสาท  มีอุทยาน  มีนางฟ้าร่ายรำ  เศียรช้างมี ๓๓ เศียร  แต่ละเศียรมีงา ๗ อัน งาแต่ละอันยาวได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา   แต่ละงามีสระได้ ๗ สระ   แต่ละสระมีกอบัวได้ ๗ กอ   แต่ละกอมีดอกได้ ๗ ดอก  แต่ละดอกมีกลีบได้ ๗ กลีบ  แต่ละกลีบมีนางฟ้ายืนจับระบำ ๗ นาง  นางฟ้าแต่ละนางนั้นมีบริวาร ๗ นาง

     รวมยอดแล้วเศียรช้างเอราวัณ ๓๓ เศียรนั้น มีงาทั้งสิ้น ๒๓๑ งา  มีสระทั้งสิ้น ๑,๖๑๗ สระ  กอบัวทั้งสิ้น ๑๑,๓๑๙ กอ  ดอกบัวทั้งสิ้น ๗๙,๒๓๓ ดอก   กลีบบัวทั้งสิ้น ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ   นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง  นางบริวารทั้งสิ้นอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง

          สวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือไตรตรึงษ์นี้มีลักษณะเป็นมหานครใหญ่ มีมัฆมาณพพร้อมสหาย ๓๓ องค์อุบัติขึ้นและปกครองสวรรค์ชั้นนี้  มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู  มีกำแพงแก้วล้อมเมืองทุกประตู  มียอดปราสาทแก้ว  งดงามวิจิตรพิสดาร  เวลาเปิดปิดประตู  จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี  กลางนครไตรตรึงษ์  มีไพชยนต์ปราสาท  มีรูปทรงสูงเยี่ยม  เอี่ยมอ่องไปด้วยรัศมีสัตตรัตน์  เพราะประดับไปด้วยแก้ว ๙ ประการ  งามสุดจะพรรณนา  เป็นที่ประทับอยู่แห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช  เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว  ๑๐๐ ปีในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นนี้

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๕ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 29, สิงหาคม, 2565, 11:48:40 PM
(https://i.ibb.co/TB6TSZY/9252-n-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ดาวดึงส์มีสี่อุทยานใหญ่ -

นครใหญ่ไตรตรึงษ์งามอึงมี่
สวนใหญ่สี่อุทยานมากความหมาย
“นันทวัน”บูรพาเดินสบาย
พฤกษ์โปรยปรายกลีบผกามาปูทาง

สองสระโบกขรณีมีมากท่า
ให้ชาวฟ้าร่อนลงสระสรงร่าง
มีศิลาสองแผ่นเป็นแท่นวาง
สวนนี้ช่างชวนชื่นรื่นภิรมย์

สวน“ปารุสกวัน”นั้น“ลิ้นจี่”
อยู่ทางที่ทิศใต้ใกล้เหมาะสม
มีสองสระแผ่นศิลาสองน่าชม
นามนิยมระบุ “สุภัทรา”

“จิตรลดา”ตะวันตกรกเครือเถา
รื่นร่มเงางามลักษณ์เลิศนักหนา
สระสนานธารใสไร้ปูปลา
พร้อมศิลาสองแผ่นแท่นรับรอง

“สกวัน”สวนใหญ่ในทิศเหนือ
มากไม้เจือระคนไม่ขัดข้อง
“สุธรรมา”สระใหญ่ไร้คลื่นฟอง
ทุกสวนของมเหสีอินทร์สี่องค์....


          รอบนครไตรตรึงษ์มีอุทยานที่งดงามมากอยู่ ๔ แห่ง คือ

     ๑. นันทวัน (สวนที่รื่นรมย์)  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของนคร  ใกล้กับตัวเมืองมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อว่า  สระนันทาโบกขรณี ๑   จุลนันทาโบกขรณี ๑   มีแผ่นศิลา ๒ แผ่น ชื่อว่า นันทาปริถิปาสาณ ๑   จุลนันทาปริถิปาสาณ ๑   เป็นศิลาที่มีรัศมีเรืองรอง  เมื่อจับดูจะรู้สึกว่านิ่มเหมือนขนสัตว์

     ๒. ผรุสกวัน หรือ ปารุสกวัน (ป่าลิ้นจี่)  อยู่ทางทิศตะวันใต้ของเมือง มีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อว่า  ภัทราโบกขรณี ๑   สุภัทราโบกขรณี ๑   มีก้อนแก้วใส ๒ ก้อน  ชื่อว่าภัทราปริถิปาสาณ ๑   สุภัทราปริถิปาสาณ ๑   เป็นแก้วเกลี้ยงอ่อนนุ่ม

     ๓. จิตรลดาวัน (ป่ามีเถาวัลย์หลากสีสวยงาม)  อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง  สระในอุทยานนี้มีชื่อว่า  จิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบกขรณี  แผ่นศิลาแก้วในอุทยานนี้แผ่นหนึ่งมีชื่อว่า  จิตรปาสาณ และ จุลจิตรปาสาณ

     ๔. สักกวัน หรือ มิสกวัน (ป่าไม้ระคน)  อยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง  สระใหญ่ในอุทยานนี้มีชื่อว่า  ธรรมาโบกขรณี  และสุธรรมาโบกขรณี  ส่วนแผ่นศิลาแก้วมีชื่อว่า  ธรรมาปริถิปาสาณ  และสุธรรมาปิริถิปาสาณ.....

ต่อไป  >>> (http://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=14492.msg52694#msg52694)

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๖ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล




หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 31, สิงหาคม, 2565, 12:03:23 AM
(https://i.ibb.co/9bpmkym/7f0d31d-1.jpg) (https://imgbb.com/)


<<< ก่อนหน้า (http://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=14492.msg52596#msg52596)                                                             .

- พระอินทร์องค์ปัจจุบัน -

ท้าวสักกะมัฆวานประธานเทพ
มีสุขเสพภิรมย์สมประสงค์
ถือคุณธรรมเจ็ดประการมั่นดำรง
ผลบุญส่งสูงเด่นเป็นพระอินทร์

“เลี้ยงบิดามารดา”ไม่ละทิ้ง
“เคารพยิ่งผู้ใหญ่”ไม่มองหมิ่น
“กล่าววาจาอ่อนหวาน”สุวาทิน
“ไม่พูดนินทาท่อส่อเสียดใคร”

“ไม่มีความตระหนี่”ถี่เหนียวจัด
“มีความสัตย์”ซื่อเสนอเสมอสมัย
“ระงับโกรธ”โหดเหี้ยมเจียมข่มใจ
อดทนได้ทุกสถานการณ์พบ

จึ่งเป็น“ท้าวสักกะเทวราช”
แสนองอาจทุกผู้ริปูสยบ
จากชาติชายนายบ้าน“มัฆมาณพ”
พร้อมเพื่อนครบขึ้นเป็นใหญ่ครองไตรตรึงษ์

ได้ฟังธรรมพุทธองค์ทรงเทศน์สอน
ใจสังวรตรองดูรู้ทั่วถึง
“ตาเห็นธรรม”กำจัดบาปรัดรึง
เข้าเป็นหนึ่ง“พระอริยะบุคคล”


          ท้าวมัฆวานหรือสักเทวราชคุมีณธรรม ๗ ประการ  ทำให้ได้เป็นพระอินทร์  ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ  เฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ ได้แก่  เลี้ยงดูบิดา มารดา, เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล,  กล่าววาจาอ่อนหวาน,  ไม่กล่าวคำส่อเสียด,  ไม่มีความตระหนี่,  มีความซื่อสัตย์,  ระงับความโกรธได้

          ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ มีพระมเหสี ๔ พระองค์ คือ  พระนางสุนันทา  พระนางสุจิตรา  พระนางสุธรรมา  พระนางสุชาดา  ผู้อยู่ประจำดูแลอุทยานสวรรค์ทั้งสี่ดังกล่าวแล้ว   และพระอินทร์สำเร็จเป็นพระอริยะบุคคล ด้วยการฟังพระธรรมเทศนา  ที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดง  “สักกปัณหสูตร”  ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุถึงกระแสพระนิพพาน  เป็นพระโสดาบัน อริยะบุคลขั้นแรกของพระอริยะเจ้า  และคงอยู่ในดาวดึงส์พิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย  เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว  จะลงมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชในมนุษยโลกและสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล  เมื่อสิ้นชีพแล้ว  ก็ไปกลับไปเกิดในชั้นพรหมโลกสำเร็จเป็นพระอนาคามี  และพระอรหันต์  ปรินิพพานไปในที่สุด  อายุทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมินี้  มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์  นับเป็นปีมนุษย์ได้สามโกฏิหกล้านปี  จากสูตรคำนวณที่ว่า ๑๐๐ ปีมนุษย์เท่ากับ ๑ วันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย
๗ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 31, สิงหาคม, 2565, 10:39:43 PM
(https://i.ibb.co/9cPbXg3/Untitldwed-2-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- พระอินทร์องค์ปัจจุบัน -
- เล่าเรื่องมฆมาณพ ๑ -

ขอจับกล่าวเล่าความตามชาดก
โดยหยิบยกเรื่องชายใจกุศล
รวม“สามสิบสาม”นายสหายตน
อยู่ตำบลนามว่า“มจลคาม”

หัวหน้ากลุ่มนามว่า“มฆมาณพ”
ชวนผู้คบสมาคมครองข้อห้าม
ถือศีลห้าเชื่อมโยงทุกโมงยาม
ทุกคนงามกายใจไร้เบียดเบียน

บ้านทั้งหมู่อยู่สงบลบเหตุร้าย
คนเป็นนายบ้านเหงาการณ์เก่าเปลี่ยน
ขาดรายได้จากบาปลาภหมุนเวียน
ผู้ร้ายเลี่ยนโล่งคามความไม่มี

“คามโภชก”งกลาภใจบาปหนา
ปรารถนาสินบนคนครึ่งผี
ค่อนหมู่บ้านทุกคนเป็นคนดี
เก็บภาษีเถื่อนไม่ได้สักราย

จึงใส่ความมาณพหวังลบโค่น
ว่าเป็นโจรรีบนำความถวาย
พระราชารับรู้มิดูดาย
จับสหายสามสิบสามประหารพลัน

ให้ช้างเหยียบกี่ช้างก็ยังเฉย
ช้างมิเคยทำร้ายเหล่าชายนั่น
ด้วยศีลธรรมที่ครองคอยป้องกัน
องค์ราชันแปลกใจไต่ถามดู

ทราบความจริงจึงให้ปลดนายบ้าน
ริบสมบัติพัสถานการเป็นอยู่
“มฆมาณพ”รับตั้งตำแหน่งครู
ประธานหมู่บ้านใหญ่แต่นั้นมา....


          ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีหมู่บ้านชื่อ “มจลคาม” ในเมืองมคธกลางชมพูทวีป  มฆมาณพมีสหาย ๓๒ คน  พวกเขาช่วยกันสร้างศาลา  สร้างถนนหนทาง  และสาธารณประโยชน์อื่น ๆ  และรักษาศีลทำบุญให้ทานอยู่เสมอ  พร้อมกันนั้นก็แนะนำชักชวนให้ชาวบ้านรักษาศีล  ทำบุญให้ทานเช่นเดียวกับพวกตน  ชาวบ้านเห็นดีเห็นงามก็พากันร่วมรักษาศีล  ทำบุญให้ทานเกือบทั้งตำบล  มจลคามจึงเป็นหมู่บ้านที่ไร้โจรผู้ร้ายสงบร่มเย็น

           “คามโภชก”(นายบ้าน = กำนัน) เห็นว่าพวกชายหนุ่มดังกล่าวทำให้บ้านเมืองขาดผู้ร้าย  จนทำให้ตนขาดรายได้ค่าธรรมเนียมสินไหมจากชาวบ้านที่ก่อการวิวาทหรือประพฤติผิดกฏหมาย   จึงคิดจะให้ชาวบ้านเลิกรักษาศีลเสีย  แต่ก็ไม่เป็นผล  จึงไปกราบทูลพระราชาใส่ความว่า  ชายหนุ่มกลุ่มดังกล่าวเป็นโจร  ซึ่งพระราชามิทันได้สอบสวน  ก็ให้จับมฆมาณพและสหาย ๓๒ คนมาลงโทษโดยให้ช้างเหยียบ  มฆมาณพก็สอนสหายให้แผ่เมตตาแก่นายบ้านกับพระราชาและช้าง  ทำให้ช้างไม่อาจเหยียบกลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นได้  กลับแล่นเตลิดหนีไป  แม้จะให้ช้างเชือกอื่นมาเหยียบก็ไม่เป็นผล  พระราชาสงสัยว่า  โจรเหล่านั้นมีอะไรดี  จึงเรียกไปสอบถาม  มฆมาณพจึงทูลว่าพวกตนรักษาศีลห้าและประพฤติวัตตบทธรรม ๗ ประการ  พระราชาจึงโปรดให้ริบทรัพย์นายบ้านทั้งหมด  นำมาพระราชทานแก่มฆมาณพ และเป็นรางวัลแก่เหล่าสหายชายหนุ่มด้วย

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๘ กันยายน ๑๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 01, กันยายน, 2565, 10:46:35 PM
(https://i.ibb.co/jwXQVML/Yq-V4-AUV2-Sx-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- เล่าเรื่องมฆมาณพ ๒ -

“มฆมาณพ”เมื่อได้เป็นนายบ้าน
“มือประสานสิบทิศ”ไหว้ทั่วหน้า
ชวนชาวบ้านสานสร้างดีนานา
ถือศีลห้าเป็นนิจไม่บิดเบือน

สร้างถนนหนทางทั้งสระน้ำ
เกษตรกรรมแบบใหม่ไม่มีเหมือน
ได้ภรรยาทั้งสี่เป็นศรีเรือน
เคียงคู่เพื่อนสร้างบุญบารมี

สร้างศาลาหลังงามตามสี่แพร่ง
“สุธัมม์”แต่งช่อฟ้าสง่าศรี
“สุจิตรา”สร้างสวนไม้มาลี
สระโบกขรณี “สุนันทา”

“สุชาดา”เพิกเฉยไม่เคยสร้าง
ชอบสำอางเอาแป้งลูบแต่งหน้า
ครั้นทุกคนถึงกาลกิริยา
เป็นเทพบุตรเทพธิดาบนฟ้าไกล


          มฆมาณพได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นนายบ้าน (คามโภชก) ปกครองหมู่บ้านนั้นแทนคนเก่าผู้ประพฤติมิชอบนั้น  เขาชวนเพื่อนชายหนุ่มเหล่านั้นสร้างถนนหนทางและสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการสร้างศาลาที่ทางสี่แพร่งนั้นไม่ยอมให้ผู้หญิงมาเกี่ยวข้องด้วย  แม้แต่ภรรยาทั้งสี่ของมฆมาณพเอง  แต่ภรรยาของมฆมาณพชื่อนางสุธัมมา  อยากร่วมทำบุญด้วยจึงว่าจ้างช่างไม้ทำช่อฟ้าอันงามซ่อนไว้  เมื่อสร้างศาลาเสร็จช่างจึงอ้างว่าลืมช่อฟ้าและไม่อาจทำด้วยไม้ใหม่ได้  แล้วขอร้องให้รับช่อฟ้าของนางสุธัมมาให้นางมีส่วนร่วมทำบุญ  โดยกล่าวว่ายกเว้นพรหมโลกแล้วไม่มีที่ใดที่ปราศจากสตรี  เขาจึงยอมรับช่อฟ้าไม้ของนางสุธรรมาติดประดับหลังคาศาลา  จากนั้น นางสุจิตตาก็ได้สร้างสวนอุทยาน  นางสุนันทาให้สร้างสระโบกขรณี  เป็นการร่วมบุญกับมฆมาณพผู้สามี  แต่นางสุชาดาภรรยาคนที่สี่ของมฆมาณพมิได้ร่วมการกุศลกรรมในครั้งนั้น  ด้วยนางสนใจแต่การแต่งตัวกรีดกรายไปตามหมู่ชน

          นอกจากชักชวนให้ทุกคนในหมู่บ้านรักษาศีล ๕ แล้ว  มฆมาณพยังให้สหายปฏิบัติวัตรบท ๗ ประการด้วย  เมื่อบุคคลทั้งหลายดังกล่าวตายแล้ว  ก็ได้ไปเกิดร่วมกันในสวรรค์ชั้นเทพสุทัศน์บนยอดเขาพระสุเมรุ  ซึ่งต่อมาสวรรค์ชั้นนี้ได้นามว่า  “ดาวดึงส์”  เมื่อมฆเทพบุตรและพวกจับเทพเจ้าของถิ่นเดิมพร้อมหัวหน้าซึ่งครองตำแหน่งพระอินทร์อยู่  โยนลงไปอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ  และตนได้ครองตำแหน่งพระอินทร์แทน

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๙ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 03, กันยายน, 2565, 10:33:57 PM
(https://i.ibb.co/DWHsCQM/2-2-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- นางสุชาดาเป็นนก มนุษย์ อสูร -

“สุธัมมา,สุจิตรา,สุนันทา”
เป็นชายามัฆวานพิมานใกล้
“สุชาดา”พาตนเกิดหนใด
พระอินทร์ไล่เลียงดูจนรู้ความ

เป็นนกยางร่างงามอยู่ตามหนอง
เดินเยื้องย่องเที่ยวหาปลางุ่มง่าม
จึ่งลงไปชี้นิวาสน์ปราสาทงาม
ซึ่งทั้งสามนางสร้างบุญได้มา

สอนให้นางนกงามรู้ความผิด
ที่ไม่คิดร่วมมือถือศีลห้า
จึงมิเกิดร่วมสวรรค์เป็นภรรยา
จงรักษาศีลเถิดจะเกิดดี

นกยางถือศีลห้าอย่างว่าง่าย
กินปลาตายตราบตนพ้นปักษี
เกิดเป็นธิดาช่างหูกสุขมากมี
พระอินทร์รี่ลงช่วยสอนศีลทาน

พ้นมนุษย์เป็นธิดาอสูรภพ
มีวัยครบครองคู่อยู่ชื่นหวาน
อสูรจัดเลือกคู่อยู่ไม่นาน
ธิดาผ่านอสูรหนุ่มกุมอินทร์แปลง.....


          มฆมาณพเกิดเป็นพระอินทร์อยู่เหนือทวยเทพทั้งหลาย  เสวยทิพยสมบัติมีบาทบริจาริกาพร้อมด้วยมเหสี  คือนางสุธัมมาผู้มีปราสาทแก้วชื่อสุธัมมาสภาคศาลาสูง ๕๐๐ โยชน์เกิดคู่บุญพระอินทร์ประทับเหนือแท่นทองสูง ๑ โยชน์  ใต้ทิพยเศวตฉัตรบริหารกิจต่าง ๆ ณ เทวสภาแห่งนี้    นางสุจิตรามีสวนชื่อจิตรลดาวันเกิดมาคู่บุญ ด้วยเหตุที่เคยสร้างสวนเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนแต่ปางก่อน    นางสุนันทาก็มีสระนันทาโบกขรณีเกิดคู่บุญเพราะเคยสร้างสระบัวมาแต่ปางก่อนเช่นกัน

          ส่วนนางสุชาดาไปเกิดเป็นนกยางเพราะไม่เคยทำบุญร่วมกันมาก่อน  เมื่อพระอินทร์มิได้เห็นนางในสวรรค์และรู้ว่านางเป็นนกยาง  จึงลงมาพาขึ้นไปดาวดึงส์  ให้นางได้เห็นสุธัมมาเทวสภาคศาลา  จิตรลดาวัน  และนันทาโบกขรณี  แล้วสอนนางว่าเมื่อเป็นมนุษย์นางมิได้ทำบุญ  จึงต้องเกิดเป็นเดียรัจฉาน  ฉะนั้นนางจงรักษาศีลห้า  กินแต่ปลาตาย  แล้วนำกลับคืนมามนุษย์  นางนกยางก็ถือศีลห้าด้วยปรารถนาขึ้นไปอยู่ร่วมกับพระอินทร์เช่นนางทั้งสาม  ครั้งหนึ่งพระอินทร์ทดลองว่านางรักษาศีลหรือไม่  จึงแปลงเป็นปลาตายลอยน้ำมา  ครั้นนางจิกจะกิน  ก็ทำให้เห็นว่ากระดิกได้  นางนกรีบปล่อยปลานั้นเสีย  นางรักษาศีลตลอดชีวิต  ไปเกิดเป็นธิดาช่างทอหูกในเมืองพาราณสี  พระอินทร์ก็นำผลแตงทองคำใส่เต็มเกวียนเข้าไปในเมือง  ประกาศว่าจะให้แก่ผู้รักษาศีล  แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักศีลเลย  นอกจากนางสุชาดา  พระอินทร์จึงมอบทั้งเกวียนและแตงทองคำแก่นาง

          เมื่อนางสุชาดาตายจากมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นธิดาของเวปจิตติอสูร (เทพบุตรที่เคยถูกมฆมาณพจับโยนจากสวรรค์ลงมาสู่ใต้เขาพระสุเมรุจนเกิดพิภพอสูรขึ้น)  มีรูปงามอย่างยิ่ง  ด้วยอานิสงส์ที่นางรักษาศีลติดต่อกันมาสองชาติ  ครั้นนางเจริญวัยสมควรจะมีคู่ครอง  เวปจิตติอสูรจึงประกาศให้อสูรทั้งหลายไปประชุมกันให้นางเลือกคู่  พระอินทร์ทรงทราบก็แปลงกายเป็นอสูรชราเข้าไปในที่ประชุม  นางสุชาดาได้เห็นก็จำได้ว่าเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน  จึงเลือกอสูรชราผู้เป็นพระอินทร์แปลงนั้นเป็นคู่ครอง  พระอินทร์จึงอุ้มพานางขึ้นสู่นครไตรตรึงษ์  ให้นางเป็นอีกหนึ่งในมเหสี มีนางฟ้าทั้งหลายสองโกฏิกึ่งเป็นบริพารแต่นั้นมา

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๐ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 04, กันยายน, 2565, 10:48:04 PM
(https://i.ibb.co/jLJcZ7N/1011025.jpg) (https://imgbb.com/)

- ศาลาสุธรรมา, ปาริชาต -

บนสวรรค์ชั้นใหญ่ไตรตรึงษา
ศาสนาพุทธไปเกี่ยวหลายแห่ง
เป็นเมืองพุทธผุดผ่องกองบุญแพง
ที่แสดงธรรมะเทวสภา

คือ“ศาลาสุธรรมา”มเหสี
ใช้เป็นที่ฟังคำธรรมกถา
พระอินทร์นั่งสั่งการงานเทวา
กลางศาลามีธรรมาสน์ประกาศธรรม

เทพชุมนุมฟังธรรมรับคำสอน
องค์อินทรเกริ่นกล่าวทั้งเช้าค่ำ
จึงเป็นเทวสภามีประจำ
ซึ่งผู้นำดาวดึงส์พึงพอใจ

มีต้น“ปาริชาต”กัลปพฤกษ์
ที่รำลึกชาติเกิดกำเนิดได้
ทุกร้อยปีมีดอกออกแทนใบ
เทพล้วนไปรอรับเอากับมือ.....


          สถานที่สำคัญในดาวดึงส์สวรรค์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ดังนี้ -

          ศาลาสุธรรมาเทวสภา  สถานที่ฟังธรรมซึ่งบรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม  โดยมีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน  ศาลาแห่งนี้ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ สูง ๕๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทองเครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ หลังคามุงด้วยอินทนิล เพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงินตรงกลางศาลา  เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง ๑ โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ กั้นด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์  ข้างธรรมาสน์เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช  ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ และเทวดาอื่น ๆ  นัยว่าพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาโปรดพระพุทธมารดา  ก็ได้ประทับบนธรรมาสน์นี้แสดงดพระอภิธรรมตลอดกาล ๑ พรรษา

          ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์) อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน  มีบริเวณกว้างขวาง  ล้อมด้วยกำแพงรอบ ๔ ด้าน  กลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง  ซึ่งชื่อว่า  ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์  ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์  ต้นไม้นี้ ๑๐๐ ปี (สวรรค์) จึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง  เมื่อถึงคราวนั้น  เหล่าเทพบุตร  เทพธิดา  ก็พากันมารื่นเริง  ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบานสะพรั่ง  เมื่อดอกไม้บานแล้ว  ก็ปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก  ดอกปาริชาตจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา  เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด  ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้นเป็นระยะไกลแสนไกล  ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น  ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้  ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ  ถ้ายังไม่ได้รับในมือ  ดอกไม้ก็ยังไม่ตกลงดิน  โดยมีลมชนิดหนึ่งพัดชูดอกไว้ในอากาศ  จนกว่าจะมีเทพยดาผู้ประสงค์ได้ก็มารับเอาไป...

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย
๑๑ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าขอภาพในกูเกิล



หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 05, กันยายน, 2565, 10:33:56 PM
(https://i.ibb.co/S6SBwL2/1.jpg) (https://imgbb.com/)

- พระเกศธาตุจุฬามณี -

ดาวดึงส์มีมิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เทพทุกทิศน้อมรับนบนับถือ
นามเกศธาตุจุฬามณีที่เลื่องลือ
มิอาจซื้อหาได้ที่ใดเลย

ปางเมื่อ“สิทธัตถมหาบุรุษ”
หมายวิมุตโลกีย์มิอยู่เฉย
สละสิ้นทรัพย์ศฤงคารอันน่าเชย
หวังเสวยสุขทิพย์คือนิพพาน

ตัดโมฬีโยนทิ้งถือเพศบวช
พระอินทร์ตรวจดูเห็นความอาจหาญ
รีบเหาะลงรับโมฬีที่ทิ้งทาน
กลับวิมานเมืองอินทร์ด้วยยินดี

สร้างสถานปาน“เซฟ”เก็บพระเกศ
ของวิเศษมิ่งมงคลเมืองโกสีย์
ขนานนามสถูปว่า“จุฬามณี”
เป็นธาตุที่เทพพร้อมล้อมบูชา

ครั้นองค์สัมพุทธะละสังขาร
ได้มีการแจกพระธาตุให้ทั่วหน้า
“โทณพราหมณ์”ซ่อน“เขี้ยวแก้ว”ด้วยใจกา
จอมเทวาลงมาควักยักเอาไป

เชิญ“พระเขี้ยวแก้วองค์ขวา”สู่สวรรค์
ปวงเทวัญปรีดาจะหาไหน
สถิตเคียงพระเกศธาตุเพื่อเทพไท
น้อมกราบไหว้บูชาจุฬามณี.....

          ณ เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้  มีปูชนียสถานสำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึ่งคือ  “พระจุฬามณีเจดีย์”   มีทรงสัณฐานใหญู่  ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์ของเทพนครไตรตรึงษ์  สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์  ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้  แล้วประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ  สูง ๘๐,๐๐๐ วา  มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ  ยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา  ประดับด้วยธงนานาชนิด  มีสีแดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบ้าง ประดับประดา  แลดูงามนักหนา  ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องดีดสีตีเป่า สังคีตสรรพดุริยางค์ทั้งหลาย  มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด  พระจุฬามณีเจดีย์องค์นี้  เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันนี้เอง  พระองค์สร้างไว้เพื่อประดิษฐานพระเกศธาตุให้เป็นที่สักการบูชาของทวยเทพในชั้นฟ้า  ภายในพระมหาเจดีย์จุฬามณีนั้นบรรจุสิ่งสำคัญอันหาค่ามิได้ถึง ๒ อย่างด้วยกัน คือ

           “พระเกศโมลี” แห่งพระพุทธองค์  โดยมีประวัติความเป็นมาว่า  เมื่อสิทธัตถมหาบุรุษออกบรรพชา  พระองค์ทรงตัดมวยพระเมาฬีด้วยพระขรรค์แล้วทรงอธิษฐานว่า  "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว  ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิด  อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย"  คราที่นั้นสมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงเล็งเห็นด้วยทิพยเนตร จึงทรงนำผอบทองคำเสด็จลงมารองรับพระเกศโมลีไว้  แล้วนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์  สร้างพระเจดีย์นี้  สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น

           “พระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา” ของพระพุทธองค์  โดยมีความเป็นมาว่า  เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่โทณพราหมณ์ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ทำหน้าแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น  เปิดรางทองคำออกแล้วแลดูเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย  เห็นพิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครู  มิได้ใส่ใจการแบ่งพระสารีริกธาตุ  ก็พลันฉุกคิดยักยอกพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นส่วนของตน  จึงแยกพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน  แล้วสาละวนจัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์เหล่านั้นต่อไป  ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชได้เสด็จมาสังเกตการณ์อยู่  ด้วยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน  เห็นพฤติกรรมของโทณพราหมณ์เช่นนั้น  จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาจากผ้าโพกศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น  ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่ง  แล้วรีบเสด็จขึ้นนครไตรตรึงษ์  อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวานั้น  ประดิษฐานบรรจุไว้  เป็นคู่กับพระเกศธาตุ ณ จุฬามณีเจดีย์นี้

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๒ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 06, กันยายน, 2565, 11:43:36 PM
(https://i.ibb.co/Tkg5ZWV/14713686-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- การฟังธรรมของเทวดา -

ทุกวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำ
“วันฟังธรรม”ชำระใจให้ผ่องศรี
เทพชุมนุมฟังธรรมเสริมความดี
“ศาลาสุธรรมมา”มีอเนกอนันต์

ผู้แสดงธรรมประเสริฐเลิศโวหาร
“พรหมกุมาร”เหมือนพระแห่งสวรรค์
ถึงเวลาจากพรหมลงมาพลัน
เทพพากันกราบไหว้ตั้งใจฟัง

เสียงธรรมใสไพเราะพระพรหมเจ้า
เทพทุกเหล่าชื่นจิตติดมนต์ขลัง
ธรรมทานพระพรหมเจ้าเนาจีรัง
หน้าและหลังเทพทั้งมวลล้วนชื่นชม

มีเทพในไตรตรึงษ์ซึ่งเป็นปราชญ์
ชาญฉลาดรู้ธรรมงามเหมาะสม
ด้วยเมื่อเป็นมนุษย์นั้นหมั่นอบรม
จนคลายปมกิเลสหยาบบาปเบาบาง

จึ่งวันพระเทพก้มเกศเชิญเทศน์สอน
มวลอมรสาธุการไม่เมินหมาง
ด้วยท่านเป็น“อริยะ”ราคะจาง
มิไกลห่างอรหันต์อนันต์คุณ

และบางคราวท้าวโกสีย์มีพิเศษ
ทรงขึ้นเทศน์เทวาไม่ว้าวุ่น
ตั้งใจฟังแต่เริ่มต้นเพิ่มบุญ
รับการุณย์องค์อินด้วยยินดี....


          เมื่อถึงวันพระคือวันธรรมสวนะ  เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมา  เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล  ซึ่งถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพในสวรรค์  กิริยาที่เทวดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตนตามฐานานุศักดิ์  ภายในศาลาสุธรรมาแลดูงดงามนักหนา  เมื่อเหล่าเทพนั่งพร้อมเพรียงกันแล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า  “พรหมกุมาร”  เป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรม  เสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล  ครั้นมาถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้วและเทศนาแจกแจงธรรมะไพเราะจับใจเหล่าเทวดา  ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ คือ  ๑. เสียงแจ่มใส   ๒. เสียงชัดเจน   ๓. เสียงนุ่มนวล   ๔. เสียงน่าฟัง   ๕. เสียงกลมกล่อม   ๖. เสียงไม่พร่าแตก   ๗. เสียงลึก   ๘. เสียงมีกังวาน   เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ด้วยเสียงแห่งพรหมนั้น  เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรสแห่งพระธรรมนักหนา  พอควรแก่เวลาแล้วพระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไป

          บางคราว  เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญเชิญเทวดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง  เป็นองค์แสดงธรรม  เพราะว่าเป็นผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน  ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ก็มีมาก  เทวดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธานย่อมทราบได้ดีว่า  เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม  ก็พร้อมกันอัญูเชิญให้เทวดานั้น  ขึ้นธรรมาสน์แก้วแสดงธรรมโปรดพวกตน  เสร็จแล้วจึงอนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทวดาอันน่าชื่นใจ

          บางคราวสมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์  ก็ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเอง  วันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง  วันนั้นเป็นวันพิเศษจริง ๆ  และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก  อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ  เพราะองค์พระอมรินทร์จอมเจ้าทรงเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลและสนใจในพระธรรมมาก  มีพระกมลสันดานกอปรด้วยศรัทธาเมตตาการุณย์เป็นบุญญาธิการอันสูงเยี่ยม.....

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๓ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล



หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 07, กันยายน, 2565, 11:30:50 PM
(https://i.ibb.co/yqXKVY4/122875684-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- จารึกความดีมนุษย์ลงแผ่นทอง -

“บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์”
แดงดั่งชาดเพริดแพร้วแก้วหินสี
เป็นแท่นทิพย์อัศจรรย์พันลึกมี
ใช้เป็นที่นั่งลงพักองค์อินทร์

เกิดเหตุร้ายในมนุษย์สุดโศกศัลย์
แท่นอ่อนพลันแข็งกระด้างขึ้นดั่งหิน
สหัสนัยน์แลลงตรงแผ่นดิน
ก็ทราบสิ้นแก้ได้ไม่ทันนาน

กลับกล่าวถึง“ท้าวจาตุมหาราช”
ไม่เคยขาดกิจวัตรบรรทัดฐาน
เที่ยวสอดส่องพฤติกรรมแล้วจำจาร
เรื่องบุญทานมากมีที่คนทำ

ทำบัญชีรายชื่อแล้วถือมั่น
ขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์ถึงเบื้องต่ำ
มอบ“ปัญจสิขร”เทพร่อนรำ
ให้ช่วยนำมอบต่อ“มาตุลี”

เมื่อองค์อินทร์แสดงธรรมสิ้นกำหนด
รับชื่อจดสุพรรณบัฏบรรณศรี
รอมนุษย์ที่ทำคุณความดี
มาเกิดที่เมืองแมนแดนพระองค์....


          บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  คือแท่นศิลาแก้วสีแดง (รัตกัมพล) อ่อนนุ่ม  เมื่อพระอินทร์ประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว  แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป  และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น  แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม  เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ  ว่ากันว่า ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนแก่มนุษย์อย่างสาหัสที่พระองค์ควรต้องช่วย  พระแท่นนี้ก็จะแข็งกระด้าง  ทรงส่องพระสหัสสเนตรเล็งแลเห็นแล้วก็จะเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาช่วยคลายทุกข์ให้เสมอ

          ท่านท้าวจตุโลกบาล  คือ  ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ  ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่สุด  เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์  ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก  ในอรรถกถาโลภปาลสูตรกล่าวว่า  เมื่อถึงวันอุโบสถคือ  ขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ  ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์  จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอ  โดยจะถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดินดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์  ถ้าใครทำบุญประพฤติธรรม  ทำความดี  ก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำ  แล้วนำแผ่นทองคำไปให้ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง  พระมาตุลีจึงเอาไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า  หลังจากที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง  ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องสาธุการ  ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก

          แต่หากมนุษย์ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้ท้าวยมราช  เพื่อให้นายนิริยบาลทั้งหลายจะได้ทำกรรมกรณ์  ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๔ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 08, กันยายน, 2565, 10:40:07 PM
(https://i.ibb.co/m8CXp3M/4881156005264404271-n-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- กล่าวถึงสวรรค์ชั้นดุสิต -

“ดุสิต”สวรรค์ชั้นสี่นี้เลิศหรู
เป็นที่อยู่โพธิสัตว์วัตรสูงส่ง
ชุมนุมเทพบริสุทธิ์พุทธพงศ์
รอกาลลงเป็นพุทธศาสดา

เป็นที่อยู่เทพพระอริยะเจ้า
ผู้รอเข้าสู่นิพพานในกาลหน้า
คือ“พระโสดาบัน,สกิทาคาฯ”
เดินเข้าหาอรหันต์ไม่ผันทาง

“สันตุสิต”เป็นใหญ่ในชั้นนี้
แบ่งเขตที่เป็นอยู่เทพแตกต่าง
“อริยะเจ้า”ทุกองค์อยู่วงกลาง
วงนอกวาง“โพธิสัตว์”ผู้ชัดเจน

วงสามเป็น“โพธิสัตว์”ไม่ชัดแจ้ง
ต้องเติมแต่งบารมีที่โดดเด่น
ได้พยากรณ์ความตามกฎเกณฑ์
เหมือนดั่งเช่น“พระศรีอาริย์”ไม่ผันแปร

วงนอกมีที่ว่างไว้รอรับ
ผู้ที่ดับจิตใจบุญใหญ่แน่
ขึ้นมาอยู่ดุสิตได้ไม่อัดแอ
ซึ่งตามแต่บุญแบ่งไม่แย่งกัน....


          สวรรค์ชั้นดุสิตกว้างใหญ่ไพศาลมาก  มีท้าวสันดุสิตซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วเป็นผู้ปกครอง  ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา ๔๒,๐๐๐โยชน์  บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ทำให้ไม่มีเงา  ไม่มีมุมมืด  อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีแต่ความสว่าง  จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์

          ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต ไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์  แต่กลมแบบราบ  ถ้ามองจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป  จะมองเห็นเป็นแสงสว่างนุ่มเนียนตา  และถ้ามองจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป  ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่มเนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี  สวรรค์ชั้นดุสิตไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์เพราระดวงอาทิตย์เล็กนิดเดียว  สวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่ามากนัก

          โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต  มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลางของสวรรค์  แล้วแบ่งออกเป็น ๔ เขต  วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้...

          เขตที่ ๑  เป็นที่อยู่ของพระอริยะเจ้า  คือ  พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี  ซึ่งอยู่ชั้นในสุด

          เขตที่ ๒  เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วว่า  จะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน (เช่นพระศรีอาริยเมตไตรย) เป็นวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานให้หมด

          เขตที่ ๓  เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ  พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งยังต้องสร้างบารมีอีกมาก

          เขตที่ ๔  เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลจนมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้  เป็นเขตทั่วไปนอกเหนือจาก ๓ เขตแรก

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๕ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 09, กันยายน, 2565, 10:28:48 PM
(https://i.ibb.co/KG51WbN/1242320048-1-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- ดุสิตคือสวรรค์ของโพธิสัตว์ -

“ดุสิต”คือสวรรค์ชั้นพิเศษ
เป็นประเทศโพธิสัตว์สถิตมั่น
“นิตยโพธิสัตว์”อเนกอนันต์
ต่างรอวันลงอุบัติตรัสรู้ธรรม

“อนิยตโพธิสัตว์”ซึ่งไม่แน่
ด้วยไม่แก่บารมีที่เพียรพร่ำ
ต้องสะสมบ่มบำเพ็ญเป็นประจำ
จน“พระสัมมาสัมพุทธ”พยากรณ์

อีกเทพปราชญ์บัณฑิตอิสระ
รอคอยจะจุติมิย่อหย่อน
เป็นสาวกมุนินทร์ชินวร
ฟังคำสอนแล้วรู้สู่นิพพาน

ดุสิตเปรียบชุมทางบุญสร้างสรรค์
แหล่งเหล่ากออรหันต์เกิดสืบสาน
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมให้เป็นทาน
ซึ่งเป็นการต่อเติมเพิ่มบารมี.....


          สวรรค์ชั้นดุสิต  มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ  หนึ่งในความพิเศษนั้นก็คือ  เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก  และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก  เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต

          เหตุที่พระโพธิสัตว์หรือบัณฑิตทั้งหลาย  ปรารถนาที่จะได้บังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทั้ง ๆ ที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมีมากมาย  จะปรารถนาไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้  แต่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้  จึงมีข้อสังเกตอย่างน้อย ๓ ประการ  คือ

          ๑. พระโพธิสัตว์สามารถจุติ (เคลื่อนย้าย) ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความว่าโดยปกติแล้วเทวดามีเหตุแห่งการจุติ (เคลื่อนย้ายจากที่เดิม) หลายประการ เช่น  หมดบุญก็มี  หมดอายุขัยก็มี  เพราะความโกรธก็มี  แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้  เมื่อจะจุติลงมาสร้างบารมี  หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จะนั่งทำสมาธิ (Meditation) อธิษฐานจิต  สามารถดับวูบลงมาเกิดได้ทันที  ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของชาวสวรรค์ชั้นอื่น ๆ

          ๒. เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้  มีแต่บัณฑิต  มีแต่พระโพธิสัตว์  ล้วนมีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน  คือฝึกฝนตนเองด้วยปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทะเลทุกข์เวียนว่ายตายเกิด  ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน  ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่น ๆ  คบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความเบิกบานใจ  และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ  ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมาแสดงธรรมให้ฟัง

          ๓. ขนาดอายุทิพย์ของชาวสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์  ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป  พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข  เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ  ถ้ามีอายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๖ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของภาพในเน็ต


หัวข้อ: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 10, กันยายน, 2565, 11:35:12 PM
(https://i.ibb.co/n69qpHk/cs7s-Ua6-X-o-1.jpg) (https://imgbb.com/)

- สิ้นสุดสวรรค์ชั้นกามาพจร -

กามาพจรสวรรค์ชั้นที่สาม
ได้กล่าวข้ามมาเน้นเรื่องชั้นสี่
เพราะ“ยามา”วิมานเมืองเรืองรูจี
เป็นภูมิที่เทพประจำธรรมดา

เช่นเดียวกันกับสวรรค์ชั้นที่เหลือ
เทพเกิดเพื่อเสวยบุญพูนสุขา
เมื่อหมดบุญกุศลกรรมที่ทำมา
ก็เคลื่อนคลาจากสวรรค์ชั้นนั้นไป

“ยามา”ภูมิสวรรค์ชั้นที่สาม
“ท้าวสุยาม”เทวราชผู้เป็นใหญ่
เหล่าเทวาผาสุกปราศทุกข์ภัย
วิมานไหวเคลื่อนคล้อยลอยตามลม

สวรรค์“นิมมานรดี”ชั้นที่ห้า
เทพปรารถนาสิ่งใดล้วนได้สม
“สุนิมมิตเทวราช”เทพบังคม
ด้วยนิยมยกย่องปกครองเป็น

“ปรนิมมิตสววัตดี”ชั้นที่หก
เกินสาธกสุขมากมายมาให้เห็น
“กามสุข”สุดยอดปลอดลำเค็ญ
ดูประเด็นร้อยแก้วก็แล้วกัน.....


          "ยามา"  สวรรค์ชั้นนี้แม้จะไม่ดังเท่ากับดาวดึงส์  แต่เทวดาที่อยู่ที่นี่ต่างก็เสวยสุขอันเป็นทิพย์ยิ่งกว่าเทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์  มีปราสาทวิมานทอง  วิมานแก้ว  อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดา  เป็นพวก  “อากาสัฏฐเทวา”  คือมีวิมานลอยอยู่ในอากาศ  ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามานี้  คือท้าวสุยามะเทวาธิราช  เทวดาที่สถิตอยู่สวรรค์ชั้นนี้มีชีวิตอยู่นานถึง ๒ พันปีทิพย์ หรือสิบสี่โกฏิสี่ล้านปีในเมืองมนุษย์

           “นิมมานรดี”  เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๕  เทวดาชั้นนี้มีอายุทิพย์  วรรณทิพย์  ยศทิพย์  อธิปไตยทิพย์  รูปทิพย์  เสียงทิพย์  กลิ่นทิพย์  ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ทั้ง ๔ ชั้นที่ผ่าน  และมีความพิเศษกว่าในเรื่องของสมบัติอันเป็นทิพย์ที่สามารถเนรมิตได้ตามใจปรารถนา  นิมมานรตี  มีความหมายว่า  เทวดาที่มีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ ที่ตนเนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเองทุกประการ  หรืออีกความหมายหนึ่ง  คือ  ที่อยู่ของเหล่าเทวดาผู้มีท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชเป็นผู้ปกครอง  เทพในสวรรค์ชั้นนี้ว่า  มีอายุ ๘,๐๐๐ ปี  มากกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาถึง ๑๖ เท่า

           “ปรนิมมิตวสวัตดี”  เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖  และชั้นสุดท้ายของกามาวจรภูมิ  มีอายุทิพย์  วรรณทิพย์  ยศทิพย์  อธิปไตยทิพย์  รูปทิพย์  เสียงทิพย์  กลิ่นทิพย์  ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ทั้ง ๕ ชั้นที่ผ่านมา  ซึ่งมีความแตกต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นในเรื่องการเสวยสมบัติที่ประณีตขึ้น  ปรนิมมิตวสวัตดี  หมายถึง  เทวดาที่มีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ เป็นอย่างยิ่ง  โดยที่ตนไม่ต้องเนรมิตขึ้นเอง  แต่มีเทวดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้สมตามความปรารถนาทุกประการ  หรืออีกนัยหนึ่ง  คือ  ที่อยู่ของเหล่าเทวดาผู้มีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวราชเป็นผู้ปกครอง  อายุของเทพชั้นนี้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์  มากกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาถึง ๓๒ เท่า  ถ้านับเป็นอายุมนุษย์ก็เท่ากับ ๙,๒๑๖ ล้านปี

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๗ กันยายน ๒๕๖๑
ขอบคุณเจ้าของรูปภาพในเน็ต