กังวลไปไยหนอเดี๋ยวก็ชิน ยังมีของอร่อยลิ้นอีกมากมาย
1
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 11:06:18 PM
|
||
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
กังวลไปไยหนอเดี๋ยวก็ชิน ยังมีของอร่อยลิ้นอีกมากมาย |
2
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 08:23:09 PM
|
||
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย คิดถึงเสมอ | ||
เอี้ยวมองซ้ายมองขวา ทั้งหน้าหลัง ลองย่อนั่งเช็คตัวกลัวพุงปลิ้น |
3
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:47:13 PM
|
||
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ข้าวหอม | ||
พูดเรื่องพุงทีไรใจเต้นรัว สิ่งน่ากลัวที่สุดรีบหยุดกิน |
4
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / ทิศที่ ๑๑ การบริหารจัดการจิต: ๒๐.ทำดีไม่หวังคำชม ~กาพย์มหานันททายี
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 10:00:44 AM
|
||
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
ทิศที่ ๑๑ การบริหารจัดการจิต : ๒๐.ทำดีไม่หวังคำชม กาพย์มหานันททายี ๑...ผู้พูดเรื่องความดี....................อาจเว้น ทำดีและเร้นลวง.............................อวดโม้ ตนดีไม่เฟ้นจริง...............................อย่างนั้น คุยโวหรือโอ้อวด.............................ขัดพฤฒิพระธรรม ๒...ผู้ล้ำดีย้ำชอบ...........................จริงนั้น ไม่คุยโอ่งั้นเลย.................................อ่อนน้อม กระทำยิ่งครั้นพลัน...........................ถ่อมตัว ทำต่อรู้พร้อมลึก...............................ไม่อยากครอบครอง ๓...ตรองให้มากกว่าคิด.................ยึดถือ คำชม,ด่าครือรู้..................................คล้ายคลึง ยอและเหยียดอือรู้............................เหมือนกัน รู้เช่นนี้จึงยุด......................................ไม่อวดอะไร ๔...จิตไซร้รู้ไม่อวด..........................เลิกโว รู้จริงพูดโขเพิก...................................นิ่งอยู่ ของจริงนั้นโชว์ออก............................คล้ายใบ้ ธรรม์แท้ก็พรูค่า..................................มีคุณเที่ยงยง ๕...คุยโวจงเลิกเสีย..........................ค่าด้อย ไม่ต้องครบร้อยเสริญ..........................รางวัล ทำดีก็ช้อยค่า......................................ตัวเอง ทองแท้ประกันคุณ..............................ไม่เอาคำชม ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา: จากหนังสือ ทิศที่ ๑๑ บทที่ ๒๐ หน้า ๒๒ ของ หลวงพ่อชุมพล พลปญโญ |
5
เมื่อ: 25, พฤษภาคม, 2567, 09:47:55 PM
|
||
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
ชิมหนึ่งโลเอวขยายให้ยุ่งแน่ คิดทางแก้ภายหลังนั่งมึนหัว |
6
เมื่อ: 25, พฤษภาคม, 2567, 06:24:17 PM
|
||
เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร สรรพศาสตร์ ความไม่รู้ แลศรัทธา ที่พลาดผิด ทำลายจิต ทุกเวลา มหาศาล หลากหลายสิ่ง ล้วนสร้าง ภัยแผ้วพาล ใจร้าวราน ด้วยอามิส อวิชชา อนุรักษ์ พัฒนา อย่างยั่งยืน พร้อมพลิกฟื้น ความอุดม พรมพฤกษา เรียนให้รู้ เพื่อกอบกู้ ทั่วอาณา สรรพวิชา ประยุกต์ใช้ ให้เหมาะกาล ในแดนดิน สยามถิ่น เคยอุดม กลับขื่นขม อวิชชา เข้าล้างผลาญ ทุจริต คิดมิชอบ ตลอดกาล สุขสำราญ ดับสูญ สิ้นชีวี สรรพศาสตร์ แห่งแผ่นดิน ไม่สิ้นสุด เปรียบประดุจ ดวงดารา สง่าศรี แสงประทีป แห่งมรรคา ทั่วธานี ดั่งสุรีย์ ฉายแสง แห่งนภา คนเรียนไพร ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗ |
7
เมื่อ: 25, พฤษภาคม, 2567, 06:23:29 PM
|
||
เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร ขายวิญญาน อีกกี่ร้อย กี่พันครั้ง จักเข้าใจ แผ่นดินไทย คงไว้ ใฝ่รักษา สันติภาพ สันติสุข เพื่อประชา บูรณา ประชา ธิปไตย ยุติธรรม เลิศล้ำ บริสุทธิ์ กลับสะดุด มากปัญหา พาขานไข ความเท่าเทียม เพียงวาจา หวานละมัย สร้างทุกข์ใจ ยากแค้น แสนระทม การปกครอง ของไทย แต่โบราณ ถูกล้างผลาญ มากล้วน ชวนขื่นขม วิปริต ผิดแบบ แสนตรอมตรม ทุกข์ระทม กักขฬะ แสนอาดูร ความเดือดร้อน แพร่กระจาย หลายทั่วถิ่น แหล่งทำกิน ทั้งชีวิต มลายสูญ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ไร้เกื้อกูล พงษ์ประยูร ขื่นขม ตรมน้ำตา บางคนขาย วิญญาณ ให้มารร้าย หมู่หญิงชาย ทำลายล้าง สร้างปัญหา ทั้งเด็กน้อย หนุ่มสาว วัยชรา ไร้ราคา คู่ควร ความเป็นไทย ชาติสยาม นามระบือ ร่ำลือยิ่ง สรรพสิ่ง บรรพชน ทุกสมัย วัฒนธรรม สรรค์สร้าง ดำรงไว้ ความเป็นไทย คงอยู่ คู่นิรันดร์ คนเรียนไพร ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗ |
8
เมื่อ: 25, พฤษภาคม, 2567, 02:22:24 PM
|
||
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย คิดถึงเสมอ | ||
รสอร่อยได้ใจเหมือนไม่พอ ขอชิมต่อสักโลโชว์พ่อครัว |
9
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: ๑๒.ตัวอย่างของผู้เข้ากันได้โดยธาตุ
เมื่อ: 25, พฤษภาคม, 2567, 10:24:26 AM
|
||
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑๗.เรื่องของสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก(อานาปานสติ) กาพย์กากคติ ๑.พระพุทธเจ้า.....แนะภิกษุเร้า.....สมาธิหมาย ลมหายใจเข้า-.....ออกเฝ้ามิคลาย.....เรียก"อานาฯ"ปราย.....ทำให้มากคง อารมณ์คุมนิ่ง.....กายไม่ไหวติง.....ใจไม่หวั่นปลง เมื่อเป็น"โพธิ์สัตว์"......มิตรัส์รู้ตรง.....ก็พึ่งธรรมยง....ลำบากพ้นไกล ๒.หทัยและกาย.....ก็สุขกระจาย....."อุปาฯ"ลิใส ไม่พึงยึดมั่น.....ตัดพลันมิไขว่.....กิเลสร้ายไซร้.....หมดทลาย ภิกษุพึงหวัง......กาย,ตา,จิตพรั่ง......มิยากใจ,กาย จิตพ้น"อาสวะ".....ใจละยึดคลาย.....ทำสมาธิ์กราย.....ลมหายใจนำ ๓.ผิโพธิหนา.....กระทำ"อานาฯ"....."วิหารธรรม" ที่ป่า"อิจฉาฯ"......ถ้ามีผู้ย้ำ.....ถามพุทธ์เจ้าจำ-......พรรษา,ธรรมใด ภิกษุจงตอบ.....ด้วย"อานาฯ"รอบ....หมายลมหายใจ เข้า-ออกรู้สึก.....รู้นึกว่องไว.....สมาธิ์มิไหว.....สติสมบูรณ์ ๔.ก็ภิกษุหลาย......ริกล่าวขยาย...."อนาฯ"อะดูลย์ "อริย์วิหาร".....คือฐานธรรมกูล......อริยะพูน......ประพฤติดำรง "พรหมวิหาร"ตรอง.....ธรรมประจำของ.....พระพรหมอยู่ทรง "ตถาฯวิหาร".....เป็นฐานธรรมตรง.....จิตวางเฉยส่ง.....สงบสกนธิ์ ๕.ผิภิกษุไหน.....มิบรรลุไซร้.....สิมรรคและผล ต้องการธรรมยอด.....เพื่อปลอดรอดพ้น.....โยคะผูกตน.....เริ่มพฤติ"อานาฯ" กำหนดหายใจ.....เข้า,ออกรู้ไซร้.....ทำให้มากหนา "อาสวะ"ย่อม.....สิ้นกรอมถูกฆ่า.....หมดทุกข์ในหล้า......ตลอดยาวนาน ๖.พระภิกษุฟัง......อร์หันต์ลุฝั่ง.....กิเลสละผลาญ มรรค,ผลสำเร็จ......กิจเสร็จสิ้นงาน.....ประโยชน์ตนราน......"อานาฯ"ยังทำ "อานาฯ"เจริญ......อยู่เป็นสุขเพลิน....."สติสัมฯ"นำ ดั่งพุทธ์เจ้าไซร้......ใช้สติฯล้ำ.....เผยแพร่ศาสน์พร่ำ.....สั่งสอนมวลชน ๗.เจริญ"อะนาฯ"......ซิหนึ่งก็คว้า.....สิหลายปะผล "อานนท์"จงตรอง.....ทำคล่องมากดล....."สติปัฏฯ"ล้น.....สี่บริบูรณ์ หนึ่ง"กายาฯ"นึก......ถึงกายระลึก.....รวมธาตุสี่กูล ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ.....ก่อไซร้รวมพูน.....เป็นกายคนทูน.....เห็นจริงชัดเลย ๘.แหละ"เวทนา".....ก็สองจะพา....."สุขา"ฤ เฉย สามระลึกถึง....."จิตฯ"ซึ่งเก็บเกย.....ความดี,ชั่วเปรย.....ฝึกรู้ความจริง สี่"ธัมมาฯ"คิด.....กุศลธรรมชิด.....มีในตนยิ่ง "สติสัมป์ฯ"ครอง....."เพียร"ปองมั่นนิ่ง.....สมาธิ์จะดิ่ง.....สำเร็จมิซา ๙."สตีปัฏฐาน".....ริทำซิผ่าน.....ลุ"โพชฯ"สิหา มีปัญญาเลิศ....."ธัมม์ฯ"เจิดค้นมา.....สมาธิ์,เพียรหนา....."ปิติ"อิ่มใจ "สติ,ปัสสัทธิ์".....สุขกาย,ใจชัด......"อุเบกฯ"หทัย ใครล้ำโพชฌงค์.....ย่อมคงรู้ใฝ่....."วิชชา"สัจใส....วิมุติพ้นพลัน ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ๑๙/๔๐๑,๔๑๒,๔๑๓,๔๑๗ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๑๑๑-๑๑๓ อานาฯ,อะนาฯ=อานาปนสติ คือ การมีความระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก เป็นวิธืการทำกรรมฐานวิธีหนึ่ง โพธิ์สัตว์=พระโพธิสัตว์ คือผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตรัส์รู้=ตรัสรู้ โพธิ=ตรัสรู้ อุปาฯ=อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น อาส์วะ=อาสวะ คือกิเลสที่ดองอยู่ในสันดาน วิหารธรรม=ธรรมประจำใจ ป่าอิจฉาฯ=ป่าอิจฉานังคละ อะดูลย์=อาดูลย์ อริย์วิหาร=อริยวิหาร คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้า พรหมวิหาร=คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม ตถาฯวิหาร=ตถาคตวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของตถาคต โยคะ=เครื่องผูกมัด สติสัมฯ,สติ=สติสัมปชัญญะ อานนท์=พระอานนท์ พุทธอุปฐาก สติปัฏฯ=สติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักการภาวนา ข้อปฏิบัติให้รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ แบ่งเป็น ๔ คือ ๑)กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้ระลึกถึงกายอันเป็นที่ประชุมของธาตุทั้งสี่ ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ ให้ระลึกถึงความเสวยอารมณ์ มีสุข ทุกข์ อุเบกขา ๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ ให้ระลึกถึงจิต ผู้สะสมความดีและชั่วทั้งหลาย ๔)ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือให้ระลึกถึงธรรม สภาพที่ทรงไว้ในตน เช่น กุศลกรรม อกุศลธรรม ปะปนกันอยู่ สตีปัฏฐาน=สติปัฏฐาน โพชฯ=โพชฌงค์ ๗ คือองค์ประกอบแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ ๑) สติสัมโพชฌงค์ มีสติรู้สึกตัว ๒) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือสอดส่องสืบค้นธรรม ๓) วิริยสัมโพชฌงค์ คือมีความเพียร ๔) ปิติสัมโพชฌงค์ เกิดความอิ่มใจ ๕) ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เกิดความสุขกาย ใจ ๖) สมาธิสัมโพชฌงค์ คือใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์ ๗)อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามความเป็นจริง วิชชา=ความรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ วิมุติ=ความหลุดพ้น |
10
เมื่อ: 24, พฤษภาคม, 2567, 10:25:58 PM
|
|||
เริ่มโดย รินดาวดี - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|