บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- พระอินทร์องค์ปัจจุบัน -
ท้าวสักกะมัฆวานประธานเทพ มีสุขเสพภิรมย์สมประสงค์ ถือคุณธรรมเจ็ดประการมั่นดำรง ผลบุญส่งสูงเด่นเป็นพระอินทร์
“เลี้ยงบิดามารดา”ไม่ละทิ้ง “เคารพยิ่งผู้ใหญ่”ไม่มองหมิ่น “กล่าววาจาอ่อนหวาน”สุวาทิน “ไม่พูดนินทาท่อส่อเสียดใคร”
“ไม่มีความตระหนี่”ถี่เหนียวจัด “มีความสัตย์”ซื่อเสนอเสมอสมัย “ระงับโกรธ”โหดเหี้ยมเจียมข่มใจ อดทนได้ทุกสถานการณ์พบ
จึ่งเป็น“ท้าวสักกะเทวราช” แสนองอาจทุกผู้ริปูสยบ จากชาติชายนายบ้าน“มัฆมาณพ” พร้อมเพื่อนครบขึ้นเป็นใหญ่ครองไตรตรึงษ์
ได้ฟังธรรมพุทธองค์ทรงเทศน์สอน ใจสังวรตรองดูรู้ทั่วถึง “ตาเห็นธรรม”กำจัดบาปรัดรึง เข้าเป็นหนึ่ง“พระอริยะบุคคล” |
ท้าวมัฆวานหรือสักเทวราชคุมีณธรรม ๗ ประการ ทำให้ได้เป็นพระอินทร์ ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ ได้แก่ เลี้ยงดูบิดา มารดา, เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล, กล่าววาจาอ่อนหวาน, ไม่กล่าวคำส่อเสียด, ไม่มีความตระหนี่, มีความซื่อสัตย์, ระงับความโกรธได้
ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ มีพระมเหสี ๔ พระองค์ คือ พระนางสุนันทา พระนางสุจิตรา พระนางสุธรรมา พระนางสุชาดา ผู้อยู่ประจำดูแลอุทยานสวรรค์ทั้งสี่ดังกล่าวแล้ว และพระอินทร์สำเร็จเป็นพระอริยะบุคคล ด้วยการฟังพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดง “สักกปัณหสูตร” ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุถึงกระแสพระนิพพาน เป็นพระโสดาบัน อริยะบุคลขั้นแรกของพระอริยะเจ้า และคงอยู่ในดาวดึงส์พิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะลงมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชในมนุษยโลกและสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้ว ก็ไปกลับไปเกิดในชั้นพรหมโลกสำเร็จเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ ปรินิพพานไปในที่สุด อายุทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ นับเป็นปีมนุษย์ได้สามโกฏิหกล้านปี จากสูตรคำนวณที่ว่า ๑๐๐ ปีมนุษย์เท่ากับ ๑ วันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย ๗ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, มนชิดา พานิช, หยาดฟ้า, คิดถึงเสมอ, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), My Little Sodium, ข้าวหอม, ปิ่นมุก, ต้นฝ้าย, ชลนา ทิชากร, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- พระอินทร์องค์ปัจจุบัน - - เล่าเรื่องมฆมาณพ ๑ -
ขอจับกล่าวเล่าความตามชาดก โดยหยิบยกเรื่องชายใจกุศล รวม“สามสิบสาม”นายสหายตน อยู่ตำบลนามว่า“มจลคาม”
หัวหน้ากลุ่มนามว่า“มฆมาณพ” ชวนผู้คบสมาคมครองข้อห้าม ถือศีลห้าเชื่อมโยงทุกโมงยาม ทุกคนงามกายใจไร้เบียดเบียน
บ้านทั้งหมู่อยู่สงบลบเหตุร้าย คนเป็นนายบ้านเหงาการณ์เก่าเปลี่ยน ขาดรายได้จากบาปลาภหมุนเวียน ผู้ร้ายเลี่ยนโล่งคามความไม่มี
“คามโภชก”งกลาภใจบาปหนา ปรารถนาสินบนคนครึ่งผี ค่อนหมู่บ้านทุกคนเป็นคนดี เก็บภาษีเถื่อนไม่ได้สักราย
จึงใส่ความมาณพหวังลบโค่น ว่าเป็นโจรรีบนำความถวาย พระราชารับรู้มิดูดาย จับสหายสามสิบสามประหารพลัน
ให้ช้างเหยียบกี่ช้างก็ยังเฉย ช้างมิเคยทำร้ายเหล่าชายนั่น ด้วยศีลธรรมที่ครองคอยป้องกัน องค์ราชันแปลกใจไต่ถามดู
ทราบความจริงจึงให้ปลดนายบ้าน ริบสมบัติพัสถานการเป็นอยู่ “มฆมาณพ”รับตั้งตำแหน่งครู ประธานหมู่บ้านใหญ่แต่นั้นมา.... |
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านชื่อ “มจลคาม” ในเมืองมคธกลางชมพูทวีป มฆมาณพมีสหาย ๓๒ คน พวกเขาช่วยกันสร้างศาลา สร้างถนนหนทาง และสาธารณประโยชน์อื่น ๆ และรักษาศีลทำบุญให้ทานอยู่เสมอ พร้อมกันนั้นก็แนะนำชักชวนให้ชาวบ้านรักษาศีล ทำบุญให้ทานเช่นเดียวกับพวกตน ชาวบ้านเห็นดีเห็นงามก็พากันร่วมรักษาศีล ทำบุญให้ทานเกือบทั้งตำบล มจลคามจึงเป็นหมู่บ้านที่ไร้โจรผู้ร้ายสงบร่มเย็น
“คามโภชก”(นายบ้าน = กำนัน) เห็นว่าพวกชายหนุ่มดังกล่าวทำให้บ้านเมืองขาดผู้ร้าย จนทำให้ตนขาดรายได้ค่าธรรมเนียมสินไหมจากชาวบ้านที่ก่อการวิวาทหรือประพฤติผิดกฏหมาย จึงคิดจะให้ชาวบ้านเลิกรักษาศีลเสีย แต่ก็ไม่เป็นผล จึงไปกราบทูลพระราชาใส่ความว่า ชายหนุ่มกลุ่มดังกล่าวเป็นโจร ซึ่งพระราชามิทันได้สอบสวน ก็ให้จับมฆมาณพและสหาย ๓๒ คนมาลงโทษโดยให้ช้างเหยียบ มฆมาณพก็สอนสหายให้แผ่เมตตาแก่นายบ้านกับพระราชาและช้าง ทำให้ช้างไม่อาจเหยียบกลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นได้ กลับแล่นเตลิดหนีไป แม้จะให้ช้างเชือกอื่นมาเหยียบก็ไม่เป็นผล พระราชาสงสัยว่า โจรเหล่านั้นมีอะไรดี จึงเรียกไปสอบถาม มฆมาณพจึงทูลว่าพวกตนรักษาศีลห้าและประพฤติวัตตบทธรรม ๗ ประการ พระราชาจึงโปรดให้ริบทรัพย์นายบ้านทั้งหมด นำมาพระราชทานแก่มฆมาณพ และเป็นรางวัลแก่เหล่าสหายชายหนุ่มด้วย
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๘ กันยายน ๑๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, คิดถึงเสมอ, ปิ่นมุก, ต้นฝ้าย, ชลนา ทิชากร, มนชิดา พานิช, My Little Sodium, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- เล่าเรื่องมฆมาณพ ๒ -
“มฆมาณพ”เมื่อได้เป็นนายบ้าน “มือประสานสิบทิศ”ไหว้ทั่วหน้า ชวนชาวบ้านสานสร้างดีนานา ถือศีลห้าเป็นนิจไม่บิดเบือน
สร้างถนนหนทางทั้งสระน้ำ เกษตรกรรมแบบใหม่ไม่มีเหมือน ได้ภรรยาทั้งสี่เป็นศรีเรือน เคียงคู่เพื่อนสร้างบุญบารมี
สร้างศาลาหลังงามตามสี่แพร่ง “สุธัมม์”แต่งช่อฟ้าสง่าศรี “สุจิตรา”สร้างสวนไม้มาลี สระโบกขรณี “สุนันทา”
“สุชาดา”เพิกเฉยไม่เคยสร้าง ชอบสำอางเอาแป้งลูบแต่งหน้า ครั้นทุกคนถึงกาลกิริยา เป็นเทพบุตรเทพธิดาบนฟ้าไกล |
มฆมาณพได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นนายบ้าน (คามโภชก) ปกครองหมู่บ้านนั้นแทนคนเก่าผู้ประพฤติมิชอบนั้น เขาชวนเพื่อนชายหนุ่มเหล่านั้นสร้างถนนหนทางและสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการสร้างศาลาที่ทางสี่แพร่งนั้นไม่ยอมให้ผู้หญิงมาเกี่ยวข้องด้วย แม้แต่ภรรยาทั้งสี่ของมฆมาณพเอง แต่ภรรยาของมฆมาณพชื่อนางสุธัมมา อยากร่วมทำบุญด้วยจึงว่าจ้างช่างไม้ทำช่อฟ้าอันงามซ่อนไว้ เมื่อสร้างศาลาเสร็จช่างจึงอ้างว่าลืมช่อฟ้าและไม่อาจทำด้วยไม้ใหม่ได้ แล้วขอร้องให้รับช่อฟ้าของนางสุธัมมาให้นางมีส่วนร่วมทำบุญ โดยกล่าวว่ายกเว้นพรหมโลกแล้วไม่มีที่ใดที่ปราศจากสตรี เขาจึงยอมรับช่อฟ้าไม้ของนางสุธรรมาติดประดับหลังคาศาลา จากนั้น นางสุจิตตาก็ได้สร้างสวนอุทยาน นางสุนันทาให้สร้างสระโบกขรณี เป็นการร่วมบุญกับมฆมาณพผู้สามี แต่นางสุชาดาภรรยาคนที่สี่ของมฆมาณพมิได้ร่วมการกุศลกรรมในครั้งนั้น ด้วยนางสนใจแต่การแต่งตัวกรีดกรายไปตามหมู่ชน
นอกจากชักชวนให้ทุกคนในหมู่บ้านรักษาศีล ๕ แล้ว มฆมาณพยังให้สหายปฏิบัติวัตรบท ๗ ประการด้วย เมื่อบุคคลทั้งหลายดังกล่าวตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดร่วมกันในสวรรค์ชั้นเทพสุทัศน์บนยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งต่อมาสวรรค์ชั้นนี้ได้นามว่า “ดาวดึงส์” เมื่อมฆเทพบุตรและพวกจับเทพเจ้าของถิ่นเดิมพร้อมหัวหน้าซึ่งครองตำแหน่งพระอินทร์อยู่ โยนลงไปอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ และตนได้ครองตำแหน่งพระอินทร์แทน
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๙ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในเน็ต
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ข้าวหอม, คิดถึงเสมอ, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ปิ่นมุก, ต้นฝ้าย, ชลนา ทิชากร, มนชิดา พานิช, My Little Sodium, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- นางสุชาดาเป็นนก มนุษย์ อสูร -
“สุธัมมา,สุจิตรา,สุนันทา” เป็นชายามัฆวานพิมานใกล้ “สุชาดา”พาตนเกิดหนใด พระอินทร์ไล่เลียงดูจนรู้ความ
เป็นนกยางร่างงามอยู่ตามหนอง เดินเยื้องย่องเที่ยวหาปลางุ่มง่าม จึ่งลงไปชี้นิวาสน์ปราสาทงาม ซึ่งทั้งสามนางสร้างบุญได้มา
สอนให้นางนกงามรู้ความผิด ที่ไม่คิดร่วมมือถือศีลห้า จึงมิเกิดร่วมสวรรค์เป็นภรรยา จงรักษาศีลเถิดจะเกิดดี
นกยางถือศีลห้าอย่างว่าง่าย กินปลาตายตราบตนพ้นปักษี เกิดเป็นธิดาช่างหูกสุขมากมี พระอินทร์รี่ลงช่วยสอนศีลทาน
พ้นมนุษย์เป็นธิดาอสูรภพ มีวัยครบครองคู่อยู่ชื่นหวาน อสูรจัดเลือกคู่อยู่ไม่นาน ธิดาผ่านอสูรหนุ่มกุมอินทร์แปลง..... |
มฆมาณพเกิดเป็นพระอินทร์อยู่เหนือทวยเทพทั้งหลาย เสวยทิพยสมบัติมีบาทบริจาริกาพร้อมด้วยมเหสี คือนางสุธัมมาผู้มีปราสาทแก้วชื่อสุธัมมาสภาคศาลาสูง ๕๐๐ โยชน์เกิดคู่บุญพระอินทร์ประทับเหนือแท่นทองสูง ๑ โยชน์ ใต้ทิพยเศวตฉัตรบริหารกิจต่าง ๆ ณ เทวสภาแห่งนี้ นางสุจิตรามีสวนชื่อจิตรลดาวันเกิดมาคู่บุญ ด้วยเหตุที่เคยสร้างสวนเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนแต่ปางก่อน นางสุนันทาก็มีสระนันทาโบกขรณีเกิดคู่บุญเพราะเคยสร้างสระบัวมาแต่ปางก่อนเช่นกัน
ส่วนนางสุชาดาไปเกิดเป็นนกยางเพราะไม่เคยทำบุญร่วมกันมาก่อน เมื่อพระอินทร์มิได้เห็นนางในสวรรค์และรู้ว่านางเป็นนกยาง จึงลงมาพาขึ้นไปดาวดึงส์ ให้นางได้เห็นสุธัมมาเทวสภาคศาลา จิตรลดาวัน และนันทาโบกขรณี แล้วสอนนางว่าเมื่อเป็นมนุษย์นางมิได้ทำบุญ จึงต้องเกิดเป็นเดียรัจฉาน ฉะนั้นนางจงรักษาศีลห้า กินแต่ปลาตาย แล้วนำกลับคืนมามนุษย์ นางนกยางก็ถือศีลห้าด้วยปรารถนาขึ้นไปอยู่ร่วมกับพระอินทร์เช่นนางทั้งสาม ครั้งหนึ่งพระอินทร์ทดลองว่านางรักษาศีลหรือไม่ จึงแปลงเป็นปลาตายลอยน้ำมา ครั้นนางจิกจะกิน ก็ทำให้เห็นว่ากระดิกได้ นางนกรีบปล่อยปลานั้นเสีย นางรักษาศีลตลอดชีวิต ไปเกิดเป็นธิดาช่างทอหูกในเมืองพาราณสี พระอินทร์ก็นำผลแตงทองคำใส่เต็มเกวียนเข้าไปในเมือง ประกาศว่าจะให้แก่ผู้รักษาศีล แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักศีลเลย นอกจากนางสุชาดา พระอินทร์จึงมอบทั้งเกวียนและแตงทองคำแก่นาง
เมื่อนางสุชาดาตายจากมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นธิดาของเวปจิตติอสูร (เทพบุตรที่เคยถูกมฆมาณพจับโยนจากสวรรค์ลงมาสู่ใต้เขาพระสุเมรุจนเกิดพิภพอสูรขึ้น) มีรูปงามอย่างยิ่ง ด้วยอานิสงส์ที่นางรักษาศีลติดต่อกันมาสองชาติ ครั้นนางเจริญวัยสมควรจะมีคู่ครอง เวปจิตติอสูรจึงประกาศให้อสูรทั้งหลายไปประชุมกันให้นางเลือกคู่ พระอินทร์ทรงทราบก็แปลงกายเป็นอสูรชราเข้าไปในที่ประชุม นางสุชาดาได้เห็นก็จำได้ว่าเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน จึงเลือกอสูรชราผู้เป็นพระอินทร์แปลงนั้นเป็นคู่ครอง พระอินทร์จึงอุ้มพานางขึ้นสู่นครไตรตรึงษ์ ให้นางเป็นอีกหนึ่งในมเหสี มีนางฟ้าทั้งหลายสองโกฏิกึ่งเป็นบริพารแต่นั้นมา
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๐ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, มนชิดา พานิช, ปิ่นมุก, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), My Little Sodium, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, คิดถึงเสมอ, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- ศาลาสุธรรมา, ปาริชาต -
บนสวรรค์ชั้นใหญ่ไตรตรึงษา ศาสนาพุทธไปเกี่ยวหลายแห่ง เป็นเมืองพุทธผุดผ่องกองบุญแพง ที่แสดงธรรมะเทวสภา
คือ“ศาลาสุธรรมา”มเหสี ใช้เป็นที่ฟังคำธรรมกถา พระอินทร์นั่งสั่งการงานเทวา กลางศาลามีธรรมาสน์ประกาศธรรม
เทพชุมนุมฟังธรรมรับคำสอน องค์อินทรเกริ่นกล่าวทั้งเช้าค่ำ จึงเป็นเทวสภามีประจำ ซึ่งผู้นำดาวดึงส์พึงพอใจ
มีต้น“ปาริชาต”กัลปพฤกษ์ ที่รำลึกชาติเกิดกำเนิดได้ ทุกร้อยปีมีดอกออกแทนใบ เทพล้วนไปรอรับเอากับมือ..... |
สถานที่สำคัญในดาวดึงส์สวรรค์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ดังนี้ -
ศาลาสุธรรมาเทวสภา สถานที่ฟังธรรมซึ่งบรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน ศาลาแห่งนี้ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ สูง ๕๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทองเครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ หลังคามุงด้วยอินทนิล เพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงินตรงกลางศาลา เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง ๑ โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ กั้นด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์ ข้างธรรมาสน์เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ และเทวดาอื่น ๆ นัยว่าพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาโปรดพระพุทธมารดา ก็ได้ประทับบนธรรมาสน์นี้แสดงดพระอภิธรรมตลอดกาล ๑ พรรษา
ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์) อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวาง ล้อมด้วยกำแพงรอบ ๔ ด้าน กลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ ต้นไม้นี้ ๑๐๐ ปี (สวรรค์) จึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้น เหล่าเทพบุตร เทพธิดา ก็พากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบานสะพรั่ง เมื่อดอกไม้บานแล้ว ก็ปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก ดอกปาริชาตจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้นเป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้ ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกไม้ก็ยังไม่ตกลงดิน โดยมีลมชนิดหนึ่งพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าจะมีเทพยดาผู้ประสงค์ได้ก็มารับเอาไป...
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าขอภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ปิ่นมุก, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, My Little Sodium, คิดถึงเสมอ, มนชิดา พานิช, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- พระเกศธาตุจุฬามณี -
ดาวดึงส์มีมิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพทุกทิศน้อมรับนบนับถือ นามเกศธาตุจุฬามณีที่เลื่องลือ มิอาจซื้อหาได้ที่ใดเลย
ปางเมื่อ“สิทธัตถมหาบุรุษ” หมายวิมุตโลกีย์มิอยู่เฉย สละสิ้นทรัพย์ศฤงคารอันน่าเชย หวังเสวยสุขทิพย์คือนิพพาน
ตัดโมฬีโยนทิ้งถือเพศบวช พระอินทร์ตรวจดูเห็นความอาจหาญ รีบเหาะลงรับโมฬีที่ทิ้งทาน กลับวิมานเมืองอินทร์ด้วยยินดี
สร้างสถานปาน“เซฟ”เก็บพระเกศ ของวิเศษมิ่งมงคลเมืองโกสีย์ ขนานนามสถูปว่า“จุฬามณี” เป็นธาตุที่เทพพร้อมล้อมบูชา
ครั้นองค์สัมพุทธะละสังขาร ได้มีการแจกพระธาตุให้ทั่วหน้า “โทณพราหมณ์”ซ่อน“เขี้ยวแก้ว”ด้วยใจกา จอมเทวาลงมาควักยักเอาไป
เชิญ“พระเขี้ยวแก้วองค์ขวา”สู่สวรรค์ ปวงเทวัญปรีดาจะหาไหน สถิตเคียงพระเกศธาตุเพื่อเทพไท น้อมกราบไหว้บูชาจุฬามณี.....
|
ณ เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้ มีปูชนียสถานสำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึ่งคือ “พระจุฬามณีเจดีย์” มีทรงสัณฐานใหญู่ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์ของเทพนครไตรตรึงษ์ สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ แล้วประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ ยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา ประดับด้วยธงนานาชนิด มีสีแดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบ้าง ประดับประดา แลดูงามนักหนา ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องดีดสีตีเป่า สังคีตสรรพดุริยางค์ทั้งหลาย มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด พระจุฬามณีเจดีย์องค์นี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันนี้เอง พระองค์สร้างไว้เพื่อประดิษฐานพระเกศธาตุให้เป็นที่สักการบูชาของทวยเทพในชั้นฟ้า ภายในพระมหาเจดีย์จุฬามณีนั้นบรรจุสิ่งสำคัญอันหาค่ามิได้ถึง ๒ อย่างด้วยกัน คือ
“พระเกศโมลี” แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อสิทธัตถมหาบุรุษออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระเมาฬีด้วยพระขรรค์แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย" คราที่นั้นสมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงเล็งเห็นด้วยทิพยเนตร จึงทรงนำผอบทองคำเสด็จลงมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น
“พระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา” ของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่โทณพราหมณ์ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ทำหน้าแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น เปิดรางทองคำออกแล้วแลดูเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย เห็นพิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครู มิได้ใส่ใจการแบ่งพระสารีริกธาตุ ก็พลันฉุกคิดยักยอกพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นส่วนของตน จึงแยกพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชได้เสด็จมาสังเกตการณ์อยู่ ด้วยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน เห็นพฤติกรรมของโทณพราหมณ์เช่นนั้น จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาจากผ้าโพกศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่ง แล้วรีบเสด็จขึ้นนครไตรตรึงษ์ อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวานั้น ประดิษฐานบรรจุไว้ เป็นคู่กับพระเกศธาตุ ณ จุฬามณีเจดีย์นี้
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, My Little Sodium, หยาดฟ้า, คิดถึงเสมอ, ข้าวหอม, มนชิดา พานิช, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- การฟังธรรมของเทวดา -
ทุกวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำ “วันฟังธรรม”ชำระใจให้ผ่องศรี เทพชุมนุมฟังธรรมเสริมความดี “ศาลาสุธรรมมา”มีอเนกอนันต์
ผู้แสดงธรรมประเสริฐเลิศโวหาร “พรหมกุมาร”เหมือนพระแห่งสวรรค์ ถึงเวลาจากพรหมลงมาพลัน เทพพากันกราบไหว้ตั้งใจฟัง
เสียงธรรมใสไพเราะพระพรหมเจ้า เทพทุกเหล่าชื่นจิตติดมนต์ขลัง ธรรมทานพระพรหมเจ้าเนาจีรัง หน้าและหลังเทพทั้งมวลล้วนชื่นชม
มีเทพในไตรตรึงษ์ซึ่งเป็นปราชญ์ ชาญฉลาดรู้ธรรมงามเหมาะสม ด้วยเมื่อเป็นมนุษย์นั้นหมั่นอบรม จนคลายปมกิเลสหยาบบาปเบาบาง
จึ่งวันพระเทพก้มเกศเชิญเทศน์สอน มวลอมรสาธุการไม่เมินหมาง ด้วยท่านเป็น“อริยะ”ราคะจาง มิไกลห่างอรหันต์อนันต์คุณ
และบางคราวท้าวโกสีย์มีพิเศษ ทรงขึ้นเทศน์เทวาไม่ว้าวุ่น ตั้งใจฟังแต่เริ่มต้นเพิ่มบุญ รับการุณย์องค์อินด้วยยินดี.... |
เมื่อถึงวันพระคือวันธรรมสวนะ เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมา เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล ซึ่งถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพในสวรรค์ กิริยาที่เทวดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตนตามฐานานุศักดิ์ ภายในศาลาสุธรรมาแลดูงดงามนักหนา เมื่อเหล่าเทพนั่งพร้อมเพรียงกันแล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า “พรหมกุมาร” เป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรม เสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล ครั้นมาถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้วและเทศนาแจกแจงธรรมะไพเราะจับใจเหล่าเทวดา ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ คือ ๑. เสียงแจ่มใส ๒. เสียงชัดเจน ๓. เสียงนุ่มนวล ๔. เสียงน่าฟัง ๕. เสียงกลมกล่อม ๖. เสียงไม่พร่าแตก ๗. เสียงลึก ๘. เสียงมีกังวาน เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ด้วยเสียงแห่งพรหมนั้น เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรสแห่งพระธรรมนักหนา พอควรแก่เวลาแล้วพระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไป
บางคราว เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญเชิญเทวดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง เป็นองค์แสดงธรรม เพราะว่าเป็นผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ก็มีมาก เทวดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธานย่อมทราบได้ดีว่า เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม ก็พร้อมกันอัญูเชิญให้เทวดานั้น ขึ้นธรรมาสน์แก้วแสดงธรรมโปรดพวกตน เสร็จแล้วจึงอนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทวดาอันน่าชื่นใจ
บางคราวสมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์ ก็ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเอง วันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง วันนั้นเป็นวันพิเศษจริง ๆ และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะองค์พระอมรินทร์จอมเจ้าทรงเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลและสนใจในพระธรรมมาก มีพระกมลสันดานกอปรด้วยศรัทธาเมตตาการุณย์เป็นบุญญาธิการอันสูงเยี่ยม.....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, My Little Sodium, คิดถึงเสมอ, มนชิดา พานิช, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- จารึกความดีมนุษย์ลงแผ่นทอง -
“บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” แดงดั่งชาดเพริดแพร้วแก้วหินสี เป็นแท่นทิพย์อัศจรรย์พันลึกมี ใช้เป็นที่นั่งลงพักองค์อินทร์
เกิดเหตุร้ายในมนุษย์สุดโศกศัลย์ แท่นอ่อนพลันแข็งกระด้างขึ้นดั่งหิน สหัสนัยน์แลลงตรงแผ่นดิน ก็ทราบสิ้นแก้ได้ไม่ทันนาน
กลับกล่าวถึง“ท้าวจาตุมหาราช” ไม่เคยขาดกิจวัตรบรรทัดฐาน เที่ยวสอดส่องพฤติกรรมแล้วจำจาร เรื่องบุญทานมากมีที่คนทำ
ทำบัญชีรายชื่อแล้วถือมั่น ขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์ถึงเบื้องต่ำ มอบ“ปัญจสิขร”เทพร่อนรำ ให้ช่วยนำมอบต่อ“มาตุลี”
เมื่อองค์อินทร์แสดงธรรมสิ้นกำหนด รับชื่อจดสุพรรณบัฏบรรณศรี รอมนุษย์ที่ทำคุณความดี มาเกิดที่เมืองแมนแดนพระองค์.... |
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ คือแท่นศิลาแก้วสีแดง (รัตกัมพล) อ่อนนุ่ม เมื่อพระอินทร์ประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ ว่ากันว่า ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนแก่มนุษย์อย่างสาหัสที่พระองค์ควรต้องช่วย พระแท่นนี้ก็จะแข็งกระด้าง ทรงส่องพระสหัสสเนตรเล็งแลเห็นแล้วก็จะเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาช่วยคลายทุกข์ให้เสมอ
ท่านท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่สุด เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก ในอรรถกถาโลภปาลสูตรกล่าวว่า เมื่อถึงวันอุโบสถคือ ขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์ จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอ โดยจะถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดินดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์ ถ้าใครทำบุญประพฤติธรรม ทำความดี ก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำ แล้วนำแผ่นทองคำไปให้ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง พระมาตุลีจึงเอาไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องสาธุการ ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก
แต่หากมนุษย์ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้ท้าวยมราช เพื่อให้นายนิริยบาลทั้งหลายจะได้ทำกรรมกรณ์ ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, มนชิดา พานิช, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), คิดถึงเสมอ, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- กล่าวถึงสวรรค์ชั้นดุสิต -
“ดุสิต”สวรรค์ชั้นสี่นี้เลิศหรู เป็นที่อยู่โพธิสัตว์วัตรสูงส่ง ชุมนุมเทพบริสุทธิ์พุทธพงศ์ รอกาลลงเป็นพุทธศาสดา
เป็นที่อยู่เทพพระอริยะเจ้า ผู้รอเข้าสู่นิพพานในกาลหน้า คือ“พระโสดาบัน,สกิทาคาฯ” เดินเข้าหาอรหันต์ไม่ผันทาง
“สันตุสิต”เป็นใหญ่ในชั้นนี้ แบ่งเขตที่เป็นอยู่เทพแตกต่าง “อริยะเจ้า”ทุกองค์อยู่วงกลาง วงนอกวาง“โพธิสัตว์”ผู้ชัดเจน
วงสามเป็น“โพธิสัตว์”ไม่ชัดแจ้ง ต้องเติมแต่งบารมีที่โดดเด่น ได้พยากรณ์ความตามกฎเกณฑ์ เหมือนดั่งเช่น“พระศรีอาริย์”ไม่ผันแปร
วงนอกมีที่ว่างไว้รอรับ ผู้ที่ดับจิตใจบุญใหญ่แน่ ขึ้นมาอยู่ดุสิตได้ไม่อัดแอ ซึ่งตามแต่บุญแบ่งไม่แย่งกัน.... |
สวรรค์ชั้นดุสิตกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิตซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วเป็นผู้ปกครอง ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา ๔๒,๐๐๐โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืด อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์
ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต ไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่กลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่างนุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่มเนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี สวรรค์ชั้นดุสิตไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์เพราระดวงอาทิตย์เล็กนิดเดียว สวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่ามากนัก
โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลางของสวรรค์ แล้วแบ่งออกเป็น ๔ เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้...
เขตที่ ๑ เป็นที่อยู่ของพระอริยะเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด
เขตที่ ๒ เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน (เช่นพระศรีอาริยเมตไตรย) เป็นวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานให้หมด
เขตที่ ๓ เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยังต้องสร้างบารมีอีกมาก
เขตที่ ๔ เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลจนมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไปนอกเหนือจาก ๓ เขตแรก
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๕ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในกูเกิล
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, My Little Sodium, ต้นฝ้าย, มนชิดา พานิช, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, คิดถึงเสมอ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- ดุสิตคือสวรรค์ของโพธิสัตว์ -
“ดุสิต”คือสวรรค์ชั้นพิเศษ เป็นประเทศโพธิสัตว์สถิตมั่น “นิตยโพธิสัตว์”อเนกอนันต์ ต่างรอวันลงอุบัติตรัสรู้ธรรม
“อนิยตโพธิสัตว์”ซึ่งไม่แน่ ด้วยไม่แก่บารมีที่เพียรพร่ำ ต้องสะสมบ่มบำเพ็ญเป็นประจำ จน“พระสัมมาสัมพุทธ”พยากรณ์
อีกเทพปราชญ์บัณฑิตอิสระ รอคอยจะจุติมิย่อหย่อน เป็นสาวกมุนินทร์ชินวร ฟังคำสอนแล้วรู้สู่นิพพาน
ดุสิตเปรียบชุมทางบุญสร้างสรรค์ แหล่งเหล่ากออรหันต์เกิดสืบสาน พระโพธิสัตว์แสดงธรรมให้เป็นทาน ซึ่งเป็นการต่อเติมเพิ่มบารมี..... |
สวรรค์ชั้นดุสิต มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความพิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต
เหตุที่พระโพธิสัตว์หรือบัณฑิตทั้งหลาย ปรารถนาที่จะได้บังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทั้ง ๆ ที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมีมากมาย จะปรารถนาไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ แต่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ จึงมีข้อสังเกตอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
๑. พระโพธิสัตว์สามารถจุติ (เคลื่อนย้าย) ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความว่าโดยปกติแล้วเทวดามีเหตุแห่งการจุติ (เคลื่อนย้ายจากที่เดิม) หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี เพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมาสร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ (Meditation) อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิดได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของชาวสวรรค์ชั้นอื่น ๆ
๒. เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระโพธิสัตว์ ล้วนมีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน คือฝึกฝนตนเองด้วยปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทะเลทุกข์เวียนว่ายตายเกิด ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่น ๆ คบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความเบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมาแสดงธรรมให้ฟัง
๓. ขนาดอายุทิพย์ของชาวสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามีอายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๖ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของภาพในเน็ต
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, มนชิดา พานิช, หยาดฟ้า, My Little Sodium, ต้นฝ้าย, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, คิดถึงเสมอ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: ~ ว่าด้วยเทวดา - อสูร ~
- สิ้นสุดสวรรค์ชั้นกามาพจร -
กามาพจรสวรรค์ชั้นที่สาม ได้กล่าวข้ามมาเน้นเรื่องชั้นสี่ เพราะ“ยามา”วิมานเมืองเรืองรูจี เป็นภูมิที่เทพประจำธรรมดา
เช่นเดียวกันกับสวรรค์ชั้นที่เหลือ เทพเกิดเพื่อเสวยบุญพูนสุขา เมื่อหมดบุญกุศลกรรมที่ทำมา ก็เคลื่อนคลาจากสวรรค์ชั้นนั้นไป
“ยามา”ภูมิสวรรค์ชั้นที่สาม “ท้าวสุยาม”เทวราชผู้เป็นใหญ่ เหล่าเทวาผาสุกปราศทุกข์ภัย วิมานไหวเคลื่อนคล้อยลอยตามลม
สวรรค์“นิมมานรดี”ชั้นที่ห้า เทพปรารถนาสิ่งใดล้วนได้สม “สุนิมมิตเทวราช”เทพบังคม ด้วยนิยมยกย่องปกครองเป็น
“ปรนิมมิตสววัตดี”ชั้นที่หก เกินสาธกสุขมากมายมาให้เห็น “กามสุข”สุดยอดปลอดลำเค็ญ ดูประเด็นร้อยแก้วก็แล้วกัน..... |
"ยามา" สวรรค์ชั้นนี้แม้จะไม่ดังเท่ากับดาวดึงส์ แต่เทวดาที่อยู่ที่นี่ต่างก็เสวยสุขอันเป็นทิพย์ยิ่งกว่าเทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทวิมานทอง วิมานแก้ว อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดา เป็นพวก “อากาสัฏฐเทวา” คือมีวิมานลอยอยู่ในอากาศ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามานี้ คือท้าวสุยามะเทวาธิราช เทวดาที่สถิตอยู่สวรรค์ชั้นนี้มีชีวิตอยู่นานถึง ๒ พันปีทิพย์ หรือสิบสี่โกฏิสี่ล้านปีในเมืองมนุษย์
“นิมมานรดี” เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้มีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ทั้ง ๔ ชั้นที่ผ่าน และมีความพิเศษกว่าในเรื่องของสมบัติอันเป็นทิพย์ที่สามารถเนรมิตได้ตามใจปรารถนา นิมมานรตี มีความหมายว่า เทวดาที่มีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ ที่ตนเนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเองทุกประการ หรืออีกความหมายหนึ่ง คือ ที่อยู่ของเหล่าเทวดาผู้มีท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชเป็นผู้ปกครอง เทพในสวรรค์ชั้นนี้ว่า มีอายุ ๘,๐๐๐ ปี มากกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาถึง ๑๖ เท่า
“ปรนิมมิตวสวัตดี” เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖ และชั้นสุดท้ายของกามาวจรภูมิ มีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ทั้ง ๕ ชั้นที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นในเรื่องการเสวยสมบัติที่ประณีตขึ้น ปรนิมมิตวสวัตดี หมายถึง เทวดาที่มีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ เป็นอย่างยิ่ง โดยที่ตนไม่ต้องเนรมิตขึ้นเอง แต่มีเทวดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้สมตามความปรารถนาทุกประการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ที่อยู่ของเหล่าเทวดาผู้มีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุของเทพชั้นนี้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ มากกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาถึง ๓๒ เท่า ถ้านับเป็นอายุมนุษย์ก็เท่ากับ ๙,๒๑๖ ล้านปี
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ ขอบคุณเจ้าของรูปภาพในเน็ต
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, หยาดฟ้า, My Little Sodium, ปิ่นมุก, มนชิดา พานิช, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), คิดถึงเสมอ, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, Paper Flower, น้ำหนาว, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|