ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๖- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ พี่แสนห่วง “พินทุมดี” แท้ ชวนขวัญแม่มาจมปลักศักดิ์สูญสิ้น แต่เกิดมามิน่าเคยเลยเดินดิน สุดถวิลให้ย่ำย่างกลางพนา
๏ โอ้อกพี่นี้ก่อนไรไม่เคยคิด จะมีฤทธิ์เหาะเหินเดินเวหา ครั้นเมื่อได้พระขรรค์ปานเทวา ก็หลงฟ้าปลาบปลื้มลืมธรณี
๏ เมื่อหวนคิดชีวิตคนบนโลกหล้า เหลิงยศถาบุญหนักสูงศักดิ์ศรี แต่มิพ้นคนเดินดินอยู่ดี เมื่อถึงทีตกต่ำจึงช้ำใจ
๏ อันอำนาจวาสนาหาคงมั่น เหมือนหลับฝันตื่นมีชีวิตใหม่ เอกสิทธิ์ฤทธามาหายไป กลับอยู่ในภาวะธรรมดา”
๏ “พินทุมดี” ยินความตามที่ห่วง สะท้านทรวงแต่ทำใจให้แกร่งกล้า แล้วเฉลยเอ่ยตอบปลอบวาจา “ขอพี่อย่าห่วงใยให้กังวล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๗- ธนุ เสนสิงห์
๏ อยู่แดนดินถิ่นใดไม่สำคัญ สถานะจะแปรผันมิมีผล ขอเพียงมีพี่กับน้องครองกมล จะทุกข์ทนเพียงไหนไม่นำพา”
๏ “สมุทรโฆษ” ยินคำพร่ำพจี ชื่นฤดีขึ้นบ้างพลางเอ่ยว่า “คงเป็นวิบากกรรมเคยทำมา ตกชะตาคราหลงกลางพงไพร ๏ พี่นำพามาทุกข์ยากลำบากแล้ว แม้นน้องแก้วพร้อมอยู่คู่ชิดใกล้ เราร่วมกันสรรค์สร้างพลังใจ ฝ่าฟันไปจนได้ถึงซึ่งปลายทาง” ๏ สองพระองค์ทรงรำพึงคะนึงคิด จึงปลงจิตออกสาวเท้าย่ำย่าง แม้ความหวังยังเหมือนจะเลือนราง ชีพมิดับอับปางยังจำจร
๏ ความเหนื่อยยากลำบากกายมากมายนัก ค่ำลงพักกลางเถื่อนแถวแนวสิงขร เช้าขึ้นมาเดินหน้าไปในดงดอน แม้ร้าวรอนคงมุ่งมั่นหลายวันวาร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๘- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ สองพระวรกายลายด้วยแผล อนาถแท้พระฉวีสีดำกร้าน เมื่อยามหลงดงไพรไม่สราญ เหมือนเคยผ่านทุกสิ่งที่ชวนชี้ชม
๏ สองพระองค์ทรงมีรักได้พักพิง พอเอนอิงคลายทุกข์ค่อยสุขสม ความระกำมินำพาเป็นอารมณ์ ถึงกายตรมข่มกมลทนตรากตรำ
๏ ออกเดินทางย่างไปโดยไม่ท้อ มิรีรอสู้ทนเช้าจนค่ำ เมื่อถึงคราอาภัพยอมรับกรรม มิเพ้อพร่ำร่ำไรข่มใจตน
๏ อันวนหิมพานต์ไพศาลแสน ผิข้ามแดนด้วยเดชะพระกุศล ดุจดังเทพเทวัญบันดาลดล พบสายชลล่องไหลในพนา
๏ เห็นเคว้งคว้างกลางสาครเป็นขอนไม้ คิดขึ้นได้ “สมุทรโฆษ” กระโดดหา นำเถาวัลย์ผูกพันไว้ชายคงคา ได้เหมือนแม้นแทนนาวาพากายจร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๙- ธนุ เสนสิงห์
๏ แล้วออกหาผลาหารใกล้ธารนั้น มามากครันกองไว้กลางไม้ขอน สองกระบอกกรอกน้ำใสในสาคร เก็บไว้ก่อนเผื่อภายหน้าหาไม่มี
๏ ควรเตรียมการกันไว้ไม่ประมาท ด้วยสุดคาดหมายใดในทุกที่ ชวนกันนอนเกาะขอนไม้ได้มั่นดี ปล่อยเชือกให้สายวารีพารี่ไป
๏ วันหนึ่งเพลียเสียพลังกันทั้งสอง สายน้ำล่องตามลำดับก็หลับใหล มินำพาเวลาผ่านนานเท่าใด ตื่นขึ้นในสมุทรสุดคะนึง
๏ เกิดพายุใหญ่มาฟ้าพยับ เพิ่มระดับวาตะเพชรหึง เกลียวคลื่นซัดตัดไม้คล้ายฉุดดึง สักพักหนึ่งฟัดฟาดจนขาดกลาง
๏ แยกทั้งสองล่องไปในสายสินธุ์ อกพังภินท์โหยหาเมื่อฟ้าสาง เฝ้าร้องร่ำโอ้กรรมใดให้อับปาง โดยอ้างว้างเดียวดายกลางสายชล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๐- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ “พินทุมดี” รำพัน “การจำพราก ชีพฝังฝากอยู่หรือดับกับกุศล ได้พบกันต่อวันใดหรือไกลพ้น ดวงกมลสุดมาดหมายให้เป็นจริง
๏ ความรักเอ๋ยเคยสุขแสนแม้นสวรรค์ เมื่อยามพรากจากกันพลันโศกยิ่ง เคยฝากคำพร่ำพลอดมิทอดทิ้ง โอ้ทุกสิ่งผันแปรมิแน่นอน ๏ ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มากยามพรากรัก ห่วงยิ่งนักเป็นหรือตายสุดถ่ายถอน เหมือนโนรีที่ไร้รังเซซังจร อาลัยหาอาวรณ์ทุกวารวัน
๏ ต้องปล่อยตามชะตาฟ้าลิขิต มิมีสิทธ์ไขว่คว้ามาดังฝัน ร้องร่ำไปใครยินคำเพ้อรำพัน เจ็บมหันต์..มั่นใจรักไม่รวนเร
๏ ด้วยบุญดลกุศลชูให้อยู่ยั้ง เกิดพลังลมผลักคลื่นหักเห “พินทุมดี” ได้ขึ้นยังฝั่งทะเล เดินซวนเซออกหาน้ำท่ากิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๑- ธนุ เสนสิงห์
๏ เห็นอาหารกินกันตายไม่เลือกสรร แค่ชีวันอยู่ต่อไปไม่สูญสิ้น พอเริ่มมีพลังแรงแห่งชีวิน จึงถวิลจะมุ่งไปในชุมชน
๏ หวั่นอุรากระทาชายหมายเชิงชู้ หรือพบหมู่กักขฬะอกุศล จึงคลุกคลีธุลีดินสิ้นโสภณ ประดุจคนจัณฑาลซมซานไป
๏ เพื่อให้รู้เป็นผู้ไม่ใฝ่โลกีย์ จึงบวชชีพราหมณ์สิ้นจินต์สงสัย มิหันมองจ้องกายชายใดใด ค่อยครรไลเทวษล้ำตามมรรคา
๏ เข้าสู่ “เมืองมัทราช” มิคาดหมาย พบตายายใจดีมีปุจฉา “โอ้แม่คุณบุญน้อยต้อยชะตา ไฉนมาเร่ร่อนจรเดียวดาย
๏ กิริยาท่าทีผู้ดีแท้ ใครทำแม่ช้ำชีวันขวัญสลาย ดูดุ่มเดินเหมือนดังซังกะตาย อย่าเขินอายยายอยากช่วยเอื้ออวยกัน”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ ครั้นเมื่อยินจึง “พินทุมดี” รับไมตรีจากยายดังหมายมั่น ความห่วงใยจากสายตาส่งมานั้น ชวนตื้นตันพลันดำรัสตามสัจจริง ๏ ว่าพลัดพรากจากพระสวามี ร้าวชีวีรันทดสลดยิ่ง สองตายายได้ชวนชักไปพักพิง พออุ่นอิงอาศัยในเรือนชาน
๏ จึง “พินทุมดี” มีจิตหมาย ขอตั้งหลักพักกายบ้านยายท่าน สวามีคงตามมามิช้านาน เดินทางผ่านคาดการณ์ว่าพบหน้ากัน
๏ คิดหาทางอย่างไรให้เป็นผล พบทรงพลดังใจที่ใฝ่ฝัน นึกขึ้นได้ใช้ธำมรงค์วงสำคัญ มอบยายพลันวานไปขายในพารา
๏ ยายมุ่งบ้านท่านโภคีเศรษฐีใหญ่ ที่ใครใครยอมรับนับถือว่า… เป็นคนซื่อเชื่อถือได้การขายค้า เมื่อพบหน้าปราศรัยด้วยไมตรี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๓- ธนุ เสนสิงห์
๏ ยายจึงส่งธำมรงค์วงงามให้ พลันก็ได้ยินอุทานท่านเศรษฐี “ช่างเลิศล้ำค่าคำนวณควรบุรี ฉันมิมีทรัพย์พอให้ต่อรอง
๏ จักขอนำพาไปตามใจหวัง พบขุนคลังวังในไม่ขัดข้อง ประเมินค่าราคาเน้นเป็นเงินทอง คงสมปองที่ตั้งความหวังไว้”
๏ เศรษฐีนำยายไปในวังหลวง กิจทั้งปวงช่วยจัดการประสานให้ ด้วยเป็นคนมิจนแท้แม้น้ำใจ สิ่งช่วยได้เอื้ออวยด้วยยินดี
๏ ครั้นเมื่อพบขุนคลังดังมั่นหมาย จึงบอกขายธำมรงค์สูงส่งศรี พินิจดูรู้ว่าค่าเทียมธานี เอ่ยวจีขอให้แจ้งแหล่งที่มา
๏ ฟังยายว่าน่าตั้งใจไม่เปิดเผย จึงมิเอ่ยย้ำซักจนนักหนา เตรียมแลกเปลี่ยนเหรียญหิรัญ กาญจนา ตามอัตรานิยมสมดุลกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๔- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ มณีนี้เป็นหนึ่งในธรณินทร์ พิศุทธิ์สิ้นไร้ราคีเลิศสีสัน ประกายแสงแรงกล้าท้าตะวัน เชื่อแน่ว่าราชันท่านโปรดปราน
๏ ด้วยมากค่ากว่าในคลังมีทั้งหมด เหนือกำหนดมูลค่ามหาศาล เมื่อตีค่าราคาของเป็นกองกาญจน์ ได้ประมาณทองเต็มร้อยเล่มเกวียน
๏ ขุนคลังให้ฝ่ายคุ้มภัยนำไปส่ง ตามจำนง “พินทุมดี” มิผันเปลี่ยน ระดมช่างสร้างมณฑลทำมณเฑียร มองระเมียรเด่นศิลป์ในดินแดน
๏ หน้าสร้างโถงเป็นโรงทานอาคารคู่ เพื่อเลี้ยงผู้ที่จนยากลำบากแสน ทั้งพราหมณ์อันสัญจรไปในแว่นแคว้น ผู้ขาดแคลนมอบทุนให้ไปสร้างตน
๏ โรงหนึ่งให้อาหารทานอิ่มท้อง โรงที่สองให้ทรัพย์พอไปก่อผล สถานที่นี้หมายให้ทุกคน ได้พักยลภาพศิลป์จินตนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๕- ธนุ เสนสิงห์
๏ แล้วจ้างหมู่ผู้ช่วยงานการทั้งหลาย แบ่งเป็นฝ่ายหน้าที่มีถ้วนหน้า ช่างประดิษฐ์วิจิตรศิลป์ดั่งจินดา รายรอบฝาผนังห้องชวนต้องใจ ๏ ศาลาสองปองหมายให้รอท่า มีเวลาชมภาพศิลป์ซึ้งจินต์ได้ ด้วยลำดับรับทุนรอนก่อนให้ไป ต้องซักไซ้เห็นความหวังตั้งใจจริง
๏ เพราะว่าคนยากจนนั้นต่างกันอยู่ หนึ่งคือผู้มิพยายามทำสักสิ่ง ชีวิตอยู่อย่างผู้ขอรอพึ่งพิง ถึงละทิ้งความรักศักดิ์ศรีตน
๏ หมู่สองนั้นหมั่นเพียรและเรียนรู้ ทั้งต่อสู้การงานด้านกุศล ช่องทางที่มีไม่มากจึงยากจน ยังอดทนมุ่งมั่นสรรค์ความดี
๏ พวกหนึ่งนั้นทานอิ่มท้องก็ผ่องใส ด้วยมิใฝ่ฝันเห็นเป็นเศรษฐี อยู่วันวันแบบปล่อยวางสร้างชีวี ประเภทนี้ให้ไปเพียงโภคภัณฑ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๖- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ พวกสองปองทุนรอนสักก้อนหนึ่ง เพื่อก้าวถึงชีวีที่ใฝ่ฝัน ทุนต่อทุนหนุนเนื่องไปไม่ตีบตัน ถึงวันนั้นคนทั้งหลายได้พึ่งพิง
๏ “พินทุมดี” มีทุกอย่างสมดังคิด ศิลป์วิจิตรสำเร็จเสร็จทุกสิ่ง จึงเริ่มงานแจกทานไปไม่ประวิง คนรับทานนานวันยิ่งทบทวี
๏ ชนนิยมชมศิลป์จินตนิยาย มองความหมายบันเทิงใจไม่หมองศรี แม้เล่าความตามอรรถคดี จริงตามที่ชีวันผันผ่านมา
๏ จากราตรีที่เทพสรรค์การอุ้มสม ถึงพระแท่นบรรทมแสนหรรษา ผ่านวาระอภิเษกสุขอุรา จนถึงคราจำเป็นต้องท่องอรัญ
๏ พิทยาธรช้ำถูกทำร้าย ทูลถวายสิ่งประเสริฐเลิศพระขรรค์ แล้วเหินลมชมวนหิมวันต์ จนชะตามาพลิกผันพลันเดินไพร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๗- ธนุ เสนสิงห์
๏ ครั้นเมื่อผ่านธารสายเกาะไม้ขอน จากดงดอนสู่โอฆะทะเลใหญ่ มีพายุคลื่นแรงเหมือนแกล้งไซร้ ซัดขอนไม้ขาดกลางจำร้างกัน
๏ เป็นคดีชีวิตลิขิตไว้ มิรู้นัยที่มาว่าเพ้อฝัน ทุกทิวาให้อาหาร ทาน สารพัน ผู้หมายมั่นทุนรอนผ่อนยากจน ๏ สั่งทาสีมีความสำคัญว่า “ผู้ที่มาดูภาพเรื่องแต่เบื้องต้น พินิจแน่แลท่าทีดีทุกคน ก่อนจะพ้นจากลามีอารมณ์
๏ พลอยแช่มชื่นรื่นอุราหรือว่าเศร้า แม้นใครเขามีลีลาว่าขื่นขม แจ้งข่าวไวเพื่อให้เข้ามาดูชม เป็นเงื่อนปมที่เน้นย้ำสำคัญนัก”
๏ ตั้งแต่นั้นโรงทานนี้มีผู้ผ่าน ยิ่งเนิ่นนานมากล้นชนรู้จัก คนห่างเหเคหาได้มาพัก ส่วนมากมักเห็นภาพซาบซึ้งใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๘- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เหมือนยลยินศิลปะประโลมโลก จักทุกข์โศกตามจินดาก็หาไม่ “พินทุมดี” มิมีท้อรอต่อไป คงมั่นในรักศรัทธาไม่ราร้าง
๏ ย้อนภาวะ“สมุทรโฆษ”อยู่โดดเดี่ยว ใจห่อเหี่ยวรู้เอกาเมื่อฟ้าสาง ชะเง้อชะแง้แลทางไหนใจอ้างว้าง ขอบน้ำกว้างไกลเหมือนเดือนตะวัน
๏ อกวิโยคโชคชะตามาพลัดพราก เมื่อจำจาก “พินทุมดี” มีโศกศัลย์ ลอยสาครนอนละเมอเพ้อรำพัน “กรรมใดกันกลั่นแกล้งรุนแรงเกิน
๏ ตั้งใจมั่นต่อกันมาว่าชาตินี้ จักมิมีเริดร้างหรือห่างเหิน โชคชะตามาแยกไกลให้เผชิญ บนทางเดินที่เป็นตายยังไม่รู้
๏ เห็นแต่น้ำกับฟ้าน่าท้อแท้ ฟากฝั่งแลห่างหายใจหดหู่ อยากจะแปลงกายาเป็นปลาปู แหวกธาราหาพธูคู่ชีวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๘๙- ธนุ เสนสิงห์
๏ ชีพน้อยน้อยลอยล่องเศร้าหมองศรี ฝากชีวีด้วยเดชะแห่งสวรรค์ แม้นยามนี้มีน้องครองสัมพันธ์ คงมิหวั่นพรั่นพรึงคะนึงครวญ
๏ รักจำพรากจากรักสุดหักจิต รำพึงคิดหวั่นไหวฤทัยป่วน ถ้ายังอยู่คู่คนดีจะชี้ชวน แม่เนื้อนวลล่องชลเล่นเช่นโลมา”
๏ เฝ้าละเมอเพ้อพร่ำคร่ำครวญอยู่ แสนรันทดอดสูอาลัยหา ตายหรือรอดห่วงแต่ยอดพระชายา “อนิจจาแม่พลอยต้องหมองจาบัลย์
๏ ร่วมฤดีพี่กับน้องหมายครองสุข ตกชะตามาทุกข์ยิ่งโศกศัลย์ ถึงเวรกรรมจำพรากต้องจากกัน ขอรักมั่นตราบที่ยังชีวา” ๏ แล้วเทพีที่รักษาชลาศัย พิมพ์ประไพนาม “มณีเมขลา” เหาะเวหนวนสำรวจตรวจธารา สายนัยนาเห็น “สมุทรโฆษ”นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๐- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เฝ้าแหวกว่ายไม่ยอมแพ้กระแสสินธุ์ ห่างไกลแสนจากแผ่นดินถิ่นเขตขัณฑ์ รู้บารมีเป็นที่อเนกอนันต์ “สมุทรโฆษ” นามโจษจันลือขานไกล
๏ วันประสูติสมุทรยังคลั่งเหลือหลาย จะมาตายขายชื่อหรือไฉน ควรชูช่วยอวยชีวันหรือฉันใด ยากปลงใจจึงนำความถามอินทรา
๏ ครานั้นองค์อัมรินทร์ปิ่นเทเวศ ทิพยเนตรส่องดูก็รู้ว่า… “สมุทรโฆษ” ชดใช้กรรมเคยทำมา ถึงเวลาพ้นเคราะห์จำเพาะกาล
๏ ควรเวลาคลาไคลไปชูช่วย มิให้ม้วยลับล่วงห้วงละหาร “เมขลา” รับบัญชามิช้านาน เหาะทะยานดิ่งตรงลงชลธี
๏ “สมุทรโฆษ” ซมซบสลบไสล โอบอุ้มไว้กระทำตามหน้าที่ เหาะโดยไวไปยังฝั่งธานี หาวารีจืดได้หยอดให้กิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|