ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
38 แม่ศรีวรรณทอง เห็นสองหนุ่มต่างสนิทชิดบุตรสาว คาดเรื่องราวคงถึงขั้นก่อปัญหา จึงฝากฝังลูกสาววรรณด้วยปัญญา เพียงหนึ่งหนาได้สมสู่เป็นคู่ครอง
กลบทวัวพันหลัก
ผู้พลาดไปพลอยดีใจไม่เคืองคิด คิดผูกมิตรกันต่อไปไม่เป็นสอง สองมิตรแท้นั้นดีแน่ถูกทำนอง ทำนองความตามครรลองของผองชน
ชนกลุ่มใดที่ร่วมใจสมานสมัคร สมัครรักสามัคคีย่อมมีผล ผลในด้านสันติสุขแก่ทุกคน คนเราเลิกเห็นแก่ตนสังคมดี
’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’
แต่นั้นมาทุกเพลาเช้าถึงค่ำ เป็นประจำชิงกันใกล้ต่างไม่หนี ไม่สบช่องสองต่อสองเลยสักที ทุกเวลาจะต้องมีกันสามคน
มาพร้อมกันกลับพร้อมกันรู้ทันเท่า วันรุ่งเช้ารอหน้าบ้านนั้นอีกหน ใกล้เดือนแรมกลัวร้างราพากังวล สิ้นอดทนเร่งเร้าถามคำตอบรัก
แม้นึกคิดเหมือนสนิทกันนานมาก ความจริงหากพิเคราะห์ดูเพิ่งรู้จัก ทั้งอยู่ในเหตุการณ์อันบีบคั้นนัก มิใช่ผักใช่ปลาไว้ให้แบ่งปัน
วรรณปุจฉาหานิยามแห่งความรัก ที่ท่านมักนำมาอ้างสร้างเสกสรร หรือเพียงหมายให้ชนะคะคานกัน เพราะยึดมั่นและหลงใหลในรูปกาย
อันมิใช่จะจิรังยั่งยืนแท้ เสื่อมลงแน่รักเสื่อมตามงามสลาย หรือสัญญาจะรักกันจนวันตาย แลมั่นหมายพิศวาสทุกชาติไป
กลบทพยัคฆ์ข้ามห้วย
ปรารถนาก็ว่ารักเสียหนักหนา มองตรงไหนก็โสภากว่านางไหน ยามพึงใจรำพันนักรักหมดใจ ปานจะกลืนนานจะไกลให้กล้ำกลืน
เมื่ออยากได้เดือนหรือดาวเอาให้ได้ หญิงขัดขืนมิยอมให้ก็ข่มขืน เพียงชั่วคืนสาวสลายไม่อาจคืน ชายผูกใยมิยั่งยืนสิ้นเยื่อใย ----------------------------------------------
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 39 สองพญาตอบความหมายคล้ายยืนยัน อันรักนั้นเปี่ยมล้นจินต์สิ้นสงสัย ไร้เหตุผลต้นสายรักจากหนใด สุดหัวใจแล้วเมื่อรู้อยู่ว่ารัก
สาววรรณฟังคำเฉลยเอ่ยแถลง ประจักษ์แจ้งแต่ดวงจิตให้คิดหนัก เลือกฝ่ายหนึ่งอีกฝ่ายต้องหมองใจนัก มิอยากหักหาญน้ำใจใครสักคน
จึงหวังจะใช้เวลามาแก้ไข บอกปีใหม่ไม่นานช้ามาอีกหน มีพ่อแม่แก่เฒ่ายังห่วงกังวล ตั้งใจตนอยู่รับใช้ได้แทนคุณ
ถึงปีใหม่วัยครบเกณฑ์เบญจเพส คงมีเหตุมีผลเอื้อมาเกื้อหนุน ขอท่านได้ให้เมตตาและการุณย์ หากมีบุญร่วมกันแล้วไม่แคล้วกัน
มิอยากอ่อนต้องผ่อนตามจำยอมรับ ถูกบังคับด้วยเวลาบัญชาสวรรค์ สองพญาจำลาไกลอาลัยวรรณ สัญญานั้นย้ำให้ทำตามสัญญา
ว่าแต่นี้ไปจนครบจบขวบปี จะไม่มีใครฉ้อฉลวนมาหา ต้องรอไปให้จนถึงซึ่งเวลา นางนัดหมายพิพากษาปัญหาใจ
แววตาสัตว์ที่มองเห็นซ่อนเร้นอยู่ ต่างก็รู้ว่าแฝงเล่ห์ทำเฉไฉ รับปากพอเหมือนล่อเหยื่อมิเชื่อใคร แต่จำไกลไปด้วยกรรมตามทางตน
ญายอดน้ำเคลื่อนย้ายพลใหญ่น้อย คืนดงดอยค่อยปีหน้ามาอีกหน จัดทหารเหล่างูเห่าเฝ้าอยู่ยล คุ้มครองคนรักมิให้ใครรังควาน
สั่งงูสิงผู้ว่องไวใจหาญกล้า รายพนาตลอดทางฟังข่าวสาร คืนเริ่มแรมพอล่วงถึงกึ่งวิกาล มิช้านานกลายร่างพลันดั้นดงไป
ฝ่ายพญาท่าข้ามแหวกน้ำข้น ยังว่ายวนละแวกนี้มิไปไหน แวะรายวังสร้างพวกพ้องมองการณ์ไกล ผูกมัดใจเข้ไว้เติมเสริมพลัง
สั่งคุ้มภัยคนรักซ้ำย้ำทุกหน อำนาจมนต์เวชตบะพลังขลัง เหล่ากุมภาต่างยินยอมพร้อมเชื่อฟัง พญายังได้ปลุกเร้าเรื่องเผ่าพันธุ์
ว่าศัตรูพญางูแห่งยอดน้ำ มารุกล้ำดั่งคุกคามเหยียดหยามหยัน ในภายหน้าข้าจะสั่งสอนให้มัน รู้โทษทัณฑ์บังอาจเทียบเปรียบศักดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
40 แม่ศรีวรรณทอง ไอ้งูน้อยกระจ้อยร่อยกระจิริด ร่างเรียวนิดเหมือนไม้ไผ่ไร้แขนขา จะงับฟาดพินาศไปในพริบตา หากขืนกล้าทำกำแหงมาแข่งฤทธิ์
กุมภาฟังต่างคลั่งแค้นแสนพิโรธ ให้เกลียดโกรธมิเข้าใจใครถูกผิด เมื่อพญาเห็นว่าได้เหมือนใจคิด พันผูกจิตสมดั่งใจจึงไคลคลา
ตลอดคลองเข้ผสานสมานสมัคร มุ่งทายทักใส่ไฟพิษริษยา จนใกล้ถึงบ้านท่าข้ามตามเวลา ใจสะท้านเมื่อผ่านหน้าคลองพุมดวง ได้กลิ่นอายสายน้ำเก่าเร้าดวงจิต ทำให้คิดถึงภรรยาน่ารักหวง คงชะแง้เฝ้าแลหาว่าพี่ลวง โอ้พุ่มพวงพี่จะคืนไปชื่นใจ
คิดถึงนักผลักดันให้ว่ายเร็วรี่ มิรอรีแวะเวียนวนแห่งหนไหน เหนื่อยนักหนาเสาะหารักจากแดนไกล ถึงอย่างไรรักยังมีศรีภรรยา กลบทเบญจวรรณห้าสี.
สัตว์สิงห์เสือสมสู่เพื่อสืบพันธ์ตน กินเกียรติ์กามเกมกลคนเสาะหา สำส่อนสู่เสพสมสุขคลุกกามา ขัดเคืองแค้นขับเข่นฆ่าท้าชิงชัย
ตัวตนตั้งตักตวงเอาเมาโลภหลง ผิดพันธุ์พงศ์พิพาทฤทธิ์พิสมัย ดวงเดือนดาวดื่นดาษตาบนฟ้าไกล เจาะจงใจจับจองเดียวดวงดารา .....................................
ที่ปากปันเกิดเหตุร้ายไม่คาดฝัน พ่อสาววรรณล้มป่วยหนักยากรักษา ท่านสิ้นลมหลังเจ็บไข้หลายเพลา ความเศร้าพาแม่ล้มหมอนนอนตรอมใจ
แล้วแม่ก็ลาโลกไกลตายตามพ่อ วรรณนั้นหนอยิ่งหมองหม่นสุดทนไหว พึ่งพระธรรมนำโศกคลายสลายไป ทุกสิ่งไซร้ไม่เที่ยงแท้แน่จิรัง
แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ให้เปล่าเปลี่ยว ตัวคนเดียวแสนเหว่ว้าพาสิ้นหวัง นึกขึ้นมาภาระใหญ่ในใจยัง คือคำสั่งของพ่อแม่ก่อนแกตาย
อัฐิแม่แลของพ่อขอโอบอุ้ม ไปรวมกลุ่มแห่งพงศ์พันธุ์ดั่งมั่นหมาย ฝากเคหาทั้งนาไร่ไม่มากมาย เพื่อนหญิงชายใกล้บ้านด้วยช่วยดูแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 41 ตอนที่ ๔ นิราศตาปี
หน้าน้ำหลากมีแพล่องจากคลองปัน เช้าตรู่วรรณขออาศัยในกระแส นิราศร้างมากลางชลหม่นดวงแด พร้อมอัฐิของพ่อแม่ น้ำตาคลอ
เป็นห่วงหลังมิเคยร้างห่างถิ่นฐาน ข้างหน้าการณ์จะเป็นไปไฉนหนอ ทอดอาลัยมาในคลองคอยมองตอ ขวางคลองพอได้ค้ำแพเสียแต่ไกล กลบทบุษบงแย้มผกา.
แพเล็กใหญ่เริ่มจากไผ่มารวมรวบ แพลูกบวบช่วยพยุงซุงลอยไหล แพเรือล่องสภาพคลองต้องเข้าใจ แพชีวิตมีอภัยผูกใยรัก
แพสังคมดุจไม้จมและไม้ลอย แพรัฐร้อยคนดีร้ายไว้ด้วยหลัก แพลอยไปถึงที่หมายไม่ง่ายนัก แพเมื่อพบอุปสรรค์มักผันแปร ..............................
บนแพท่านผู้ชราชื่อตาขำ เ สร็จพิธีกรรมร่ำสุราหน้าแดงแจ๋ เป็นครูหมอ*ขวัญลูกหลานท่านดูแล ถึงเฒ่าแก่ทุกคนย้ำความสำคัญ
สร้างความหวังกำลังใจให้ลูกหลาน ประสบการณ์มีมากมายได้สร้างสรรค์ ท่านสืบทอดภูมิปัญญาสารพัน หน้าที่นั้นเล่านิทานอันมีมา
ออกจากทับ*มองเห็นวรรณนั้นเหงาหงอย จึงได้ค่อยย่างเท้าก้าวเข้ามาหา วรรณดีใจพนมไหว้ชายชรา เจรจาพอให้หายคลายกังวล
แล้วกล่าวว่าตาจะเล่าเค้ามูลบ้าน เมื่อแพผ่านไปถึงแหล่งทุกแห่งหน เจ้าจงจำนำสืบสานลูกหลานตน เกิดเป็นคนให้เห็นคุณมูลอัตตา
ตำนานเก่าหรือเค้าความนำเล่าไว้ มิรู้แจ้งเร่งสนใจใฝ่ศึกษา อันเรือนบ้านย่านตาปีนี้วัฒนา ตราบธาราเป็นวิถีที่จุนเจือ ----------------------------------------------------- ครูหมอ ผู้นำการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวบ้าน ทับ เพิงพักขนาดเล็กที่สร้างขึ้นพอได้บังแดดฝนชั่วคราว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
42 แม่ศรีวรรณทอง คลองตาปีในย่านนี้ปลามีมาก เข้หลายหลากตามอาหารอันล้นเหลือ สมัยก่อนหาปลาง่ายใช้ลอยเรือ พายขึ้นเหนือแล้วปล่อยเลียบตลิ่งมา
เอาไม้พายจ้วงตีน้ำขึ้นตั้มตุ้ม ปลาชุกชุมอยู่เป็นฝูงทั้งซ้ายขวา ปลาตกใจจะดีดโจนลงนาวา ตีหลายคราอาจหนักล้นจนเรือจม
เรือทุกลำต้องทำกรงเอาลงครอบ เข้นั้นชอบกัดคนเช่นเด็กเห็นขนม สิ่งล่อใจปลากุ้งใหญ่อันอุดม เรือจะล่มเข้จะดุยังสู้ตาย ถึง“บ้านนูน”บ้านคงนูนขึ้นเหนือน้ำ มีที่ต่ำรายอยู่รอบขอบความหมาย จริงตามเค้าหรือเล่าเพิ่มจนเริ่มกลาย บ้านประปรายบนดอนมีชี้ความนูน
ผ่านบ้านนูนเลยถึงย่านบ้าน“หานทราย” ป่าค่อยหายอีกไม่นานหานคงสูญ ทรายเลื่อนไหลเมื่อไร้ป่ามาเกื้อกูล ไม่เพิ่มพูนอนุรักษ์มักไม่นาน
ผ่านหานทรายไปถึงย่านบ้าน“ไสขรบ”* ไม่ค่อยพบเห็นบ้านใครสุดปลายย่าน จะหาเห็นเป็น “ต้นขรบ”ไม่พบพาน ชื่อก็ขานอยู่ป่าไส*ใช่ริมคลอง
วรรณฟังเรื่องที่ตาขำนำมาเล่า เ ค้านามเก่าของหานทรายพอคลายหมอง ผ่านไสขรบชวนขบคิดจิตไตร่ตรอง ลมล่องคลองตะวันบ่ายเย็นกายใจ
ถึง“คลองเหียน”หรือคลองนั้นมันหันเหียน จนวิงเวียนตามคลองคดหมดสงสัย แต่ตาขำมิอาจเน้นความเป็นไป ปล่อยแพไหลตลอดย่านบ้านไม่มี
พงอ้อรายไม่มีท่าป่ารกร้าง ให้อ้างว้างมิได้ยินว่าถิ่นที่ ปลายยางยูงฝูงลิงค่างบ่างชะนี เสียงอึงมี่โจนเล่นไล่ไม่เกรงกัน เลยแนวป่ามาใกล้ย่านบ้าน“ปากสาย” เห็นไร่รายปลูกฟักแตงดูแข็งขัน ข้าวโพดบ้างข้าวฟ่างสลับกับแปลงมัน ปากคลองนั้นบ้านแน่นหนาเบิ่งตามอง
ในย่านนี้ที่เรียกขานบ้าน“ควนร่อน” แต่แน่นอนมี “ปากสาย”คล้ายชื่อสอง บนควนนั้นคงเคยร่อนก้อนแร่ทอง สายนั้นคลองชื่อว่า “สาย”ไหลล่องมา
-------- -- --------------------------- ไส ป่าที่ผ่านการถางโค่นแล้วจุดไฟเผา เพื่อทำไร่ ครั้งหนึ่งแล้วง เรียกว่าไส เมื่อทิ้งไว้จนต้นไม้ขึ้นรกเป็นป่าอีกเรียกว่าป่าไส
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
44 แม่ศรีวรรณทอง
เป็นทางผ่านคนเหนือย่านบ้านนี้ไซร้ จากถิ่นไหนต้องผ่านแท้แน่นักหนา ควนร่อนเป็นเช่นประตูสู่พารา เป็นรอยต่อของบ้านป่า ศิวิไลซ์
จากคลองปันดินแดนไกลในไพรสณฑ์ ขึ้นรถยนต์หรือสองล้อก็พอไหว แต่หน้าฝนรถไม่คล่องต้องเดินไกล ต่อรถไฟที่ “บ้านส้อง”ขึ้นล่องมี
คนคลองปันเขาเรียกกันว่าคนเหนือ ใช่หน่อเนื้อเชื้อชาวเวียงเพียงเสียดสี อันเหนือนั้นคือหยามหลู่อยู่ในที เหนือถิ่นที่ชาวบ้านเมืองเขาเฟื่องฟู
อยู่“เขาปด”บ้าน“น้ำดำ”“โตรม”“สามพัน” ห่างไกลครันไร้รถบ้านร้านเลิศหรู ถึง “บ้านส้อง”ร้องโอ้โฮโก้น่าดู รถหลายตู้คือรถไฟให้ตื่นตา
ปากต่อปากต่างเล่าขานลือกันใหญ่ เหนือกิ้งกือที่ฝันไว้หลายร้อยขา ความตื่นใจโลกที่ไม่เคยเห็นมา จนซุ่มซ่ามทำเซ่อซ่าน่าติติง
ถึงดูเชยดูเปิ่นเปิ่นทั้งเขินเคอะ ทำเซิงเซอะจนใครใครไม่สุงสิง แม้รุ่งเรืองอาจเสื่อมได้ให้ประวิง ต่ำต้อยยิ่งอาจวัฒนามาเทียมทัน
กลบทวัวพันหลัก.
เกิดเป็นหงส์อย่าทะนงว่าทรงศักดิ์ ศักดิ์เสื่อมลงหงส์ปีกหักมักถูกหยัน หยันเขานักมักโดนหมายไว้สักวัน วันพลาดพลั้งถึงทางตันจะเจ็บตัว
ตัวตนใจอยู่ภายในยิ่งใหญ่กว่า กว่าหัวโขนหมวกชฎาที่สวมหัว หัวหน้ายศศักดินาพาเมามัว มัวเพลินใจในทางชั่วพาตัวตาย ...................................
ผ่าน“ปากเหยียน”ใครหรือเหยียนเตียนถากถาง คนเดินทางมิอาจซึ้งถึงความหมาย ปล่อยแพล่องตามคลองไปใจสบาย ครั้งตายายเหยียน*ขี้ไต้ให้ติดไฟ ผ่าน“หานหมวย”คงหมายว่าปลามีหลาย ได้มากมายหมายว่า“หมวย”*เสียไม่ไหว พอนานอดเพราะหมดปลาว่าซวยไป มีหรือหวังสมดังใจได้ทุกครา
------------------------------ เหยียน พื้นบ้านใช้ในความหมายว่าเหยียดหยามอย่างรุนแรง หรืออาการที่ช้างใช้เท้าเหยียบแล้วขยี้คนหรือสัตว์ หรือการขยี้ขี้ไต้ให้หลุดออกเพื่อให้ไฟลุกโชนขึ้น หรือขยี้อย่างแรงและรวดเร็วเพื่อดับไฟ หมวย โชคในการจับปลาดี หาได้โดยง่าย มากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 45 ถึง “บางทะลุ”ทะลุช่องลัดคลองโค้ง น้ำไม่โกงเมื่อตรงได้ตรงไปหน้า เพลินน้ำใสใกล้เย็นย่ำสนธยา วอนเทวาท่านอารักษ์ขอพักคืน
ตอเพิงหวายรายชายคลองให้ข้องขัด ถ้าไม่หมัด*มืดลำบากไม่อยากฝืน เตรียมหวายเดา*เรียงคนรายท้ายแพยืน ใช้ดุ้นฟืนตีสัญญาณทำงานพลัน
ลากหวายโหนโจนลงในสายน้ำหลาก เป็นงานยากต้องมีแรงอันแข็งขัน เสียจังหวะเกิดติดขัดหมัดไม่ทัน แพย้อน*เฉี่ยวเที่ยวบ้าหวัน*อันตราย
แต่เย็นนั้นวรรณเตรียมปรุงหุงอาหาร ทำเชิงกรานฟืนสุมวางอย่างง่ายง่าย ไม้แห้งกองสองฝั่งฟากมีมากมาย หุงข้าวสบายด้วยปล้องไผ่ที่เตรียมมา
ใต้ข้อไผ่ตัดออกเป็นปากกระบอก ข้าวสารกรอก แล้วใช้ใบพ้อ* อุดฝา ตั้งพิงกลุ่มสุมฟืนใส่รอไฟรา มินานช้าหอมตลบอบอวลแพ
เบ็ดเกี่ยวเหยื่อหย่อนไว้รอล่อมัจฉา มากมิหาแค่พอเพียงไม่เหวี่ยงแห ผักอุดมยอดหวายขม ชะมวง แค แกง ต้มแต่ล้วนเลือกใช้บอก*ไผ่เรียง ยินวิหคเหล่านกกาบนคาคบ ไล่จิกรบแย่งคอนกันสนั่นเสียง ทั้งลิงค่างกลางไพรพงส่งสำเนียง พอค่ำลงก็เหลือเพียงหริ่งเรไร
โอ้ย่ำค่ำยามเมื่อค้างกลางสายน้ำ วรรณหนาวล้ำทั้งเหว่ว้าจักหาไหน ตาขำดูก็พอรู้ความในใจ จึงชวนให้สนทนาเฮฮากัน
เหล้าขาวมีที่เตรียมมาคว้าออกตั้ง ตาขำนั่งคนแพรวมร่วมสังสรรค์ ของใช้กินรินเหล้ายามาแบ่งปัน เกร็งทั้งวันผ่อนเส้นสายสบายอุรา
------------------------ ---------------------
หมัด การผูกโยงแพ(ภาษาถิ่น) การผูกมัดที่มีแรงดึง หรือที่มีการกวดให้ตึง หวายเดา หวายใหญ่จากป่าลึกในท้องถิ่น ขนาดที่ใช้ โคนประมาณ 2” ปลายประมาณ 1” ยาว 10-20 เมตร ย้อน ปะทะ กลับหน้ากลับหลัง ภาษาถิ่นใช้ในความหมายว่า ชน กระแทกบ้าหวัน ขวาง หมุนไปมาไม่รู้ทิศทาง พ้อ(กะพ้อ) ไม้ตระกูลปาล์ม ขนาดเล็ก licuala spina ใบใช้ห่อข้าวเหนียว ข้าวต้ม ทำจุกข้าวหลาม สุกแล้วจะช่วยให้ข้าวมีกลิ่นหอม บอก กระบอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
46 แม่ศรีวรรณทอง ไม้ไผ่ตงตัดติดข้อทั้งสองข้าง ขวานผ่ากลางเป็นจานใช้ง่ายนักหนา ใส่ต้มย่างแบบลูกทุ่งทั้งกุ้งปลา สนทนาดื่มกินไปไม่เมามาย
ได้เวลาตาขำเล่าเรื่องชาวบ้าน หลายเหตุการณ์ย่านตาปีมีมากหลาย บ้างเข้กัด บ้างถลำตกน้ำตาย ปีหลายรายเป็นข่าวดังได้ฟังมา
เล่าถึงคนใต้ปากปันนั้นคนหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งเข้เคยกัดเกือบตัดขา แต่ยังสู้อยู่แม่น้ำค่ำหาปลา แล้วชะตาเกิดเคราะห์หามยามร้ายครัน
เมื่อคืนหนึ่งเหมือนเคยมาพาคู่หู วางเบ็ดอยู่อย่างเร็วรี่ขมีขมัน เจอเข้ใหญ่ฟาดคนท้ายหายไปพลัน เรือเป็นอันจมดิ่งลงในคงคา
ความกลัวรีบปีนเพิงหวายขึ้นชายคลอง น่าสยองหวายมีหนามอยู่แน่นหนา ปีนขึ้นได้ตัวเลยรอดปลอดภัยมา แล้วตามหาคนไปดูคู่หูตน
ชี้เพิงหวายที่ปีนป่ายภูมิใจว่า แปลกนักหนาหนามหวายไม่ระคายขน ลูกมากอดถอดเสื้อออกยอกพิกล เมียอีกคนช่วยเขี่ยหนามอยู่สามวัน
ยามกลัวตายเรื่องผิวกายไม่รู้สึก หลายเรื่องนึกขึ้นเล่าความเป็นขำขัน ความตกใจไปอย่างไรก็ไปกัน ผ่านช่วงนั้นทำได้ไงให้สงกา
ตั้งนิทานกินอาหารจนอิ่มหนำ หลังพลบค่ำยุงมันชุมรุมแขนขา เก็บข้าวของต้องกินหมากปากสูบยา ตบตัวตาแขนคางหูอยู่พัลวัน
กลบทยัติภังค์.
เมื่อยามเช้าเช้าตรู่ตรู่กู่ก้องธา- รามองหาหาเห็นแพแลส่งสัญ- ญาณให้ปล่อยปล่อยแพไหลจำใจครร- ไลล่องลอยลอยเหหันไปตามชล-
ธีดั่งนกนกขมิ้นเหลืองอ่อนแสง- สุรีย์แดงโรยโรยรอนจะนอนหน- ใดเล่าค่ำค่ำไหนนอนวอนเทพดล- บันดาลผลผลพิพัฒน์สวัสดี ...................................... แพลดเลี้ยวลุชะวาก“ปากคลองตาล” แต่นมนานธารได้เห็นเป็นวิถี กาลก่อนครั้งทางรถยนต์ยังไม่มี อันคลองนี้มากนาวาใช้มาไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 47 เมือง“เวียงสระ”*ก่อนเก่าตามตำนานชี้ พระเจ้าศรีธรรมโศกราชผู้เป็นใหญ่ หนีโรคร้ายคือไข้ห่าพร้อมข้าไท จากแดนไกล “คีรีรัฐ”*นครมา
ได้สร้างบ้านแปลงเมืองไว้ให้เรืองรุ่ง หมายผดุงชนและชาติศาสนา ก่อสร้าง “วัดเวียงสระ”อันตระการตา สร้างไร่นาคือ“ทุ่งหลวง”ให้ปวงชน
ไข้ห่าเป็นเช่นผีร้ายหายไปนาน ตามรังควานมาผลาญเผาเอาอีกหน ต้องหลบลี้หนีไข้ห่าพาผู้คน ข้ามเขาด้นมุ่งหมายไปชายทะเล ตาขำยั้งตั้งนิทานอันยืดยาว ข้ามเรื่องราว “ละหานคน”พ้นหันเห ถึง “มอเก็ด”ราวบ่ายสามตามคะเน แพเรียงรายให้เรือเมล์เข้าจอดเคียง
แถวถิ่นนี้มีอู่เรือน่าเชื่อถือ “เรือมอ” คือเรือมาดที่มีชื่อเสียง เรือใหญ่มากถากสะเก็ดไม้รายเรียง นานเหลือเพียงแต่“มอเก็ด”เป็นเหตุมา
ถึง “คลองโร”ลือกันมาว่าเข้ร้าย ขยับกายไกลขอบแพดวงแดผวา ยินเสียงเครื่องเรือหางดังหลังธารา เร่งยาตราที่เห็นมีกว่าสี่ลำ
สี่ลำทาบขนาบแพแลซ้ายขวา ลำหนึ่งชิดติดแพหน้าพบตาขำ คนยกปืนขึ้นลำกล้องพูดสองคำ ไม่ต้องย้ำทราบความหมายให้“สักแพ”
ตาขำรู้อยู่แก่ใจแต่ได้เห็น พวกมันเป็นเหล่าโจรร้ายในกระแส อิทธิพลมากนักหนานะพวกแก คิดว่าแน่มาข่มเหงไม่เกรงใคร
กว่าจะได้เป็นแพนั้นมันลำบาก บุกป่าเขาต้องเหนื่อยยากหนักแค่ไหน ชุบมือเปิบกันจริงนะช่างกระไร คิดในใจเสียนานมาไม่กล้าวอน สาววรรณทนไม่ไหวตั้งใจช่วย ขอร้องด้วยถ้อยสำเนียงเสียงออดอ้อน หัวหน้าเห็นเป็นสาวงามอรชร อันแต่ก่อนนั้นตั้งใจได้แค่แพ -------------------------------- เวียงสระ ปัจจุบันเป็น อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ทุ่งหลวง ปัจจุบันเป็น เทศบาล ทุ่งหลวง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี คีรีรัฐ อ.คีรีรัฐนิคม เดิมเรียกท่าขนอน เป็นท่าด่านที่เก็บอากร เรือสินค้าที่ขนสินค้าไปมาระหว่าง ทะเลอันดามันกับอ่าวไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
48 แม่ศรีวรรณทอง บัดนี้พลันมันได้ทีเกินที่หมาย จักฉุดไปสาวหรือหม้ายไม่แยแส พอจะจับต้องผงะตะลึงแล เห็นงูแผ่แม่เบี้ยชูอยู่รายเรียง
เรือก็โคลงเคลงไปมาท่าจะคว่ำ เข้ฟาดน้ำตูมตามลั่นสนั่นเสียง ริมแคมเรืองูขู่ฟ่อส่อสำเนียง เข้ก็เอียงอ้าปากค้างอยู่ข้างเรือ
โจรตระหนกหัวอกสั่นจนขวัญหาย กลัวงูร้ายโดดน้ำไปคงไม่เหลือ พวกนี้มีภูตผีป่ามาจุนเจือ สิ้นลายเสือเร่งเรือหนีว่าผีอำ
ตาขำยังนึกแปลกใจอะไรนี่ พ่อตา*ที่แห่งใดมาอุปถัมภ์ ต่างคนก็ไม่เข้าใจว่าใครทำ ไว้หัวค่ำเมื่อร่วมวงคงคุยกัน
แพลอยล่องลำคลองไปค่อยคลายหมอง เกือบจะต้องสูญเสียแพแค่เสียขวัญ หลังขอบคุณท่านพ่อตาด้วยตื้นตัน ยังรำพันถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
คนแก่เฒ่าจะเอาแรงขันแข่งใคร ยังจำได้นิทานมีดีนักหนา ถึง “ปากจน”ปากคลองไยไร้เงินตรา พูดอะไรไม่เข้าท่า “ปากพาจน”
แพล่องไหลไม่นานจึงถึง “ปากฉวาง” กำเนิดกลาง “เขานครศรี”ไพรสณฑ์ เลย“ฉวาง” ล่วง“นาสาร”บ้านตำบล มีผู้คนได้อาศัยใช้ไปมา แพคงลอยเลี้ยวไปตามสายน้ำหลาก มิเนิ่นนานผ่านชะวาก “ปากนาขา” ถึง “หานยาง”เห็นยูงยางข้างธารา ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงท่า “ละหานดำ”
ตั้งใจไปจนให้ถึงซึ่ง “เคียนซา” แต่เวลาพอเพลินไปมักไวค่ำ ถึง “บ้านซุม”เมฆคลุมฟ้าพามืดคล้ำ จวนเย็นย่ำแพล่องมาถึง “ท่ากุล”
เคยเป็นท่า “บริษัทป่าไม้สุราษฎร์” ได้อนุญาตสัมปทานนั้นเกื้อหนุน ถึง “เทพา”วอนเทพารักษ์การุณย์ ช่วยค้ำจุนเดินทางโดยสวัสดี ------------------------------ พ่อตา เทพประจำถิ่นสถานที่ คนที่นับถือ เมื่อจะทำอะไรที่เป็นที่รบกวนท่าน จะต้องจุดธูปบอกกล่าวก่อน หรือเป็นการขอพรให้ปลอดภัย โชคดีฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 49 ผ่าน “อัมรัด”ขอให้ธารเป็นอำมฤต เทพประสิทธิ์พรล้ำเลิศประเสริฐศรี อยากปล่อยใจให้ฉ่ำชื่นรื่นวารี สองฝั่งมีที่ได้เห็นเป็นอรัญ
ไม่มีย่านบ้านห้องหอพออาศัย นั่งตกปลาปล่อยฤทัยให้สุขสันต์ ธารเลี้ยวลดแล้วคดเคี้ยวเดี๋ยวหมดวัน หมัดแพพลันที่หน้าย่าน “หานชะโด”
ชะโดใหญ่ในละหานเล่าขานว่า คนลงหาปลาครั้งไหนให้โมโห ไล่งับคนถือว่ามันนั้นตัวโต สุดท้ายโถ...ถูกจับกินเกือบสิ้นพันธุ์
พักแรมค้างกลางธาราหน้าละหาน ฟังนิทานเรื่องสนุกแสนสุขสันต์ พอหัวค่ำว่ายน้ำมาหารวมกัน ได้แบ่งปันของกินพลางวางแผนการณ์
ถึงที่หมายคงได้ทรัพย์รับสินจ้าง เวลาว่างเที่ยวให้สุขสนุกสนาน แต่ตอนนี้แสบคันจังยุงรังควาน พักสักคืนให้ชื่นบานเช้าอำลา
เสียงไก่ป่าขันกระชั้นเพลาเช้า ดั่งเร่งเร้าสัตว์อื่นอื่นตื่นผวา นกจากคอนคนแพจรพร้อมนกกา สายธารายังล่องไหลอีกไกลครัน ถึง“บางประ”เป็น“ลูกประ”*หรือไฉน มองผ่านไปเห็นแต่ป่าพนาสัณฑ์ ถึง “เขาตอก”ยังตอกย้ำความสำคัญ แล้งนัดกันพร้อมจับปลาชายวารี
จนใกล้ถึงบ้าน “เคียนซา”ดูคลาคล่ำ เรือหลายลำจอดเรียงรายชายวิถี ที่ขึ้นล่องมองขวักไขว่ในนที อันถิ่นนี้รุ่งเรืองมาแต่ช้านาน
คำว่า“เคียน”คือพันธุ์ไม้ในท้องถิ่น มิเคยยินต้น “เคียนซา”ว่าใครขาน “เคียนทราย”บ้าง“เคียนทอง”ช่างสร้างเรือนชาน หรือโบราณหมายถึงเกวียนล้อเวียนวน
อีก “เรือเกวียน”* มาขายค้าบ้านป่าดอน กาลครั้งก่อนมี“เกวียน”มากจากทุกหน “ซาเกวียน”ค้ามาจอดค้างกลางสายชล จนบางคนยังเรียกขานบ้าน“เกียนซา”*
----------------------- ลูกประ (คำปักษ์ใต้) ลูกกระ ผลไม้ป่ามักขึ้นบนภูเขา เม็ดในกินได้มันเหมือนถั่วเม็ดเท่านิ้วชี่เรียวยาวราว 2 ข้อมือ เปลือกสีน้ำตาลดำ กินได้ทั้งคั่วสุกแบบเกาลัด และดองเปรี้ยว เคียนซา ปัจจุบันคือ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี เรือเกวียน เรือที่มีรั้วกันรอบเพื่อใส่สินค้าคล้ายเกวียน เกียน คำที่เพี้ยน มาจากเกวียนมาตราใช้ตวงข้าวเปลือกของชาวบ้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
50 แม่ศรีวรรณทอง อีกตำนานสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวธานินทร์นครศรีฯแสวงหา ไม้ตะเคียนต้นใหญ่งามตามตำรา สร้างนาวาพระที่นั่งอลังการ
เจอตะเคียนคู่ต้นใหญ่ในป่าลึก สมใจนึกหลังเสาะหาหลายสถาน จึงเกณฑ์คนมามากมายล้วนชายชาญ ทั้งพร้าขวานระดมโค่นจนล้มลง
ทำเป็นเพียงเรือโกลนไว้ในกลางป่า ไม่อาจจะลากออกมาดังประสงค์ หรือเทพารักษ์จักผิดจิตจำนง จึงเจาะจงให้เกิดเหตุอาเพศภัย
ผู้โค่นไม้หลายคนนั้นเจ็บรันทด คนทั้งหมดจึงเชื่อความตามสงสัย ขอขมาเทพารักษ์แล้วลาไกล ตะเคียนได้ค้างอยู่เห็นเป็น“เคียนคา”
อันชื่อที่ถิ่นสถานนานวันนั้น มักแปรผันจนเปลี่ยนความตามภาษา จนลืมเลือนคำดั้งเดิมแต่เริ่มมา แต่“เคียนซา”ก็เรียกขานมานานครัน
นอกจากดำเนินกิจการด้านป่าไม้ “บริษัทบ่อถ่านศิลาไทย”ได้จัดสรร ขุดถ่านหินถิ่นเคียนซามาอิปัน แม้ถ่านนั้นจำนวนมีมิมากมาย
จบเรื่องราวได้เล่าขานบ้าน“เคียนซา” แพล่องมาถึง“เกาะแก้ว”แล้วยามสาย หลายถิ่นฐานตำนานจริงอิงนิยาย น่าเสียดายคนมองข้ามมินำพา
จนพบบ้านอยู่ประปรายริมชายฝั่ง มีชื่อตั้งให้เรียกขานบ้าน “จอกหล้า” “ย่านลำใน”ชื่อขานไว้ไม่พูดจา สุดพรรณนาไร้เรื่องเล่าเค้าความใด
ถึง “ตะปาน”ไร้ตำนานแต่กาลหลัง วรรณรอฟังตาขำต่อข้อสงสัย น่าเชื่อบ้างน่าขำบ้างช่างแต่ใจ บรรยายไปยามนั่งว่างกลางสายชล
ถึง“จันทโคตร”โคตรนายจันท์หรือพันธุ์ไม้ จะชี้ชัดได้อย่างไรใจฉงน จันทน์กะพ้อ*อ้อพงหวายแซมให้ยล ที่มากต้นกระท่อมขี้หมูอยู่ชายคลอง -------------------------------- จันทน์กะพ้อ (Vatica scortechinii) ไม้ใหญ่ ดอกสีขาวเหมือนพะยอม กลิ่นหอมเหมือนน้ำมันจันทน์ เป็นต้นไม้ประจำถิ่นภาคไต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 51 ถึง “บางเบา”คือเบาบางอย่างเล็กน้อย หรือค่อยค่อยละมุนละไมไม่ช้ำหมอง แต่ต้นไม้ชอบที่ต่ำมีน้ำนอง ชื่อถูกต้องนั้นหรือคือ “บางกระเบา”*
เป็นพันธุ์ไม้ชอบที่ชุ่มในลุ่มลาด ผลขนาดมะม่วงมันนั้นเท่าเท่า เนื้อหอมหวานเมล็ดมันแต่กินเมา ผลสุกเอาหน้าน้ำมากไหลหลากมา
เมื่อหล่นลงแตกกระจายในสายธาร เหยื่อโปรดปราณเหล่ากุ้งปูหมู่มัจฉา ทั้ง“ปลาพลวง” “โสด”ก็ดีมี “แม่ปลา” เฉพาะหน้าน้ำไหลหลากจักเมามาย
มากน้ำมันนั้นจนเหียนพาเวียนหัว ชาเนื้อตัวมึนเมายิ่งสวิงสวาย ย่านนี้กองหมอนรถไฟไว้เรียงราย เรื่องส่งขายบริษัทเขาจัดการ
ชื่อบริษัท “เซาท์อีสต์เอเซียติก” ผู้เคยพลิกผืนป่าใหญ่อันไพศาล ความ“บางเบา”หลายเรื่องราวเล่าอยู่นาน แพลุ “หานโตนด” โตนดปราย
ล่องเลยมาถึงท่าย่านบ้าน“แม่แขก” แต่“พ่อไทย”ไม่เห็นแปลกมีมากหลาย ต่างพงศ์พันธุ์มิอาจกั้นรักหญิงชาย จากเชื้อสายชาติไหนไหนไทยเหมือนกัน พ้น “แม่แขก”มองที่หมายได้จอดพัก ถ้ามืดลงคงขลุกขลักจักคับขัน ถึง “ทุ่งปักขอ”พอถนัดก็หมัดพลัน คนอิปันขอนอนพักอีกสักคืน
“ทุ่งปักขอ”พอมีเค้าให้กล่าวขวัญ เ ข้าที่พลันตาขำขานมิขัดขืน ร่ำสุราคว้าปลาย่างอังไฟฟืน ก่อนดึกดื่นผ่อนเส้นสายเมื่อปลายวัน ยกนิทานเรื่องตำนาน “ทุ่งปักขอ” มิรีรอรีบเอ่ยอ้างมาสร้างสรรค์ อยู่ข้างขวาเข้าไปในทุ่งใหญ่ครัน หญ้าหลากพันธุ์ดินน้ำสมอุดมดี
ยามว่างงานควาญปล่อยช้างออก “วางไพร”* อยู่ลำพังกลางทุ่งใหญ่พนาศรี ถึงเวลาตามหาช้าง ช้างไม่มี ลั่นวจีผรุสวาทกราดทุ่งไป
----------------------------------------- กระเบา ที่ภาคใต้มีมากคือกระเบากลักหรือกระเบาลิง บางที่เรียกลูกหัวค่าง ตามลักษณะของผล กระเบาน้ำ เกสรตัวผู้มีกลิ่นหอมคล้ายดอกจันทน์กระพ้อ หรือดอกกาหลาหมัด (ภาษาถิ่น) การผูกมัดที่มีความแน่น ดึงจนเชือกที่มัดนั้นตึงแบบขันชะเนาะ วางไพร การปล่อยช้างให้หากินเองในป่า ถ้าช้างเชื่องมากๆ จะไม่มีการผูกหรือล่ามไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
52 แม่ศรีวรรณทอง เดินจนเมื่อยเหน็ดเหนื่อยล้าอุราร้อน นั่งพักผ่อนริมสระงามมีน้ำใส กระหายน้ำเอาขอค้ำข้างหลังไว้ ก้มหมายใจกอบน้ำเอาเข้าปากตน
ขอล้มลงสับเอาตรงที่ท้ายทอย พอลุกถอยเกี่ยวเอาหูเข้าอีกหน โมโหหนักจักขว้างขอก็ไม่พ้น หญ้าพันวนกลับตีแรงหน้าแข้งปัง
เจ็บปวดสุดร่างทรุดลงกลางพงหญ้า นั่งครวญคิดตนผิดมาแต่หนหลัง เคยสับช้างทั้งดุด่าว่าตึงตัง คงถึงครั้งที่“พ่อตา”มาสอนตน
สำนึกบาปก้มกราบวอนขอขมา ไว้ชีวาจะกลับใจใฝ่กุศล เคยชั่วโฉดโกรธใจดำทำเสียคน จะตั้งต้นเป็นคนดีมีเมตตา
จบคำมั่นหันหลังกลับมือจับขอ เดินทางต่อก็เห็นช้างอยู่ข้างหน้า เข้าใจพลันว่าท่านได้คลายมนตรา แต่นั้นมาควาญใจหยาบจึงกลับใจ
กลบทตรียมก
ใครเคยชั่วใครเคยฉ้อใครเคยฉล สิ่งไหนดีสิ่งไหนดลสิ่งไหนได้ คนอาจพลาดคนอาจพลั้งคนอภัย ทำเพื่อชาติทำเพื่อชัยทำเพื่อชน
เรารักชาติเรารักศาสน์เรารักกษัตริย์ มีเหตุข้องมีเหตุขัดมีเหตุผล เลิกแค้นเคืองเลิกค้างคาเลิกฆ่าคน ให้ชาติตั้งให้ชีพตนให้เชิดไทย
หนาวน้ำค้างต่างแยกย้ายไปพักผ่อน บ้างร้องกลอนส่งสำเนียงเสียงสดใส เพลงตะลุงจรุงรื่นชื่นหัวใจ กล่อมจินต์ให้สุขสนิทสู่นิทรา เช้าปล่อยแพอ้อมรอบ“ย่านขอบกระด้ง” ธารเป็นวงสมดั่งนามคำเรียกหนา อันคลองคดกำหนดได้ด้วยสายตา คนคดในไม่อาจหาที่หมายมอง
แพล่องผ่านย่าน“ทัพชัน” พลันสงสัย “ทัพ”หรือ“ทับ”*ถ้อยคำไหนใช้ถูกต้อง แต่ที่เห็นเป็นต้นยางข้างชายคลอง ถูกเซาะร่องโดนเจาะต้นคนทำชัน*
----------------------------------------
ทับ กระท่อมชั่วคราวขนาดเล็ก ชัน น้ำมันจากต้นยางป่า,ไม้ยุงหรือไม้ที่มีน้ำมัน ใช้ทำไต้จุดไฟและทาเรือ กันน้ำซึม (พื้นบ้านเรียกลาพอน) ใช้คลุกกับด้ายดิบแล้วตอกเข้าไปในร่องไม้กระดานเรือ เรียกตอกหมัน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 53 ตาขำท่านนั้นเล่าแจ้งหลายแหล่งท่า สาววรรณฟังนั่งหลับตาพาเคลิ้มฝัน เผลอปล่อยใจให้ลอยคว้างฝันกลางวัน ตื่นตัวพลันตาขำขาน “บ้านลำพูน” * คนข้องใจไฉนเหมือนเมืองเหนือนั่น เขาเล่ากันสืบความไว้ไม่เสื่อมสูญ ที่ชื่อคลองพ้องชื่อบ้านอันสมบูรณ์ ได้เกื้อกูลชลมารคจากถิ่นไกล
ตำนานเก่าได้เล่าขานกันมาว่า ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นใหญ่ สมเด็จพระราเมศวรจอมราชัย ยกพลไกรขึ้นเมืองเหนือเพื่อยุทธนา
เจ้าเชียงใหม่แข็งเมืองกล้าเป็นกบฏ ที่คิดคดด้วยมีจิตริษยา หากปล่อยไว้จะเป็นภัยแก่พารา สั่งโยธายกพลพร้อมล้อมเวียงชัย
เจ้าเชียงใหม่เพทุบายถวายสาร ขอทรงโปรดพระราชทานวินิจฉัย สัญญาว่าอีกเจ็ดวันแต่นั้นไป ชวนข้าไทหันกลับมาสวามิภักดิ์ พระราเมศวรทรงระวังทั้งสงสัย เวลาใกล้ได้เจ็ดวันพลันประจักษ์ ปืนใหญ่ยิงจากเวียงมาหนาแน่นนัก มิตระหนักคงพ่ายแพ้แก่ไพรี พระสั่งทัพให้ทำทีหนีแตกพ่าย แยกกระจายแบ่งกำลังดั่งถอยหนี เจ้าเชียงใหม่เห็นเป็นง่ายว่าได้ที ออกตามตีหวังให้เสร็จเผด็จชัย
ทัพอโยธยาพร้อมล้อมซ้ายขวา โอบพาราไม่ให้ลี้หนีไปไหน รบพุ่งกันมินานนักสักเท่าใด ทัพเชียงใหม่ต้องแตกพับย่อยยับลง
ฐานที่ตั้งคุ้มทั้งหลายค่ายเล็กใหญ่ ถูกจุดไฟเผาทำลายไหม้เป็นผง เจ้าเชียงใหม่ให้สำเร็จเด็ดชีพปลง ทั้งวรรณวงศ์ที่ใกล้ชิดผู้คิดการณ์
ชาวล้านนาหากปล่อยไว้ในภายหน้า อาจหาญกล้าคิดแข็งข้อขึ้นต่อต้าน ต้องจัดทัพมารบรามิช้านาน จำต้องกว้านกวาดต้อนเอาชาวล้านนา
ให้กระจายในภาคกลางบ้างลงใต้ ที่อยู่ได้ต้องหลบลี้เร้นหนีหน้า ชาว “ลำพูน”ที่จำร้างห่างเมืองมา แผ้วถางป่าสร้างบ้านไว้ในกลางดง
------------------------------
บ้านลำพูน ชื่อเดิมของ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|