บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, ธันวาคม, 2566, 03:02:47 PM



หัวข้อ: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, ธันวาคม, 2566, 03:02:47 PM

(https://i.ibb.co/DpJTbQY/Screenshot-20231228-092329-Google.jpg) (https://ibb.co/9tDSvWh)

พระธรรมคุณ ๖: ๑. สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว

 ๑...พระธรรมรักษ์ รักษ์ตนมิ มิทำตัว
ประพฤติชั่ว ชั่วเปรียบดัง ดังคนเขลา
ทำให้รัก รักและช่วย  ช่วยเถอะเรา
เรื่องร้ายเก่า เก่าจงลืม ลืมเลือนลง

 ๒...เป็นคนดี ดีมีสุข สุขอคร้าว
รุ่งเรืองก้าว ก้าวไกลตาม ตามประสงค์
จะฝึกธรรม ธรรมได้ง่าย ง่ายลุตรง
สำเร็จคง คงเต็มเปี่ยม เปี่ยมกายใจ

 ๓..."สวากฯ"พระฯ พระฯตรัสธรรม ธรรมแน่แท้
ความจริงแล แลถูกต้อง ต้องขานไข
ธรรมนำพา พาหลุดพ้น พ้นไปไกล
ตัดเวียนไม่ ไม่เกิดตาย ตายอีกครา
 
 ๔...ธรรมเป็นคำ คำสอนมี มีเหตุผล
พิสูจน์ค้น ค้นความจริง จริงชัดหนา
พระฯสอนให้ ให้จิตมอง มองคิดพา
ยึดหลักมา มาจากความ ความจริงแล
   
 ๕...ธรรมคือสิ่ง สิ่งแปรตาม ตามอำนาจ
ปัจจัยยาตร ยาตรพร้อมเหตุ เหตุก่อแฉ
มีทั้งสอง สองสิ่งพร้อม พร้อมผลแปร
มีหนึ่งแค่ แค่นี้ผล ผลละวาง

 ๖...พระธรรมฯสอน สอนเน้นทุกข์ ทุกข์เกิดมา
ดับทุกข์ฆ่า ฆ่าด้วยมรรค มรรคตัดถาง
ธรรมนอกนั้น นั้นช่วยเสริม เสริมไปพลาง
สมบูรณ์สร้าง สร้างแนะนำ นำตัดรอน

 ๗...ชีวิตคน คนมิรื่น รื่นแค่ไหน
ก็แปรได้ ได้ทุกข์เกิด เกิดต้องถอน
ทุกข์เกิดเพราะ เพราะความอยาก อยากซ้ำซ้อน
ยึดถือนอน นอนคิดอยู่ อยู่มิวาย

 ๘...พระธรรมสอน สอนให้รู้ รู้ตนยิ่ง
รู้ความจริง จริงแล้วทำ ทำชั่วหลาย
การฟังธรรม ธรรมมีค่า ค่ามากกราย
ดับทุกร้าย ร้ายหมดสิ้น สิ้นกาลนาน

 ๙...พระฯเผยแพร่ แพร่ศาสน์สู่ สู่ชาวโลก
หมดทุกข์โศก โศกผ่อนคลาย คลายทุกข์ผลาญ
หากมิใฝ่ ใฝ่รู้คุณ คุณประทาน
ประโยชน์ราน รานผลพ้น พ้นโชคควร ฯ|ะ

แสงประภัสสร

สวากขาโต=อันกล่าวไว้แล้ว
พระฯ=พระพุทธเจ้า
ปัจจัย=เหตุอันเป็นเครื่องหนุนให้เกิดหนทาง,ประกอบ
มรรค=ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบ ๘ ประการ
ศาสน์=ศาสนา

(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต)


หัวข้อ: Re: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, มกราคม, 2567, 10:11:09 AM

(https://i.ibb.co/C6tyg67/Screenshot-20231228-092734-Google.jpg) (https://ibb.co/ZSJr5S8)

พระธรรมคุณ ๖: ๒.สันทิฏฐิโก

กลอนกลบท กลมกลืนกลอน

 ๑.ธรรมที่พระฯ ตรัสบอก ได้บอกตรัส
"สันทิฏฯ"ชัด เห็นเอง ตนเองเห็น
"อนัตตา"เป็นไม่ ตนไม่เป็น
รู้จริงเฟ้น ทนเที่ยง ไม่เที่ยงทน

 ๒.เห็น"อนัตฯ" ไม่เที่ยง หาเที่ยงไม่
ตรึกตรึงใจ ผลธรรมเห็นธรรมผล
ถึงธรรมแล้ว ยลว่า นับว่ายล
พระพุทธฯดล ชัยนำ ธรรมนำชัย

 ๓."อริย์สัจ"ดับทุกข์ ทางทุกข์ดับ
"สมุฯ"รับ ไหวทุกข์ เหตุทุกข์ไหว
มรรคแปดล้วน ไกลห่าง ทางห่างไกล
ดับทุกข์ได้ รานเกิด หนีเกิดราน

 ๔.เหตุแห่งทุกข์ อยากได้ ที่ได้อยาก
ตนอยากมาก ขานแข่ง เลิศแข่งขาน
รู้สึกชอบ งานหวัง คาดหวังงาน
จิตตนพล่าน เซาซม ต้องซมเซา

 ๕.ตนเองนี้ เหตุทุกข์ ก่อทุกข์เหตุ
ยึดจงเจตน์ เขลาโฉด เพราะโฉดเขลา
ตนทุกข์เพราะ เบาคิด ใจคิดเบา
เพราะกายเรา ตัวตน ห่อนตนตัว

 ๖."อุปาทาน" ชอบยึด สิ่งยึดชอบ
ตนยังกอปร หลัวล้น ผิดล้นหลัว
"มิจฉาฯ"ผิด มัวลาม จะลามมัว
โง่เขลาชั่ว งายงม เฝ้างมงาย

 ๗.มี"วิชชา" แจ้งรู้ จึงรู้แจ้ง
ทุกสิ่งแกร่ง ผายผัน แปรผันผาย
ไม่ยึดเที่ยง วายเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนวาย
ตนไป่กาย วางหมด ทุกข์หมดวาง

 ๘."อนัตฯ"หา เที่ยงไม่ จริงไม่เที่ยง
กิเลสเลี่ยง ถางหมด ให้หมดถาง
"อริยะฯ"ทางพ้น มุ่งพ้นทาง
"มรรคแปด"ขวาง ดลหยุด เกิดหยุดดล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

สันทิฏฐิโก=พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตาม จะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อคำผู้อื่น ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ แม้จะมีใครมาบอกและอธิบายให้ฟัง ก็ไม่อาจเห็นได้
พระฯ,พระพุทธฯ=พระพุทธเจ้า
อนัตฯ=อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
อริย์สัจ=อริยสัจ ๔ ประการ ได้แก่ทุกข์, สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์),นิโรธ(ความดับทุกข์) และมรรคแปด (ทางไปสู่การดับทุกข์ ลุนิพพาน)
สมุฯ=สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์
อุปาทาน=ความยึดมั่น ถือมั่น,นึกเอาเองว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะอำนาจกิเลส(โลภะ โทสะ โมหะ),ความยึดติดเนื่องจากตัณหา(ความทะยานอยาก) ผูกพันเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
มิจฉาฯ=มิจฉาทิฏฐิ,ความเห็นผิด,ความเห็นที่ผิดจากทำนองคลองธรรม
วิชชา=ความรู้แจ้งในพุทธศาสนา มีวิชชา 3 และวิชชา 8
อวิชชา=ความไม่รู้จริงในอริยสัจ 4 คือไม่รู้ทุกข์, ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์, ไม่รู้ความดับทุกข์,ไม่รู้ทางที่จะดับทุกข์
มรรคแปด=มรรคมีองค์ 8 คือหนทางสู่การพ้นทุกข์ และการหลุดพ้น ได้แก่ สัมมาทิฐิ, สัมมาสังกัปปะ,สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ,สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ


หัวข้อ: Re: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, มกราคม, 2567, 08:39:27 AM
(https://i.ibb.co/Pwfky9n/Screenshot-20231211-084946-Google.jpg) (https://ibb.co/0hd5LFS)

พระธรรมคุณ ๖: ๓. อกาลิโก

กลอนกลบท กินนรเก็บบัว

 ☆"อกาฯ"ธรรม คือธรรม มรรคผลคลี่
ลุตรงรี่ เร็วรี่ ชี้ผ่องผล
ผู้ทำมรรค เสร็จมรรค ในบัดดล
ผลจิตล้น สี่ล้น ไม่รอครัน

 ☆เพราะผลจิต ที่จิต ทำดีไว้
รับทันใด ขั้นใด กาลไม่ผัน
ลุมรรคผล ส่งผล "โลกุตฯ"ทัน
กิจกระชั้น ลุชั้น ที่ได้ญาณ

 ☆ตรงข้ามธรรม ชื่อธรรม "โลกีย์ฯ"แน่ว
ทำบุญแคล้ว เคลื่อนแคล้ว ยังไม่ขาน
ต้องรอคอย ผลคอย วิบากนาน
เกิดผลคลาน คืบคลาน เคลื่อนคล้อยไป

 ☆ธรรมที่ให้ ผลให้ ทันทีหนา
มีแค่คว้า เร่งคว้า โลกุตฯใส
ตั้งแต่ชั้น แรกชั้น โสดาฯไว
สูงสุดไกล สี่ไกล "อร์หัตฯ"เทอญ ฯ|ะ

แสงประภัสสร

อกาลิโก =คือธรรมที่ให้ผล ไม่ประกอบด้วยกาล หรือไม่ต้องรอกาลเวลาที่ได้รับผลแห่งธรรม ได้แก่ มรรคจิต ๔ และผลจิต ๔
อกาฯธรรม=อกาลิกธรรม คือมรรคจิต ๔ และผลจิต ๔ เมื่อมรรคจิต บรรลุมรรคแล้ว อริยกุศลได้แก่ผลจิต จะเกิดขึ้นทันที ไม่รอเวลา ไม่มีระหว่างคั่น จะให้ผลทันทีทันใด
มรรคฯ=มรรคจิต ๔
เป็นกุศลขั้นสูงที่เป็นโลกุตตรกุศล(ซึ่งจะทำให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้าระดับต่างๆ คือพระโสดาบัน, พระสกทาคามี,พระอนาคามีและพระอรหันต์) การดับกิเลสด้วยมรรคจิตก็ด้วยการอบรมปัญญา จากเริ่มฟัง, ศึกษาพระธรรม จนเกิดรู้ความจริงของสภาวธรรม การปฏิบัติธรรม ตั้งแต่การเจริญสติปัฏฐาน จนเกิดปัญญากล้า ถึงระดับวิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาระดับมรรคจิต
ผลจิต=จิตที่บรรลุอริยผล ผลจากการดับกิเลสของมรรคจิตที่เป็นโลกุตตรกุศล ทำให้เกิด โสดาปัตติผลจิต ทำให้บรรลุได้ชื่อว่าเป็นพระโสดาบัน
โลกุตฯ=โลกุตรธรรม,คือธรรมที่เหนือโลกไม่เกี่ยวข้องกับโลก เป็นธรรมที่พ้นจากโลกียวิสัย พ้นจากอัตตาวิสัย พ้นไปจากอัตตา ตัวตนไม่มีตัวตน โลกุตรธรรมคือสัจธรรม ความจริงเป็นเช่นนั้นเอง พ้นทุกข์ถาวรไม่ต้องเวียน  ว่ายตายเกิด โลกุตฯมีเป้าหมาย เช่นขอจงพ้นทุกข์ มีอิสระทั้งกายใจ ขอจงมีนิพพานเป็นที่สุด
โลกียธรรม=เป็นธรรมที่เนื่องด้วยโลกียวิสัย อัตตวิสัย มีตัวตนเป็นที่ตั้ง มีตัวตนในการกระทำกรรม เป็นธรรมที่เนื่องด้วยกรรม หรือสังสารวัฏ ยังไม่พ้นทุกข์ถาวร ยังต้องวนเวียนอยู่
วิบาก=ผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้
โสดาฯ=โสดาปฏิมรรคจิต จะเกิดเป็นครั้งแรก เป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสนิพพาน จะพ้นจากอบายภูมิ อีกไม่เกิน ๗ ชาติ จะลุอรหันต์
อรหัตตฯ=เกิดอรหัตตมรรคจิต ทำลายกิเลสอย่างหมดสิ้น พ้นจากทุกข์และไม่ยึดมั่นสิ่งใด แต่ยังคงต้องทนกับทุกข์กายใจ จนกว่าจะนิพพาน

(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต)


หัวข้อ: Re: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, มกราคม, 2567, 10:01:49 AM

พระธรรมคุณ ๖: ๔ เอหิปัสสิโก

กลอนกลบท กระจาย ณ มณฑล

 ☆ข้อธรรมแจง แจ้งชัด คือข้อวัตร
"เอหิปัสฯ" ท่านจง ดูให้เห็น
เพราะธรรมนี้ ชี้ทาง ประเสริฐเป็น
ผุดผ่องเด่น ปราศกิเลส คุณมา

 ☆จึงควรปฏิบัติ "โลกุตฯธรรม"
พระคุณนำ หลุดพ้น โลกีย์หนา
หมดสิ้นกาม ทิฏฐิ อวิชชา
เก้าทางมา มุ่งผล ตามทันที

 ☆มรรคสี่อีก ผลสี่ และนิพพาน
สู่ทางศานต์ อริยะ อันสุขี
เกิดโสดาฯ มรรคต่อ ผลทวี
มรรคจากนี้ สกิฯ ผลต่อไป
   
 ☆สู่อนาฯ มรรคแล้ว อนาฯผล
เกิดบัดดล ลำดับ สว่างใส
มรรคสุดท้าย อรหัตฯ ผลตามไว
สิ้นหมดไกล กิเลส ลุนิพพาน

☆อ้านิพพาน ภาวะ ธรรมชาติ
นิ่งสะอาด แจ่มใส สุขสถาน
ห้วงเวลา เยือกเย็น กิเลสราน
จึงหมดงาน หลุดพ้น อนัตตาฯ

แสงประภัสสร

เอหิปัสฯ=เอหิปัสสิโก, เป็นสิ่งควรกล่าวกับผู้อื่นว่าจงมาดูเถิด
วัตร=กิจอันพึงกระทำ
โลกุตฯธรรม=โลกุตตรธรรม, ธรรมที่พ้นวิสัยของโลกพ้นจากการยึดติดในเรื่องโลกย์ มี 9 อย่าง คือมรรค 4 ผล 4 และนิพพาน เพื่อความหลุดพ้น
โลกียธรรม=คำสอนทางพุทธศาสนา สำหรับฆารวาส หรือคนที่ยังแสวงหาความสุขในโลก
กาม=ความปรารถนา
ทิฏฐิ=ความอวดดื้อ ถือดี
อวิชชา=ความไม่รู้แจ้งใน อริยสัจ ๔
นิพพาน=การดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ เป็นธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีที่สุด  แจ่มใส  นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้(วิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ)
อริยะ=บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษในศาสนาพุทธ
โสดาฯมรรค=โสดาปัตติมรรค, ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาบัน คือมรรคที่พระอริยบุคคลตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็เกิดผลจิต กลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล จากการละสังโยชน์ 3 ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตประมาส จะเวียนว่ายตายเกิดอีก 7 ชาติ
สังโยชน์=เครื่องพัวพัน เครื่องผูกรัด หมายเอากิเลสที่ผูกคนไว้กับวัฎสงสาร มี 10 อย่าง
สกิฯ=สกิทามิผล ละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง และลด โลภะ โทสะ โมหะ ลงได้ เป็นผู้จะเกิดอีกชาติเดียว
อนาฯผล= อนาคามิผล ละสังโยชน์ 5 และลด กามราคะ ปฏิฆะ ตายแล้วจะเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส จะบรรลุอรหันต์ที่นี้
อรหัตฯผล=อรหัตตผล จะเป็นพระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ 10 อย่าง ผู้ไกลจากกิเลส พ้นจากสังสารวัฏ
หลุดพ้น=เป็นอิสระจากสิ่งผูกมัดคือกิเลส
อนัตตา=ไม่ใช่ตัว, ไม่ใช่ตน


หัวข้อ: Re: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, มกราคม, 2567, 09:13:03 AM

(https://i.ibb.co/ByFhBD0/Screenshot-20240107-112032-Google.jpg) (https://ibb.co/9bSxWXQ)

พระธรรมคุณ ๖: ๕.โอปะนะยิโก

กลอนกลบท สะบัดสะบิ้ง

 ☆"โอปะนะฯ" ความพร้อม จะน้อมจะนึก
สติตรึกใจคาด ประสาทธน์ประสงค์
ปฏิบัติ สงบ ประจบประจง
ลุมรรคตรง นิพพาน ประทานประทิน

 ☆"เวทนา" อยากเฉก อเนกอนันต์
ชอบหรือหวั่น ทุกข์อัน ถวัลย์ถวิล
รักหรือเกลียด บันเทิง ระเริงระริน
แปรปรวนชิน สุขมาก ริอยากริยวน

 ☆นี่กิเลส ก่อชัด ประหัตประหาร
บาประราน ร้อนโรย จะโหยจะหวน
เตือนตนไม่ ยึดมั่น จะครั่นจะครวญ
เวท์นามิ เที่ยงจัก ชะงักชะงัน

 ☆เวทนา กำหนด สลดสลาย
ความอยากคลาย เบาใจ กระษัยกระสันต์
"โอปะนะฯ" น้อมธรรม ก็ย้ำก็ยรร
พฤฒิดั้น สงบรุด วิมุตวิมล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

โอปะนะฯ=โอปะนะยิโก,เป็นสิ่งที่ควรน้อมนำหลักธรรมเข้ามาไว้ในตัว เพื่อยึดถือเป็นหลักประพฤติตาม เพื่อเกิดสงบ เย็น จะได้บรรลุ มรรคผลนิพพาน
มรรค=ทางปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น มี ๘ ประการ
นิพพาน=การดับสนิทแห่งกองทุกข์
กิเลส=สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง (โลภะ โทสะ โมหะ)
เวทนา=ความรู้สึก,ความรู้สึกทุกข์สุข,ความเจ็บปวด,ทุกข์ทรมาน
ตัณหา=ความทะยานอยาก
วิมุต=ความหลุดพ้น

(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต )


หัวข้อ: Re: พระธรรมคุณ ๖: ๑ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ~ กลอนกลบท หงส์คาบพวงแก้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, มกราคม, 2567, 10:31:18 AM

(https://i.ibb.co/XX67RZn/Screenshot-20240107-112245-Google.jpg) (https://ibb.co/VVbg4WF)

พระธรรมคุณ ๖: ๖.ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ และอานิสงส์ของพระธรรม ๖

กลอนกลบท วิสูตรสองไข

 ☆ธรรมนี้ธรรมแน่ แค่ลอง ตนของตนไข
พระธรรมพระไท้ เทิดเต็ม จิตเข้มจิตแข็ง
ประพฤติประพิณ ยินเลือน ตนเคลื่อนตนแคลง
สิ่งแปลกสิ่งปลอม ขวางทาง ค่อยวางค่อยวาย

 ☆ความสุขความใส พ้นมัว ด้วยตัวด้วยตน
ธรรมเลิศธรรมล้น ดลสันต์ มรรคมั่นมรรคหมาย
มรรคส่งมรรคสร้าง ผลพร่าง กระจ่างกระจาย
จึงหลุดจึงหลีก ลี้เถิด หยุดเกิดหยุดการณ์

 ☆เมื่อรอบเมื่อรู้ พระธรรม ต้องทำต้องเทิด
ทั้งเชื่อทั้งเชิด บุญครบ ประสบประสาร
ได้ชื่อได้ชอบ ดำเกิง สำเริงสำราญ
ประมุทประโมทย์ จิตรัก ประจักษ์ประดา

 ☆จะทนจะทาน ทุกข์พรั่น มิหวั่นมิไหว
ภัยใกล้ภัยไกล หลีกลี้ สุขีสุขา             
ผู้พฤติผู้พรั่ง ธรรมมาด ระดาษระดา
เกิดมรรคเกิดมั่น พลันมี ไม่รีไม่รอ

 ☆ยึดธรรมยึดแท้ อย่าหยาบ ทำบาปทำเบียน
ชีพว่ายชีพเวียน เวรแล้ จริงแน่จริงหนอ
แม้ยากแม้ยัง มรรคหยั่ง ก็ยั้งก็ยอ
สงบสงัด ตรึงตรับ ชั่วกัปชั่วกัลป์ ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ปัจจัตตัง=เฉพาะตน
เวทิตัพโพ=ก็รู้
วิญญูหิ=วิญญูชน
มรรค=ทางแห่งความพ้นทุกข์ ๘ ประการ
กัป,กัลป์=ระยะเวลาตั้งแต่สร้างโลก จนถึงเกิดไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกหมด เรียกว่า "กัป หรือ กัลป์" เวลา 1 กัป เปรียบเทียบว่า มีที่แห่งหนึ่ง กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ มีกำแพงโดยรอบสูง 1 โยชน์ เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดบรรจุไว้ให้เต็ม ทุก 100 ปี ก็เอาเมล็ดออก 1 เมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดหมดเมื่อใด นับเป็นเวลา 1 กัป จึงเป็นเวลาที่นานเกินจะนับได้

(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต)