บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, กรกฎาคม, 2567, 03:35:15 PM



หัวข้อ: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: ๓๒.ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ~ กาพย์วิชชุมาลี
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, กรกฎาคม, 2567, 03:35:15 PM
(https://i.ibb.co/D4qTd2M/Screenshot-20240702-102400-Chrome.jpg) (https://ibb.co/v1tR9nd)
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๓๒.ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า

กาพย์วิชชุมาลี

  ๑.ธรรมหลายมีใจเป็น........................หัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่,เสร็จ...............................ด้วยใจ
คนใจประทุษกล้า.................................พูด,ทำ
ทุกข์ย่อมตามเขาไป.............................มิเลือน
  
   ๒.เหมือนล้อเกวียนตามรอย...............เท้าโค
ถ้าคนใจประเสริฐ.................................ผ่องใส
ทำพูดใดดีโข.......................................สุขเอย
เหมือนเงาตามตัวไว..............................ชิดชม ฯ|ะ

แสงประภัสสร
 
ที่มา : ธรรมบท ๒๕/๑๕
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๘๓

(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต)


หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: ๓๒.ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ~ กาพย์วิชชุมาลี
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, กรกฎาคม, 2567, 10:38:11 AM
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๓๓.เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

กาพย์มหาวิชชุมาลี

  ๑.ผู้ผูกเวรว่าเขา...............................ทำร้าย
เขาชนะ,ลักของ..................................เขาด่า
เวรไม่หยุดไม่ย้าย...............................แต่ตรึง
ชนไม่จองเวรฆ่า..................................ระงับเวรพลัน
  
   ๒.เวรนั้นมิหยุดยั้ง..............................ได้เลย
จะหยุดได้ต้องเลิก................................จองเวร
ไม่เลิกจองเวรเผย................................ย่อยยับ
ใครทำตามหลักเกณฑ์.........................เวรดับลับไป ฯ|ะ

แสงประภัสสร
 
ที่มา : ธรรมบท ๒๕/๑๕
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๘๓


หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: ๓๒.ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ~ กาพย์วิชชุมาลี
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, กรกฎาคม, 2567, 08:00:25 AM
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๓๔.กำลัง ๗ ประการ

กาพย์มหานันททายี

  ๑.จงดูก่อนภิกษุ..............................ทั้งหลาย
กำลังเจ็ดรายชี้..................................สุขผล
"สัทธา"เชื่อกรายจน..........................เลื่อมใส
"วิริยะ"ดลคือ.....................................พากเพียรรุ่งเรือง
  
   ๒.ประเทือง"หิริฯ"ละ-.......................อายบาป
"โอตตัปปะฯปราบเกรง"......................บาปกรรม
"สติ"มั่นทราบจะ.................................รู้ตน
"สมาธิ์"แน่วทำมาก..............................ธรรมะก้าวตรง

  ๓."ปัญญาฯ"บ่งฉลาด........................รู้หนา
ดูกร"สัทธาฯ"เป็น................................อย่างไร
สาวกศาส์นาเชื่อ.................................ปัญญา
ตรัส์รู้อร์หันต์ไกล................................พุทธ์องค์รู้เอง

  ๔.เคร่งพุทธ์องค์,ผู้ตื่น........................เบิกบาน
ทรงจำแนกงานสอน.............................พระธรรม
"วิริยะฯ"พานใฝ่....................................ความเพียร
ไม่ทอดทิ้งทำย้ำ...................................ความดีพรั่งพรู

  ๕.ดูกร"หิริฯ"เป็น.................................ไฉน
ความละอายใจ,กาย..............................วาจา
อกุศลไซร้กรรม.....................................ความชั่ว
อายต่อธรรมลามก................................."หิริพลัง"

  ๖.ทั้ง"โอตตัปปะฯ"ครือ........................เกรงกลัว
ภิกษุกลัวชั่วต่อ......................................ความผิด
ทางกาย,ใจมัวพร้อม..............................วาจา
อกุศลชิดหนี..........................................ห่างไกลทันควัน

   ๗."สติฯ"นั้นอย่างไร............................รู้ตน
ภิกษุจำทนแน่ว......................................ยืนยง
ทั้งพูด,ทำดลตรอง..................................รำลึก
สติประจงจำ..........................................นึกได้ทุกกาล

  ๘.งาน"สมาธิฯ"ชี้..................................สงบ
ภิกษุพานพบถึง......................................ฌานหลาย
กิเลสตัดครบจึง......................................เกิดสุข
มีกำลังรุกก้าว.........................................ธรรมเจริญ
 
  ๙.เกริ่นด้วย"ปัญญาฯ"คือ....................รอบรู้
อริยผู้เลิศ.............................................เก่งกาจ
ทราบความเกิดกู้และ.............................ความดับ
ตัดกิเลสฆาตหมด..................................สิ้นทุกข์ระทม

  ๑๐.ผู้บ่มกำลังทั้งเจ็ด...........................ประการ
เป็นบัณฑิตพานสุข................................เฟ้นธรรม
เลือกธรรมชัดชาญเชี่ยว........................ปัญญา
จิตหลุดพ้นพาไกล.................................คล้ายดับกองไฟ ฯ|ะ

แสงประภัสสร
 
ที่มา : สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๓/๒,๓,๔
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๘๓-๘๔

กำลัง ๗ ประการ=๑)กำลังคือ ความเชื่อ(สัทธาพละ)
 ๒)กำลังคือ ความเพียร(วิริยพละ)
 ๓)กำลังคือ ความละอายต่อบาป(หิริพละ)
 ๔)กำลังคือ ความเกรงกลัวต่อบาป(โอตตัปปพละ)
 ๕)กำลังคือ สติความระลึกได้(สติพละ)
 ๖)กำลังคือ ความตั้งใจมั่น(สมาธิพละ)
 ๗)กำลังคือ ปัญญา(ปัญญาพละ)


หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก: ๓๒.ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ~ กาพย์วิชชุมาลี
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, กรกฎาคม, 2567, 09:32:26 AM
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๓๕.มารย่อมข่มเหง และไม่ข่มเหงอย่างไร

กาพย์นันททายี

  ๑."มาร"แปลว่าผู้ทำ.........................ให้ตาย
สิ่งขัดขวางวายคุณ............................ความดี
บุคคลพลาดกรายลุ...........................ผลเลิศ
มารผลาญคนหนีจาก.........................ทำบุญ
  
   ๒.กุลบุตรเห็นงามขาด.....................ระวัง
ตา,ลิ้น,หูฟังกาย,ใจ.............................เกียจคร้าน
บริโภคจังยิ่ง.......................................เพียรน้อย
มารย่อมข่มต้านเขา............................แน่นอน

  ๓.ผู้จรไม่เห็นว่า................................สวยงาม
อินทรีย์คุมตามเหมาะ..........................ประมาณ
ไม่เสพจนลามมาก...............................เพียรยิ่ง
ศรัทธามีพานพบ..................................สงบใจ

  ๔.ใครมักเห็นสดสวย..........................เปรียบเหมือน
ต้นไม้แกร่งเลือนกลาย.........................อ่อนแอ
มารย่อมข่มเฉือนพัง.............................พินาศ
เหมือนลมพัดแฉไม้...............................หักพัง

  ๕.ดังผู้มักมิเห็น..................................สวยเลอ
เขาแข็งแรงเจอคล้าย...........................หินผา
มารมิข่มเธอเลย...................................เมินไป
เปรียบลมมิพาไหว................................สะเทือน ฯ|ะ

แสงประภัสสร
 
ที่มา : ธรรมบท ๒๕/๑๖
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๘๕

มาร=แปลว่าผู้ทำให้ตาย หมายถึงสิ่งใดๆที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณงามความดี,สิ่งที่ผลาญคุณความดี,หรือตัวการที่ขัดขวางบุคคลมิให้ลุผลสำเร็จอันดีงาม พุทธศาสนาแบ่งมาร ออกเป็น ๕ อย่างคือ๑)กิเลสมาร คือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง มี โลภะ,โทสะ,โมหะ ๒)ขันธมาร คือ ขันธ์ห้า ได้แก่ รูปขันธ์,เวทนาขันธ์,สัญญาขันธ์,สังขารขันธ์,วิญญาณขันธ์ อันเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง)เป็นทุกข์(ทุกขัง)และไม่แน่นอน(อนัตตา) ๓) อภิสังขารมาร คือเจตนาอันปรุงแต่งจิต ให้ทำกรรมวนเวียนในสังสารวัฏ เช่นทำให้เกิดชรา พยาธิ ขัดขวางไม่ให้หลุดพ้น ๔) เทวปุตรมาร คือเหล่าเทวาผู้ขัดขวางการทำดี มีพญาวัสวัตดี เป็นหัวหน้า ๕)มัจจุมาร คือความตายเป็นเหตุตัดโอกาสทำความดี ที่จะก้าวหน้าได้ สรุปมารที่อยู่นอกตัวเราคือ เทวปุตรมาร นอกนั้นอยู่ในตัวเรา
อินทรีย์ห้า=ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ