หัวข้อ: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, สิงหาคม, 2567, 10:04:42 AM (https://i.ibb.co/5Y0VxX0/Screenshot-20240801-154937-Chrome.jpg) (https://ibb.co/tZG5PwG)
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ กาพย์มหาตุรงคธาวี ๑."อาสวะ".......คือกิเลสปะ.......อยู่ ณ จิตอันเศร้า พุทธองค์....ทรงบ่งตัดเกลา....อาสวะ....ผู้จะรู้และเห็นหนา ผู้ไม่เห็น......ไม่รู้จะเว้น......ประโยชน์เร้นทุกครา รู้,เห็นใด....อาสฯไซร้มักพร่า...."โยนิโสฯ"....ใจโขคิดแยบคายจริง ๒."อโยนิฯ"........ไม่แยบคายริ.......อาส์ฯจิเกิดมากยิ่ง ใจแยบคาย....อาสฯกรายมิสิง....ที่เกิดแล้ว....ก็แคล้วคลาดลดหมดไป อาสวะ......พึงทิ้งเลิกละ......."ทัสส์นะ"กระจ่างไข อาสวะ....อาจละก็ได้....ด้วย"สังวร"....การจรสำรวมทยอย ๓.อาสวะ........ที่พึงเลิกคละ.......เรื่อง"ปฏิฯ"ใช้สอย หรือเพียรริ...."อธิวาส"พลอย....คืออดทน....ข่มล้นใจอย่ากังวล การงดเว้น.......อาส์วะลดเด่น......."ปริฯ"เน้นเกิดผล อาสวะ....ควรละทิ้งพ้น...."วิโนท์นะ"....จงยะยั้งให้น้อยลง ๔.อาสวะ.......ตัดหมดแน่ละ.......ด้วยปะ"ภาว์นา"ส่ง หลายวิธี....จะชี้ความปลง....มีเจ็ดอย่าง....พฤติพลางกิเลสทลาย หนึ่งลิได้........"ทัสส์นะ"เห็นไว......ชนไม่ชาญธรรมผาย ไม่รู้ดี....ธรรมที่เลิศพราย....แต่ใส่ใจ....คลอใฝ่ธรรมที่ไม่ควร ๕.ไม่เหมาะสม......เอาใจใส่ชม........สามตรมกิเลสพรวน "กามาฯ"อยาก....ถอนรากทิ้งด่วน...."ภวาฯ"ชอบ....ถูกครอบติดในภพนาน "อวิชชา".......ไม่รู้จริงหนา........สามว่าเกิดมากขาน และเจริญ....ชนเพลินยึดซ่าน....เรียก"อโยฯ"....ใจโผล่มิคิดแยบคาย ๖.ตรงข้ามย่ำ.......ชนใส่ใจธรรม.......ควรพร่ำตัด"อาสฯ"หาย ทั้ง"กามาฯ"...."ภวาฯ"จะหน่าย...."อวิชช์ฯ"ไซร้....ยังไม่เกิดก็คงเดิม เมื่อเกิดแล้ว......ละได้หมดแน่ว......"โยนิฯ"แผ้วจะเจิม ใจแยบคาย....เห็นง่ายถูกเสริม....คำสอนสั่ง....ละ"สังโยชน์สาม"สุขนา ๗.ชนใส่ใจ......มิแยบคายไว......สงสัยสิ่งต่างหนา เคยเกิดแล้ว....หรือแคล้วเกิดมา....ในอดีต....ที่ขีดไว้ยาวนานไกล เกิดเป็นใด.......เกิดเป็นอย่างไร.......ในอดีตกาลนานไข เกิดเป็นไร....แล้วไซร้เกิดไหน....อีกไหมหนอ....ผ่านรอมาแล้วอีกยาว ๘.เกิดอีกหรือ.......จักไม่เกิดครือ......ข้างหน้าหรือเกิดพราว จักเกิดเป็น....ใดเด่นสกาว....เกิดอย่างไร....กาลไกลข้างหน้าเนิ่นนาน เราจักเกิด.......เป็นอะไรเพริศ.......ไปเลิศอย่างใดขาน ปัจจุบัน....นึกหวั่นดวงมาน....สงสัยเรา....ใจเฝ้าคิดมิได้เป็น ๙.เป็นอะไร......เราเป็นอย่างใด......จากไหนสัตว์เกิดเห็น เราจะไป....เกิดไกลอย่างเช่น....ที่ไหนหนอ....เขาจ่อสงสัยมากมาย เมื่อใส่ใจ......โดยไม่แยบคาย......"ทิฏฐิ"ร้ายหกปลาย ความเห็นมั่น....เกิดพลันเข้ากราย.....เห็นเป็นจริง....อย่างยิ่งบันดาลทุกข์รน ๑๐.ความเห็นนำ......."อัตตา"ตนย้ำ......ตนซ้ำเรามีผล เห็นมั่นว่า...."อัตตา"ตัวตน....เราไม่มี....ยึดรี่อย่างเหนียวแน่นคง ยอมจำว่า......อัตตาชี้หนา......อัตตาเป็นแน่วตรง ยอมจำว่า....นัตตา,ตัวบ่ง....เป็นอนัตฯ....ที่ชัดไม่ใช่ตนตัว ๑๑.หรือ"เห็น"เฝ้า.......อัตตาของเรา.......ผู้เฝ้าพูด,รู้กลัว ย่อมรับผล.....กรรมก่นดี,ชั่ว....อัตตาเรา....คิดเขลาว่าเที่ยงยั่งยืน เป็นเช่นนั้น.......มิเปลี่ยนแปรผัน.......เหมือนครันสิ่งคงอื่น "ทิฐิ์คตะ"....หลักจะเห็นดื่น....เป็นเห็นผิด.....เนืองนิตย์ไม่ตรงความจริง ๑๒."ทิฏฐิ์คหะฯ".......ยึดถือมั่นปะ......อารมณ์นะมิทิ้ง ถือผิดเที่ยง....เหมือนเลี่ยงหลงกลิ้ง....เดินผิดทาง....ย่อมพรางสิ่งประเสริฐครัน "ทิฏฐิ์กันตาฯ".......เห็นทางยากหา......เห็นว่าเป็นภัยพรั่น "ทิฏฐิ์วิสุฯ"....เห็นปรุแย้งพลัน....เป็นข้าศึก....ข้อตรึก"สัมมาทิฏฐิ์"เอย ๑๓."ทิฏฐิ์วิปฯ"นั้น......เห็นเปลี่ยนผวนผัน......สิ่งอันเที่ยงแน่เผย บางคราวเห็น....สิ่งเป็น"สูญ"เปรย....ความเห็นผิด....ทำจิตพลิกแปรระคน "ทิฏฐิ์สังโยชน์ฯ".......เครื่องผูกมัดโลด......ขันธ์โฉดเป็นของตน ร่างกาย,ใจ....นี้ใช่ตนล้น....เป็นของเรา....คงเฝ้าอยู่กับเรานาน ๑๔.พุทธ์องค์กล่าว......พลาดฟังธรรมสาว.......ทิฏฐิยาวมัดผลาญ ย่อมไม่พ้น...."เกิด"ด้น"แก่"ราน....ตาย,เศร้าโศก....วิโยคทุกข์ใจ,ทุกข์กาย แต่ฟังธรรม......พระอริยะล้ำ......พระธรรมใส่ใจผาย ไม่ใส่ใจ....ธรรมไม่เหมาะกราย....กิเลสเกิด....และเพริศเจริญรุดนา ๑๕.พุทธ์เจ้าชี้.......ไม่ใส่ใจนี้.......ธรรมคลี่แบบใดหนา คือธรรมที่....ทำรี่"กามาฯ"...."ภวาฯ"เปิด....บังเกิด"อวิชชาฯ"ตรม ที่เกิดแล้ว.....ขยายมากแนว......ต้องแผ่วใส่ใจสม ควรใส่ใจ....ธรรมใดที่คม....อาสวะ....ไม่ปะเกิดแล้วละไกล ๑๖.เขาใส่ใจ......ธรรมถูกแล้วไซร้.....กามฯใฝ่,ภวาฯไข "อวิชชาฯ"....สามคว้าร้างไป....เกิดไม่มี....ถ้าปรี่มาก็ตัดลง คิดแยบคาย.......นี่คือทุกข์กลาย.......ทุกข์ร้ายทราบเหตุปลง ดับทุกข์ลิ....ปฏิบัติส่ง...ถึงทางดับ....ทุกข์ลับลาเลิกประเทือง หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, สิงหาคม, 2567, 10:05:41 AM ๑๗.คิดแยบคาย......ในใจย่อมหน่าย......สังโยชน์ร้ายผูกเรื่อง
สามอย่างคลาย...."สักกายทิฏฐิ์"เปลือง....ยึดกายมั่ว....เป็นตัวตนเองทุกที "วิจิกิจฉาฯ".......ความแคลงในจิต......ยึดชิด"สีลัพฯ"ปรี่ พุทธเจ้า....ชี้เขาตัดรี่.....อาสวะ....พึงละด้วย"ทัสส์นะ"ไกล ๑๘.ภิกษุชัด......"อาสวะ"จัด......กิเลสตัดไฉน "สำรวม"สอง....ติตรองระไว....อินทรีย์หก....ใจปกตา,หู,ลิ้น,กาย จมูกรัว......เว้นความคิดชั่ว......กิเลสมัวหยุดฉาย ยุ่ง,เดือดร้อน....ความคลอนหมดคลาย....อาสวะ....พึงละด้วยสำรวมดี ๑๙.อาส์วะตัด......."ปฏิฯ"สามชัด......ก็จัดแจงวิธี "ปฏิเสว์นะ".....เสพกะใช้ปรี่....ครองชีพพอ....เหมาะก้อตัดกิเลสไว คิดแยบคาย......ใช้จีวรคลาย......หนาวหน่าย,ตัวเหลือบไร ปกปิดกาย....ละอายเพิกไกล....มิตกแต่ง....งามแจงแต่อย่างใดกัน ๒๐.ภิกษุจัก......รับบิณฑ์เคร่งนัก......ชีพพักพฤติพรหมจรรย์ กินอยู่เพื่อ....ไม่เจือทุกข์ทัน....เวทนา....คิดหาให้เกิดลดลง คงชีวิต......ปลาตโทษชิด......ชีวิตสุขประสงค์ อีกที่นอน....แค่ผ่อนหนาวตรง....ยินดีเน้น....หลีกเร้นความเงียบชัดเจน ๒๑.ภิกษุคิด......ด้วยแยบคายจิต......พิชิตโรคเป็นเกณฑ์ เพื่อบรรเทา....ทุเลาโรคเดน....ด้วยเจ็บไข้....หลีกไกลจากอาพาธไว ซ้องเสพ,คบ.......ปัจจัยสี่ครบ......กิเลสจบร้อนไส อาส์วะลด....เพราะจดเสพใกล้....ซ้องเสพงาน....ก็ผลาญกิเลสทันควัน ๒๒.ภิกษุตรอง......อาสวะลดผอง......"อธิฯ"ครองสี่ดั้น อดทนเอา....บรรเทาหนาวสั่น....สัตว์กัดต่อย....ต้องถอยหนีการรุกราน ทนถ้อยคำ......หยาบคายกระหน่ำ......ทุกข์พร่ำเวท์นาซ่าน ทนเจ็บปวด....ที่รวดร้าวผลาญ....ไม่พอใจ....ชีพใกล้ไม่รอดทลาย ๒๓.มิข่มเจตน์......อาส์วะกิเลส......เกิดเภทยากขยาย เดือดร้อนตาม....ลุกลามวอดวาย....หมดทางแก้....แน่แท้เทียวนะตัวเรา เมื่ออดทน......ข่มใจเกิดผล......อาส์ฯพ้นไกลตัวเขา ไม่อุบัติ....จึงชัด"อาสฯ"เบา....เพราะอดทน....ข่มตนพยายามเอง ๒๔.อาส์วะเด่น......ละด้วยงดเว้น......ห้าข็น"ปริฯ"เผง คิดแยบคาย....ไม่กรายจำเกรง....สิ่งรอบตัว....มิจั่วให้เกิดกิเลสฟู สัตว์ดุร้าย.......ไม้มีหนามหลาย......เหวป่ายปีนหนีกรู สงฆ์คบมิตร....ชั่วชิดย่อมดู....เหมือนพวกชั่ว....ทำมัวเมาเช่นเดียวกัน ๒๕.เหล่าเพื่อนสงฆ์......ก็พิศด้วยตรง.....เสียหายบ่งมิผัน คิดแยบคาย....เว้นกรายที่หวั่น....มิสมควร....หลีกด่วนทั้งมิตรไม่ดี หากไม่เว้น......อาส์วะย่อมเข่น......ลำเค็ญเดือดร้อนถี่ สงฆ์ทั้งหลาย....อาส์ฯวายได้รี่.....เพราะงดเว้น....สิ่งเป็นเพื่อนกิเลสลง ๒๖.ภิกษุดู......อาส์วะละกรู......หกอยู่"วิโนฯ"ส่ง ด้วย"บรรเทา"....ลดเบาผจง....ทำให้น้อย....จะคล้อยลงเป็นอย่างไร พิจารณ์เกลา.......ย่อมไม่รับเอา......จะทุเลาหมดไป กิเลสตั้ง....อยู่ฝังไม่ได้...."กามวิตก"....คิดรกในกามต่างนา ๒๗."พยาบาท".......คิดปองร้ายกาจ......เบียนดาษ"วิหิงสาฯ" วิตกสาม....เมื่อลามเกิดกล้า....เดือดร้อนมาก....แก้ยากอาจไม่ทันกาล ถ้าบรรเทา......อาส์วะยุ่งเบา......หายร้อนเพลากสานติ์ นี้แลเรียก....อาสฯเพรียกละราน....ด้วย"บรรเทา"....ทุเลากิเลสน้อยเอย ๒๘.อาส์วะเด็ด.......ละด้วย"ภาว์นา"เจ็ด......จะเสร็จแบบใดเผย ภิกษุย่อม....ทำน้อมตนเคย...."สัมโพชฌงค์"....ไปตรงทางตรัส์รู้ธรรม เจ็ดทางตรึก......คือทางระลึก....."สติ"ปรึกษานำ "ธัมม์วิจฯ"ครัน....เลือกสรรธรรมด่ำ....วิริยะ....เพียรปะตั้งมั่นมิแปร ๒๙."ปีติ"ใจ.......อิ่มเอมธรรมใส......สงบไซร้"ปัสฯ"แล "สมาธิ"....ใจตริแน่วแน่...."อุเบกขา"....ใจพาวางเฉยในธรรม จึงสงัด......ใจคลายกำหนัด......ทุกข์ชัดดับระกำ ถ้าสงฆ์ขาด....ใจพลาดบ่มจำ....ภาวนา....อาสฯพาความเดือดร้อนรุม ๓๐.ครั้นอบรม.........ภาวนาบ่ม......อาส์ฯล่มมิเกิดกลุ้ม ดังนี้แล....เรียกแท้อาสฯสุม....ละโดยภา-....วนาอบรมหทัย สรุปความ.......อาส์วะละตาม.......อร่ามสงฆ์ละใส อาสฯพึงละ....ด้วยระวังไซร้....สงฆ์ก็ละ....ได้ประลัยสิ้นแน่เทียว ๓๑.อาสฯละด้วย......ซ้องเสพตัวช่วย......สงฆ์อวยทิ้งหมดเจียว อาสฯละข่ม....ใจบ่มทนเคี่ยว....สงฆ์ละได้....สิ้นไกลแล้วด้วยตนเอง อาสฯละโดย......งดเว้นใดโกย......สงฆ์โปรยแล้วละเผง อาสวะ....จำละต้องเคร่ง....ด้วยบรรเทา....ที่เหล่าสงฆ์ละได้ไกล ๓๒.อาสฯละด้วย.......ภาวนาช่วย.......จะม้วยมิเหลือไผ ชื่อว่าสงฆ์....กั้นตรงอาสฯได้....ตัดตัณหา....จึงพาตนหมดทุกข์รน กิเลสชัด......เป็นเครื่องผูกมัด.......สกัดได้เกิดผล ทำที่สุด....เดินรุดเสร็จล้น.....เพราะตรัส์รู้....พรั่งพรูเรื่องของจิตใจ ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา สัพพาสวสังวรสูตร ๑๒/๑๒-๒๐ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้าที่ ๘๘-๙๒ หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 16, สิงหาคม, 2567, 08:12:16 AM อาสวะ=กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต ชุบย้อมให้จิตเศร้าหมอง มี ๔ อย่าง คือ ๑) กาม ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ ๒)ภพ ความติดอยู่ในภพ ๓) ทิฏฐิ ความเห็นผิด ความหัวดื้อ ๔)อวิชชา ความไม่รู้จริง,ความลุ่มหลงมัวเมา อาสฯ=อาสวะ โยนิโสฯ=โยนิโสมนสิการ คือ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย อโยนิโสมนสิการ=การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ทัสส์นะ=ทัสสนะ การเห็น สังวร=ความสำรวม ปฏิฯ=ปฏิเสวนะ คือการใช้สอย การบริโภค อธิฯ=อธิวาสนะ คือ การอดทน,ข่มไว้ ปริฯ=ปริวัชชนะ คือ การงดเว้น วิโนฯ = วิโนทนะ คือ การบรรเทา อาสวะพึงละได้ ๗ วิธี คือ ๑) อาสวะที่พึงละได้ด้วย ทัสสนะ -การเห็น ๒)พึงละได้ด้วย สังวร -สำรวม ๓)พึงละได้ด้วย ปฏิเสวนะ- การซ้องเสพ ๔)พึงละด้วย อธิวาสนะ -การอดทนหรือข่มไว้ ๕)พึงละได้ด้วย ปริวัชชนะ-การงดเว้น ๖) พึงละได้ด้วย วิโนทนะ-การบรรเทา ๗) พึงละได้ด้วย ภาวนา-การอบรม โดยปฏิบัติ สัมโพชฌงค์ ๗(องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้) ได้แก่ สติ-ความระลึกได้;ธัมมวิจยะ-การเลือกเฟ้นธรรม;วิริยะ-ความเพียร;ปีติ-ความอิ่มใจในธรรม;ปัสสธิ-ความสงบใจ;สมาธิ-ความตั้งใจมั่น;อุเยกขา-ความวางเฉยในธรรม ทิฏฐิ์คตะฯ=ทิฏฐิคตะ คือเห็นตามความไม่เป็นจริง ทิฏฐิ์คหะฯ=ทิฏฐิคหณะ คือการยึดด้วยทิฏฐิ ทิฏฐิกันตาฯ=ทิฏฐิกันตาระ ทางกันดารคือทิฏฐิ น่าระแวงมีภัยเฉพาะหน้า ทิฏฐิ์วิสุฯ=ทิฏฐิวิสุกะ ความยอกย้อนแห่งทิฏฐิ เป็นความเห็นที่เป็นข้าศึกต่อ สัมมาทิฏฐิ(ความคิดเห็นที่ถูกต้อง เป็นองค์แรกในมรรคมีองค์ ๘ ทางแห่งการหลุดพ้น) ทิฏฐิ์วิปฯ=ทิฏฐิวิปผันทิตะ ความผันผวนแห่งทิฏฐิ บางคราวก็ถือเอาความเที่ยง,บางคราวก็ถือว่าสูญ เพราะผู้มีความเห็นผิดย่อมไม่อาจตั้งอยู่ในสิ่งเดียว ทิฏฐิ์สังโยชน์ฯ=ทิฏฐิสังโยชนะ เครื่องผูกคือทิฏฐิ ยึดมั่นด้วยกิเลสว่า ร่างกาย,จิตใจ(ขันธ์ ๕)ที่มีอยู่นี้เป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือต้องคงอยู่ตลอดไป กามลฯ=กามาสวะ คือ กิเลสที่หมักดองสันดานคือ กาม ภวาฯ=ภวาสวะ คือ กิเลสที่หมักดองสันดาน คือความยินดีในภพ อวิขชาฯ=อวิชชาสวะ คือ กิเลสที่หมักดองสันดาน คืออวิชชา ความไม่รู้จริง สังโยชน์=กิเลสเครื่องผูกมัด ๓ อย่าง ๑)สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุยึดถือว่ากายของเรา ๒)วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๓)สีลัพพตปรามาส ความยึดถือศีล พรต ได้แก่ ความติดในลัทธิพิธีต่างๆ กามวิตก=ความตรึกในกาม พยาบาทฯ=พยาบาทวิตก ความตรึกในการปองร้าย วิหิงสาฯ=วิหิงสาวิตก ความตรึกในการเบียดเบียน (ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต) หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, สิงหาคม, 2567, 08:59:05 AM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๓.ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท
กาพย์ตรังควชิราวดี ๑.ภิกษุไม่ประมาท....................เห็นภัยกาจทำร้ายยิ่ง ย่อมเผากิเลสจริง.........................เหมือนไฟเผาเชื้อหมดเลย "ความไม่ประมาท"เป็น..................ฐานธรรมเด่นกว่าอื่นเผย ไม่ประมาทเทียบเกย....................ให้ชนเพียรประพฤฒิธรรม ๒.ความไม่ประมาทคือ................สติปรือรำลึกด่ำ ว่ากำลังกระทำ..............................สิ่งใดถูกต้องหรือไร ตรงข้าม"ประมาท"จัง.....................ขาดระวังไม่คิดใด ทำเรื่องมิดีไว.................................เกิดเสียหายบางครั้งตาย ๓."ไม่ประมาท"พุทธ์องค์..............ชี้เป็นมงคลขยาย รู้สิ่งควรทำกระจาย........................เพื่อความสุขอันยืนยง ใจตั้งไม่ประมาท............................พากเพียรดาษพฤฒิธรรมส่ง ยศ,กิจสะอาดคง............................มีโอกาสลุนิพพาน ๔.สิ่งไม่ควรประมาท.....................สี่มิพลาด"เวลา"ขาน เห็นคุณ"เวลา"งาน..........................เร่งทำกิจให้เสร็จพลัน อย่าประมาท"วัย"เยาว์....................แก่แล้วเขาค่อยทำดั้น พฤติ"ธรรม"รอไม่ทัน......................ถ้ารอเรียกประมาทนำ ๕.ลักษณะชนประมาท..................กินข้าวคาดสาม-สี่คำ เสร็จแล้วค่อยนึกธรรม....................พุทธ์องค์ชี้ประมาทแล คนคิดชีพยังพรู...............................หายใจอยู่เข้า-ออกแน่ ถึงคำสอนมิแปร..............................เรียกคนไม่ประมาทเลย ๖.ฝึกตนไม่ประมาท.......................พุทธ์องค์ปราดตรัสสี่เผย หนึ่ง,"ละกายชั่ว"เคย........................"ทำกายสุจริต"ตรง สอง,"ละวาจาชั่ว"..............................พูดดีนัวเสร็จประสงค์ สาม,"ละใจชั่ว"ปลง..........................."เจริญใจคิดถูกดี" ๗.สี่"มิจฉาทิฏฐิ์"ละ........................เจริญปะ"สัมมาฯ"คลี่ เห็นถูกต้องทวี.................................ไปตามทำนองคลองธรรม ฝึกตนระวังใจ..................................สำคัญไซร้ใจเป็นผู้นำ ให้กาย,วาจาทำ...............................ทุกสิ่งตามใจต้องการ ๘.ทำใจไม่ประมาท........................สี่อย่าพลาดทำผิดผลาญ หนึ่ง,มีสติทำงาน..............................ไม่กำหนัดในกามเติม สอง,คุมใจมิเคือง..............................โกรธแค้นเรื่องใดมิเหิม สาม,รักษ์ใจมิเกริม............................กับความหลงใหลสิ่งใด ๙.สี่,จิตอย่ามัวเมา..........................ไม่หลงเขลาในเรื่องไหน ทุกสภาวะไร.....................................ก็รู้ตัวทันทุกครา เมื่อไม่ประมาทแล้ว...........................ย่อมไม่แคล้วประโยชน์หนา ได้เฟ้นธรรมเหมาะนา.......................ที่บันดาลผลทุกกาล ๑๐.พุทธ์องค์ตรัสบอกไว้.................ชนอยากได้"อายุ"ผ่าน ไร้โรค,วงค์สูงกราน............................เจริญไม่ประมาทพลัน "ไม่ประมาท"เป็นบุญ..........................ที่เกื้อหนุนประโยชน์ดั้น ยังประโยชน์ทันควัน..........................ทั้งภพนี้,ภพหน้าชม ๑๑.พุทธเจ้าตรัสไว้..........................ความโศกเศร้าไม่มีตรม ผู้มีใจพร่างพรม.................................เจริญไม่ประมาทแล อีกปัจฉิมวาจา...................................พุทธ์องค์ว่า"สังขาร"แท้ มีแต่เสื่อมต้องแปร.............................จงไม่ประมาทพร้อมเทอญ ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : ๑) ธรรมบท ๒๕/๑๙ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๙๒ สัมมาฯ=สัมมาทิฏฐิ คือ ความคิดเห็นที่ถูกต้อง (เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) เป็นองค์แรกในมรรคมีองค์ ๘ ทางแห่งการหลุดพ้น ปัจจจิมวาจา= วาจาสุดท้ายก่อนจะปรินิพพาน หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, สิงหาคม, 2567, 12:41:39 PM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๔.จิตที่กวัดแกว่งดิ้นรนนั้น ดัดให้ตรงได้
กาพย์มหาตรังคนที ๑.เมื่อจิตแกว่งดิ้นรน.................ผู้ล้นปัญญาพาตรงได้ เหมือนช่างศรดัดไว......................ลูกศรตรงบ่งฉะนั้นเลย พุทธ์เจ้าเตือนจิตรักษ์...................ห้ามยากนักปัญญาช่วยเผย สติเตือนให้เคย.............................อย่าตามใจกิเลสคือตน ๒.จิตดิ้นอารมณ์หลาย...............ผ่านกรายทวารห้าตา,หู ใจคิดร้าย,ดีพรู..............................สติ,ปัญญาขาดจิตรน จิตคด,ตรงมีธรรม..........................เกื้อนำย้ำส่งให้เกิดผล จิตถึงธรรมถูกดล..........................จิตย่อมตรงดิ้นรนไม่มี ๓.ถ้าจิตสู่อธรรม.........................ที่กระหน่ำมิถูกต้องจด ก็กลายเป็นจิตคด...........................เพราะพ้องพานกับธรรมไม่ดี จึงต้องทรงปัญญา..........................ธรรมใดหนาพาถูกต้องคลี่ พ่อแม่,ครูสอนพลี...........................พุทธ์องค์ทรงสั่งสอนรู้เติม ๔.ปัญญาแยกชั่ว,ดี.......................ต่างมีมากน้อยแตกต่างผัน จิตพ่ายกิเลสครัน...........................กำลังอารมณ์,กิเลสแรงเกริม จึงดึงสู่ทางชั่ว................................ที่ผิดมัวจิตตัวหลงเสริม เปรียบเห็นกงจักรเคลิ้ม..................เป็นดอกบัวงดงามเพลิดเพลิน ๕.รู้ดี,ชั่วผลลัพธ์น้อย....................ประโยชน์คล้อยมิฝึกปัญญา เรียกว่าประมาทล้า..........................พลังปัญญาไม่เจริญ ขาดพินิจแต่ฟัง...............................กิเลสสั่งโดยผิวเผิน จิตเห็นหลงผิดเดิน..........................จิตพ่ายแพ้กิเลสทุกข์ครัน ๖.ตามใจตนก็คือ...........................ตามเอื้อกิเลสเกิดทุกข์ทน ตามใจ"อยาก"จิตดล........................"ทั้งโลภ,โกรธ,หลง"มากพลัน "ใจ"ที่กิเลสงำ..................................ขอย้ำทั้งสองอันเดียวกัน ใจเป็นกิเลสยัน................................"กิเลส"ก็"ใจ"ผสมปราน ๗.ใจชอบสิ่งใดแล้ว........................ก็แน่วยินดีติดใจดื่น จึงชอบ,ชังใดยืน..............................ตามอำนาจกิเลสราญ สติปัญญาหนี...................................ชอบ,ชังนี้จึงเห็นถูกขาน ใจไม่เป็นกลางงาน............................ความเห็นลงดิ่งถูกแล้วเอย ๘.เขาไม่รู้ว่าเห็นผิด........................จึงทำกิจทุกอย่างพลาดเผลอ เรียกแพ้อารมณ์เจอ..........................แพ้กิเลสสุดต้านเลย มิได้นำสติ.........................................ปัญญาริมาช่วยจิตเฉย ถึงหายนะเกย...................................โดยตนเป็นผู้ทำตนเอง ๙.สติระลึกดูจิต..............................ปัญญาคิดพิจารณ์เตือนจิต สิ่งชอบ,ชังต้องพิศ............................อย่าพึ่งยึดชอบ,ชังเร็วเกรง จิตโลภหรือโกรธไว...........................รู้จิตไหวดิ้นสุข,ทุกข์เผง มีโทษมิมีเคลง....................................ก็ย่อมรู้ได้ผลออกมา ๑๐.กิเลสถูกจิตเพ่ง.........................สติเก่งปัญญาเลิศหาญ กิเลสอ่อนกำลังราน...........................สัณชาติกิเลสเห็นทุกข์หนา พุทธ์เจ้าแนะทำจิต.............................ตรงมิบิด"สติปัฏฯ"กล้า กำราบจิตนิ่งพา..................................จิตปราศกิเลส,อารมณ์ ๑๑.ไร้อารมณ์,กิเลส.........................หมดเหตุจิตมิเดินคดเคี้ยว จิตเดินทางตรงเปรียว........................มิกวัดแกว่งอีกแต่นิ่งชม "สติปัฏฐาน"จด..................................กำหนดหายใจเข้า-ออกสม หายใจสั้น-ยาวคม..............................สติรู้ทำจิตรวมทรง ๑๒.จิตรวม"ฉันทะ"เกิด.....................พอใจเลิศส่งพลังพราว ลมหายใจสั้น,ยาว...............................ละเอียดขึ้น"ปราโมทย์"ประจง อุเบกขาอุบัติ......................................จิตชัดสงบหมดพะวง กระทำจิตให้ตรง................................เหมือนช่างดัดลูกศรแน่เทียว ๑๓.จิตนี้คอยเกลือกกลั้ว...................กาม์คุณยั่วปลาในน้ำศรัย เมื่อจับขึ้นบกไกล................................ย่อมดิ้นรนหาน้ำแท้เชียว มีปัญญายกจิต....................................พิชิตอาลัยกาม์คุณเหนี่ยว ละออกจากกามเจียว...........................พ้นบ่วงมารหมดทุกข์ทุรน ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : ธรรมบท ๒๕/๑๙ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๙๒ สติปัฏฯ=สติปัฏฐาน ๔ คือข้อธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ ใข้สติเป็นประธานในการกำหนดระลึกรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงโดยไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ซึ่งจะทำให้เห็นผิดจากความเป็นจริง เป้าหมายในการทำสติปัฏฐาน เพื่อฝึกสติ และใช้สติพิจารณารู้เท่าทันใน กาย,เวทนา,จิต และธรรม เพื่อให้เกิดความคลายกำหนัด ละวางตัณหา อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ หัวข้อ: Re: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, สิงหาคม, 2567, 10:04:44 AM ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๕.จิตที่ฝึกมาแล้วนำสุขมาให้ กาพย์ทัณฑิกา ๑.พุทธ์เจ้าตรัสไว้........จงรักษ์จิตใฝ่......เพราะยากรักษา ต้องคอยข่มจิต.... อย่าคิดใดนา....เพราะจิตฝึกกล้า....นำสุขเลิศเลอ ๒.จิตข่มได้ยาก.......อารมณ์เกิดจาก.......ความใคร่ที่เจอ จิตข่มยากจับ....เกิด-ดับเร็วเออ....ดิ่งอารมณเพ้อ....จิตไม่รู้ควร ๓.จิตไม่รู้ว่า......ควร,ไม่ควรพา.......ไม่พิศชาติด่วน หรือโคตร,วัยแล....คิดแต่"อยาก"พรวน....อารมณ์ตกกวน....ความใคร่อย่างเดียว ๔.การฝึกจิตชี้.......อริย์มรรคสี่.......จิตสิ้นฤทธิ์เจียว นำสุขแก่ชน.....มรรคผลเกิดเปรียว....ถึงนิพพานเชียว....เป็นสุขถาวร ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : ธรรมบท ๒๕/๑๘ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๙๓ |