หัวข้อ: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, มิถุนายน, 2568, 10:51:08 AM (https://i.ibb.co/NnQ8ctgN/Screenshot-20250531-103020-Chrome.jpg) (https://ibb.co/dJ1d8jsp) นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ร่ายสุภาพ ๑.นรกภูมิสถาน....พานไร้ความเจริญ....เผชิญทุกข์ปราศสุข....กายถูกรุดรวดร้าว....ท้าวความนรกนี้....ชี้มีจริงหรือไร....อยู่ไหนหารู้ไย....ใครชี้ชัดได้เอย....เผยพระโคดมตรัส....ชัดทำบาปเสมอ....ชีพอยู่เจอเร่าร้อน....ตายแล้วช้อนร้อนยิ่ง....ดิ่งร้อนในโลกสอง....ตรองระลึกคราใด....ใครเคยทำบาปไว้....เร่าร้อนไซร้ทุกครา....ตายแล้วหนาเร่าร้อน....ป้อนเพิ่มอีกหลายเท่า....เล่าพุทธพจน์คำ...."เร่าร้อนนำโลกนี้"....หมายชีพชี้โทมนัส....ชัดเร่าร้อนเพราะกรรม....คำ"เร่าร้อนโลกหน้า"....คว้าเร่าร้อนด้วยทุกข์....ต้องรุกสู่อบาย....หมายเร่าร้อนทารุณ....วิบากหนุนผลกรรม....คำทำบาปอาจิณ....ชินทำบาปหลายอย่าง....นึกพร่างก็เร่าร้อน....ด้วยช้อนกรรมเอาไว้....ไซร้ยังเร่าร้อนน้อย....เมื่อคล้อยตายไปแล้ว....มิแคล้วอบายหนา....วิบากมาให้ผล....ดลสาหัสเร่าร้อน....รับโทษทัณฑ์หนักย้อน....ไม่แคล้วหลีกหนี ๒.นรกแปดขุมต่าง....เบี้องล่างโลกมนุษย์....ดุจอุโมงค์ใต้ดิน....ชินซ้อนทับเป็นชั้น....เรียงกั้นบนสุดยล....จนล่างสุดเรียงโทษ...แต่โฉดเบาสุดตรึง....ถึงโลดหนักล่างสุด....รุดแต่ละชั้นปรี่....นรกคลี่บริวาร....พานอีกเกือบร้อยขุม....รุมล้อมรอบห้าชั้น....เนื้อที่กั้นรูปเหลี่ยม....กว้างยาวเปี่ยมข้างละ....ปะหมื่นโยชน์เท่ากัน....ครันแต่ละขุมใหญ่....ไต่ลึกห่างลงไป....ไกลเท่าเท่ากันยาว....ราวหมื่นห้าพันโยชน์....หนึ่งโดด"สัญชีวะ"....นรกไม่แตกดับ....สำหรับผู้เบียนเขา....สองเนา"กาฬสุตตะ"....สัตว์ปะถูกเชือกขึง....ดึงทลายชีพสัตว์โลก....โจกสาม"สังฆาตะ"....ปะชอบทรมานสัตว์....ชัดไร้ความเมตตา....สี่มา"โรรุวะ"....ปะสัตว์ร้องคร่ำครวญ....นรกซวนผู้คดโกง....ห้าโยง"มหาโรฯ"....โซเสียงครวญยวดยิ่ง....ดิ่งจิตเหี้ยมอาฆาต....ยาตรหก"ตาปนะ"....จะร้อนรุ่มด้วยไฟ....ไวสำหรับผู้คลำ....ทำบาปด้วยโลภ,โกรธ....โฉดและหลงมากยิ่ง....เจ็ดดิ่ง"มหาตาฯ"....พารุ่มร้อนยิ่งยวด....พรวดเหมือนนรกหก....เพราะจกฆ่าหมู่คน....แปดชน"อวีจี".....มีไฟนรกเผา....เขาทำกรรมสาหัส....ชัดด้วยฆ่าพ่อแม่....แน่ทำร้ายอรหันต์....ครันนรกขุมใหญ่....ใฝ่มีนรกบริวาร....พานชั้นในสิบหก....ปกชั้นนอกสี่สิบ...รวมลิบ"ห้าสิบเจ็ด"....นรกเด็ดรวมคลี่...สี่ร้อยห้าสิบหก....ปรกมากมายไล่ต้อน....คนมุ่งเลวบาปย้อน....โทษพร้อมลงทัณฑ์ ๓.หนึ่ง,สัญชีวะนั้น....นรกดั้นมิแตกดับ....สัณฐานนับกว้าง-ยาว....พราวด้านละร้อยโยชน์...หีบเหล็กโทษสี่เหลี่ยม....เรี่ยมผนังสี่ด้านพร้อม....ฝาปิดล้อมพื้นเหล็ก....ประตูเล็กมีสี่....สัตว์นรกปรี่ถูกสับ....จับโดยนิรย์บาล....พานล่าเนื้อเถือหลัง....จนตายพังแล้วฟื้น....รื้นคืนชีพด้วยลม.....แล้วตรมรับโทษต่อ....บางคราวก่อขึ้งโกรธ....เพื่อนโฉดนรกด้วยกัน....พลันเล็บมือกรายเป็นหอก....ซอกพานทิ่มแทงกาย....ขาดตายเกลี่อนเป็นท่อน....ก่อนมีลมพัดมา....ฟื้นหนาชีพคืนแล....แฉเกิดเวียนวนไป....อายุขัยห้าร้อย....คล้อยปีนรกพา....คราหนึ่งวันนรก....ปก"เก้าล้านปีละ"มนุษย์....รุดพ้นสัญชีวะ....ปะนรกบริวาร....พานเรียงครบแล้วพ้น....ด้นสู่เปรตวิสัย....พ้นไกลสู่เดียร์ฉาน....แล้วกรานเกิดเป็นมนุษย์....เศษกรรมรุดโรคมาก....อายุพรากแสนสั้น....ดั้นกาย,ตาพิการ....ขานไร้ปัญญาเอย....เผยมีแต่คนชิงชัง....พลังเศษบาปส่งผล....ผู้ยลสัญชีวะ....ปะเบียดเบียนฆ่าสัตว์....ชัดปล้นเขาและฆ่า....ฝ่ารุกที่วัดแล....แฉโกรธเขามุ่งฉ้อ....โทษปรี่สาห้สคล้อ....ย่อมน้อมโทษทัณฑ์ ทวีคูณ ๔.สอง"กาฬสุตตะ".....ปะสัณฐานเท่ากัน....เหมือนครันสัญชีวะ....นิรยบาลขึง....ตรึงสัตว์นรกไว้....ไซร้กับแผ่นเหล็กร้อน....ป้อนด้วยเปลวเพลิงเนา....เอาบรรทัดเหล็กใหญ่....ใช่ขนาดลำตาล....กรานดีดสัตว์นรก....จกหน้า-หลัง,ซ้ายขวา....กายหนาแตกซีกย่อย....ไฟค่อยเผาเป็นจุญ....เซซุนร้องครวญคราง....พลางตายแล้วฟี้นคืน....กล้ำกลืนรับโทษต่อ....จ่อกาฬสุตตะ....จะมีอายุขัย....ยาวไกลหนึ่งพันปี....นรกมีหนึ่งวัน....ครันเท่าสามสิบหก....ปกล้านปีโลกมนุษย์....แล้วรุดตกบริวาร....พานต่อสัญชีวะ....ปะครบทุกขุมเอย....เผยต่อไปเป็นเปรต....เศษบาปเหลือเกิดต่อ....ล่อเดียรฉานแล....แฉแล้วเกิดเป็นมนุษย์....ผุดเป็นคนยากเข็ญ....เป็นคนพิการเอย....เผยโรคมาก,วัยสั้น....ดั้นพลัดพรากสิ่งรัก....เพราะคราจักเป็นมนุษย์....มีโกรธรุดนำไซร้....ได้ผูกมัดสัตว์นำ....กระทำชั่ว,ศีลไร้....ไซร้กรุณาขาด....พลาดตัดตีนมือเขา....เผาโพรงสัตว์ให้ตาย....โกหกกรายไร้สัตย์....ชัดริษยา,ส่อเสียด....เกลียดประทุษเพื่อนตน....คนด่าว่าพ่อแม่....แย่สมณะขี้คร้าน.....ต้านเพียรภาวนา....สะสมหนาทรัพย์สิน....ไว้กินดอกเบี้ยแพง....แจรงชอบดื่มเหล้า....คนล่วงศีลจึงเศร้า....สู่หล้ากาฬสุตต์ นรกเฮย หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, มิถุนายน, 2568, 04:23:30 PM (ต่อหน้า ๒/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม ๕.สาม,"สังฆาฏะ"ปก.....นรกบดขยี้....ชี้มีสัณฐานคล้าย....ละม้ายนรกหนึ่ง,สอง....ภายในครองภูเขา....เนาเป็นเหล็กสูงใหญ่....ซอกเขาใส่ถ่านแดง....แฝงสัตว์นรกคลี่....ปรี่พิกลสัตว์,คน....ร่างปนประกอบกัน....พลันลำตัวเป็นคน ....แต่หัวยลเป็นควาย....ควายหัวกลายหน้าคน....ผลคนมีหัวช้าง....เผ่นคว้างนิรยบาล....พานไล่ตีสัตว์นรก....พกตะบองเหล็กไฟ....สัตว์หนีไกลซอกเขา....กองเพลิงเนาอยู่ขวาง....พลางวิ่งกลับแต่มี....เพลิงรีขวางอีกครา....มิมีหนาทางไป....ร้องไวระงมทั่ว....เขาสองจั่ววิ่งหนีบ....สัตว์ลีบแหลกรานเอย....เผยฟื้นมาใหม่นา....บางคราจับสัตว์ฝัง....ยังแผ่นดินเหล็กแน่....เพียงแค่สะเอวสัตว์....ชัดภูเขาเพลิงกลิ้ง....ทิ้งมาบดสัตว์ผลาญ....พานเลือดนองไหลหลั่ง....ดั่งแม่น้ำสายใหญ่....กรรมไม่มีสิ้นฟื้นคืน....ยืนนายนิรยบาล....จับกรานสองแขนสัตว์....ซัดทุ่มเหนือเขาเพลิง....หน้า-หลังเปิงลอกไหม้....ทุกข์ไซร้สาหัสยิ่ง....อายุดิ่งสัตว์นรก....ปกสองพันปีเอย....เผยหนึ่งวันนรก....ปรก"นานสิบแปดล้าน"....ในบ้านมนุษย์แล....แฉสองพันปีคล้อย....กาลร้อยสี่สิบสี่....ล้านปีคลี่โลกมนุษย์ ....เมื่อผุดพ้นสังฆาฯ....ก็ตกหนาบริวาร....พานครบแล้วก็มุ่ง....จุ่งกาฬสุตตะ....ปะสัญชีวนรก....ยกพ้นจากนรก....จกเกิดเป็นเปรตนา....มาสู่เดรัจฉาน....พานต่อมนุษย์โลก....ไร้โชคเป็นบ้า,ใบ้....ไซร้บอด,หนวกพิการ....พานเศษบาปให้ผล....ยลกาลก่อนทำชั่ว....จั่วต้ม,เผาสัตว์เป็น....เข็นสัตว์เป็นใส่ครก....แล้วพกโขลกละเอียด....เบียดโยนสัตว์ลงตม....สมจับลงทรายร้อน....ต้อนจับโคเทียมเกวียน....เพียรแทงไร้เมตตา....ฝึกสัตว์หนาประทุษร้าย....จึงวุ่นรับโทษย้าย....สู่พร้อมสังฆาฯ นรกเฮย ๖.สี่"โรรุวะ"ปรก....นรกเสียงครวญคร่ำ....สัณฐานพร่ำสี่เหลี่ยม....เรี่ยมเป็นหีบเหล็กเหมือน....เยือนนรกที่ผ่านมา....ครามีต้นบัวหนาม....เป็นเหล็กตามไฟโชน....โคนต้นบัวมีสัตว์....ชัดต้นละหนึ่งคน....กายท่อนบนจมรี่....ที่ใต้ต้นบัวโร่....โผล่แต่เท้าเท่านั้น....บ้างดั้นเห็นศีรษะ....ปะเท้าจมในต้น....บ้างเห็นด้นสะเอว....มีเปลวไฟท่วมกาย....วูบกรายสู่ทวารเก้า....เข้าหูซ้ายออกขวา....เข้าหนาทวารหนัก....จักออกทางปากแล....แฉเข้าปากออกพาน....ทางทวารหนักแล....แฉสัตว์นรกรับทุกข์....บุกสาหัสคร่ำครวญ....ซวนที่ต้นบัวนาน....กาล"สี่พันปี"นรก....หนึ่งวันจกโรรุวะ....จะเป็นเวลาคล้อย...."ห้าร้อยเจ็ดสิบหก"....ปรกล้านปีเนิ่นนาน....เมื่อพ้นพานโรรุวะ....จะตกขุมบริวาร....กรานจนครบแล้วต่อ....จ่อตกระขึ้นมา....หาขุมใหญ่ทุกขุม....สุมตกขุมบริวาร....ขานพ้นจากนรก....ก็จกเป็น"เปรต"เอย....เผยตามด้วยเดียรฉาน....พานหมดกรรมแล้วรุด....โลกมนุษย์เป็นคน....ยลอาภัพกำพร้า....คว้าอนาถาไร้ทรัพย์....นับไร้ที่พึ่งพา....ครารับมรดก....ก็ถูกยกเค้าเอย....เผยด้วยเศษบาปทำ....เหตุนำตกนรกแล....แฉปางก่อนทำชั่ว....จั่วเป็นพยานเท็จ....เด็ดชิงที่ดิน,บ้าน....กว้านเอาลูกเมียท่าน....ริอ่านชิงสินทรัพย์....กับชิงกุฏีสงฆ์....ให้คงเป็นของตน....ผู้คนด่าสมณะ....ปะผู้หญิงเล่นชู้....ผู้ผิดลูกเมียเขา....ชนเขลาจับสัตว์ทิ้ง....โยนรี่กองไฟกลิ้ง....ว่องแล้นรกหนา ๗."มหาโรรุฯ"ห้า....อ้านรกเสียงคร่ำครวญ....สัตว์ซวนทุรนยิ่ง....นรกดิ่งมีขนาด....สัณฐานยาตรเท่าแล....แฉกับนรกผ่านมา....กอปรหนาเปลวเพลิงแดง....แจงดุจบัวเหล็กนี้....ชี้มีหนามแน่นไซร้....งอกแน่นไร้ช่องเอย....เผยบัวหนึ่งต้นนั้น....กั้นสัตว์นรกแค่หนึ่ง....สัตว์จึ่งถูกไฟเผา....เอาจนทั่วกายแล....แฉไฟจากแผ่นดิน....ยินเสียงร้องครวญคราง.....หล่นผางจากต้นบัว....ระรัวถูกตีด้วยฆ้อน....ย้อนแทง,ทุบศีรษะ....ปะสมองกระดูกแตก....แยกเรี่ยราดไปทั่ว....สัตว์จั่วไหว้วอนหยุด....รุดต่อนิรยบาล....แต่พาลตีซ้ำแล....แฉสัตว์นรกไต่....ใคร่หนีปีนกำแพง....แจงถูกตีกระหน่ำ....กระดูกช่ำแตกราน....พานตายแล้วฟื้นนา....มาทนทุกขเวทนา.....รวมหนา"สี่หมื่นปี"....กาลมีต่างโลกมนุษย์....หนึ่งวันรุดนรกนี้....ชี้"สองพันล้านปี"....ลี ณ โลกมนุษย์....สัตว์ผุดขุมนี้เพราะ....เจาะปางก่อนหยาบช้า....คว้าไร้กรุณา....พาตีสัตว์,มนุษย์....รุดซ้ำถึงกายพลัน....ครันใส่ไฟเข้าปล่อง....ย่องรมรูงู,หนู....สัตว์กรูหนีควันแล้ว....แกล้วตีจนตายปลง....จึงลงมาตกขุม....ถูกรุมด้วยควันร้อน....ช้อนเข้าปากทวาร....ผลาญกายสุกทั่วนา....คราผู้ลักของสงฆ์....ก็คงตกขุมนี้....ชี้พ้นมหาโรรุฯ....ตกปรุขุมบริวาร....พานครบแล้วตกระ....จะมานรกขุมใหญ่....ไล่ตกขึ้นมาครบ....จบพ้นนรกหลาย....เศษบาปกรายเกิดอีก....มิหลีกเปรต,เดียรฉาน....พานเกิดเป็นมนุษย์....ซุดยากเข็ญก่ำพร้า....ทรัพย์ไม่มีในหล้า....บาปแท้มีผล หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, มิถุนายน, 2568, 10:41:00 AM (ต่อหน้า ๓/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม ๘.หก,ตาปนรก....ที่ปรกด้วยร้อนรุ่ม....สัณฐานดุ่มเหมือนกัน....ครันหีบเล็กมีไฟ....สีแดงไข,พร้อมหลาว....พราวเหล็กใหญ่นับหมื่น....ปะดื่นเท่าลำตาล....ขานสัตว์นรกนั้น....ดั้นถูกหลาวเหล็กเสียบ....เฉียบคาสอง-สามอัน....พลันดิ้นรนตะกาย....มิวายสุดทนแล....แฉไฟจากแผ่นดิน....เสียงยินดังคึกคึก....ตรึกไฟท่วมกายไว....ดิ้นไหวแค่มือ,เท้า....ตัวเฝ้าตรึงกับหลาว....เนื้อสุกคาวด้วยไฟ....ประตูไกลเปิดออก....สุนัขดอกเท่าช้าง....อ้าง้างฟันเหล็กแหลม....แจมเข้ากัดกินเนื้อ....เรื้อหมดสิ้นคงเหลือ....กระดูกเครือตายลง....มีลมตรงพัดมา....พาสัตว์นรกฟื้น....ชีพรื้นคืนอีกครา....ถูกเสียบหนาหลาวเหล็ก....ไม่เล็กเวียนแทงซ้ำ....ทนกล้ำทุกขเวทนา....มาจนสิ้นกาลเอย....เผย"หมื่นหกพันปี"....มีกาลต่างโลกมนุษย์....ดุจยาวนานกว่าแล....แฉในตาปนรก....หนึ่งวันปรกเทียบเค้า...."เก้าพันสองร้อยปี"....สัตว์นรกมีกรรมใด....ตกไวตาปนรก....เพราะพกบาปหยาบช้า....กล้าเสียบหลาวสัตว์เป็น....สัตว์ลำเค็ญต้องตาย....ผู้กรายเผาบ้านเมือง....ทำเนืองนิตย์เผาป่า....ต้องฝ่าทนทุกข์ชี้....จบขุมนี้ไปสู่....กู่ขุมบริวาร....แล้วกรานสู่ขุมใหญ่....ไต่ตกระขึ้นมา....ครบหนาเป็นเปรตแล....แฉต่อเดียรฉาน....พานเกิดเป็นมนุษย์....ดุจผจญอายุสัตว์....โรคดั้นพยาธิดล....คนอัปรีย์ยิ่งแล้....ไกลทรัพย์พานเขลาแท้....แต่งด้วยบาปเหลือ ๙.เจ็ด,"มหาตาปะ"....จะร้อนรุ่มยิ่งยวด....สัณฐานรวดเหมือนครัน....หกนรกพลันผ่านมา....กอปรหนาภูเขาเหล็ก....มิเล็กแต่สูงใหญ่....ผู้คุมไล่สัตว์นรก....จกแทงด้วยศาสตรา....พาต้อนขึ้นยอดภู....พายุกรูพัดสัตว์....ชัดตกลงมาพลัน....ครันมีหลาวเหล็กรับ....เสียบกับกายสัตว์แน่....แต่หัวถึงทวารหนัก....จักถูกเสียบด้วยหลาว....ระนาวสอง,สาม,สี่....ห้าคลี่ทุกหลาวร้อน....ช้อนไฟเผาในกาย....ผายเพลิงจากพื้นดิน....รินพุ่งหาสัตว์นรก....จึงพกเพลิงนอก-ใน....ไฟบรรจบกันหนา....มิซาเผาเนื้อ,เลือด....เดือดทุกขเวทนา....จำทนหนานานกึ่ง....ครึ่ง"อันตรกัป"....เหตุขับสู่มหาตาฯ....ปางก่อนหนาทำกรรม....จิตนำหยาบช้าแล....แฉเสียบสัตว์ด้วยหลาว....สาวทั้งยังเป็นอยู่....จู่เหวี่ยงเข้ากองไฟ....ไวมัดตากแเดดตาย....ผู้วายกรุณา....เป็นมิจฉาทิฏฐิ....ตริเห็นผิดเป็นชอบ....ถูกครอบทนทุกข์ยิ่ง....กลับดิ่งตกลึกปะ....อวีจีมหานรก...ตกขุมใหญ่แปดแล....แฉมิพ้นมหาตาฯ....เห็นผิดหนาโทษมาก....เห็นพรากจากความจริง....กรานอิงโลกหน้า,นี้....ชี้มิได้มีเลย....เผยไร้บาปและบุญ....ทุกสิ่งผลุนเกิดเอง....เผงไร้ปัจจัยดล....มิมีผลดี,ชั่ว....ผู้จั่วไม่เห็นผิด....ประชิดพ้นมหาตาฯ....ตกหนาสู่บริวาร....พานยกระขึ้นมา....พาสู่ยังขุมต้น....พ้นตามลำดับแล....แฉพ้นจากขุมนรก....จกเกิดเป็นเปรตตาม....ลามด้วยเดียรฉาน....ขานเกิดเป็นมนุษย์....รุดคนชั่วพิกล....ยลวิปริตเอย....เผยตา,หูพิการ....พานเป็นง่อยกำพร้า....โรคกล้าพยาธิ์มาก....มีพลัดพรากสิ่งรัก....มักเป็นคนเข็ญใจ....ทรัพย์ไกลครันห่างไซร้....ด้วยเศษบาปเหลือไว้....ก่อเกื้อทำหนุน อดีตครา ๑๐.แปด,"อวีจีฯ"ตก....นรกแสนสาหัส....ชัดไร้ความปราณี....มีความลึกที่สุด....ขนาดดุจนรกทั้งเจ็ด....เด็ดหีบเหล็กมีไฟ....มิดับไกลมิเหือด....แต่เดือดทั้งคืนวัน....ครันสัตว์นรกทุกคน....ทนถูกหลาวเหล็กเสียบ....เฉียบแต่สี่ถึงสิบ....เล่มยิบทำกายนิ่ง....ชิ่งมิไหวติงแล....แฉบ้างก็ยืนขึง....ตรึงคงตลอดสิ้นกาล....พานนั่ง,เอนหรือนอน....จรท่าเดียวเช่นนั้น....เพลิงดั้นไหม้ทั่วกาย....มิคลายเวทนาเลย....เผยก็ยังมิตาย....กรรมชั่วกรายรักษา....บางคราสัตว์หลุดออก....นอกหลาวเห็นประตู....พรูเปิดคิดพ้นโทษ....โดดวิ่งสู่ประตู....ก็กรูปิดลงพลัน....ยันให้ดิ้นในไฟ....ทนไปอีกเนิ่นนาน....พานอายุขัยผ่านยิ่ง....ดิ่งอวีจีเจาะ....เสาะ"วิวัฏฏ์กัปฯ"หนึ่ง....ซึ่งเริ่มโลกบังเกิด....เชิดอาทิตย์,จันทร์ส่อง....พร่องวันโลกทลาย....วายด้วยเพลิงประลัย....สัตว์นี้ไยตกนรก....เพราะปรกอาจิณกรรม....ทำชั่วอยู่เสมอ....เผลอฆ่าสัตว์,ขโมย....โดยล่วงผิดในกาม....โกหกลาม,เสพเหล้า....ต้องคลอเคล้าอวีจี....มีผู้ไร้ยุติธรรม....โลภนำก่อสงคราม....ผลามผู้คนล้มตาย....ผายประทุษผู้มี....ดีเด่นคุณธรรม....นำด้วยศีล,สมาธิ์....และปัญญาคุณเอย....เผยทำร้ายผู้ลุ....ปรุพระธรรมวิเศษ....พระเดชยิ่งตั้งแต่....เริ่มแน่พระโสดาบัน....ครันผู้ทำกรรมชั่ว....จั่ว"อนันตริยกรรม"....ทำบาปหนักห้าอย่าง....กร่างฆ่าพ่อแม่แล....แฉฆ่าอรหันต์....ครันทำพระพุทธเจ้า....เร้า"โลหิตุปาบาท"....ยาตรห้อพระโลหิต....ผู้ทำกิจ"สังฆเภท"....เจตน์ยุสงฆ์แตกกัน....ผู้ครันยึดทั้งผอง....ของพุทธ์เจ้า,ธรรม,สงฆ์....ผู้คงเห็นผิดหนา....มิจฉาทิฏฐิ....ตริทำดี,ชั่วไร้....ไซร้ไม่มีผลเอย....เผยผู้ลวงสัตว์โลก....โจกหลงฟ้อนและรำ....จำตกอวีจีแล....แฉในนรกร้องคราง....พลางดุจขับและร้อง....ซ้องในโลกมนุษย์....ไฟนรกรุดแผ่ดิ้น....เหมือนใฝ่ระบำสิ้น....โลกหล้ามนุษย์หนา หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, มิถุนายน, 2568, 03:16:34 PM (ต่อหน้า ๔/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม ๑๑.พระพุทธเจ้าตรัส....ชัดนรกมีอยู่สอง....ครองโลกนี้,โลกหน้า....อ้าคำโลกหน้าหมาย....กรายโลกของสัตว์คือ....ลือ"โอปปาติกะ"....ปะผุดเกิดเป็นตัว....ระรัวเร็วฉับพลัน....ครันทำบาปเสมอ....แม้เจอทำมากหนอ....พอพบทุกข์ยากใด....ใจยังทนได้นา....บางคราอาจมิรู้....เดือดร้อนบู้ด้วยซ้ำ....ย้ำอาชีพฆ่าสัตว์....ศาสน์ชัดทำบาปกรรม....รัฐนำมิใช่โทษ....เขาโลดชินมิร้อน....คนช้อนบาปตลอด....ชีพจอดในโลกนี้....ชี้แม้เร่าร้อนเอย....เผยปริมาณน้อย....เดือดร้อนจ้อยเพราะกรรม....นำโศกทุกข์ทางใจ....ไกลเกิดวิบากผล....ดลเดือดร้อนสาหัส....ชัดรับทุกข์ทรมาน....พานถูกไฟเผาแล....แฉถูกหอกทิ่มแทง....แจงรับโทษหลังตาย....กรายถึงโลกหน้าเอย....เผยเกิดเป็นโอปปาฯ....ณ มหานรกแล้....แท้พระพุทธองค์....ทรงตรัสว่าธรรมะ....กับอธรรมทั้งสอง....ครองวิบากต่างกัน....อธรรมครันสู่นรก....ธรรมะปรกสุคติ....พุทธองค์ตริตรัสไว้....ไซร้นรกในโลกนี้....ชี้ก็ยังมีพรู....ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย....หทัยฉายไฟเผาร้อน....ป้อนอยู่เสมอแล....แฉไฟคือราคะ....โทสะ,โมหะเอย....เผยเกิด,แก่,ตาย,โศก....วิโยค,ทุกข์,เสียใจ....คับแค้นไวก็ไฟ....คนใดพบสิ่งนี้....ชี้เรียกตกนรก....ปกคลุมอยู่ในใจ...."ตา"ไวถูกไฟเผา....ไฟเนาเผาร้อนคือ....ลือราคะ,โทสะ..เอย....เผยพุทธองค์ตรัส....ชัดไฟเสมอราคะ....ปะไม่มีได้เลย....เผยไฟใดมิเท่า....จับเจ่าโกรธ,หลงแล....แม่น้ำใหญ่ใด....ไยด้อยกว่าตัณหา....ไฟราคะเผาครา....พาเห็นรูป,เสียง....เผดียงรู้เวทนา....จะพาสุข,ทุกข์แล....แฉถูกราคะโกรธ....โลด"หลง"เผาแน่แท้....เศร้าแล้ทุกข์เสียใจ....ไวถูกเผาทุกครา....พุทธองค์หนาตรัส....ชัดคนตกนรกมาก....จากเปรียบกับฝุ่นแล้....ในแผ่นดินมากแปล้....แต่ขี้เล็บมือ กระจิดเอย ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑ นรกภูมิ = นิรยภูมิ คือภพที่ไร้ความสำราญไร้ความยินดี หรือไร้ความเจริญไร้ความสุข มีแต่ทุกข์ส่วนเดียว ถ้าเป็นรูปก็เป็นรูปที่พึงเกลียดพึงชัง ถ้าเป็นเสียงก็เป็นเสียงที่พึงกลัว ถ้าเป็นกลิ่นก็เป็นกลิ่นที่พึงรังเกียจ ถ้าเป็นรสก็เป็นรสที่เป็นพิษแรงร้าย ถ้าเป็นสิ่งที่กายถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าว อบายภูมิ ๔ = ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญ มี ๔ คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกายภูมิ และกำเนิดดิรัจฉาน นิรยภูมิ = เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิ ๔ ประกอบด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีนรกอีกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมนับร้อยขุม นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น “มหานรก” มีทั้งหมด ๘ ขุมใหญ่ ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ เรียงจากชั้นบนสุดลงไปยังชั้นล่างสุด เรียงจากโทษเบาสุดไปจนถึงโทษหนักสุดได้ดังนี้ (๑) สัญชีวนรก = คือ นรกไม่มีวันแตกดับ เป็นนรกสำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น ฆ่าสัตว์, ปล้นฆ่า, รุกราญเอาที่บ้านเรือนเขา, รุกที่วัด เมื่อตายแล้วจะไปทนทุกขเวทนา ณ ที่นี้ สัญชีวนรกมีสัณฐาน สี่เหลี่ยมดุจหีบ กว้างและยาวด้านละ ๑๐๐ โยชน์ ฝาผนังทั้ง ๔ ด้านรวมพื้นและฝาปิดทำด้วยเหล็กหนาได้ ๙ โยชน์ มีประตู ๔ ด้าน สัตว์นรกจะถูกทรมานจากนิรยบาลด้วยสับฟันทิ่มแทง แล่เนื้อเถือหนังจนเหลือกระดูกจนตาย แต่ก็จะมี “ลมกรรม” พัดผ่านให้คืนชีพอีก อำนาจอกุศลธรรมดลใจ เห็นเพื่อนก็ขึ้งโกรธ เล็บมือกลายเป็นหอกดาบ สัตว์นรกก็ทิ่มแทงตัวขาดเป็นท่อนตายเกลื่อน ตายแล้วก็มีลมเย็นพัดฟื้นมาอีก มาเสวยโทษทัณฑ์ต้อง เกิด-ตาย วนเวียนจนครบอายุขัย อายุของสัตว์นรกในสัญชีวนรก คือ ๕๐๐ ปี โดย ๑ วันนรก = ๙ ล้านปีโลกมนุษย์ ครั้นพ้นจาก สัญชีวนรก ก็ตกในขุมนรกที่เป็นบริวารเรียงไปทุกขุม พ้นจากนรกแล้วมาเกิดเป็น เปรต พ้นจากเปรต บังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ครั้นเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนชั่ว มีโรคมาก อายุสั้น รูปชั่ว พิกลพิการ ตามิบริบูรณ์ เป็นคนกำลังน้อย ไม่มีปัญญา ไม่มีผู้เอ็นดู มีแต่ผู้ชิงชังด้วยอำนาจเศษบาปให้ผล นายนิรยบาล = คือ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ในนรกต่างๆ ไม่ใด้เป็นสัตว์นรก เกิดขึ้นด้วยการประกอบมหากุศลขั้นต่ำไว้ในขณะเป็นมนุษย์ จึงมาเกิดเป็นเทวดาชั้นต้น จาตุมหาราชิกา มีชาติกำเนิดเป็นรากษส ที่ได้รับผลต้องมาปฏิบัติหน้าที่ลงโทษทรมานสัตว์นรก เนื่องจากในระหว่างที่ดำรงชีวิตเป็นมนุษย์ แม้จะมีการบำเพ็ญกุศลอันใดก็ตาม ก็ยังมีใจยินดีในการลงโทษ หรือเบียดเบียนหรือทรมานหรือฆ่าสัตว์อื่นรวมอยู่โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกุศลกรรมชั้นต่ำรวมกับความพอใจในการชอบเบียดเบียนดังกล่าว ทำให้เกิดในนิรยภูมิเป็นนายนิรยบาล มีร่างกายใหญ่โตเหมาะสมที่จะทำหน้าที่เบียดเบียนสัตว์นรก เป็นผู้ที่มีกำลังมากกว่าสัตว์นรก แสดงกิริยาดุร้าย ทำให้เป็นที่สะดุ้งตกใจกลัว พวกกา แร้ง เหยี่ยว สุนัข เป็นต้น ที่เกิดอยู่ในนรก มีหน้าที่ลงโทษสัตว์นรกเหล่านี้ ก็มีร่างกายใหญ่โต แสดงกิริยาดุร้ายน่ากลัว เป็นประเภท นกแร้งยักษ์ กายักษ์ เหยี่ยวยักษ์ และสุนัขยักษ์ ไม่ใช่เดรัจฉานธรรมดา ภายในมหานรก ๘ ขุม ไม่มีนายนิรยบาลอยู่ประจำ เพราะที่นั่นไม่มีที่สำหรับอยู่อาศัย สถานที่อยู่ของเหล่านายนิรยบาลอยู่ที่อุสสทนรก(นรกบริวาร) ส่วนเครื่องทรมานต่าง ๆ ก็ดีสถานที่อันปราศจากความสุขสบายทั้งหลาย มีแต่ความทุกข์เหล่านั้นก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยมีอกุศลกรรมของสัตว์นรก เป็นปัจจัยเครื่องอุดหนุนให้เกิด หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, มิถุนายน, 2568, 10:18:35 AM (ต่อหน้า ๕/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม (๒) กาฬสุตตนรก = คือ นรกเส้นเชือกสีดำ(สัตว์นรกถูกขึงด้วยเส้นเชือก แล้วนายนิรบาลใช้ของมีคมตัดสัตว์นรกตามแนวเส้นสีดำ) เป็นนรกสำหรับมนุษย์ที่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรือทำลายชีวิตสัตว์โลก ฆ่าภิกษุ สามเณร นักบวช ผู้ทุศีล เป็นอลัชชี หรือเป็นเพชรฆาต นรกนี้มีสัณฐานเป็นสี่เหลี่ยม กว้างและยาว ๑๐๐ โยชน์ ฝาผนัง ฝาปิดและพื้นเป็นเหล็กหนา ๙ โยชน์ มีประตู ๔ ประตู เหมือนๆกัน สัตว์นรกถูกมัดขึงลงกับแผ่นเหล็กที่เป็นเปลวเพลิง แล้วเอาสายบรรทัดเหล็กใหญ่เท่าลำตาลดีดลง ถ้าดีดลงข้างหน้ากาย กายก็แตกผ่าตลอดหลัง ดีดแต่ข้างหลังก็แตกผ่าตลอดหน้า ดีดซ้ายกายก็แตกข้างขวา ดีดขวาก็แตกข้างซ้าย กายก็แตกซีกน้อยซีกใหญ่ เสียงร้องครวญคราง ถูกไฟไหม้เป็นจุณ ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีก อายุของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรก คือ ๑,๐๐๐ ปี โดย ๑ วันนรก เท่ากับ ๓ โกฏิ (๑ โกฏิ เท่า ๑๐ ล้าน) กับอีก ๖ ล้านปีโลกมนุษย์ พ้นจากนี้ ก็ไปตกในนรกบริวารอีก ถ้ากรรมยังไม่หมดก็ไปตกใน สัญชีวนรกทุกๆขุม พ้นไปแล้วเป็นเปรต มีเศษบาปก็เกิดเป็นดิรัจฉาน พ้นเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนเข็ญใจ ง่อยเปลี้ยเสียขา พิการ อายุน้อย โรคมาก มักพลัดพรากจากที่รักใคร่ด้วยเศษบาปที่กระทำไว้ ก่อนเคยทำอกุศลกรรมมีโทสะนำ ผูกมัดสัตว์มีชีวิต กรรมนี้จึงมาตกใน กาฬสุตตนรก อีกเป็นผู้ทุศีล; เป็นผู้ไม่มีความกรุณา ตัดตีน ตัดมือ ตัดหู ตัดจมูกผู้อื่น; ผู้โกหกหาความสัตย์มิได้; เผาโพรงสัตว์หนู,งู ให้ตาย; ผู้ริษยาส่อเสียดเขา; ด่าพ่อแม่; ประทุษร้ายเพื่อน; สมณะฉันแล้วก็นอน ไม่เมตตาภาวนา; สมณะสะสมทรัพย์ มีทรัพย์ให้กู้เอาดอกเบี้ย กินเหล้าเมาสุรา ก็ย่อมตกใน กาฬสัตตนรก (๓) สังฆาฏนรก = คือ นรกบดขยี้ มีสัณฐานรูปสี่เหลี่ยมมีความยาวและกว้างได้ ๑๐๐ โยชน์ มีกำแพง พื้นและฝาปิดทำด้วยเหล็กหนา ๙ โยชน์ เหมือนกัน ภายในมีเปลวไฟ มีภูเขาสูงเป็นเหล็กน่าสะพึงกลัว ซอกภูเขามีถ่านเพลิงร้อน สัตว์นรกรูปร่างพิกล ตัวเป็นคนหัวเป็นกระบือ, ตัวเป็นกระบือหน้าเป็นคน, ตัวเป็นคนหัวเป็นช้าง, นายนิรบาลไล่ตีสัตว์นรกด้วยตะบองเหล็กไฟโพลง ก็ร้องไห้คราง สัตว์นรกบางพวกเกิดภายนอกนรก และเข้าไปภายในนรก นายนิรบาลก็ถืออาวุธ ไล่สะกัดซ้าย-ขวา สัตว์นรกวิ่งหนีเข้าไประหว่างภูเขานรก มีกองเพลิงปะทุขวางหน้า สัตว์นรกก็วิ่งกลับหลัง มีกองเพลิงขวางอีก วิ่งไปไหนก็ไม่ได้ ร้องไห้เซ็งแซ่ ภูเขาทั้งสองก็วิ่งเข้ามาหนีบสัตว์นรกละเอียดเป็นจุณ สัตว์นรกก็กลับฟื้นมาอีก; บางครานายนิรบาลจับสัตว์นรกฝังเพียงสะเอวในแผ่นดินเหล็ก ภูเขาเพลิงก็กลิ้งมาบดสัตว์นรกแหลกละเอียด โลหิตสัตว์นรกก็ไหลดุจแม่น้ำ กรรมยังไม่สิ้นก็ฟื้นขึ้นมาอีก; บ้างนายนิรบาลก็จับแขนทั้งสองหิ้วขึ้น แล้วทุ่มซัดลงเหนือเขาถ่านเพลิง ถ้าเอาหน้าลง หน้าก็ไหม้ลอก เอาหลังลง หลังก็ไหม้ ทุกข์เวทนาสาหัส อายุของสัตว์นรกในสังฆาฏนรก คือ ๒,๐๐๐ ปี โดย ๑ วันนรก เท่ากับ ๑๔ โกฏิ (๑ โกฏิ เท่า ๑๐ ล้าน) กับอีก ๔ ล้านปีโลกมนุษย์ เมื่อพ้นจากสังฆารตนรก ก็ตกในนรกบริวาร กรรมยังไม่สิ้นก็มาตกใน กาฬสุตตนรก, สัญชีวนรก ตามลำดับ พ้นจากนรกมาเกิดเป็น เปรต ดิรัจฉาน มาเกิดเป็นมนุษย์จะมีอายุน้อย รูปชั่ว เป็นใบ้ บ้า บอด หูหนวก ง่อย เปลี้ย ค่อม ด้วยเศษบาปให้ผล เพราะปางก่อนเป็นคนหยาบช้า ไร้ความกรุณา ต้มสัตว์ เผาทั้งเป็น; จับสัตว์เป็นใส่ครกโขลก; จับสัตว์เป็นลงทรายร้อน; โยนสัตว์ลงในตมให้จมตาย; สัตวนรกได้ทำอกุศลธรรมเช่น ใจหยาบบาปช้า ไร้ความเมตตา กรุณา; จับโคเทียมเกวียน แล้วทิ่มแทงไม่ปราณี; ผู้ฝึกช้าง,ม้า,โค ทรมานสัตว์ให้ลำบาก; จึงต้องลงไปอยู่ในสังฆาตนรก ๔) โรรุวนรก = คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญ มีสัณฐานหีบเหล็กสี่เหลี่ยม ขนาดเท่ากับนรก ๑,๒,๓ ภายในมีต้นบัวนับแสน เป็นบัวเหล็กเปลวเพลิง ดาดด้วยหนามหนา สัตว์นรกนั่งอยู่ในต้นบัวต้นละคน บางคนมีกายท่อนบนจมอยู่ใต้ต้นบัวนรกเห็นแต่เท้า, บางคนเห็นแต่ศีรษะ เท้าจมอยู่ในต้นบัวนรก, บางทีเห็นแต่สะเอว, เห็นแต่มือครึ่งหนึ่งเท้าครึ่งหนึ่ง, บางทีเห็นแต่ตัวอยู่ครึ่งหนึ่ง มีเปลวเพลิงท่วมกาย แล้ววูบเข้าไปในทวารทั้ง ๙ เข้าหูขวาออกหูซ้าย, เข้าหูซ้ายออกหูขวา, เข้าทางปากออกทางทวารหนัก, เปลวเพลิงเข้าทางทวารหนักออกทางปาก, สัตว์นรกรับเวทนาแสนสาหัสร่ำไห้อยู่ที่ต้นบัวนรก รวม ๔,๐๐๐ ปี [๑ วันในโรรุวนรก = เวลา ๕๗ โกฏิ (๑ โกฏิ เท่ากับ ๑๐ ล้าน) กับ ๖ ล้านปี สรุปรวม ๑ วันในโรรุวนรก = ๕๗๖ ล้านปีในโลกมนุษย์] เมื่อพ้นจากโรรุวนรกแล้ว ก็ตกในนรกบริวารอีก ๕๖ ขุม แล้วตกระขึ้นมาทุกขุมใหญ่แล้วตกขุมบริวารอีกโดยลำดับ พ้นจากนรกแล้ว เศษบาปก็ให้เกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถึงมนุษย์ เป็นคนอนาถา กำพร้า หาที่พึ่งมิได้ คนเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ แม้จะได้มรดก ทรัพย์ก็จะหมดสิ้นด้วยภัยอันตราย ด้วยอำนาจเศษบาปที่ทำไว้ สัตว์นรกนี้ ปางก่อนได้ทำผิด เช่น เป็นพยานโกหก เข้ารับสมอ้างด้วยคนผิด กรรมนี้ให้ผลจึงต้องทนทุกข์ในนรกนี้; คนที่ชิงที่นา ที่สวนของผู้อื่น; ชิงเอาเมียท่าน; ชิงทรัพย์สมบัติเป็นของตน; ชิงเอาอาวาส กุฏี วิหาร ที่เขาถวายภิกษุอื่น; ฉ้อสงฆ์; บุรุษผิดด้วยเมียผู้อื่น; หญิงนอกใจสามี; ผู้จับสัตว์เป็นโยนเข้ากองไฟ; ผู้ที่ด่าว่าสมณะ เป็นต้น หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, มิถุนายน, 2568, 04:38:45 PM (ต่อหน้า ๖/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม (๕) มหาโรรุวนรก = คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่งยวด มีสัณฐานเหมือน นรกที่ผ่านมา หีบเหล็กประกอบด้วยเปลวเพลิง เพลิงสีแดงดุจดอกบัวแดง เป็นดอกบัวเหล็ก งอกแน่นไม่มีระหว่าง มีหนามแน่น บัวแต่ละต้นมีสัตว์นรกอยู่หนึ่ง มีเปลวเพลิงติดแต่แผ่นดินเหล็ก เพลิงเผาสัตว์นรกทั่วกาย ต้องร้องครวญครางดิ้นรนอยู่ พลัดตกจากต้นบัวเหล็ก นายนิรยบาลก็คอยแทงด้วยหอก,ฉมวก ตีศีรษะด้วยฆ้อนเหล็ก สมองกระดูกแตกเรี่ยราด สัตว์นรกวอนไหว้ นายนิรยบาลก็โกรธตีซ้ำอีก ตายแล้วก็ฟื้นอีก หนีขึ้นตามกำแพงเหล็ก ก็ถูกตีจนกระดูกเป็นจุณ เสวยทุกขเวทนาทารุณ เป็นเวลา ๔๐,๐๐๐ ปี (แต่ละวันใน มหาโรรุวนรกเป็นเวลาในโลกมนุษย์ ๒,๓๐๔ ล้านปี) เหตุที่ตกนรกขุมนี้ เพราะสัตว์นรกแต่ปางก่อนเป็นคนบาปหยาบช้า ไม่มีความกรุณา จะตีศีรษะสัตว์ดิรัจฉานและมนุษย์ซ้ำๆให้ถึงตายจนได้; สัตว์ในมหาโรรุวนรกบางพวกมีควันร้อนเข้าไปในช่องหู จมูก ปาก ทวารหนัก เผากายให้สุก เพราะแต่ก่อนใส่ไฟเข้าในปล่องหนู งูเหลือม คอยทุบตีสัตว์ที่หนีควันจนสิ้นชีพ ผลกรรมนี้ส่งให้ตกในนรกแห่งนี้; ผู้ที่ลักของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า สมณะ ลักเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นลัก ก็ย่อมตกนนรกนี้ เมื่อพ้นจากนรกนี้ก็ตกระขึ้นมาทุกขุมๆ ตกขุมใหญ่แล้วตกขุมที่เป็นบริวาร สิ้นข้างนรกแล้ว เศษบาปก็ทำให้เกิดเป็นเปรต สัตว์ดิรัจฉาน เป็นมนุษย์ เกิดเป็นคนกำพร้า อนาถาไร้ทรัพย์อับปัญญา อาศัยเศษบาปที่ทำนั้นอำนวยผล (๖) ตาปนรก คือ นรกแห่งความร้อนรุ่ม สัณฐานเป็นหีบเหล็ก มีขนาดเท่ากับนรกที่ผ่านมา ในหีบมีเหล็กแดงเป็นเปลวไฟ มีหลาวเหล็กนับหมื่น แต่ละเล่มใหญ่ประมาณลำตาล สัตว์นรกจะถูกเสียบบนหลาวเหล็ก บางคนมีหลาวเสียบ ๒ เล่มก็มี ๓ เล่มก็มี ดิ้นรน สุดจะทานทน เหลือที่จะอดกลั้น แล้วยังมีไฟเกิดแต่แผ่นดินเหล็ก ดังคึกๆ เปลวไฟสูงขึ้นไหม้ร่างสัตว์นรก ดิ้นได้เฉพาะมือเท้า ตัวตรึงอยู่กับหลาวเหล็ก เพลิงเผาเนื้อสัตว์สุกทั่ว แล้วประตูนรก ๔ ด้านเปิดอ้า มีสุนัขตัวเท่าช้าง มีฟันเหล็กเข้ากัดกินเนื้อสิ้น เหลือแต่กระดูก เมื่อตายแล้วมีลมนรกพัด ก็คืนชีพนายนิรยบาลก็เอาตัวขึ้นเสียบหลาวเหล็กเวียนอีกครั้ง ต้องทนทุกขเวทนาถึง ๑๖,๐๐๐ ปี (แต่ละวันใน ตาปนรก เท่ากับ ๙,๒๑๖ ปีในมนุษย์โลก) สัตว์เหล่านี้ได้ทำอกุศลกรรมอะไรจึงมาตกนรกขุมนี้ เพราะเป็นคนใจบาปหยาบช้า ไม่มีความกรุณาแก่สัตว์ จับเอาสุกร แพะ เป็ด ไก่ทั้งเป็นมาเสียบหลาวเหล็กเพื่อปิ้งให้สุก กรรมนี้จึงติดตามมา; บางพวกเผาป่า ทำให้สัตว์มีชีวิตต้องตาย, ผู้เผาบ้านเผาเมือง จึงต้องไปทนทุกข์ยิ่งใน ตาปนรก พ้นจากขุมนี้ก็ตกในขุมบริวาร ๕๖ ขุม พ้นแล้วก็ตกระขึ้นมาทุกขุมๆ หลุดจากนรกเกิดเป็นเปรต ดิรัจฉาน บังเกิดเป็นคน มีอายุน้อย โรคาพยาธิมาก เป็นคนอุบาทว์จัญไร ไร้ทรัพย์อับปัญญา ด้วยเศษบาปติดตามตกแต่งให้ผล (๗) มหาตาปนรก = คือ นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด มีสัณฐานเป็นหีบเหล็ก ขนาดเท่ากับนรกที่ผ่านมา ประกอบด้วยภูเขาเหล็กสูงใหญ่ นายนิรยบาลคอยไล่ทิ่มแทง ต้อนให้ขึ้นเขา ที่ยอดเขามีลมนรกเป็นพายุใหญ่พัดสัตว์นรกตกลงมา ไม่ทันถึงดินก็มีหลาวเหล็กเท่าลำตาลคอยรับ เสียบกายแต่หัวถึงทวารหนัก แต่ละคนถูกเสียบ ๒,๓,๔,๕ เล่ม ทุกเล่มมีเปลวเพลิงมิเหือด เผาเนื้อเผาเลือดในตัว และยังมีเพลิงจากแผ่นดินเหล็ก นอกกายอีก ทั้งเพลิงนอก-ในกายบรรจบกัน สัตว์นรกในมหาตาปนรก จะทนทุกขเวทนาเป็นเวลานาน กึ่งอันตรกัป (หนึ่งอันตรกัป เท่ากับ จำเดิมมนุษย์อายุ ๑๐ ปี และอายุเจริญขึ้น อสงไขย(อสงไขยปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว) แล้วมีความประมาท จนอายุถอยลงเหลือ ๑๐ ปี เวลาเท่านี้เรียก อันตรกัป ๑ สัตว์นรกเหล่านี้ ต้องเสวยกรรม เพราะปางก่อน เป็นพญา เป็นอำมาตย์บ้าง มีจิตร้ายหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสียบสัตว์เป็นด้วยหลาวเหล็ก; ยกสัตว์ทุ่มเข้ากองเพลิง บางทีมัดย่างตากแดดให้ตาย กระทำหยาบช้าหาความกรุณามิได้ จึงต้องทนทุกข์เพราะหลาวเหล็ก; ผู้มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบต้องทนทุกข์ในมหาตาปนรก พ้นจากนี้ ถ้าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ก็ตกลึกลงถึงอเวจีนรก ทนทุกข์ต่อตกลงถึงโลกันตนรก มิอาจยกตนขึ้นจากนรกได้ เหตุ นิยตมิจฉาทิฏฐิหนักกว่าโทษทั้งปวง ถ้าสัตว์นั้นเป็น อนิยตมิจฉาทิฏฐิ ไม่ถือว่าเป็นเที่ยง พ้นจากมหาตาปนรกแล้วก็ตกระขึ้นมาทุกขุมๆ มาบังเกิดเป็นเปรต สัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เกิดเป็นมนุษย์ชั่ว พิกล วิปริต เสียตา หู เป็นง่อย คนกำพร้าอนาถา พยาธิโรคามาก มักพลัดพรากจากที่รักที่ใคร่ เป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ด้วยอำนาจเศษบาปที่ทำไว้ มิจฉาทิฏฐิ = มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน (๗.๑) ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล (๗.๒) ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล (๗.๓) ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล (๗.๔) ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี (๗.๕) ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี (๗.๖) ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี (๗.๗) ความเห็นว่า มารดาไม่มี (๗.๘) ความเห็นว่า บิดาไม่มี (๗.๙) ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี (๗.๑๐) ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, มิถุนายน, 2568, 10:33:13 AM (ต่อหน้า ๗/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓= ความเห็นผิดมีโทษมาก จะทำบาปได้ทุกอย่างเพราะมีความเห็นผิดเป็นปัจจัย ความเห็นผิดที่ดิ่ง มี ๓ อย่างคือ (๗.๑) อเหตุกทิฎฐิ = เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองเป็นเอง ไม่อาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดให้มีขึ้น ไม่เชื่อในเหตุ (๗.๒) นัตถิกทิฎฐิ = เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลอันเนื่องมาแต่เหตุผลของการทำดีทำชั่ว ไม่มีโลกนี้โลกหน้า สัตว์บุคคลไม่มี เป็นแต่ธาตุประชุมกันตายแล้วสูญไม่เกิดอีก เชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น (๗.๓) อกิริยทิฎฐิ =เห็นว่าการกระทำใดๆ ไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ ผลบาปบุญไม่มีแก่ผู้ทำกระทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป ปฏิเสธการกระทำโดยประการทั้งปวง อนิยตมิจฉาทิฏฐิ =ไม่เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ (๘) อวีจีมหานรก = คือ นรกอันแสนสาหัสไร้ความปรานี เป็นมหานรกที่ลึกที่สุด มีสัณฐานและขนาดเท่ากับมหานรกทั้ง ๗ เป็นนรกที่พลุ่งด้วยเปลวเพลิงมิได้เหือดเลยทั้งกลางวันกลางคืน สัตว์นรกถูกร้อยด้วยหลาวเหล็ก ๔,๕,๖,๗,๘,๙,๑๐ เล่ม จนกายมิไหวติง บางพวกถ้ายืนก็ยืนขึงอยู่จนตราบสิ้นอายุ; ถ้านั่งก็นั่งขึงอยู่; นอนก็นอนขึงอยู่; เอนก็เอนขึงอยู่ เพลิงจะไหม้ท่วมกาย ทนทุกขเวทนาสาหัส จะตายก็มิตายด้วยอำนาจอกุศลกรรมรักษาไว้ สัตว์นรกบางพวกพ้นออกจากหลาวเหล็กได้ เห็นประตูเปิดออก คิดว่าจะพ้นทุกข์ก็วิ่งออก แต่ประตูก็ปิด ก็ร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในเปลวไฟทนทุกขเวทนาต่อไป อายุสัตว์ในอวีจียืนนานยิ่งนัก มีกำหนดไว้ วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ๑ (อธิบายว่า จำเดิมแต่วันอันบังเกิดพระจันทร์ พระอาทิตย์ไป ตราบเท่าถึง วันกัปปวินาสกะมหาเมฆ บังเกิดเป็นเหตุที่จะให้โลกฉิบหาย ด้วยเพลิงประลัยกัลปนั้น เรียกว่า วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ๑) สัตว์เหล่านี้แต่ปางก่อนได้กระทำอกุศลกรรมต่า งๆ เช่น ทำอาจิณกรรม ฆ่าสัตว์เป็นนิจกาล กรรมนี้ให้ผลจึงลงมาทนทุกข์ในอวีจี; ผู้ทำอทินนาทานเป็นอาจิณกรรม; ผู้ทำกาเมสุมิฉาจารเป็นอาจิณกรรม; ผู้กล่าวคำมุสาโกหกมายาเป็นอาจิณกรรม; ผู้ส้องเสพสุราเมรัยเป็นอาจิณ; คนเหล่านี้ย่อมตกในอวีจีมหานรก ผู้มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม; มากด้วยโลภเจตนา; เที่ยวไปตีบ้านๆตีเมือง ทหารล้มตายจำนวนมาก; ผู้ประทุษร้ายท่านผู้มากด้วยศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ; ประทุษร้ายท่านที่บรรลุธรรมวิเศษ มีพระโสดาบัน เป็นต้น (ดังพระเทวทัต ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า สิ้นชีพแล้วบังเกิดในอวีจีมหานรก กายพระเทวทัตต์สูง ๑๐๐ โยชน์ เท้าทั้งสองจมในแผ่นดินเหล็กเพียงข้อเท้า ศีรษะอยู่ในฝาปิดเบื้องบน เพียงใบหูทั้งสอง มีหลาวเหล็กใหญ่เท่าลำตาลตรึงไว้โดยรอบ มิอาจไหวติงกายได้ พระเทวทัตต์ไหม้อยู่ในอวีจีมหานรกตราบเท่าทุกวันนี้); ผู้ทำ ปัญจานันตริยกรรม ๕ คือ ปิตุฆาต, มาตุฆาต, อรหันตฆาต, โลหิตุปบาท -กระทำให้เลือดห้อบังเกิดในพระวรกายของพระพุทธเจ้า, สังฆเภท - ทำให้สงฆ์แตกแยกตั้งแต่ฝ่ายละ ๔ รูปขึ้นไป; ผู้ถือเอาสิ่งของแห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า; ผู้ถือมิจฉาทฤษฎีลัทธิภายนอกพระศาสนา; ส่วนผู้เห็นผิด นิยตมิจฉาทิฏฐิ บางทีจะตกใน มหาตาปนรก ขุมที่ ๗ ก่อน สิ้นอายุแล้วจึงตกลงในอวีจีขุมที่ ๘ แล้วจึงตกลงในโลกันตนรก; ผู้ที่ล่อลวงสัตว์โลกให้ลุ่มหลงด้วยฟ้อนและรำ ก็ต้องตกในอวีจีมหานรก อาการที่ร้องไห้ครางในนรก ดุจดังจะขับจะร้อง, อาการที่เพลิงไหม้ทนมิได้ ต้องวิ่งเต้นไปมา ดุจดังว่าจะฟ้อนรำ ตอนเป็นมนุษย์ขับร้อง รำฟ้อนฉันใด ก็ไหม้อยู่ในนรกฉันนั้น กัป, กัลป์ = กาลกำหนด, ระยะเวลายาวนานมาก ที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักรวาลประลัยครั้งหนึ่ง อุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ ทุก ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวนานกว่านั้น; กำหนดอายุของโลก = เรียกเต็มว่า อายุกัป เช่นว่า อายุกัปของคนยุคนี้ ประมาณ ๑๐๐ ปี กัปมี ๔ อย่าง =ได้แก่ (๑) มหากัป กัปใหญ่ = คือกำหนดอายุของโลก อันหมายถึงสกลพิภพ (๒) อสงไขยกัป = กัปอันนับเวลามิได้ คือส่วนย่อย ๔ แห่งมหากัป ได้แก่ (๒.๑) สังวัฏฏกัป = เรียกเต็มว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป - คือ กัปเสื่อม คือ ระยะกาลที่โลกเสื่อมลงจนถึงวินาศ (๒.๒) สังวัฏฏฐายีกัป = เรียกเต็ม สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป - ระยะกาลที่โลกพินาศแล้วทรงอยู่ (๒.๓) วิวัฏฏกีป = เรียกเต็ม วิวัฏฏอสงไขยกัป - กัปเจริญ คือ ระยะกาลที่โลกกลับเจริญขึ้น (๒.๔) วิวัฏฏฐายีกัป = เรียกเต็ม วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป - ระยะกาลที่โลกเจริญแล้วทรงอยู่ ครบรอบ ๔ อสงไขยกัปนี้ เป็นมหากัปหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะอุบัติเฉพาะแต่ในวิวัฏฏฐายีกัป คือในระยะกาลที่โลกกลับเจริญขึ้น และกำลังทรงอยู่ เท่านั้น (๓) อันตรกัป = กัปในระหว่าง ได้แก่ระยะกาลที่มนุษย์เสื่อมจนส่วนใหญ่พินาศแล้ว ส่วนที่เหลือดีขึ้นจริญขึ้นและมีอายุยืนยาวขึ้น จนถึงอสงไขย แล้วกลับเสื่อมทรามลง อายุสั้นลงๆ จนเหลือเพียงสิบปีแล้วพินาศ ครบรอบนี้เป็นอันตรกัปหนึ่ง ๖๔ อันตรกัปเช่นนั้นเป็น ๑ อสงไขยกัป (๔) อายุกัป กำหนดอายุของสัตว์จำพวกนั้นๆ เช่น อายุกัปของมหาพรหมเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป โลกันตนรก = นรกที่ตั้งอยู่ระหว่างจักรวาลทั้ง ๓ เปรียบเหมือนนำกงล้อเกวียน ๓ ล้อมาวางชิดกัน ช่องว่างระหว่างล้อทั้ง ๓ คือที่ตั้งของโลกันตนรก; หรือเปรียบเหมือนนำบาตร ๓ ใบมาวางคว่ำไว้ให้ชิดกัน ช่องว่างระหว่างบาตรนั้นคือที่ตั้งของโลกันตนรก หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, มิถุนายน, 2568, 03:06:34 PM (ต่อหน้า ๘/๘) ๑.มหานรก ๘ ขุม นรกนี้กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ ความยาวไม่สามารถวัดได้ มีคูลึกและยาว มีความลึกที่หยั่งไม่ได้ เบื้องบนไม่มีฝาปิด เบื้องล่างมีน้ำรองรับแผ่นดินเป็นพื้น เบื้องบนนั้นเป็นปล่องสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ในโลกันตนรกนี้มีแต่ความมืดมนยิ่งนัก สัตว์ที่เกิดในโลกันตนรกนี้มองไม่เห็นอะไรเลยราวกับหลับตาในคืนเดือนมืด แม้ว่าแสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันจะส่องสว่างให้แก่คนทั้ง ๔ ทวีปให้มองเห็นได้ แต่ก็ไม่สามารถจะส่องให้เห็นในโลกันตนรกได้ ทั้งนี้เพราะเดือนและตะวัน ซึ่งมีแสงสว่างนั้นส่องได้ในระยะไกลเพียงยอดเขายุคันธรเท่านั้น ไม่สามารถส่องสว่างเลยเขตกำแพงจักรวาลไปได้ โลกันตนรกนั้นตั้งอยู่นอกกำแพงจักรวาล ดังนั้นแสงสว่างจึงส่องไปไม่ถึง แต่ถ้ามีปรากฏการณ์ ๕ ประการต่อไปนี้เกิดขึ้น จึงจะมีแสงสว่างในโลกันตนรก คือ ประการแรก เวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา; ประการที่ ๒ เวลาที่พระโพธิสัตว์ออกจากครรภ์พระมารดา; ประการที่ ๓ เวลาที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้; ประการที่ ๔ เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรม; ประการที่ ๕ เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เมื่อสัตว์ในโลกันตนรกแลเห็นกันแล้ว ต่างก็คิดว่าแต่ก่อนเคยอยู่ตัวเดียว ณ ที่นี้ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายอยู่ในนรกที่ร้ายนี้ด้วย แต่ช่วงที่สัตว์นรกแลเห็นกันนั้นสั้นมากเปรียบดังชั่วระยะดีดนิ้ว (ลัดนิ้วมือ) หรือราวกับชั่วฟ้าแลบ และรวดเร็วเท่ากับช่วงกล่าวคำว่า “อันใด ๆ” พอกล่าวได้เท่านั้นแสงสว่างนั้น ก็กลับมืดดังเดิม ช่วงที่แสงสว่างอยู่นานที่สุด คือเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา ผู้ใดประทุษร้ายบิดามารดา นักบวช ครูอาจารย์ ผู้มีศีล และยุยงสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อตายไปก็จะเกิดในโลกันตนรกนี้ สัตว์ในนรกนี้ร่างกายสูงใหญ่ถึง ๖,๐๐๐ วา เล็บมือเล็บเท้านี้ เกาะที่แห่งใดก็จะติดกับที่แห่งนั้น สัตว์นรกนี้ใช้เล็บเกาะกำแพงจักรวาล ห้อยโหนโยนตัวเหมือนค้างคาว มีความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายไปหาอาหารก็จะถูกต้องมือของกันและกันคิดว่าเป็นอาหาร ต่างก็ดีใจจึงกัดกินกันและกัน ต่างใช้มือตะครุบและรัดกันเพื่อกินเป็นอาหาร จนตกลงในน้ำซึ่งรองรับแผ่นดินไว้ ขณะที่ตกลงไปในน้ำนั้นเหมือนผลไม้ใหญ่หล่นน้ำซึ่งแสงแดด ไม่เคยส่องถึงเลย ดังนั้นน้ำจะเย็นยะเยือกเป็นที่สุด พอตกลงไปในน้ำแล้วครู่เดียวร่างกายก็เปื่อยยุ่ยราวกับก้อนอุจจาระตกลงในน้ำ เมื่อสัตว์นรกนี้ตายแล้วก็กลับเป็นตัวตนขึ้นอีก ปีนขึ้นไปเกาะกำแพงจักรวาลด้านนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้รับทุกขเวทนาเป็นเวลานานชั่วพุทธันดรกัลป์หนึ่ง (หมายถึง ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง) โอปปาฯ = โอปปาติกะ คือ ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ และโตเต็มตัวในทันใด ตามแต่อดีตกรรม ตายก็ไม่มีซากปรากฏ ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย การกำเนิดของสัตว์มี ๔ ประเภทดังนี้ (๑) อัณฑชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น เป็ด ไก่ (๒) ชลาพุชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ (๓) สังเสทชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล หมายถึงเกิดในสิ่งสกปรก เช่น เกิดในของบูดเน่า หรือในน้ำสกปรก ก็เกิดเป็นแมลงที่เป็นตัวอ่อน เป็นต้น (๔) โอปปาติกะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที โดยฉับพลัน สุคติ = คติดี, ทางดำเนินที่ดี, สถานที่ที่ดีที่สัตว์โลกซึ่งทำกรรมดีตามแล้วไปเกิด ได้แก่ มนุษย์และเทพ ทุคติ = คติชั่ว, ภูมิชั่ว, ทางดำเนินที่มีความเดือดร้อน, สถานที่ไปเกิดอันชั่ว, ที่เกิดที่ไม่ดีมากไปด้วยความทุกข์ ได้แก่ นรก ดิรัจฉาน เปรต (บางทีรวม อสุรกาย ด้วย (ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต) หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, มิถุนายน, 2568, 07:08:11 AM นรกภูมิ : ๒.อุสสุทนรก (ว่าด้วยนรกบริวารของมหานรกทั้งแปด) ร่ายดั้น ๑."อุสสุทนรก"รุม....คือขุมชั้นในเอย....เผยของมหานรก....ปกทั้งแปดแห่งแล....แฉอุทสุทนรกกู่....ตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศ....ชิดแปดมหานรก....วกแต่ละทิศกอปร....ตอบมีอุทสุทฯสี่....คลี่รวม"สิบหก"แน่....แต่ละมหานรก....ปกนอกนี้ยังมี....นรกลีชั้นนอกสื่อ....ชื่อ"ยมโลกนรก"....ดกมากทิศละสิบ....รวมลิบ"สี่สิบ"นา....หนึ่งมหานรกถึง....พึงปรก"ห้าสิบเจ็ด"....เด็ดมีมหานรก....จกคูณแปดจะมี....นรกทวีใหญ่น้อย...."ห้าร้อยเจ็ดสิบหก"....ฉกสิบหกอุสสุทฯ....รุดแปดมหานรก....พก"ร้อยยี่สิบแปด"....แวดยมโลกฯชั้นนอก....ซอกมหานรก...จกมี"สี่สิบ"ขุม....คูณแปดยอดรวม....ยมโลก"สามร้อย"พร้อม....ยี่สิบ ๒.มหานรกหนึ่ง....จึ่งมีอุสสุทฯอยู่....จู่ตามสี่ทิศแล....แฉทิศละสี่ขุม....ประชุมรวม"สิบหก"....ยกแปดมหานรก....จกมีอุสสุทฯรวม....สรวม"ร้อยยี่สิบแปด"....แวดล้อมนรกใหญ่....ใช่กว้าง,ยาว,ลึกเท่า....เจ่า"สามสิบโยชน์"แล....แฉทุกขุมฝาปิด....ชิดหนา"เก้าโยชน์"รั้ง....ตั้งกำแพงสี่ด้าน....จ้านอยู่มุมนรกใหญ่....ไพล่เล็กกว่านรกใหญ่....ใช่ลงทัณฑ์เบาลง....ไฟตรงร้อนน้อยหนา....คราหนึ่งมุมมีสี่....คลี่อุสสุทนรก....ปกเรียงในลำดับ....รับเหมือนกันทุกมุม....ทุกขุมแม้ขุมใหญ่....ใคร่เอ่ยเพียงสี่รุด....ในสุดชื่อ"คูถนรก"....จกถัดไป"กุกกุล"....สามดุน"อสิปัตต์ฯ"....สี่ชัด"เวตต์รณี"....มีภูเขาเหล็กชื่อ....สื่อ"กลากบรรพต"....จดอยู่สี่มุมเห็น....เป็นดั่ง กองเพลิง....นรกใหญ่อันเหี้ยมพร้อม....โทษหนา ๓.คูถนรกเต็มมา....ด้วยคูถหนาอันเหม็น....แสนเข็ญตั้งอยู่นาน....พานยาวได้หนึ่งกัป....นับมีหนอนใหญ่เท่า....เจ่าลำตาล,เรือโกลน....โดนปากดุจเข็มแหลม....แซมคมน่าสะพรึง....จึงนิรยบาล....พานผูกเท้าสัตว์ตรึง....ขว้างถึงนรกคูถ....เหล่าหนอนดูดกัดหนัง....พังทะลุกินเลือด....เชือดเป็นอาหารแล....แฉบ้างกัดทะลุ....ปรุคลานกินตับ,ไต....หัวใจ,ไส้น้อยใหญ่....ไขว่คว้ากินสมอง....ผองกระดูกสิ้นเอย....เผยทนทุกขเวทนา....ทำกรรมหนาใดบ้าง....คว้างปางก่อนจับสัตว์....ชัดยังเป็นเหวี่ยงลง....ตรงหลุมคูถหรือทิ้ง....กลิ้งลงแหล่งเปือกตม....ให้สัตว์จมตายเอย....เผยผู้เหนียว"ลาภ"นา....หวงลาภมาสู่สงฆ์....คิดคงผู้อื่นได้....ไซร้เข้าป้องกันไว้....มิให้ลาภแก่สงฆ์....ผู้คงห้ามลาภสงฆ์....ห้ามชงผู้อื่นเอย....เผยตายตกคูถนรก....ปกทุกขเวทนา....อำมาตย์หนาจิตหยาบ....มัดทาบคน,สัตว์ไว้....ไซร้ตรึงมิขยับ....จับสัตว์มีพิษ,งู....พรูแมลงป่อง,ตะขาบ....ทาบเกาะตัวลำบาก....จากทุกขเวทนา....ผู้พยาบาทนำ....ทำกรรมหยาบเลวทราม....จึงสู่ คูถนรก....ทนทุกข์ตนสร้างย้อน....เช่นกัน ๔."กุกกุลนรก"....ปกถัดไปเป็นขุม....รุมเถ้ารึงร้อนร้าย....สัตว์ย้ายจากคูถนรก....จกเห็นเถ้ารึงกว้าง....นึกอ้างสบายแล้ว....ไม่แคล้ววิ่งจึงพบ....ครบความเร่าร้อนกล้า.....หน้าจมเถ้าสุกยับ....นับย่อยแหลกเป็นจุณ....หนุนคล้ายแป้งตำแหลก....สัตว์นี้แตกเพราะไย....ปางก่อนใจหยาบช้า....กล้านำ"สัตว์เป็น"ทิ้ง....กลิ้งลงหลุมดินร้อน....ต้อนสัตว์จนถึงตาย....ฉายกรรมนี้ส่งผล....จนต้องตกขุมนี้....ชี้กายป่นคล้ายแป้ง....เช่นสงฆ์แจ้งศีลไร้....ไซร้ทำเหมือนศีลมี....ได้ดีด้วยปัจจัย....ชนใสศรัทธาถวาย....สงฆ์จะกรายกุกกุลฯ....ดุนสู่นรกเถ้ารึง....คราสงฆ์พึงตระหนี่....เหนียวรี่พระธรรมเอย....เผยจำไว้ไม่สอน....คิดจรถ้ารู้แล้ว....มิแคล้วครอบงำตน....จนย่ำยีแหลกดล....คนตระหนี่วิทยา....รนสู่ กุกกุลฯ....รับโทษทนดิ้นร้อน....นรกหนา ๕."อสิปัตต์นรก"....จกขุมบริวารหนา.....ของมหานรก....ปกอยู่นอกกุกกุลฯ....นรกหนุนให้มีใบ....ล้วนไวเป็นหอก,ดาบ....ขึ้นระนาบแน่นหนา...สัตว์พาเห็นเป็นสวน....ยวนตาสวนมะม่วง....สัตว์ล่วงจากกุกกุลฯ....ผลุนถึงก็วิ่งหนา....คราลมคึกคึกพัด....ใบหอกตัดกายสัตว์....ขาดชัดท่อนน้อยใหญ่....ใช่ศีรษะ,เท้า,มือ....หรือคอขาดกระจาย....ผายร้องหวีดครวญคราง....ลางสาหัสสากรรจ์....ครันหนีขึ้นกำแพง....แจงมีขวากกรดหนา....แน่นดาดาษบาดเท้า....เร้าขาดเห็นเป็นชิ้น....ทรงตัวสิ้นล้มลง....ซ้ำกายคงขาดเด่น....เป็นเช่นช่องน้อย,ใหญ่....สุนัขไขว่เท่าช้างสาร....พานกัดกินเนื้อ,เลือด....สัตว์เดือดร้อนครางตลอด....เสียงดอดไม่สงบนา....ต่อมาแร้ง,กานก....ปรกปากเล็กตัวใหญ่....ไล่จิกตา,ตับ,ไต....หัวใจ,ปอด,ม้ามลากไส้....ไซร้กินเป็นอาหาร....พานเหลือแต่กระดูก....ก็ถูกฟื้นชีพคืน....กรรมยืนมิหมดไป....ใจทุกเวทนาต่อ....จ่ออาศัยกรรมไหน....ชาติก่อนไกลทารุณ....อาฆาตหนุนหยาบช้า....คว้าสงครามรบพุ่ง....จุ่งฆ่าฟันทิ่มแทง....แจงด้วยอาวุธนำ....กรรมจากฆ่าฟันกัน....ในบ่วง สงคราม....ลงสู่นรกใช้ท้น....โทษแทน หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, มิถุนายน, 2568, 04:53:27 PM (ต่อหน้า ๒/๓) ๒.อุสสุทนรก ๖."เวตตรณีนที"....นรกมีน้ำเค็มขัง....จิรังนานหนึ่งกัป....ขอบน้ำตรับ"เครือหวาย"....บนฝั่งพราย"ขวากกรด"....จดไกลข้างละโยชน์....สัตว์โลดออกพ้นจาก...พรากอสิปัตต์นรก....จกอยากน้ำเห็นแล้ว....แจ้วสระโบกขรณี....ดีใจจะได้กิน....ผินวิ่งสู่แม่น้ำ....จำเวตตรณี....ลีสะดุดขวากกรด....จดเท้าขาดล้มลง....ขวากคงบาดกายเห็น....เป็นชิ้นใหญ่ชิ้นน้อย....สัตว์อื่นคล้อยตามหลัง....สะดุ้งยังมิเข้า....เจ้านิรยบาล....พาลไล่ตีต้องวิ่ง....เท้า,กายยิ่งขาดราน....ผลาญโดยทั่วเช่นกัน....พลันนิรยบาล....พาลโบยตีด้วยฆ้อน....ร้อนรนดิ้นพลาดสลบ....จบจมเลือดท่วมกาย....หงายดุจเชือดบนเขียง....แล้วเกรียงฟื้นขึ้นมา....ครานิรยบาล....กรานแทงด้วยหอก,ฉมวก.....จวกสัตว์โดนเครือหวาย....กายดิ้นถูกหวายหนาม....คมลามดุจกรดยาตร....กายขาดชิ้นใหญ่น้อย....จดคล้อยเจ็บสาหัส....แล้วพลัดโดนหลาวเหล็ก....ไม่เล็กเป็นลำตาล....พานเสียบหัวถึงทวาร....กรานร้อยจากทวาร....พานออกทางสมอง....มีผองใบบัวกรด....จดใต้หลาวเหล็กนั้น....สัตว์ดั้นถูกตัดเห็น....เป็นหลายท่อนน้อยใหญ่....ไขว่ดิ้นรนช้านาน....พานตกน้ำเค็มหนา....พาลอยตามน้ำมา....แสบร้อนสาหัสยิ่ง....ดิ่งนายนิรยบาล.....กรานคอยริมฝั่งแทง....พุ่งแรงด้วยหอก,แหลน....แผนยิงด้วยปืนดุจ....จะรุดแทนปลาเอย....เผยใช้เบ็ดเกี่ยวปาก....ลากมาถึงพื้นแล....แฉเอาเหล็กใส่ปาก....จากเหล็กแดงไหม้คอ....คลอจ่อถึงสมอง....นองกลิ้งเข้าท้องเอย....เผยไฟพลุ่งอวัยวะ....ในสุก ตับ,ไต....จนแผ่ลำไส้น้อย....ใหญ่ผลาญ ๗.กรรมใดเล่าสัตว์ต้อง....ตกคล้องเวตต์รณี....สงฆ์มิมี"ศีล"ครบ....แสร้งจบดุจมีเอย....เผยห่มจีวร,บิณฑ์....ชินรับของเขาถวาย....ดูกรายหลอกศีลชัด....จึงถูกปัดตกขุม....ทนทุกข์รุมนานไกล....ใครฆ่าสัตว์น้ำตาย....สัตว์เป็นวายวอดแล....แฉผัดน้ำมันหรือ....ครือถูกน้ำร้อนลวก....พวกนี้สู่เวตต์รณี....มีสัตว์กลืนเหล็กแดง....นิรยบาลแจงถาม....ความชัดอยากกินใด....สัตว์ไวอยากน้ำยิ่ง....ถูกดิ่งผูกมือ,เท้า....เร้านอนหงายขึงเสา....เอาเบ็ดเกี่ยวปากไว้....ใช้น้ำเหล็กร้อนกรอก....สัตว์ยอกแสนสาหัส....น้ำเหล็กตัดคอขาด....ไหม้ดาดทั่วหัวใจ....ตับ,ไต,ไส้,ทวาร....กรานขาดเป็นชิ้นย่อย....บ่อยครั้งเป็นผู้ทำ....นำมูลสัตว์ปะปน....ให้คนกินอาหาร....บางกาลเจือยาพิษ....ปลิดชีพเขาจนตาย....กรรมจึงกรายให้โดน.....น้ำเหล็กโยนกรอกปาก....ทนทุกข์ยากปานนี้....ชี้สงฆ์ทุศีลแล....แฉผู้เสพสุรา....ก็พาตนทนทุกข์....รุกกินน้ำเหล็กแดง....แจงรับเวทนาครัน....อันมหานรก....ปรกทั้งแปดแล....แฉมีอุสสุทนรก....ปกคลุมสี่ทิศรอบ....หนึ่งทิศกอปรสี่ขุม....รวมกุม"สิบหก"แล....แฉแต่ละทิศมี....วิธี"กรรมกรณ์"ลือ....คือเครื่องลงทัณฑ์นี้....ชี้ดุจเดียวกันนา....ชื่อเรียกหาเดียวรั้ง....ทั้งร้อยยิ่สิบหก....วกทำกิจเหมือนกัน....ทุกแปด มหานรก....ขุมย่อยแทนพร้อมแล้....สี่หนา ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑ อุสสทนรก = คือ นรกที่เป็นขุมบริวาร เราเรียกลักษณะของอุสสทนรกว่า ขุมเช่นเดียวกับมหานรก อุสสทนรกมีขนาดเล็กกว่ามหานรก และ การทัณฑ์ทรมานก็เบาบางกว่า มีความทุกข์น้อยกว่า ไฟนรกก็ร้อนแรงน้อยกว่ามหานรก มหานรก = เหมือนเป็นประธานของนรกทั้งปวง มหานรกขุมหนึ่งๆ จะมีอุสสทนรกตั้งอยู่โดยรอบทั้ง ๔ ทิศๆ ละ ๔ ขุม รวมเป็น ๑๖ ขุม เมื่อรวมอุสสทนรกที่เป็นบริวารของมหานรกทั้ง ๘ ขุมแล้ว จะมีจำนวนทั้งหมด ๑๒๘ ขุม อุสสทนรกทั้ง ๔ ขุมในแต่ละทิศ มีชื่อเรียกเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นชื่อเหมือนกันกับอุสสทนรกในทิศอื่นๆ และเป็นเช่นนี้กับมหานรกทุกขุม ต่างกันแต่เพียงความหนักเบาของทุกข์โทษเท่านั้น อุสสุทนรก ๔ ขุม = มีชื่อเรียกดังนี้ (๑) คูถนรก = คือ นรกอุจจาระเน่า สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากมหานรกแล้ว แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นจากวงจรนรก ต้องเสวยทุกข์ต่อไป ในนรกขุมบริวารที่ใกล้ชิดกับมหานรกอันดับที่ ๑ คือ คูถนรก จะถูกทรมานอยู่ในนรกอุจจาระ เต็มไปด้วยหมู่หนอน มีปากแหลมดังเข็ม ตัวอ้วนพีใหญ่เท่าช้าง เมื่อสัตว์นรกตกลงมาสู่คูถนรก หนอนนรกจะกัดกินเนื้อของสัตว์นรกนั้นจนเหลือแต่กระดูก แล้วก็แทะกระดูกเข้าไปอีก หนอนบางตัวมีขนาดเล็กก็จะคลานชอนไชเข้าไปในปาก กัดกินปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ กระเพาะ แล้วก็ออกทางทวารด้านล่างและด้านบน เป็นอย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม (๒) กุกกุลนรก = คือ นรกขี้เถ้าร้อน ครั้นพ้นจากกำแพงของคูถนรกแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกอุจจาระเน่าแล้ว ยังต้องถูกทรมานในนรกขุมบริวารอันดับที่ ๒ คือ กุกกุลนรก ซึ่งตั้งอยู่ติดต่อกับคูถนรก ลักษณะของกุกกุฬนรก เต็มไปด้วยเถ้าร้อนสำหรับเผาสัตว์นรกให้ได้รับทุกขเวทนาอันแก่กล้า ถูกเถ้าเผาสรีระให้ย่อยยับละเอียดเป็นจุณ เมื่อเศษบาปกรรมยังไม่สิ้นตราบใด ก็ต้องตายเกิดตลอดกาลนานจนกว่าจะสิ้นกรรม (๓) อสิปัตตนรก = คือ นรกป่าไม้ดาบ ครั้นพ้นจากกำแพงของกุกกุลนรกแล้ว สัตว์นรกที่มีอกุศลกรรมเหลืออยู่นั้น ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว จะต้องเจอนรกขุมบริวารอันดับที่ ๓ คือ อสิปัตตนรก ที่มีลักษณะเป็นอุทยาน มีต้นไม้คล้ายกับมะม่วง เมื่อสัตว์ที่ยังไม่หมดสิ้นกรรมชวนกันไปเดินเล่นในอุทยานนี้ ก็มีลมพัดมาอย่างแรง ใบมะม่วงก็หลุดและปลิวลงมากลายเป็นหอกเป็นดาบ ทิ่มแทงร่างของสัตว์นรกเหล่านั้น จนแขนขาด คอขาด ขาขาด มีแผลเหวอะหวะเต็มไปทั่วร่างกาย เลือดแดงฉานออกมา จากนั้นก็มีสุนัขนรกร่างกายใหญ่โตเท่าช้างสาร วิ่งมากัดกินเลือดเนื้อของสัตว์นรกนั้นจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นยังมีแร้งนรกซึ่งมีปากเป็นเหล็ก ตัวโตประมาณเท่าเกวียนเท่ารถ มาโฉบเฉี่ยวยื้อแย่งจิกทึ้งเนื้อสัตว์นรก ฉีกกินเป็นอาหาร กรรมยังไม่สิ้น ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างนี้ตลอดเวลา หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, มิถุนายน, 2568, 10:51:12 AM (ต่อหน้า ๓/๓) ๒.อุสสุทนรก (๔) เวตรณีนรก = คือ นรกแม่น้ำเค็มมีหนามหวาย ครั้นเมื่อสัตว์นรกพ้นจากกำแพงของอสิปัตตนรก ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ จึงต้องมารับกรรมอีกในขุมที่ ๔ ลักษณะของเวตรณีนรก จะมีน้ำเค็ม แสบ ตั้งอยู่ชั่วกัป มีเครือหวายหนามเหล็กล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ มีดอกบัว ผุดบานล่อใจให้ชวนชม สัตว์นรกจึงวิ่งกระโจนลงไปในแม่น้ำ ทันใดนั้นเองเครือหวายเหล็ก ซึ่งคมเหมือนหอกเหมือนดาบ ก็บาดร่างกายทำให้เป็นแผลในน้ำเค็ม ทั้งเจ็บทั้งแสบ แล้วก็เกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้เผาร่าง เผาทั้งๆ ที่อยู่ในแม่น้ำ จนไหม้เกรียมเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ บางตนร่างห้อยอยู่บนเครือหนาม ในไม่ช้าร่างนั้นก็ต้องตกลงไปโดนดอกบัวเหล็กที่มีกลีบแหลมคมเป็นกรด ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำเค็มมีเปลวไฟติดอยู่ตลอดเวลา ในบัวเหล็กแดงก็บาดร่างกายขาดวิ่น สัตว์นรกคิดว่า ถ้าดำลงไปในแม่น้ำที่ลึกกว่านี้ คงจะหลุดพ้นจากการทรมานได้ จึงกลั้นใจดำน้ำลงไป แต่แล้วกลับถูกคมดาบซึ่งหงายอยู่ภายใต้น้ำนั้นบาดเอา เจ็บแสนสาหัส เท่านี้ยังไม่พอ ยังถูกนายนิรยบาลใช้ หอก หลาว แหลน จ้วงแทงเอา เหมือนกับมนุษย์ใช้ฉมวกแทงปลาในน้ำฉันใดฉันนั้น หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, มิถุนายน, 2568, 04:08:57 PM นรกภูมิ : ๓.ยมโลกิกะนรก (ว่าด้วยนรกขุมย่อยของมหานรกทั้ง ๘) กาพย์มหาตรังคนที ๑."ยมโลกิกะ".............................คือนรกย่อยวงนอกหนา ล้อม"อุสสุทฯ"กลางนา...................มหานรกวงในสุดแล ยมโลฯมีสี่ด้าน...............................ด้านละกราน"สิบ"ขุมย่อยแฉ รวมยมโลฯมีแล้.............................."สี่สิบ"ต่อมหานรกเอย ๒.มีแปดมหานรก.........................รวมปกยมโลฯโผล่สิ้นเผย "สามร้อยยี่สิบ"เปรย.......................วิธีลงโทษทัณฑ์เหมือนกัน ยมโลฯแต่ละด้าน............................มีสิบขานเช่น"โลหะฯ"สรรค์ "สิมพลีฯ,อโยฯ"ดั้น.........................."ถสนรก,สุนขะ,มิสสกฯ"แล ๓."อโยคุฯ,ตัมโพทะฯ"..................."ยันตะฯ,อสิอาวุธฯ"แฉ ทุกมหานรกแล้................................มียมโลฯชื่อเดียวกันเอย มีกรรมกรณ์,วิธี................................ลงโทษที่คล้ายคลึงกันเผย กล่าวมหานรกเดียวเอ่ย....................เป็นตัวอย่างเยื้องแปดขุมแล ๔."โลหะกุมพี"จ่อ...........................กอปรหม้อเหล็กกว้าง"หกสิบ"แฉ รอบปากยาวสิ้นแท้..........................."ร้อยสี่สิบโยชน์"เป็นวงกลม ลึก"หกสิบ"โยชน์นำ..........................มีน้ำเหล็กเดือดพล่านนานสม ถึง"หนึ่งกัป"ระทม.............................เพราะเปลวเพลิงจะอยู่มิมัว ๕.นิรยบาลมี..................................กายที่ใหญ่น่าสะพรึงกลัว ย่อมจับสัตว์นรกชั่ว...........................ผูกมัดแล้วยกโยนหม้อเอย สัตว์ปั่นป่วนขึ้นลง.............................หม้อเหล็กคงเดือดพล่านซ่านเผย ดุจเมล็ดข้าวป่วนเกย.........................ปุดขึ้นลงในหม้อเดือดแล ๖.อกุศลกรรมใด............................ไฉนเป็นเช่นนี้เพราะสัตว์แฉ ใจหยาบบาปช้าแล้............................ด่าว่า,ตีผู้มีศีลพลัน เช่นสมณะ,พราหมณ์.........................กรรมตามนี้ชี้ให้ผลผลัน สัตว์ต้องทุกข์ทนครัน........................ในโลหกุมภีนรกรอ ๗."สิมพลีวนะ"ไซร้..........................มีไม้งิ้วลิ่วเทียมเมฆหนอ งิ้วมีหนามเหล็กจ่อ.............................ยาว"สิบหก"องคุลีเอย เหล็กนั้นคมดุจกรด............................จะดื่มจดโลหิตสัตว์เผย นิรยบาลเปรย....................................รับคำสั่งพญายมลงทัณฑ์ ๘.เขาถือหอกไล่สัตว์.......................เร่งซัดปีนไม้งิ้วเร็วครัน หนามงิ้วแทงกายพลัน.........................ขาดเป็นช่องน้อยใหญ่เลือดนอง ปีนครึ่งต้นงิ้วแจง.................................มีแร้งปากเหล็กจิกกินผอง เนื้อ,เลือดอาหารปอง...........................สัตว์นรกทนมิไหวร่วงลง ๙.สุนัขเท่าช้างสาร...........................ทะยานกัดกินเนื้อ,เลือดบ่ง นิรยบาลแทงส่ง...................................ให้ปีนขึ้นไม้งิ้วอีกครา กาลขึ้นไม้งิ้วแล่น.................................สัตว์แหงนหงายหน้าขึ้นไปหนา แต่ขาลงเอาหน้า..................................กลับลงมาเหตุกรรมใดนำ ๑๐.สัตว์หลายเป็นบุรุษ......................ล่วงรุด"ปรทารกรรม" ล่วงประเวณีทำ....................................แก่เมียเขาจึงต้องทุกข์ทน สัตว์ที่เป็นหญิงไว.................................คนใจบาปนอกใจผัวดล ชมชื่นสัมผัสยล...................................ชายอื่นต้องปีนไม้งิ้วแล ๑๑."อโยทกะ"นำ..............................เต็มด้วยน้ำเหล็กเดือดพล่านแฉ นิรยบาลกรานแล้................................พวนเหล็กผูกคอสัตว์จับคง ถือหางพวนคอยซัด.............................ขว้างสัตว์ลงน้ำเหล็กร้อนส่ง ดึงหางพวนบิดตรง...............................คอสัตว์ขาดจากกายทันใด ๑๒.แล้วนิรยบาลรี่.............................เอาศีรษะลงน้ำเหล็กไข มีเปลวไฟพุ่งไว.....................................คงเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ศีรษะบิดขาดแล้ว.................................ก็ยังแน่วบังเกิดมิผัน ถูกแช่น้ำเหล็กยัน.................................เหตุกรรมใดต้องทุกขเวทนา ๑๓.เพราะสัตว์แต่ปางก่อน.................ใจค่อนหยาบช้า,สัตว์เป็นหนา นก,เป็ด,ไก่,หงส์มา................................จับถอนขนบิดคอขาดตาย เอามาต้มกินบ้าง...................................กรรมสร้างไว้ไซร้รับผลหลาย จึงต้องตกนรกร้าย................................ทนทุกขเวทนานี้เอย หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, มิถุนายน, 2568, 02:02:53 PM (ต่อหน้า ๒/๔) ๓.ยมโลกิกะนรก ๑๔."ถุสนรก"แล..........................ดุจแม่น้ำใหญ่เย็นเยียบเผย สัตว์นรกชมชอบเอย......................จะได้กินน้ำซ้ำวิ่งไป ถึงฝั่งน้ำโผลง................................น้ำบ่งกลายพลุ่งเป็นเปลวไฟ น้ำแปรเปลี่ยนไปไว........................เป็นแกลบไหม้ตับ,ไตราน ๑๕.อวัยวะไซร้............................ชิ้นใหญ่นัอยขาดหลุดทวาร สัตว์ร้องไห้ซมซาน.........................กรรมใดไยเป็นเช่นนี้แล เหตุปางก่อนมายา..........................โกหกหนาเอาแกลบ,ดินแฉ ปนในข้าวเปลือกแล้........................หลอกเอาเงินบอกข้าตนดี ๑๖.เพราะความไม่ซื่อตรง.............ค้าขายบ่งหรือเรื่องไหนปรี่ ด้วยหลอกลวงเขารี่.........................เขาทำกรรมเยี่ยงอย่างนี้เอย ต้องตก"ถุสนรก".............................กินปรกแกลบ,ข้าวลีบไหม้เผย ผลกรรมจัดสุดเอ่ย..........................จึงต้องรับทุกข์เวทนา ๑๗."สุนขะนรก"ชู.........................มีหมู่สุนัขหลากสีหนา ดำ,ด่าง,ลาย,พร้อยมา......................ใหญ่เท่าช้างร่างเป็นเปลวไฟ ฟันเป็นเหล็กไล่สัตว์.........................โถมกัดล้มขึ้นเหยียบอกไซร้ ฟอนฟัดกินเนื้อไว.............................คงเหลือแต่กระดูกกระจาย ๑๘.แร้ง,กาปากเหล็กยิก.................เข้าจิกกินสมองจนสลาย ด้วยกรรมใดก่อวาย..........................เพราะปางก่อนตระหนี่เหนียวนำ ไม่ทำทานยังห้าม..............................เฝ้าปรามมิให้ใครกระทำ กรรมให้ผลแล้วซ้ำ............................จึงทนทุกข์สุนขะนรกแล ๑๙."มิสสกะฯ"นรก.........................ภูเขาปกคลุมเปลวไฟแฉ ภูกลิ้งไปมาแล้..................................บดทับสัตว์นรกเป็นจุณ นิรยบาลชัด......................................จับสัตว์ฝังแผ่นดินเหล็กผลุน แค่เอวมิลุกรุน...................................ภูเขาเหล็กกลิ้งบดสัตว์พลัน ๒๐.ภูเขาเหล็กบังเกิด.....................เห็นเชิดชูสี่ทิศเสกสรรค์ คราเกิดเสียงก้องลั่น.........................ครืนครืนดั่งเสียงฟ้าคำราม แล้วกลิ้งบดกายสัตว์.........................ละเอียดชัดดังหินบดผลาม อาศัยกรรมใดลาม............................สัตว์นรกจึงตกทุกข์ทน ๒๑.ปางก่อนสัตว์นรกหนา...............เป็นธิดาตระกูลหนึ่งยล นอกใจสามีตน..................................ร่วมรักชายอื่นจึงเป็นกรรม ต้องทนทุกข์เช่นนี้.............................นอกนั้นชี้ผู้ใช้"เล็บ"หนำ "เด็ดเหา,เด็ดเล็น"นำ..........................ถูกภูเขาบดเละเช่นกัน ๒๒."ตัมพโลหะ"ชี้............................นรกมีน้ำทองแดงร้อนผลัน นิรยบาลเอาเบ็ดครัน..........................เกี่ยวปากสัตว์อ้าออกทันใด เอาน้ำทองแดงพล่าน..........................เทผ่านปากให้กล้ำกลืนไว อวัยวะภายใน....................................สุกไหม้เหตุกรรมใดเล่านา ๒๓.ปางก่อนสัตว์นี้เป็น.....................คนเช่นคอยขัดค่าทรัพย์หนา ใจมิสัตย์ซื่อพา...................................หลอกลวงด้อยค่าทรัพย์เกินจริง ของค่าควร"พัน"ส่ง.............................ขัดลงแค่"ร้อย"เอาเปรียบสิง กระทำกรรมนี้ดิ่ง................................จึงต้องกลืนน้ำทองแดงเอย ๒๔."อโยคุฬะ"ไซร้...........................เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเผย นิรยบาลเคย......................................จับสัตว์มัดมือ,เท้าหงายแล บนแผ่นดินเหล็กขึง............................แล้วเร่งดึงก้อนเหล็กแดงแฉ เอาใส่ปากสัตว์แล้..............................ทนทุกขเวทนายิ่งนาน ๒๕.สัตว์นรกหลายนี้.......................ทำกรรมชี้อันใดเล่าผลาญ ปางก่อนเป็นโจรพาล.........................ปล้นทรัพย์ผู้อื่นตลอดมา กรรมนี้ชี้ให้ผล..................................ต้องทนทุกข์รุกเวทนา กินก้อนเหล็กแดงกล้า........................ในอโยคุฬะแท้เอย ๒๖."อสิอาวุธ"รี่................................สัตว์มีอาวุธติดตัวเผย เล็บมือเล็บเท้าเอ่ย..............................กลายเป็นหอก,ดาบทำลายตน นิรยบาลแฝง......................................ไล่แทงสับฟันกายสัตว์ป่น ถ้าไม่ถูกแทงก่น..................................ก็ใช้เล็บเหน็บแทงตนแล ๒๗.กรรมใดเล่าต้องดั้น....................มาฟันเองนิ่งมิได้แฉ เพราะก่อนเป็นโจรแล้..........................พาเพื่อนปล้นทรัพย์เขาบ่อยนา แล้วยังเข้าสงคราม..............................ฆ่าฟันลามในที่รบหนา จึงย่อมทุกข์เวทนา...............................อสิอาวุธนรกเอย หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, มิถุนายน, 2568, 06:28:01 PM (ต่อหน้า ๓/๔) ๓.ยมโลกิกะนรก ๒๘."ยันตปาสาณะ".....................ที่จะพบศิลายนต์เผย พลุ่งพล่านเปลวเพลิงเอ่ย................พร้อมตกทับสัตว์แหลกวิจุณ แล้วกลับรูปเดิมฟื้น.........................กายคืนทนทุกข์สืบต่อผลุน กรรมใดไวสัตว์ดุน..........................รับทุกข์สาหัสซัดแล ๒๙.ปางก่อนเป็นพรานปืน.............ยิงดื่นสัตว์สี่,สองเท้าแฉ เพื่อขายเลี้ยงชีพแล้........................ประพฤติเนืองนิตย์ตลอดมา ผู้มายามากจ่อ................................ลวงล่อเบียดเบียนด้วยกลหนา ย่อมตกยันตปาฯ.............................ถูกศิลาทับแหลกเช่นกัน ๓๐.พึงรู้ว่านรกมี...........................เกิน"สี่ร้อยห้าสิบหก"สรรค์ ที่กำหนดจดครัน.............................แจงเป็นหมวดหมู่เท่านี้เอย ยังมีนรกเรียงราย............................พิเศษกรายแปลกประหลาดเผย เพิ่มอีกสี่เหล่าเปรย..........................มีวิธีลงทัณฑ์ต่างไป ๓๑.สัตว์นรกพวกหนึ่ง...................ถูกมัดตรึงด้วยเชือกเหล็กไข นิรยบาลเชือดไว.............................ชิ้นเนื้อก้อนน้อยใหญ่รวมกอง เหตุกรรมใดเล่านา...........................ปางก่อนฆ่าปลา,เนื้อ,สัตว์ผอง แล้วแล่เป็นริ้วปอง............................กรรมนี้ซัดชัดรับทุกข์นำ ๓๒.สัตว์นรกบางพวก....................ถูกจวกตัวใส่ครกเหล็กตำ แหลกเป็นจุณกระทำ........................อาศัยกรรมใดไซร้จึงพาน เพราะก่อนไร้เมตตา.........................เห็นหนา"หนอน,มด"ในข้าวสาร มิเอาออกพ้นราน..............................แต่ตำแหลกพร้อมข้าวไปเลย ๓๓.สัตว์นรกแปลกนัก....................มีจักรพัดบนศีรษะเผย เลือดไหลหลั่งโทรมเอย....................เจ็บสาหัสชัดกรรมใดนา ปางก่อนตวงข้าวขาย........................คิดร้ายโกงพร่องทะนานหนา บ้างด่า,ตีพ่อแม่พา.............................มีจักรพัดบนหัวเช่นกัน ๓๔.สัตว์บางพวกวิ่งรี่.......................เร่งปรี่เหนือ"ขวากกรด"มิหวั่น ล้มตายกลายฟื้นพลัน........................วิ่งต่อไปไม่รู้จบสิ้นแล ปางก่อนดลคนชั่ว..............................หลงมัวกล่าวตู่พระธรรมแฉ ต้องทนทุกข์เวทนา............................วิ่งฝ่า"ขวากกรด"จดจ่อเอย ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑ ยมโลกิกะนรก = หรือ ยมโลกนรก อยู่ถัดจาก “อุสสทนรก” ออกไป ยังมีนรกบริวารอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า “ยมโลกนรก” ซึ่งเป็นขุมนรกชั้นนอก ล้อมอยู่นอกสุดของมหานรก เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมดีบ้างร้ายบ้าง ยมโลกนรก เป็นนรกประจำทั้ง ๔ ทิศ เหนือ-ใต้-ออก-ตก เช่นกัน แบ่งเป็นทิศละ ๑๐ ขุม มีดังนี้ (๑)โลหกุมภีนรก = สัตว์นรกถูกจับลงไปในหม้อเหล็กใบใหญ่เท่าภูเขาที่มีน้ำแสบน้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา บางทีนายนิรยบาลก็เอาเชือกเหล็กแดงรัดคอแล้วบิดจนคอขาด เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้เพราะทำปาณาติบาท (๒) สิมพลีวนะนรก = เป็นนรกที่ลงโทษชายหญิง ให้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้งิ้วนรก ที่มีหนามเหล็กแหลมลุกเป็นไฟ ถูกหนามงิ้วบาดจนตัวขาดทะลุ บางทีก็โดนแร้งกานรกปากเหล็กจิกทึ้งเนื้อกิน เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้ เพราะประพฤติล่วงประเวณี ปรทารกรรม = หรือ ปรทาริกกรรม คือ การประพฤติล่วงเมียคนอื่น, การเป็นชู้เมียเขา (๓) อโยทกะนรก = หรือ นรกน้ำเหล็กแดง นรกนี้มีน้ำเหล็กอันเดือดพล่าน นายนิรยบาลใช้เชือกเหล็กร้อนตวัดพันคอ พันกาย แล้วกระชากขาดเป็นท่อนๆทันใดนั้นก็เกิดหัวใหม่ขึ้นมาแทน แล้วเหล่ายมบาลก็เอาเชือกเหล็กแดงตวัดขาดอีก เอาศีรษะไปแช่น้ำเหล็กแดงอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกนานจนชั่วกัปชั่วกัลป์ ต้องทนทุกขเวทนา เพราะปางก่อนจับสัตว์เป็น เช่น นก เป็ด ไก่ หงส์ มาถอนขน บิดคอให้ขาด ผลกรรมทำให้ต้องรับโทษเช่นนี้ (๔) ถุสนรก = เป็นนรกดุจแม่น้ำใหญ่ มีน้ำเย็นใส สัตว์นรกเห็นก็ยินดีจะได้ดื่มกิน ก็วิ่งผ่านแผ่นเหล็กที่พลุ่งด้วยเปลวไฟ พอถึงฝั่งน้ำก็โผลงกินน้ำ น้ำกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟ ไหม้ไส้ใหญ่ไส้น้อยให้ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่าง เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้ เพราะค้าขายทุจริต คดโกง เอาของแท้ปนของเทียมแล้วขาย เช่น เอาแกลบ ข้าวลีบ ดิน ทราย ปนในข้าวเปลือก ข้าวสาร เป็นต้น หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, มิถุนายน, 2568, 10:40:33 AM (ต่อหน้า ๔/๔) ๓.ยมโลกิกะนรก (๕) สุนขะนรก = เป็นนรกที่เต็มไปด้วยสุนัขนรก เป็น สุนัขดำ, ด่าง, ลาย,พร้อย ตัวใหญ่เท่าช้างสาร คอยไล่โถมกัดสัตว์นรก ฟัดให้ล้มเหนือแผ่นดินเหล็ก เหยียบอกด้วยสองเท้าหน้า แล้วฟัดกัดทึ้งกินจนสิ้นเลือดสิ้นเนื้อ เหลือแต่กระดูก แล้วมีแร้งปากเหล็ก, กาปากเหล็ก ปากคมดังกรด กัดกินกระดูก และ สมอง เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ ตนเองไม่ทำทาน แล้วยังห้ามผู้อื่นมิให้ทำทานอีก ด้วยกรรมนี้จึงต้องตก สุนขะนรก ทนทุกขเวทนา (๖) มิสสกะปัพพตะนรก = เป็นนรก มีภูเขาเหล็กพลุ่งด้วยเปลวเพลิง กลิ้งไปมาบดทับสัตว์นรก จนแหลกเป็นจุณ บางครั้งภูเขาเหล็กบังเกิดขึ้นทันใดทั้ง ๔ ทิศ เสียงครืนๆ เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้เพราะปางก่อนประพฤติเอาใจออดห่างสามี ไปร่วมรักกับบุรุษอื่น กรรมนี้ให้ผล ต้องมาทนทุกข์ถูกภูเขาบด ผู้ที่ใช้เล็บเด็ดเหา เด็ดเลน ก็ต้องทนทุกข์เวทนาถูกภูเขานรกบดแหลกละเอียด (๗) ตัมพโลหะนรก = เป็นนรกเต็มไปด้วยน้ำทองแดงเดือดพล่าน นายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวปากสัตว์นรก เอากระบวนเหล็กตักน้ำทองแดงเดือดพล่านกรอกปาก เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้เพราะปางก่อนเป็นคนขัดค่าทรัพย์ มิตั้งอยู่ในสัตย์ ของที่ควรมีค่าถึง ๑๐๐ ก็ขัดค่าแค่ ๕๐, ที่ควรค่า ๑,๐๐๐ ก็ขัดแค่ ๑๐๐ จงใจลวงล่อด้วยขัดค่าไม่จริง จึงต้องทนทุกข์ โดนให้กินน้ำทองแดงเดือดพล่านนี้ (๘) อโยคุฬะนรก = เป็นนรกเต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดง นายนิรยบาลจับสัตว์นรกผูกมือ,เท้า ขึงเหนือแผ่นดินเหล็กแดง แล้วเอาก้อนเหล็กแดงกรอกเข้าปาก เหตุที่รับกรรมเช่นนี้ เพราะเป็นโจรปล้นเอาทรัพย์ผู้อื่น จึงต้องทนทุกขเวทนา กินก้อนเหล็กแดงด้วยเปลวไฟ (๙) อสิอาวุธะนรก = นรกที่ประกอบด้วยสัตว์นรก มีเล็บมือเล็บเท้าเป็นหอกเป็นดาบเป็นอาวุธ นายนิรยบาลถืออาวุธไล่สับฟันสัตว์นรกจนปรุ ถ้านายนิรยบาลไม่แทง สัตว์นรกก็เอาเล็บมือสับฟันตนเอง จะนิ่งไม่ได้ เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้ เพราะเป็นโจรคบเพื่อนปล้นสะดม เอาข้าวของผู้อื่นเป็นของตน, เป็นผู้เข้าสู่สงครามฆ่าฟันกัน จึงต้องมาทนทุกข์ (๑๐) ยันตปาสาณะนรก = เป็นนรกประกอบด้วยศิลายนต์เป็นเปลวไฟ ตกลงมาทับสัตว์นรกแหลกเป็นจุณ แล้วก็คืนรูปกายอีก ทนทุกข์ต่อไป เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้ แต่ปางก่อนเป็นพรานปืน ยิงสัตว์สี่เท้า และสองเท้ามาขายยังชีพ; เป็นผู้มีมายา หลอกลวง เบียดเบียนท่าน จึงตกใน ยันตปาสาณะนรก ถูกก้อนศิลาทับแหลกเป็นจุณ จำนวนยมโลก= ยมโลกเหล่านี้จะประจำอยู่ในทุกทิศของมหานรก แบ่งเป็นชื่อและประเภทการใช้กรรมเหมือนกัน มหานรก ๑ ขุมใหญ่ มียมโลกนรกอยู่ ๔ ทิศละ ๑๐ ขุม จึงรวม ยมโลกนรก ๔๐ ขุม ดังนั้นมหานรก ๘ ขุมใหญ่ จึงมียมโลกนรกทั้งสิ้น ๓๒๐ ขุม (๔ × ๑๐×๘) สัตว์นรกเมื่อใช้กรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น จะต้องมาใช้กรรมในอุสสทนรกต่อ หากกรรมยังไม่สิ้นอีก ก็ใช้กรรมต่อในยมโลกนรก การใช้กรรมด้วยทุกข์โทษหนักเบาจะขึ้นอยู่กับชั้นของมหานรก ยกตัวอย่างคือ กรรมในสุนขะนรก ชั้นอเวจีนรก (มหานรกชั้นล่างสุด) ย่อมทุกข์หนักกว่ากรรมในสุนขะนรก ชั้นสัญชีวนรก (มหานรกชั้นบนสุด) เพราะมีอายุการใช้กรรมนานถึง ๑ ชั่วกัลป์ หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, มิถุนายน, 2568, 01:14:57 PM นรกภูมิ : ๔.โลกันตะนรก (ว่าด้วยนรกนอกจักรวาล) กาพย์มหาตุรงคธาวี ๑."โลกันตะ".....นรกที่ปะ.....อยู่ระหว่างจักรวาล ทั้งสามดุจ....บาตรรุดวางพาน....เชื่อมกันแล....เกิดแน่ช่องว่างโลกันฯ โลกันตะ.....มีมากเกินจะ.....นับคะเนได้ผลัน ขนาดกว้าง....ขวางได้แปดพัน....ช่องเบื้องบน....หายลฝาปิดเอย ๒.ยาว, ลึกชัด......ไม่สามารถวัด.....หรือจัดคาดเดาเผย เบื้องล่างผอง....น้ำรองรับเคย....เบื้องบนปล่อง....สูงท่องพรหมโลกนา ไร้วิมาน......เทพเทวาพาน.....บันดาลมืดมนหนา ไม่เห็นใด....ดุจไซร้หลับตา....โลกันฯชู....เพราะอยู่นอกจักร์วาลแล ๓.แสงอาทิตย์......แสงจันทร์ถูกปิด.......ลิดข้ามจักร์วาลแฉ มืดนิจกาล....แสงฉานมีแท้....ปรากฏการณ์....ห้าพานพระพุทธ์เจ้ามา แสงรุจี.......หมื่นโลกธาตุรี่.....ยลปรี่ฟ้าแลบหนา คราวโพธิ์สัตว์....ลงชัดครรภ์นา....พุทธ์มารดา....แสงพาสว่างไกล ๔."นิยตะ".......มิจฉาทิฏฯ"ปะ......ผิดละเลยแก้ไข ด้วยคิดมั่น....สวรรค์นรกไซร้....ไม่มีเอย....เผยพ่อแม่ไร้บุญคุณ สัตว์ทำชั่ว......หรือทำดีจั่ว......กรรมทั่วไม่แต่งผลุน ทำดีไร้....บุญไกลอาดุลย์....ทำบาปเห็น....มิเป็นบาปอย่างใดเลย ๕.ถือผิดหนา......ตายแล้จะมา......"มหาตานรก"เผย กรรมมิสิ้น....ตกผินสู่เอย...."อวีจีนรก"....แล้วตกสู่โลกันฯนา รูปกายเด่น......สูงสามร้อยเส้น......เน้นน่าเกลียดยิ่งหนา มีเล็บยาว....เกาะพราวอยู่นา....เชิงเขาจักร์วาล....แขวนกรานห้อยตัวอยู่แล ๖.สัตว์ไต่มา......พบกันคิดว่า......เป็นอาหารกินแน่ ปลุกปล้ำกัน....พลันตกน้ำแล้....น้ำเย็นเยียบ....แต่เทียบมิคมร้ายเอย อำนาจกรรม......กลายน้ำกรดนำ.......ถลำย่อยยุ่ยเผย เหมือนทิ้งแป้ง....ลงแอ่งน้ำเปรย....แต่กายคืน....พลิกฟื้นร้องคร่ำครวญนำ ๗.ตะกายมัว....เชิงเขาห้อยตัว......หิวจั่วเจอก็ปล้ำ ตกน้ำแล้ว....มิแคล้วแหลกถลำ....ทุกข์เวทนา....จนกว่าแผ่นดินประลัย แผ่นดินนั้น......คราพินาศพลัน......ดั้นไฟ,น้ำ,ลมไส นิยตมิจฯ....คิดนรกไร้....มิอาจหนี....ไกลลี้โลกันฯได้เลย ๘.กรรมชั่วผล.....พายุใหญ่ดล.....หอบพ้นไปทันเผย สู่จักร์วาล....หาพานดื่นเอย....เพลิงไม่ถึง....มีพึ่งได้แสนโกฏนา ผู้ก่อกรรม......หยาบสาหัสทำ......ต้องล้ำโลกันฯหนา เผาเจดีย์....ฟัน,ตีสงฆ์ครา....ชนทั้งผอง....ต้องรับโทษทัณฑ์แน่แล ๙.พุทธ์เจ้าไซร้......ตรัสอายุขัย.....ในนรกมิคงแฉ สัตว์รับทุกข์....อยู่รุกสิ้นแล้....กรรมไม่หมด....ต้องจดขุมอื่นต่อไป ขุมนรกมี......"สี่ห้าหก"ชี้.....รับคลี่เพียงพอไข กรรมคือกฏ....กำหนดมีไว้....สิ้นกรรมครบ....ก็จบพ้นนรกพลัน ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑ หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, มิถุนายน, 2568, 08:06:42 AM (ต่อหน้า ๒/๒) ๔.โลกันตะนรก โลกันตะนรก = เป็นขุมนรกอยู่นอกจักรวาล สำหรับผู้ที่กระทำอนันตริยกรรมฝ่ายบาป ๕ อย่าง เป็นกรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด มี ๕ อย่าง คือ (๑) ฆ่าบิดา (๒) ฆ่ามารดา (๓) ฆ่าพระอรหันต์ (๔) ทำให้พระกายพระพุทธเจ้าห้อเลือด (๕) ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน นอกจากนรกขุมใหญ่ คือ มหานรก, นรกบริวารอย่างอุสสทนรก และนรกบริวารชั้นนอกสุดอย่างยมโลกนรกแล้ว นิรยภูมิยังมีนรกพิเศษอยู่อีกซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ๓ โลกอันได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก เป็นขุมมืดมิดเพราะไม่มีแสงใดส่องไปถึง เรียกว่า “โลกันตนรก” เต็มไปด้วยสัตว์นรกร่างกายใหญ่โต รูปร่างแปลกประหลาด ลอยเคว้งด้วยความหนาวเหน็บอยู่ชั่วนิรันดร์ ปรากฏการณ์ ๕ =จะเกิดขึ้นใน โลกันตนรก มี แสงสว่างส่องไปถึง ดังนี้ (๑) เวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา (๒) เวลาที่พระโพธิสัตว์ออกจากครรภ์พระมารดา (๓) เวลาที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ (๔) เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรม (๕) เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน มิจฉาทิฏฐิ = มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน (๑) ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล (๒) ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล (๓) ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล (๔) ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี (๕) ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี (๖) ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี (๗) ความเห็นว่า มารดาไม่มี (๘) ความเห็นว่า บิดาไม่มี (๙) ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี (๑๐) ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก โลกและจักรวาลพินาศ = พระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าถึงยุคที่มนุษย์มีจิตใจตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เกิดภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวมี ๓ รูปแบบ คือ (๑) เพลิงประลัยกัลป์ = ไฟล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโทสะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีโทสะมาก โลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ที่เผาทำลายโลกมนุษย์ แล้วลุกลามไปยังสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น และรูปพรหมอีก ๓ ชั้น จนมอดไหม้หมดสิ้น (๒) น้ำประลัยกัลป์ = น้ำล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลราคะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีความโลภมาก มีราคะเกิดขึ้นท่วมท้น ถึงจุดหนึ่งจะเกิดน้ำบรรลัยกัลป์ล้างโลก สามารถทำลายล้างนับตั้งแต่โลกมนุษย์ สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จนถึงรูปพรหมอีก ๖ ชั้นจนหมดสิ้น (๓) ลมประลัยกัลป์ = ลมล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโมหะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีความลุ่มหลงมัวเมา ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ จะเกิดลมบรรลัยกัลป์ล้างโลก ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างยิ่งกว่าไฟและน้ำ สามารถพัดทำลายโลกมนุษย์ ตลอดจนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จนถึงรูปพรหมอีก ๙ ชั้น จนหมดสิ้น นิยตมิจฉาทิฐิ = หมายถึงความเห็นผิดอย่างแรงที่ไม่เชื่อในเหตุในผลของเจตนาในการกระทำบุญบาป ทั้งหลายว่า จะต้องมี รวมทั้งปฏิเสธทั้งเหตุและทั้งผล ว่าสักแต่เป็นการกระทำขึ้นเองเฉยๆ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การทำชั่วทั้งหลาย ไม่มีผลเกิดขึ้นเองเป็นต้น มหาตานรกฯ = มหาตาปนรก คือ นรกขุมที่ ๗ ของมหานรก ๘ เป็นนรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด มีสัณฐานเป็นหีบเหล็ก ขนาดเท่ากับนรกที่ผ่านมา ประกอบด้วยภูเขาเหล็กสูงใหญ่ นายนิรยบาลคอยไล่ทิ่มแทง ต้อนให้ขึ้นเขา ที่ยอดเขามีลมนรกเป็นพายุใหญ่พัดสัตว์นรกตกลงมา ไม่ทันถึงดินก็มีหลาวเหล็กเท่าลำตาลคอยรับ เสียบกายแต่หัวถึงทวารหนัก แต่ละคนถูกเสียบ ๒,๓,๔,๕ เล่ม ทุกเล่มมีเปลวเพลิงมิเหือด เผาเนื้อเผาเลือดในตัว และยังมีเพลิงจากแผ่นดินเหล็ก นอกกายอีก ทั้งเพลิงนอก-ในกายบรรจบกัน สัตว์นรกในมหาตาปนรก จะทนทุกขเวทนาเป็นเวลานาน กึ่งอันตรกัป (หนึ่งอันตรกัป เท่ากับ จำเดิมมนุษย์อายุ ๑๐ ปี และอายุเจริญขึ้น อสงไขย(อสงไขยปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว) แล้วมีความประมาท จนอายุถอยลงเหลือ ๑๐ ปี เวลาเท่านี้เรียก อันตรกัป ๑ สัตว์นรกเหล่านี้ ต้องเสวยกรรม เพราะปางก่อน เป็นพญา เป็นอำมาตย์บ้าง มีจิตร้ายหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสียบสัตว์เป็นด้วยหลาวเหล็ก; ยกสัตว์ทุ่มเข้ากองเพลิง บางทีมัดย่างตากแดดให้ตาย กระทำหยาบช้าหาความกรุณามิได้ จึงต้องทนทุกข์เพราะหลาวเหล็ก; ผู้มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบต้องทนทุกข์ในมหาตาปนรก พ้นจากนี้ ถ้าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ก็ตกลึกลงถึงอเวจีนรก ทนทุกข์ต่อตกลงถึงโลกันตนรก มิอาจยกตนขึ้นจากนรกได้ หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, มิถุนายน, 2568, 07:55:34 AM นรกภูมิ : ๕.เมื่อทำบาปจะได้รับผลอะไร
กาพย์ตุรงคธาวี ๑.ธรรมดา......มนุษย์ทราบนา.......ไหนคว้าดี,ชั่วแฉ แม้ไม่มี....ใครรี่มาสอนแล....แตกต่างสัตว์....เห็นชัดไม่รู้เลย ด้วยมนุษย์......จิตสำนึกรุด......ประทุษมิดีเผย ผู้ถูกทำ....กระหน่ำโกรธแค้นเอย....พลอยอาฆาต....มุ่งมาดร้ายเราจริง ๒.เพราะสันดาน......เห็นแก่ตัวขาน......จะพานยึดตนยิ่ง ทำบ่อยเข้า....ชอบเฝ้าทำชั่วดิ่ง....หาประโยชน์....ลืมโลดทำชั่วมัว ทำบาปใด......แย้งชั่วดีไซร้.....จิตไวก้ำกึ่งกลัว ทุกข์สะสม....บ่มในสันดานชั่ว....เศร้าหมองใจ....จิตไม่แจ่มใสเอย ๓.ขาดแจ่มใส......จะเกิดผลไซร้......ชีพไหวแปรเปลี่ยนเผย ครานอนหลับ....กลับฝันร้ายทุกข์เอ่ย....ตื่นมาแล้ว....ต้องแคล้วจากสุขแล อารมณ์เสีย......ถูกขัดใจเพลีย......พลาดเปลี้ยสิ่งรักแฉ มิสามารถ....ยาตรตามเหตุผลแล้....ทาสเสพติด....ประชิดได้ง่ายนา ๔.คราเจ็บป่วย......กังวลกลัวม้วย......งงงวยอ่อนแอหนา เจ้าอารมณ์....คิดซมซ้ำซากแล้....ระงับจิต....เลิกคิดมิได้เลย คราวใกล้ตาย......."สุข"มิเฉียดกราย......ทุรายทุรนเผย เพราะมักนึก....เวียนตรึกทำบาปเคย....ทำร้ายเขา....จึงเฝ้าทุกข์ระทม ๕.เพราะเหตุใด.......จึงทำบาปไป.......ทั้งใจรู้เลวขม คนพาลนั้น....มีปัญญาทรามซม....ทำบาปอยู่...."ไม่รู้"วิบากกรรม ทำบาปแล้ว.......จะมีผลใดแคล่ว.....แน่แน่วร้ายแรงหนำ เขาทำบาป....ร้อนนาบไฟเผานำ....ตายแล้วตก....ไฟนรกเผาไหม้แล ๖.คนพาลคือ......ผิดศีลห้าลือ.....สิบชื่อ"อกุศลฯ"แฉ "กายทุจริต"....ผิด"มโนฯ"สามแล้...."วจีฯ"สี่....พฤติรี่ทำบาปยง บาปกรรมนั้น......มิให้ผลพลัน.....ยังดั้นรอก่อนบ่ง คล้ายนมโค....โผล่เป็นนมเปรี้ยวส่ง....ใช้เวลา....จึงมาเปลี่ยนสภาพนา ๗.บาปกรรมทำ......ต้องให้ผลนำ.......ขอย้ำแน่นอนหนา เขายังคง....ดำรงชีพสุขมา....เพราะอาศัย....กรรมในชาติก่อนไกล เมื่อใดตาย......กายแตกแหลกวาย......อบายแน่นอนไข ครานี้บ่ง....บาปส่งผลตามไว....เฝ้าผลาญเขา....ไหม้เผาเนื้อหนังเอย ๘.บาปชาตินี้......แม้ทำมากปรี่......แต่ชี้ผลน้อยเผย เพราะขันธ์ห้า....มาด้วยกรรมดีเคย....จากชาติก่อน....จะป้อนคุ้มครองกาย คราวตายมา......กรรมชาตินี้หนา.....พาสู่นรก,เปรตผาย แล้วบาปนั้น....ตามทันมิได้คลาย....คอยเผาผลาญ....ทรมานไหม้แล ๙.พุทธ์เจ้าตรัส......'ถ้าบาปทำซัด......ผลชัดทันทีแฉ ไม่มีใคร....กล้าไซร้ทำบาปแน่'....เมื่อทำบาป....รอตราบให้ผลนา ความเรื่องนี้......พึงระวังรี่......ไม่ปรี่เผลอทำหนา เหนี่ยวรั้งตน....พฤติพ้นชั่วช้าพา....ทั้งกาย,ใจ....วจีไซร้ต้องงาม ๑๐.โลกนี้เป็น......นรก,สวรรค์เด่น.....เรียกเน้นสองแหล่งผลาม อีกโลกหน้า...."โอปปาฯ"ก็มีคาม....นรก,สวรรค์....ครันแท้จริงแน่เอย พุทธ์เจ้ากล่าว.....ทรงเห็นนรกพราว......ชาวสวรรค์หลายเผย สองแหล่งชู....เชื่อมอยู่ที่ต่อเอย...."อายตนะ"....ปะหกมนุษย์นา ๑๑.ตา,หู,ลิ้น.......จมูก,กาย,ใจสิ้น.......ชินสุขสววรค์หนา ตา,ลิ้น,หู....จมูก,พรูกายพา....ใจเป็นทุกข์....เรียกรุกนรกแล คุมหกทัน........อย่าก่อนรกดั้น.......อย่าให้มันเหนือแน่ อิทธิพล....หกพ้นเลิกเสียแล้....นรก,สวรรค์....พลันไร้ก็นิพพาน ๑๒.นรกนั้น.......มีแต่ทุกข์ดั้น......พลันไร้โอกาสขาน พฤติพรหม์จรรย์....สวรรค์สุขสราญ....ทุกข์ไม่มี....ยินดีสนุกไว จึงบำเพ็ญ.......พรหม์จรรย์มิเด่น.......เช่นโลกมนุษย์ไข มีทั้งทุกข์....และสุขระคนไป....กัมมัฏฐาน....พานเหมาะสมยิ่งเลอ หัวข้อ: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, มิถุนายน, 2568, 01:12:23 PM (ต่อหน้า ๒/๒) ๕.เมื่อทำบาปจะได้รับผลอะไร ๑๓.ผู้เป็นคน......"มิจฉาทิฏฯ"ล้น......ทำพ้นบาปเสมอ แต่ไม่เห็น...คิดเด่นบุญบาปเจอ....มิมีครอง....ผลของกรรมมิมี "โอปปาฯ"ไซร้......สัตว์ผุดขึ้นไว.....ก็ไม่ปรากฏปรี่ เขาไม่เห็น....โทษเด่นของตนรี่....มีบาปกรรม....เศร้านำในใจตน ๑๔.ก่อบาปชิน.....เพราะศีลห้าวิ่น......ใจชินเศร้าหมองผล ใจหาสงบ....ทุกข์พบบ่อยบัดดล....ไม่รู้สึก....ยังตรึกทุจริตแล ยึดทุจริต......กาย,ใจ,วจีชิด.....ปิดโทษ,เลวทรามแฉ ไม่รู้เศร้า....เขลาอกุศลธรรมแล้....ไม่เห็นคุณ....อดุลย์กุศลธรรม ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑ วิบากกรรม = คิอ ผลของกรรมชั่ว และ กรรมดี ที่ได้ทำไว้ อกุศลฯ = อกุศลกรรมบท ๑๐ คือ กายทุจริต ๓, วจีทุจริต ๔, มโนทุจริต ๓ คือ กายทุจริต ๓ : (๑) ปาณาติบาต - การยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป (๒) อทินนาทาน - การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ (๓) กาเมสุมิจฉาจาร - การประพฤติผิดในกาม วจีทุจริต ๔ : (๔) มุสาวาท - พูดเท็จ (๕) ปิสุณาวาจา - พูดส่อเสียด (๖) ผรุสวาจา - พูดคำหยาบ (๗) สัมผัปปลาป - พูดเพ้อเจ้อ มโนทุจริต ๓ : (๘) อภิชฌา - ความโลภอยากได้ของเขา (๙) พยาบาท - ความปองร้ายเขา (๑๐) มิจฉาทิฏฐิ - ความเห็นผิด กุศลกรรมบถ ๑๐ = อย่าง คือ กายสุจริต ๓, วจีสุจริต ๔, มโนสุจริต ๓ คือ กายสุจริต ๓ : (๑) ปาณาติปาตา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการฆ่าสัตว์ (๒) อทินนาทานา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ (๓) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการประพฤติผิดในกาม วจีสุจริต ๔ : (๔) มุสาวาทา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเท็จ (๕) ปิสุณาย วาจาย เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดส่อเสียด (๖) ผรุสาย วาจาย เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดคำหยาบ (๗) สัมผัปปลาปา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ มโนสุจริต ๓ : (๘) อนภิชฌา - ความไม่โลภอยากได้ของเขา (๙) อัพยาบาท - ความไม่ปองร้ายเขา (๑๐) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ อบาย ๔ = ภูมิที่หาความสุขได้ยาก ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และ ดิรัจฉาน ขันธ์ ๕ = ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ อายตนะ ๖ = คือ อายตนะ ภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิจฉาทิฏฯ = มิจฉาทิฏฐิ ๑๐ ความเห็นผิดเป็นไฉน (๑) ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล (๒) ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล (๓) ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล (๔) ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี (๕) ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี (๖) ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี (๗) ความเห็นว่า มารดาไม่มี (๘) ความเห็นว่า บิดาไม่มี (๙) ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี (๑๐) ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก กัมมัฏฐาน = คือ วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ (๑) สมถกัมมัฏฐาน - อุบายสงบใจ (๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน - อุบายเรืองปัญญา โอปปาฯ = โอปปาติกะ คือ ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย |