บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, มิถุนายน, 2568, 03:26:38 PM



หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, มิถุนายน, 2568, 03:26:38 PM


อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

กาพย์ทัณฑิกา

   ๑. พระไตรปิฎก......พุทธ์เจ้าสอนยก......แปดหมื่นสี่พัน
แยก"วินัย"ชัด....ข้อวัตรสงฆ์ดั้น....ชาดก"สุตตันฯ"....เท่ากันจำนวน

   ๒.คือ"สองหมื่นหนึ่ง"......"สี่หมื่นสอง"จึง......เหลือ"อภิธรรม"ล้วน
ปรมัตถธรรม....จิตล้ำ,รูปทวน...."เจตสิก,นิพฯ"ถ้วน....พร้อมหลักวิชา

   ๓.อภิธรรมแยก.......เจ็ดคัมภีร์ที่แตก.......ใจศาสนา
"ธัมมสังค์ฯ"ธรรมเด่น....รวมเป็นหมวดหนา....อธิบายครา....แยกประเภทเอย

   ๔."วิภังค์"แยกกลุ่ม......กระจายหลักดุ่ม......วิจารณ์รี่เผย
"ธาตุกถา"....คตินาสอนเชย....เป็นธรรมต้นเอ่ย....เช่นขันธ์,ธาตุตรง

   ๕."ปุคคลฯ"คุณธรรม......จดสูง-ต่ำล้ำ......เรื่องหลุดพ้นบ่ง
"กถาวัตฯ"คำถาม....ตอบตามถูกคง....หลักธรรมเจาะจง....ถูกต้องจริงเอย

   ๖."ยมก"คำถาม......ตั้งเป็นคู่ลาม......แล้วตอบตรงเผย
"ปัฏฐาน"คลี่....ธรรมที่ตั้งเอ่ย....ปัจจัยใดเคย....เกี่ยวข้องซึ่งกัน

   ๗.ทั้งเจ็ดคัมภีร์......พุทธ์เจ้าเทศน์คลี่......พุทธมารดาสรรค์
ตอบแทนพระคุณ....อดุลย์ยิ่งครัน....เทศนาจบพลัน....โสดาบันแล

   ๘.ในปัจจุบัน......คราตายสวดพลัน......อภิธรรมแฉ
นำเจ็ดคัมภีร์....พิธีศพแน่....ส่งกุศลแก่....ผู้ตาย,ญาติเอย

   ๙.สวดเจาะคัมภีร์......แต่ละข้อมี......การบรรยายเผย
ธัมมสังฯเริ่มนา...."กุสลาธัมฯ"เอ่ย....ธรรมกุศลเปรย....ไร้โทษติเตียน

   ๑๐.มีสุขวิบาก......"อกุศลาฯ"ยาก.......ธรรมอกุศลเวียน
มีโทษบัณฑิต....ประชิดติเตียน....ทุกข์ติงยากเปลี่ยน....เป็นวิบากไกล

   ๑๑."อัพยากตา"......ธรรมพระพุทธ์ฝ่า......มิพยากรณ์ไข
เจาะเลวหรือดี....มิชี้ชัดได้....ล้วนเป็นธรรมไซร้....แบบกลางกลางเอย

   ๑๒."กาตะเมฯ"นา.......ธรรมกุศลหนา......เป็นอย่างไรเผย
"ยัสมีฯ"ใดครา...."กาเมวะฯ"เคย....จิตกุศลเอ่ย....ย่อมเกิดขึ้นนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, มิถุนายน, 2568, 07:58:12 AM
(ต่อหน้า ๒/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๓.พร้อม"โสมนัส".....กอปรด้วยญาณชัด......"รูปารมณ์วา"
กล่าวถึงอารมณ์....ชื่นชมรูปหนา....หรือมีรูปกล้า....เป็นอารมณ์คม

   ๑๔."สัททารมณ์ฯ"เพียง......อารมณ์คือ"เสียง"......เสียงมีอารมณ์
"คันธารมณ์"เด่น....ว่าเป็นกลิ่นสม....หรือมีกลิ่นฉม....เป็นอารมณ์เอย

   ๑๕."รสารมณ์ฯ"จด......อารมณ์คือ"รส".......รส,อารมณ์เผย
"โผฏฐัพพาฯ"นี้....สิ่งที่กายเกย....หรือมีโผฏฐ์ฯเอย....อารมณ์เองเชียว

   ๑๖."ธรรมารมณ"ล้ำ......อารมณ์คือธรรม......เกิดแก่ใจเชี่ยว
ธรรมอารมณ์ใจ....กล่าวไซร้ดีเจียว...."ตัสมีสมฯ"เทียว....สมัยนั้นครา

   ๑๗."ผัสโส,โหฯ"จ่อ......"อายตนะ"ต่อ......ใน-นอกเกิดวิญญ์ฯหนา
"อวิเขฯ"จุ่ง....ไม่ฟุ้งซ่านนา....ย่อมมีอยู่จ้า....จิตแน่วแน่คง

   ๑๘."เยวาปะนะ"......"ตัสะมิง,สะ"......ธรรมหลายเกิดตรง
ก็"อัญเญปิ....อัตถิปฏิจจ์ฯ"ทรง....ธรรมพึ่งจิตบ่ง....อาศัยเกิดแล

   ๑๙."อรูปิโน"......นามธรรมโอ่......ธรรมไร้รูปแล้
"อเม ธัมมา....กุสลา"แน่....ธรรมหลายชื่อแท้....กุศลสุขเอย

   ๒๐.สอง,"วิภังโค"......แยกปัญจักฯโร่.....แจงเป็นข้อเผย
"ปัญจักขันธา"....กองห้าขันธ์เอ่ย...."รูปักขันธ์ฯ"เลย....คือ"กองรูป"ตรง

   ๒๑.รูปสภาพกลาย......เปลี่ยนแตกสลาย.....กอปรธาตุสี่บ่ง
ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม....ระดมสิ่งปลง...."สามสิบสอง"ยง....อาการเช่น"เอ็น"

   ๒๒."เวทนาขันธ์".......รู้สึกสุขครัน......ทุกข์หรือเฉยเด่น
"สัญญก์ขันธ์"...."จำ"มั่นหมายเน้น...."สังขาขันธ์"เป็น....คิดปรุงชั่ว,ดี

   ๒๓."วิญญาณักขันธ์ฯ"......รู้แจ้งเกิดครัน......"ตา"กระทบปรี่
กับรูป,เสียง,รส....จรดกลิ่นคลี่....ได้สัมผัสรี่....ทั้งดีและมัว

   ๒๔.ทั้งขันธ์ห้าโอ่......"รูปักขันโธ"......เป็นอย่างใดทั่ว
"ยังจิญฯ รูปังฯ"....รูปทั้งผ่านรัว....ปัจจุบันจั่ว....อนาคตแล

   ๒๕."อัชฌัตตังฯ"นั้น.....ภายใน,นอกครัน.....หยาบ,ละเอียดแฉ
เลวหรือดีไซร้....อยู่ใกล้,ไกลแน่...."อภิสัญฯ"แล้....รวมหมวดเดียวกัน

   ๒๖."อภิสังฯ"ดิ่ง.....ย่นย่อเข้ายิ่ง....."อยังวุจฯ"ดั้น
กองรูปธรรมนา....ตถาคตพลัน....ตรัสชี้ว่าครัน....เป็นรูปขันธ์เอย

   ๒๗.สาม,ธาตุกถา......"สังคโห"นา.....รวมหมวดเดียวเผย
เช่น"รูปขันธ์"ดา...."ธาตุ,อายตาฯ"เอ่ย....เป็นรูปธรรมเอย....พวกเดียวกันแล

   ๒๘."อสังโห".....ไม่รวมเข้าโผล่.......นาม,รูปธรรมแฉ
"สังคหิฯ"ตั้ง...."อสังหิฯ"แล้....ธรรมฝ่ายเดียวแท้....รวมกันได้เอย

   ๒๙."อสังคหิเตน"......"สังคหิฯ"เร้น......คนละฝ่ายเผย
จึงไม่เข้ากัน....นามขันธ์,นามเอ่ย....ธรรมฝ่ายรูปเกย....จึงไม่เข้ากัน

   ๓๐."สังคหิเตน......สังคหิฯ"เด่น......ฝ่ายเดียวรวมครัน
"อสังคะฯ"ชัง....อสังคะฯนั้น....เป็นฝ่ายต่างกัน....ต้องห่างกันไกล

   ๓๑."มัสป์โยโค".......ความประกอบโด่......มีเกิด,ดับไข
อารมณ์ร่วมนา...."เวทนาขันธ์"ไว...."สัญญาขันธ์"ไซร้...."สังขารขันธ์"แล

   ๓๒.นามขันธ์สามขาน......"วิญญาณขันธ์"พาน.....ประกอบกันแฉ
ส่วนรูปขันธ์จะ....ไม่ประกอบแท้....กับสิ่งอื่นแน่....แต่อย่างใดเลย

   ๓๓."วิปปโยโค".......ไม่ประกอบโชว์......พรากอยู่ห่างเผย
เกิด,ดับต่างกัน....รูปขันธ์ขัดเฉย....กับนามขันธ์เอ่ย....สี่นามครรไล

   ๓๔."สัมปยุตเตน"......."วิปปยุตต์ฯ"เด่น.....ธรรมกอปรกันใส
แต่ขัดธรรมอื่น....ธาตุดื่น,ขันธ์ไว....กอปรสี่นามไว้....เว้นรูปขันธ์แล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, มิถุนายน, 2568, 05:39:27 PM

(ต่อหน้า ๓/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๓๕."วิปปยุตเตน"......สัมปยุตต์ฯเค้น......ไม่กอปรใดแฉ
เช่นนามขันธ์สี่....ชี้ไม่กอปรแน่....กับรูปขันธ์แล้....หรือธรรมอื่นใด

   ๓๖."อสังคหิตัง"......หมวดธรรมที่หยั่ง......ประกอบกันได้
ขัดมิกอปรนา....บางครากอปรไว....บางคราไถล....ประกอบร่วมเอย

   ๓๗.สี่"บัญญัติฯ"คุณ.....สูง,ต่ำอดุลย์......การหลุดพ้นเผย
"ฉบัญญัติฯ"....แจ้งชัดหกเอ่ย....ประกาศตั้งเลย....บุคคลหลายแล

   ๓๘."ขันธติปัญญ์ฯ".......บัญญัติห้าขันธ์.....รูป,เวทนา..แฉ
"อายตนะ"....แจงปะต่อแท้....ภายใน-นอกแล้....หู,จมูก,ตา..

   ๓๙."ธาตุบัญญัติฯ"ไว้.....กำหนดธาตุไซร้.....สิบแปดอาการหนา
"สัจจปัญญ์ฯ"ล้ำ....แจงธรรมจริงนา....สี่ประการกล้า....ทุกข์,สมุทัย..

   ๔๐."อินทริยะ"......แจ้งอินทรีย์ปะ......ยี่สิบสองไข
"ปุคคลปัญญ์ฯ"รุก....เรียกบุคคลได้....จากหลุดพ้นไซร้....ยันปุถุชน

   ๔๑."กิตตาวตา".....ปุคคลาฯกล้า......ประมาณไหนพ้น
"สมย์วิมุตฯ"....พ้นรุดถึงผล....สมาบัติดล....ถึงชั่วคราวเอย

   ๔๒.อาสว์กิเลสราน......บางส่วนได้ผลาญ.....อริย์สามเผย
เช่น"โสดาบัน"....ยัน"สกิทาฯ"เอย...."อนาคาฯ"เชย....ชั้นต้นอรีย์

   ๔๓."อสมย์วิมุต".......ขีณาสพหลุด......พ้นยั่งยืนรี่
อาสว์กิเลสหมด....จรดปัญญาคลี่....คืออรหันต์ที่....ลุวิโมกข์ธรรม

   ๔๔."กุปปธัมโม"......ผู้มีธรรมโผล่......ยังไม่ชาญทำ
"รูปสมาบัติ"....ชัด"อรูปฯ"ซ้ำ....อาจเสื่อมถลำ....ฌานสมาบัติลง

   ๔๕."อกุปป์ธัมโม"........สิ้นกำเริบโข.......เสื่อมสมาบัติบ่ง
เพราะเชี่ยวรูปสมาฯ....กล้า"อรูปาฯ"ส่ง....ไม่มีเสื่อมยง....เช่นอนาคามี

   ๔๖.กับพระอรหันต์......ทั้งสองชื่อดั้น....."อกุปป์ธัมฯ"ลี้
วิโมกธรรมล้ำ....ไม่กำเริบปรี่....ธรรมมิเสื่อมหนี....อีกต่อไปนา

   ๔๗."ปริหารธัมโม"......ผู้มีธรรมโร่.....ยังเสื่อมได้หนา
"อปริหานธัมฯ"....มีล้ำธรรมจ้า....มิเสื่อมได้นา....ไม่กำเริบแล

   ๔๘."เจตนาภัพโพ"......ผู้ไม่เสื่อมโง่......เอาใจใส่แฉ
แม้รูปสมาบัติ....มิจัดชาญแท้....ย่อมไม่เสื่อมแน่....จากสมาบ้ติเอย

   ๔๙."อนุรักขนาฯ"......ผู้คอยรักษา......"รูปสมาบัติ"เผย
หรือ"อรูปสมาฯ"....แม้หาเชี่ยวเลย....ก็ไม่เสื่อมเปรย....จากสมาบัติไว

   ๕๐."ปุถุชชโน"......ผู้กิเลสโอ่......หนาแน่นมากไข
ผู้ยังไม่ตัด....ปัดสังโยชน์ได้....กิเลสสามไกล....ยังเพิกอยู่แล

   ๕๑."โคตรภู"ผู้ได้......ธรรมแล้วก้าวใกล้.....อริยธรรมแฉ
หว่างภาวะที่....ชี้หาใช่แน่....ปุถุชนแล้....หรืออริยชน

   ๕๒."ภยูปร์โต"......ผู้เว้นเพราะโง่......กลัวภัยสี่ผล
เจ็ด"เสขะ"เกรง....ภัยเด้งจากดล...."วัฏฏภัย"วน....ทั้ง"กิเลสภัย"

   ๕๓.อีก"อุปวาฯ"......ความติเตียนนา......ชนมี"ศีล"ใกล้
กลัวภัยเพิ่มรุก....คือ"ทุคคติภัย"....ทำผลชั่วไว้....กาย,ใจ,วาจา

   ๕๔."อภยฯ"ไว......ผู้ไม่กลัวภัย......อรหันต์หนา
เพราะได้ตัดบาป....ราบคาบแล้วนา....มีความหาญกล้า....ภัยทอนสิ้นลง

   ๕๕."ภัพพาค์มโน".......ผู้กุศลโร่......ปราศ"อนันตริย์ฯ"บ่ง
ไร้"กิเลสสาฯ"....พาเห็นผิดปลง....ไร้"วิปาฯ"ส่ง....เรื่องโลภ,โกรธเอย

   ๕๖.ผู้มีศรัทธา......ฉันทะ,ปัญญา......มิบ้า,ใบ้เผย
เหมาะเป็นยิ่งนา....ภัพพาฯเปรียบเปรย....ควรลุมรรคเชย....ต่อไปได้ครัน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, มิถุนายน, 2568, 09:00:34 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๕๗."อภัพพาฯ"แน่.....ผู้ไม่มาแล้.....กุศลธรรมดั้น
ไม่มีสิ่งอวย....กอปรด้วยเครื่องกั้น....สามอย่างขวางพลัน....มรรคผลสิ้นทาง

   ๕๘."นิยโต"แล้.....ผู้เที่ยงแน่แท้.....ก่อ"อนันตริย์"ขวาง
มิจฉาทิฏฐิ....ตริเห็นผิดพร่าง....ตายแล้วมิคลาง....นรกจ่อเลย

   ๕๙.ผู้อริยะ......มรรค,ผลแปดปะ......เที่ยงลุสูงเผย
แน่ตรงสัมฤทธิ์....เสร็จกิจลุเอ่ย...."อนุปาฯ"เชย....กาย,ขันธ์ทำลาย

   ๖๐."อนิยโต".......ผู้ไม่เที่ยงโร่......จิตรวนเรฉาย
ไม่มั่นรัตน์ตรัย....คติไซร้มักกลาย....จะไร้ทางวาย....สู่มรรค,ผลแล

   ๖๑."ปฏิป์นันโก"......ผู้ถึงพร้อมโข.....ในมรรคสี่แฉ
"ผเลฏฐิโต"....ผู้โชว์พร้อมแล้....ลุผลสี่แน่....เข่นโสดาฯยง

   ๖๒."อรหา"ครัน......เป็นพระอรหันต์......ละสังโยชน์บ่ง
คือกิเลสสิบ....ดับลิบหมดลง....ลุนิพพานตรง....สุข,ว่างเอย

   ๖๓."อรหัตตายะ"......."ปฏิปันโน"ปะ......ผู้คงตนเอ่ย
อรหันต์โชติ....สังโยชน์ปลายเผย....ทั้งสี่ละเคย...."รูปราคะ"แล

   ๖๔."กถาวัตถุ".....คัมภีร์ห้าลุ......คำถาม,ตอบแฉ
เพื่อแจงหลักธรรม....ถ้อยคำถูกแล้....นิกายต่างแก้....เพื่อถกถ้อยจริง

   ๖๕."ปุคคโล"......อุปลลัพฯโร่......คำถามแจ้งดิ่ง
สัตว์,ชาย,หญิงนี้....เห็นมีได้จริง....ปรมัตถ์ยิ่ง....ประโยชน์สุดฤา

   ๖๖."อามันตา"ไซร้......ตอบย่อมมีได้....พุทธ์เจ้าตรัสครือ
ในพระสูตรตาม....คือความจริงชื่อ....โดยสมมติถือ....ง่ายอธิบาย

   ๖๗."โย สัจฉิกัตฯ"........ถามความแจ่มชัด......เป็นจริงยิ่งฉาย
ด้วยสัตว์,ชาย,หญิง....มีดิ่งขยาย....อรรถแจ่มแจ้งกราย....โดยปรมัตถ์ฤา

   ๖๘."น เหวัง วัตต์ฯ".......ตอบอย่ากล่าวซัด.....เช่นนั้นเพื่อยื้อ
สัตว์,ชาย,หญิงนั้น.....ครันไม่มีถือ....ไร้สัจจะคือ....ไม่จริงยิ่งเลย

   ๖๙."อาชานิ นิคค์ฯ".......ถามท่านได้พลิก......ถ้อยตอนต้นเอ่ย
รับรองมาแล้ว....แน่วปฏิเสธเอย....ควรรับโทษเผย...."นิคหะ"ถูกข่มแล

   ๗๐."หัญจิ ปุคค์โล"......ถ้าสัตว์หลายโผล่......มีได้จริงแน่
ควรกล่าวเป็นจริง....มียิ่งแจ่มแท้....อรรถขัดเจนแม้....ปรมัตถ์ยิ่งยง

   ๗๑."เตนะ วตะ".......พึงกล่าวถ้อยนะ.......แจ่มแจ้งจริงส่ง
สัตว์,ชน,บุคคล....ท้นชาย,หญิงคง....มีได้แน่ตรง....ตามปรมัตถ์นา

   ๗๒."มิจฉา"เห็นผิด.......ท่านตอบรับชิด......ชน,ชาย,หญิงหนา
มีจริงโดยอรรถ....ชัดแจ่มแจ้งฟ้า....มียิ่งสุดหล้า....คือปรมัตถ์เอย

   ๗๓.แต่ไม่รับรอง......ปัญหาหลังผอง......อรรถจริงยิ่งเผย
ถ้อยคำท่านผิด....เพราะบิดแย้งเอ่ย....ไม่รับรองเลย....ในครั้งหลังแล

   ๗๔.ก็ไม่พึงกล่าว......รับปัญหาฉาว......ครั้งต้นก่อนแล้
สัตว์,ชาย,หญิง,ชน....ข้อต้น,หลังแน่....จึงผิดพลาดแท้....ขัดแย้งกันเอง

   ๗๕.หก,"ยมก"กรู......คำถามเป็นคู่......ถ้อยย้อนกันเผย
คิดเทียบเคียงปน....เหตุผลหาเปรย....เข้าใจซึ้งเลย....ทั้งสองแง่แล

   ๗๖."เย เกจิฯ"ยล......ธรรมเป็นกุศล......อย่างหนึ่งครันแฉ
"สัพพเพ เตฯ"กราย....ธรรมหลายเป็นแน่....กุศลมูลแล้....เหง้ากุศลเอย

   ๗๗.มี"อโลภะ".......อีก"อโทสะ"......"อโมหะ"เผย
ต้นเหตุกุศล....ชั่วพ้นไปเอย....เว้นกระทำเลย....ชั่วลดแน่นอน

   ๗๘."เย วา ปนะฯ"......ธรรมหลายใดปะ......กุศลมูลจร
"สัพเพ เตฯ"กราย......ธรรมหลายนั้นช้อน....ล้วนกุศลพร....ทั้งสิ้นครรไล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, มิถุนายน, 2568, 03:55:27 PM

(ต่อหน้า ๕/๑๘) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๗๙."เย เกจิ"เด่น......ธรรมหลายล้วนเป็น.....กุศลแหล่งใด
"สัพเพ เตฯ"พราย....ธรรมหลายนั้นไว....มีรากมาไซร้....จาก"เอกมูลา"

   ๘๐."เอกมูลา"นับ......ความเดียวกันกับ.....กุศลมูลหนา
"เย วา ปนะฯ"....ธรรมจะเป็นนา....ดั่งเอกมูลา....มูลรากเดียวกัน

   ๘๑."สัพเพ เต"นา....."ธัมมา กุสลา"......ธรรมหลายเหล่านั้น
เป็นกุศลสิ้น....ผลินจิตพลัน....เกิดสุขะสันต์....ควรสะสมเอย

   ๘๒.เจ็ด,"ปัฏฐาน"ไซร้.....ที่ตั้งปัจจัย.....ยี่สิบสี่เผย
แจงสัมพันธ์ชัด....ใดปัจจัยเอ่ย....ของอะไรเปรย....ช่วยเกื้อหนุนแล

   ๘๓."เหตุปัจจโย"......เหตุที่ตั้งโร่......มีหกอย่างแฉ
อกุศลเหตุ....ประเภทสามแล้....โลภะ,โกรธแย่....โมหะ,หลงเอย

   ๘๔.กุศลเหตุดะ.......มี"อโลภะ"......"อโทสะ"เผย
"อโมหะ"ดล....กุศลเหตุเอย....ปัจจัยดีเชย....ช่วยนาม,รูปแล

   ๘๕.เหตุหนุนให้เกิด......นาม,รูป,จิตเชิด.....เจตสิกแฉ
ดั่งรากแก้วไม้....ได้ยึดต้นแท้....ตั้งยั่งยืนแน่....ช่วยไม้งอกงาม

   ๘๖."อารมณ์ปัจจ์โยฯ"......อารมณ์ก่อโต......มีอยู่หกผลาม
โดยเจตสิกหน่วง....ล่วง"รูป,เสียง"ลาม...."กลิ่น,รส,โผฏฯ"ตาม....พร้อมธัมมารมณ์

   ๘๗."ตา"เห็น"รูป"อยู่.....เกิดวิญญาณ"รู้"......รูปารมณ์สม
มองดี,จิตดี....มองรี่ร้ายตรม....ตาไม่มองชม....รูปารมณ์คลาย

   ๘๘.อารมณ์หกนี้.....อย่าใส่ใจชี้......ไร้อำนาจผาย
เหนือจิตใจเขา....โง่เขลาโทษร้าย....มีสติฉาย....คุมอารมณ์ไว

   ๘๙."อธิปติปัจจ์ฯ"......คล้ายอารมณ์ชัด.....สบอารมณ์ใฝ่
เกิดอกุศลติด....เพราะจิต,กายไซร้....ใช่อารมณ์ไม่....คุมสติ,พฤติดี

   ๙๐."อารัมณาฯ"......อารมณ์แรงกล้า......ต้องการยิ่งรี่
"สหชาตาธิปฯ"....ธรรมกริบเกิดคลี่....ในใจมีสี่...."ฉันทาฯ"พอใจ

   ๙๑."วิริยาธิปฯ"......ใจเกิดเพียรพริบ......"จิตตา"ใจใฝ่
"วิมังสาฯนา....ปัญญาเกิดไสว....ทั่งสี่เก่งไซร้....นำธรรมอื่นเอย

   ๙๒.ธรรมสี่หัวหน้า......นำสัมฤทธิ์นา.....ร่วมธรรมอื่นเผย
ทั้งสี่หย่อนทำ....ไม่สำเร็จเลย....หมั่นธรรมสี่เปรย....สำเร็จงดงาม

   ๙๓."อนนัตร์ฯ"ครัน......ธรรมเกิดตามกัน.....ไร้ใดคั่นผลาม
คือจิตเกิดก่อน....แล้วถอนดับตาม....ไร้จิตอื่นลาม....มาคั่นอยู่แล

   ๙๔.จิตที่เกิดหลัง......กลุ่มจิตอื่นยัง.....ไม่มีคั่นแฉ
พุทธ์ฯชี้กฏจร....จิตก่อนดับแล้....จิตพวกเดียวแท้....เกิดตามเร็วพลัน

   ๙๕."สัมนันตร์ฯ"ชัด.....คล้ายอนนัตร์ฯ.....ไร้จิตอื่นคั่น
เปรียบคล้ายกับจ้วง....จิตดวงเดียวกัน....ฉะนั้นจงมั่น....ทำดีตลอดกาล

   ๙๖."สหชาต์ปัจจ์ฯ"......ธรรมเกิดร่วมชัด.....ปัจจัยก่อสาน
เกิดร่วมหนุนไซร้....ตนไม่เกิดพาน....ธรรมอื่นก็ราน....ไม่เกิดเช่นกัน

   ๙๗.นามขันธ์สี่......มหาภูตฯปรี่......เกิดหทัยสรรค์
ล้วนสหชาตา....เกิดหนาด้วยกัน....กายมนุษย์พลัน....เติบโตต่อไป

   ๙๘."อัญญมัญฯ"ครัน.....ธรรมเกื้อกูลกัน.....เหมือนไม้พิงไว้
จึงตั้งคงมั่น....นามขันธ์สี่ไซร้....หนุนกันส่งไว....แต่ละขันธ์จุน
   ๙๙.เกิด"สัมผัส"พรู......"เวทนา"ก็รู้....."สัญญา,จำ"ผลุน
เช่น"เจ็บ"แล้ว"จำ"....จำซ้ำเจ็บหนุน....สลับดุน....เวทนา,สัญญา

   ๑๐๐."นิสสยปัจจ์ฯ"......ธรรมนิสัยชัด......ที่ตั้งอยู่หนา
ปัฐวีธาตุ....ดาษแผ่นดินนา....ให้ธาตุอื่นมา....อาศัยพักกราน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, มิถุนายน, 2568, 05:42:36 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๐๑.วัตถุหกมี....."ตา"ที่ตั้งปรี่.....จักขุวิญญาณ
นามขันธ์สี่....ที่อิงประสาน...."ดิน,น้ำ,ลม"พาน....และ"ไฟ"เช่นกัน

   ๑๐๒."อุปนิสสะฯ"......เป็นนิสัยปะ......อารมณ์กล้าสรรค์
เกิดตามติดมา....ธรรมหามีคั่น....เกิดแรงกล้าพลัน....ไม่เกี่ยวอารมณ์

   ๑๐๓.เหตุทำตนเอง......ทั้งดี-ชั่วเผง......ปกติสม
หาหลักพึ่งตริ....อุปนิสัยบ่ม....ทำจนชินจม....ทั้งเลวหรือดี

   ๑๐๔."ปุเรชาตะฯ"......ธรรมเกิดก่อนจะ......เป็นปัจจัยชี้
ยังมิดับไซร้....ปัจจัยหนุนคลี่....จิต,เจตสิกปรี่....ทำงานต่อไป

   ๑๐๕.เปรียบดวงอาทิตย์.....ดวงจันทร์ประชิด.....ยังมิดับไข
สัตว์โลกพึ่งพิง....เกิดดิ่งอาศัย....ในโลกนี้ไซร้....ไปตลอดกาล

   ๑๐๖."ปัจฉาชาตะฯ"......ธรรมเกิดหลังนะ.....เป็นปัจจัยสาน
จิต,เจตสิกชี้....เกิดทีหลังชาญ....หนุนรูปฯก่อนพาน....ครบอายุแล

   ๑๐๗.อายุรูปนาม......เท่าอายุนำ......จิตสิบเจ็ดแฉ
รูปธรรมอยู่ได้....นานไซร้จิตแน่....อุปถัมภ์แท้....อยู่เจริญชม

   ๑๐๘."อาเสวนาฯ"......ธรรมหน้าที่หนา.....เสพบ่อยอารมณ์
ชวนะจิตชี้....รี่แล่นเร็วสม....ช่วยธรรมเดียวบ่ม....ให้เกิดขึ้นครัน

   ๑๐๙.ชวนะจิต......เป็นกุศลชิด......เกิดหนึ่งดวงสรรค์
ก็ปัจจัยหนุน....เกิดลุ้นต่อพลัน....ดวงสอง,สามยัน....ดวงที่เจ็ดเอย

   ๑๑๐.ถึงดวงที่เจ็ด.....ตัวเจตนาเด็ด......กิจสำเร็จเผย
คล้ายเรียนวิชา....มาแล้วเพิ่มเอ่ย....อย่างเดียวกันเคย....สิ้นการเร็วแล

   ๑๑๑."กัมมปัจจ์ฯ"ไซร้.....กรรมเป็นปัจจัย.....จิต,เจตสิกแฉ
เจตนาแจง....ปรุงแต่งจิตแล้....รูปเกิดพร้อมแท้....ด้วยจิต,กรรมเอย

   ๑๑๒.จิต,เจตสิกรับ......รูปารมณ์ฉับ.....เกิดโลภขึ้นเผย
แสดงออกมา....กาย,วาจาเคย....อำนาจโลภเอ่ย....มูลเจตนา

   ๑๑๓.กรรมหลายที่ทำ.....เป็นปัจจัยหนำ.....เพาะพืชพันธ์หนา
เจตนา,จิตดับ....ลับไปแล้วครา....กรรมเจตนา....ส่งผลต่อไป

   ๑๑๔."วิปากปัจจ์ฯ"......วิบากธรรมจัด.....ผลดี,ชั่วไข
วิบากนามขันธ์....สี่ครันปัจจัย....หนุนซึ่งกันไซร้....เกิดกัมม์รูปฯแล

   ๑๑๕.ช่วย"จิตต์รูปฯ"เกิด.....วิบากที่เชิด.....ปัจจัยหนุนแฉ
คล้ายชราพราก....วิบาก"ชาติ"แท้....แรกทารกแน่....หนุนชราต่อมา

   ๑๑๖."อาหารปัจจ์ฯ"รี่......อาหารมีสี่......หนุนรูป-นามหนา
"กวฬิงฯ"ก้อน....ข้าวป้อนกายนา...."ผัสสาหาร"หล้า....เลี้ยงเวทนาเอย

   ๑๑๗."มโนสัญญา"ไซร้.....เจตนาจงใจ.....หนุนพูด,คิดเผย
"วิญญาณาหาร"....พานอาหารเอ่ย....รูป,เวทนาเปรย....สังขาร,สัญญา

   ๑๑๘."อินทรีย์ปัจจ์ฯ".....ธรรมปัจจัยชัด.....อินทรีย์ยิ่งหนา
ทำยี่สิบสอง....ครองหน้าที่กล้า....ของตนเองนา....ปัจจัยต่อกัน

   ๑๑๙."ฌานปัจจโย"......ฌานปัจจัยโด่.....อารมณ์แน่วครัน
กอปรด้วย"วิตก"....ยก"วิจาร"ดั้น...."ปีติ"ไวพลัน....รู้"เวทนา"

   ๑๒๐."เอกัคค์ตา"เกิด......อารมณ์เดียวเทิด.....ปัจจัยหนุนกล้า
นามขันธ์สี่ล้ำ...กัมมช์รูปหล้า....จิตตชรูปหนา....เกิดขึ้นพร้อมตน

   ๑๒๑.อีกฌานมีสอง....."อารมณ์ณูฯ"ตรอง.....สมถะล้น
"ลักขณูฯ"จัด....วิปัสส์นายล....สองฌานหนุนท้น....ปัจจัยซึ่งกัน

   ๑๒๒."มัคคปัจจ์ฯ"พรู......ธรรมนำทางสู่.....สุคติสรรค์
ทุคติ,นิพพาน....ผ่านมรรคเก้าครัน....ทั้งกุศลดั้น....อกุศล,กลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, มิถุนายน, 2568, 03:54:54 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๘) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๒๓.เก้าปัจจัยนำ......หนุนสหชาติธรรม......ที่เกิดพร้อมพร่าง
เข้าสู่อารมณ์....สมกับตนพลาง....ทำกิจเสร็จสาง....ตามหน้าที่ตน

   ๑๒๔.สัมปยุตต์ฯครัน......ธรรมประกอบกัน......เป็นปัจจัยด้น
ทำพร้อมสี่อย่าง....บ้าง"เกิด"พร้อมยล...."ดับก็ดับรน....มี"อารมณ์"เดียว

   ๑๒๕."อยู่ที่เดียวกัน"......จิต,เจตสิกนั้น......เป็นปัจจัยเชียว
หน้าที่ต่างกัน....พลันสัมปยุตต์ฯเปรียว....ประกอบชิดเทียว....เป็นเนื้อเดียวเลย

   ๑๒๖."วิปปยุตต์ปัจจ์ฯ"......ธรรมปัจจัยชัด......มิเข้ากันเผย
เช่นนาม,ปัจจัย....ไซร้แก่"รูป"เอย....เป็นวิปป์ยุตต์ฯเอ่ย....ไม่เข้ากันแล

   ๑๒๗."อัตถิปัจจโย"......มีธรรมอยู่โข......เป็นปัจจัยแผ่
เพราะยังตั้งอยู่....มิจู่ดับแฉ....เพื่อหนุนธรรมแน่....ให้เกิดผลตน

   ๑๒๘.เช่นนามขันธ์สี่......เป็นอัตถิฯรี่.....ปัจจัยกันท้น
ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม....สม"นามรูป"ดล....คราชีพเกิดตน....เป็นอัตถิฯกัน

   ๑๒๙."นัตถิปัจจโย"......ไร้ปัจจัยโอ่......ไม่มีธรรมดั้น
จะหนุนธรรมสืบ....คืบต่อไปพลัน....เช่นเจตสิกครัน....เกิดดวงหนึ่งเอย

   ๑๓๐.ดวงหนึ่งอยู่บ่ง......ยังมิดับลง......สองมิเกิดเผย
เหมือนแสงสว่าง....พลางลับแล้วเอ่ย....ความมืดมาเลย....เกิดมีขึ้นนา

   ๑๓๑."วิคตปัจจ์ฯ......ธรรมปลาตชัด......คือธรรมดับหนา
หนุนธรรมให้คลาด....ปราศจากพา....เกิดเช่นเดียวกล้า....นัตถิปัจจ์ฯแล

   ๑๓๒."อวิคต์ปัจจ์ฯ......ธรรมไร้ปราศจัด.....ยังมิดับแฉ
ปัจจัยช่วยเหลือ....มีเอื้อกันแน่....เช่นเดียวกันแท้....อัตถิปัจจัย

   ๑๓๓.สรุปความหมาย.....สวดอภิธรรมปราย.....กล่าวธรรมยิ่งไข
"จิต,เจตสิก"กริบ...."รูป,นิพพาน"ไว้....สภาพธรรมไซร้....ถือไร้บุคคล

   ๑๓๔.มีแต่สิ่งรวม.....ประชุมกันสรวม.....จิต,เจตสิกด้น
และนิพพานครือ....ส่วนชื่อเรียกนั่น....เรียกนี่แล้วพลัน....ล้วนสมมตินาม

   ๑๓๕.สวดพระอภิธรรม......แจงความจริงล้ำ.....ชีพกอปรรูป,นาม
รูปคือกายเชิด....เกิดด้วยธาตุผลาม...."ดิน,น้ำ,ไฟ"ลาม...."ลม"ประชุมกัน

   ๑๓๖.นามกอปรด้วย"จิต"......เจตสิกประชิด.....ทำงานร่วมสรรค์
นามขันธ์สี่มา....เวทนารู้ครัน....สัญญา,จำมั่น....สังขาร,คิดปรุง

   ๑๓๗.อีกวิญญาณบ่ม......รู้แจ้งอารมณ์......ผ่านตา,หู..ผลุง
สัจจะธรรมหนา....ปัญญาญาณจรุง....ลุนิพพานฟุ้ง....กิเลสสิ้นพลัน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑)อภิธรรมปิฎก พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๖๔๘
           ๒)คำแปลอภิธรรม ๗ คัมภีร์ https://www.watsacramento.org/w-article-074B-t.htm

พระไตรปิฎก = เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่ ๆ คือ (๑)พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัยสิกขาบทต่าง ๆ ของภิกษุและภิกษุณี มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๒)พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรซึ่งเป็นพระธรรมเทศนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ที่แสดงแก่บุคคลต่างชั้นวรรณะและการศึกษา ต่างกรรมต่างวาระกัน มีทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง มีรวม ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๓)พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง อธิบายด้วยหลักวิชาล้วนๆ โดยไม่อ้างอิงเหตุการณ์และบุคคล มีรวม ๔๘,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรม =ว่าด้วยเรื่องของปรมัตถธรรม มี ๔ ประการ อันได้แก่ (๑)จิต (๒) เจตสิก (๓)รูป และ (๔)นิพพาน เป็นสภาวธรรม ล้วนๆ  ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, มิถุนายน, 2568, 09:29:08 AM

(ต่อหน้า ๘/๑๙) ๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

พระอภิธรรมปิฎก= แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ) คือ
(๑)ธัมมสังคณี -รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่แล้วอธิบายทีละประเภทๆ (๒)วิภังค์ -ยกหมวดธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นตั้งเป็นหัวเรื่องแล้วแยกแยะออกอธิบายชี้แจงวินิจฉัยโดยละเอียด (๓)ธาตุกถา -สงเคราะห์ข้อธรรมต่าง ๆ เข้าในขันธ์ อายตนะ ธาตุ (๔)ปุคคลบัญญัติ -บัญญัติความหมายของบุคคลประเภทต่างๆ ตามคุณธรรมที่มีอยู่ในบุคคลนั้น (๕)กถาวัตถุ -แถลงและวินิจฉัยทัศนะของนิกายต่างๆ สมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ (๖)ยมก (ภาค ๑, ภาค ๒) ยกหัวข้อธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ (๗)ปัฏฐาน หรือ มหาปกรณ์ (ภาค ๑, ภาค ๒, ภาค ๓, ภาค ๔, ภาค ๕, ภาค ๖) อธิบายปัจจัย ๒๔ แสดงความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกันแห่งธรรมทั้งหลายโดยพิสดาร
การสวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์=ครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แสดงแก่พุทธมารดาฟัง ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมทั้งเหล่าเทวดาทุกชั้นที่พากันมาฟังธรรมที่ชั้นดาวดึงส์  ทำให้เหล่าเทวดาได้บรรลุธรรมพร้อมกัน มีพระโสดาบัน เป็นเบื้องต่ำ และอนาคามีเป็นเบื้องสูง ใช้เวลาในการแสดง ๓ เดือน (๑ พรรษา)
การสวดพระอภิธรรมศพ=พระสงฆ์นำเอาพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ มาสวดในงานศพ ก็เพื่อเจริญกุศลและอานิสงส์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ (๑)เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจความจริงของสังขาร ที่เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา โดยมีศพให้ดูเป็นตัวอย่างเบื้องหน้า (๒)เพื่อเป็นอีกอุบายวิธีหนึ่ง ในการป้องกันมิให้พระสัทธรรม หรือพระอภิธรรมอันตรธานไป (๓)เพื่อให้คนทั่วไปได้ฟังไว้เป็นอุปนิสัยปัจจัยในภายหน้า แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่ขณะฟัง หากตั้งใจฟังด้วยดี จิตก็ย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ และการที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธินั้น จัดเป็นบุญชั้นสูงอย่างหนึ่ง ที่ทางพระเรียกว่า “ภาวนามัย” คือบุญที่เกิดจากการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และน้อมอุทิศบุญนี้ให้เป็นส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ได้ (๔)เชื่อกันว่าพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นี้ ใครสวดครบ ๗ ปีร่างกายจะไม่เน่าเปื่อย เมื่อหมดบุญก็ขึ้นสวรรค์ทันที หรืออีกตัวอย่างหนึ่งตามตำนานเล่าว่า…ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ค้างคาว ๕๐๐ ตัว ซึ่งเกาะอยู่ที่ผนังถ้ำ และงูเหลือมแก่ๆอีกตัวหนึ่ง ได้ฟังพระสวดสาธยายพระอภิธรรม เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ครบ ๖๒ กัป จึงลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมง ต่อมาทั้ง ๕๐๐ คนก็บวชเป็นศิษย์ของพระสารีบุตร ครั้นได้ฟังพระอภิธรรมอีกครั้งก็บรรลุอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป กับอีก ๑ รูป (งูเหลือมแก่ในอดีตชาติ) และ “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม” วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย กล่าวไว้ “การสวดสาธยายพระอภิธรรมนี้ เทวดาชอบฟัง มนต์บทนี้ แม้แต่สวดในใจเทวดาก็ยังฟัง”
ธมฺมสงฺคณี=ธัมมสังคณี คัมภีร์ที่ ๑ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
กุสลาธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศล คือไม่มีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีสุขเป็นวิบากต่อไป
อกุสลาธฒฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นอกุศล คือมีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
อพฺยากตา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายที่เป็น อัพยากฤต คือท่านไม่พยากรณ์ว่า เป็นกุศล หรืออกุศล คือเป็นธรรมกลาง ๆ
กตเม ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลเป็นไฉน
ยสฺมึ สมเย ~ในสมัยใด
กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ ~ จิตที่เป็นกุศลอันหยั่งลงสู่กามย่อมเกิดขึ้น
โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ ~ เป็นไปกับโสมนัส ประกอบด้วยญาณ
รูปารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือรูป หรือมีรูปเป็นอารมณ์บ้าง
สทฺทารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือเสียง หรือมีเสียงเป็นอารมณ์บ้าง
คนฺธารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือกลิ่น หรือมีกลิ่นเป็นอารมณ์บ้าง
รสารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือรส หรือมีรสเป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฺฐพฺพารมฺมณํ วา ~ปรารภอารมณ์ คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง หรือมีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์บ้าง
ธมฺมารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือ ธรรม เรื่องที่เกิดแก่ใจ หรือมี ธรรมเป็นอารมณ์บ้าง
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ ~ ปรารภอารมณ์ใด ใด บ้างก็ดี
ตสฺมึ สมเย ~ ในสมัยนั้น
ผสฺโส โหติ ~ ความประจวบต้องกันแห่งอายตนะภายในภายนอก และวิญญาณ ย่อมมี ฯลฯ
อวิกฺเขโป โหติ ~ ความไม่ฟุ้งซ่านย่อมมี
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเญปิ อตฺถิ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา อรูปิโน ธมฺมา ~ ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายอันไม่มีรูป ที่อาศัยกันเกิดขึ้นแม้เหล่าอื่นใดมีอยู่ในสมัยนั้น
อิเม ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
วิภงฺโค=วิภังโค เป็นคัมภีร์ที่ ๒ มีคำสวดเป็น ภาษาบาลี ดังนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, มิถุนายน, 2568, 06:49:01 PM

(ต่อหน้า ๙/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปยฺจกฺขนฺธา ~ขันธ์ คือกองทั้ง ๕
รูปกฺขนฺโธ ~ รูปขันธ์ กองรูป ๑
เวทนากฺขนฺโธ ~ เวทนาขันธ์ กองเวทนา ๑
สญฺญากฺขนฺโธ ~สัญญาขันธ์ กองสัญญา ๑
สงฺขารกฺขนฺโธ ~สังขารขันธ์ กองสังขาร ๑
วิญฺญาณกฺขนฺโธ ~ วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ ๑
ตตฺถ กตโม รูปกฺขนฺโธ ~ในขันธ์ทั้ง ๕ นั้น รูปขันธ์เป็นไฉน
ยงฺกิญจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ~ รูปอันใดอันหนึ่งเป็นอดีต ล่วงไปแล้ว เป็นอนาคตยังมิได้มา เป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นอยู่ฉะเพาะหน้า
อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา ~ เป็นภายในหรือภายนอก
โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา ~ หยาบหรือละเอียด
หีนํ วา ปณีตํ วา ~ เลวหรือประณีต
ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา ~อันใด ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ตเทกชฺฌํ อภิสญฺญูหิตฺวา อภิสงฺขิปิตฺวา ~ ประมวลย่นย่อรูปนั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน
อยํ วุจฺจติ รูปกฺขนฺโธ ~ นี้พระตถาคตตรัสเรียกว่ารูปขันธ์
ธาตุกถา=คือคัมภีร์ที่ ๓ คำสวดภาษาบาลีคือ
สงฺคโห ~ การสงเคราะห์ คือรวมเข้าเป็นหมู่เดียวกัน เช่น สงเคราะห์รูปขันธ์เข้าด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ อันเป็นรูปธรรมด้วยกัน
อสงฺคโห ~ การไม่สงเคราะห์ คือไม่รวมเข้าเป็นหมู่เดียวกัน เช่น ไม่สงเคราะห์รูปขันธ์เข้าด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ อันเป็นนามธรรม
สงฺคหิเตน อสงฺหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้าด้วยกันได้เพราะเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมฝ่ายอื่น เช่นอายตนะธาตุฝ่ายรูป ที่สงเคราะห์เข้ากับรูปขันธ์ได้ แต่สงเคราะห์เข้ากับนามขันธ์ไม่ได้
อสงฺคหิเตน สงคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกัน แต่สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกัน เช่น นามขันธ์ไม่สงเคราะห์เข้ากับ อายตนะ ธาตุ ฝ่ายรูป แต่สงเคราะห์เข้ากับอายตนะ ธาตุฝ่ายนามด้วยกันได้
สงฺคหิเตน สงฺคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันได้ เพราะเป็นฝ่ายเดียวกัน ก็สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกันทั้งหมด เช่นขันธ์ อายตนะ ธาตุ ฝ่ายรูปหรือธรรม ก็สงเคราะห์เข้ากันได้ตามประเภททั้งหมด
อสงฺคหิเตน อสงฺคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์กันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกัน ก็สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมต่างฝ่ายกันทั้งหมด เช่น รูปขันธ์สงเคราห์เข้ากันกับนามขันธ์ไม่ได้ ก็สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับอายตนะธาตุฝ่ายนามทั้งหมด
มสฺปโยโค ~ความสัมปโยคประกอบกัน คือความมีเกิด ดับ มีวัตถุที่ตั้งและมีอารมณ์เป็นสภาค คือมีส่วนร่วมเป็นอันเดียวกัน เช่น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ มีสัมปโยคประกอบกับนามขันธ์ ๓ เหล่านี้ วิญญาณขันธ์ก็มีสัมปโยคประกอบกับนามขันธ์ ๓ เหล่านี้ได้ ส่วนรูปขันธ์ไม่มีสัมปโยคประกอบกันกับอะไรอื่น
วิปฺปโยโค ~ความวิปโยค ไม่ประกอบ คือพรากกัน เพราะเป็นวิสภาคผิดส่วนกัน จึงต่างเกิด ต่างดับ เป็นต้น เช่น รูปขันธ์มีวิปโยคไม่ประกอบกับนามขันธ์ ๔ นามขันธ์ ๔ ก็มีวิปโยคไม่ประกอบกับรูปขันธ์
สมฺปยุตฺเตน วิปฺปยุตฺตํ ~หมวดธรรมที่สัมปยุต ประกอบกันได้ ก็วิปปยุตไม่ประกอบกับหมวดธรรมประเภทอื่น เช่น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่สัมปยุตประกอบกับนาม ๔ ได้ ก็วิปปยุตไม่ประกอบกับรูปขันธ์
วิปฺปยุตฺเตน สมฺปยุตฺตํ ~หมวดธรรมที่วิปปยุตไม่ประกอบกันแล้ว ก็สัมปยุต ประกอบกันอีก หมวดธรรมเช่นนี้ไม่มี เพราะนามขันธ์ ๔ วิปปยุตไม่ประกอบกันกับรูปขันธ์แล้ว ก็ไม่สัมปยุประกอบกันกับธรรมอื่น นอกจากพวกของตน รูป และนิพพานเป็นวิปยุตไม่ประกอบกับนามขันธ์ ๔ แล้วก็ไม่สัมปยุตกับธรรมอื่น
อสงฺคหิตํ ~หมวดธรมที่ไม่สงเคราะห์เข้ากัน คือเมื่อกล่าวถึงบททั้งหลายที่ละเว้นไว้ ย่อประมวลความโดยย่อว่า หมวดธรรมที่สัมปยุตประกอบกันก็ดี หมวดธรรมที่วิปยุตไม่ประกอบกันก็ดี ย่อมสงเคราะห์เข้ากันได้บ้าง สงเคราะห์เข้ากันมิได้บ้าง เช่น ไปสวดธรรมที่วิปยุตไม่ประกอบกับรูปขันธ์ คือพวกนามขันธ์ ๔ ก็สงเคราะห์เข้ากันกับนามขันธ์ทั้ง ๔ แต่ไม่สงเคราะห์เข้ากันกับรูปขันธ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, มิถุนายน, 2568, 10:19:53 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปุคฺคลปญฺญตฺติ= เป็นคัมภีร์ที่ ๔ สวดเป็นภาษาบาลี ได้แก่
ฉ ปญฺญตฺติโย ~บัญญัติ คือการแสดงประกาศแต่งตั้งทั้งหลาย ๖
ขนฺธติปญฺญตฺ ~บัญญัติว่า ขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า อายตนะ
ธาตุปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า ธาตุ
สจฺจปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า สัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า อินทรีย์
ปุคฺคลปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า บุคคล
กิตฺตาวตา ปุคคลานํ ปุคฺคลปญฺญตฺติ ~บัญญัติซึ่งบุคคลทั้งหลายว่า เป็นบุคคล กำหนดประมาณเท่าไร
สมยวิมุตฺโต ~บุคคลผู้พ้นแล้วโดยสมัย คือบุคคลผู้ได้วิโมกข์ หรือสมาบัติ ๘ ตามกาล ตามสมัย และมีอาสวะบางเหล่าสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอริยบุคคล ๓ จำพวกเบื้องต้นผู้ได้สมาบัติ ๘
อสมยวิมุตฺโต ~บุคคลผู้พ้นโดยไม่มีสมัย คือบุคคลผู้มิได้มีวิโมกข์ ๘ ตามกาล ตามสมัย แต่มีอาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอรหันต์ สุกขวิปัสสก อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอสมยวิมุตต์ เพราะได้อริยวิโมกข์ตามลำดับขั้น อริยวิโมกข์ไม่มีสมัยกำเริบอีกได้
กุปฺปธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ มีฐานะโอกาสจะอาศัยความประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้
อกุปฺปธมฺโม ~บุคคลอันมีธรรมอันไม่กำเริบได้ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติคล่องแคล่วชำนาญ ไม่มีฐานะโอกาสจะประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้ ได้แก่พระอนาคามีและพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ อีกอย่างหนึ่งพระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอกุปปธัมมะ เพราะอริยวิโมกข์ของท่านเป็นธรรมไม่กำเริบอีกได้
ปริหานธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังเสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบได้นั่นแล
อปริหานธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบได้นั่นแล
เจตนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อม เพราะเจตนาเอาใจใส่ คือ บุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ เมื่อเอาใจใส่อยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
อนุรกฺขนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อมด้วยคอยรักษาไว้ คือบุคคลได้รูปสมาบัติหรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญเมื่อคอยรักษาอยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
ปุถุชฺชโน ~บุคคลผู้เป็นปุถุชนมีกิเลสเกิดหนาแน่น คือบุคคลผู้ยังละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นยังไม่ได้ และไม่ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เหล่านั้น
โคตฺรภู ~บุคคลผู้ถึงญาณครอบโคตร คือบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมก่อน แต่จะก้าวเข้าสู่อริยธรรม โดยไม่มีธรรมอื่นขั้นระหว่าง ได้แก่ผู้ล่วงโคตร คือมณฑลบัญญัติปุถุชน จะย่างสู่โคตรอริยชน กำลังอยู่ในภาวะที่มิใช่ปุถุชน มิใช่อริยชน
ภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความกลัว ได้แก่พระเสขบุคคล ๗ และปุถุชนผู้มีศีล ปุถุชนกลัวภัย ๔ คือทุคคติภัย ภัยคือทุคคติ วัฏฏภัย ภัยคือวน กิเลส กรรม วิบาก กิเลสภัย ภัยคือกิเลส อุปวาทภัย ภัยคือความติเตียน จึงงดเว้นบาป พระเสขบุคคลแม้ตั้งอยู่ในอริยมรรค อริยผล ก็ยังกลัวภัย ๓ เว้นทุคคติภัย
อภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความไม่กลัว ได้แก่พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ตัดภัยได้เด็ดขาด
ภพฺพาคมโน ~บุคคลผู้ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์เครื่องกั้น คือกรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ ไม่ประกอบด้วยกิเลสสาวรณ์ เครื่องกั้นคือกิเลส ได้แก่ นิตยมิจฉาทิฏฐิไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือวิบาก ได้แก่อเหตุกปฏิสนธิ และทุเหตุกปฏิสนธิ เป็นผู้มีศรัทธา มีฉันทะ มีปัญญา ไม่บ้าใบ้เป็นภัพพบุคคล สมควรบรรลุมรรคผลได้
อภพฺพาคมโน ~บุคคลผู้ไม่ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ประกอบด้วยเครื่องกั้น ๓ อย่างนั้น เป็นผู้ปราศจากศรัทธาเป็นต้น เป็นอภัพพบุคคล ไม่สมควรบรรลุมรรคผล
นิยโต ~บุคคลผู้เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลทำอนันตริยกรรม ๕ และบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ๒ จำพวก เที่ยงแน่แท้ที่จะไปสู่นรก พระอริยบุคคล ๘ จำพวก เที่ยงแน่แท้ต่อมรรคผลสูง ๆขึ้นไป และเที่ยงแน่แท้ต่อ อนุปปาทาปรินิพพาน
อนิยโต ~บุคคลผู้ไม่เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลนอกจากนิยตบุคคลเหล่านั้นเพราะมีคติไม่แน่นอน
ปฏิปนฺนโก ~บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ได้แก่ตั้งอยู่แล้วในมรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น
ผเลฏฺฐิโต ~บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยผล ๔ มีโสดาปัตติผลเป็นต้น


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, มิถุนายน, 2568, 07:33:32 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

อรหา ~บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ด้วยการละโดยไม่มีส่วนเหลือ
อรหตฺตาย ปฏิปนฺโน ~บุคคลปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เบื้องปลายทั้ง ๔ มี รูปราคะเป็นต้น
ขนฺธติปญฺญตฺ=ขันธบัญญัติ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นหมวดหมู่กันว่าเป็นขันธ์มี ๕ คือ (๑)รูปขันธ์ (๒)เวทนาขันธ์ (๓)สัญญาขันธ์ (๔)สังขารขันธ์ (๕)วิญญาณขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ=คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นบ่อเกิดว่าเป็นอายตนะมี ๑๒ คือ
(๑)จักขายตนะ -อายตนะ คือ ตา (๒)รูปายตนะ - อายตนะ คือ รูป (๓)โสตายตนะ - อายตนะ คือ หู (๔)สัททายตนะ -อายตนะ คือ เสียง (๕)ฆานายตนะ -อายตนะ คือ จมูก (๖)คันธายตนะ -อายตนะ คือ กลิ่น (๗)ชิวหายตนะ -อายตนะ คือ ลิ้น (๘)รสายตนะ-อายตนะ คือ รส (๙)กายายตนะ -อายตนะ คือ กาย (๑๐)โผฏฐัพพายตนะ - อายตนะ คือ สิ่งที่สัมผัส(เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) (๑๑)มนายตนะ  -อายตนะ คือ ใจ (๑๒)ธัมมายตนะ - อายตนะ คือ ธรรมารมณ์(สิ่งที่ใจคิด)           
ธาตุปญฺญตฺติ=ธาตุบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่ทรงตัวอยู่ว่าเป็นธาตุ มี ๑๘ คือ
(๑)จักขุธาตุ (๒)รูปธาตุ (๓)จักขุวิญญาณธาตุ (๔)โสตธาตุ (๕)สัททธาตุ (๖)โสตวิญญาณธาตุ (๗)ฆานธาตุ (๘)คันธธาตุ (๙)ฆานวิญญาณธาตุ  (๑๐)ชิวหาธาตุ (๑๑)รสธาตุ   (๑๒)ชิวหาวิญญาณธาตุ (๑๓)กายธาตุ (๑๔)โผฏฐัพพธาตุ (๑๕)กายวิญญาณธาตุ (๑๖)มโนธาตุ (๑๗)ธัมมธาตุ  (๑๘)มโนวิญญาณธาตุ           
สจฺจปญฺญตฺติ=สัจจบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นความจริงว่าเป็นสัจจะ มี ๔ คือ
(๑)ทุกขสัจจะ (๒)สมุทยสัจจะ (๓)นิโรธสัจจะ   (๔)มัคคสัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ=อินทริยบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นใหญ่ในการทำกืจของตนมี ๒๒ คือ
(๑)จักขุนทรีย์ -อินทรีย์ คือ จักขุปสาท (๒)โสตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โสตปสาท (๓)ฆานินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ฆานปสาท (๔)ชิวหินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ชิวหาปสา (๕)กายินทรีย์ -อินทรีย์ คือ กายปสาท (๖)มนินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ใจ ได้แก่ จิต ที่จำแนกเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ก็ตาม (๗)อิตถินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อิตถีภาวะ (๘)ปุริสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ปุริสภาวะ (๙)ชีวิตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ชีวิต (๑๐)สุขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สุขเวทนา (๑๑)ทุกขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ทุกขเวทนา (๑๒)โสมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โสมนัสสเวทนา (๑๓)โทมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โทมนัสสเวทนา (๑๔)อุเปกขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อุเบกขาเวทนา (๑๕)สัทธินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ศรัทธา (๑๖)วิริยินทรีย์ -อินทรีย์ คือ วิริยะ (๑๗)สตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สติ (๑๘)สมาธินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตา (๑๙)ปัญญินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ปัญญา (๒๐)อนัญญาตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ -อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ (๒๑)อัญญินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ ๖ ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ (๒๒)อัญญาตาวินทรีย์ -อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ
ปุคฺคลปญฺญตฺติ=บุคคลบัญญัติ คือคัมภีร์ที่ ๔ ใน อภิธรรม ๗ คัมภีร์ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
ฉ ปญฺญตฺติโย ~บัญญัติ คือการแสดงประกาศแต่งตั้งทั้งหลาย ๖
ขนฺธติปญฺญตฺ ~บัญญัติว่า ขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า อายตนะ
ธาตุปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า ธาตุ
สจฺจปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า สัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า อินทรีย์
ปุคฺคลปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า บุคคล
กิตฺตาวตา ปุคคลานํ ปุคฺคลปญฺญตฺติ ~บัญญัติซึ่งบุคคลทั้งหลายว่า เป็นบุคคล กำหนดประมาณเท่าไร
สมยวิมุตฺโต~บุคคลผู้พ้นแล้วโดยสมัย คือบุคคลผู้ได้วิโมกข์ หรือสมาบัติ ๘ ตามกาล ตามสมัย และมีอาสวะบางเหล่าสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอริยบุคคล ๓ จำพวกเบื้องต้นผู้ได้สมาบัติ ๘
อสมยวิมุตฺโต ~ บุคคลผู้พ้นโดยไม่มีสมัย คือบุคคลผู้มิได้มีวิโมกข์ ๘ ตามกาล ตามสมัย แต่มีอาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอรหันต์ สุกขวิปัสสก อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอสมยวิมุตต์ เพราะได้อริยวิโมกข์ตามลำดับขั้น อริยวิโมกข์ไม่มีสมัยกำเริบอีกได้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, มิถุนายน, 2568, 06:46:54 AM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๙) ๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

กุปฺปธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ มีฐานะโอกาสจะอาศัยความประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้
อกุปฺปธมฺโม ~บุคคลอันมีธรรมอันไม่กำเริบได้ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติคล่องแคล่วชำนาญ ไม่มีฐานะโอกาสจะประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้ ได้แก่พระอนาคามีและพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ อีกอย่างหนึ่งพระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอกุปปธัมมะ เพราะอริยวิโมกข์ของท่านเป็นธรรมไม่กำเริบอีกได้
ปริหานธมฺโม ~ บุคคลผู้มีธรรมยังเสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบได้นั่นแล
อปริหานธมฺโม ~ บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบได้นั่นแล
เจตนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อม เพราะเจตนาเอาใจใส่ คือ บุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ เมื่อเอาใจใส่อยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
อนุรกฺขนาภพฺโพ ~ บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อมด้วยคอยรักษาไว้ คือบุคคลได้รูปสมาบัติหรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญเมื่อคอยรักษาอยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
ปุถุชฺชโน ~ บุคคลผู้เป็นปุถุชนมีกิเลสเกิดหนาแน่น คือบุคคลผู้ยังละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นยังไม่ได้ และไม่ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เหล่านั้น
โคตฺรภู ~ บุคคลผู้ถึงญาณครอบโคตร คือบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมก่อน แต่จะก้าวเข้าสู่อริยธรรม โดยไม่มีธรรมอื่นขั้นระหว่าง ได้แก่ผู้ล่วงโคตร คือมณฑลบัญญัติปุถุชน จะย่างสู่โคตรอริยชน กำลังอยู่ในภาวะที่มิใช่ปุถุชน มิใช่อริยชน
ภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความกลัว ได้แก่พระเสขบุคคล ๗ และปุถุชนผู้มีศีล ปุถุชนกลัวภัย ๔ คือ ทุคคติภัย(กลัวภัยจากวิบากของการทำชั่วทั้ง กาย วาจา ใจ), วัฏฏภัย (ภัยคือวน กิเลส กรรม วิบาก) กิเลสภัย(ภัย คือกิเลส), อุปวาทภัย(ภัยคือความติเตียน) จึงงดเว้นบาป พระเสขบุคคลแม้ตั้งอยู่ในอริยมรรค อริยผล ก็ยังกลัวภัย ๓ เว้นทุคคติภัย
อภยูปรโต ~ บุคคลผู้งดเว้นเพราะความไม่กลัว ได้แก่พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ตัดภัยได้เด็จขาด
ภพฺพาคมโน ~ บุคคลผู้ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์เครื่องกั้น คือกรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ ไม่ประกอบด้วยกิเลสสาวรณ์ เครื่องกั้นคือกิเลส ได้แก่ นิตยมิจฉาทิฏฐิไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือวิบาก ได้แก่ อเหตุกปฏิสนธิ และทุเหตุกปฏิสนธิ เป็นผู้มีศรัทธา มัฉันทะ มีปัญญา ไม่บ้าใบ้เป็นภัพพบุคคล สมควรบรรลุมรรคผลได้
อภพฺพาคมโน ~ บุคคลผู้ไม่ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ประกอบด้วยเครื่องกั้น ๓ อย่างนั้น เป็นผู้ปราศจากศรัทธาเป็นต้น เป็นอภัพพบุคคล ไม่สมควรบรรลุมรรคผล
นิยโต ~ บุคคลผู้เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลทำอนันตริยกรรม ๕ และบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ๒ จำพวก เที่ยงแน่แท้ที่จะไปสู่นรก พระอริยบุคคล ๘ จำพวก เที่ยงแน่แท้ต่อมรรคผลสูง ๆขึ้นไป และเที่ยงแน่แท้ต่อ อนุปปาทาปรินิพพาน
อนิยโต ~ บุคคลผู้ไม่เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลนอกจากนิยตบุคคลเหล่านั้นเพราะมีคติไม่แน่นอน
ปฏิปนฺนโก ~บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ได้แก่ตั้งอยู่แล้วในมรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น
ผเลฏฺฐิโต ~บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยผล ๔ มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
อรหา ~ บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ด้วยการละโดยไม่มีส่วนเหลือ
อรหตฺตาย ปฏิปนฺโน ~ บุคคลปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เบื้องปลายทั้ง ๔ มี รูปราคะเป็นต้น
พระเสขบุคคล= คือ บุคคลยังต้องศึกษาอีก เพื่อดับกิเลส
พระเสขะ ๗=คือ บุคคล ๗ ประเภท ได้แก่ โสดาปัตติมรรค, โสดาปัตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคมิผล, อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหันตมรรค
อนันตริยกรรม =คือ กรรมหนักที่สุด ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี ๕ อย่าง คือ (๑)มาตุฆาต - ฆ่ามารดา (๒)ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา (๓)อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์ (๔)โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป (เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล) (๕)สังฆเภท - ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, มิถุนายน, 2568, 08:20:13 PM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ผู้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ ๘ เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์
ภัพพสัตว์ =เหล่าสัตว์ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น
อภัพพสัตว์ =เหล่าสัตว์ที่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น   
กิเลสสาฯ=กิเลสสาวรณ์  คือ เครื่องกั้นเป็น กิเลส ได้แก่ นิตยมิตฉาทิฏฐิ คือ ความเป็นผุ้มีความเห็นผิดที่ดิ่ง เช่น ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม เป็นต้น มีความเห็นผิดที่มีกำลังเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ความเห็นผิดที่เป็นกิเลสนี้เองที่เป็นเครื่องกั้นการบรรลุ มรรคผล ไม่สามารถบรรลุได้ จึงเป็นอภัพพสัตว์ เพราะด้วยอำนาจกิเลส คือ ความเห็นผิด
วิปาฯ=วิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือ วิบาก หมายถึง ปฏิสนธิจิต คือ การเกิด บุคคลที่เกิดมาด้วยปฏิสนธิจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ในชาตินั้น
อนุปาฯ=อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การบรรลุนิพพาน ของพระอรหันต์ ซึ่งละ อาสวะกิเลสสิ้นพร้อมขันธ์ห้า แตกทำลาย สิ้นชีพลง
มรรค ๔= ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด ได้แก่
(๑)โสดาปัตติมรรค -มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพานทีแรก, มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส
(๒)สกทาคามิมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น กับทำราคะ, โทสะ, โมหะ, ให้เบาบางลง
(๓)อนาคามิมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอนาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง ๕
(๔)อรหัตตมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐
ผล ๔=คือ ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค, ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆ ได้แก่
(๑)โสดาปัตติผล -ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย
(๒)สกทาคามิผล -ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย
(๓)อนาคามิผล -ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย
(๔)อรหัตตผล -ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย
สังโยชน์ ๑๐ =คือกิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล ได้แก่
       ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ
(๑)สักกายทิฏฐิ -ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน
(๒)วิจิกิจฉา -ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ
(๓)สีลัพพตปรามาส -ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร
(๔)กามราคะ -ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ
(๕)ปฏิฆะ -ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
       ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง
(๖)รูปราคะ -ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ
(๗)อรูปราคะ -ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ
(๘)มานะ -ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
(๙)อุทธัจจะ -ความฟุ้งซ่าน
(๑๐)อวิชชา -ความไม่รู้จริง, ความหลง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ ข้อ ๑,๒,๓; พระสกิทาคามี ละ สังโยชน์ ข้อ ๑,๒,๓ และ ทำสังโยชน์ข้อ ๔,๕ ให้เบาบาง; พระอนาคามี ละ สังโยชน์ได้ ๕ ข้อ คือ ๑,๒,๓,๔,๕; พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ ๑๐ ข้อ ตั้งแต่ ข้อ ๑-๑๐


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, มิถุนายน, 2568, 11:09:07 AM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

กถาวตฺถุ=เป็นคัมภีร์ที่ ๕ ใน ๗ พระคัมภีร์ มีคำสวดเป็น ภาษา บาลี ดังนี้
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ สกวาที ถามว่า สัตว์ บุคคล ชายหญิงย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์หรือ
อามนฺตา ~ ปรวาที ตอบว่า ย่อมมีได้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึง สัตว์บุคคล ชายหญิงไว้ในพระสูตร โดยสมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมุติ
โย สจฺฉิกตฺโถ ปรมตฺโถ ตโต โส ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ สกวาที ถามว่า อรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่งสูงสุดคือปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์นั้นหรือ
น เหวํ วตฺตพฺเพ ~ ปรวาที ตอบว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้นเลย เพราะสัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นไม่มีได้โดยปรมัตถ์สัจจะ คือความจริงโดยปรมัตถ์
อาชานิ นิคฺคหํ ~สกวาทีกล่าวว่า ท่านจงยอมรับนิคคหะโทษ ควรข่มขี่ เพราะคำต้นกล่าวรับรองแล้ว แต่คำหลังกลับกล่าวปฏิเสธ
หญฺจิ ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถน ~ ถ้าสัตว์ บุคคล ชาย หญิง ย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ไซร้
เตน วต วตฺตพฺเพ โย สจฺฉิกตฺโถ ตโต โส ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุนั้นแล พึงกล่าวว่าอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่ง คือปรมัตถ์นั้น
มิจฺฉา ~ สัตว์ บุคคล ชาย หญิงซึ่งท่านปรวาทีกล่าวแล้วในข้อนั้น ท่านกล่าวรับรองในปัญหาต้นว่า สัตว์ บุคคล ชาย หญิง ย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถ อย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ แต่ท่านกลับไม่กล่าวรับรองในปัญหาหลังว่า อรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่ง คือ ปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้ โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดย อรรถอย่างยิ่ง คือปรมัตถ์นั้น คำของท่านนี้จึงผิด เพราะขัดแย้งกันเอง ถ้าจะไม่พึงกล่าวรับรองในปัญหาหลัง ก็ไม่พึงกล่าวรับรองในปัญหาต้นเสียก่อน ฉะนั้นสัตว์บุคคลชายหญิงซึ่งท่านกล่าวแล้ว อันท่านกล่าวรับรองในปัญหาต้น แต่ไม่กล่าวรับรองในปัญหาหลัง จึงผิดพลาดขัดแย้งกัน
นิคหกรรม =แปลว่า การข่ม เป็นวิธีการลงโทษภิกษุตามพระธรรมวินัยเพื่อให้เข็ดหลาบ นิคหกรรม ใช้สำหรับลงโทษภิกษุผู้ทำเสียหาย เช่นก่อการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ทำความอื้อฉาว มีศีลวิบัติ ติเตียนพระรัตนตรัย เล่นคะนอง ประพฤติอนาจาร ลบล้างพระบัญญัติ ประกอบมิจฉาชีพเป็นต้น นิคหกรรม เป็นกิจที่พึงทำอย่างหนึ่งของผู้ปกครองหมู่คณะ เป็นคำคู่กับปัคหะคือการยกย่อง ทั้งสองอย่างนี้เป็นเครื่องมือในการปกครอง มีความสำคัญเท่าๆ กัน ทั้งนี้เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์ เมื่อมีผู้ประพฤติมิชอบ สมควรแก่นิคหกรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานอนุญาตให้สงฆ์ทำนิคหกรรมแก่ผู้นั้นตามพระธรรมวินัย
ยมก =คือ คัมภีร์ที่ ๖ ว่าด้วยธรรมะที่เป็นคู่ โดยจัดธรรมะเป็นคู่ๆ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
เย เกจิ กุสลา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
สพฺเพ เต กุสลมูลา ~ธรรมทั้งหลายนั้นเป็นกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทั้งสิ้น
เย วา ปน กุสลมูลา ~ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเป็นกุศลมูล
สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกุศลทั้งสิ้น
เย เกจิ กุสลา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
สพฺเพ เต กุสลมูเลน ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นทั้งสิ้น มีมูลเป็น
เอกมูลา ~ อันเดียวกันกับกุศลมูล
เย วา ปน กุสลมูเลน ~ ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใดมีมูลเป็น
เอกมูลา อันเดียวกันกับกุศลมูล
สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกุศลทั้งสิ้น
กรรม ๒ =กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ (๑)อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล (๒)กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล
กุศลมูล= คือ รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
(๑)อโลภะ - ไม่โลภ (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์คือ จาคะ)
(๒)อโทสะ -ไม่คิดประทุษร้าย (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ เมตตา)
(๓)อโมหะ -ไม่หลง (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์คือ ปัญญา)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, มิถุนายน, 2568, 06:59:16 PM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปัฏฐาน=คือ คัมภีร์ที่ ๗ ว่าด้วย "ที่ตั้ง คือปัจจัย ๒๔" แสดงว่าอะไรเป็นปัจจัยของอะไรในทางธรรม มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
ปฏฺฐาน เหตุปจฺจโย ~ เหตุเป็นปัจจัย เหตุที่ตั้งอยู่เฉพาะแห่งผล มี ๖ อย่าง ได้แก่
อกุศลเหตุ ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
อกุศลเหตุเป็นปัจจัยแดนเกิดแห่งผล คืออุดหนุนให้เกิดนาม รูป หรือ จิต เจตสิก และรูปฝ่ายอกุศล กุศลเหตุเป็นปัจจัยแห่งนามรูปฝ่ายกุศล เหมือนอย่างรากแก้วของต้นไม้ใหญ่ เป็นที่ตั้งอยู่ได้ของต้นไม้ และช่วยอุหนุนต้นไม้ให้งอกงาม
อารมฺมณปจฺจโย ~ อารมณ์เป็นปัจจัย อารมณ์เป็นเรื่องเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วง มี ๖ อย่าง ได้แก่ (๑)รูปารมณ์ -อารมณ์คือรูป (๒)สัททารมณ์ -อารมณ์คือเสียง (๓)คันธารมณ์- อารมณ์คือกลิ่น (๔)รสารมณ์ -อารมณ์คือรส (๕)โผฏฐัพารมณ์ -อารมณ์คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง (๖)ธัมมารมณ์ -อารมณ์คือ ธรรม ได้แก่เรื่องของรูปเป็นต้น ที่ได้ประสบแล้วในอดีต
อารมณ์เหล่านั้นเป็นปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการเหล่านั้น เพราะจิตและเจตสิกทั้งปวงต้องอาศัยยึดหน่วงอารมณ์จึงเกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างคนชราหรือทุพพลต้องอาศัยไม้เท้าหรือเชือกเป็นเครื่องยึดหน่วง จึงทรงตัวลุกขึ้นเดินไปได้
เจตสิก=การแสดงออกของจิต
อธิปติปจฺจโย ~ อธิบดีเป็นปัจจัย อธิบดีคือธรรมที่เป็นใหญ่กว่าสัมปยุตตธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับตน แบ่งเป็น
อารัมมณาธิปติ -อธิบดีคืออารมณ์ชนิดที่น่าปรารถนาอย่างแรง
สหชาตาธิปติ -อธิบดีคือธรรมที่เกิดร่วมกัน มี ๔ อย่างคือ (๑)ฉันทาธิปติ -อธิบดีคือฉันทะเจตสิก ความพอใจที่เกิดขึ้นในใจ (๒)วิริยาธิปติ -อธิบดี คือวิริยะเจตสิก ความเพียรที่เกิดขึ้นในใจ (๓)จิตตาธิปติ -อธิบดี คือความเอาใจใส่จดจ่อ (๔)วิมังสาธิปติ -อธิบดีปัญญาเจตสิก ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาเกิดขึ้นในใจ
อารมณ์อย่างแรงเป็นอธิปติปัจจัย เพราะทำให้นามธรรม คือจิตและเจตสิกน้อมไปยึดอย่างหนักหน่วง ส่วน อธิบดี ๔ มีฉันทะเป็นต้น เป็นอธิปติปัจจัยเพราะสามารถยังธรรม ซึ่งเกิดร่วมกับตน และนามธรรมอื่นซึ่งไม่สามารถจะเป็นอธิบดีได้ ให้น้อมไปตามอำนาจของตน
อนนฺตรปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่นเป็นปัจจัย คือสามารถยังจิตตุปบาท (ความเกิดแห่งจิต) อันสมควรกันให้เกิดขึ้นในลำดับของตน ได้แก่ นามธรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดก่อน เป็นปัจจัยอุดหนุนแก่นามธรรม คือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง ได้แก่ช่วยอุปการะให้เกิดขึ้นสืบต่อกันไปโดยไม่ว่างเว้น คือไม่มีระหว่างคั่นเว้นไว้แต่จุติจิตของพระอรหันต์
สมนนฺตรปจฺจโย ~ธรรมที่เกิดเป็นลำดับสืบต่อกันเรื่อยไป ไม่มีธรรมอื่นมาคั่นระหว่างเลยทีเดียวเป็นปัจจัย ได้แก่นามธรรมที่เกิดก่อนเป็น สมนันตรปัจจัยแก่นามธรรมที่เกิดภายหลัง คล้ายกับอนัตรปัจจัย
สหชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดร่วมเป็นปัจจัย คือ ธรรมที่เกิดร่วมกันต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนกันเอง ด้วยอำนาจที่ยังธรรมที่เกิดร่วมกันให้เกิดพร้อมกัน เพราะเมื่อตนไม่เกิด แม้ธรรมที่เกิดร่วมกันก็ไม่เกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างดวงไฟเกิดพร้อมกับแสงไฟ เมื่อไม่มีดวงไฟ แสงไฟก็มีขึ้นไม่ได้ เช่น นามขันธ์ ๔ มหาภูตรูป ๔ ปฏิสนธิหทัยวัตถุ เป็นสหชาตปัจจัย
นามขันธ์ ๔=ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
มหาภูตรูป ๔=ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ปฏิสนธิหทัยวัตถุ=กำเนิดที่ตั้งของใจ
อญฺญมญฺญปจฺจโย ~ ธรรมแต่ละอย่างต่างต้องอาศัยกันและกันเป็นปัจจัย คือธรรมที่เป็นอุปการะโดยอุดหนุนกันและกันให้เกิดขึ้น เหมือนอย่างไม้ ๓ อัน ต่างพิงอาศัยกันจึงตั้งอยู่ได้ ได้แก่นามขันธ์ ๔ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๔ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น ปฏิสนธินามขันธ์ ๔ และปฏิสนธิหทัยวัตถุ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น
นิสฺสยปจฺจโย ~ ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นนิสัยที่อาศัย คือเป็นที่อาศัยโดยอธิษฐานการ คืออาการที่ตั้งมั่น ๑ เป็นที่อาศัยโดยนิสสยาการ คืออาการที่อ้างอิงอาศัย ๑ ธรรมเป็นนิสัยปัจจัยที่อาศัยโดยอาการที่ตั้งมั่นนั้นได้แก่ปฐวีธาตุ เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งธาตุอื่น วัตถุ ๖ มีจักขุเป็นต้น เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น เหมือนอย่างแผ่นดินที่อาศัยตั้งมั่นของต้นไม้เป็นต้นบนแผ่นดิน ธรรมเป็นนิสัยที่อาศัยโดยอาการที่อิงอาศัยนั้น ได้แก่นามขันธ์ ๔ เป็นที่อิงอาศัยกันและกัน อาโป เตโช วาโยก็เหมือนกัน เหมือนอย่างแผ่นผ้าเป็นที่อาศัยแห่งจิตกรรมภาพวาดเขียน   


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, มิถุนายน, 2568, 09:32:15 AM

ต่อหน้า ๑๖/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

อุปนิสฺสยปจฺจโย ~ ธรรม เป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า ได้แก่อารมณ์อย่างแรงกล้า เหมือนอย่างอารมณ์ที่เป็นอธิปติปัจจัยเป็นที่อาศัย อย่างแรงกล้าให้เกิดธรรมที่เกิดจากอารมณ์นั้นเป็นปัจจัย เรียกว่าอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้าคือ อารมณ์ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับ ไม่มีระหว่างคั่นอย่างแรงกล้าเหมือนอย่าง อนันตรปัจจัย เป็นอุปนิสสยปัจจัยให้เกิดธรรมที่เกิดจากธรรมนั้นเป็นปัจจัยโดยไม่มีระหว่างคั่น เรียกว่า อนันตรูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่น เหตุที่มาจนเป็นปกตินิสัยแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยอารัมณปัจจัย เป็นเหตุที่ตนทำให้เกิดขึ้นเอง เช่นกุศลธรรม อกุศลธรรมต่างๆ ก็ดี เป็นเหตุฝ่ายกุศลและอกุศล ที่เนื่องจากการเสวนาซ่องเสพบุคคลและอาหารเป็นต้นของตนก็ดี เรียกว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือเหตุที่ทำมาจนเป็นอุปนิสัยแล้ว
ปุเรชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดก่อนเป็นปัจจัย คือธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังคงมีอยู่ไม่ดับไป ได้แก่รูปธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตและเจตสิกให้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์เกิดขึ้นก่อนยังไม่ดับ สัตว์โลกทั้งหลายจึงได้อาศัยเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ในโลก
ปจฺฉาชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัย ได้แก่นามธรรมคือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง เป็นปัจจัยปัจจัยอุดหนุนแก่รูปธรรมที่เกิดก่อนให้ตั้งอยู่ได้จนครบอายุ อายุของรูปธรรมเท่ากับอายุของจิต ๑๗ ดวง รูปธรรมที่เกิดก่อนจะตั้งอยู่ได้ตลอด ๑๗ ขณะจิตนี้ ก็เพราะจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลังอุปถัมภ์ให้ตั้งอยู่และให้เจริญ มีอุปมาเหมือนอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้ว จะตั้งอยู่และเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยน้ำฝนที่ ตกลงมา หรือเอาน้ำรดในภายหลัง หรือมีอุปมาเหมือนอย่างลูกนกแร้งที่ยังเล็ก บินไปหาอาหารมิได้ ก็ได้อาศัยเจตนาที่หวังอาหารนั่นเองบำรุงเลี้ยง จนกว่าจะบินออกไปหาอาหารเองได้
อาเสวนปจฺจโย ~ ธรรมที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัย ได้แก่โลกิยชวนจิตที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชื่อว่าเสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นเชื้อสายชาติเดียวกันให้เกิดขึ้น เช่นเมื่อกุศลชวนจิตดวง ๑ เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกุศลชวนจิตชนิดเดียวกันให้เกิดขึ้นเป็นดวงที่ ๒ เป็นปัจจัยอุดหนุนต่อกันไปดังนี้ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นตัวเจตนาลงสันนิษฐานให้สำเร็จกิจอย่างหนึ่ง ๆ เหมือนอย่างบุคคลที่เรียนวิชาใดอย่างหนึ่งมาแล้ว ย่อมเรียนวิชาอย่างเดียวกันต่อขึ้นไปได้ง่าย และเร็วขึ้นจนกระทั่งสำเร็จการเรียนวิชาอย่างนั้น
กมฺมปจฺจโย ~ กรรมเป็นปัจจัย กรรมได้แก่เจตสิกธรรม คือเจตนา ความจงใจ เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงจิต เจตสิกธรรมที่เกิดในจิต กัมมชรูป รูปที่เกิดแต่กรรม และจิตตชรูป รูปที่เกิดแต่จิต ที่เกิดรวมกันเป็นสหชาตธรรม เช่นเมื่อจิตและเจตสิกรับรูปารมณ์เป็นต้น เกิดโลภจิตขึ้น กรรมคือเจตนาที่เป็นสหชาตเกิดร่วมอยู่ด้วย ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงโลภจิตนั้นให้เข้ารับรูปารมณ์เต็มที่ เป็นเหตุให้แสดงอาการของโลภะออกมาทางกายวาจา ด้วยอำนาจโลภมูลเจตนา อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่เป็น นานาขณิกะเกิดขึ้นในขณะต่าง ๆกัน เป็นปัจจัยเพาะพืชพันธุ์ไว้ เมื่อกุศลเจตนา และอกุศลเจตนาเกิดขึ้นพร้อมกับจิตนั้นดับไปแล้ว กรรมคือ (๔)วิญญาณาหาร -อาหารคือวิญญาณ
สามข้อ(หลัง)นี้เป็นนามอาหาร เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยตน และอุดหนุนจิตตชรูปและปฏิสนธิกัมม


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, มิถุนายน, 2568, 06:39:27 PM

(ต่อหน้า ๑๗/๑๙)๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

อินฺทฺริยปจฺจโย ~ อินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมที่เป็นใหญ่ คือกระทำซึ่งความเป็นใหญ่ยิ่งชื่อว่าอิทรีย์ มี ๒๒ คือ (๑)จักขุนทรีย์ -อินทรีย์ คือ ตา (๒)โสตินทรีย์ -อินทรีย์คือ หู (๓)ฆานินทรีย์ -อินทรีย์ คือจมูก (๔)ชิวหินทรีย์ -อินทรีย์ลิ้น (๕)กายินทรีย์ -อินทรีย์คือกาย (๖)มนินทรีย์ -อินทรีย์คือใจ (๗)อิตถินทรีย์ -อินทรีย์คือหญิง (๘)ปุริสินทรีย์ -อินทรีย์คือชาย (๙)ชีวิตินทรีย์ -อินทรีย์คือชีวิต (๑๐)สุขินทรีย์ -อิทรีย์คือสุข (๑๑)ทุกขินทรีย์ -อินทรีย์คือทุกข์ (๑๒)โสมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโสมนัส (๑๓)โทมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโทมนัส (๑๔)อุเปกขินทรีย์ -อินทรีย์คืออุเบกขา (๑๕)สัทธินทรีย์ -อินทรีย์คือศรัทธา (๑๖)วิริยินทรีย์ -อินทรีย์คือเพียร (๑๗)สตินทรีย์ -อินทรีย์คือสติ (๑๘)สมาธินทรีย์ -อินทรีย์คือสมาธิ (๑๙)ปัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือปัญญา(๒๐)อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ - อินทรีย์คือโสดาปัตติมรรค (๒๑)อัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตมรรค (๒๒)อัญญาตาวินทรีย์ -อินทรีย์คืออรหัตผล
อินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๆ เช่นตา ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการเห็นรูป และยกเว้นอิตถีภาวะเสีย เหลือ ๒๐ เป็นปัจจัยและเป็นผลแห่งปัจจัยของกันและกัน
ฌานปจฺจโย ~ ฌานเป็นปัจจัย ฌานคือการเพ่งอารมณ์อย่างแน่วแน่ประกอบด้วยองค์เป็นปฐม คือ วิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา เป็นปัจจัยอุดหนุนนามขันธ์ ๔ และจิตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป ที่เกิดพร้อมกับตน อีกอย่างหนึ่ง ฌานมี ๒ คือ (๑)อารมมณูปนิชฌาน- เพ่งอารมณ์ทางสมถภาวนา (๒)ลักขณูปนิชฌาน เพ่งลักษณะทางวิปัสสนาภาวนา
คือไตรลักษณ์ต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนตามอำนาจของตน
มคฺคปจฺจโย ~ มรรคเป็นปัจจัย มรรคคือธรรมที่เป็นประดุจหนทาง เพราะเป็นธรรมนำให้มุ่งหน้าไปสู่สุคติ ทุคติ และนิพพาน องค์มรรค ๙ได้แก่
(๑)ปัญญา (๒)วิตก (๓)สัมมาวาจา (๔)สัมมากัมมันตะ (๕)สัมมาอาชีวะ (๖)วิริยะ (๗)สติ (๘)เอกัคคตา (๙)ทิฏฐิ
องค์มรรคเหล่านี้ เว้น ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)ข้อที่ ๙; เหลือ ๘ เป็นฝ่ายกุศล; องค์มรรค ๔ คือ วิตก วิริยะ เอกัคคตา ทิฏฐิ เป็นฝ่ายอกุศล; และองค์มรรค ๘ ฝ่ายอัพยากฤต เป็นปัจจัยอุดหนุนให้ไปสู่ สุคติ ทุคติ และ นิพพานตามประเภท และอุดหนุนสหชาตธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับตนให้ ไปสู่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันตน และ ให้ทำกิจ ตามหน้าที่ของตนๆ
สมฺปยุตฺตปจฺจโย ~ ธรรมที่สัมปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ประกอบพร้อมกัน ๔ ประการ คือธรรม ๒ อย่าง
(๑)เมื่อเวลาเกิด ก็เกิดพร้อมกัน
(๒)เมื่อเวลาดับ ก็ดับพร้อมกัน
(๓)มีอารมณ์เป็นอันเดียวกัน
(๔)มีที่อาศัยอันเดียวกัน
เรียกสัมปยุต ได้แก่ จิต และ เจตสิก ที่เป็นนามธรรมด้วยกัน เป็นปัจจัย และผลของปัจจัยของกันและกัน แม้จะมีหน้าที่ ต่างกันแต่ก็สัมปยุตประกอบกันได้สนิท ดังจะยกตัวอย่างนามขันธ์ ๔ เวทนาขันธ์ทำหน้าที่เสวยอารมณ์, สัญญาขันธ์ ทำหน้าที่จำอารมณ์, สังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์, วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รู้อารมณ์ แม้จะต่างหน้าที่กันแต่ก็สัมปยุตกันสนิท เหมือนอย่างเภสัชจตุมธุรส ประกอบด้วยของ ๔ อย่าง คือ น้ำมันเนย ๑ น้ำมันงา ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำตาล ๑ มีรสเข้ากันสนิทจนไม่อาจจะแยกรสออกจากกันได้
วิปฺปยุตฺตปจฺจโย ~ธรรมที่วิปปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่สัมปยุตกันดังกล่าวในข้อก่อน เรียกวิปปยุตธรรม ได่แก่นามและรูป นามเป็นวิปปยุตธรรมของรูป รูปก็เป็นวิปปยุตตธรรมของนาม เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะของสัมปยุตธรรมครบทุกอย่าง ดังเช่น เมื่อจิตเกิด แม้จิตตชรูปจะเกิดด้วย แต่ก็ขาดลักษณะข้ออื่น ทั้งรูปและนามแม้จะเป็นวิปปยุตธรรมของกัน แต่ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกันและกัน เพราะต่างอาศัยกันเป็นไป เหมือนเงาอาศัยกันเป็นไป เหมือนอย่างคน ๒ คน มิใช่ญาติกัน แต่ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง วิปปยุตปัจจัยนี้ เปรียบเหมือนรส ๖ อย่างคือ หวาน๑ เปรี้ยว ๑ ฝาด ๑ เค็ม ๑ ขม ๑ เผ็ด ๑ รวมเป็นรสเดียวกันไม่ได้ แต่ก็อาศัยปรุงเป็นแกงอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเป็นปัจจัยอุดหนุนกันได้
อตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่มีอยู่เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอยู่คือธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในระหว่างอุปปาทะ (ความเกิด) ฐิติ (ความตั้งอยู่) ภังคะ (ความดับ) คือยังมีอยู่ในระหว่างนั้นยังไม่ดับไป ธรรมที่ชื่อว่ามีอยู่อย่างมีกำลังกล้า คือยังมีอยู่ในฐิติ ความตั้งอยู่ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นผลของตนให้เกิดขึ้น ข้อสำคัญเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ธรรมที่เป็นผลของตนให้ดำรงอยู่ เหมือนอย่างพื้นดินที่มีอยู่ อุปถัมภ์ต้นไม้ที่มีอยู่เหมือนกันให้งอกงามและตั้งอยู่ เช่นนามขันธ์ ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน มหาภูตรูป ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน นามรูปในขณะปฏิสนธิเป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, มิถุนายน, 2568, 09:35:05 AM

(ต่อหน้า ๑๘/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

นตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่มีเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีคือธรรมที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัย อุดหนุนธรรมเช่นเดียวกันให้เกิดขึ้น สืบต่อไปในลำดับ ดังที่กล่าวแล้วในอนันตรปัจจัย เช่นจิต เจตสิกดวงที่ ๑ ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ดวงที่ ๒ เกิดสืบต่อไปในลำดับ ถ้าดวงที่ ๑ ไม่ดับ ดวงที่ ๒ ก็เกิดขึ้นมิได้ เหมือนอย่างแสงสว่างกับความมืด เมื่อแสงสว่างดับไป ความมืดจึงปรากฎขึ้นได้
วิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ปราศจากไป คือธรรมที่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมเช่นเดียงกันให้เกิดขึ้นในลำดับเช่นเดียวกับนัตถิปัจจัย
อวิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่ปราศจากไป คือธรรมที่ยังไม่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุปการะที่ยังมีอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับ อัตถิปัจจัย
วัตถุ ๖=รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี เรียกว่า วัตถุรูป ๖ คือ
(๑)จักขุปสาทรูป ๑ เป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง
(๒)โสตปสาทรูป ๑ เป็นโสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ ๒ ดวง
(๓)ฆานปสาทรูป ๑ เป็นฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ ๒ ดวง
(๔)ชิวหาปสาทรูป ๑ เป็นชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
(๕)กายปสาทรูป ๑ เป็นกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ ๒ ดวง
(๖)หทยรูป ๑ เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นเฉพาะทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวงเท่านั้น
ชวนะจิต =คือจิตที่แล่นไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นจิตที่เป็นชาติกุศล หรืออกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์ และวิบากจิตที่เป็นโลกุตตระ ที่เรียกว่า ชวนจิต ก็เรียกจิตตามกิจหน้าที่ จิตใดที่ทำชวนกิจ ก็เรียกว่า ชวนจิต
กัมมชรูป =หรือ กฏัตตารูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หมายความว่า รูปที่เกิดในขณะนั้นทุกรูปในกลุ่มนั้น เกิดเพราะกรรมทั้งหมด กลุ่มของรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ประมวลแล้ว มีทั้งหมด ๙ กลุ่ม
(๑)จักขุทสกกลาป คือ กลุ่มของจักขุปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ จักขุปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๒)โสตทสกกลาป คือ กลุ่มของโสตปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ โสตปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๓)ฆานทสกกลาปคือ กลุ่มของฆานปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ฆานปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๔)ชิวหาทสกกลาปคือ กลุ่มของชิวหาปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชิวหาปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๕)กายทสกกลาปคือ กลุ่มของกายปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ กายปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๖)อิตถีภาวทสกกลาปคือ กลุ่มของอิตถีภาวรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ อิตถีภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๗)ปุริสภาวทสกกลาปคือกลุ่มของปุริสภาวรูป ซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปุริสภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๘)หทยทสกลาปคือ กลุ่มของหทยรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ หทยรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๙)ชีวิตนวกกลาปคือกลุ่มของชีวิตรูปซึ่งมี รูป รวม ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตินทริยรูป ๑
จิตตชรูป=จิตฺต (จิต) + ช (การเกิด) + รูป (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์)
รูปที่เกิดจากจิต หมายถึง รูป ๑๕ รูป คือ
อวินิพโภครูป ๘=อวินิพโภครูป คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป
วิการรูป ๓=เป็นอาการพิเศษของรูปที่เกิดจาก กรรม จิต อุตุ และอาหาร เป็นสมุฏฐานรูปที่เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า นิปปผันนรูป วิการรูป ไม่มีรูปโดยเฉพาะ เป็นอาการพิเศษของนิปปผันนรูปที่เกิดขึ้นนั่นเอง
วิญญัติรูป ๒=คือ อาการพิเศษที่เกิดอยู่ในการเคลื่อนไหวทางร่างกาย และการพูดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นรูปที่ทำให้ผู้อื่นรู้ถึงความประสงค์ของผู้แสดง เช่น เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายเข้ามาหาก็แสดงกิริยากวักมือ หรือเปล่งวาจาเรียก อาการพิเศษที่รวมอยู่ในความเคลื่อนไหวทั้งกายและวาจา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, มิถุนายน, 2568, 03:31:20 PM

(ต่อหน้า ๑๙/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

สัททรูป ๑=คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป
ปริจเฉทรูป ๑=หมายเอาช่องว่างที่คั่นระหว่างหมวดหมู่ของรูปกายต่อหมวดหมู่ของรูป กายนั่นเอง สิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายซึ่งเกิดจากจิตเป็นปัจจัย
จิตที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปได้มี ๗๕ ดวงเท่านั้น เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ (จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะจิตในขณะปฏิสนธิกาลมีกำลังอ่อน จุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะเป็นความสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ หมดความสืบต่อของนามและรูปทั้งปวง)
- อวินิพโภครูป ๘, ปริเฉทรูป ๑, เกิดได้จากสมุฏฐานทั้ง ๔
- วิการรูป ๓ เกิดได้จากสมุฏฐาน ๓ (เว้นกัมมสมุฏฐาน)
- วิญญัติรูป ๒ เกิดได้จากจิตตสมุฏฐานอย่างเดียว
- สัททรูป เกิดได้จาก ๒ สมุฏฐาน คือ จิตตสมุฏฐาน และอุตุสมุฏฐาน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กรกฎาคม, 2568, 09:26:15 AM
อภิธรรมปิฎก : ๒.ธัมมสังคณี
(ว่าด้วยมาติกา แม่บทของพระอภิธรรมและพระสูตร)

กาพย์พรหมคีติ

   ๑."ธัมมสังคณี".....................จัดธรรมรี่ชี้กลุ่มสรรค์
อภิธรรม,สุตตันฯ.....................เทียบเคียงสองตรองเนื้อความ
แม่บทอภิธรรม........................แบ่งข้อพร่ำสิบสี่ผลาม
แต่ละหมวดธรรมตาม..............แต่สาม,หก,เจ็ด,แปด..นา

   ๒.หนึ่ง,แม่บทจัดธรรม...........หมวดหนึ่งนำสามธรรมหนา
ยี่สิบสองหมวดกล้า..................หกสิบหกธรรมรวมยล
ธรรม"กุศล"ฝ่ายดี....................ฝ่ายชั่วปรี่'อกุศล"
กับ"อัพยาฯ"ดล........................"ฝ่ายกลางมิชั่วมิดี"

   ๓."เวทนารู้สึก........................เป็น"สุข"ลึกมีทุกข์ปรี่
"ไม่ทุกข์ไม่สุข"มี......................รู้สึกเฉยหรือกลางนา
"ธรรมมีผลวิบาก".....................ธรรมฟาก"เหตุ"ผลธรรมดา
อีกหนึ่ง"มิใช่หนา......................ทั้งสองอย่างเหตุ,ผล"เอย

   ๔."ธรรมถูกยึดถือจัง..............เป็นที่ตั้ง"ยึดถือ"เผย
"ธรรมไม่ถูกยึด"เอ่ย.................แต่เป็นที่ตั้งยึดแล
อีกหนึ่ง"ไม่ยึด"รี่.......................ไม่เป็นที่ตั้งยึดแฉ
แตกต่างกันแล้วแน่...................เรียกมีแท้ทั้งสามเอย

   ๕."ธรรมก่อเศร้าหมองคลี่.......และเป็นที่ตั้งโศก"เอ่ย
"ธรรมไม่เศร้าหมอง"เลย...........แต่เป็นที่ตั้งเศร้าใจ
ธรรมสามไม่เศร้าหมอง.............และไม่ครองเศร้าหมองไหน
ทั้งสามธรรมมีไซร้.....................เป็นธรรมชาติยืนยง

   ๖.ธรรมมี"วิตก,ตรึก"................"วิจาร"นึกตรองถ่องบ่ง
"ธรรมไร้วิตกปลง......................แต่ยังมีวิจาร"แล
ธรรมสามนั้นไม่มี......................ทั้งสองนี้เฉพาะแน่
ผู้ลุฌานสูงแล้...........................วิตก,วิจารละเอย

   ๗."ธรรมกอปรปีติ"ไซร้...........ความอิ่มใจน้ำเนตรเผย
"ธรรมกอปรสุข"มีเอ่ย..............."ธรรมกอปรอุเบกขา"มี
เริ่มธรรมด่ำกับญาณ................ที่เห็นผ่านทัสสนะคลี่
คือ"โสดามรรคฯมี.....................ละสังโยชน์สา ข้อครัน

   ๘.ธรรมสองละโดยฝึก...........ภาวนานึกลุญาณสรรค์
"สกิทาคาฯนั้น...........................ละสังโยชน์สาม,เสริมแล
"อนาคามิมรรค..........................สังโยชน์จักละห้าแฉ
อรหัตต์มรรคแล้........................ลุสังโยชน์สิบเสร็จพา

   ๙.ธรรมสามละไม่ได้...............ด้วยเห็นไซร้และภาวนา
ธรรมมีเหตุละหนา......................ด้วยทัสสนะโสดาฯครัน
ธรรมมีเหตุละด้วย......................ภาวนาช่วยคือมรรคชั้น
สกาทามรรคฯพลัน.....................อนาคาฯ,อรหัตต์ฯแล

   ๑๐.ท้ายธรรมมีเหตุละ..............ไม่ได้ดะทั้งเห็นแฉ
และภาวนาแน่.............................เหตุฝ่ายชั่ว,กาย,พูด,ใจ
เริ่มธรรมนำไปสู่.........................."สั่งสมพรูกิเลส"ใหญ่
ธรรม"ไม่นำสู่ไซร้.........................การสะสมกิเลส"เลย

   ๑๑.ธรรมท้ายไม่เป็นทั้ง.............สองอย่างตั้งสะสมเฉย
และไม่สะสมเอย..........................กับกิเลสไหนสักครา
เริ่มธรรมพระอริยะ.......................ผู้เรียนปะแต่โสดาฯ
ถึงอรหัตต์ฯนา.............................รวมเจ็ดประเภทนั่นแล

   ๑๒.ธรรมผู้ที่ไม่ต้อง...................ศึกษาตรองคือผู้แน่
อรหัตตผลแท้...............................บรรลุเสร็จกิจแล้วนา
ธรรมไซร้ไม่เป็นทั้ง.......................สองอย่างดั่งยังศึกษา
และไม่ศึกษาพา............................แต่อย่างใดไกลว่างกลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กรกฎาคม, 2568, 03:03:04 PM
(ต่อหน้า ๒/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๑๓.ธรรม"ปริตตะ"ด้อย..............ธรรมเล็กน้อยท่องกามพลาง
ธรรม"มหัคคฯวาง.........................รูปหรืออรูปฌาน
ธรรมโอ่"โลกุตต์ฯชี้......................ธรรมไม่มีประมาณการ
เช่นมีมรรค,ผลกราน.....................นิพพานสงัด,สุขเอย

   ๑๔."ธรรมมีอารมณ์น้อย"............อารมณ์พลอย"ใหญ่"เลยเผย
กับ"อารมณ์มาก"เอ่ย.....................ไม่มีประมาณได้แล
เริ่ม"ธรรมอกุศล".........................."ธรรมกลางยลกุศล"แฉ
และ"อัพยาฯ"แล้...........................ยังมีกิเลสเศษคง

   ๑๕.ท้าย"ธรรมประณีต"นำ.........โลกุตต์ฯธรรมพ้นโลกบ่ง
เริ่ม"ธรรมฝ่ายผิด"ตรง..................อนันตริยกรรม
เป็นธรรมผิดติดแรง......................ห้าอย่างแจงโทษแกร่งหนำ
ธรรมฝ่ายถูกผลล้ำ.......................อริยมรรคสี่แล

   ๑๖.ท้าย"ธรรมไม่แน่นอน"...........ให้ผลจรต่างกันแฉ
ไม่ใช่ฝ่ายผิดแล้.............................หรือฝ่ายถูกแต่อย่างใด
กับธรรมมีมรรคเป็น......................."อารมณ์"เด่น"มีเหตุ"ไข
ธรรมมีมรรคเป็นใหญ่....................มรรคแปดไซร้กิเลสราน

   ๑๗."ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว".............."ธรรมยังแผ่วมิเกิด"สาน
"ธรรมที่จักเกิด"พาน......................."วันข้างหน้า"แลแท้เทียว
เริ่มธรรมนำด้วยกาล.......................อดีตผ่าน,และธรรมเชี่ยว
"ในอนาคต"เจียว.............................กับธรรมเป็นปัจจุบัน

   ๑๘.ด้วยจิต,เจตสิกนับ..................เกิดขึ้นดับลับกาลมีผัน
อดีต,กาลหน้าครัน..........................ปัจจุบันพลันเปลี่ยนแล
ขณะธรรมเกิดอยู่...........................และดับกรูอดีตแน่
มีเหตุปัจจัยแท้................................สภาพธรรมเกิดกาลหน้าแล

   ๑๙.ธรรมมีอารมณ์เป็น................."อดีต"เด่นปรารภแฉ
ธรรมมีอารมณ์แน่..........................เป็นอนาคตจิตจดตรอง
ธรรมมีอารมณดั้น...........................ปัจจุบันจิตคิดผอง
จิต,เจตสิกกล่าวถ่อง.......................กาลใดเกิด"ธรรมอารมณ์

   ๒๐."ธรรมมีเป็นภายใน"...............ธรรมเกิดไซร้ของตนสม
เฉพาะแต่บุคคลซม.........................ถูกตัณหายึดขันธ์เอย
"ธรรมภายนอก"ของสัตว์................ของตนชัดยึดขันธ์เผย
ธรรมที่ชี้"ใน"เคย............................และ"นอก"เอ่ยด้วยกันแล

   ๒๑."ธรรมมีอารมณ์อยู่.................ฝ่ายใน"กู่และ"ภายนอก"แฉ
"ธรรมเป็นภายใน"แท้......................และภายนอกสองอย่างไว
"ธรรมเห็น,ถูกต้อง"เด่น...................."ธรรมไม่เห็น",ถูกต้องได้
"ธรรมเห็นไม่ได้"ไซร้........................และถูกต้องมิได้เลย

   ๒๒.สอง,แม่บท"โคจฉ์กะ"..............เหตุธรรมปะคู่หกเผย
"ธรรมเด่นเป็นเหตุ"เอ่ย....................ฝ่ายเลว,โลภ,โกรธ,หลงแล
"กุศลเหตุ"ไม่โลภ.............................ไม่โกรธโฉบ,ไม่หลงแฉ
อัพยาฯเหตุธรรมแล้.........................ไร้โลภ,โกรธ,หลงเอย

   ๒๓.ธรรม"ไม่เป็นเหตุ"พร่ำ.............เว้นแต่"ธรรมเป็นเหตุ"เผย
กุศล,อกุศลเอ่ย................................อัพยากฤตเหลือแล
ที่เป็น"กามาฯ"สูบ.............................อรูปฯ,รูปฯแท้
โลกุตต์ฯคือขันธ์แน่..........................รูป,อสังขต์ธาตุหมดเอย

   ๒๔."ธรรมมีเหตุ"อย่างไร................คือขันธ์ไซร้เวทนาเอ่ย
สัญญา,สังขารเคย............................และวิญญาณขันธ์นั้นไว
"ธรรมไม่มีเหตุ"นา.............................คือสภาวะธรรมเหตุไร้
ขันธ์และรูปผองไกล..........................อสังขต์ธาตุมิปรุง

   ๒๕.สาม,แม่บทคู่น้อย......................"จูฬันต์ฯ"จ้อยหมดต่างมุ่ง
มีเจ็ดคู่พยุง.......................................สภาวธรรมต่างกัน
"สัปป์จจยาฯ"ชัด...............................ธรรมมีปัจจัยจัดสรรค์
"อัปปัจจยาฯ"ครัน.............................ธรรมไม่มีปัจจัยเอย

   ๒๖."สังขตา ธัมมา".........................ปรุงแต่งนาเปลี่ยนแปลงเผย
"อสังขตา"เอ่ย...................................ปรุงแต่งมิได้ไม่แปร
"สนิทสัสสนา"เด่น..............................ธรรมที่เห็นได้ชัดแฉ
"อนิทสัสสนาฯ"แล้..............................ธรรมที่เห็นไม่ได้เอย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กรกฎาคม, 2568, 09:39:09 AM
(ต่อหน้า ๓/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๒๗."สัปปฏิฏาฯ"นบ..................ธรรมกระทบพบได้เผย
"อัปปฏิฆาฯ"เปรย........................ธรรมกระทบมิได้แล
"รูปิโน ธัมมา"..............................ธรรมรูปหนาเห็นได้แน่
"อรูปิโนฯ"แท้...............................ไม่เป็นรูปคือนามธรรม

   ๒๘."โลกิยา ธัมมา"....................ธรรมเป็นนาโลกีย์ด่ำ
"โลกุตตระฯล้ำ............................ธรรมพ้นวิสัยโลกแล
"เกนจิ วิเยยฯ"ชิด.........................ธรรมที่จิตคิดรู้แฉ
"เกนจิ นะฯ"ธรรมแล้.....................จิตบางดวงมิรู้เลย

   ๒๙.สี่,"อาสวโคจฉ์ฯ"..................แม่บทโดดกิเลสเผย
มีแยกหกคู่เอ่ย.............................เกี่ยวข้องอาสวะแล
"ธรรมเป็นอาสวะ".........................กิเลสปะในกามแฉ
มิเป็นอาส์วะแล้.............................คือเว้นอาสวะนา

   ๓๐."สาสวา,ธรรมเป็น.................อารมณ์"เด่นอาส์วะหนา
"อนาสวาฯ"ธรรมหา.......................เป็นอารมณ์อาส์วะแล
"อาสว์สัมปยุตต์ฯครอบ..................ธรรมประกอบกิเลสแน่
"อาสว์วิปปยุตต์ฯ"แล้......................ธรรมไม่กอปรกิเลสซม

   ๓๑."อาส์วา เจวะฯ"นา..................ธรรมเป็นอาส์วะ,อารมณ์
"สาสวาฯธรรมบ่ม...........................เน้นอารมณ์ไร้อาส์วา
"อาส์สัมปยุตต์ฯชอบ......................ธรรมประกอบอาส์วาหนา
"อาส์วาสัมฯ"กอปรมา.....................ด้วยอาส์หาใช่อาส์ฯแล

   ๓๒."อาสววิปป์ฯ"นอบ...................ไม่ประกอบอาส์วะแฉ
แต่ธรรมอารมณ์แท้.........................ของอาส์วกิเลสพลัน
"อนาสวาฯ"คลาด.............................ไม่กอปรอาสวะดั้น
ไม่เป็นอารมณ์ครัน...........................ของอาสวะอีกแล

   ๓๓.ห้า,สัญโญชน์โคจฉ์ฯเปลื้อง......แม่บทเครื่องผูกมัดแฉ
แบ่งได้หกคู่แล้..............................กิเลสผูกมัดตนเอย
"สัญโญชนา สัมมา".......................ธรรมเป็นนาสัญโญชน์เผย
"โน สัญโญชนาฯ"เชย....................ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์นา

   ๓๔."สัญโญชนิยาฯ"ธรรม............อารมณ์ล้ำสัญโญชน์หนา
"อสัญโญชน์ฯ" ธัมมา.....................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล
"สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดสัญโญชน์แน่
"สัญโญชน์ วิปปยุตต์ฯแล้...............ธรรมมิกอปรสัญโญชน์เอย

   ๓๕."สัญโญชนฯ"ครัน..................ธรรมเป็นสัญโญชน์จริงเผย
และเป็นอารมณ์เคย.......................ของสัญโญชน์อีกด้วยแล
"สัญโญชนิยา"...............................ธรรมเป็นอารมณ์สัญโญชน์แฉ
แต่จะไม่เป็นแน่..............................กับสัญโญชน์ด้วยเลยนา

   ๓๖."สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมรุดเป็นสัญโญชน์หนา
และประกอบได้มา..........................กับสัญโญชน์ได้ดีเทียว
"สัญโญชน์ สัญโญช์นา"..................ธรรมกอปรหนาสัญโญชน์เชี่ยว
แต่ธรรมมิเป็นเจียว..........................กับสัญโญชน์แต่อย่างใด

   ๓๗."สัญโญชน์วิปยุตต์".................ธรรมไม่รุดประกอบใส
กับสัญโญชน์เลยไซร้.......................เป็นอารมณ์สัญโญชน์แล
"สัญโญชน์ อสัญโญฯ"......................ไม่กอปรโอ่สัญโญชน์แฉ
ไม่เป็นอารมณ์แน่..............................ของสัญโญชน์แท้เทียวเอย

   ๓๘.หก,"คันถโคจฉ์ฯ".....................แม่บทโจดกิเลสเผย
เครื่องร้อยรัดหกเอ่ย.........................เรียก"คันถะ"ผูกมัดใจ
"คันถา ธัมมา"นั้น...............................ธรรมเป็นคันถะเพลินไข
กำหนัด,อาฆาตไว..............................เห็นผิดคิดโลกเที่ยงเอย

   ๓๙."โน คันถา"ธรรมครัน.................ไม่เป็นคันถะสี่เผย
ที่เหลือ"กามาฯเอ่ย.............................รูปาฯ,อรูปาฯแล
โลกุตตระ,ขันธ์..................................เวทนาดั้น,วิญญาณแฉ
รูป,อสังข์ฯแล้.....................................ธรรมไม่เป็นคันถะเอย

   ๔๐."คันถนิยา"ธรรม.........................อารมณ์นำคันถะเผย
กุศล,เลว,กลางเอ่ย..............................ที่ยังมีกิเลสแล
กามาฯ,รูปาฯหล้า................................อรูปาฯ,รูปขันธ์แน่
อีกวิญญาณขันธ์แล้............................นี่อารมณ์คันถะแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กรกฎาคม, 2568, 03:01:40 PM

(ต่อหน้า ๔/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๔๑."อคันถนิยา"..................ไม่เป็นนาอารมณ์แน่
ของคันถะเลยแท้...................คือมรรค,ผลโลกุตต์ฯนา
และอสังขต์ธาตุ.....................ไม่มียาตรปรุงแต่งหนา
สภาวธรรมจ้า........................ปราศจากอารมณ์เอย

   ๔๒."คันถสัมปยุตต์ฯ"...........ธรรมกอปรรุดคันถะเผย
เว้นคันถะนั้นเอ่ย.....................คือขันธ์ต่างเวทนา
อีกวิญญาญขันธ์ซ้ำ................สภาพธรรมประกอบหนา
ด้วยคันถะเหมาะพา................แต่ไม่เป็นคันถะแล

   ๔๓."คันถวิปปยุตต์ฯ"............ธรรมไม่รุดประกอบแฉ
กับคันถะเลยแน่......................เพราะมีโลกุตตรธรรม
มรรค,ผล,อสังข์ฯ.....................ภาวะดั่งไซร้ไร้กอปรหนำ
กับคันถะละนำ.........................และไม่เป็นอารมณ์เลย

   ๔๔."คันถะ เจวะฯ"ครัน..........ธรรมเป็นคันถะแน่เอ่ย
พร้อมเป็นอารมณ์เคย..............ของคันถะแท้เลยแล
"คันถนิยาฯ"หนา......................ธรรมอารมณ์คันถะแฉ
ไม่เป็นคันถะแน่.......................ได้แก่กิเลสเหลือคง

   ๔๕."คันถา สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมนี้คุดคันถะบ่ง
และสัมปยุตต์ฯตรง..................กอปรด้วยคันถะต่างเอย
"คันถสัมปยุตต์ฯ".....................ธรรมกอปรรุดคันถะเผย
แต่ไป่คันถะเอ่ย.......................เพราะเว้นคันถธรรมแล

   ๔๖."คันถวิปปยุตต์ฯ".............ธรรมที่ซุดไม่กอปรแน่
กับคันถะเลยแต่.......................เป็นอารมณ์คันถะไง
"อคันถนิยาฯ"...........................ไม่กอปรนาคันถะไส
และไร้อารมณ์ใด......................กับคันถะทั้งสิ้นเอย

   ๔๗.เจ็ด,"โอฆโคจฉ์ฯ"คลุม.......แม่บทกลุ่มโอฆะเผย
โอฆะห้วงน้ำเปรย......................ดึงสัตว์จมลงต่ำแล
แต่อบายภูมิรึง...........................แหวกว่ายถึง"โคตรภูฯ"แฉ
โอฆะ,กิเลสแท้...........................แยกได้สี่ประเภทเอย

   ๔๘."โอฆา ธัมมา"เด่น...............ธรรมอันเป็นโอฆะเผย
"โน โอฆา"ธรรมเอ่ย....................ธรรมไม่เป็นโอฆะแล
"โอฆนิยา"ธรรม..........................อารมณ์นำโอฆะแฉ
"อโนฆะฯ"ธรรมแล้.....................ไม่ได้เป็นอารมณ์เอย

   ๔๙."โอฆสัมปยุตต์ฯ"................ธรรมกอปรรุดโอฆะเผย
"โอฆวิปป์ฯธรรมเกย...................ไม่ประกอบโอฆะแล
"โอฆา เจวะ"โร่............................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ
เป็นนาอารมณ์แล้........................ของโอฆะแท้เทียวนา

   ๕๐."โอฆนิยาฯ"งม....................เป็นอารมณ์โอฆะหนา
อารมณ์เป็นธรรมกล้า...................แต่ไป่โอฆะแล
"โอฆสัมปยุตต์ฯโผล่....................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ
และยังประกอบแท้......................เข้ากับโอฆะด้วยเอย

   ๕๑."โน จ โอมา"ธรรม...............สัมปยุตต์ฯนำประกอบเผย
กอปรด้วยโอฆะเปรย...................แต่ไม่เป็นโอฆะแล
"โอฆวิปป์ฯ"ธรรมไม่.....................ประกอบไซร้โอฆะแน่
แต่เป็นอารมณ์แท้........................ของโอฆะหลายแท้เทียว

   ๕๒."โอฆวิปปยุตต์ฯ"..................เป็นธรรมรุดไม่กอปรเอี่ยว
จากโอฆะเลยเชียว.......................และไม่เป็นอารมณ์แล
แปด,"โยคโคฯ"นะ.........................แม่บท"โยคะ"กอปรแฉ
ผูกสัตว์ซัดจมแล้...........................ในวัฏฏะหกคู่เอย

   ๕๓."โยคา ธัมมา"หล้า................ธรรมเป็นนาโยคะเผย
"โน โยคา"ธรรมเอ่ย......................ไม่เป็นโยคะเลยนา
"โยคนิยาฯ"ธรรม..........................อารมณ์ด่ำโยคะหนา
"อโยคนิยา"..................................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล

   ๕๔."โยคสัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดโยคะแน่
"โยควิปป์ฯซิแท้............................ไม่ประกอบโยคะเอย
"โยคา เจวะฯ"โผล่........................ธรรมเป็นโยคะเหตุเผย
และเป็นอารมณ์เกย.....................ของโยคะกิเลสนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กรกฎาคม, 2568, 12:30:50 PM
(ต่อหน้า ๕/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๕๕."โยคนิยาฯ"มี...................อารมณ์ชี้โยคะหนา
ธรรมมาอารมณ์กล้า.................แต่ไม่เป็นโยคะแล
"โยคา เจวะ"โด่.........................ธรรมเป็นโยคะแน่
และสัมปยุตต์กอปรแล้..............ด้วยโยคะแนบชิดเอย

   ๕๖."โยคสัมปยุตต์ฯ"..............ธรรมข้องสุดโยคะเผย
กอปรด้วยโยคะเคย..................แต่ไม่เป็นโยคะแล
"โยควิปปยุตต์ฯ".......................ธรรมไม่รุดประกอบแฉ
เบือนกับโยคะแต่......................เป็นอารมณ์โยคะคง

   ๕๗."อโยคนิยาฯ"....................ไม่กอปรนาโยคะบ่ง
ไม่ข้องกิเลสตรง.......................โยคะไม่เป็นอารมณ์
เก้า,แม่บท"นีวรณ์".....................กิเลสชอนบ่อนจิตล่ม
มิแน่วสมาธิ์ซม..........................จิตพลาดนำทำความดี

   ๕๘."นีวรณา"ปก.....................ธรรมนี้หกนิวรณ์ปรี่
"โน นีวรณ์ฯ"ธรรมชี้...................ไม่เป็นนิวรณ์หกแล
"นีวรณิยา"................................ธรรมเป็นอารมณ์ตรมแฉ
ของนิวรณ์เหลือแต่....................กิเลสในกามา..เอย

   ๕๙."อนีวรฯ"เด่น......................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย
มรรค,ผล,โลกุตต์ฯเอ่ย................อสังขตธาตุนา
"นีวรณสัมฯ"...............................ธรรมกอปรช่ำนิวรณ์หนา
มาพร้อมกับขันธ์ห้า.....................เวทนา..และวิญญาณ

   ๖๐."นีวรณ์วิปป์ฯ".....................ธรรมไกลลิบไม่กอปรสาน
กับนิวรณ์ธรรมซ่าน......................เช่นอสังขต์ธาตุแล
"นีวรณา เจวะฯ"............................ธรรมที่ปะนิวรณ์แฉ
เป็นหนาอารมณ์แล้.......................ของนิวรณ์อีกด้วยเอย

   ๖๑."นีวรณิยา"...........................ธรรมเป็นอารมณ์คล้ายเผย
กับนิวรณ์แต่เอ่ย...........................หาเป็นนิวรณ์ไม่แล
ด้วยกิเลสเหลือใน.........................กามาฯไซร้,รูปาฯแน่
อรูปาฯ,ขันธ์แท้.............................รูป,วิญญาณขันธ์พานไกล

   ๖๒."นีวรณาฯ"เด่น......................ธรรมเป็นเช่นนี้นิวรณ์ไส
และสัมปยุตต์ฯไว...........................ประกอบด้วยนิวรณ์คง
"นีวรณสัมป์ฯ"................................ประกอบย้ำนิวรณ์บ่ง
ไม่เป็นนิวรณ์ทรง...........................เพราะเว้นนิวรณ์ธรรม

   ๖๓."นีวรณวิปป์ฯ"........................ไม่กอปรลิบนิวรณ์ด่ำ
เป็นนาอารมณ์นำ...........................ของนิวรณ์ที่เหลือชู
"นีวรณ์วิปปยุตต์ฯ".........................ไม่กอปรรุดนิวรณ์สู่
ไร้หนาอารมณ์รู้.............................กับนิวรณ์เพราะมรรคแล

   ๖๔.สิบ,แม่บท"ปรามาสฯ"............กิเลสบาดทางผิดแฉ
มีห้าคู่ผิดแท้..................................พลาดจากความตามจริงเอย
"ปรามาสา ธัมมา"..........................ธรรมเป็นนาทิฏฐิเผย
เห็นผิดชิดเกิดเอ่ย.........................ในจิตกอปรทิฏฐิแล

   ๖๕."โน ปรามาสา"ธรรม...............ไม่เป็นนำปรามาสแฉ
ธรรมที่เหลือเช่นแล้........................โลกุตต์ฯ,อสังขต์ธรรม
"ปรามัฏฐาฯ"นา...............................ธรรมเป็นอารมณ์ปรี่นำ
ของปรามาสะพร่ำ...........................ยังมีกิเลสกามาฯ

   ๖๖."อปรามัฏฯ"เน้น.......................ธรรมไม่เป็นอารมณ หนา
ของปรามาสะกล้า...........................เช่นมรรค,ผลโลกุตต์ธรรม
"ปรามาสะสัมฯจับ............................ประกอบกับธรรมอื่นกล้ำ
เช่นสัมปยุตต์นำ...............................กับเวทนาขันธ์ดล

   ๖๗."ปรามาสวิปป์ฯ"ไซร้.................ธรรมใดไม่ประกอบด้น
กับปรามาสะยล...............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน
"ปรามาสาา เจวะฯ"..........................ปรามาสะแลธรรมดั้น
เป็นปรามาสะพลัน...........................ยังเป็นอารมณ์อีกเลย

   ๖๘."ปรามัฏฐา เจวะฯ"....................ธรรมใดจะเป็นดั่งเผย
ย้ำหนาอารมณ์เคย...........................มิเป็นปรามาสะนา
"ปรามาสวิปป์ฯ"ไหน.........................ธรรมใดไม่กอปรปรามาฯ
แต่เป็นอารมณ์พา............................ของปรามาสะแท้เทียว


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กรกฎาคม, 2568, 03:02:06 PM
(ต่อหน้า ๖/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๖๙."ปรามาสวิปปยุตต์ฯ"..........ไม่กอปรยุดปรามาฯเอี่ยว
ไม่เป็นอารมณ์เชียว...................ของปรามาสะแท้ครอง
สิบเอ็ด,แม่บทไซร้......................"มหันตร์ฯ"คู่ใหญ่ไม่เกี่ยวข้อง
มีสิบสี่คู่ตรอง.............................แต่ละคู่ต่างเรื่องกัน

   ๗๐."สารัมมณะฯนา.................ธรรมมีอารมณ์สี่สรรค์
คือขันธ์,เวทนาครัน....................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
"อนารัมมณา"............................ธรรมไร้อารมณ์ซ่าน
คือรูปทั้งหมดกราน....................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๑."จิตตา ธัมมา"เด่น..............ธรรมที่เป็นจิตชิดแฉ
คือวิญญาณรู้แท้........................จักขุ ,โสต,ฆานะ..เอย
"โน จิตตา"ธรรมไซร้..................ธรรมที่ไม่เป็นจิตเผย
นามขันธ์"เวทนา"เอ่ย.................รูป,อสังขต์ธาตุมา

   ๗๒."เจตสิกาฯ"เหตุ.................ธรรมเป็นเจตสิกหนา
นามขันธ์"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแล
"อเจตสิกฯ"เว้น..........................ธรรมไม่เป็นเจตสิกแฉ
คือจิต,รูปหลายแล้.....................และอสังขต์ธาตุเอย

   ๗๓."จิตตสัมปยุตต์ฯ"...............ธรรมกอปรรุดกับจิตเผย
นามขันธ์เวทนาเกย....................กับสัญญา,สังขาร
"จิตตวิปปยุตต์ฯ"........................ธรรมที่หยุดกอปรจิตแฉ
เช่นรูปทั้งหมดแน่.......................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๔."จิตตสังสัฏฯ"นับ................ธรรมเจือกับจิตรู้หนา
นามขันธ์เวทนากล้า....................สัญญา,สังขารเอย
"จิตตวิสัสฯ"เอื้อ..........................ธรรมไม่เจือกับจิตเผย
คือรูปทั้งหมดเกย.......................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๕."จิตตสมุฏฯ"ชิด.................ธรรมมีจิตเป็นเหตุแฉ
เช่นนามขันธ์,รูปแท้....................ที่เกิดตรงชิดจิตเอย
"โน จิตต์สมุฏฐฯ"รี่......................ธรรมไม่มีเหตุจิตเผย
เช่นจิต,รูปที่เหลือเอ่ย..................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๖."จิตตสหฯ"รวม....................ธรรมเกิดร่วมกับจิตหนา
คือนามขันธ์,สัญญา.....................เวทนา,สังขารช่วยไว
"โน จิตตสหะฯ"............................ธรรมไม่ปะเกิดกับใจ
เช่นจิต,รูปเหลือไซร้.....................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๗."จิตตานุฯ"พร้อมช้อย...........ธรรมเกิดคล้อยตามจิตแน่
เช่นนามขันธ์ร่วมแท้.....................เวทนา,สังขาร,สัญญา
"โน จิตตานุฯ"เชิด.........................ธรรมไม่เกิดคล้อยหนา
เช่นรูปที่เหลือนา..........................อสังขตธาตุเอย

   ๗๘."จิตตสังสัฏฯ"เกื้อ.................คือธรรมเจือกับจิตเผย
มีจิตจ่อเหตุเปรย..........................เช่นนามขันธ์รู้,จำ,ปรุง
"โน จิตตสังฯ"ไซร้.........................คือธรรมไม่เจือจิตมุ่ง
คือจิต,รูปผดุง...............................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๙."จิตตสหภูฯ".........................ธรรมเจืออยู่คู่จิตหนา
มีจิตเป็นเหตุกล้า...........................และเกิดร่วมกับจิตแล
คือขันธ์สาม"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแฉ
"โน จิตตสังฯ"แท้...........................ธรรมไม่เจือกับจิตเอย

   ๘๐.และจิตไร้เหตุสวม.................ไม่เกิดร่วมกับจิตเผย
เช่นจิต,รูปถ้วนเอ่ย.........................กับอสังขต์ธาตุแล
"จิตตปริวัตต์ฯ"นับ..........................ธรรมเจือกับจิตอยู่แฉ
มีจิตเป็นเหตุแล้..............................และเกิดคล้อยตามจิตนา

   ๘๑.เช่นนามขันธ์เวทนา...............พร้อมสัญญา,สังขารหล้า
"โน จิตตปริฯ"กล้า..........................ธรรมไม่เจือกับจิตแล
จิตไม่มีเหตุด้อย..............................ไม่เกิดคล้อยตามจิตแฉ
เช่นจิต,รูปถ้วนแท้...........................และอสังขต์ธาตุเอย

   ๘๒."อัชฌัตติกา"นำ......................สภาพธรรมภายในเผย
เป็นอารมณ์อันเคย..........................เช่น"จักขาย์ตนะ"แล
"พาหิรา ธัมฯ"กราย.........................ธรรมเป็นภายนอกกายแฉ
เช่น"รูปายะฯแล้.............................."ธัมมายตนะ"ครา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กรกฎาคม, 2568, 10:56:37 AM

(ต่อหน้า ๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๘๓."อุปาทาธัมฯ"ไซร้...........ธรรมอาศัยที่เกิดหนา
"มหาภูต์รูป"หล้า.....................ดิน,น้ำ,ไฟ ลมสี่พาน
เช่น"จักขายตนะฯ"อิง.............."กวฬิงการาหาร"
"โน อุปาทาฯ"ผ่าน...................ธรรมไม่อาศัยเกิดเลย

   ๘๔.จากมหาภูตฯนั้น.............เช่นนามขันธ์สี่เผย
เวทนา,สัญญาเอ่ย...................สังขาร..,อสังขต์ฯแล
"อุปาทินนาฯ"..........................ธรรมที่พาเจตนาแฉ
เกิดกรรมกอปรด้วยแท้............ตัณหา,ทิฏฐิยึดครอง

   ๘๕.เช่นวิบากกรรมดี.............และชั่วคลี่กิเลสผอง
นามขันธ์,เวทนาข้อง.................สัญญา,สังขารเอย
อีกวิญญาญขันธ์ชี้....................และรูปที่กรรมตกแต่งเผย
"อนุปาทินฯ"เปรย......................ธรรมที่เจตนากอปรแล

   ๘๖.ตัณหา,ทิฏฐิถ่อง...............ไม่ยึดครองปองใดแฉ
เช่นมรรคและผลแล้..................และอสังขต์ธาตุนา
สิบสอง,"อุปาทานฯ"...................แม่บทพานเหตุยึดหนา
มีหกคู่เหตุอ้า..............................สี่สิ่งให้ยึดติดแล

   ๘๗."กามุปาทาน"ชัด................ความกำหนัด,ตัณหาแฉ
"ทิฏฐุปาทาน"แท้........................ความเห็นผิดปิดความจริง
"สีลัพพตุปาฯ"............................เลื่อมใสหนาศาสน์อื่นดิ่ง
"อัตตาวาทุฯ"อิง..........................ยึดตนวิปลาสเอย

   ๘๘."ธรรมเป็นอุปาทาน"...........มั่นสี่ขานยึดติดเผย
"ธรรมไม่เป็นอุปาฯ"เอ่ย...............ไร้เหตุจะยึดถือแล
เช่นนามขันธ์,เวทนา....................สัญญา,สังขาร,วิญญ์แฉ
รูปทั้งหมดและแน่........................อสังขตธาตุเอย

   ๘๙."ธรรมเป็นอารมณ์"นา..........ของอุปาทานแลเผย
คือขันธ์ห้า,รูปเอ่ย........................เวทนา..และวิญญาณ
"ธรรมไม่เป็นอารมณ์"..................ไม่ยึดตรมอุปาทาน
กิเลสที่เหลือพาน.........................เช่นขันธ์ห้าทั้งหลายแล

   ๙๐."ธรรมกอปรอุปาทาน...........วิญญาณขันธ์,เวทนาแฉ
"ธรรมไม่กอปรอุปาฯ"แล้"..............เช่นรูป,อสังข์ธาตุเอย
"ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และยังซ่านอารมณ์เผย
"ธรรมนาอารมณ์"เคย....................ของอุปาทานแน่ครัน

   ๙๑.แต่มิเป็นอุปาฯ......................ยังเหลือนากิเลสปั่น
ตัวอย่างรูปขันธ์นั้น.......................และวิญญาณขันธ์ไซร้แล
"ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และกอปรขานอุปาฯแฉ
เช่น"ทิฏฐุปาทาน".........................กอปรพาน"กามุปาทาน"

   ๙๒."ธรรมกอปรอุปาฯ"เด่น.........มิได้เป็นอุปาฯขาน
เช่นขันธ์เวทนาพาน......................สัญญา,สังขาร,วิญญ์ฯเอย
"ธรรมไม่กอปรอุปาฯ."...................แต่มีอารมณ์บ่มเผย
เช่นรูปขันธ์มีเคย..........................และวิญญาณขันธ์พานแล

   ๙๓."ธรรมไม่กอปรอุปาฯ............ไม่เป็นอารมณ์ซมแฉ
คือมรรค,ผลแน่แท้........................และอสังขต์ธาตุเอย
สิบสาม,แม่บทโลด........................"กิเลสโคจฉกะ"เผย
ว่าด้วยกิเลสเอ่ย............................แปดคู่ทำใจเศร้าตรม

   ๙๔."กิเลสา ธัมมา"......................ธรรมนาเป็นกิเลสขม
"กิเลสวัตถุ"ซม..............................มีสิบเช่นโลภ,โกรธแล
"โน กิเลสาฯ"เน้น...........................ธรรมไม่เป็นกิเลสแฉ
เว้นกิเลสสิบแล้..............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน

   ๙๕."สังกิเลสิกา".........................อารมณ์พากิเลสผัน
เช่นวิญญาณขันธ์พลัน..................เป็นอารมณ์กิเลสเอย
"อสังกิเลฯเน้น...............................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย
ได้แก่มรรค,ผลเกย........................และอสังขต์ธาตุแล

   ๙๖."สังกิลิฏฐาฯ"เร้า...................ธรรมที่เศร้าหมองใจแฉ
อกุศลมูลแท้..................................โลภ,โกรธ,หลงทางกาย,ใจ
"อสังกิลิฏฐา".................................ธรรมพาไม่เศร้าหมองไข
เช่นรูปทั้งหมดไกล........................และอสังขต์ธาตุมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กรกฎาคม, 2568, 02:00:26 PM

(ต่อหน้า ๘/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๙๗."กิเลสสัมปยุตต์"...........ธรรมกอปฉุดกิเลสหนา
คือนามขันธ์,เวทนา................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
"กิเลสวิปปยุตต์"....................ธรรมไม่รุดประกอบขาน
กับกิเลสเลยผ่าน...................เช่นอสังขต์ธาตุแล

   ๙๘."สังกิเลสิกา".................ธรรมเป็นหนากิเลสแย่
และเป็นอารมณ์แท้................ของสังกิเลสด้วยเอย
"โน จะ กิเลสา"......................ธรรมเป็นอารมณ์ซมเผย
ของสังกิเลสเคย...................แต่มิเป็นกิเลสนา

   ๙๙."สังกิลิฏฯ"เด่น..............ธรรมเป็นกิเลสเศร้าหนา
"โน จะ กิเลสา"......................ธรรมที่เศร้าหมองอย่างเดียว
ไม่เป็นกิเลสเลย....................เช่นขันธ์เผย,เวทนาเกี่ยว
สัญญา,สังขารเจียว...............และวิญญาณขันธ์แน่นอน
   
   ๑๐๐."กิเลสสัมปยุตต์".........ธรรมผุดเป็นกิเลสจร
ประกอบกิเลสซ้อน................อีกอย่างหนึ่งเพิ่มแล
เช่น"โลภ"กอปรกับ"หลง"......."โกรธ"กอปรบ่งกับ"หลง"แฉ
"ทิฏฐิ"กอปร"หลง"แน่............."มานะ"ประกอบ"หลง"เอย

   ๑๐๑."โน จะ กิเลสา"...........ธรรมกอปรหนากิเลสเผย
มิเป็นกิเลสเอย......................เช่นนามขันธ์,เวทนา
"วิปปยุตตา โข".....................ธรรมไม่โผล่กิเลสหนา
แต่มีอารมณ์พา.....................สังกิเลสเช่น"รูป"แล

   ๑๐๒."อสังกาปิฯ"ชอบ.........ธรรมมิกอปรกิเลสแฉ
ไร้หนาอารมณ์แน่..................กับกิเลสเช่น"มรรค"ยล
สิบสี่,"ปิฏฐิฯ"ซึ่ง......................แม่บทพึงละให้พ้น
มีสิบแปดคู่ดล........................เพื่อละสังโยชน์หมดนา

   ๑๐๓."ทัสสเนน ปาตฯ".........ธรรมต้องฆาตด้วยโสดาฯ
ตัดสังโยชน์สามลา................."สักกายทิฏฯ"เลิกยึดตน
"วิจิกืจฯ"สงสัย.......................พุทธเจ้าไซร้เคลือบแคลงท้น
"สีลัพพะฯ"ยึดล้น...................ศีล,พรตนอกศาสน์แล

   ๑๐๔."นะ ทัสสเนนฯ"ไซร้.....ธรรมที่ไม่ต้องละแท้
ด้วยโสดาปัตฯแล้...................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย
"ภาวนายะ ปะ".......................ธรรมที่ละด้วยมรรคเผย
คือโลภ,โกรธ,หลงเกย............กอปรด้วยขันธ์ห้าแล

   ๑๐๕."น ภาวนาฯ"ครอง........ธรรมไม่ต้องตัดละแฉ
คือธรรมที่เหลือแล้..................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย
"ทัสสเนน ปหาฯ".....................ธรรมหลายนากอปรเหตุเผย
คือสังโยชน์สามเปรย..............ต้องละด้วยมรรคโสดาฯ

   ๑๐๖."นะ ทัสสเนนฯ"ตอบ.....ธรรมไม่กอปรด้วยเหตุหนา
ไม่ต้องใช้มรคกล้า..................ละครันเช่น"รูป"ผองแล
"ภาวนา ปหา"..........................ธรรมละนาด้วยมรรคแฉ
โลภ,โกรธและหลงแท้.............เพราะมีเหตุประกอบเอย

   ๑๐๗."น ภา ปหา"นี้...............ธรรมไม่มีเหตุละเผย
เช่นรูปทั้งหมดเปรย................และอสังขต์ธาตุนา
แม่บทฝ่าย"สุตตันฯ"................พระสูตรนั้น"สี่สอง"หนา
พุทธวจน์มา............................ตรัสสอนธรรมเจาะจงคน

   ๑๐๘."วิชชาภาคิโนฯ"...........วิชชาโอ่ธรรมล้ำผล
คือวิชชาแปดดล.....................เช่น"วิปัสสนาญาณ
"อวิชชาภาฯ"ครอบ..................ธรรมกอปรอวิชชางาน
คือไม่รู้จริงพาน.......................อริยสัจจ์สี่เอย

   ๑๐๙."วิชชูปมาฯ"ดั่ง.............ธรรมเหมือนดังฟ้าแลบเผย
ปัญญามรรคต่ำเชย................ละกิเลสถูกครอบงำ
"วชิรูปมา"...............................ธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงหนำ
ปัญญามรรคสูงล้ำ...................กำจัดกิเลสสิ้นเชิง

   ๑๑๐."พาลา ธัมมา"ไซร้.........ธรรมนำให้เป็นพาลเบิ่ง
อกุศลธรรมเริง.........................อหิริ,อโนตฯแล
"ปัณฑิตา ธัมฯ"เด่น..................ธรรมล้ำเป็นบัณฑิตแฉ
"หิริ,โอตตัปฯแท้.......................กุศลกรรมทั้งหมดเอย