บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, มิถุนายน, 2568, 03:26:38 PM



หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, มิถุนายน, 2568, 03:26:38 PM


อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

กาพย์ทัณฑิกา

   ๑. พระไตรปิฎก......พุทธ์เจ้าสอนยก......แปดหมื่นสี่พัน
แยก"วินัย"ชัด....ข้อวัตรสงฆ์ดั้น....ชาดก"สุตตันฯ"....เท่ากันจำนวน

   ๒.คือ"สองหมื่นหนึ่ง"......"สี่หมื่นสอง"จึง......เหลือ"อภิธรรม"ล้วน
ปรมัตถธรรม....จิตล้ำ,รูปทวน...."เจตสิก,นิพฯ"ถ้วน....พร้อมหลักวิชา

   ๓.อภิธรรมแยก.......เจ็ดคัมภีร์ที่แตก.......ใจศาสนา
"ธัมมสังค์ฯ"ธรรมเด่น....รวมเป็นหมวดหนา....อธิบายครา....แยกประเภทเอย

   ๔."วิภังค์"แยกกลุ่ม......กระจายหลักดุ่ม......วิจารณ์รี่เผย
"ธาตุกถา"....คตินาสอนเชย....เป็นธรรมต้นเอ่ย....เช่นขันธ์,ธาตุตรง

   ๕."ปุคคลฯ"คุณธรรม......จดสูง-ต่ำล้ำ......เรื่องหลุดพ้นบ่ง
"กถาวัตฯ"คำถาม....ตอบตามถูกคง....หลักธรรมเจาะจง....ถูกต้องจริงเอย

   ๖."ยมก"คำถาม......ตั้งเป็นคู่ลาม......แล้วตอบตรงเผย
"ปัฏฐาน"คลี่....ธรรมที่ตั้งเอ่ย....ปัจจัยใดเคย....เกี่ยวข้องซึ่งกัน

   ๗.ทั้งเจ็ดคัมภีร์......พุทธ์เจ้าเทศน์คลี่......พุทธมารดาสรรค์
ตอบแทนพระคุณ....อดุลย์ยิ่งครัน....เทศนาจบพลัน....โสดาบันแล

   ๘.ในปัจจุบัน......คราตายสวดพลัน......อภิธรรมแฉ
นำเจ็ดคัมภีร์....พิธีศพแน่....ส่งกุศลแก่....ผู้ตาย,ญาติเอย

   ๙.สวดเจาะคัมภีร์......แต่ละข้อมี......การบรรยายเผย
ธัมมสังฯเริ่มนา...."กุสลาธัมฯ"เอ่ย....ธรรมกุศลเปรย....ไร้โทษติเตียน

   ๑๐.มีสุขวิบาก......"อกุศลาฯ"ยาก.......ธรรมอกุศลเวียน
มีโทษบัณฑิต....ประชิดติเตียน....ทุกข์ติงยากเปลี่ยน....เป็นวิบากไกล

   ๑๑."อัพยากตา"......ธรรมพระพุทธ์ฝ่า......มิพยากรณ์ไข
เจาะเลวหรือดี....มิชี้ชัดได้....ล้วนเป็นธรรมไซร้....แบบกลางกลางเอย

   ๑๒."กาตะเมฯ"นา.......ธรรมกุศลหนา......เป็นอย่างไรเผย
"ยัสมีฯ"ใดครา...."กาเมวะฯ"เคย....จิตกุศลเอ่ย....ย่อมเกิดขึ้นนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, มิถุนายน, 2568, 07:58:12 AM
(ต่อหน้า ๒/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๓.พร้อม"โสมนัส".....กอปรด้วยญาณชัด......"รูปารมณ์วา"
กล่าวถึงอารมณ์....ชื่นชมรูปหนา....หรือมีรูปกล้า....เป็นอารมณ์คม

   ๑๔."สัททารมณ์ฯ"เพียง......อารมณ์คือ"เสียง"......เสียงมีอารมณ์
"คันธารมณ์"เด่น....ว่าเป็นกลิ่นสม....หรือมีกลิ่นฉม....เป็นอารมณ์เอย

   ๑๕."รสารมณ์ฯ"จด......อารมณ์คือ"รส".......รส,อารมณ์เผย
"โผฏฐัพพาฯ"นี้....สิ่งที่กายเกย....หรือมีโผฏฐ์ฯเอย....อารมณ์เองเชียว

   ๑๖."ธรรมารมณ"ล้ำ......อารมณ์คือธรรม......เกิดแก่ใจเชี่ยว
ธรรมอารมณ์ใจ....กล่าวไซร้ดีเจียว...."ตัสมีสมฯ"เทียว....สมัยนั้นครา

   ๑๗."ผัสโส,โหฯ"จ่อ......"อายตนะ"ต่อ......ใน-นอกเกิดวิญญ์ฯหนา
"อวิเขฯ"จุ่ง....ไม่ฟุ้งซ่านนา....ย่อมมีอยู่จ้า....จิตแน่วแน่คง

   ๑๘."เยวาปะนะ"......"ตัสะมิง,สะ"......ธรรมหลายเกิดตรง
ก็"อัญเญปิ....อัตถิปฏิจจ์ฯ"ทรง....ธรรมพึ่งจิตบ่ง....อาศัยเกิดแล

   ๑๙."อรูปิโน"......นามธรรมโอ่......ธรรมไร้รูปแล้
"อเม ธัมมา....กุสลา"แน่....ธรรมหลายชื่อแท้....กุศลสุขเอย

   ๒๐.สอง,"วิภังโค"......แยกปัญจักฯโร่.....แจงเป็นข้อเผย
"ปัญจักขันธา"....กองห้าขันธ์เอ่ย...."รูปักขันธ์ฯ"เลย....คือ"กองรูป"ตรง

   ๒๑.รูปสภาพกลาย......เปลี่ยนแตกสลาย.....กอปรธาตุสี่บ่ง
ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม....ระดมสิ่งปลง...."สามสิบสอง"ยง....อาการเช่น"เอ็น"

   ๒๒."เวทนาขันธ์".......รู้สึกสุขครัน......ทุกข์หรือเฉยเด่น
"สัญญก์ขันธ์"...."จำ"มั่นหมายเน้น...."สังขาขันธ์"เป็น....คิดปรุงชั่ว,ดี

   ๒๓."วิญญาณักขันธ์ฯ"......รู้แจ้งเกิดครัน......"ตา"กระทบปรี่
กับรูป,เสียง,รส....จรดกลิ่นคลี่....ได้สัมผัสรี่....ทั้งดีและมัว

   ๒๔.ทั้งขันธ์ห้าโอ่......"รูปักขันโธ"......เป็นอย่างใดทั่ว
"ยังจิญฯ รูปังฯ"....รูปทั้งผ่านรัว....ปัจจุบันจั่ว....อนาคตแล

   ๒๕."อัชฌัตตังฯ"นั้น.....ภายใน,นอกครัน.....หยาบ,ละเอียดแฉ
เลวหรือดีไซร้....อยู่ใกล้,ไกลแน่...."อภิสัญฯ"แล้....รวมหมวดเดียวกัน

   ๒๖."อภิสังฯ"ดิ่ง.....ย่นย่อเข้ายิ่ง....."อยังวุจฯ"ดั้น
กองรูปธรรมนา....ตถาคตพลัน....ตรัสชี้ว่าครัน....เป็นรูปขันธ์เอย

   ๒๗.สาม,ธาตุกถา......"สังคโห"นา.....รวมหมวดเดียวเผย
เช่น"รูปขันธ์"ดา...."ธาตุ,อายตาฯ"เอ่ย....เป็นรูปธรรมเอย....พวกเดียวกันแล

   ๒๘."อสังโห".....ไม่รวมเข้าโผล่.......นาม,รูปธรรมแฉ
"สังคหิฯ"ตั้ง...."อสังหิฯ"แล้....ธรรมฝ่ายเดียวแท้....รวมกันได้เอย

   ๒๙."อสังคหิเตน"......"สังคหิฯ"เร้น......คนละฝ่ายเผย
จึงไม่เข้ากัน....นามขันธ์,นามเอ่ย....ธรรมฝ่ายรูปเกย....จึงไม่เข้ากัน

   ๓๐."สังคหิเตน......สังคหิฯ"เด่น......ฝ่ายเดียวรวมครัน
"อสังคะฯ"ชัง....อสังคะฯนั้น....เป็นฝ่ายต่างกัน....ต้องห่างกันไกล

   ๓๑."มัสป์โยโค".......ความประกอบโด่......มีเกิด,ดับไข
อารมณ์ร่วมนา...."เวทนาขันธ์"ไว...."สัญญาขันธ์"ไซร้...."สังขารขันธ์"แล

   ๓๒.นามขันธ์สามขาน......"วิญญาณขันธ์"พาน.....ประกอบกันแฉ
ส่วนรูปขันธ์จะ....ไม่ประกอบแท้....กับสิ่งอื่นแน่....แต่อย่างใดเลย

   ๓๓."วิปปโยโค".......ไม่ประกอบโชว์......พรากอยู่ห่างเผย
เกิด,ดับต่างกัน....รูปขันธ์ขัดเฉย....กับนามขันธ์เอ่ย....สี่นามครรไล

   ๓๔."สัมปยุตเตน"......."วิปปยุตต์ฯ"เด่น.....ธรรมกอปรกันใส
แต่ขัดธรรมอื่น....ธาตุดื่น,ขันธ์ไว....กอปรสี่นามไว้....เว้นรูปขันธ์แล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, มิถุนายน, 2568, 05:39:27 PM

(ต่อหน้า ๓/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๓๕."วิปปยุตเตน"......สัมปยุตต์ฯเค้น......ไม่กอปรใดแฉ
เช่นนามขันธ์สี่....ชี้ไม่กอปรแน่....กับรูปขันธ์แล้....หรือธรรมอื่นใด

   ๓๖."อสังคหิตัง"......หมวดธรรมที่หยั่ง......ประกอบกันได้
ขัดมิกอปรนา....บางครากอปรไว....บางคราไถล....ประกอบร่วมเอย

   ๓๗.สี่"บัญญัติฯ"คุณ.....สูง,ต่ำอดุลย์......การหลุดพ้นเผย
"ฉบัญญัติฯ"....แจ้งชัดหกเอ่ย....ประกาศตั้งเลย....บุคคลหลายแล

   ๓๘."ขันธติปัญญ์ฯ".......บัญญัติห้าขันธ์.....รูป,เวทนา..แฉ
"อายตนะ"....แจงปะต่อแท้....ภายใน-นอกแล้....หู,จมูก,ตา..

   ๓๙."ธาตุบัญญัติฯ"ไว้.....กำหนดธาตุไซร้.....สิบแปดอาการหนา
"สัจจปัญญ์ฯ"ล้ำ....แจงธรรมจริงนา....สี่ประการกล้า....ทุกข์,สมุทัย..

   ๔๐."อินทริยะ"......แจ้งอินทรีย์ปะ......ยี่สิบสองไข
"ปุคคลปัญญ์ฯ"รุก....เรียกบุคคลได้....จากหลุดพ้นไซร้....ยันปุถุชน

   ๔๑."กิตตาวตา".....ปุคคลาฯกล้า......ประมาณไหนพ้น
"สมย์วิมุตฯ"....พ้นรุดถึงผล....สมาบัติดล....ถึงชั่วคราวเอย

   ๔๒.อาสว์กิเลสราน......บางส่วนได้ผลาญ.....อริย์สามเผย
เช่น"โสดาบัน"....ยัน"สกิทาฯ"เอย...."อนาคาฯ"เชย....ชั้นต้นอรีย์

   ๔๓."อสมย์วิมุต".......ขีณาสพหลุด......พ้นยั่งยืนรี่
อาสว์กิเลสหมด....จรดปัญญาคลี่....คืออรหันต์ที่....ลุวิโมกข์ธรรม

   ๔๔."กุปปธัมโม"......ผู้มีธรรมโผล่......ยังไม่ชาญทำ
"รูปสมาบัติ"....ชัด"อรูปฯ"ซ้ำ....อาจเสื่อมถลำ....ฌานสมาบัติลง

   ๔๕."อกุปป์ธัมโม"........สิ้นกำเริบโข.......เสื่อมสมาบัติบ่ง
เพราะเชี่ยวรูปสมาฯ....กล้า"อรูปาฯ"ส่ง....ไม่มีเสื่อมยง....เช่นอนาคามี

   ๔๖.กับพระอรหันต์......ทั้งสองชื่อดั้น....."อกุปป์ธัมฯ"ลี้
วิโมกธรรมล้ำ....ไม่กำเริบปรี่....ธรรมมิเสื่อมหนี....อีกต่อไปนา

   ๔๗."ปริหารธัมโม"......ผู้มีธรรมโร่.....ยังเสื่อมได้หนา
"อปริหานธัมฯ"....มีล้ำธรรมจ้า....มิเสื่อมได้นา....ไม่กำเริบแล

   ๔๘."เจตนาภัพโพ"......ผู้ไม่เสื่อมโง่......เอาใจใส่แฉ
แม้รูปสมาบัติ....มิจัดชาญแท้....ย่อมไม่เสื่อมแน่....จากสมาบ้ติเอย

   ๔๙."อนุรักขนาฯ"......ผู้คอยรักษา......"รูปสมาบัติ"เผย
หรือ"อรูปสมาฯ"....แม้หาเชี่ยวเลย....ก็ไม่เสื่อมเปรย....จากสมาบัติไว

   ๕๐."ปุถุชชโน"......ผู้กิเลสโอ่......หนาแน่นมากไข
ผู้ยังไม่ตัด....ปัดสังโยชน์ได้....กิเลสสามไกล....ยังเพิกอยู่แล

   ๕๑."โคตรภู"ผู้ได้......ธรรมแล้วก้าวใกล้.....อริยธรรมแฉ
หว่างภาวะที่....ชี้หาใช่แน่....ปุถุชนแล้....หรืออริยชน

   ๕๒."ภยูปร์โต"......ผู้เว้นเพราะโง่......กลัวภัยสี่ผล
เจ็ด"เสขะ"เกรง....ภัยเด้งจากดล...."วัฏฏภัย"วน....ทั้ง"กิเลสภัย"

   ๕๓.อีก"อุปวาฯ"......ความติเตียนนา......ชนมี"ศีล"ใกล้
กลัวภัยเพิ่มรุก....คือ"ทุคคติภัย"....ทำผลชั่วไว้....กาย,ใจ,วาจา

   ๕๔."อภยฯ"ไว......ผู้ไม่กลัวภัย......อรหันต์หนา
เพราะได้ตัดบาป....ราบคาบแล้วนา....มีความหาญกล้า....ภัยทอนสิ้นลง

   ๕๕."ภัพพาค์มโน".......ผู้กุศลโร่......ปราศ"อนันตริย์ฯ"บ่ง
ไร้"กิเลสสาฯ"....พาเห็นผิดปลง....ไร้"วิปาฯ"ส่ง....เรื่องโลภ,โกรธเอย

   ๕๖.ผู้มีศรัทธา......ฉันทะ,ปัญญา......มิบ้า,ใบ้เผย
เหมาะเป็นยิ่งนา....ภัพพาฯเปรียบเปรย....ควรลุมรรคเชย....ต่อไปได้ครัน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, มิถุนายน, 2568, 09:00:34 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๕๗."อภัพพาฯ"แน่.....ผู้ไม่มาแล้.....กุศลธรรมดั้น
ไม่มีสิ่งอวย....กอปรด้วยเครื่องกั้น....สามอย่างขวางพลัน....มรรคผลสิ้นทาง

   ๕๘."นิยโต"แล้.....ผู้เที่ยงแน่แท้.....ก่อ"อนันตริย์"ขวาง
มิจฉาทิฏฐิ....ตริเห็นผิดพร่าง....ตายแล้วมิคลาง....นรกจ่อเลย

   ๕๙.ผู้อริยะ......มรรค,ผลแปดปะ......เที่ยงลุสูงเผย
แน่ตรงสัมฤทธิ์....เสร็จกิจลุเอ่ย...."อนุปาฯ"เชย....กาย,ขันธ์ทำลาย

   ๖๐."อนิยโต".......ผู้ไม่เที่ยงโร่......จิตรวนเรฉาย
ไม่มั่นรัตน์ตรัย....คติไซร้มักกลาย....จะไร้ทางวาย....สู่มรรค,ผลแล

   ๖๑."ปฏิป์นันโก"......ผู้ถึงพร้อมโข.....ในมรรคสี่แฉ
"ผเลฏฐิโต"....ผู้โชว์พร้อมแล้....ลุผลสี่แน่....เข่นโสดาฯยง

   ๖๒."อรหา"ครัน......เป็นพระอรหันต์......ละสังโยชน์บ่ง
คือกิเลสสิบ....ดับลิบหมดลง....ลุนิพพานตรง....สุข,ว่างเอย

   ๖๓."อรหัตตายะ"......."ปฏิปันโน"ปะ......ผู้คงตนเอ่ย
อรหันต์โชติ....สังโยชน์ปลายเผย....ทั้งสี่ละเคย...."รูปราคะ"แล

   ๖๔."กถาวัตถุ".....คัมภีร์ห้าลุ......คำถาม,ตอบแฉ
เพื่อแจงหลักธรรม....ถ้อยคำถูกแล้....นิกายต่างแก้....เพื่อถกถ้อยจริง

   ๖๕."ปุคคโล"......อุปลลัพฯโร่......คำถามแจ้งดิ่ง
สัตว์,ชาย,หญิงนี้....เห็นมีได้จริง....ปรมัตถ์ยิ่ง....ประโยชน์สุดฤา

   ๖๖."อามันตา"ไซร้......ตอบย่อมมีได้....พุทธ์เจ้าตรัสครือ
ในพระสูตรตาม....คือความจริงชื่อ....โดยสมมติถือ....ง่ายอธิบาย

   ๖๗."โย สัจฉิกัตฯ"........ถามความแจ่มชัด......เป็นจริงยิ่งฉาย
ด้วยสัตว์,ชาย,หญิง....มีดิ่งขยาย....อรรถแจ่มแจ้งกราย....โดยปรมัตถ์ฤา

   ๖๘."น เหวัง วัตต์ฯ".......ตอบอย่ากล่าวซัด.....เช่นนั้นเพื่อยื้อ
สัตว์,ชาย,หญิงนั้น.....ครันไม่มีถือ....ไร้สัจจะคือ....ไม่จริงยิ่งเลย

   ๖๙."อาชานิ นิคค์ฯ".......ถามท่านได้พลิก......ถ้อยตอนต้นเอ่ย
รับรองมาแล้ว....แน่วปฏิเสธเอย....ควรรับโทษเผย...."นิคหะ"ถูกข่มแล

   ๗๐."หัญจิ ปุคค์โล"......ถ้าสัตว์หลายโผล่......มีได้จริงแน่
ควรกล่าวเป็นจริง....มียิ่งแจ่มแท้....อรรถขัดเจนแม้....ปรมัตถ์ยิ่งยง

   ๗๑."เตนะ วตะ".......พึงกล่าวถ้อยนะ.......แจ่มแจ้งจริงส่ง
สัตว์,ชน,บุคคล....ท้นชาย,หญิงคง....มีได้แน่ตรง....ตามปรมัตถ์นา

   ๗๒."มิจฉา"เห็นผิด.......ท่านตอบรับชิด......ชน,ชาย,หญิงหนา
มีจริงโดยอรรถ....ชัดแจ่มแจ้งฟ้า....มียิ่งสุดหล้า....คือปรมัตถ์เอย

   ๗๓.แต่ไม่รับรอง......ปัญหาหลังผอง......อรรถจริงยิ่งเผย
ถ้อยคำท่านผิด....เพราะบิดแย้งเอ่ย....ไม่รับรองเลย....ในครั้งหลังแล

   ๗๔.ก็ไม่พึงกล่าว......รับปัญหาฉาว......ครั้งต้นก่อนแล้
สัตว์,ชาย,หญิง,ชน....ข้อต้น,หลังแน่....จึงผิดพลาดแท้....ขัดแย้งกันเอง

   ๗๕.หก,"ยมก"กรู......คำถามเป็นคู่......ถ้อยย้อนกันเผย
คิดเทียบเคียงปน....เหตุผลหาเปรย....เข้าใจซึ้งเลย....ทั้งสองแง่แล

   ๗๖."เย เกจิฯ"ยล......ธรรมเป็นกุศล......อย่างหนึ่งครันแฉ
"สัพพเพ เตฯ"กราย....ธรรมหลายเป็นแน่....กุศลมูลแล้....เหง้ากุศลเอย

   ๗๗.มี"อโลภะ".......อีก"อโทสะ"......"อโมหะ"เผย
ต้นเหตุกุศล....ชั่วพ้นไปเอย....เว้นกระทำเลย....ชั่วลดแน่นอน

   ๗๘."เย วา ปนะฯ"......ธรรมหลายใดปะ......กุศลมูลจร
"สัพเพ เตฯ"กราย......ธรรมหลายนั้นช้อน....ล้วนกุศลพร....ทั้งสิ้นครรไล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, มิถุนายน, 2568, 03:55:27 PM

(ต่อหน้า ๕/๑๘) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๗๙."เย เกจิ"เด่น......ธรรมหลายล้วนเป็น.....กุศลแหล่งใด
"สัพเพ เตฯ"พราย....ธรรมหลายนั้นไว....มีรากมาไซร้....จาก"เอกมูลา"

   ๘๐."เอกมูลา"นับ......ความเดียวกันกับ.....กุศลมูลหนา
"เย วา ปนะฯ"....ธรรมจะเป็นนา....ดั่งเอกมูลา....มูลรากเดียวกัน

   ๘๑."สัพเพ เต"นา....."ธัมมา กุสลา"......ธรรมหลายเหล่านั้น
เป็นกุศลสิ้น....ผลินจิตพลัน....เกิดสุขะสันต์....ควรสะสมเอย

   ๘๒.เจ็ด,"ปัฏฐาน"ไซร้.....ที่ตั้งปัจจัย.....ยี่สิบสี่เผย
แจงสัมพันธ์ชัด....ใดปัจจัยเอ่ย....ของอะไรเปรย....ช่วยเกื้อหนุนแล

   ๘๓."เหตุปัจจโย"......เหตุที่ตั้งโร่......มีหกอย่างแฉ
อกุศลเหตุ....ประเภทสามแล้....โลภะ,โกรธแย่....โมหะ,หลงเอย

   ๘๔.กุศลเหตุดะ.......มี"อโลภะ"......"อโทสะ"เผย
"อโมหะ"ดล....กุศลเหตุเอย....ปัจจัยดีเชย....ช่วยนาม,รูปแล

   ๘๕.เหตุหนุนให้เกิด......นาม,รูป,จิตเชิด.....เจตสิกแฉ
ดั่งรากแก้วไม้....ได้ยึดต้นแท้....ตั้งยั่งยืนแน่....ช่วยไม้งอกงาม

   ๘๖."อารมณ์ปัจจ์โยฯ"......อารมณ์ก่อโต......มีอยู่หกผลาม
โดยเจตสิกหน่วง....ล่วง"รูป,เสียง"ลาม...."กลิ่น,รส,โผฏฯ"ตาม....พร้อมธัมมารมณ์

   ๘๗."ตา"เห็น"รูป"อยู่.....เกิดวิญญาณ"รู้"......รูปารมณ์สม
มองดี,จิตดี....มองรี่ร้ายตรม....ตาไม่มองชม....รูปารมณ์คลาย

   ๘๘.อารมณ์หกนี้.....อย่าใส่ใจชี้......ไร้อำนาจผาย
เหนือจิตใจเขา....โง่เขลาโทษร้าย....มีสติฉาย....คุมอารมณ์ไว

   ๘๙."อธิปติปัจจ์ฯ"......คล้ายอารมณ์ชัด.....สบอารมณ์ใฝ่
เกิดอกุศลติด....เพราะจิต,กายไซร้....ใช่อารมณ์ไม่....คุมสติ,พฤติดี

   ๙๐."อารัมณาฯ"......อารมณ์แรงกล้า......ต้องการยิ่งรี่
"สหชาตาธิปฯ"....ธรรมกริบเกิดคลี่....ในใจมีสี่...."ฉันทาฯ"พอใจ

   ๙๑."วิริยาธิปฯ"......ใจเกิดเพียรพริบ......"จิตตา"ใจใฝ่
"วิมังสาฯนา....ปัญญาเกิดไสว....ทั่งสี่เก่งไซร้....นำธรรมอื่นเอย

   ๙๒.ธรรมสี่หัวหน้า......นำสัมฤทธิ์นา.....ร่วมธรรมอื่นเผย
ทั้งสี่หย่อนทำ....ไม่สำเร็จเลย....หมั่นธรรมสี่เปรย....สำเร็จงดงาม

   ๙๓."อนนัตร์ฯ"ครัน......ธรรมเกิดตามกัน.....ไร้ใดคั่นผลาม
คือจิตเกิดก่อน....แล้วถอนดับตาม....ไร้จิตอื่นลาม....มาคั่นอยู่แล

   ๙๔.จิตที่เกิดหลัง......กลุ่มจิตอื่นยัง.....ไม่มีคั่นแฉ
พุทธ์ฯชี้กฏจร....จิตก่อนดับแล้....จิตพวกเดียวแท้....เกิดตามเร็วพลัน

   ๙๕."สัมนันตร์ฯ"ชัด.....คล้ายอนนัตร์ฯ.....ไร้จิตอื่นคั่น
เปรียบคล้ายกับจ้วง....จิตดวงเดียวกัน....ฉะนั้นจงมั่น....ทำดีตลอดกาล

   ๙๖."สหชาต์ปัจจ์ฯ"......ธรรมเกิดร่วมชัด.....ปัจจัยก่อสาน
เกิดร่วมหนุนไซร้....ตนไม่เกิดพาน....ธรรมอื่นก็ราน....ไม่เกิดเช่นกัน

   ๙๗.นามขันธ์สี่......มหาภูตฯปรี่......เกิดหทัยสรรค์
ล้วนสหชาตา....เกิดหนาด้วยกัน....กายมนุษย์พลัน....เติบโตต่อไป

   ๙๘."อัญญมัญฯ"ครัน.....ธรรมเกื้อกูลกัน.....เหมือนไม้พิงไว้
จึงตั้งคงมั่น....นามขันธ์สี่ไซร้....หนุนกันส่งไว....แต่ละขันธ์จุน
   ๙๙.เกิด"สัมผัส"พรู......"เวทนา"ก็รู้....."สัญญา,จำ"ผลุน
เช่น"เจ็บ"แล้ว"จำ"....จำซ้ำเจ็บหนุน....สลับดุน....เวทนา,สัญญา

   ๑๐๐."นิสสยปัจจ์ฯ"......ธรรมนิสัยชัด......ที่ตั้งอยู่หนา
ปัฐวีธาตุ....ดาษแผ่นดินนา....ให้ธาตุอื่นมา....อาศัยพักกราน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, มิถุนายน, 2568, 05:42:36 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๐๑.วัตถุหกมี....."ตา"ที่ตั้งปรี่.....จักขุวิญญาณ
นามขันธ์สี่....ที่อิงประสาน...."ดิน,น้ำ,ลม"พาน....และ"ไฟ"เช่นกัน

   ๑๐๒."อุปนิสสะฯ"......เป็นนิสัยปะ......อารมณ์กล้าสรรค์
เกิดตามติดมา....ธรรมหามีคั่น....เกิดแรงกล้าพลัน....ไม่เกี่ยวอารมณ์

   ๑๐๓.เหตุทำตนเอง......ทั้งดี-ชั่วเผง......ปกติสม
หาหลักพึ่งตริ....อุปนิสัยบ่ม....ทำจนชินจม....ทั้งเลวหรือดี

   ๑๐๔."ปุเรชาตะฯ"......ธรรมเกิดก่อนจะ......เป็นปัจจัยชี้
ยังมิดับไซร้....ปัจจัยหนุนคลี่....จิต,เจตสิกปรี่....ทำงานต่อไป

   ๑๐๕.เปรียบดวงอาทิตย์.....ดวงจันทร์ประชิด.....ยังมิดับไข
สัตว์โลกพึ่งพิง....เกิดดิ่งอาศัย....ในโลกนี้ไซร้....ไปตลอดกาล

   ๑๐๖."ปัจฉาชาตะฯ"......ธรรมเกิดหลังนะ.....เป็นปัจจัยสาน
จิต,เจตสิกชี้....เกิดทีหลังชาญ....หนุนรูปฯก่อนพาน....ครบอายุแล

   ๑๐๗.อายุรูปนาม......เท่าอายุนำ......จิตสิบเจ็ดแฉ
รูปธรรมอยู่ได้....นานไซร้จิตแน่....อุปถัมภ์แท้....อยู่เจริญชม

   ๑๐๘."อาเสวนาฯ"......ธรรมหน้าที่หนา.....เสพบ่อยอารมณ์
ชวนะจิตชี้....รี่แล่นเร็วสม....ช่วยธรรมเดียวบ่ม....ให้เกิดขึ้นครัน

   ๑๐๙.ชวนะจิต......เป็นกุศลชิด......เกิดหนึ่งดวงสรรค์
ก็ปัจจัยหนุน....เกิดลุ้นต่อพลัน....ดวงสอง,สามยัน....ดวงที่เจ็ดเอย

   ๑๑๐.ถึงดวงที่เจ็ด.....ตัวเจตนาเด็ด......กิจสำเร็จเผย
คล้ายเรียนวิชา....มาแล้วเพิ่มเอ่ย....อย่างเดียวกันเคย....สิ้นการเร็วแล

   ๑๑๑."กัมมปัจจ์ฯ"ไซร้.....กรรมเป็นปัจจัย.....จิต,เจตสิกแฉ
เจตนาแจง....ปรุงแต่งจิตแล้....รูปเกิดพร้อมแท้....ด้วยจิต,กรรมเอย

   ๑๑๒.จิต,เจตสิกรับ......รูปารมณ์ฉับ.....เกิดโลภขึ้นเผย
แสดงออกมา....กาย,วาจาเคย....อำนาจโลภเอ่ย....มูลเจตนา

   ๑๑๓.กรรมหลายที่ทำ.....เป็นปัจจัยหนำ.....เพาะพืชพันธ์หนา
เจตนา,จิตดับ....ลับไปแล้วครา....กรรมเจตนา....ส่งผลต่อไป

   ๑๑๔."วิปากปัจจ์ฯ"......วิบากธรรมจัด.....ผลดี,ชั่วไข
วิบากนามขันธ์....สี่ครันปัจจัย....หนุนซึ่งกันไซร้....เกิดกัมม์รูปฯแล

   ๑๑๕.ช่วย"จิตต์รูปฯ"เกิด.....วิบากที่เชิด.....ปัจจัยหนุนแฉ
คล้ายชราพราก....วิบาก"ชาติ"แท้....แรกทารกแน่....หนุนชราต่อมา

   ๑๑๖."อาหารปัจจ์ฯ"รี่......อาหารมีสี่......หนุนรูป-นามหนา
"กวฬิงฯ"ก้อน....ข้าวป้อนกายนา...."ผัสสาหาร"หล้า....เลี้ยงเวทนาเอย

   ๑๑๗."มโนสัญญา"ไซร้.....เจตนาจงใจ.....หนุนพูด,คิดเผย
"วิญญาณาหาร"....พานอาหารเอ่ย....รูป,เวทนาเปรย....สังขาร,สัญญา

   ๑๑๘."อินทรีย์ปัจจ์ฯ".....ธรรมปัจจัยชัด.....อินทรีย์ยิ่งหนา
ทำยี่สิบสอง....ครองหน้าที่กล้า....ของตนเองนา....ปัจจัยต่อกัน

   ๑๑๙."ฌานปัจจโย"......ฌานปัจจัยโด่.....อารมณ์แน่วครัน
กอปรด้วย"วิตก"....ยก"วิจาร"ดั้น...."ปีติ"ไวพลัน....รู้"เวทนา"

   ๑๒๐."เอกัคค์ตา"เกิด......อารมณ์เดียวเทิด.....ปัจจัยหนุนกล้า
นามขันธ์สี่ล้ำ...กัมมช์รูปหล้า....จิตตชรูปหนา....เกิดขึ้นพร้อมตน

   ๑๒๑.อีกฌานมีสอง....."อารมณ์ณูฯ"ตรอง.....สมถะล้น
"ลักขณูฯ"จัด....วิปัสส์นายล....สองฌานหนุนท้น....ปัจจัยซึ่งกัน

   ๑๒๒."มัคคปัจจ์ฯ"พรู......ธรรมนำทางสู่.....สุคติสรรค์
ทุคติ,นิพพาน....ผ่านมรรคเก้าครัน....ทั้งกุศลดั้น....อกุศล,กลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, มิถุนายน, 2568, 03:54:54 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๘) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

   ๑๒๓.เก้าปัจจัยนำ......หนุนสหชาติธรรม......ที่เกิดพร้อมพร่าง
เข้าสู่อารมณ์....สมกับตนพลาง....ทำกิจเสร็จสาง....ตามหน้าที่ตน

   ๑๒๔.สัมปยุตต์ฯครัน......ธรรมประกอบกัน......เป็นปัจจัยด้น
ทำพร้อมสี่อย่าง....บ้าง"เกิด"พร้อมยล...."ดับก็ดับรน....มี"อารมณ์"เดียว

   ๑๒๕."อยู่ที่เดียวกัน"......จิต,เจตสิกนั้น......เป็นปัจจัยเชียว
หน้าที่ต่างกัน....พลันสัมปยุตต์ฯเปรียว....ประกอบชิดเทียว....เป็นเนื้อเดียวเลย

   ๑๒๖."วิปปยุตต์ปัจจ์ฯ"......ธรรมปัจจัยชัด......มิเข้ากันเผย
เช่นนาม,ปัจจัย....ไซร้แก่"รูป"เอย....เป็นวิปป์ยุตต์ฯเอ่ย....ไม่เข้ากันแล

   ๑๒๗."อัตถิปัจจโย"......มีธรรมอยู่โข......เป็นปัจจัยแผ่
เพราะยังตั้งอยู่....มิจู่ดับแฉ....เพื่อหนุนธรรมแน่....ให้เกิดผลตน

   ๑๒๘.เช่นนามขันธ์สี่......เป็นอัตถิฯรี่.....ปัจจัยกันท้น
ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม....สม"นามรูป"ดล....คราชีพเกิดตน....เป็นอัตถิฯกัน

   ๑๒๙."นัตถิปัจจโย"......ไร้ปัจจัยโอ่......ไม่มีธรรมดั้น
จะหนุนธรรมสืบ....คืบต่อไปพลัน....เช่นเจตสิกครัน....เกิดดวงหนึ่งเอย

   ๑๓๐.ดวงหนึ่งอยู่บ่ง......ยังมิดับลง......สองมิเกิดเผย
เหมือนแสงสว่าง....พลางลับแล้วเอ่ย....ความมืดมาเลย....เกิดมีขึ้นนา

   ๑๓๑."วิคตปัจจ์ฯ......ธรรมปลาตชัด......คือธรรมดับหนา
หนุนธรรมให้คลาด....ปราศจากพา....เกิดเช่นเดียวกล้า....นัตถิปัจจ์ฯแล

   ๑๓๒."อวิคต์ปัจจ์ฯ......ธรรมไร้ปราศจัด.....ยังมิดับแฉ
ปัจจัยช่วยเหลือ....มีเอื้อกันแน่....เช่นเดียวกันแท้....อัตถิปัจจัย

   ๑๓๓.สรุปความหมาย.....สวดอภิธรรมปราย.....กล่าวธรรมยิ่งไข
"จิต,เจตสิก"กริบ...."รูป,นิพพาน"ไว้....สภาพธรรมไซร้....ถือไร้บุคคล

   ๑๓๔.มีแต่สิ่งรวม.....ประชุมกันสรวม.....จิต,เจตสิกด้น
และนิพพานครือ....ส่วนชื่อเรียกนั่น....เรียกนี่แล้วพลัน....ล้วนสมมตินาม

   ๑๓๕.สวดพระอภิธรรม......แจงความจริงล้ำ.....ชีพกอปรรูป,นาม
รูปคือกายเชิด....เกิดด้วยธาตุผลาม...."ดิน,น้ำ,ไฟ"ลาม...."ลม"ประชุมกัน

   ๑๓๖.นามกอปรด้วย"จิต"......เจตสิกประชิด.....ทำงานร่วมสรรค์
นามขันธ์สี่มา....เวทนารู้ครัน....สัญญา,จำมั่น....สังขาร,คิดปรุง

   ๑๓๗.อีกวิญญาณบ่ม......รู้แจ้งอารมณ์......ผ่านตา,หู..ผลุง
สัจจะธรรมหนา....ปัญญาญาณจรุง....ลุนิพพานฟุ้ง....กิเลสสิ้นพลัน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑)อภิธรรมปิฎก พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๖๔๘
           ๒)คำแปลอภิธรรม ๗ คัมภีร์ https://www.watsacramento.org/w-article-074B-t.htm

พระไตรปิฎก = เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่ ๆ คือ (๑)พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัยสิกขาบทต่าง ๆ ของภิกษุและภิกษุณี มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๒)พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรซึ่งเป็นพระธรรมเทศนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ที่แสดงแก่บุคคลต่างชั้นวรรณะและการศึกษา ต่างกรรมต่างวาระกัน มีทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง มีรวม ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๓)พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง อธิบายด้วยหลักวิชาล้วนๆ โดยไม่อ้างอิงเหตุการณ์และบุคคล มีรวม ๔๘,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรม =ว่าด้วยเรื่องของปรมัตถธรรม มี ๔ ประการ อันได้แก่ (๑)จิต (๒) เจตสิก (๓)รูป และ (๔)นิพพาน เป็นสภาวธรรม ล้วนๆ  ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, มิถุนายน, 2568, 09:29:08 AM

(ต่อหน้า ๘/๑๙) ๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

พระอภิธรรมปิฎก= แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ) คือ
(๑)ธัมมสังคณี -รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่แล้วอธิบายทีละประเภทๆ (๒)วิภังค์ -ยกหมวดธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นตั้งเป็นหัวเรื่องแล้วแยกแยะออกอธิบายชี้แจงวินิจฉัยโดยละเอียด (๓)ธาตุกถา -สงเคราะห์ข้อธรรมต่าง ๆ เข้าในขันธ์ อายตนะ ธาตุ (๔)ปุคคลบัญญัติ -บัญญัติความหมายของบุคคลประเภทต่างๆ ตามคุณธรรมที่มีอยู่ในบุคคลนั้น (๕)กถาวัตถุ -แถลงและวินิจฉัยทัศนะของนิกายต่างๆ สมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ (๖)ยมก (ภาค ๑, ภาค ๒) ยกหัวข้อธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ (๗)ปัฏฐาน หรือ มหาปกรณ์ (ภาค ๑, ภาค ๒, ภาค ๓, ภาค ๔, ภาค ๕, ภาค ๖) อธิบายปัจจัย ๒๔ แสดงความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกันแห่งธรรมทั้งหลายโดยพิสดาร
การสวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์=ครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แสดงแก่พุทธมารดาฟัง ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมทั้งเหล่าเทวดาทุกชั้นที่พากันมาฟังธรรมที่ชั้นดาวดึงส์  ทำให้เหล่าเทวดาได้บรรลุธรรมพร้อมกัน มีพระโสดาบัน เป็นเบื้องต่ำ และอนาคามีเป็นเบื้องสูง ใช้เวลาในการแสดง ๓ เดือน (๑ พรรษา)
การสวดพระอภิธรรมศพ=พระสงฆ์นำเอาพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ มาสวดในงานศพ ก็เพื่อเจริญกุศลและอานิสงส์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ (๑)เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจความจริงของสังขาร ที่เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา โดยมีศพให้ดูเป็นตัวอย่างเบื้องหน้า (๒)เพื่อเป็นอีกอุบายวิธีหนึ่ง ในการป้องกันมิให้พระสัทธรรม หรือพระอภิธรรมอันตรธานไป (๓)เพื่อให้คนทั่วไปได้ฟังไว้เป็นอุปนิสัยปัจจัยในภายหน้า แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่ขณะฟัง หากตั้งใจฟังด้วยดี จิตก็ย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ และการที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธินั้น จัดเป็นบุญชั้นสูงอย่างหนึ่ง ที่ทางพระเรียกว่า “ภาวนามัย” คือบุญที่เกิดจากการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และน้อมอุทิศบุญนี้ให้เป็นส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ได้ (๔)เชื่อกันว่าพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นี้ ใครสวดครบ ๗ ปีร่างกายจะไม่เน่าเปื่อย เมื่อหมดบุญก็ขึ้นสวรรค์ทันที หรืออีกตัวอย่างหนึ่งตามตำนานเล่าว่า…ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ค้างคาว ๕๐๐ ตัว ซึ่งเกาะอยู่ที่ผนังถ้ำ และงูเหลือมแก่ๆอีกตัวหนึ่ง ได้ฟังพระสวดสาธยายพระอภิธรรม เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ครบ ๖๒ กัป จึงลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมง ต่อมาทั้ง ๕๐๐ คนก็บวชเป็นศิษย์ของพระสารีบุตร ครั้นได้ฟังพระอภิธรรมอีกครั้งก็บรรลุอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป กับอีก ๑ รูป (งูเหลือมแก่ในอดีตชาติ) และ “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม” วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย กล่าวไว้ “การสวดสาธยายพระอภิธรรมนี้ เทวดาชอบฟัง มนต์บทนี้ แม้แต่สวดในใจเทวดาก็ยังฟัง”
ธมฺมสงฺคณี=ธัมมสังคณี คัมภีร์ที่ ๑ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
กุสลาธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศล คือไม่มีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีสุขเป็นวิบากต่อไป
อกุสลาธฒฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นอกุศล คือมีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
อพฺยากตา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายที่เป็น อัพยากฤต คือท่านไม่พยากรณ์ว่า เป็นกุศล หรืออกุศล คือเป็นธรรมกลาง ๆ
กตเม ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลเป็นไฉน
ยสฺมึ สมเย ~ในสมัยใด
กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ ~ จิตที่เป็นกุศลอันหยั่งลงสู่กามย่อมเกิดขึ้น
โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ ~ เป็นไปกับโสมนัส ประกอบด้วยญาณ
รูปารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือรูป หรือมีรูปเป็นอารมณ์บ้าง
สทฺทารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือเสียง หรือมีเสียงเป็นอารมณ์บ้าง
คนฺธารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือกลิ่น หรือมีกลิ่นเป็นอารมณ์บ้าง
รสารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือรส หรือมีรสเป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฺฐพฺพารมฺมณํ วา ~ปรารภอารมณ์ คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง หรือมีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์บ้าง
ธมฺมารมฺมณํ วา ~ ปรารภอารมณ์ คือ ธรรม เรื่องที่เกิดแก่ใจ หรือมี ธรรมเป็นอารมณ์บ้าง
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ ~ ปรารภอารมณ์ใด ใด บ้างก็ดี
ตสฺมึ สมเย ~ ในสมัยนั้น
ผสฺโส โหติ ~ ความประจวบต้องกันแห่งอายตนะภายในภายนอก และวิญญาณ ย่อมมี ฯลฯ
อวิกฺเขโป โหติ ~ ความไม่ฟุ้งซ่านย่อมมี
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเญปิ อตฺถิ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา อรูปิโน ธมฺมา ~ ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายอันไม่มีรูป ที่อาศัยกันเกิดขึ้นแม้เหล่าอื่นใดมีอยู่ในสมัยนั้น
อิเม ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
วิภงฺโค=วิภังโค เป็นคัมภีร์ที่ ๒ มีคำสวดเป็น ภาษาบาลี ดังนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, มิถุนายน, 2568, 06:49:01 PM

(ต่อหน้า ๙/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปยฺจกฺขนฺธา ~ขันธ์ คือกองทั้ง ๕
รูปกฺขนฺโธ ~ รูปขันธ์ กองรูป ๑
เวทนากฺขนฺโธ ~ เวทนาขันธ์ กองเวทนา ๑
สญฺญากฺขนฺโธ ~สัญญาขันธ์ กองสัญญา ๑
สงฺขารกฺขนฺโธ ~สังขารขันธ์ กองสังขาร ๑
วิญฺญาณกฺขนฺโธ ~ วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ ๑
ตตฺถ กตโม รูปกฺขนฺโธ ~ในขันธ์ทั้ง ๕ นั้น รูปขันธ์เป็นไฉน
ยงฺกิญจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ~ รูปอันใดอันหนึ่งเป็นอดีต ล่วงไปแล้ว เป็นอนาคตยังมิได้มา เป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นอยู่ฉะเพาะหน้า
อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา ~ เป็นภายในหรือภายนอก
โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา ~ หยาบหรือละเอียด
หีนํ วา ปณีตํ วา ~ เลวหรือประณีต
ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา ~อันใด ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ตเทกชฺฌํ อภิสญฺญูหิตฺวา อภิสงฺขิปิตฺวา ~ ประมวลย่นย่อรูปนั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน
อยํ วุจฺจติ รูปกฺขนฺโธ ~ นี้พระตถาคตตรัสเรียกว่ารูปขันธ์
ธาตุกถา=คือคัมภีร์ที่ ๓ คำสวดภาษาบาลีคือ
สงฺคโห ~ การสงเคราะห์ คือรวมเข้าเป็นหมู่เดียวกัน เช่น สงเคราะห์รูปขันธ์เข้าด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ อันเป็นรูปธรรมด้วยกัน
อสงฺคโห ~ การไม่สงเคราะห์ คือไม่รวมเข้าเป็นหมู่เดียวกัน เช่น ไม่สงเคราะห์รูปขันธ์เข้าด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ อันเป็นนามธรรม
สงฺคหิเตน อสงฺหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้าด้วยกันได้เพราะเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมฝ่ายอื่น เช่นอายตนะธาตุฝ่ายรูป ที่สงเคราะห์เข้ากับรูปขันธ์ได้ แต่สงเคราะห์เข้ากับนามขันธ์ไม่ได้
อสงฺคหิเตน สงคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกัน แต่สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกัน เช่น นามขันธ์ไม่สงเคราะห์เข้ากับ อายตนะ ธาตุ ฝ่ายรูป แต่สงเคราะห์เข้ากับอายตนะ ธาตุฝ่ายนามด้วยกันได้
สงฺคหิเตน สงฺคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์เข้ากันได้ เพราะเป็นฝ่ายเดียวกัน ก็สงเคราะห์เข้ากันได้กับหมวดธรรมฝ่ายเดียวกันทั้งหมด เช่นขันธ์ อายตนะ ธาตุ ฝ่ายรูปหรือธรรม ก็สงเคราะห์เข้ากันได้ตามประเภททั้งหมด
อสงฺคหิเตน อสงฺคหิตํ ~หมวดธรรมที่สงเคราะห์กันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายกัน ก็สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับหมวดธรรมต่างฝ่ายกันทั้งหมด เช่น รูปขันธ์สงเคราห์เข้ากันกับนามขันธ์ไม่ได้ ก็สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้กับอายตนะธาตุฝ่ายนามทั้งหมด
มสฺปโยโค ~ความสัมปโยคประกอบกัน คือความมีเกิด ดับ มีวัตถุที่ตั้งและมีอารมณ์เป็นสภาค คือมีส่วนร่วมเป็นอันเดียวกัน เช่น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ มีสัมปโยคประกอบกับนามขันธ์ ๓ เหล่านี้ วิญญาณขันธ์ก็มีสัมปโยคประกอบกับนามขันธ์ ๓ เหล่านี้ได้ ส่วนรูปขันธ์ไม่มีสัมปโยคประกอบกันกับอะไรอื่น
วิปฺปโยโค ~ความวิปโยค ไม่ประกอบ คือพรากกัน เพราะเป็นวิสภาคผิดส่วนกัน จึงต่างเกิด ต่างดับ เป็นต้น เช่น รูปขันธ์มีวิปโยคไม่ประกอบกับนามขันธ์ ๔ นามขันธ์ ๔ ก็มีวิปโยคไม่ประกอบกับรูปขันธ์
สมฺปยุตฺเตน วิปฺปยุตฺตํ ~หมวดธรรมที่สัมปยุต ประกอบกันได้ ก็วิปปยุตไม่ประกอบกับหมวดธรรมประเภทอื่น เช่น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่สัมปยุตประกอบกับนาม ๔ ได้ ก็วิปปยุตไม่ประกอบกับรูปขันธ์
วิปฺปยุตฺเตน สมฺปยุตฺตํ ~หมวดธรรมที่วิปปยุตไม่ประกอบกันแล้ว ก็สัมปยุต ประกอบกันอีก หมวดธรรมเช่นนี้ไม่มี เพราะนามขันธ์ ๔ วิปปยุตไม่ประกอบกันกับรูปขันธ์แล้ว ก็ไม่สัมปยุประกอบกันกับธรรมอื่น นอกจากพวกของตน รูป และนิพพานเป็นวิปยุตไม่ประกอบกับนามขันธ์ ๔ แล้วก็ไม่สัมปยุตกับธรรมอื่น
อสงฺคหิตํ ~หมวดธรมที่ไม่สงเคราะห์เข้ากัน คือเมื่อกล่าวถึงบททั้งหลายที่ละเว้นไว้ ย่อประมวลความโดยย่อว่า หมวดธรรมที่สัมปยุตประกอบกันก็ดี หมวดธรรมที่วิปยุตไม่ประกอบกันก็ดี ย่อมสงเคราะห์เข้ากันได้บ้าง สงเคราะห์เข้ากันมิได้บ้าง เช่น ไปสวดธรรมที่วิปยุตไม่ประกอบกับรูปขันธ์ คือพวกนามขันธ์ ๔ ก็สงเคราะห์เข้ากันกับนามขันธ์ทั้ง ๔ แต่ไม่สงเคราะห์เข้ากันกับรูปขันธ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, มิถุนายน, 2568, 10:19:53 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปุคฺคลปญฺญตฺติ= เป็นคัมภีร์ที่ ๔ สวดเป็นภาษาบาลี ได้แก่
ฉ ปญฺญตฺติโย ~บัญญัติ คือการแสดงประกาศแต่งตั้งทั้งหลาย ๖
ขนฺธติปญฺญตฺ ~บัญญัติว่า ขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า อายตนะ
ธาตุปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า ธาตุ
สจฺจปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า สัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า อินทรีย์
ปุคฺคลปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า บุคคล
กิตฺตาวตา ปุคคลานํ ปุคฺคลปญฺญตฺติ ~บัญญัติซึ่งบุคคลทั้งหลายว่า เป็นบุคคล กำหนดประมาณเท่าไร
สมยวิมุตฺโต ~บุคคลผู้พ้นแล้วโดยสมัย คือบุคคลผู้ได้วิโมกข์ หรือสมาบัติ ๘ ตามกาล ตามสมัย และมีอาสวะบางเหล่าสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอริยบุคคล ๓ จำพวกเบื้องต้นผู้ได้สมาบัติ ๘
อสมยวิมุตฺโต ~บุคคลผู้พ้นโดยไม่มีสมัย คือบุคคลผู้มิได้มีวิโมกข์ ๘ ตามกาล ตามสมัย แต่มีอาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอรหันต์ สุกขวิปัสสก อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอสมยวิมุตต์ เพราะได้อริยวิโมกข์ตามลำดับขั้น อริยวิโมกข์ไม่มีสมัยกำเริบอีกได้
กุปฺปธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ มีฐานะโอกาสจะอาศัยความประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้
อกุปฺปธมฺโม ~บุคคลอันมีธรรมอันไม่กำเริบได้ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติคล่องแคล่วชำนาญ ไม่มีฐานะโอกาสจะประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้ ได้แก่พระอนาคามีและพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ อีกอย่างหนึ่งพระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอกุปปธัมมะ เพราะอริยวิโมกข์ของท่านเป็นธรรมไม่กำเริบอีกได้
ปริหานธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังเสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบได้นั่นแล
อปริหานธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบได้นั่นแล
เจตนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อม เพราะเจตนาเอาใจใส่ คือ บุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ เมื่อเอาใจใส่อยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
อนุรกฺขนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อมด้วยคอยรักษาไว้ คือบุคคลได้รูปสมาบัติหรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญเมื่อคอยรักษาอยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
ปุถุชฺชโน ~บุคคลผู้เป็นปุถุชนมีกิเลสเกิดหนาแน่น คือบุคคลผู้ยังละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นยังไม่ได้ และไม่ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เหล่านั้น
โคตฺรภู ~บุคคลผู้ถึงญาณครอบโคตร คือบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมก่อน แต่จะก้าวเข้าสู่อริยธรรม โดยไม่มีธรรมอื่นขั้นระหว่าง ได้แก่ผู้ล่วงโคตร คือมณฑลบัญญัติปุถุชน จะย่างสู่โคตรอริยชน กำลังอยู่ในภาวะที่มิใช่ปุถุชน มิใช่อริยชน
ภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความกลัว ได้แก่พระเสขบุคคล ๗ และปุถุชนผู้มีศีล ปุถุชนกลัวภัย ๔ คือทุคคติภัย ภัยคือทุคคติ วัฏฏภัย ภัยคือวน กิเลส กรรม วิบาก กิเลสภัย ภัยคือกิเลส อุปวาทภัย ภัยคือความติเตียน จึงงดเว้นบาป พระเสขบุคคลแม้ตั้งอยู่ในอริยมรรค อริยผล ก็ยังกลัวภัย ๓ เว้นทุคคติภัย
อภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความไม่กลัว ได้แก่พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ตัดภัยได้เด็ดขาด
ภพฺพาคมโน ~บุคคลผู้ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์เครื่องกั้น คือกรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ ไม่ประกอบด้วยกิเลสสาวรณ์ เครื่องกั้นคือกิเลส ได้แก่ นิตยมิจฉาทิฏฐิไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือวิบาก ได้แก่อเหตุกปฏิสนธิ และทุเหตุกปฏิสนธิ เป็นผู้มีศรัทธา มีฉันทะ มีปัญญา ไม่บ้าใบ้เป็นภัพพบุคคล สมควรบรรลุมรรคผลได้
อภพฺพาคมโน ~บุคคลผู้ไม่ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ประกอบด้วยเครื่องกั้น ๓ อย่างนั้น เป็นผู้ปราศจากศรัทธาเป็นต้น เป็นอภัพพบุคคล ไม่สมควรบรรลุมรรคผล
นิยโต ~บุคคลผู้เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลทำอนันตริยกรรม ๕ และบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ๒ จำพวก เที่ยงแน่แท้ที่จะไปสู่นรก พระอริยบุคคล ๘ จำพวก เที่ยงแน่แท้ต่อมรรคผลสูง ๆขึ้นไป และเที่ยงแน่แท้ต่อ อนุปปาทาปรินิพพาน
อนิยโต ~บุคคลผู้ไม่เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลนอกจากนิยตบุคคลเหล่านั้นเพราะมีคติไม่แน่นอน
ปฏิปนฺนโก ~บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ได้แก่ตั้งอยู่แล้วในมรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น
ผเลฏฺฐิโต ~บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยผล ๔ มีโสดาปัตติผลเป็นต้น


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, มิถุนายน, 2568, 07:33:32 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

อรหา ~บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ด้วยการละโดยไม่มีส่วนเหลือ
อรหตฺตาย ปฏิปนฺโน ~บุคคลปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เบื้องปลายทั้ง ๔ มี รูปราคะเป็นต้น
ขนฺธติปญฺญตฺ=ขันธบัญญัติ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นหมวดหมู่กันว่าเป็นขันธ์มี ๕ คือ (๑)รูปขันธ์ (๒)เวทนาขันธ์ (๓)สัญญาขันธ์ (๔)สังขารขันธ์ (๕)วิญญาณขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ=คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นบ่อเกิดว่าเป็นอายตนะมี ๑๒ คือ
(๑)จักขายตนะ -อายตนะ คือ ตา (๒)รูปายตนะ - อายตนะ คือ รูป (๓)โสตายตนะ - อายตนะ คือ หู (๔)สัททายตนะ -อายตนะ คือ เสียง (๕)ฆานายตนะ -อายตนะ คือ จมูก (๖)คันธายตนะ -อายตนะ คือ กลิ่น (๗)ชิวหายตนะ -อายตนะ คือ ลิ้น (๘)รสายตนะ-อายตนะ คือ รส (๙)กายายตนะ -อายตนะ คือ กาย (๑๐)โผฏฐัพพายตนะ - อายตนะ คือ สิ่งที่สัมผัส(เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) (๑๑)มนายตนะ  -อายตนะ คือ ใจ (๑๒)ธัมมายตนะ - อายตนะ คือ ธรรมารมณ์(สิ่งที่ใจคิด)           
ธาตุปญฺญตฺติ=ธาตุบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่ทรงตัวอยู่ว่าเป็นธาตุ มี ๑๘ คือ
(๑)จักขุธาตุ (๒)รูปธาตุ (๓)จักขุวิญญาณธาตุ (๔)โสตธาตุ (๕)สัททธาตุ (๖)โสตวิญญาณธาตุ (๗)ฆานธาตุ (๘)คันธธาตุ (๙)ฆานวิญญาณธาตุ  (๑๐)ชิวหาธาตุ (๑๑)รสธาตุ   (๑๒)ชิวหาวิญญาณธาตุ (๑๓)กายธาตุ (๑๔)โผฏฐัพพธาตุ (๑๕)กายวิญญาณธาตุ (๑๖)มโนธาตุ (๑๗)ธัมมธาตุ  (๑๘)มโนวิญญาณธาตุ           
สจฺจปญฺญตฺติ=สัจจบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นความจริงว่าเป็นสัจจะ มี ๔ คือ
(๑)ทุกขสัจจะ (๒)สมุทยสัจจะ (๓)นิโรธสัจจะ   (๔)มัคคสัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ=อินทริยบัญญัติ คือ การบัญญัติสภาวธรรมที่เป็นใหญ่ในการทำกืจของตนมี ๒๒ คือ
(๑)จักขุนทรีย์ -อินทรีย์ คือ จักขุปสาท (๒)โสตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โสตปสาท (๓)ฆานินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ฆานปสาท (๔)ชิวหินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ชิวหาปสา (๕)กายินทรีย์ -อินทรีย์ คือ กายปสาท (๖)มนินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ใจ ได้แก่ จิต ที่จำแนกเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ก็ตาม (๗)อิตถินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อิตถีภาวะ (๘)ปุริสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ปุริสภาวะ (๙)ชีวิตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ชีวิต (๑๐)สุขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สุขเวทนา (๑๑)ทุกขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ทุกขเวทนา (๑๒)โสมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โสมนัสสเวทนา (๑๓)โทมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์ คือ โทมนัสสเวทนา (๑๔)อุเปกขินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อุเบกขาเวทนา (๑๕)สัทธินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ศรัทธา (๑๖)วิริยินทรีย์ -อินทรีย์ คือ วิริยะ (๑๗)สตินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สติ (๑๘)สมาธินทรีย์ -อินทรีย์ คือ สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตา (๑๙)ปัญญินทรีย์ -อินทรีย์ คือ ปัญญา (๒๐)อนัญญาตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ -อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ (๒๑)อัญญินทรีย์ -อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ ๖ ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ (๒๒)อัญญาตาวินทรีย์ -อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ
ปุคฺคลปญฺญตฺติ=บุคคลบัญญัติ คือคัมภีร์ที่ ๔ ใน อภิธรรม ๗ คัมภีร์ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
ฉ ปญฺญตฺติโย ~บัญญัติ คือการแสดงประกาศแต่งตั้งทั้งหลาย ๖
ขนฺธติปญฺญตฺ ~บัญญัติว่า ขันธ์
อายตนปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า อายตนะ
ธาตุปญฺญตฺติ ~บัญญัติว่า ธาตุ
สจฺจปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า สัจจะ
อินฺทฺริยปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า อินทรีย์
ปุคฺคลปญฺญตฺติ~บัญญัติว่า บุคคล
กิตฺตาวตา ปุคคลานํ ปุคฺคลปญฺญตฺติ ~บัญญัติซึ่งบุคคลทั้งหลายว่า เป็นบุคคล กำหนดประมาณเท่าไร
สมยวิมุตฺโต~บุคคลผู้พ้นแล้วโดยสมัย คือบุคคลผู้ได้วิโมกข์ หรือสมาบัติ ๘ ตามกาล ตามสมัย และมีอาสวะบางเหล่าสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอริยบุคคล ๓ จำพวกเบื้องต้นผู้ได้สมาบัติ ๘
อสมยวิมุตฺโต ~ บุคคลผู้พ้นโดยไม่มีสมัย คือบุคคลผู้มิได้มีวิโมกข์ ๘ ตามกาล ตามสมัย แต่มีอาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่พระอรหันต์ สุกขวิปัสสก อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอสมยวิมุตต์ เพราะได้อริยวิโมกข์ตามลำดับขั้น อริยวิโมกข์ไม่มีสมัยกำเริบอีกได้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, มิถุนายน, 2568, 06:46:54 AM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๙) ๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

กุปฺปธมฺโม ~บุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ มีฐานะโอกาสจะอาศัยความประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้
อกุปฺปธมฺโม ~บุคคลอันมีธรรมอันไม่กำเริบได้ คือบุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ หรืออรูปสมาบัติคล่องแคล่วชำนาญ ไม่มีฐานะโอกาสจะประมาทเสื่อมจากสมาบัตินั้นได้ ได้แก่พระอนาคามีและพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ อีกอย่างหนึ่งพระอริยบุคคลทั้งปวง ชื่อว่าอกุปปธัมมะ เพราะอริยวิโมกข์ของท่านเป็นธรรมไม่กำเริบอีกได้
ปริหานธมฺโม ~ บุคคลผู้มีธรรมยังเสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมยังกำเริบได้นั่นแล
อปริหานธมฺโม ~ บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมได้ คือบุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบได้นั่นแล
เจตนาภพฺโพ ~บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อม เพราะเจตนาเอาใจใส่ คือ บุคคลผู้ได้รูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญ เมื่อเอาใจใส่อยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
อนุรกฺขนาภพฺโพ ~ บุคคลผู้ควรเพื่อถึงความไม่เสื่อมด้วยคอยรักษาไว้ คือบุคคลได้รูปสมาบัติหรืออรูปสมาบัติ ยังไม่คล่องแคล่วชำนาญเมื่อคอยรักษาอยู่ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัตินั้น
ปุถุชฺชโน ~ บุคคลผู้เป็นปุถุชนมีกิเลสเกิดหนาแน่น คือบุคคลผู้ยังละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นยังไม่ได้ และไม่ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เหล่านั้น
โคตฺรภู ~ บุคคลผู้ถึงญาณครอบโคตร คือบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมก่อน แต่จะก้าวเข้าสู่อริยธรรม โดยไม่มีธรรมอื่นขั้นระหว่าง ได้แก่ผู้ล่วงโคตร คือมณฑลบัญญัติปุถุชน จะย่างสู่โคตรอริยชน กำลังอยู่ในภาวะที่มิใช่ปุถุชน มิใช่อริยชน
ภยูปรโต ~บุคคลผู้งดเว้นเพราะความกลัว ได้แก่พระเสขบุคคล ๗ และปุถุชนผู้มีศีล ปุถุชนกลัวภัย ๔ คือ ทุคคติภัย(กลัวภัยจากวิบากของการทำชั่วทั้ง กาย วาจา ใจ), วัฏฏภัย (ภัยคือวน กิเลส กรรม วิบาก) กิเลสภัย(ภัย คือกิเลส), อุปวาทภัย(ภัยคือความติเตียน) จึงงดเว้นบาป พระเสขบุคคลแม้ตั้งอยู่ในอริยมรรค อริยผล ก็ยังกลัวภัย ๓ เว้นทุคคติภัย
อภยูปรโต ~ บุคคลผู้งดเว้นเพราะความไม่กลัว ได้แก่พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ตัดภัยได้เด็จขาด
ภพฺพาคมโน ~ บุคคลผู้ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์เครื่องกั้น คือกรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ ไม่ประกอบด้วยกิเลสสาวรณ์ เครื่องกั้นคือกิเลส ได้แก่ นิตยมิจฉาทิฏฐิไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือวิบาก ได้แก่ อเหตุกปฏิสนธิ และทุเหตุกปฏิสนธิ เป็นผู้มีศรัทธา มัฉันทะ มีปัญญา ไม่บ้าใบ้เป็นภัพพบุคคล สมควรบรรลุมรรคผลได้
อภพฺพาคมโน ~ บุคคลผู้ไม่ควรเพื่อมาแน่แท้ในกุศลธรรมทั้งหลาย คือบุคคลผู้ประกอบด้วยเครื่องกั้น ๓ อย่างนั้น เป็นผู้ปราศจากศรัทธาเป็นต้น เป็นอภัพพบุคคล ไม่สมควรบรรลุมรรคผล
นิยโต ~ บุคคลผู้เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลทำอนันตริยกรรม ๕ และบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ๒ จำพวก เที่ยงแน่แท้ที่จะไปสู่นรก พระอริยบุคคล ๘ จำพวก เที่ยงแน่แท้ต่อมรรคผลสูง ๆขึ้นไป และเที่ยงแน่แท้ต่อ อนุปปาทาปรินิพพาน
อนิยโต ~ บุคคลผู้ไม่เที่ยงแน่แท้ คือบุคคลนอกจากนิยตบุคคลเหล่านั้นเพราะมีคติไม่แน่นอน
ปฏิปนฺนโก ~บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ได้แก่ตั้งอยู่แล้วในมรรค ๔ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น
ผเลฏฺฐิโต ~บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล คือบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยผล ๔ มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
อรหา ~ บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ด้วยการละโดยไม่มีส่วนเหลือ
อรหตฺตาย ปฏิปนฺโน ~ บุคคลปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์เบื้องปลายทั้ง ๔ มี รูปราคะเป็นต้น
พระเสขบุคคล= คือ บุคคลยังต้องศึกษาอีก เพื่อดับกิเลส
พระเสขะ ๗=คือ บุคคล ๗ ประเภท ได้แก่ โสดาปัตติมรรค, โสดาปัตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคมิผล, อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหันตมรรค
อนันตริยกรรม =คือ กรรมหนักที่สุด ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี ๕ อย่าง คือ (๑)มาตุฆาต - ฆ่ามารดา (๒)ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา (๓)อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์ (๔)โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป (เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล) (๕)สังฆเภท - ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, มิถุนายน, 2568, 08:20:13 PM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ผู้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ ๘ เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์
ภัพพสัตว์ =เหล่าสัตว์ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น
อภัพพสัตว์ =เหล่าสัตว์ที่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น   
กิเลสสาฯ=กิเลสสาวรณ์  คือ เครื่องกั้นเป็น กิเลส ได้แก่ นิตยมิตฉาทิฏฐิ คือ ความเป็นผุ้มีความเห็นผิดที่ดิ่ง เช่น ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม เป็นต้น มีความเห็นผิดที่มีกำลังเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ความเห็นผิดที่เป็นกิเลสนี้เองที่เป็นเครื่องกั้นการบรรลุ มรรคผล ไม่สามารถบรรลุได้ จึงเป็นอภัพพสัตว์ เพราะด้วยอำนาจกิเลส คือ ความเห็นผิด
วิปาฯ=วิปากาวรณ์ เครื่องกั้นคือ วิบาก หมายถึง ปฏิสนธิจิต คือ การเกิด บุคคลที่เกิดมาด้วยปฏิสนธิจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ในชาตินั้น
อนุปาฯ=อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การบรรลุนิพพาน ของพระอรหันต์ ซึ่งละ อาสวะกิเลสสิ้นพร้อมขันธ์ห้า แตกทำลาย สิ้นชีพลง
มรรค ๔= ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด ได้แก่
(๑)โสดาปัตติมรรค -มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพานทีแรก, มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส
(๒)สกทาคามิมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น กับทำราคะ, โทสะ, โมหะ, ให้เบาบางลง
(๓)อนาคามิมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอนาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง ๕
(๔)อรหัตตมรรค -มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐
ผล ๔=คือ ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค, ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆ ได้แก่
(๑)โสดาปัตติผล -ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย
(๒)สกทาคามิผล -ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย
(๓)อนาคามิผล -ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย
(๔)อรหัตตผล -ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย
สังโยชน์ ๑๐ =คือกิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล ได้แก่
       ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ
(๑)สักกายทิฏฐิ -ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน
(๒)วิจิกิจฉา -ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ
(๓)สีลัพพตปรามาส -ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร
(๔)กามราคะ -ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ
(๕)ปฏิฆะ -ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
       ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง
(๖)รูปราคะ -ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ
(๗)อรูปราคะ -ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ
(๘)มานะ -ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
(๙)อุทธัจจะ -ความฟุ้งซ่าน
(๑๐)อวิชชา -ความไม่รู้จริง, ความหลง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ ข้อ ๑,๒,๓; พระสกิทาคามี ละ สังโยชน์ ข้อ ๑,๒,๓ และ ทำสังโยชน์ข้อ ๔,๕ ให้เบาบาง; พระอนาคามี ละ สังโยชน์ได้ ๕ ข้อ คือ ๑,๒,๓,๔,๕; พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ ๑๐ ข้อ ตั้งแต่ ข้อ ๑-๑๐


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, มิถุนายน, 2568, 11:09:07 AM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

กถาวตฺถุ=เป็นคัมภีร์ที่ ๕ ใน ๗ พระคัมภีร์ มีคำสวดเป็น ภาษา บาลี ดังนี้
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ สกวาที ถามว่า สัตว์ บุคคล ชายหญิงย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์หรือ
อามนฺตา ~ ปรวาที ตอบว่า ย่อมมีได้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึง สัตว์บุคคล ชายหญิงไว้ในพระสูตร โดยสมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมุติ
โย สจฺฉิกตฺโถ ปรมตฺโถ ตโต โส ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ สกวาที ถามว่า อรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่งสูงสุดคือปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์นั้นหรือ
น เหวํ วตฺตพฺเพ ~ ปรวาที ตอบว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้นเลย เพราะสัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นไม่มีได้โดยปรมัตถ์สัจจะ คือความจริงโดยปรมัตถ์
อาชานิ นิคฺคหํ ~สกวาทีกล่าวว่า ท่านจงยอมรับนิคคหะโทษ ควรข่มขี่ เพราะคำต้นกล่าวรับรองแล้ว แต่คำหลังกลับกล่าวปฏิเสธ
หญฺจิ ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถน ~ ถ้าสัตว์ บุคคล ชาย หญิง ย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ไซร้
เตน วต วตฺตพฺเพ โย สจฺฉิกตฺโถ ตโต โส ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกตฺถปรมตฺเถนาติ ~ ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุนั้นแล พึงกล่าวว่าอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถอย่างยิ่ง คือปรมัตถ์นั้น
มิจฺฉา ~ สัตว์ บุคคล ชาย หญิงซึ่งท่านปรวาทีกล่าวแล้วในข้อนั้น ท่านกล่าวรับรองในปัญหาต้นว่า สัตว์ บุคคล ชาย หญิง ย่อมมีได้โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดยอรรถ อย่างยิ่งสูงสุด คือปรมัตถ์ แต่ท่านกลับไม่กล่าวรับรองในปัญหาหลังว่า อรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง อรรถอย่างยิ่ง คือ ปรมัตถ์ใด สัตว์ บุคคล ชาย หญิง นั้นย่อมมีได้ โดยอรรถแจ่มแจ้งเป็นจริง โดย อรรถอย่างยิ่ง คือปรมัตถ์นั้น คำของท่านนี้จึงผิด เพราะขัดแย้งกันเอง ถ้าจะไม่พึงกล่าวรับรองในปัญหาหลัง ก็ไม่พึงกล่าวรับรองในปัญหาต้นเสียก่อน ฉะนั้นสัตว์บุคคลชายหญิงซึ่งท่านกล่าวแล้ว อันท่านกล่าวรับรองในปัญหาต้น แต่ไม่กล่าวรับรองในปัญหาหลัง จึงผิดพลาดขัดแย้งกัน
นิคหกรรม =แปลว่า การข่ม เป็นวิธีการลงโทษภิกษุตามพระธรรมวินัยเพื่อให้เข็ดหลาบ นิคหกรรม ใช้สำหรับลงโทษภิกษุผู้ทำเสียหาย เช่นก่อการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ทำความอื้อฉาว มีศีลวิบัติ ติเตียนพระรัตนตรัย เล่นคะนอง ประพฤติอนาจาร ลบล้างพระบัญญัติ ประกอบมิจฉาชีพเป็นต้น นิคหกรรม เป็นกิจที่พึงทำอย่างหนึ่งของผู้ปกครองหมู่คณะ เป็นคำคู่กับปัคหะคือการยกย่อง ทั้งสองอย่างนี้เป็นเครื่องมือในการปกครอง มีความสำคัญเท่าๆ กัน ทั้งนี้เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์ เมื่อมีผู้ประพฤติมิชอบ สมควรแก่นิคหกรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานอนุญาตให้สงฆ์ทำนิคหกรรมแก่ผู้นั้นตามพระธรรมวินัย
ยมก =คือ คัมภีร์ที่ ๖ ว่าด้วยธรรมะที่เป็นคู่ โดยจัดธรรมะเป็นคู่ๆ มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
เย เกจิ กุสลา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
สพฺเพ เต กุสลมูลา ~ธรรมทั้งหลายนั้นเป็นกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทั้งสิ้น
เย วา ปน กุสลมูลา ~ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเป็นกุศลมูล
สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกุศลทั้งสิ้น
เย เกจิ กุสลา ธมฺมา ~ ธรรมทั้งหลายเป็นกุศลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
สพฺเพ เต กุสลมูเลน ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นทั้งสิ้น มีมูลเป็น
เอกมูลา ~ อันเดียวกันกับกุศลมูล
เย วา ปน กุสลมูเลน ~ ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใดมีมูลเป็น
เอกมูลา อันเดียวกันกับกุศลมูล
สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา ~ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกุศลทั้งสิ้น
กรรม ๒ =กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ (๑)อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล (๒)กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล
กุศลมูล= คือ รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
(๑)อโลภะ - ไม่โลภ (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์คือ จาคะ)
(๒)อโทสะ -ไม่คิดประทุษร้าย (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ เมตตา)
(๓)อโมหะ -ไม่หลง (ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์คือ ปัญญา)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, มิถุนายน, 2568, 06:59:16 PM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

ปัฏฐาน=คือ คัมภีร์ที่ ๗ ว่าด้วย "ที่ตั้ง คือปัจจัย ๒๔" แสดงว่าอะไรเป็นปัจจัยของอะไรในทางธรรม มีคำสวดเป็นภาษาบาลี ดังนี้
ปฏฺฐาน เหตุปจฺจโย ~ เหตุเป็นปัจจัย เหตุที่ตั้งอยู่เฉพาะแห่งผล มี ๖ อย่าง ได้แก่
อกุศลเหตุ ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
อกุศลเหตุเป็นปัจจัยแดนเกิดแห่งผล คืออุดหนุนให้เกิดนาม รูป หรือ จิต เจตสิก และรูปฝ่ายอกุศล กุศลเหตุเป็นปัจจัยแห่งนามรูปฝ่ายกุศล เหมือนอย่างรากแก้วของต้นไม้ใหญ่ เป็นที่ตั้งอยู่ได้ของต้นไม้ และช่วยอุหนุนต้นไม้ให้งอกงาม
อารมฺมณปจฺจโย ~ อารมณ์เป็นปัจจัย อารมณ์เป็นเรื่องเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วง มี ๖ อย่าง ได้แก่ (๑)รูปารมณ์ -อารมณ์คือรูป (๒)สัททารมณ์ -อารมณ์คือเสียง (๓)คันธารมณ์- อารมณ์คือกลิ่น (๔)รสารมณ์ -อารมณ์คือรส (๕)โผฏฐัพารมณ์ -อารมณ์คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง (๖)ธัมมารมณ์ -อารมณ์คือ ธรรม ได้แก่เรื่องของรูปเป็นต้น ที่ได้ประสบแล้วในอดีต
อารมณ์เหล่านั้นเป็นปัจจัยแห่งเหตุ ๖ ประการเหล่านั้น เพราะจิตและเจตสิกทั้งปวงต้องอาศัยยึดหน่วงอารมณ์จึงเกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างคนชราหรือทุพพลต้องอาศัยไม้เท้าหรือเชือกเป็นเครื่องยึดหน่วง จึงทรงตัวลุกขึ้นเดินไปได้
เจตสิก=การแสดงออกของจิต
อธิปติปจฺจโย ~ อธิบดีเป็นปัจจัย อธิบดีคือธรรมที่เป็นใหญ่กว่าสัมปยุตตธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับตน แบ่งเป็น
อารัมมณาธิปติ -อธิบดีคืออารมณ์ชนิดที่น่าปรารถนาอย่างแรง
สหชาตาธิปติ -อธิบดีคือธรรมที่เกิดร่วมกัน มี ๔ อย่างคือ (๑)ฉันทาธิปติ -อธิบดีคือฉันทะเจตสิก ความพอใจที่เกิดขึ้นในใจ (๒)วิริยาธิปติ -อธิบดี คือวิริยะเจตสิก ความเพียรที่เกิดขึ้นในใจ (๓)จิตตาธิปติ -อธิบดี คือความเอาใจใส่จดจ่อ (๔)วิมังสาธิปติ -อธิบดีปัญญาเจตสิก ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาเกิดขึ้นในใจ
อารมณ์อย่างแรงเป็นอธิปติปัจจัย เพราะทำให้นามธรรม คือจิตและเจตสิกน้อมไปยึดอย่างหนักหน่วง ส่วน อธิบดี ๔ มีฉันทะเป็นต้น เป็นอธิปติปัจจัยเพราะสามารถยังธรรม ซึ่งเกิดร่วมกับตน และนามธรรมอื่นซึ่งไม่สามารถจะเป็นอธิบดีได้ ให้น้อมไปตามอำนาจของตน
อนนฺตรปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่นเป็นปัจจัย คือสามารถยังจิตตุปบาท (ความเกิดแห่งจิต) อันสมควรกันให้เกิดขึ้นในลำดับของตน ได้แก่ นามธรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดก่อน เป็นปัจจัยอุดหนุนแก่นามธรรม คือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง ได้แก่ช่วยอุปการะให้เกิดขึ้นสืบต่อกันไปโดยไม่ว่างเว้น คือไม่มีระหว่างคั่นเว้นไว้แต่จุติจิตของพระอรหันต์
สมนนฺตรปจฺจโย ~ธรรมที่เกิดเป็นลำดับสืบต่อกันเรื่อยไป ไม่มีธรรมอื่นมาคั่นระหว่างเลยทีเดียวเป็นปัจจัย ได้แก่นามธรรมที่เกิดก่อนเป็น สมนันตรปัจจัยแก่นามธรรมที่เกิดภายหลัง คล้ายกับอนัตรปัจจัย
สหชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดร่วมเป็นปัจจัย คือ ธรรมที่เกิดร่วมกันต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนกันเอง ด้วยอำนาจที่ยังธรรมที่เกิดร่วมกันให้เกิดพร้อมกัน เพราะเมื่อตนไม่เกิด แม้ธรรมที่เกิดร่วมกันก็ไม่เกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างดวงไฟเกิดพร้อมกับแสงไฟ เมื่อไม่มีดวงไฟ แสงไฟก็มีขึ้นไม่ได้ เช่น นามขันธ์ ๔ มหาภูตรูป ๔ ปฏิสนธิหทัยวัตถุ เป็นสหชาตปัจจัย
นามขันธ์ ๔=ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
มหาภูตรูป ๔=ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ปฏิสนธิหทัยวัตถุ=กำเนิดที่ตั้งของใจ
อญฺญมญฺญปจฺจโย ~ ธรรมแต่ละอย่างต่างต้องอาศัยกันและกันเป็นปัจจัย คือธรรมที่เป็นอุปการะโดยอุดหนุนกันและกันให้เกิดขึ้น เหมือนอย่างไม้ ๓ อัน ต่างพิงอาศัยกันจึงตั้งอยู่ได้ ได้แก่นามขันธ์ ๔ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๔ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น ปฏิสนธินามขันธ์ ๔ และปฏิสนธิหทัยวัตถุ ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น
นิสฺสยปจฺจโย ~ ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นนิสัยที่อาศัย คือเป็นที่อาศัยโดยอธิษฐานการ คืออาการที่ตั้งมั่น ๑ เป็นที่อาศัยโดยนิสสยาการ คืออาการที่อ้างอิงอาศัย ๑ ธรรมเป็นนิสัยปัจจัยที่อาศัยโดยอาการที่ตั้งมั่นนั้นได้แก่ปฐวีธาตุ เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งธาตุอื่น วัตถุ ๖ มีจักขุเป็นต้น เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น เหมือนอย่างแผ่นดินที่อาศัยตั้งมั่นของต้นไม้เป็นต้นบนแผ่นดิน ธรรมเป็นนิสัยที่อาศัยโดยอาการที่อิงอาศัยนั้น ได้แก่นามขันธ์ ๔ เป็นที่อิงอาศัยกันและกัน อาโป เตโช วาโยก็เหมือนกัน เหมือนอย่างแผ่นผ้าเป็นที่อาศัยแห่งจิตกรรมภาพวาดเขียน   


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, มิถุนายน, 2568, 09:32:15 AM

ต่อหน้า ๑๖/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

อุปนิสฺสยปจฺจโย ~ ธรรม เป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า ได้แก่อารมณ์อย่างแรงกล้า เหมือนอย่างอารมณ์ที่เป็นอธิปติปัจจัยเป็นที่อาศัย อย่างแรงกล้าให้เกิดธรรมที่เกิดจากอารมณ์นั้นเป็นปัจจัย เรียกว่าอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้าคือ อารมณ์ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับ ไม่มีระหว่างคั่นอย่างแรงกล้าเหมือนอย่าง อนันตรปัจจัย เป็นอุปนิสสยปัจจัยให้เกิดธรรมที่เกิดจากธรรมนั้นเป็นปัจจัยโดยไม่มีระหว่างคั่น เรียกว่า อนันตรูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่น เหตุที่มาจนเป็นปกตินิสัยแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยอารัมณปัจจัย เป็นเหตุที่ตนทำให้เกิดขึ้นเอง เช่นกุศลธรรม อกุศลธรรมต่างๆ ก็ดี เป็นเหตุฝ่ายกุศลและอกุศล ที่เนื่องจากการเสวนาซ่องเสพบุคคลและอาหารเป็นต้นของตนก็ดี เรียกว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือเหตุที่ทำมาจนเป็นอุปนิสัยแล้ว
ปุเรชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดก่อนเป็นปัจจัย คือธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังคงมีอยู่ไม่ดับไป ได้แก่รูปธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตและเจตสิกให้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์เกิดขึ้นก่อนยังไม่ดับ สัตว์โลกทั้งหลายจึงได้อาศัยเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ในโลก
ปจฺฉาชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัย ได้แก่นามธรรมคือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง เป็นปัจจัยปัจจัยอุดหนุนแก่รูปธรรมที่เกิดก่อนให้ตั้งอยู่ได้จนครบอายุ อายุของรูปธรรมเท่ากับอายุของจิต ๑๗ ดวง รูปธรรมที่เกิดก่อนจะตั้งอยู่ได้ตลอด ๑๗ ขณะจิตนี้ ก็เพราะจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลังอุปถัมภ์ให้ตั้งอยู่และให้เจริญ มีอุปมาเหมือนอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้ว จะตั้งอยู่และเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยน้ำฝนที่ ตกลงมา หรือเอาน้ำรดในภายหลัง หรือมีอุปมาเหมือนอย่างลูกนกแร้งที่ยังเล็ก บินไปหาอาหารมิได้ ก็ได้อาศัยเจตนาที่หวังอาหารนั่นเองบำรุงเลี้ยง จนกว่าจะบินออกไปหาอาหารเองได้
อาเสวนปจฺจโย ~ ธรรมที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัย ได้แก่โลกิยชวนจิตที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชื่อว่าเสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นเชื้อสายชาติเดียวกันให้เกิดขึ้น เช่นเมื่อกุศลชวนจิตดวง ๑ เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกุศลชวนจิตชนิดเดียวกันให้เกิดขึ้นเป็นดวงที่ ๒ เป็นปัจจัยอุดหนุนต่อกันไปดังนี้ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นตัวเจตนาลงสันนิษฐานให้สำเร็จกิจอย่างหนึ่ง ๆ เหมือนอย่างบุคคลที่เรียนวิชาใดอย่างหนึ่งมาแล้ว ย่อมเรียนวิชาอย่างเดียวกันต่อขึ้นไปได้ง่าย และเร็วขึ้นจนกระทั่งสำเร็จการเรียนวิชาอย่างนั้น
กมฺมปจฺจโย ~ กรรมเป็นปัจจัย กรรมได้แก่เจตสิกธรรม คือเจตนา ความจงใจ เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงจิต เจตสิกธรรมที่เกิดในจิต กัมมชรูป รูปที่เกิดแต่กรรม และจิตตชรูป รูปที่เกิดแต่จิต ที่เกิดรวมกันเป็นสหชาตธรรม เช่นเมื่อจิตและเจตสิกรับรูปารมณ์เป็นต้น เกิดโลภจิตขึ้น กรรมคือเจตนาที่เป็นสหชาตเกิดร่วมอยู่ด้วย ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงโลภจิตนั้นให้เข้ารับรูปารมณ์เต็มที่ เป็นเหตุให้แสดงอาการของโลภะออกมาทางกายวาจา ด้วยอำนาจโลภมูลเจตนา อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่เป็น นานาขณิกะเกิดขึ้นในขณะต่าง ๆกัน เป็นปัจจัยเพาะพืชพันธุ์ไว้ เมื่อกุศลเจตนา และอกุศลเจตนาเกิดขึ้นพร้อมกับจิตนั้นดับไปแล้ว กรรมคือ (๔)วิญญาณาหาร -อาหารคือวิญญาณ
สามข้อ(หลัง)นี้เป็นนามอาหาร เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยตน และอุดหนุนจิตตชรูปและปฏิสนธิกัมม


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, มิถุนายน, 2568, 06:39:27 PM

(ต่อหน้า ๑๗/๑๙)๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์

อินฺทฺริยปจฺจโย ~ อินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมที่เป็นใหญ่ คือกระทำซึ่งความเป็นใหญ่ยิ่งชื่อว่าอิทรีย์ มี ๒๒ คือ (๑)จักขุนทรีย์ -อินทรีย์ คือ ตา (๒)โสตินทรีย์ -อินทรีย์คือ หู (๓)ฆานินทรีย์ -อินทรีย์ คือจมูก (๔)ชิวหินทรีย์ -อินทรีย์ลิ้น (๕)กายินทรีย์ -อินทรีย์คือกาย (๖)มนินทรีย์ -อินทรีย์คือใจ (๗)อิตถินทรีย์ -อินทรีย์คือหญิง (๘)ปุริสินทรีย์ -อินทรีย์คือชาย (๙)ชีวิตินทรีย์ -อินทรีย์คือชีวิต (๑๐)สุขินทรีย์ -อิทรีย์คือสุข (๑๑)ทุกขินทรีย์ -อินทรีย์คือทุกข์ (๑๒)โสมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโสมนัส (๑๓)โทมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโทมนัส (๑๔)อุเปกขินทรีย์ -อินทรีย์คืออุเบกขา (๑๕)สัทธินทรีย์ -อินทรีย์คือศรัทธา (๑๖)วิริยินทรีย์ -อินทรีย์คือเพียร (๑๗)สตินทรีย์ -อินทรีย์คือสติ (๑๘)สมาธินทรีย์ -อินทรีย์คือสมาธิ (๑๙)ปัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือปัญญา(๒๐)อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ - อินทรีย์คือโสดาปัตติมรรค (๒๑)อัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตมรรค (๒๒)อัญญาตาวินทรีย์ -อินทรีย์คืออรหัตผล
อินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๆ เช่นตา ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการเห็นรูป และยกเว้นอิตถีภาวะเสีย เหลือ ๒๐ เป็นปัจจัยและเป็นผลแห่งปัจจัยของกันและกัน
ฌานปจฺจโย ~ ฌานเป็นปัจจัย ฌานคือการเพ่งอารมณ์อย่างแน่วแน่ประกอบด้วยองค์เป็นปฐม คือ วิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา เป็นปัจจัยอุดหนุนนามขันธ์ ๔ และจิตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป ที่เกิดพร้อมกับตน อีกอย่างหนึ่ง ฌานมี ๒ คือ (๑)อารมมณูปนิชฌาน- เพ่งอารมณ์ทางสมถภาวนา (๒)ลักขณูปนิชฌาน เพ่งลักษณะทางวิปัสสนาภาวนา
คือไตรลักษณ์ต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนตามอำนาจของตน
มคฺคปจฺจโย ~ มรรคเป็นปัจจัย มรรคคือธรรมที่เป็นประดุจหนทาง เพราะเป็นธรรมนำให้มุ่งหน้าไปสู่สุคติ ทุคติ และนิพพาน องค์มรรค ๙ได้แก่
(๑)ปัญญา (๒)วิตก (๓)สัมมาวาจา (๔)สัมมากัมมันตะ (๕)สัมมาอาชีวะ (๖)วิริยะ (๗)สติ (๘)เอกัคคตา (๙)ทิฏฐิ
องค์มรรคเหล่านี้ เว้น ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)ข้อที่ ๙; เหลือ ๘ เป็นฝ่ายกุศล; องค์มรรค ๔ คือ วิตก วิริยะ เอกัคคตา ทิฏฐิ เป็นฝ่ายอกุศล; และองค์มรรค ๘ ฝ่ายอัพยากฤต เป็นปัจจัยอุดหนุนให้ไปสู่ สุคติ ทุคติ และ นิพพานตามประเภท และอุดหนุนสหชาตธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับตนให้ ไปสู่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันตน และ ให้ทำกิจ ตามหน้าที่ของตนๆ
สมฺปยุตฺตปจฺจโย ~ ธรรมที่สัมปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ประกอบพร้อมกัน ๔ ประการ คือธรรม ๒ อย่าง
(๑)เมื่อเวลาเกิด ก็เกิดพร้อมกัน
(๒)เมื่อเวลาดับ ก็ดับพร้อมกัน
(๓)มีอารมณ์เป็นอันเดียวกัน
(๔)มีที่อาศัยอันเดียวกัน
เรียกสัมปยุต ได้แก่ จิต และ เจตสิก ที่เป็นนามธรรมด้วยกัน เป็นปัจจัย และผลของปัจจัยของกันและกัน แม้จะมีหน้าที่ ต่างกันแต่ก็สัมปยุตประกอบกันได้สนิท ดังจะยกตัวอย่างนามขันธ์ ๔ เวทนาขันธ์ทำหน้าที่เสวยอารมณ์, สัญญาขันธ์ ทำหน้าที่จำอารมณ์, สังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์, วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รู้อารมณ์ แม้จะต่างหน้าที่กันแต่ก็สัมปยุตกันสนิท เหมือนอย่างเภสัชจตุมธุรส ประกอบด้วยของ ๔ อย่าง คือ น้ำมันเนย ๑ น้ำมันงา ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำตาล ๑ มีรสเข้ากันสนิทจนไม่อาจจะแยกรสออกจากกันได้
วิปฺปยุตฺตปจฺจโย ~ธรรมที่วิปปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่สัมปยุตกันดังกล่าวในข้อก่อน เรียกวิปปยุตธรรม ได่แก่นามและรูป นามเป็นวิปปยุตธรรมของรูป รูปก็เป็นวิปปยุตตธรรมของนาม เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะของสัมปยุตธรรมครบทุกอย่าง ดังเช่น เมื่อจิตเกิด แม้จิตตชรูปจะเกิดด้วย แต่ก็ขาดลักษณะข้ออื่น ทั้งรูปและนามแม้จะเป็นวิปปยุตธรรมของกัน แต่ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกันและกัน เพราะต่างอาศัยกันเป็นไป เหมือนเงาอาศัยกันเป็นไป เหมือนอย่างคน ๒ คน มิใช่ญาติกัน แต่ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง วิปปยุตปัจจัยนี้ เปรียบเหมือนรส ๖ อย่างคือ หวาน๑ เปรี้ยว ๑ ฝาด ๑ เค็ม ๑ ขม ๑ เผ็ด ๑ รวมเป็นรสเดียวกันไม่ได้ แต่ก็อาศัยปรุงเป็นแกงอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเป็นปัจจัยอุดหนุนกันได้
อตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่มีอยู่เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอยู่คือธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในระหว่างอุปปาทะ (ความเกิด) ฐิติ (ความตั้งอยู่) ภังคะ (ความดับ) คือยังมีอยู่ในระหว่างนั้นยังไม่ดับไป ธรรมที่ชื่อว่ามีอยู่อย่างมีกำลังกล้า คือยังมีอยู่ในฐิติ ความตั้งอยู่ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นผลของตนให้เกิดขึ้น ข้อสำคัญเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ธรรมที่เป็นผลของตนให้ดำรงอยู่ เหมือนอย่างพื้นดินที่มีอยู่ อุปถัมภ์ต้นไม้ที่มีอยู่เหมือนกันให้งอกงามและตั้งอยู่ เช่นนามขันธ์ ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน มหาภูตรูป ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน นามรูปในขณะปฏิสนธิเป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, มิถุนายน, 2568, 09:35:05 AM

(ต่อหน้า ๑๘/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

นตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่มีเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีคือธรรมที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัย อุดหนุนธรรมเช่นเดียวกันให้เกิดขึ้น สืบต่อไปในลำดับ ดังที่กล่าวแล้วในอนันตรปัจจัย เช่นจิต เจตสิกดวงที่ ๑ ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ดวงที่ ๒ เกิดสืบต่อไปในลำดับ ถ้าดวงที่ ๑ ไม่ดับ ดวงที่ ๒ ก็เกิดขึ้นมิได้ เหมือนอย่างแสงสว่างกับความมืด เมื่อแสงสว่างดับไป ความมืดจึงปรากฎขึ้นได้
วิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ปราศจากไป คือธรรมที่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมเช่นเดียงกันให้เกิดขึ้นในลำดับเช่นเดียวกับนัตถิปัจจัย
อวิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่ปราศจากไป คือธรรมที่ยังไม่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุปการะที่ยังมีอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับ อัตถิปัจจัย
วัตถุ ๖=รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี เรียกว่า วัตถุรูป ๖ คือ
(๑)จักขุปสาทรูป ๑ เป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง
(๒)โสตปสาทรูป ๑ เป็นโสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ ๒ ดวง
(๓)ฆานปสาทรูป ๑ เป็นฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ ๒ ดวง
(๔)ชิวหาปสาทรูป ๑ เป็นชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง
(๕)กายปสาทรูป ๑ เป็นกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ ๒ ดวง
(๖)หทยรูป ๑ เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นเฉพาะทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวงเท่านั้น
ชวนะจิต =คือจิตที่แล่นไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นจิตที่เป็นชาติกุศล หรืออกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์ และวิบากจิตที่เป็นโลกุตตระ ที่เรียกว่า ชวนจิต ก็เรียกจิตตามกิจหน้าที่ จิตใดที่ทำชวนกิจ ก็เรียกว่า ชวนจิต
กัมมชรูป =หรือ กฏัตตารูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หมายความว่า รูปที่เกิดในขณะนั้นทุกรูปในกลุ่มนั้น เกิดเพราะกรรมทั้งหมด กลุ่มของรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ประมวลแล้ว มีทั้งหมด ๙ กลุ่ม
(๑)จักขุทสกกลาป คือ กลุ่มของจักขุปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ จักขุปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๒)โสตทสกกลาป คือ กลุ่มของโสตปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ โสตปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๓)ฆานทสกกลาปคือ กลุ่มของฆานปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ฆานปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๔)ชิวหาทสกกลาปคือ กลุ่มของชิวหาปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชิวหาปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๕)กายทสกกลาปคือ กลุ่มของกายปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ กายปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๖)อิตถีภาวทสกกลาปคือ กลุ่มของอิตถีภาวรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ อิตถีภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๗)ปุริสภาวทสกกลาปคือกลุ่มของปุริสภาวรูป ซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปุริสภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๘)หทยทสกลาปคือ กลุ่มของหทยรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ หทยรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
(๙)ชีวิตนวกกลาปคือกลุ่มของชีวิตรูปซึ่งมี รูป รวม ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตินทริยรูป ๑
จิตตชรูป=จิตฺต (จิต) + ช (การเกิด) + รูป (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์)
รูปที่เกิดจากจิต หมายถึง รูป ๑๕ รูป คือ
อวินิพโภครูป ๘=อวินิพโภครูป คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป
วิการรูป ๓=เป็นอาการพิเศษของรูปที่เกิดจาก กรรม จิต อุตุ และอาหาร เป็นสมุฏฐานรูปที่เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า นิปปผันนรูป วิการรูป ไม่มีรูปโดยเฉพาะ เป็นอาการพิเศษของนิปปผันนรูปที่เกิดขึ้นนั่นเอง
วิญญัติรูป ๒=คือ อาการพิเศษที่เกิดอยู่ในการเคลื่อนไหวทางร่างกาย และการพูดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นรูปที่ทำให้ผู้อื่นรู้ถึงความประสงค์ของผู้แสดง เช่น เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายเข้ามาหาก็แสดงกิริยากวักมือ หรือเปล่งวาจาเรียก อาการพิเศษที่รวมอยู่ในความเคลื่อนไหวทั้งกายและวาจา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, มิถุนายน, 2568, 03:31:20 PM

(ต่อหน้า ๑๙/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์

สัททรูป ๑=คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป
ปริจเฉทรูป ๑=หมายเอาช่องว่างที่คั่นระหว่างหมวดหมู่ของรูปกายต่อหมวดหมู่ของรูป กายนั่นเอง สิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายซึ่งเกิดจากจิตเป็นปัจจัย
จิตที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปได้มี ๗๕ ดวงเท่านั้น เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ (จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะจิตในขณะปฏิสนธิกาลมีกำลังอ่อน จุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะเป็นความสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ หมดความสืบต่อของนามและรูปทั้งปวง)
- อวินิพโภครูป ๘, ปริเฉทรูป ๑, เกิดได้จากสมุฏฐานทั้ง ๔
- วิการรูป ๓ เกิดได้จากสมุฏฐาน ๓ (เว้นกัมมสมุฏฐาน)
- วิญญัติรูป ๒ เกิดได้จากจิตตสมุฏฐานอย่างเดียว
- สัททรูป เกิดได้จาก ๒ สมุฏฐาน คือ จิตตสมุฏฐาน และอุตุสมุฏฐาน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กรกฎาคม, 2568, 09:26:15 AM
อภิธรรมปิฎก : ๒.ธัมมสังคณี
(ว่าด้วยมาติกา แม่บทของพระอภิธรรมและพระสูตร)

กาพย์พรหมคีติ

   ๑."ธัมมสังคณี".....................จัดธรรมรี่ชี้กลุ่มสรรค์
อภิธรรม,สุตตันฯ.....................เทียบเคียงสองตรองเนื้อความ
แม่บทอภิธรรม........................แบ่งข้อพร่ำสิบสี่ผลาม
แต่ละหมวดธรรมตาม..............แต่สาม,หก,เจ็ด,แปด..นา

   ๒.หนึ่ง,แม่บทจัดธรรม...........หมวดหนึ่งนำสามธรรมหนา
ยี่สิบสองหมวดกล้า..................หกสิบหกธรรมรวมยล
ธรรม"กุศล"ฝ่ายดี....................ฝ่ายชั่วปรี่'อกุศล"
กับ"อัพยาฯ"ดล........................"ฝ่ายกลางมิชั่วมิดี"

   ๓."เวทนารู้สึก........................เป็น"สุข"ลึกมีทุกข์ปรี่
"ไม่ทุกข์ไม่สุข"มี......................รู้สึกเฉยหรือกลางนา
"ธรรมมีผลวิบาก".....................ธรรมฟาก"เหตุ"ผลธรรมดา
อีกหนึ่ง"มิใช่หนา......................ทั้งสองอย่างเหตุ,ผล"เอย

   ๔."ธรรมถูกยึดถือจัง..............เป็นที่ตั้ง"ยึดถือ"เผย
"ธรรมไม่ถูกยึด"เอ่ย.................แต่เป็นที่ตั้งยึดแล
อีกหนึ่ง"ไม่ยึด"รี่.......................ไม่เป็นที่ตั้งยึดแฉ
แตกต่างกันแล้วแน่...................เรียกมีแท้ทั้งสามเอย

   ๕."ธรรมก่อเศร้าหมองคลี่.......และเป็นที่ตั้งโศก"เอ่ย
"ธรรมไม่เศร้าหมอง"เลย...........แต่เป็นที่ตั้งเศร้าใจ
ธรรมสามไม่เศร้าหมอง.............และไม่ครองเศร้าหมองไหน
ทั้งสามธรรมมีไซร้.....................เป็นธรรมชาติยืนยง

   ๖.ธรรมมี"วิตก,ตรึก"................"วิจาร"นึกตรองถ่องบ่ง
"ธรรมไร้วิตกปลง......................แต่ยังมีวิจาร"แล
ธรรมสามนั้นไม่มี......................ทั้งสองนี้เฉพาะแน่
ผู้ลุฌานสูงแล้...........................วิตก,วิจารละเอย

   ๗."ธรรมกอปรปีติ"ไซร้...........ความอิ่มใจน้ำเนตรเผย
"ธรรมกอปรสุข"มีเอ่ย..............."ธรรมกอปรอุเบกขา"มี
เริ่มธรรมด่ำกับญาณ................ที่เห็นผ่านทัสสนะคลี่
คือ"โสดามรรคฯมี.....................ละสังโยชน์สา ข้อครัน

   ๘.ธรรมสองละโดยฝึก...........ภาวนานึกลุญาณสรรค์
"สกิทาคาฯนั้น...........................ละสังโยชน์สาม,เสริมแล
"อนาคามิมรรค..........................สังโยชน์จักละห้าแฉ
อรหัตต์มรรคแล้........................ลุสังโยชน์สิบเสร็จพา

   ๙.ธรรมสามละไม่ได้...............ด้วยเห็นไซร้และภาวนา
ธรรมมีเหตุละหนา......................ด้วยทัสสนะโสดาฯครัน
ธรรมมีเหตุละด้วย......................ภาวนาช่วยคือมรรคชั้น
สกาทามรรคฯพลัน.....................อนาคาฯ,อรหัตต์ฯแล

   ๑๐.ท้ายธรรมมีเหตุละ..............ไม่ได้ดะทั้งเห็นแฉ
และภาวนาแน่.............................เหตุฝ่ายชั่ว,กาย,พูด,ใจ
เริ่มธรรมนำไปสู่.........................."สั่งสมพรูกิเลส"ใหญ่
ธรรม"ไม่นำสู่ไซร้.........................การสะสมกิเลส"เลย

   ๑๑.ธรรมท้ายไม่เป็นทั้ง.............สองอย่างตั้งสะสมเฉย
และไม่สะสมเอย..........................กับกิเลสไหนสักครา
เริ่มธรรมพระอริยะ.......................ผู้เรียนปะแต่โสดาฯ
ถึงอรหัตต์ฯนา.............................รวมเจ็ดประเภทนั่นแล

   ๑๒.ธรรมผู้ที่ไม่ต้อง...................ศึกษาตรองคือผู้แน่
อรหัตตผลแท้...............................บรรลุเสร็จกิจแล้วนา
ธรรมไซร้ไม่เป็นทั้ง.......................สองอย่างดั่งยังศึกษา
และไม่ศึกษาพา............................แต่อย่างใดไกลว่างกลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กรกฎาคม, 2568, 03:03:04 PM
(ต่อหน้า ๒/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๑๓.ธรรม"ปริตตะ"ด้อย..............ธรรมเล็กน้อยท่องกามพลาง
ธรรม"มหัคคฯวาง.........................รูปหรืออรูปฌาน
ธรรมโอ่"โลกุตต์ฯชี้......................ธรรมไม่มีประมาณการ
เช่นมีมรรค,ผลกราน.....................นิพพานสงัด,สุขเอย

   ๑๔."ธรรมมีอารมณ์น้อย"............อารมณ์พลอย"ใหญ่"เลยเผย
กับ"อารมณ์มาก"เอ่ย.....................ไม่มีประมาณได้แล
เริ่ม"ธรรมอกุศล".........................."ธรรมกลางยลกุศล"แฉ
และ"อัพยาฯ"แล้...........................ยังมีกิเลสเศษคง

   ๑๕.ท้าย"ธรรมประณีต"นำ.........โลกุตต์ฯธรรมพ้นโลกบ่ง
เริ่ม"ธรรมฝ่ายผิด"ตรง..................อนันตริยกรรม
เป็นธรรมผิดติดแรง......................ห้าอย่างแจงโทษแกร่งหนำ
ธรรมฝ่ายถูกผลล้ำ.......................อริยมรรคสี่แล

   ๑๖.ท้าย"ธรรมไม่แน่นอน"...........ให้ผลจรต่างกันแฉ
ไม่ใช่ฝ่ายผิดแล้.............................หรือฝ่ายถูกแต่อย่างใด
กับธรรมมีมรรคเป็น......................."อารมณ์"เด่น"มีเหตุ"ไข
ธรรมมีมรรคเป็นใหญ่....................มรรคแปดไซร้กิเลสราน

   ๑๗."ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว".............."ธรรมยังแผ่วมิเกิด"สาน
"ธรรมที่จักเกิด"พาน......................."วันข้างหน้า"แลแท้เทียว
เริ่มธรรมนำด้วยกาล.......................อดีตผ่าน,และธรรมเชี่ยว
"ในอนาคต"เจียว.............................กับธรรมเป็นปัจจุบัน

   ๑๘.ด้วยจิต,เจตสิกนับ..................เกิดขึ้นดับลับกาลมีผัน
อดีต,กาลหน้าครัน..........................ปัจจุบันพลันเปลี่ยนแล
ขณะธรรมเกิดอยู่...........................และดับกรูอดีตแน่
มีเหตุปัจจัยแท้................................สภาพธรรมเกิดกาลหน้าแล

   ๑๙.ธรรมมีอารมณ์เป็น................."อดีต"เด่นปรารภแฉ
ธรรมมีอารมณ์แน่..........................เป็นอนาคตจิตจดตรอง
ธรรมมีอารมณดั้น...........................ปัจจุบันจิตคิดผอง
จิต,เจตสิกกล่าวถ่อง.......................กาลใดเกิด"ธรรมอารมณ์

   ๒๐."ธรรมมีเป็นภายใน"...............ธรรมเกิดไซร้ของตนสม
เฉพาะแต่บุคคลซม.........................ถูกตัณหายึดขันธ์เอย
"ธรรมภายนอก"ของสัตว์................ของตนชัดยึดขันธ์เผย
ธรรมที่ชี้"ใน"เคย............................และ"นอก"เอ่ยด้วยกันแล

   ๒๑."ธรรมมีอารมณ์อยู่.................ฝ่ายใน"กู่และ"ภายนอก"แฉ
"ธรรมเป็นภายใน"แท้......................และภายนอกสองอย่างไว
"ธรรมเห็น,ถูกต้อง"เด่น...................."ธรรมไม่เห็น",ถูกต้องได้
"ธรรมเห็นไม่ได้"ไซร้........................และถูกต้องมิได้เลย

   ๒๒.สอง,แม่บท"โคจฉ์กะ"..............เหตุธรรมปะคู่หกเผย
"ธรรมเด่นเป็นเหตุ"เอ่ย....................ฝ่ายเลว,โลภ,โกรธ,หลงแล
"กุศลเหตุ"ไม่โลภ.............................ไม่โกรธโฉบ,ไม่หลงแฉ
อัพยาฯเหตุธรรมแล้.........................ไร้โลภ,โกรธ,หลงเอย

   ๒๓.ธรรม"ไม่เป็นเหตุ"พร่ำ.............เว้นแต่"ธรรมเป็นเหตุ"เผย
กุศล,อกุศลเอ่ย................................อัพยากฤตเหลือแล
ที่เป็น"กามาฯ"สูบ.............................อรูปฯ,รูปฯแท้
โลกุตต์ฯคือขันธ์แน่..........................รูป,อสังขต์ธาตุหมดเอย

   ๒๔."ธรรมมีเหตุ"อย่างไร................คือขันธ์ไซร้เวทนาเอ่ย
สัญญา,สังขารเคย............................และวิญญาณขันธ์นั้นไว
"ธรรมไม่มีเหตุ"นา.............................คือสภาวะธรรมเหตุไร้
ขันธ์และรูปผองไกล..........................อสังขต์ธาตุมิปรุง

   ๒๕.สาม,แม่บทคู่น้อย......................"จูฬันต์ฯ"จ้อยหมดต่างมุ่ง
มีเจ็ดคู่พยุง.......................................สภาวธรรมต่างกัน
"สัปป์จจยาฯ"ชัด...............................ธรรมมีปัจจัยจัดสรรค์
"อัปปัจจยาฯ"ครัน.............................ธรรมไม่มีปัจจัยเอย

   ๒๖."สังขตา ธัมมา".........................ปรุงแต่งนาเปลี่ยนแปลงเผย
"อสังขตา"เอ่ย...................................ปรุงแต่งมิได้ไม่แปร
"สนิทสัสสนา"เด่น..............................ธรรมที่เห็นได้ชัดแฉ
"อนิทสัสสนาฯ"แล้..............................ธรรมที่เห็นไม่ได้เอย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กรกฎาคม, 2568, 09:39:09 AM
(ต่อหน้า ๓/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๒๗."สัปปฏิฏาฯ"นบ..................ธรรมกระทบพบได้เผย
"อัปปฏิฆาฯ"เปรย........................ธรรมกระทบมิได้แล
"รูปิโน ธัมมา"..............................ธรรมรูปหนาเห็นได้แน่
"อรูปิโนฯ"แท้...............................ไม่เป็นรูปคือนามธรรม

   ๒๘."โลกิยา ธัมมา"....................ธรรมเป็นนาโลกีย์ด่ำ
"โลกุตตระฯล้ำ............................ธรรมพ้นวิสัยโลกแล
"เกนจิ วิเยยฯ"ชิด.........................ธรรมที่จิตคิดรู้แฉ
"เกนจิ นะฯ"ธรรมแล้.....................จิตบางดวงมิรู้เลย

   ๒๙.สี่,"อาสวโคจฉ์ฯ"..................แม่บทโดดกิเลสเผย
มีแยกหกคู่เอ่ย.............................เกี่ยวข้องอาสวะแล
"ธรรมเป็นอาสวะ".........................กิเลสปะในกามแฉ
มิเป็นอาส์วะแล้.............................คือเว้นอาสวะนา

   ๓๐."สาสวา,ธรรมเป็น.................อารมณ์"เด่นอาส์วะหนา
"อนาสวาฯ"ธรรมหา.......................เป็นอารมณ์อาส์วะแล
"อาสว์สัมปยุตต์ฯครอบ..................ธรรมประกอบกิเลสแน่
"อาสว์วิปปยุตต์ฯ"แล้......................ธรรมไม่กอปรกิเลสซม

   ๓๑."อาส์วา เจวะฯ"นา..................ธรรมเป็นอาส์วะ,อารมณ์
"สาสวาฯธรรมบ่ม...........................เน้นอารมณ์ไร้อาส์วา
"อาส์สัมปยุตต์ฯชอบ......................ธรรมประกอบอาส์วาหนา
"อาส์วาสัมฯ"กอปรมา.....................ด้วยอาส์หาใช่อาส์ฯแล

   ๓๒."อาสววิปป์ฯ"นอบ...................ไม่ประกอบอาส์วะแฉ
แต่ธรรมอารมณ์แท้.........................ของอาส์วกิเลสพลัน
"อนาสวาฯ"คลาด.............................ไม่กอปรอาสวะดั้น
ไม่เป็นอารมณ์ครัน...........................ของอาสวะอีกแล

   ๓๓.ห้า,สัญโญชน์โคจฉ์ฯเปลื้อง......แม่บทเครื่องผูกมัดแฉ
แบ่งได้หกคู่แล้..............................กิเลสผูกมัดตนเอย
"สัญโญชนา สัมมา".......................ธรรมเป็นนาสัญโญชน์เผย
"โน สัญโญชนาฯ"เชย....................ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์นา

   ๓๔."สัญโญชนิยาฯ"ธรรม............อารมณ์ล้ำสัญโญชน์หนา
"อสัญโญชน์ฯ" ธัมมา.....................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล
"สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดสัญโญชน์แน่
"สัญโญชน์ วิปปยุตต์ฯแล้...............ธรรมมิกอปรสัญโญชน์เอย

   ๓๕."สัญโญชนฯ"ครัน..................ธรรมเป็นสัญโญชน์จริงเผย
และเป็นอารมณ์เคย.......................ของสัญโญชน์อีกด้วยแล
"สัญโญชนิยา"...............................ธรรมเป็นอารมณ์สัญโญชน์แฉ
แต่จะไม่เป็นแน่..............................กับสัญโญชน์ด้วยเลยนา

   ๓๖."สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมรุดเป็นสัญโญชน์หนา
และประกอบได้มา..........................กับสัญโญชน์ได้ดีเทียว
"สัญโญชน์ สัญโญช์นา"..................ธรรมกอปรหนาสัญโญชน์เชี่ยว
แต่ธรรมมิเป็นเจียว..........................กับสัญโญชน์แต่อย่างใด

   ๓๗."สัญโญชน์วิปยุตต์".................ธรรมไม่รุดประกอบใส
กับสัญโญชน์เลยไซร้.......................เป็นอารมณ์สัญโญชน์แล
"สัญโญชน์ อสัญโญฯ"......................ไม่กอปรโอ่สัญโญชน์แฉ
ไม่เป็นอารมณ์แน่..............................ของสัญโญชน์แท้เทียวเอย

   ๓๘.หก,"คันถโคจฉ์ฯ".....................แม่บทโจดกิเลสเผย
เครื่องร้อยรัดหกเอ่ย.........................เรียก"คันถะ"ผูกมัดใจ
"คันถา ธัมมา"นั้น...............................ธรรมเป็นคันถะเพลินไข
กำหนัด,อาฆาตไว..............................เห็นผิดคิดโลกเที่ยงเอย

   ๓๙."โน คันถา"ธรรมครัน.................ไม่เป็นคันถะสี่เผย
ที่เหลือ"กามาฯเอ่ย.............................รูปาฯ,อรูปาฯแล
โลกุตตระ,ขันธ์..................................เวทนาดั้น,วิญญาณแฉ
รูป,อสังข์ฯแล้.....................................ธรรมไม่เป็นคันถะเอย

   ๔๐."คันถนิยา"ธรรม.........................อารมณ์นำคันถะเผย
กุศล,เลว,กลางเอ่ย..............................ที่ยังมีกิเลสแล
กามาฯ,รูปาฯหล้า................................อรูปาฯ,รูปขันธ์แน่
อีกวิญญาณขันธ์แล้............................นี่อารมณ์คันถะแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กรกฎาคม, 2568, 03:01:40 PM

(ต่อหน้า ๔/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๔๑."อคันถนิยา"..................ไม่เป็นนาอารมณ์แน่
ของคันถะเลยแท้...................คือมรรค,ผลโลกุตต์ฯนา
และอสังขต์ธาตุ.....................ไม่มียาตรปรุงแต่งหนา
สภาวธรรมจ้า........................ปราศจากอารมณ์เอย

   ๔๒."คันถสัมปยุตต์ฯ"...........ธรรมกอปรรุดคันถะเผย
เว้นคันถะนั้นเอ่ย.....................คือขันธ์ต่างเวทนา
อีกวิญญาญขันธ์ซ้ำ................สภาพธรรมประกอบหนา
ด้วยคันถะเหมาะพา................แต่ไม่เป็นคันถะแล

   ๔๓."คันถวิปปยุตต์ฯ"............ธรรมไม่รุดประกอบแฉ
กับคันถะเลยแน่......................เพราะมีโลกุตตรธรรม
มรรค,ผล,อสังข์ฯ.....................ภาวะดั่งไซร้ไร้กอปรหนำ
กับคันถะละนำ.........................และไม่เป็นอารมณ์เลย

   ๔๔."คันถะ เจวะฯ"ครัน..........ธรรมเป็นคันถะแน่เอ่ย
พร้อมเป็นอารมณ์เคย..............ของคันถะแท้เลยแล
"คันถนิยาฯ"หนา......................ธรรมอารมณ์คันถะแฉ
ไม่เป็นคันถะแน่.......................ได้แก่กิเลสเหลือคง

   ๔๕."คันถา สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมนี้คุดคันถะบ่ง
และสัมปยุตต์ฯตรง..................กอปรด้วยคันถะต่างเอย
"คันถสัมปยุตต์ฯ".....................ธรรมกอปรรุดคันถะเผย
แต่ไป่คันถะเอ่ย.......................เพราะเว้นคันถธรรมแล

   ๔๖."คันถวิปปยุตต์ฯ".............ธรรมที่ซุดไม่กอปรแน่
กับคันถะเลยแต่.......................เป็นอารมณ์คันถะไง
"อคันถนิยาฯ"...........................ไม่กอปรนาคันถะไส
และไร้อารมณ์ใด......................กับคันถะทั้งสิ้นเอย

   ๔๗.เจ็ด,"โอฆโคจฉ์ฯ"คลุม.......แม่บทกลุ่มโอฆะเผย
โอฆะห้วงน้ำเปรย......................ดึงสัตว์จมลงต่ำแล
แต่อบายภูมิรึง...........................แหวกว่ายถึง"โคตรภูฯ"แฉ
โอฆะ,กิเลสแท้...........................แยกได้สี่ประเภทเอย

   ๔๘."โอฆา ธัมมา"เด่น...............ธรรมอันเป็นโอฆะเผย
"โน โอฆา"ธรรมเอ่ย....................ธรรมไม่เป็นโอฆะแล
"โอฆนิยา"ธรรม..........................อารมณ์นำโอฆะแฉ
"อโนฆะฯ"ธรรมแล้.....................ไม่ได้เป็นอารมณ์เอย

   ๔๙."โอฆสัมปยุตต์ฯ"................ธรรมกอปรรุดโอฆะเผย
"โอฆวิปป์ฯธรรมเกย...................ไม่ประกอบโอฆะแล
"โอฆา เจวะ"โร่............................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ
เป็นนาอารมณ์แล้........................ของโอฆะแท้เทียวนา

   ๕๐."โอฆนิยาฯ"งม....................เป็นอารมณ์โอฆะหนา
อารมณ์เป็นธรรมกล้า...................แต่ไป่โอฆะแล
"โอฆสัมปยุตต์ฯโผล่....................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ
และยังประกอบแท้......................เข้ากับโอฆะด้วยเอย

   ๕๑."โน จ โอมา"ธรรม...............สัมปยุตต์ฯนำประกอบเผย
กอปรด้วยโอฆะเปรย...................แต่ไม่เป็นโอฆะแล
"โอฆวิปป์ฯ"ธรรมไม่.....................ประกอบไซร้โอฆะแน่
แต่เป็นอารมณ์แท้........................ของโอฆะหลายแท้เทียว

   ๕๒."โอฆวิปปยุตต์ฯ"..................เป็นธรรมรุดไม่กอปรเอี่ยว
จากโอฆะเลยเชียว.......................และไม่เป็นอารมณ์แล
แปด,"โยคโคฯ"นะ.........................แม่บท"โยคะ"กอปรแฉ
ผูกสัตว์ซัดจมแล้...........................ในวัฏฏะหกคู่เอย

   ๕๓."โยคา ธัมมา"หล้า................ธรรมเป็นนาโยคะเผย
"โน โยคา"ธรรมเอ่ย......................ไม่เป็นโยคะเลยนา
"โยคนิยาฯ"ธรรม..........................อารมณ์ด่ำโยคะหนา
"อโยคนิยา"..................................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล

   ๕๔."โยคสัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดโยคะแน่
"โยควิปป์ฯซิแท้............................ไม่ประกอบโยคะเอย
"โยคา เจวะฯ"โผล่........................ธรรมเป็นโยคะเหตุเผย
และเป็นอารมณ์เกย.....................ของโยคะกิเลสนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กรกฎาคม, 2568, 12:30:50 PM
(ต่อหน้า ๕/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๕๕."โยคนิยาฯ"มี...................อารมณ์ชี้โยคะหนา
ธรรมมาอารมณ์กล้า.................แต่ไม่เป็นโยคะแล
"โยคา เจวะ"โด่.........................ธรรมเป็นโยคะแน่
และสัมปยุตต์กอปรแล้..............ด้วยโยคะแนบชิดเอย

   ๕๖."โยคสัมปยุตต์ฯ"..............ธรรมข้องสุดโยคะเผย
กอปรด้วยโยคะเคย..................แต่ไม่เป็นโยคะแล
"โยควิปปยุตต์ฯ".......................ธรรมไม่รุดประกอบแฉ
เบือนกับโยคะแต่......................เป็นอารมณ์โยคะคง

   ๕๗."อโยคนิยาฯ"....................ไม่กอปรนาโยคะบ่ง
ไม่ข้องกิเลสตรง.......................โยคะไม่เป็นอารมณ์
เก้า,แม่บท"นีวรณ์".....................กิเลสชอนบ่อนจิตล่ม
มิแน่วสมาธิ์ซม..........................จิตพลาดนำทำความดี

   ๕๘."นีวรณา"ปก.....................ธรรมนี้หกนิวรณ์ปรี่
"โน นีวรณ์ฯ"ธรรมชี้...................ไม่เป็นนิวรณ์หกแล
"นีวรณิยา"................................ธรรมเป็นอารมณ์ตรมแฉ
ของนิวรณ์เหลือแต่....................กิเลสในกามา..เอย

   ๕๙."อนีวรฯ"เด่น......................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย
มรรค,ผล,โลกุตต์ฯเอ่ย................อสังขตธาตุนา
"นีวรณสัมฯ"...............................ธรรมกอปรช่ำนิวรณ์หนา
มาพร้อมกับขันธ์ห้า.....................เวทนา..และวิญญาณ

   ๖๐."นีวรณ์วิปป์ฯ".....................ธรรมไกลลิบไม่กอปรสาน
กับนิวรณ์ธรรมซ่าน......................เช่นอสังขต์ธาตุแล
"นีวรณา เจวะฯ"............................ธรรมที่ปะนิวรณ์แฉ
เป็นหนาอารมณ์แล้.......................ของนิวรณ์อีกด้วยเอย

   ๖๑."นีวรณิยา"...........................ธรรมเป็นอารมณ์คล้ายเผย
กับนิวรณ์แต่เอ่ย...........................หาเป็นนิวรณ์ไม่แล
ด้วยกิเลสเหลือใน.........................กามาฯไซร้,รูปาฯแน่
อรูปาฯ,ขันธ์แท้.............................รูป,วิญญาณขันธ์พานไกล

   ๖๒."นีวรณาฯ"เด่น......................ธรรมเป็นเช่นนี้นิวรณ์ไส
และสัมปยุตต์ฯไว...........................ประกอบด้วยนิวรณ์คง
"นีวรณสัมป์ฯ"................................ประกอบย้ำนิวรณ์บ่ง
ไม่เป็นนิวรณ์ทรง...........................เพราะเว้นนิวรณ์ธรรม

   ๖๓."นีวรณวิปป์ฯ"........................ไม่กอปรลิบนิวรณ์ด่ำ
เป็นนาอารมณ์นำ...........................ของนิวรณ์ที่เหลือชู
"นีวรณ์วิปปยุตต์ฯ".........................ไม่กอปรรุดนิวรณ์สู่
ไร้หนาอารมณ์รู้.............................กับนิวรณ์เพราะมรรคแล

   ๖๔.สิบ,แม่บท"ปรามาสฯ"............กิเลสบาดทางผิดแฉ
มีห้าคู่ผิดแท้..................................พลาดจากความตามจริงเอย
"ปรามาสา ธัมมา"..........................ธรรมเป็นนาทิฏฐิเผย
เห็นผิดชิดเกิดเอ่ย.........................ในจิตกอปรทิฏฐิแล

   ๖๕."โน ปรามาสา"ธรรม...............ไม่เป็นนำปรามาสแฉ
ธรรมที่เหลือเช่นแล้........................โลกุตต์ฯ,อสังขต์ธรรม
"ปรามัฏฐาฯ"นา...............................ธรรมเป็นอารมณ์ปรี่นำ
ของปรามาสะพร่ำ...........................ยังมีกิเลสกามาฯ

   ๖๖."อปรามัฏฯ"เน้น.......................ธรรมไม่เป็นอารมณ หนา
ของปรามาสะกล้า...........................เช่นมรรค,ผลโลกุตต์ธรรม
"ปรามาสะสัมฯจับ............................ประกอบกับธรรมอื่นกล้ำ
เช่นสัมปยุตต์นำ...............................กับเวทนาขันธ์ดล

   ๖๗."ปรามาสวิปป์ฯ"ไซร้.................ธรรมใดไม่ประกอบด้น
กับปรามาสะยล...............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน
"ปรามาสาา เจวะฯ"..........................ปรามาสะแลธรรมดั้น
เป็นปรามาสะพลัน...........................ยังเป็นอารมณ์อีกเลย

   ๖๘."ปรามัฏฐา เจวะฯ"....................ธรรมใดจะเป็นดั่งเผย
ย้ำหนาอารมณ์เคย...........................มิเป็นปรามาสะนา
"ปรามาสวิปป์ฯ"ไหน.........................ธรรมใดไม่กอปรปรามาฯ
แต่เป็นอารมณ์พา............................ของปรามาสะแท้เทียว


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กรกฎาคม, 2568, 03:02:06 PM
(ต่อหน้า ๖/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๖๙."ปรามาสวิปปยุตต์ฯ"..........ไม่กอปรยุดปรามาฯเอี่ยว
ไม่เป็นอารมณ์เชียว...................ของปรามาสะแท้ครอง
สิบเอ็ด,แม่บทไซร้......................"มหันตร์ฯ"คู่ใหญ่ไม่เกี่ยวข้อง
มีสิบสี่คู่ตรอง.............................แต่ละคู่ต่างเรื่องกัน

   ๗๐."สารัมมณะฯนา.................ธรรมมีอารมณ์สี่สรรค์
คือขันธ์,เวทนาครัน....................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
"อนารัมมณา"............................ธรรมไร้อารมณ์ซ่าน
คือรูปทั้งหมดกราน....................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๑."จิตตา ธัมมา"เด่น..............ธรรมที่เป็นจิตชิดแฉ
คือวิญญาณรู้แท้........................จักขุ ,โสต,ฆานะ..เอย
"โน จิตตา"ธรรมไซร้..................ธรรมที่ไม่เป็นจิตเผย
นามขันธ์"เวทนา"เอ่ย.................รูป,อสังขต์ธาตุมา

   ๗๒."เจตสิกาฯ"เหตุ.................ธรรมเป็นเจตสิกหนา
นามขันธ์"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแล
"อเจตสิกฯ"เว้น..........................ธรรมไม่เป็นเจตสิกแฉ
คือจิต,รูปหลายแล้.....................และอสังขต์ธาตุเอย

   ๗๓."จิตตสัมปยุตต์ฯ"...............ธรรมกอปรรุดกับจิตเผย
นามขันธ์เวทนาเกย....................กับสัญญา,สังขาร
"จิตตวิปปยุตต์ฯ"........................ธรรมที่หยุดกอปรจิตแฉ
เช่นรูปทั้งหมดแน่.......................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๔."จิตตสังสัฏฯ"นับ................ธรรมเจือกับจิตรู้หนา
นามขันธ์เวทนากล้า....................สัญญา,สังขารเอย
"จิตตวิสัสฯ"เอื้อ..........................ธรรมไม่เจือกับจิตเผย
คือรูปทั้งหมดเกย.......................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๕."จิตตสมุฏฯ"ชิด.................ธรรมมีจิตเป็นเหตุแฉ
เช่นนามขันธ์,รูปแท้....................ที่เกิดตรงชิดจิตเอย
"โน จิตต์สมุฏฐฯ"รี่......................ธรรมไม่มีเหตุจิตเผย
เช่นจิต,รูปที่เหลือเอ่ย..................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๖."จิตตสหฯ"รวม....................ธรรมเกิดร่วมกับจิตหนา
คือนามขันธ์,สัญญา.....................เวทนา,สังขารช่วยไว
"โน จิตตสหะฯ"............................ธรรมไม่ปะเกิดกับใจ
เช่นจิต,รูปเหลือไซร้.....................และอสังขต์ธาตุแล

   ๗๗."จิตตานุฯ"พร้อมช้อย...........ธรรมเกิดคล้อยตามจิตแน่
เช่นนามขันธ์ร่วมแท้.....................เวทนา,สังขาร,สัญญา
"โน จิตตานุฯ"เชิด.........................ธรรมไม่เกิดคล้อยหนา
เช่นรูปที่เหลือนา..........................อสังขตธาตุเอย

   ๗๘."จิตตสังสัฏฯ"เกื้อ.................คือธรรมเจือกับจิตเผย
มีจิตจ่อเหตุเปรย..........................เช่นนามขันธ์รู้,จำ,ปรุง
"โน จิตตสังฯ"ไซร้.........................คือธรรมไม่เจือจิตมุ่ง
คือจิต,รูปผดุง...............................และอสังขต์ธาตุนา

   ๗๙."จิตตสหภูฯ".........................ธรรมเจืออยู่คู่จิตหนา
มีจิตเป็นเหตุกล้า...........................และเกิดร่วมกับจิตแล
คือขันธ์สาม"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแฉ
"โน จิตตสังฯ"แท้...........................ธรรมไม่เจือกับจิตเอย

   ๘๐.และจิตไร้เหตุสวม.................ไม่เกิดร่วมกับจิตเผย
เช่นจิต,รูปถ้วนเอ่ย.........................กับอสังขต์ธาตุแล
"จิตตปริวัตต์ฯ"นับ..........................ธรรมเจือกับจิตอยู่แฉ
มีจิตเป็นเหตุแล้..............................และเกิดคล้อยตามจิตนา

   ๘๑.เช่นนามขันธ์เวทนา...............พร้อมสัญญา,สังขารหล้า
"โน จิตตปริฯ"กล้า..........................ธรรมไม่เจือกับจิตแล
จิตไม่มีเหตุด้อย..............................ไม่เกิดคล้อยตามจิตแฉ
เช่นจิต,รูปถ้วนแท้...........................และอสังขต์ธาตุเอย

   ๘๒."อัชฌัตติกา"นำ......................สภาพธรรมภายในเผย
เป็นอารมณ์อันเคย..........................เช่น"จักขาย์ตนะ"แล
"พาหิรา ธัมฯ"กราย.........................ธรรมเป็นภายนอกกายแฉ
เช่น"รูปายะฯแล้.............................."ธัมมายตนะ"ครา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กรกฎาคม, 2568, 10:56:37 AM

(ต่อหน้า ๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๘๓."อุปาทาธัมฯ"ไซร้...........ธรรมอาศัยที่เกิดหนา
"มหาภูต์รูป"หล้า.....................ดิน,น้ำ,ไฟ ลมสี่พาน
เช่น"จักขายตนะฯ"อิง.............."กวฬิงการาหาร"
"โน อุปาทาฯ"ผ่าน...................ธรรมไม่อาศัยเกิดเลย

   ๘๔.จากมหาภูตฯนั้น.............เช่นนามขันธ์สี่เผย
เวทนา,สัญญาเอ่ย...................สังขาร..,อสังขต์ฯแล
"อุปาทินนาฯ"..........................ธรรมที่พาเจตนาแฉ
เกิดกรรมกอปรด้วยแท้............ตัณหา,ทิฏฐิยึดครอง

   ๘๕.เช่นวิบากกรรมดี.............และชั่วคลี่กิเลสผอง
นามขันธ์,เวทนาข้อง.................สัญญา,สังขารเอย
อีกวิญญาญขันธ์ชี้....................และรูปที่กรรมตกแต่งเผย
"อนุปาทินฯ"เปรย......................ธรรมที่เจตนากอปรแล

   ๘๖.ตัณหา,ทิฏฐิถ่อง...............ไม่ยึดครองปองใดแฉ
เช่นมรรคและผลแล้..................และอสังขต์ธาตุนา
สิบสอง,"อุปาทานฯ"...................แม่บทพานเหตุยึดหนา
มีหกคู่เหตุอ้า..............................สี่สิ่งให้ยึดติดแล

   ๘๗."กามุปาทาน"ชัด................ความกำหนัด,ตัณหาแฉ
"ทิฏฐุปาทาน"แท้........................ความเห็นผิดปิดความจริง
"สีลัพพตุปาฯ"............................เลื่อมใสหนาศาสน์อื่นดิ่ง
"อัตตาวาทุฯ"อิง..........................ยึดตนวิปลาสเอย

   ๘๘."ธรรมเป็นอุปาทาน"...........มั่นสี่ขานยึดติดเผย
"ธรรมไม่เป็นอุปาฯ"เอ่ย...............ไร้เหตุจะยึดถือแล
เช่นนามขันธ์,เวทนา....................สัญญา,สังขาร,วิญญ์แฉ
รูปทั้งหมดและแน่........................อสังขตธาตุเอย

   ๘๙."ธรรมเป็นอารมณ์"นา..........ของอุปาทานแลเผย
คือขันธ์ห้า,รูปเอ่ย........................เวทนา..และวิญญาณ
"ธรรมไม่เป็นอารมณ์"..................ไม่ยึดตรมอุปาทาน
กิเลสที่เหลือพาน.........................เช่นขันธ์ห้าทั้งหลายแล

   ๙๐."ธรรมกอปรอุปาทาน...........วิญญาณขันธ์,เวทนาแฉ
"ธรรมไม่กอปรอุปาฯ"แล้"..............เช่นรูป,อสังข์ธาตุเอย
"ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และยังซ่านอารมณ์เผย
"ธรรมนาอารมณ์"เคย....................ของอุปาทานแน่ครัน

   ๙๑.แต่มิเป็นอุปาฯ......................ยังเหลือนากิเลสปั่น
ตัวอย่างรูปขันธ์นั้น.......................และวิญญาณขันธ์ไซร้แล
"ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และกอปรขานอุปาฯแฉ
เช่น"ทิฏฐุปาทาน".........................กอปรพาน"กามุปาทาน"

   ๙๒."ธรรมกอปรอุปาฯ"เด่น.........มิได้เป็นอุปาฯขาน
เช่นขันธ์เวทนาพาน......................สัญญา,สังขาร,วิญญ์ฯเอย
"ธรรมไม่กอปรอุปาฯ."...................แต่มีอารมณ์บ่มเผย
เช่นรูปขันธ์มีเคย..........................และวิญญาณขันธ์พานแล

   ๙๓."ธรรมไม่กอปรอุปาฯ............ไม่เป็นอารมณ์ซมแฉ
คือมรรค,ผลแน่แท้........................และอสังขต์ธาตุเอย
สิบสาม,แม่บทโลด........................"กิเลสโคจฉกะ"เผย
ว่าด้วยกิเลสเอ่ย............................แปดคู่ทำใจเศร้าตรม

   ๙๔."กิเลสา ธัมมา"......................ธรรมนาเป็นกิเลสขม
"กิเลสวัตถุ"ซม..............................มีสิบเช่นโลภ,โกรธแล
"โน กิเลสาฯ"เน้น...........................ธรรมไม่เป็นกิเลสแฉ
เว้นกิเลสสิบแล้..............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน

   ๙๕."สังกิเลสิกา".........................อารมณ์พากิเลสผัน
เช่นวิญญาณขันธ์พลัน..................เป็นอารมณ์กิเลสเอย
"อสังกิเลฯเน้น...............................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย
ได้แก่มรรค,ผลเกย........................และอสังขต์ธาตุแล

   ๙๖."สังกิลิฏฐาฯ"เร้า...................ธรรมที่เศร้าหมองใจแฉ
อกุศลมูลแท้..................................โลภ,โกรธ,หลงทางกาย,ใจ
"อสังกิลิฏฐา".................................ธรรมพาไม่เศร้าหมองไข
เช่นรูปทั้งหมดไกล........................และอสังขต์ธาตุมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กรกฎาคม, 2568, 02:00:26 PM

(ต่อหน้า ๘/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๙๗."กิเลสสัมปยุตต์"...........ธรรมกอปฉุดกิเลสหนา
คือนามขันธ์,เวทนา................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
"กิเลสวิปปยุตต์"....................ธรรมไม่รุดประกอบขาน
กับกิเลสเลยผ่าน...................เช่นอสังขต์ธาตุแล

   ๙๘."สังกิเลสิกา".................ธรรมเป็นหนากิเลสแย่
และเป็นอารมณ์แท้................ของสังกิเลสด้วยเอย
"โน จะ กิเลสา"......................ธรรมเป็นอารมณ์ซมเผย
ของสังกิเลสเคย...................แต่มิเป็นกิเลสนา

   ๙๙."สังกิลิฏฯ"เด่น..............ธรรมเป็นกิเลสเศร้าหนา
"โน จะ กิเลสา"......................ธรรมที่เศร้าหมองอย่างเดียว
ไม่เป็นกิเลสเลย....................เช่นขันธ์เผย,เวทนาเกี่ยว
สัญญา,สังขารเจียว...............และวิญญาณขันธ์แน่นอน
   
   ๑๐๐."กิเลสสัมปยุตต์".........ธรรมผุดเป็นกิเลสจร
ประกอบกิเลสซ้อน................อีกอย่างหนึ่งเพิ่มแล
เช่น"โลภ"กอปรกับ"หลง"......."โกรธ"กอปรบ่งกับ"หลง"แฉ
"ทิฏฐิ"กอปร"หลง"แน่............."มานะ"ประกอบ"หลง"เอย

   ๑๐๑."โน จะ กิเลสา"...........ธรรมกอปรหนากิเลสเผย
มิเป็นกิเลสเอย......................เช่นนามขันธ์,เวทนา
"วิปปยุตตา โข".....................ธรรมไม่โผล่กิเลสหนา
แต่มีอารมณ์พา.....................สังกิเลสเช่น"รูป"แล

   ๑๐๒."อสังกาปิฯ"ชอบ.........ธรรมมิกอปรกิเลสแฉ
ไร้หนาอารมณ์แน่..................กับกิเลสเช่น"มรรค"ยล
สิบสี่,"ปิฏฐิฯ"ซึ่ง......................แม่บทพึงละให้พ้น
มีสิบแปดคู่ดล........................เพื่อละสังโยชน์หมดนา

   ๑๐๓."ทัสสเนน ปาตฯ".........ธรรมต้องฆาตด้วยโสดาฯ
ตัดสังโยชน์สามลา................."สักกายทิฏฯ"เลิกยึดตน
"วิจิกืจฯ"สงสัย.......................พุทธเจ้าไซร้เคลือบแคลงท้น
"สีลัพพะฯ"ยึดล้น...................ศีล,พรตนอกศาสน์แล

   ๑๐๔."นะ ทัสสเนนฯ"ไซร้.....ธรรมที่ไม่ต้องละแท้
ด้วยโสดาปัตฯแล้...................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย
"ภาวนายะ ปะ".......................ธรรมที่ละด้วยมรรคเผย
คือโลภ,โกรธ,หลงเกย............กอปรด้วยขันธ์ห้าแล

   ๑๐๕."น ภาวนาฯ"ครอง........ธรรมไม่ต้องตัดละแฉ
คือธรรมที่เหลือแล้..................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย
"ทัสสเนน ปหาฯ".....................ธรรมหลายนากอปรเหตุเผย
คือสังโยชน์สามเปรย..............ต้องละด้วยมรรคโสดาฯ

   ๑๐๖."นะ ทัสสเนนฯ"ตอบ.....ธรรมไม่กอปรด้วยเหตุหนา
ไม่ต้องใช้มรคกล้า..................ละครันเช่น"รูป"ผองแล
"ภาวนา ปหา"..........................ธรรมละนาด้วยมรรคแฉ
โลภ,โกรธและหลงแท้.............เพราะมีเหตุประกอบเอย

   ๑๐๗."น ภา ปหา"นี้...............ธรรมไม่มีเหตุละเผย
เช่นรูปทั้งหมดเปรย................และอสังขต์ธาตุนา
แม่บทฝ่าย"สุตตันฯ"................พระสูตรนั้น"สี่สอง"หนา
พุทธวจน์มา............................ตรัสสอนธรรมเจาะจงคน

   ๑๐๘."วิชชาภาคิโนฯ"...........วิชชาโอ่ธรรมล้ำผล
คือวิชชาแปดดล.....................เช่น"วิปัสสนาญาณ
"อวิชชาภาฯ"ครอบ..................ธรรมกอปรอวิชชางาน
คือไม่รู้จริงพาน.......................อริยสัจจ์สี่เอย

   ๑๐๙."วิชชูปมาฯ"ดั่ง.............ธรรมเหมือนดังฟ้าแลบเผย
ปัญญามรรคต่ำเชย................ละกิเลสถูกครอบงำ
"วชิรูปมา"...............................ธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงหนำ
ปัญญามรรคสูงล้ำ...................กำจัดกิเลสสิ้นเชิง

   ๑๑๐."พาลา ธัมมา"ไซร้.........ธรรมนำให้เป็นพาลเบิ่ง
อกุศลธรรมเริง.........................อหิริ,อโนตฯแล
"ปัณฑิตา ธัมฯ"เด่น..................ธรรมล้ำเป็นบัณฑิตแฉ
"หิริ,โอตตัปฯแท้.......................กุศลกรรมทั้งหมดเอย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, กรกฎาคม, 2568, 07:34:23 AM

(ต่อหน้า ๙/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

   ๑๑๑."กัณหา ธัมมา"........เป็นธรรมดำมัวหมองเผย
อกุศลกรรมเคย.................ไม่ละอาย,กลัวบาปแล
"สุกกา ธัมมา"พราว............เป็นธรรมขาวกระจ่างแฉ
กุศลกรรมล้ำแล้.................ทำจิตประภัสสรนา

   ๑๑๒."ตปนิยา"ไว.............ธรรมนำให้เร่าร้อนหนา
ทุจริตกาย,ใจพา................ทุกข์โลกนี้,โลกหน้าเอย
"อตปนิยา".........................ธรรมล้วนหนากุศลเผย
จะอยู่พรูสุขเชย.................ทุกภพนาตลอดกาล

   ๑๑๓."อธิวจนา"...............ถ้อยคำหนาเป็นชื่อขาน
เช่นตู้,โต๊ะ,เตียงพาน...........ธรรมต่างต่างถูกเรียกเอย
"อธิวัจน์"พร่ำ......................เหตุของธรรมชื่อนั้นเผย
เหตุธรรมปรุงแต่งเอ่ย.........จึงเรียกว่าสังขารแล

   ๑๑๔."นิรุตติ์ ธัมมา"..........ธรรมเป็นหนานิรุตแฉ
ปัญญาแตกฉานแล้.............ในถ้อยคำภาษานา
"นิรุตติ์ปภา"นำ....................เหตุของธรรมนิรุตฯหนา
อธิบายเหตุเกิดมา...............ของสภาวะธรรมเอย

   ๑๑๕."บัญญัตติ ธัมมา"......ธรรมหนาเป็นบัญญัติเผย
แจ้งให้ทราบคำเอ่ย..............เช่นตั้งชื่อ,ครือเรียกครัน
"บัญญัตติ์ปถาฯ"นำ..............คือธรรมทั้งหมดกล่าวสรร
ได้บัญญัติชัดพลัน...............โดยระบุขนานนาม

   ๑๑๖."นามญัจ"นี้ตั้งชื่อ.......เป็นธรรมลือน้อมนำผลาม
นามขันธ์,เวทนาลาม.............สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
"รูปญัจ"คือรูปกู่...................."มหาภูตรูป"สี่ขาน
รวมรูปอาศัยพาน..................มหาภูตรูปอิง

   ๑๑๗."อวิชชา จ"อยู่............ด้วยไม่รู้แจ้งความจริง
อริยสัจจ์ดิ่ง..........................ไม่รู้ทุกข์,สมุทัย..
"ภวตัณหาฯ"พา....................ปรารถนาหล้าภพไข
มียินดี,พอใจ.........................เกิดร่วมความอยากด้วยแล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑) อภิธรรมปิฎก พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๖๔๙-๖๕๓
          ๒)(เล่ม ๗๖) พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ https://www.tripitaka91.com/76-431-5.html

อริยมรรค =ทางอันประเสริฐอันเป็นทางแห่งความดับทุกข์ คือ ทางดำเนินของพระอริยะในพระพุทธศาสนา มี ๔ ชั้น คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก.โอรัมภาคิยสังโยชน์ - สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
(๑)สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าขันธ์ ๕ คือตัวตน (๒)วิจิกิจฉา - มีความสงสัยลังเลในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (๓)สีลัพพตปรามาส - มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพร ภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด (๔)กามราคะ - มีความพอใจในกามคุณ (๕)ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง;
ข.อุทธัมภาคิยสังโยชน์ - สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
(๖)รูปราคะ - มีความพอใจในรูปสัญญา (๗)อรูปราคะ - มีความพอใจในอรูปสัญญา (๘)มานะ - มีความถือตัว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความรู้สึกสำคัญตัวว่าดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน (๙)อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน (๑๐)อวิชชา - มีความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
พระโสดาบัน ทำสังโยชน์ ๓ ข้อแรกให้สิ้นไปได้ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ ๓ ข้อแรกให้สิ้นไปได้ และมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง
พระอนาคามี ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ข้อแรก หรือโอรัมภาคิยสังโยชน์ให้สิ้นไปได้
พระอรหันต์ ทำสังโยชน์เบื้องต่ำและเบื้องสูงทั้ง ๑๐ ข้อให้สิ้นไปได้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, กรกฎาคม, 2568, 03:55:44 PM

(ต่อหน้า ๑๐/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

อริยบุคคล ๗= บุคคลผู้ประเสริฐ เรียงจากสูงลงมา
(๑)อุภโตภาควิมุต - ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย และสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ
(๒)ปัญญาวิมุต -ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติก็สำเร็จเลยทีเดียว
(๓)กายสักขี -ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๔)ทิฏฐิปปัตตะ -ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๕)สัทธาวิมุต -ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านที่เข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๖)ธัมมานุสารี -ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
(๗)สัทธานุสารี -ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต
กล่าวโดยสรุป บุคคลที่ ๑ และ ๒ (อุภโตภาควิมุต และปัญญาวิมุต) ได้แก่พระอรหันต์ ๒ ประเภท
บุคคลที่ ๓, ๔ และ ๕ (กายสักขี ทิฏฐิปปัตตะ และสัทธาวิมุต) ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค จำแนกเป็น ๓ พวกตามอินทรีย์ที่แก่กล้า เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ สมาธินทรีย์ หรือปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์
บุคคลที่ ๖ และ ๗ (ธัมมานุสารีและสัทธานุสารี) ได้แก่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จำแนกตามอินทรีย์ที่เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ ปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์
อนันตริยกรรม ๕=หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี ๕ อย่าง คือ (๑)มาตุฆาต - ฆ่ามารดา (๒)ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา (๓)อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์ (๔)โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล (๕)สังฆเภท - ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์
ผู้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ ๘ เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์
โคจฉกะ=แม่บทหรือบทตั้ง ว่าด้วยกลุ่มเหตุ มี ๖ คู่
(๑)ธรรมที่เป็นเหตุ กับ ธรรมที่มิใช่เหตุ
(๑.๑)ธรรมเป็นเหตุ เป็นไฉน?=
คือกุศลเหตุ ๓, อกุศลเหตุ ๓, อัพยากตเหตุ ๓, กามาวจรเหตุ ๙, รูปาวจรเหตุ ๖, อรูปาวจรเหตุ ๖, โลกุตตรเหตุ ๖, มีอโลภกุศลเหตุ และ อโมหกุศลเหตุบังเกิดในกุศลทั้ง ๔ ภูมิ อโมหกุศลเหตุบังเกิดในกุศลทั้ง ๔ ภูมิ, เว้นจิตตุปบาท(ความคิดที่เกิดขึ้น)ที่เป็นญาณวิปปยุต(ไม่ประกอบ)ฝ่ายกามาวจร ๔ ดวง
             โลภะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคต(ร่วมกัน, ประกอบกัน)ด้วยโลภะ ๘ ดวง
             โทสะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัส ๒ ดวง
             โมหะ บังเกิดในอกุศลทั้งปวง
             อโลภวิปากเหตุ อโทสวิปากเหตุ ย่อมเกิดในวิบากทั้ง ๔ ภูมิ เว้นอเหตุกจิตตุปบาท ฝ่ายกามาวจรวิบาก
             อโมหวิปากเหตุ บังเกิดในวิบากทั้ง ๔ ภูมิ เว้นอเหตุกจิตตุปบาท ฝ่ายกามาวจรวิบาก
(และ) เว้นจิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต ๔ ดวง
             อโลภกิริยเหตุ อโทสกิริยเหตุ บังเกิดในกิริยาทั้ง ๓ ภูมิ เว้นอเหตุกจิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกิริยา
             อโมหกิริยเหตุ บังเกิดในกิริยาทั้ง ๓ ภูมิ เว้นอเหตุกจิตตุปบาท ฝ่ายกามาวจรกิริยา
(และ) เว้นจิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต ๔ ดวง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, กรกฎาคม, 2568, 09:14:11 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑.๒)ธรรมไม่เป็นเหตุ เป็นไฉน?=เว้นเหตุทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๔, อกุศล วิบากในภูมิ ๔ ,กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และ นิพพาน
อกุศลเหตุ= มี ๓ ได้แก่ โลภเหตุ, โทสเหตุ  โมหเหตุ  อกุศลจิตเหตุ ๓ =มีโลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ  เป็นเจตสิก ๓ ดวง เป็น อกุสลเจตสิก เมื่อ เจตสิกทั้ง ๓ คือเหตุทั้ง ๓ นี้ประกอบกับจิต ก็เป็นมูลฐานให้จิตเป็นอกุศล อันเป็นจิตที่ชั่วที่บาป เป็นจิตที่มีโทษและจักให้ผลเป็นทุกข์ ดังนั้น โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ จึงได้ชื่อว่าเป็น อกุศลเหตุ อกุศลเหตุประกอบกับจิตใด จิตนั้นก็เป็น อกุศลจิต
กุศลเหตุ= มี ๓ ได้แก่ อโลภเหตุ  อโทสเหตุ, อโมหเหตุ เป็นโสภณเจตสิกทั้ง ๓ ดวง เมื่อเจตสิกทั้ง ๓ คือเหตุทั้ง ๓ นี้ประกอบกับจิต ก็เป็นมูลฐานให้จิตเป็นโสภณ เป็นจิตที่ดีงาม เรียกว่า โสภณจิต
อพยากตเหตุ ๓ =มี อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ ประกอบกับโสภณจิตประเภทวิบากและกิริยา อันรวมเรียกว่า อพยากตจิต เป็นจิตที่ดี งาม ฉลาด ปราศจากโทษเหมือนกัน แต่ ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป เพราะไม่สามารถให้เกิดผลอย่างใดขึ้นมาได้
กามาวจรเหตุ ๙=ได้แก่สภาวธรรม กุศลเหตุ ๓, อกุศลเหตุ ๓, และ อัพยากตเหตุ ๓
รูปาวจรเหตุ ๖= คือสภาวธรรมได้แก่ กุศลเหตุ ๓, อัพยากตเหตุ ๓
อรูปาวจรเหตุ ๖=สภาวธรรม ได้แก่ กุศลเหตุ ๓, อัพยากตเหตุ ๓
โลกุตตรเหตุ ๖=คือ อเหตุกกิริยาจิต เป็นจิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ที่ผ่านมาทางทวาร ๖ เป็นจิตที่เกิดขึ้น โดยลำพังตามธรรมชาติ ไม่ได้อาศัยกรรม ไม่เป็นบุญบาป จะเกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ (โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ และ อโมหะ) รวมทั้งจิตยิ้มของพระอรหันต์ด้วย
จิตตุปบาท=จิตฺต (จิต) + อุปฺบาท (การเกิดขึ้น)
การเกิดขึ้นของจิต หมายถึง จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ขณะที่จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภทคือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
อสังขตธาตุ=คือธาตุที่ปรุงแต่งไม่ได้ เกิดไม่ปรากฏ เสื่อมไม่ปรากฏ ดับไม่ปรากฏ นั่นคือ ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ (ไม่มีตัณหา อุปาทาน ไม่มีราคะโทสะ โมหะ) เมื่อไม่มีเกิด ก็ไม่มีเสื่อม และ ไม่มีดับ อสังขตธาตุคือพระนิพพาน
(๒)ธรรมที่มีเหตุ กับ ธรรมที่ไม่มีเหตุ
(๒.๑)ธรรมมีเหตุ เป็นไฉน?=
อกุศลที่เหลือ เว้นโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา (และ) ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ, กุศลในภูมิ ๔, วิบากในภูมิ ๔ เว้นอเหตุกจิตตุปบาท ฝ่ายกามาวจรวิบาก, กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓,
เว้นอเหตุกจิตตุปบาท ฝ่ายกามาวจรกิริยา สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมีเหตุ.
(๒.๒)ธรรมไม่มีเหตุ เป็นไฉน?=
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา(สงสัย), โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ(ฟุ้งซ่าน),ปัญจวิญญาณ ทั้ง ๒ ฝ่าย
มโนธาตุ ๓ อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ๕ รูปและนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมไม่มีเหตุ
จูฬันตรทุกะ=คู่น้อย แม่บทหมวดสองข้อไม่สัมพันธ์กัน มี ๗ ทุกะ(คู่) คือ
(๑)สัปปัจจยทุกะ
ก) สปฺปจฺจยา ธมฺมา ~ ธรรมมีปัจจัย
ข) อปฺปจฺจยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีปัจจัย
(๒)สังขตทุกะ
ก) สงฺขตา ธมฺมา ~ ธรรมที่เป็นสังขตะ(ถูกปัจจัยปรุงแต่ง)
ข) อสงฺขตา ธมฺมา ~ ธรรมที่เป็นอสังขตะ(ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
(๓)สนิทัสสนทุกะ
ก) สนิทสฺสนา ธมฺมา ~ ธรรมที่เห็นได้
ข) อนิทสฺสนา ธมฺมา ~ ธรรมที่เห็นไม่ได้
(๔)สัปปฏิฆทุกะ
ก) สปฺปฏิฆา ธมฺมา ~ ธรรมที่กระทบได้
ข) อปฺปฏิฆา ธมฺมา ~ ธรรมที่กระทบไม่ได้
(๕)รูปิทุกะ
ก) รูปิโน ธมฺมา ~ ธรรมเป็นรูป
ข) อรูปิโน ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นรูป
(๖)โลกิยทุกะ
ก) โลกิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโลกิยะ
ข) โลกุตฺตรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโลกุตระ
(๗)เกนจิวิญเญยยทุกะ
ก) เกนจิ วิเยฺยา ธมฺมา ~ ธรรมที่จิตบางอย่างรู้ได้
ข) เกนจิ น วิเยฺยา ธมฺมา อเหตุกาปิ ~ ธรรมที่จิตบางอย่างรู้ไม่ได้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, กรกฎาคม, 2568, 06:08:57 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

สังขตะธรรม = ธรรมอันปรุงแต่งได้  แต่จะมีความหมายถึง ธรรมอันเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอมตะ 
อสังขตะธรรม =คือธรรมอันปรุงแต่งไม่ได้ เป็นธรรมที่คงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นอมตะ เช่น คำสอนที่เป็นอมตะ อย่างปฎิจสมุปบาท  เป็นคำสอนที่เป็นความจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่ ธาตุที่เป็น อสังขตะธาตุ ก็คือ อมตะธาตุ เช่น นิพพานธาตุ เป็นต้น
อาสวกิเลส =กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เรียกย่อว่า อาสวะ มี ๔ อย่าง คือ กามาสวะ, ภวาสวะ, ทิฏฐาสวะ, อวิชชาสวะ
(๑)กามาสวะ ได้แก่ ความพอใจ, ความใคร่
(๒)ภวาสวะ คือ ความพอใจในภพ, ความกำหนัดในภพ
(๓)ทิฏฐาสวะ คือความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี, ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี, ว่าโลกมีที่สุดก็ดี, ว่าโลกไม่มีที่สุดก็ดี
(๔)อวิชชาสวะ คือ ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ความไม่รู้ในส่วนอดีต, ความไม่รู้ในส่วนอนาคต, ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต, ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น
อาสวโคจฉกะ = แม่บทว่าด้วยกลุ่มอาสวะ มี ๖ คู่ ดังนี้
(๑)อาสวทุกะ
ก) อาสวา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอาสวะ
ได้แก่ สภาวธรรมที่กล่าวแล้วในอาสวกิเลส
ข) โน อาสวา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอาสวะ คือ
ได้แก่  เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒)สาสวทุกะ
ก) สาสวา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ
คือ รูปขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ข) อนาสวา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
คือ มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
(๓)อาสวสัมปยุตตทุกะ
ก) อาสวสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะ
 คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ข) อาสววิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากอาสวะ
คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔)อาสวสาสวทุกะ
ก) อาสวา เจว ธมฺมา สาสวา จ ~ ธรรมเป็นอาสวะ และเป็นอารมณ์ของอาสวะ
คือ อาสวะเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ
ข) สาสวา เจว ธมฺมา โน จ อาสวา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕)อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ
ก) อาสวา เจว ธมฺมา อาสวสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นอาสวะ และสัมปยุต(ประกอบ) ด้วยอาสวะ
ได้แก่
 □ กามาสวะ สัมปยุตด้วย อวิชชาสวะ
□ อวิชชาสวะ สัมปยุตด้วย กามาสวะ
□ ภวาสวะ สัมปยุตด้วย อวิชชาสวะ
□ อวิชชาสวะ สัมปยุตด้วย ภวาสวะ
□ ทิฏฐาสวะ สัมปยุตด้วย อวิชชาสวะ
□ อวิชชาสวะ สัมปยุตด้วย ทิฏฐาสวะ
ข) อาสวสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ อาสวา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ
ก) อาสววิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา สาสวาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากอาสวะ แต่ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อาสววิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อนาสวาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากอาสวะ และไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
ได้แก่ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
สัญโญชนโคจฉกะ = ธรรมที่ชื่อว่า สัญโญชน์ เพราะ ย่อมประกอบ คือ ผูกพันบุคคลผู้มีสัญโญชน์ไว้ในวัฏฏะ ธรรมนอกจากนั้น ไม่ชื่อว่า สัญโญชน์ มี ๖ ทุกะ คือ
(๑) สัญโญชนทุกะ
ก) สญฺโญชนา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์
ได้แก่ สัญโญชน์ ๑๐
(๑.๑) กามราคสัญโญชน์ - ความพอใจ ความใคร่
(๑.๒) ปฏิฆสัญโญชน์ - ความหงุดหงิด โกรธ
(๑.๓) มานสัญโญชน์ - ความถือตน ว่าเด่นกว่าเขา ต่ำกว่าเขา
(๑.๔) ทิฏฐิสัญโญชน์ -คือ ทิฏฐิ ที่ผูกสัตว์ไว้ ทำให้ไม่ไปสู่ความเห็นถูก


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, กรกฎาคม, 2568, 07:34:27 AM

(หน้า ๑๓/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑.๕) วิจิกิจฉาสัญโญชน์ - ความลังเลสงสัย
(๑.๖) สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ - ความยึดมั่นในศีลพรต
(๑.๗) ภวราคสัญโญชน์ - ความอยากในภพ
(๑.๘) อิสสาสัญโญชน์ - ความริษยา
(๑.๙) มัจฉริยสัญโญชน์ - ความตระหนี่
(๑.๑๐) อวิชชาสัญโญชน์- ความไม่รู้จริง
ข)โน สญฺโญชนา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์
ธรรมนอกจากนั้น ไม่ชื่อว่า สัญโญชน์
(๒) สัญโญชนิยทุกะ
ก) สญฺโญชนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
เพราะเป็นอารมณ์เกื้อกูลกับสัญโญชน์ทั้งหลายด้วยความเกี่ยวข้องกัน
ข) อสญฺโญชนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
คือธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนิยะ
(๓) สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ
ก) สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
โดยธรรมที่สัมปยุต(ประกอบ)ด้วย สัญโญชน์ธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) สญฺโญชนวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์
คือธรรมเหล่าใด วิปปยุต(ไม่ประกอบ)จากสัญโญชน์ธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ
ก) สญฺโญชนา เจว ธมฺมา สญฺโญชนิยา จ ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์ และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
โดยสัญโญชนธรรมเหล่านั้นแหละ ชื่อว่า ธรรมเป็นสัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.
ข) สญฺโญชนิยา เจว ธมฺมา โน จ สญฺโญชนา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ แต่ไม่เป็นสัญโญชน์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณ
(๕)สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ
ก) สญฺโญชนา เจว ธมฺมา สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
□ กามราคสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยกามราคสัญโญชน์
□ ปฏิฆสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยอวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยปฏิฆสัญโญชน์
□ มานสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยมานสัญโญชน์
□ ทิฏฐิสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยอวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยทิฏฐิสัญโญชน์
□ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาสัญโญชน์
□ สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย
สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
□ ภวราคาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยภวราคสัญโญชน์
□ อิสสาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยอวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยอิสสาสัญโญชน์
□ มัจฉริยสัญโญชน์ สัมปยุตด้วย อวิชชาสัญโญชน์
□ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตด้วยมัจฉริยสัญโญชน
ข) สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ สญฺโญชนา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ แต่ไม่เป็น สัญโญชน์
ได้แก่  เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณ
(๖) สัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยทุกะ
ก) สญฺโญชนวิปฺปยุตตา โข ปน ธมฺมา สญฺโญชนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ แต่เป็น อารมณ์ของสัญโญชน์
คือ ธรรมที่วิปปยุต(ไม่ประกอบ) จากสัญโญชนธรรมเหล่านั้น ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) สญฺโญชนวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อสญฺโญชนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
ได้แก่มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
คันถโคจฉกะ = มี ๖ ทุกะ คือ
(๑) คันถทุกะ
ก) คนฺถา ธมฺมา  ~ ธรรมเป็นคันถะ
ธรรมเป็นคันถะ เพราะผูกเชื่อมต่อบุคคลผู้มีกิเลสไว้ในวัฏฏะ ด้วยอํานาจจุติและปฏิสนธิ คือ คันถะ ๔ ได้แก่
(๑.๑) อภิชฌากายคันถะ จะบังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง
(๑.๒) พยาปาทกายคันถะ บังเกิดใน จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, กรกฎาคม, 2568, 06:56:47 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑.๓) สีลัพพตปรามาสกายคันถะ และ (๑.๔) อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า คันถธรรม
ข) โน คนฺถา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นคันถะ
ได้แก่ รูป และนิพพาน
(๒) คันถนิยทุกะ
ก) คนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ
ได้แก่ กุศลในภูมิ ๓, อกุศล วิบากในภูมิ ๓, กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓, และรูปทั้งหมด
ข) อคนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
คือ มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ
(๓) คันถสัมปยุตตทุกะ
ก) คนฺถสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ
คือ จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง, จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔
ดวง, เว้นโลภะที่บังเกิดในจิตตุปบาทนี้เสีย, จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง เว้นปฏิฆะที่เกิดในจิตตุปบาทนี้เสีย
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตตจากคันถะ
ได้แก่ รูป และนิพพาน
(๔) คันถคันถนิยทุกะ
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถนิยาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ
คันถธรรมเหล่านั้นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นคันถะ และเป็นอารมณ์ของคันถะ
ข) คนฺถนิยา เจวธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ แต่ไม่เป็นคันถะ
ได้แก่ อกุศลที่เหลือ และรูปทั้งหมด
(๕) คันถคันถสัมปยุตตทุกะ
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถสมฺปยุตฺตาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ ได้แก่
□ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ สัมปยุตด้วย อภิชฌากายคันถะ □ อภิชฌากายคันถะ สัมประยุตด้วย สีลัพพตปรามาสกายคันถะ
□ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ สัมปยุตด้วย อภิชฌากายคันถะ □ อภิชฌากายคันถะ สัมประยุตด้วย อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
ข) คนฺถสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ แต่ไม่เป็น คันถะ
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ
ก) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา คนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ แต่เป็นอารมณ์ของคันถะ
ได้แก่ รูปทั้งหมด
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อคนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ และไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
คือ มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ, สามัญผล ๔ และนิพพาน

โอฆโคจฉกะ = มี ๖ ทุกะ คือ
(๑)โอฆทุกะ
ก) โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโอฆะ
คือ ธรรมที่ย่อมท่วมทับ ยังสัตว์มีกิเลสให้จมลงในวัฏฏะ
โอฆะ ๔ คือ ห้วงน้ำ ได้แก่ อกุศลธรรม ๔ ประเภท คือ
(๑.๑) กาโมฆะ - ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นห้วงน้ำที่ทำให้สัตว์โลกจมอยู่ในวัฏฏะ
(๑.๒) ภโวฆะ - ความยินดีพอใจในภพ ในชาติ ในขันธ์
(๑.๓) ทิฏโฐฆะ - ห้วงน้ำ คือ ความเห็นผิด ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จมอยู่อีกแล้วในห้วงน้ำของทิฏฐิ
(๑.๔) อวิชโชฆะ - ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ยังมีอวิชชาอยู่
ข) โน โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโอฆะ
(๒) โอฆนิยทุกะ
ก) โอฆนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ชื่อว่า โอฆนิยะ เพราะถูกโอฆธรรมทั้งหลายให้ก้าวล่วงโดยทําให้เป็นอารมณ์ พึงทราบโอฆนิยธรรมว่าเป็นอารมณ์ของโอฆะทั้งหลายนั่นเอง.
ข) อโนฆนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๓) โอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ
(๔) โอฆโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆนิยา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆนิยา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะ
(๕) โอฆโอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะ และสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ แต่ไม่เป็นโอฆะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, กรกฎาคม, 2568, 10:12:42 AM

(ต่อหน้า ท้าย ๑๕/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๖) โอฆวิปปยุตตโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆวิปฺปยุตฺตา โน ปน ธมฺมา โอฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ แต่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโนฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
โยคโคจฉกะ = ธรรมที่ชื่อว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ผู้มีกิเลสไว้ในวัฏฏะ มี ๖ ทุกะ คือ
(๑) โยคทุกะ
ก) โยคา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโยคะ
โยคะในที่นี้ หมายถึง กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในวัฏฏะ หรือ ผูกตรึงไว้ ประกอบสัตว์ไม่ให้หลุดไปจากวัฏฏะได้ มี ๔ ปรอย่าง คือ
(๑.๑) กามโยคะ คือ โลภะ ที่มีความยินดีพอใจ ติดข้อง ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นกิเลสที่ผูกตรึงไว้ ไม่ให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์
(๑.๒) ภวโยคะ คือ โลภะที่มีความยินดีพอใจ ในภพ ในขันธ์
(๑.๓) ทิฏฐิโยคะ (ทิฎฐิ) คือ ความเห็นผิด อันเป็นกิเลสที่ตรึงไว้ ไม่ให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์
(๑.๔) อวิชชาโยคะ (อวิชชา) คือ ความไม่รู้ อันเป็นกิเลสที่ตรึงไว้ ไม่ให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์
ข) โน โยคา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโยคะ
(๒) โยคนิยทุกะ
ก) โยคนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะ
พึงทราบโยคนิยธรรม เหมือนโอฆนิยธรรม
ข) อโยคนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๓) โยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ
(๔) โยคโยคนิยทุกะ
โยคา เจว ธมฺมา โยคนิยา จ ~ ธรรมเป็นโยคะ และเป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยคนิยา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๕) โยคโยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคา เจว ธมฺมา โยคสมฺปสยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยคสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๖)โยควิปปยุตตโยคนิยทุกะ
ก) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา โยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ แต่เป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
นีวรณโคจฉกะ = คือ ธรรมที่ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะกั้น คือ หุ้มห่อจิตไว้ พึงทราบว่า นีวรณิยธรรม ดุจสัญโญชนิยธรรม มี ๖ ทุกะ คือ
(๑) นีวรณทุกะ
ก) นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นนิวรณ์
คือ นิวรณ์ ๖ ได้แก่
(๑.๑) กามฉันทนิวรณ์ - ความพอใจ ความกำหนัด
(๑.๒) พยาปาทนิวรณ์ - ความอาฆาต ปองร้าย
(๑.๓) ถีนมิทธนิวรณ์
ถีนะ=ความไม่สมประกอบแห่งจิจิต ความท้อแท้
มิทธะ = ความไม่สมประกอบแห่งนามกาย ความปิดบังไว้ภายใน ความง่วงเหงา ความหาวนอน
(๑.๔) อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
อุทธัจจะ = ความฟุ้งซ่านแห่งจิต
กุกกุจจะ = ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร, ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ, ความเดือดร้อนใจ
(๑.๕)วิจิกิจฉานิวรณ์ = คือปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในส่วนอดีต ,อนาคต ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต
(๑.๖) อวิชชานิวรณ์ = ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์
ข) โน นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และ อสังขตธาตุ
(๒) นีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์           
ข) อนีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
คือมรรค และ ผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
(๓) นีวรณสัมปยุตตทุกะ
ก) นีวรณสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์
คือธรรมเหล่าใดสัมปยุต(ประกอบ) ด้วยนิวรณธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์
ธรรมเหล่าใด วิปปยุต(ไม่ประกอบ) จากนิวรณธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, กรกฎาคม, 2568, 07:54:38 PM

(ต่อหน้า ๑๖/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๔) นีวรณนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณิยา จ  ~ ธรรมเป็นนิวรณ์ และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ก็นิวรณ์เหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์.           
ข) นีวรณิยา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕) นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ
นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์
□ กามฉันทนิวรณ์ สัมปยุตด้วยนิอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วยกามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ สัมปยุตด้วยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วยพยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ สัมปยุตด้วยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วย ถีนมิทธนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วย กุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ สัมปยุตด้วย อวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วย วิจิกิจฉานิวรณ์
□ กามฉันทนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย กามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย พยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย ถีนมิทธนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย กุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย วิจิกิจฉานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตด้วย อุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ สัมปยุตด้วย อวิชชานิวรณ์
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์.
ข) นีวรณสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ~ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์ แต่ไม่เป็น นิวรณ์
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา นีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อนีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
คือ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
ปรามาสโคจฉกะ = คือ ธรรมที่ชื่อว่า ปรามาสะ เพราะ ย่อมยึดถือ เช่น ความไม่เที่ยง, เที่ยง บ้าง เป็นต้น กระทําให้เป็นอารมณ์ มี ๕ ทุกะ คือ
(๑) ปรามาสทุกะ
ก) ปรามาสา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นปรามาสะ (ทิฏฐิ)
ได้แก่ ทิฏฐิปรามาสที่เกิดขึ้นในจิต
ข) โน ปรามาสา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นปรามาสะ
ได้แก่ อกุศลที่เหลือ, รูป และนิพพาน
(๒) ปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ ความเห็นผิดที่ผูกไว้แน่นกุศลในภูมิ ๓, อกุศล วิบากในภูมิ ๓, อัพยากตกิริยาในภูมิ ๓, และรูปทั้งหมด
ข) อปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ มรรค ๔ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สามัญญผล ๔ และนิพพาน
(๓) ปรามาสสัมปยุตตทุกะ
ก) ปรามาสสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยปรามาสะ
ได้แก่ จิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะ
ได้แก่ กุศลในภูมิ ๔, วิบากในภูมิ ๔, อัพยากตกิริยาในภูมิ ๓, รูป และนิพพาน
(๔) ปรามาสปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสา เจว ธมฺมา ปรามฏฺฐา จ ~ ธรรมเป็นปรามาสะและเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
คือ ปรามาสนั้นนั่นแหละชื่อว่าเป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส
ข) ปรามฏฺฐา เจว ธมฺมา โน จ ปรามาสา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ แต่ไม่เป็นปรามาสะ
ได้แก่ อกุศลที่เหลือ และรูปทั้งหมด


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, กรกฎาคม, 2568, 09:15:48 AM
(ต่อหน้า ๑๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๕) ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา ปรามฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุสตจากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อปราฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ มรรค ๔ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์, สามัญญผล ๔, และนิพพาน
มหันตรทุกะ = แม่บทคู่ใหญ่ ที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน มี ๑๔ ทุกะ คือ
(๑) สารัมมณทุกะ
ก) สารมฺมณา ธมฺมา ~ ธรรมมีอารมณ์
ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์              
ข) อนารมฺมณา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีอารมณ์
ได้แก่ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
 (๒) จิตตทุกะ
ก) จิตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นจิต
ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ
ข) โน จิตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นจิต
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๓) เจตสิกทุกกะ
ก) เจตสิกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเจตสิก
ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์
ข) อเจตสิกา ธมฺมา  ~ ธรรมไม่เป็นเจตสิก
คือ จิต, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) จิตตสัมปยุตตทุกะ
ก) จิตฺตสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยจิต
คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์              
ข) จิตฺตวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากจิต
คือ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๕) จิตตสังสัฏฐทุกะ
ก) จิตฺตสํสฏฺฐา ธมฺมา  ~ ธรรมเจือกับจิต
คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์
ข) จิตฺตวิสํสฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เจือกับจิต
คือ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ  
(๖) จิตตสมุฏฐานทุกะ
ก) จิตฺตสมุฏฺฐานา ธมฺมา ~ ธรรมมีจิตเป็นสมุฏฐาน
คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, กายวิญญัติ วจีวิญญัติ หรือรูปแม้อื่นใดซึ่งเกิดแต่จิต มีจิตเป็นเหตุ        
ข) โน จิตฺตสมุฏฺฐานา ~ ธมฺมา ธรรมไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
ได้แก่ จิต รูปที่เหลือ และอสังขตธาตุ
(๗) จิตตสหภูทุกะ
ก) จิตฺตสหภุโน ธมฺมา ~ ธรรมเกิดร่วมกับจิต
ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, กายวิญญัติ(สื่อสารด้วย กาย เช่น กวักมือ), วจีวิญญัติ(สื่อสารด้วยคำพูด)
ข) โน จิตฺตสหภุโน ธมฺมา ~ ธรรมไม่เกิดร่วมกับจิต
ได้แก่จิต รูปที่เหลือ และอสังขตธาตุ
(๘) จิตตานุปริวัตติทุกะ
ก) จิตฺตานุปริวตฺติโน ธมฺมา ~ ธรรมอันเกิดคล้อยตามจิต
คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
ข) โน จิตฺตานุปริวตฺติโน ธมฺมา ~ ธรรมไม่เกิดคล้อยตามจิต
คือ จิต รูปที่เหลือ และอสังขตธาตุ
(๙) จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานทุกะ
ก) จิตฺตสํสฏฺฐสมุฏฺฐานา ธมฺมา ~ ธรรมเจือกับจิต และมีจิตเป็นสมุฏฐาน
ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
ข) โน จิตฺตสํสฏฺฐสมุฏฺฐานา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เจือกับจิต และไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
ได้แก่ จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๑๐) จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูทุกะ
ก) จิตฺตสํสฏฺฐสมุฏฺฐานสหภุโน ธมฺมา ~ ธรรมเจือกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐาน และเกิดร่วมกับจิต
ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
ข) โน จิตฺตสํสฏฺฐานสหภุโน ธมฺมา ~ ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดร่วมกับจิต
ได้แก่ จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, กรกฎาคม, 2568, 04:54:00 PM

(ต่อหน้า ๑๘/๓๐.) ๒.ธัมมสังคณี

(๑๑) จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติทุกะ
ก) จิตฺตสํสฏฺฐสมุฏฐานานุปริวตฺติโน ธมฺมา ~ ธรรมเจือกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐาน และเกิดคล้อยตามจิต
เช่น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
ข) โน จิตฺตสํสฏฺฐสมุฏฺฐานานุปริวตฺติโน ธมฺมา  ~ ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดคล้อยตามจิต
เช่น จิต, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๑๒) อัชฌัตติกทุกะ
ก) อชฺฌตฺติกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นภายใน
ได้แก่  จักขายตนะ, มนายตนะ ฯ           
ข) พาหิรา ธมฺมา  ~ ธรรมเป็นภายนอก
ได้แก่ รูปายตนะ , ธัมมายตนะ ฯ
(๑๓) อุปาทาทุกะ
ก) อุปาทา ธมฺมา ~ ธรรมอาศัยมหาภูตรูปเกิด
เช่น จักขายตนะ  ฯลฯ กวฬิงการาหาร
ข) โน อุปาทา ธมฺมา ~ ธรรมไม่อาศัยมหาภูตรูปเกิด
เช่น เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ ,วิญญาณขันธ์, มหาภูตรูป ๔ , และ อสังขตธาตุ
(๑๔) อุปาทินนทุกะ
ก) อุปาทินฺนา ธมฺมา ~ ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครอง
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ และรูปที่กรรมแต่งขึ้น
ข) อนุปาทินฺนา ธมฺมา ~ ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, ธรรมที่เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล  มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
อายตนะ ๑๒ = เครื่องต่อหรือบ่อเกิด หรือเหตุให้เกิดจิตและเจตสิกได้แก่ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่
(๑) จักขายตนะ (จักขปสาทรูป)
(๒) รูปายตนะ (รูปสี)
(๓) โสตายตนะ (โสตปสาทรูป)
(๔) สัททายตนะ (รูปเสียง)
(๕) ฆานายตนะ (ฆานปสาทรูป)
(๖) คันธายนะ (รูปกลิ่น)
(๗) ชิวหายตนะ (ชิวหาปสาทรูป)
(๘) รสายตนะ (รูปรส)
(๙) กายายตนะ (กายปสาทรูป)
(๑๐)โผฏฐัพพายตนะ (ดิน ไฟ ลม)
(๑๑) มนายตนะ (จิต ๘๙)
(๑๒) ธัมมายตนะ (สุขุมรูป ๑๖ เจตสิก ๕๒ นิพพาน)
จักขายตนะ = เป็นคำรวมของ จักขุ + อายตนะ “จักขุ” คือ ตา และ “อายตนะ” หมายถึง ที่ประชุม ที่เกิด เพราะฉะนั้น “จักขายตนะ” ก็คือ จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเอง
ธัมมายตนะ = คือ ธรรมารมณ์  สิ่งที่รู้สึกได้ด้วยใจ หรือสิ่งที่ใจนึก
กวฬิงการาหาร = คือ อาหาร(คำ ข้าว) หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ บุคคลจะต้องกลืนกินเข้าไปทางปาก
(๑๒) อัชฌัตติกทุกะ
ก) อชฺฌตฺติกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นภายใน
ได้แก่  จักขายตนะ, มนายตนะ ฯ           
ข) พาหิรา ธมฺมา  ~ ธรรมเป็นภายนอก
ได้แก่ รูปายตนะ , ธัมมายตนะ ฯ
(๑๓) อุปาทาทุกะ
ก) อุปาทา ธมฺมา ~ ธรรมอาศัยมหาภูตรูปเกิด
เช่น จักขายตนะ  ฯลฯ กวฬิงการาหาร
ข) โน อุปาทา ธมฺมา ~ ธรรมไม่อาศัยมหาภูตรูปเกิด
เช่น เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ ,วิญญาณขันธ์, มหาภูตรูป ๔ , และ อสังขตธาตุ
(๑๔) อุปาทินนทุกะ
ก) อุปาทินฺนา ธมฺมา ~ ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครอง
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ และรูปที่กรรมแต่งขึ้น
ข) อนุปาทินฺนา ธมฺมา ~ ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, ธรรมที่เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล  มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
อายตนะ ๑๒ = เครื่องต่อหรือบ่อเกิด หรือเหตุให้เกิดจิตและเจตสิกได้แก่ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่
(๑) จักขายตนะ (จักขปสาทรูป)
(๒) รูปายตนะ (รูปสี)
(๓) โสตายตนะ (โสตปสาทรูป)
(๔) สัททายตนะ (รูปเสียง)
(๕) ฆานายตนะ (ฆานปสาทรูป)
(๖) คันธายนะ (รูปกลิ่น)
(๗) ชิวหายตนะ (ชิวหาปสาทรูป)
(๘) รสายตนะ (รูปรส)
(๙) กายายตนะ (กายปสาทรูป)
(๑๐)โผฏฐัพพายตนะ (ดิน ไฟ ลม)
(๑๑) มนายตนะ (จิต ๘๙)
(๑๒) ธัมมายตนะ (สุขุมรูป ๑๖ เจตสิก ๕๒ นิพพาน)
จักขายตนะ = เป็นคำรวมของ จักขุ + อายตนะ “จักขุ” คือ ตา และ “อายตนะ” หมายถึง ที่ประชุม ที่เกิด เพราะฉะนั้น “จักขายตนะ” ก็คือ จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเอง
ธัมมายตนะ = คือ ธรรมารมณ์  สิ่งที่รู้สึกได้ด้วยใจ หรือสิ่งที่ใจนึก
กวฬิงการาหาร = คือ อาหาร(คำ ข้าว) หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ บุคคลจะต้องกลืนกินเข้าไปทางปาก


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, กรกฎาคม, 2568, 08:42:35 AM

(ต่อหน้า ๑๙/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑.๒)ธรรมไม่เป็นอุปาทาน = ไม่มีเหตุจะยึดถือ  คือเวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒.๑) ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน =
เช่น รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๒.๒) ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน = คือ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๓.๑) ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน = เช่น เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๓.๒) ธรรมวิปยุตจากอุปาทาน = คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔.๑) ธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน =คือ อุปาทานเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๔.๒) ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน =คือ แก่รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕.๑) ธรรมเป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน = คือ
□ ทิฏฐุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุต(ประกอบ)ด้วยอุปาทาน โดยกามุปาทาน
□ กามุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน โดยทิฏฐุปาทาน
□ สีลัพพตุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน โดยกามุปาทาน
□ กามุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน โดยสีลัพพตุปาทาน
□ อัตตวาทุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน โดยกามุปาทาน
□ กามุปาทาน เป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน โดยอัตตวาทุปาทาน
(๕.๒)ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน = คือ ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยอุปาทานธรรมเหล่านั้น เว้นอุปาทานธรรมเหล่านั้นเสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖.๑) ธรรมวิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน = คือ ธรรมเหล่าใดวิปปยุต(ไม่ประกอบ)จากอุปาทานธรรมเหล่านั้น คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ได้แก่รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖.๒)ธรรมวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน = คือ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
กิเลสโคจฉกะ = แม่บทตั้งว่าด้วยกิเลส ทำให้ใจเศร้าหมอง มี ๘ คู่ ดังนี้
(๑) กิเลสทุกะ
ก) กิเลสา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นกิเลส
คือกิเลสวัตถุ ๑๐ ได้แก่
(๑.๑)โลภะ = คือ ความกำหนัดนัก ความยินดี ความอยาก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
(๑.๒) โทสะ = คือ ความอาฆาต ด้วยหตุจิตอาฆาต ประทุษร้าย
(๑.๓) โมหะ = ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
(๑.๔) มานะ = คือ การถือตัวว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา
(๑.๕) ทิฏฐิ =คือ ความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี, ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี, ว่าโลกมีที่สุดก็ดี, ว่าโลกไม่มีที่สุดก็ดี
(๑.๖) วิจิกิจฉา = คือ ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
(๑.๗) ถีนะ = คือ ความไม่สมประกอบแห่งจิต ความท้อแท้ ความถดถอย ความหดหู่
(๑.๘) อุทธัจจะ = คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต, ความไม่สงบแห่งจิต
 (๑.๙) อหิริกะ = คือ กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริต, กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประกอบอกุศลบาป
(๑.๑๐) อโนตตัปปะ = คือ กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริต ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรม
ข) โน กิเลสา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นกิเลส
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒) สังกิเลสิกทุกะ
ก) สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์             
ข) อสงฺกิเลสิกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส
ได้แก่ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
(๓) สังกิลิฏฐทุกะ
ก) สงฺกิลิฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมเศร้าหมอง
คือ อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับอกุศลมูลนั้น
ข) อสงฺกิลิฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เศร้าหมอง
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) กิเลสสัมปยุตตทุกะ
ก) กิเลสสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส
คือ ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยกิเลสธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, กรกฎาคม, 2568, 04:32:13 PM

(ต่อหน้า ๒๐/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

ข) กิเลสวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากกิเลส
คือ ธรรมไม่ประกอบกับกิเลส ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๕) กิเลสสังกิเลสิกทุกะ
ก) กิเลสา เจว ธมฺมา สงฺกิเลสิกา จ ~ ธรรมเป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส
กิเลสธรรมเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส
ข) สงฺกิเลสิกา เจว ธมฺมา โน จ กิเลสา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส
โดยเว้นกิเลสธรรมเหล่านั้นเสีย คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ
ก) กิเลสา เจว ธมฺมา สงฺกิลิฏฺฐา จ ~ ธรรมเป็นกิเลสและเศร้าหมอง
กิเลสเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นกิเลสและเศร้าหมอง.
ข) สงฺกิลิฏฺฐา เจว ธมฺมา โน จ กิเลสา ~ ธรรมเศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๗) กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ
ก) กิเลสา เจว ธมฺมา กิเลสสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส
□ โลภะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโลภะ
□ โทสะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุต
ด้วยกิเลส โดยโทสะ
□ มานะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยมานะ
□ ทิฏฐิ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุต
ด้วยกิเลส โดยทิฏฐิ
□ วิจิกิจฉา เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยวิจิกิจฉา
□ ถีนะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุต
ด้วยกิเลส โดยถีนะ
□อุทธัจจะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุต
ด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุต
ด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ โลภะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโลภะ
□ โทสะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโทสะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ มานะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยมานะ
□ ทิฏฐิ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยทิฏฐิ
□ วิจิกิจฉา เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลสอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส วิจิกิจฉา
□ ถีนะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วย อุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วย ถีนะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเล อุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ โลภะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ  เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโลภะ
□ โทสะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ  เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโทสะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ  เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ มานะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยมานะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, กรกฎาคม, 2568, 08:14:23 AM

(ต่อหน้า ๒๑/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

□ ทิฏฐิ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ  เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยทิฏฐิ
□ วิจิกิจฉา เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยวิจิกิจฉา
□ ถีนะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยถีนะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
□อหิริกะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□โลภะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโลภะ
□ โทสะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยโทสะ
□ โมหะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และ
สัมปยุตด้วยกิเลส โดยโมหะ
□ มานะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยมานะ
□ ทิฏฐิ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยทิฏฐิ
□ วิจิกิจฉา เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยวิจิกิจฉา
□ ถีนะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยถีนะ
□ อุทธัจจะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอุทธัจจะ
□ อหิริกะ เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส โดยอโนตตัปปะ
□ อโนตตัปปะ เป็นกิเลส และ สัมปยุตด้วยกิเลส โดยอหิริกะ
สภาวธรรมเหล่านี้ ธรรมเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส
ข) กิเลสสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ กิเลสา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๘) กิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกทุกะ
ก) กิเลสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา สงฺกิเลสิกาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส
คือ กุศลธรรม อัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ได้แก่รูปขันธ์ ฯล วิญญาณขันธ์
ข) กิเลสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อสงฺกิเลสิกาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็น อารมณ์ของสังกิเลส
คือ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
ปิฏฐิทุกะ =แม่บทตั้ง ธรรมที่พึงละ มี ๑๘ คู่
(๑) ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ
ก) ทสฺสเนน ปาตพฺพา ธมฺมา  ~ ธรรมอันโสดาปัตติมรรคละ
คือสภาวธรรมที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค คือ สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส
(๑.๑) สักกายทิฏฐิ คือ
ปุถุชนในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ,ไม่ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ,  ย่อมเห็นรูปเป็นตนหรือเห็นตนมีรูป, เห็นรูปในตนหรือเห็นตนในรูป, เห็นเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ, ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ
(๘) ปีติสหคตทุกะ
ก) ปีติสหคตา ธมฺมา ~ ธรรมสหรคตด้วยปีติ
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุตด้วยปีตินั้น
ข) น ปีติสหคตา ธมฺมา ~ ธรรมไม่สหรคตด้วยปีติ
ได้แก่ รูปทั้งหมดและธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๙) สุขสหคตทุกะ
ก) สุขสหคตา ธมฺมา ~ ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุตด้วยสุขนั้น ในภูมิแห่งจิตที่สหรคตด้วยสุข ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เว้นสุขแล้ว
ข) น สุขสหคตา ธมฺมา ~ ธรรมไม่สหรคตด้วยสุขเวทนา
ได้แก่ รูปทั้งหมด และ ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๑๐) อุเปกขาสหคตทุกะ
ก) อุเปกฺขาสหคตา ธมฺมา ~ ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา
คือ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุตด้วยอุเบกขานั้น
ข) น อุเปกฺขาสหคตาธมฺมา ~ ธรรมไม่สหรตด้วยอุเบกขาเวทนา
ได้แก่ รูปทั้งหมด และ ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, กรกฎาคม, 2568, 09:45:20 PM

(ต่อหน้า ๒๒/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑๑) กามาวจรทุกะ
ก) กามาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นกามาวจร
คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่าง อเวจีมหานรก เบื้องสูง เทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด
ข) น กามาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นกามาวจร
ได้แก่ สภาวธรรมที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นกามาวจร
(๑๒) รูปาวจรทุกะ
ก) รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นรูปาวจร
คือ สภาวธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ(ผู้กำลังเข้ากุศลฌานที่เป็นรูปาวจร); ของผู้ที่กำลังอุบัติ(ผู้กำลังอุบัติด้วยวิปากฌานที่เป็นรูปาวจร); หรือของผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน(ผู้กำลังเข้ากิริยาฌานที่เป็นรูปาวจร); ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่างพรหมโลก ถึงเทพชั้นอกนิฏฐภพเป็นที่สุด             
ข) น รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นรูปาวจร
คือ สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร อรูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นรูปาวจร
 (๑๓) อรูปาวจรทุกะ
ก) อรูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอรูปาวจร
คือสภาวธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ(ผู้กำลังเข้ากุศลฌานที่เป็นอรูปาวจร); ของผู้ที่กำลังอุบัติ(ผู้กำลังอุบัติด้วยวิปากฌานที่เป็นอรูปาวจร); หรือของผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน(ผู้กำลังเข้ากิริยาฌานที่เป็นอรูปาวจร); ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่าง เทพผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ ถึง เทพผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นที่สุด
ข) น รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นรูปาวจร
คือ กามาวจร รูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
(๑๔) ปริยาปันนทุกะ
ก) ปริยาปนฺนา ธมฺมา  ~ ธรรมเป็นปริยาปันนะ
คือ สภาวธรรมที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต ซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อปริยาปนฺนา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอปริยาปันนะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ มรรค ผลของมรรค และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๑๕) นิยยานิกทุกะ
ก) นิยฺยานิกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเหตุนําออกจากสังสารวัฏฏ์
(๑๑) กามาวจรทุกะ
ก) กามาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นกามาวจร
คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่าง อเวจีมหานรก เบื้องสูง เทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด
ข) น กามาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นกามาวจร
ได้แก่ สภาวธรรมที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นกามาวจร
(๑๒) รูปาวจรทุกะ
ก) รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นรูปาวจร
คือ สภาวธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ(ผู้กำลังเข้ากุศลฌานที่เป็นรูปาวจร); ของผู้ที่กำลังอุบัติ(ผู้กำลังอุบัติด้วยวิปากฌานที่เป็นรูปาวจร); หรือของผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน(ผู้กำลังเข้ากิริยาฌานที่เป็นรูปาวจร); ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่างพรหมโลก ถึงเทพชั้นอกนิฏฐภพเป็นที่สุด             
ข) น รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นรูปาวจร
คือ สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร อรูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นรูปาวจร
 (๑๓) อรูปาวจรทุกะ
ก) อรูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอรูปาวจร
คือสภาวธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ(ผู้กำลังเข้ากุศลฌานที่เป็นอรูปาวจร); ของผู้ที่กำลังอุบัติ(ผู้กำลังอุบัติด้วยวิปากฌานที่เป็นอรูปาวจร); หรือของผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน(ผู้กำลังเข้ากิริยาฌานที่เป็นอรูปาวจร); ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมิระหว่าง เทพผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ ถึง เทพผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นที่สุด
ข) น รูปาวจรา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นรูปาวจร
คือ กามาวจร รูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
(๑๔) ปริยาปันนทุกะ
ก) ปริยาปนฺนา ธมฺมา  ~ ธรรมเป็นปริยาปันนะ
คือ สภาวธรรมที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต ซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อปริยาปนฺนา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอปริยาปันนะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ มรรค ผลของมรรค และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๑๕) นิยยานิกทุกะ
ก) นิยฺยานิกา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเหตุนําออกจากสังสารวัฏฏ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, กรกฎาคม, 2568, 07:57:08 AM

(ต่อหน้า ๒๓/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๑.๒)วิจิกิจฉา เป็นไฉน
ปุถุชนย่อมเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ฯลฯ ความกระด้างแห่งจิต, ความลังเลใจ
(๑.๓) สีลัพพตปรามาส เป็นไฉน
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้มีความเห็นว่าผิดด้วยศีล, ด้วยพรต ความยึดถือโดยวิปลาส นี้เรียกว่าสีลัพพตปรามาส             
ข) น ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ธมฺมา ~ ธรรมอันโสดาปัตติมรรคไม่ละ
คือ สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๒) ภาวนายปหาตัพพทุกะ
ก) ภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา ~ ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ละ
คือ สภาวธรรมที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโลภะ โทสะ โมหะ นั้น กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่มีโลภะ โทสะ โมหะนั้นเป็นสมุฏฐาน
 ข) น ภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา ~ ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ละ
คือ สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาร
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ได้แก่
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๓) ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ
ก) ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ~ ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคละ
ได้แก่ สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค
คือ สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส                     
ข) น ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคจะละ
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๔) ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ
ก) ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา  ~ ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ละ
ได้แก่ ธรรม โลภะ โทสะ และโมหะ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรค 
ข) น ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ จะละ
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๕) สวิตักกทุกะ
ก) สวิตฺกกา ธมฺมา ~ ธรรมมีวิตก
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุตด้วยวิตก
ข) อวิตกฺกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีวิตก
ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ในภูมิแห่งจิตที่ไม่มีวิตก
รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
๖) สวิจารทุกะ
ก) สวิจารา ธมฺมา ~ ธรรมมีวิจาร
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยวิจารนั้นในภูมิแห่งจิตอันมีวิจาร
ข) อวิจารา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีวิจาร
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ในภูมิแห่งจิตที่ไม่มีวิจาร  รูปทั้งหมด และ ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๗) สัปปีติกทุกะ
ก) สปฺปีติกา ธมฺมา ~ ธรรมมีปีติ
สภาวธรรมที่มีปีติ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุตด้วยปีตินั้น ในภูมิแห่งจิตที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
ข) อปฺปีติกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่มีปีติ
คือ มรรค ๔
ข) อนิยฺยานิกา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นเหตุ
ได้แก่ กุศล อกุศล และอัพยากฤตที่เหลือ ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
๑๖. นิยตทุกะ
ก) นิยตา ธมฺมา ~ ธรรมให้ผลแน่นอน
คือ อนันตริยกรรม ๕, มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอน และมรรค ๔
ข)อนิยตา ธมฺมา ธรรมให้ผลไม่แน่นอน
โดยธรรมที่ไม่แน่นอน อาการทั้งสองนั้น เป็นไฉน คือ เว้นสภาวธรรมที่ให้ผลแน่นอนเหล่านั้นแล้ว สภาวธรรมที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤตที่เหลือ  ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
๑๗. สอุตตรทุกะ
ก)สอุตตฺรา ธมฺมา ~ ธรรมมีธรรมอื่นยิ่งกว่า
คือ สภาวธรรมที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต ซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, กรกฎาคม, 2568, 06:08:20 PM

(ต่อหน้า ๒๔/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

ข)อนุตฺตรา ธมฺมา ธรรมไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
คือ มรรค ผลของมรรค และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
๑๘. สรณทุกะ
ก) สรณา ธมฺมา ~ธรรมเกิดกับกิเลส
คือ สภาวธรรมที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ คือ อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
ข)อรณา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เกิดกับกิเลส
สภาวธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ คือ สภาวธรรมที่เป็นกุศลและอัพยากฤต และไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
สุตตันตมาติกา ๔๒ ทุกะ
(๑) วิชชาภาคีทุกะ
ก) วิชฺชาภาคิโน ธมฺมา ~ ธรรมเป็นไปในส่วนวิชชา
ข) อวิชฺชภาคิโน ธมฺมา ~ ธรรมเป็นไปในส่วนอวิชชา
(๒) วิชชูปมทุกะ
ก) วิชฺชูปมา ธมฺมา ~ ธรรมเหมือนฟ้าแลบ
ข) วชิรูปมา ธมฺมา ~ ธรรมเหมือนฟ้าผ่า
(๓) พาลทุกะ
ก) พาลา ธมฺมา ~ ธรรมทําให้เป็นพาล
ข) ปณฺฑิตา ธมฺมา ~ ธรรมทําให้เป็นบัณฑิต
(๔) กัณหทุกะ
ก) กณฺหา ธมฺมา ~ ธรรมดํา
ข) สุกฺกา ธมฺมา ~ ธรรมขาว
๕. ตปนิยทุกะ
ก) ตปนิยา ธมฺมา ~ ธรรมทําให้เร่าร้อน
ข) อตปนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่ทําให้เร่าร้อน
(๖) อธิวจนทุกะ
ก) อธิวจนา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นชื่อ
ข) อธิวจนปถา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเหตุของธรรมเป็นชื่อ
(๗) นิรุตติทุกะ
ก) นิรุตฺติ ธมฺมา ~ ธรรมเป็นนิรุตติ
ข) นิรุตฺติปถา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเหตุของธรรมเป็นนิรุตติ
(๘) ปัญญัติติทุกะ
ก) ปญฺญตฺติ ธมฺมา ~ ธรรมเป็นบัญญัติ
ข) ปญฺญตฺติปถา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นเหตุของธรรมเป็นบัญญัติ
(๙) นามรูปทุกะ
ก) นามญฺจ ~ นามธรรม
ข) รูปญฺจ ~ รูปธรรม
(๑๐) อวิชชาทุกะ
ก) อวิชฺชา จ ~ ความไม่รู้แจ้ง
ข) ภวตณฺหา จ ~ ความปรารถนาภพ
(๑๑) ภวทิฏฐิทุกะ
ก) ภวทิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่าเกิด
ข) วิภวทิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่าไม่เกิด
(๑๒) สัสสตทิฏฐิทุกะ
ก) สสฺสตทิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่าเที่ยง
ข) อุจฺเฉททิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่าสูญ
(๑๓) อันตวาทิฏฐิทุกะ
ก) อนฺตวาทิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่ามีที่สุด
ข) อนนฺตวาทิฏฺฐิ จ ~ ความเห็นว่าไม่มีที่สุด
 (๑๔) ปุพพันตานุทิฏฐิทุกะ
ก) ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐ จ ~ ความเห็นปรารภส่วนอดีต
ข) อปรนฺตานุทิฏฺฐ จ ~ ความเห็นปรารภส่วนอนาคต
(๑๕) อหิริกทุกะ
ก) อหิริกญฺจ ความไม่ละอาย
ข) อโนตฺตปฺปญฺจ ความไม่เกรงกลัว
(๑๖) หิริทุกะ
ก) หิริ จ ~ ความละอาย
ข) โอตฺตปฺปญฺจ ~ความเกรงกลัว
(๑๗) โทวจัสสตาทุกะ
ก) โทวจสฺสตา จ ~ ความเป็นผู้ว่ายาก
ข) ปาปมิตฺตตา จ ~ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
(๑๘) โสวจัสสตาทุกะ
ก) โสวจสฺสตา จ ~ ความเป็นผู้ว่าง่าย
ข) กลฺยาณมิตฺตตา จ ~ ความเป็นผู้มีมิตรดี
(๑๙) อาปัตติกุสลตาทุกะ
ก) อาปตฺติกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในอาบัติ
ข) อาปตฺติวุฏฺฐานกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากอาบัติ
(๒๐) สมาปัตติกุสลตาทุกะ
ก) สมาปตฺติกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ
ข) สมาปตฺติวุฏฺฐานกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาบัติ
(๒๑) ธาตุกุสลาทุกะ
ก) ธาตุกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในธาตุ
ข) มนสิการกุสลตา จ ~ความเป็นผู้ฉลาดในการพิจารณา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 13, กรกฎาคม, 2568, 09:30:38 AM

(ต่อหน้า ๒๕/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๒๒) อายตนกุสลตาทุกะ
ก) อายตนกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ
ข) ปฏิจฺจสมุปฺปาทกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท
(๒๓) ฐานกุสลตาทุกะ
ก) ฐานกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในฐานะ
ข) อฏฺฐานกุสลตา จ ~ ความเป็นผู้ฉลาดในอฐานะ
(๒๔) อาชชวทุกะ
ก) อาชฺชโว จ ~ความซื่อตรง
ข) มทฺทโว จ ~ ความอ่อนโยน
(๒๕) ขันติทุกะ
ก) ขนฺติ จ ~ความอดทน
ข) โสรจฺจญฺจ ~ ความสงบเสงี่ยม
(๒๖) สาขัลยทุกะ
ก)สาขลฺยญฺจ ~ ความเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน
ข) ปฏิสนฺถาโร จ ~ การปฏิสันถาร
๒๗. อินทริยอคุตตทวารตาทุกะ
ก) อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตา ~ ความเป็นผู้ไม่สํารวมในอินทรีย์
ข) โภชเน อมตฺตญฺญุตา จ ~ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนาหาร
 (๒๘) อินทริยคุตตทวารตาทุกะ
ก) อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา จ ~ ความเป็นผู้สํารวมในอินทรีย ์๖
ข) โภชเน มตฺตญฺญุตา จ ~ ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนาหาร
๒๙. มุฏฐสัจจทุกะ
ก) มุฏฺฐสจฺจญฺจ ~ ความเป็นผู้ไม่มีสติ
ข) อสมฺปชญฺญญจ ~ ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ
(๓๐) สติทุกะ
ก) สติ จ ~ สติ
ข) สมฺปชญฺญญฺจ ~ สัมปชัญญะ
(๓๑) ปฏิสังขานพลทุกะ
ก) ปฏิสงฺขานพลญฺจ ~ กําลังคือการพิจารณา
ข) ภาวนาพลญฺ จ ~ กําลังคือภาวนา
(๓๒) สมถทุกะ
ก) สมโถ จ ~ สมถะ
ข) วิปสฺสนา จ ~ วิปัสสนา
(๓๓) นิมิตตทุกะ
ก) สมถนิมิตฺตญฺจ ~ นิมิตคือสมถะ
ข) ปคฺคาหนิมิตฺตญฺจ ~ นิมิตคือความเพียร
(๓๔) ปัคคาหทุกะ
ก) ปคฺคาโห จ ~ ความเพียร
ข) อวิกฺเขโป จ ~ ความไม่ฟุ้งซ่าน
(๓๕) วิปัตติทุกะ
ก) สีลวิปตฺติ จ ~ ความวิบัติแห่งศีล
ข) ทิฏฺฐิวิปตฺติ จ ~ ความวิบัติแห่งทิฏฐิ
(๓๖) สัมปทาทุกะ
ก) สีลสมฺปทา จ ~ ความสมบูรณ์แห่งศีล
ข) ทิฏฺฐิสมฺปทา จ ~ ความสมบูรณ์แห่งทิฏฐิ
(๓๗) วิสุทธิทุกะ
ก) สีลวิสุทฺธิ จ ~ ความหมดจดแห่งศีล
ข) ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ จ ~ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
(๓๘) ทิฏฐิวิสุทธิทุกะ
ก) ทิฏฺฐิวิสุทธิ โข ปน ~ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
ข) ยถาทิฏฺฐิสฺส จ ปธานํ ~ ความเพียรแห่งบุคคลผู้มีทิฏฐิอันหมดจด
(๓๙) สังเวคทุกะ
ก) สํเวโค จ สํเวชนิเยสุ ฐาเนสุ ~ ความสลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ
ข) สํวิคฺคสฺส จ โยนิโส ปธานํ ~ ความพยายามโดยแยบคายของบุคคลผู้มีความสลดใจ
(๔๐) อสันตุฏฐตาทุกะ
ก) อสนฺตุฏฺฐตา จ กุสเลสุ ธมฺเมสุ ~ ความไม่รู้จักอิ่มในกุศลธรรม
ข) อปฺปฏิวานิตา จ ปธานสฺมึ ~ ความไม่ท้อถอยในความพยายาม
(๔๑) วิชชาทุกะ
ก) วิชฺชา จ ~ความรู้แจ้ง
ข) วิมุตฺติ จ ~ ความหลุดพ้น
(๔๒) ขยญาณทุกะ
ก) ขเย ญาณํ ~ ญาณในอริยมรรค
ข) อนุปฺปาเท ญาณํ ~ ญาณในอริยผล
วิชชา ๘ =ญาณ ๘ ความรู้ที่ทำให้รู้จักการหลุดพ้น การดับทุกข์ ได้แก่
(๑) วิปัสสนาญาณ (ญาณที่เกิดจากวิปัสสนา เช่นเห็นการเกิดดับ)
(๒) มโนมยิทธิญาณ (ฤทธิ์ทางใจ)
(๓) อิทธิวิธญาณ (มีฤทธิ์ เช่นเดินบนน้ำ)
(๔) ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์ ได้ยินเสียงมนุษย์และเทวดา)
(๕) เจโตปริยญาณ (รู้ใจคนอื่น รู้ความคิด)
(๖) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติในอดีตได้หลายชาติ)
(๗) จุตูปปาตญาณ (ตาทิพย์ รู้เหตุการเกิด การตายของสัตว์)
(๘) อาสวักขยญาณ (ญาณที่ทำให้จิตหลุดพ้น)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 13, กรกฎาคม, 2568, 04:06:02 PM

(ต่อหน้า ๒๖/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

อวิชชา ๔= ความไม่รู้แจ้ง, ไม่รู้จริง, กล่าวสั้นๆ คือ ไม่รู้ในอริยสัจจ์ ๔ ได้แก่
(๑) ทุกฺเข อญฺญาณํ  ~ไม่รู้ทุกข์
(๒) ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ ~ไม่รู้ในทุกขสมุทัย
(๓) ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ ~ไม่รู้ในทุกขนิโรธ
(๔) ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย อญฺญาณํ  ~ ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
อวิชชา ๘= ความไม่รู้แจ้ง, ไม่รู้จริง, ๔  ข้อแรกตรงกับอวิชชา ๔; เพิ่มข้อ ๕ - ๘ ดังนี้
(๕) ปุพฺพนฺเต อญฺญาณํ  ~ ไม่รู้ในส่วนอดีต
(๖) อปรนฺเต อญฺญาณํ  ~ ไม่รู้ส่วนอนาคต
(๗) ปุพฺพนฺตาปรนฺเต อญฺญาณํ ~ ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต
(๘) อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อญฺญาณํ ~ ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา
ปฏิสัมภิทา ๔= ปัญญาแตกฉาน
(๑) อัตถปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในอรรถ อธิบายขยายออกไปได้ จนล่วงรู้ผล
(๒) ธัมมปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในธรรม เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมา สืบสาวกลับไปหาเหตุได้
(๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ, ปรีชาแจ้งในภาษา ชี้แจ้งให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้
(๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในปฏิภาน เอามาเชื่อมโยงเข้า สร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้เหมาะ
บัญญัติ ๒ และ ๖ = คือ การกำหนดเรียก, การกำหนดตั้งหรือตราไว้ให้เป็นที่รู้กัน
(๑) ปัญญาปิยบัญญัติ หรือ อรรถบัญญัติ คือ บัญญัติความหมายอันพึงกำหนดเรียก, ตัวความหมายที่จะพึงถูกตั้งชื่อเรียก
(๒) ปัญญาปนบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ - บัญญัติในแง่เป็นเครื่องให้รู้กัน, บัญญัติที่เป็นชื่อ
ปัญญาปนบัญญัติ แยกย่อยออกเป็น ๖ อย่าง คือ
(๒.๑) วิชชมานบัญญัติ - บัญญัติสิ่งที่มีอยู่ เช่น รูป เวทนา สมาธิ เป็นต้น
(๒.๒) อวิชชมานบัญญัติ - บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่ เช่น ม้า แมว รถ นายแดง เป็นต้น
(๒.๓)วิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ -บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น คนดี นักฌาน ซึ่งความจริงมีแต่ดี คือภาวะที่เป็นกุศล และฌาน แต่คนไม่มี เป็นต้น
(๒.๔) อวิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ - บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น เสียงหญิง ซึ่งความจริง หญิงไม่มี มีแต่เสียง เป็นต้น
(๒.๕) วิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ - บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น จักขุสัมผัส โสตวิญญาณ เป็นต้น
(๒.๖) อวิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ - บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น ราชโอรส ลูกเศรษฐี เป็นต้น
มหาภูตรูป ๔= ดิน น้ำ ไฟ ลม
ข) สาสวา เจว ธมฺมา โน จ อาสวา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะ
ได้แก่ รูปขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
(๕) อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ
ก) อาสวา เจว ธมฺมา อาสวสมฺปยุตฺตา จ  ~ ธรรมเป็นอาสวะ และสัมปยุตด้วยอาสวะ
ข) อาสวสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ อาสวา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะ
(๖)อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ
ก) อาสววิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา สาสวาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากอาสวะ แต่ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ
ข) อาสววิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อนาสวาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากอาสวะ และไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
สัมปยุตต์ =ประกอบพร้อม หมายเอาเฉพาะนามธรรมที่เป็นสภาพรู้เท่านั้น ลักษณะสัมปยุตต์ มี ๔ คือ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดวัตถุเดียวกัน
วิปปยุตต์ =ไม่ประกอบทั่ว อธิบายว่า ไม่เกิดพร้อมกัน ไม่ดับพร้อมกัน ไม่รู้อารมณ์เดียวกัน ได้แก่ นามและรูปที่ไม่ปะปนกัน บางนัยหมายถึง วิปปยุตต์โดยความไม่มี
สัญโญชนโคจฉกะ =แม่บทว่าด้วยกลุ่มสัญโญชน์ (เครื่องผูกมัด) มี ๖ คู่ คือ
(๑)สญฺโญชนา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์
โน สญฺโญชนา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์
(๒)สญฺโญชนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
อสญฺโญชนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
(๓)สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
สญฺโญชนวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์
(๔)สญฺโญชนิยา เจว ธมฺมา โน จ สญฺโญชนิยา จ ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์ และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
สญฺโญชนิยา เจว ธมฺมา โน จ ส ญฺโญชนา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ แต่ไม่เป็นสัญโญชน์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, กรกฎาคม, 2568, 10:39:12 AM

(ต่อหน้า ๒๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๕)สญฺโญชนา เจว ธมฺมา สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ สญฺโญชนา  ~ ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ แต่ไม่เป็น สัญโญชน์
(๖)สัญโญชนวิปฺปยุตตา โข ปน ธมฺมา สโชนิยาปิ  ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ แต่เป็น อารมณ์ของสัญโญชน์
สัญโญชนวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อสโชนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ และไม่ เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
คันถะ=คันถะ คือ กิเลสเครื่องร้อยรัดมัดใจ ให้สัตว์ติดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เปรียบเหมือนโซ่ที่ผูกสัตว์ไว้ คันถะมี ๔ อย่าง                           
(๑)อภิชฌากายคันถะ - เครื่องรัดกายคืออภิชฌา ได้แก่ ความกำหนัด ความยินดี ความปรารถนา                     
(๒)พยาปาทกายคันถะ - เครื่องรัดกายคือพยาบาท เช่น อาฆาต                   
(๓)สีลัพพตปรามาสกายคันถะ - เครื่องรัดกายเช่นมีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต ในภายนอกศาสนา
(๔)อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ - เครื่องรัดกายคือความเห็นว่าสิ่งนี้เป็นจริง เช่น เห็นว่า โลกเที่ยง นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า, ว่าโลกไม่เที่ยง นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า, ว่าโลกมีที่สุด นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า
คันถโคจฉกะ=แม่บทว่าด้วยกลุ่มคันถะ(กิเลสเครื่องร้อยรัด) มี ๖ คู่ ได้แก่
(๑)คันถทุกะ=
ก) คนฺถา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นคันถะ
ได้แก่ธรรมในคันถะทั้ง ๔
ข) โน คนฺถา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นคันถะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯวิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒)คันถนิยทุกะ=
ก) คนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อคนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๓)คันถสัมปยุตตทุกะ = คือ
ก) คนฺถสมฺปยุตฺตา ธมฺมา  ~ ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ธรรมวิปปยุตตจากคันถะ คือ
มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๔)คันถคันถนิยทุกะ =
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถนิยาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ
คันถธรรมเหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่า ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ.
ข) คนฺถนิยา เจวธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ แต่ไม่เป็นคันถะ
ได้แก่ขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕)คันถคันถสัมปยุตตทุกะ =
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถสมฺปยุตฺตาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ คือ
□ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เป็นคันถะ และสัมปยุตด้วยคันถะ โดย อภิชฌากายคันถะ
□ อภิชฌากายคันถะเป็นคันถะ และสัมประยุตด้วยคันถะโดยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ
□ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เป็นคันถะ และสัมปยุตด้วยคันถะโดยอภิชฌากายคันถะ
□ อภิชฌากายคันถะเป็นคันถะ และสัมประยุตด้วยคันถะโดย อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ.
ข) คนฺถสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ แต่ไม่เป็น คันถะ
ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยคันถธรรมเหล่านั้น เว้นคันถธรรมเหล่านั้นเสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ
(๖) คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ =
ก) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา คนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ แต่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
ธรรมเหล่าใด วิปปยุตจากคันถธรรมเหล่านั้น คือกุศลธรรม, อกุศลธรรม, อัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร, รูปาวจร, อรูปวจร ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อคนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ และไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, กรกฎาคม, 2568, 03:43:15 PM

(ต่อหน้า ๒๘/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

โอฆะ =คือ อ่าว หรือ ห้วงน้ำ เป็นห้วงน้ำที่ไหลวน มีลักษณะที่ดูดสัตว์ให้จมลงสู่ที่ต่ำ คือ จมอยู่ระหว่าง อบายภูมิ ถึง พรหมภูมิจนกว่าจะแหวกว่ายขึ้นมา ไปถึง โคตรภูญาณ โอฆะ มี ๔ อย่าง
(๑) กาโมฆะ - คือ ห้วงแห่งกามซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ใน กามคุณทั้ง ๕ องค์ธรรม คือ โลภเจตสิก ในโลภมูลจิต ๘
(๒) ภโวฆะ (ภพ-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งภพซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ ในความยินดี อยากได้ถึง รูปภพ หรือ อรูปภพ
(๓) ทิฎโฐฆะ (ทิฏฐิ-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งความเห็นผิดซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ ในความเห็นผิด จากความเป็นจริง ของสภาวธรรม
(๔) อวิชโชฆะ (อวิชชา-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งความหลงซึ่งพาหมู่สัตว์ให้ลุ่มหลง และจมอยู่ในความไม่รู้,ไม่รู้เหตุและ ผล ตามความเป็นจริง จึงมีความ โลภ โกรธ หลง
โคตรภูฯ=โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร) คือ ปัญญาที่อยู่ในลำดับจะถึงอริยมรรค หรืออยู่ในหัวต่อที่จะข้ามพ้นภาวะปุถุชนขึ้นสู่ภาวะเป็นอริยะ
อบายภูมิ ๔= คือ นรก, เปรต, อสุรกาย และ สัตว์เดียรฉาน
โอฆโคจฉกะ = แม่บทกลุ่มโอฆะ คือ กิเลสเครื่องทำให้สัตว์จมลงในวัฏฏะ คือความเวียนว่านตายเกิด มี ๖ พวก คือ
(๑) โอฆทุกะ
ก) โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโอฆะ
ข) โน โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโอฆะ
(๒) โอฆนิยทุกะ
ก) โอฆนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) อโนฆนิยา ธมฺมา  ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๓) โอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ
(๔) โอฆโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆนิยา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆนิยา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะ
(๕) โอฆโอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะ และสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ แต่ไม่เป็นโอฆะ
(๖) โอฆวิปปยุตตโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆวิปฺปยุตฺตา โน ปน ธมฺมา โอฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ แต่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโนฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
โยคะ=คือ กิเลส
โยคโคจฉกะ= แม่บทกลุ่มโยคะ คือ กิเลสเครื่องประกอบหรือผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ มี ๖ ทุกะ ดังนี้
(๑) โยคทุกะ =กิเลส เป็นคู่ คือ
ก) โยคา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโยคะ
ข) โน โยคา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโยคะ
(๒) โยคนิยทุกะ
ก) โยคนิยา ธมฺมา ~ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) อโยคนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๓) โยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ
(๔) โยคโยคนิยทุกะ
ก) โยคา เจว ธมฺมา โยคนิยา จ ~ ธรรมเป็นโยคะ และเป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยคนิยา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๕) โยคโยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคา เจว ธมฺมา โยคสมฺปสยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยคสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๖) โยควิปปยุตตโยคนิยทุกะ
ก) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา โยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ แต่เป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
นิวรณ์ ๖= คือ กิเลสที่ปิดกั้นใจไม่ให้บรรลุความดี ไม่ให้ก้าวหน้าในการเจริญภาวนา นิวรณ์มี ๖ ประการ คือ
(๑) กามฉันทนิวรณ์ คือ
ความพอใจคือความใคร่, ความกำหนัดคือความใคร่ ในกามทั้งหลาย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, กรกฎาคม, 2568, 10:41:13 AM

(ต่อหน้า ๒๙/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๒) พยาปาทนิวรณ์ คือ ความอาฆาต
 (๓) ถีนมิทธนิวรณ์ คือ
ถีนมิทธะนั้น แยกเป็นถีนะอย่างหนึ่ง มิทธะอย่างหนึ่ง.
(๓.๑) ถีนะ คือ ความไม่สมประกอบแห่งจิต  ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต, ความท้อแท้, ความหดหู่
(๓.๒) มิทธะ คือความไม่สมประกอบแห่งนามกาย, ความไม่ควรแก่งานแห่งนามกาย, ความความง่วงเหงา
(๔)อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ คือ อุทธัจจกุกกุจจะนั้น แยกเป็นอุทธัจจะอย่างหนึ่ง กุกกุจจะอย่างหนึ่ง
(๔.๑) อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต, ความไม่สงบแห่งจิต
(๔.๒) กุกกุจจะ คือ ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร, ความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร, ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ, ความสำคัญว่าไม่มีโทษในของที่มีโทษ, ความเดือดร้อนใจ
(๕) วิจิกิจฉานิวรณ์ คือ ปุถุชนเคลือบแคลสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา,ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
(๖) อวิชชานิวรณ์ คือ ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
อสังขตธาตุ =สภาวธรรมนี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ไม่เป็นรูป เป็นโลกุตตระ เป็นเหตุให้ไม่จุติ ปฏิสนธิ ฟและเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
โลกุตตระ = พ้นโลก อยู่เหนือวิสัยของโลก หรืออุตรภาพ เป็นคำที่ใช้คู่กับ โลกิยะ ซึ่งแปลว่า ยังเกี่ยวข้องกับโลก เรื่องของโลก โลกุตระ หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นแล้วจากโลกิยะ ไม่เกี่ยวข้องกับกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชาอีกต่อไป ได้แก่ธรรม ๙ ประการซึ่งเรียกว่า นวโลกุตรธรรม หรือ โลกุตรธรรม ๙ได้แก่
อริยมรรค ๔ =คือ โสดาปัตติมรรค, สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตมรรค
อริยผล ๔ = คือ โสดาปัตติผล, สกิทาคามิผล, อนาคามิผล, อรหัตผล
และ นิพพาน ๑
นีวรณโคจฉกะ= กิเลสเครื่องกั้นจิตรัดรึงจิต มี ๖ ทุกะ ได้แก่
(๑) นีวรณทุกะ
ก) นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นนิวรณ์
คือธรรมที่เป็น นิวรณธรรม ๖
ข) โน นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒) นีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อนีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ, และอสังขตธาตุ
(๓) นีวรณสัมปยุตตทุกะ
ก) นีวรณสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา  ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) นีวรณนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณิยา จ ~ ธรรมเป็นนิวรณ์ และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
คือ นิวรณ์เหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์.         
ข) นีวรณิยา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕) นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ
ก) นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ เช่น
□ กามฉันทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์,
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยพยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยถีนมิทธนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยวิจิกิจฉานิวรณ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, กรกฎาคม, 2568, 07:12:51 PM

(ต่อหน้า ๓๐/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

□ กามฉันทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยพยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยถีนมิทธนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยวิจิกิจฉานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์.           
ข) นีวรณสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์ แต่ไม่เป็น นิวรณ์
คือเวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา นีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์           
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อนีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ คือ
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
ทิฏฐิ = คือความเห็น, ความเข้าใจ, ความเชื่อถือ, ทั้งนี้มักมีคําขยายนําหน้า เช่น สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) แต่ถ้า ทิฏฐิ มาคําเดียวโดดมักมีนัยไม่ดีหมายถึง ความยึดถือตามความเห็น, ความถือมั่นที่จะให้เป็นไปตามความเชื่อถือหรือความเห็นของตน  ความเห็นผิด มี ๒ ได้แก่
(๑) สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง
(๒) อุจเฉททิฏฐิ - ความเห็นว่าขาดสูญ;
อีกหมวดหนึ่ง มี ๓ คือ
(๑) อกิริยทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่เป็นอันทํา
(๒) อเหตุกทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่มีเหตุ
(๓) นัตถิกทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ เช่นว่า มารดาบิดาไม่มี
ปรามาสโคจฉกะ= แม่บทว่าด้วยกลุ่มปรามาส คือ กิเลสในทางที่ผิดจากความจริง มี ๕ คู่ ได้แก่
(๑) ปรามาสทุกะ
ก) ปรามาสา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นปรามาสะ (ทิฏฐิ)
มีทิฏฐิปรามาสะ ความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี, ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี, ว่าโลกมีที่สุดก็ดี, ว่าโลกไม่มีที่สุดก็ดี
ข) โน ปรามาสา ธมฺมา ธรรมไม่เป็นปรามาส
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒) ปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
คือ มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๓) ปรามาสสัมปยุตตทุกะ
ก) ปรามาสสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยปรามาสะ
ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยปรามาสธรรมเหล่านั้น
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) ปรามาสปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสา เจว ธมฺมา ปรามฏฺฐา จ ~ ธรรมเป็นปรามาสะและเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ปรามาสะนั้นนั่นแล ชื่อว่าธรรมเป็นปรามาสะ และเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ข) ปรามฏฺฐา เจว ธมฺมา โน จ ปรามาสา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ แต่ไม่เป็นปรามาสะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕) ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา ปรามฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุตตจากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อปราฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 13, สิงหาคม, 2568, 04:53:13 PM

อภิธรรมปิฎก : ๓.ธัมมสังคณี (ต่อจิตตุปปาทกัณฑ์ คำอธิบายเรื่องจิตเกิด)

ร่ายยาว

  ๑.จิต,ธรรมชาติรอบรู้อารมณ์....อายตนะสมนอก-ใน....หกคู่ไซร้ให้"ตา"รับรู้สี....มี"หู"รับรู้เสียง...."จมูก"เคียงเพียงรับรู้กลิ่น...."ลิ้น"รับรู้รสชาติ....กายยาตรรับรู้กระทบสัมผัส....และใจชัดรับรู้สึกตรึกเสมอ....จิตนะเออรู้อารมณ์ครั้งละหนึ่ง....ขณะจิตพึ่งก่อเกิดพาน....การรับรู้อารมณ์ชี้....กับสิ่งที่ถูกรับรู้ก็เกิดพร้อม....ย่อมห้ามการรับรู้อารมณ์มิได้....จิตรับรู้ใดแตกต่างกัน....พลันแล้วแต่เจตสิกปรุงแต่งเถิด....เจตสิกจะเกิดและดับพร้อมจิต....เจตสิกอยู่ชิดจิตมีที่อาศัย....และไซร้อารมณ์เดียวกับจิต...ใจจึงวิศิษฐ์รับรู้อารมณ์....บ่มได้มากมายนับ....สดับแปดสิบเก้าแบบนั่นแล

   ๒.จิตแบ่งได้สามประเภท....ธรรมพิเศษ"กุศลฝ่ายดี"...."อกุศลชี้ฝ่ายชั่ว"....และธรรมจั่ว"อัพยากฤต"กลางกลาง....มิวางดีหรือชั่วมัวเผย....เอ่ยกุศลจิตมียี่สิบเอ็ดชนิด....อกุศลจิตมีสิบสอง....สองอัพยากฤตกลาง....จะสะพร่างห้าสิบหก....ยกยอดทั้งสามจึง....รวมถึงแปดสิบเก้า"ดวงฉะนี้

   ๓.กุศลจิตฝ่ายดีแบ่งสี่....ตามภูมิชั้นที่อยู่ต่ำ-สูง....แรกผู้มุ่ง"กามาวจร"เอย....เผยท่องเที่ยวในกามอยู่....มีแปดพรูแยกชนิด....หนึ่ง,จิตเกิดร่วมด้วยโสมนัส....มีญาณชัดความรู้....จิตชู"อสังขาริก"เอย....เผยมิต้องมีสิ่งชักจูงใด....จิตก็ใฝ่เกิดขึ้นได้....สอง,จิตคะคล้ายหนึ่ง....แต่ถึงเป็น"สสังขาริก"แล....ต้องมีแน่สิ่งชักจูงจิตเกิด....เพริดสาม,จิตมีโสมนัส....ชัดไม่มีญาณรอบรู้....และชูเป็นอสังขาริกเอย....ไม่มีใดเลยชักนำให้เกิด....สี่,บรรเจิดเหมือนสาม....แต่ผลามเป็นสสังขาริก....จิตตามดิกมีสิ่งชักจูงชิด....ห้า,จิตกอปรอุเบกขา....พารู้สึกเฉยมิยินดี....หรือรี่เสียใจแต่มีญาณรู้....และชูอสังขาริกแน่....ไม่มีแลสิ่งใดนำ....หก,พร่ำเหมือนจิตห้า....แต่มาเป็นสสังขาริก....จิตเกิดพลิกต้องมีสิ่งชักจูงพา....จิตเจ็ดมากอปรอุเบกขา....ญาณรู้หนาไม่มี....และปรี่เป็นอสังขาริกแล....แน่มิต้องมีใดน้อมนำจิตเกิด....แปดจิตเชิดละม้ายเจ็ดเหมือน....แต่เยือนสสังขาริกเอย....เผยต้องรอสิ่งชักนำพาแล้วแล

   ๔."รูปาวจรจิต"ท่องเที่ยวไป....ด้วยไซร้รูปฝ่ายกุศล....จิตด้นได้รูปฌาน....จากผ่านฝึกฝนสมถภาวนา....เพ่งกล้ามีรูปเป็นอารมณ์....บ่มบรรลุรูปาวจรกุศลจิต.....ประชิดห้าดวงตามลำดับ....นับแต่รูปฌานหนึ่งถึงห้า....ฌานต้นหนาจะมีองค์ฌานห้าครบ....และจบค่อยลดลงไป....ปฐมไซร้ฌานหนึ่งมี.....องค์ฌานคลี่ครบห้าไซร้...."วิตก"ตรึกใฝ่"วิจาร"ตรอง.....ผอง"ปีติ"อิ่มใจพร้อม"สุข"....ชุก"เอกคัคคตา"อารมณ์เป็นหนึ่ง....ถึงฌานสององค์ฌานเหลือสี่....ชี้ตัดวิตกออกไกล....ฌานสามไซร้เหลือสาม....ผลามละวิจารทิ้ง....ดิ่งฌานสี่องค์ฌานเหลือสอง....ครองแค่สุข,เอกัคคตา....ละหนาปีติหมดไป....ไกลสุดฌานห้าตัดสุขแล้ว....เหลือแน่วแผ้วแค่สอง....คือครองอุเบกขา,เอกัคคตา....สรุปหนารูปาวจรกุศลจิต....พิศห้าแต่ดวงที่เก้าตาม....ถึงสิบสามดวงนี้แล

   ๕."อรูปาวจรกุศลจิต"คือ....จิตลือท่องเที่ยวในอรูปฯนา....จิตกล้าลุอรูปฌาน....ผ่านเพราะเพ่งสิ่งไร้รูปเป็นอารมณ์....มีชมสี่ดวงแล....หนึ่งแท้"อากาสานัญจาฯ"....คือจิตหนาเพ่งอากาศไพศาล....พานไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์....ชมสอง"วิญญานัญจาฯ....เป็นจิตกล้าเพ่งอารมณ์....บ่มวิญญาณไม่มีที่สุด....รุดสาม"อากิญจัญญาฯ"....จิตหนามิมีใดเป็นอารมณ์เลย....เผยสี่"เนวสัญญานาฯ".....จิตคว้าอากิญจัญญาฯแล....แท้อารมณ์จึงพะพาน....ผ่านสภาพประณีตกว่า....ว่าจะมีสัญญา,จำก็มิใช่....ไม่มีสัญญาก็มิใช่....สรุปไซร้อรูปาวจรกุศลจิต.....นับปิดแต่ดวงที่สิบสี่....ชี้ถึงสิบเจ็ดดังนี้

   ๖.โลกุตตรจิต....คิดหมายถึงจิตพ้นผ่านโลกเอย....เผยได้แก่จิตที่เป็นมรรค....จิตจักมีสี่อย่างพร่างกุศล....ดลเนื่องด้วย"โสดาปัตติมรรค"....จิตจักลุ"สกทาคามิมรรค"....จิตสลักลุ"อนาคามิมรรค"....จิตยิ่งนัก"อรหัตตมรรค"แฉ....สรุปแล้จิตกุศลแต่สิบแปดนา....ถึงหนายี่สิบเอ็ดฉะนี้

   ๗.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวกามาวจรจิต....ประชิดท่องเที่ยวในกาม....จิตผลามประกอบด้วย"โลภ"แล...."โทสะ"แน่ประทุษร้าย....ขยาย"โมหะ"หลงมัวเขลา....เหล่าจิตชั่วรวมสิบสอง....หนึ่งจิตครองอกุศลจากโลภเป็นมูลฐาน....มีพานโสมนัสยินดี....ทิฏฐิมีเห็นผิด....จิตเป็นอสังขาริกแล....แท้ไม่มีใดชักนำก็เกิดได้....สองไซร้คะคล้ายหนึ่ง....แต่พึงเป็นสสังขาริกหนา....จิตอ่อนล้าต้องมีสิ่งชักนำ....จึงพร่ำเกิดได้....สาม,จิตไซร้เกิดจากโลภเอย....โสมนัสเปรยไร้ทิฏฐิหนา....เป็นอสังขาริกมิถูกชักนำ....สี่พร่ำเหมือนสามแต่เป็น....เด่นสสังขาริกจัก.....ถูกชักนำจิตจึงเกิด....หกบรรเจิดเกิดจากโลภนา....มีอุเบกขาและทิฏฐิแล....แท้เป็นอสังขาริกมิถูกนำ....จิตซ้ำเกิดเองได้....หก,จิตไซร้เหมือนห้า....สสังขาริกเด่นครอง....จำต้องมีสิ่งชักจูงจึงเกิด....จิตเจ็ดเชิดด้วยโลภเป็นมูล...พูนอุเบกขามิมีทิฏฐิเลย....เผยจิตเป็นอสังขาริกนา....มิต้องคว้าสิ่งใดพาเกิด....จิตแปดเปิดเหมือนเจ็ดแล....แต่เป็นสสังขาริกนา....ต้องหาสิ่งช่วยเกื้อให้เกิด....สรุปเชิดอกุศลจิต....ประชิดด้วยโมหะก็แปดดวง....ล่วงแต่จิต"ยี่สิบสอง".....ถึงครองจิต"ยี่สิบเก้า"แล้วแล

   ๘.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวท่องเที่ยวในกาม....จิตตามกอปรด้วยโทสะเป็นมูล....มีพูนสองดวงนา....หนึ่ง,หนาจิตโทมนัส....และชัดมีปฏิฆะ,ขัดใจ....ไซร้เป็นอสังขาริกแล....แน่ไม่มีใดชักจูงก็เกิดได้....สอง,ไซร้เหมือนหนึ่งเลย....เผยเป็นสสังขาริกแล....แน่ไม่มีใดชักนำก็เกิดครัน....พลันสรุปอกุศลจิต....ประชิดโทสะผอง....จิตครองดวงที่"สามสิบ"แล....ถึงแน่"สามสิบเอ็ด"ฉะนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, สิงหาคม, 2568, 08:51:59 AM

(ต่อหน้า ๒/๗) ๓.ธัมมสังคณี

๙.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวท่องเที่ยวในกาม....จิตลามกอปรด้วยโมหะเป็นมูล....มีพูนสองดวงนา....หนึ่ง,หนาจิตโมหะเอย....เผยกอปรด้วยอุเบกขา....และคว้าความสงสัย....สอง,ไซร้จิตโมหะเป็นมูล....พูนอุเบกขาเฉย....แต่เปรยด้วย"อุทธัจจะ"นา....มีจิตคว้าฟุ้งซ่าน....พานสรุปอกุศลจิต....ประชิดโมหะแล....จิตแฉดวงที่สามสิบสอง....และตรองดวงที่สามสิบสามนี้แล

   ๑๐.อัพยากตจิต,กลาง....มิวางเป็นกุศล....หรือยลอกุศล....มีล้นห้าสิบหกดวงนา....แบ่งหนาเป็น"วิบากจิต"สามสิบหก....ต้องจกรับผลกรรม....กับกอปรนำ"กิริยาจิต"ยี่สิบ....จิตไกลลิบรับผลกรรม....มีข้อความพร่ำแปดเสริม....เริ่ม"กามาวจรกุศล"สิบหก....พก"รูปาวจรกุศล"ห้า...."อรูปาวจรกุศล"สี่....มี"โลกุตตรกุศล"สี่....ตามรี่"วิบากจิตอกุศล"เจ็ด....สิบเอ็ด"กิริยาจิตกามาวจร"หนา...."กิริยาจิตรูปาวจร"ห้า...."กิริยาจิตอรูปาฯสี่ฉะนี้

   ๑๑.กามาวจรกุศลจิต....ชิดท่องเที่ยวในกามที่เป็นกลาง....จิตพร่างมีผล....กุศลสิบหกตรึง....หนึ่ง,"จักขุวิญญาณ"รู้อารมณ์....ชมทางตาด้วยอุเบกขา....พารู้สึกเฉยเฉย....เอ่ยมีรูปเป็นอารมณ์....บ่มสอง"โสตวิญญาณ"....ผ่านหูรู้อุเบกขา....มีเสียงกล้าเป็นอารมณ์เอย....เผยสาม"ฆานวิญญาณ"รู้....จมูกชูอุเบกขา....คว้ากลิ่นเป็นอารมณ์รี่....สี่,"ชิวหาวิญญาณ"ลิ้นรู้....พรูอุเบกขามีรสเป็นอารมณ์....ห้า,สม"กายวิญญาณ"จะรู้....อารมณ์กรูทางกาย....ฉายด้วยสุขมี"โผฏฐัพพะ"....ปะสิ่งที่ถูกต้องได้ทางกาย....ห้าข้อหลายเรียก"วิญญาณห้า"....พาวิบากผลของกุศลแล้วแล

  ๑๒.อัพยากฤตกามาฯกุศล....หกล้น"มโนธาตุ"คือใจ....ไซร้มีอุเบกขามีอารมณ์...บ่มด้วยรูป,รส,กลิ่น,เสียง....เผดียง"โผฏฐัพพะ"หนา....พาเจ็ด"มโนวิญญาณธาตุ"....ด้วยยาตรรู้ทางใจ....ไซร้ประกอบด้วยโสมนัส....อารมณ์ชัดมีหก....ปรกด้วยรูป,เสียง,กลิ่น,รส....จรดด้วยโผฏฐัพพะ....และปะ"ธรรม"สิ่งรู้ด้วยใจ....แปดไซร้"มโนวิญญาณธาตุ"....กาจรู้ทางใจมีอุเบกขา...มีอารมณ์หกเหมือนเจ็ด....เก้าเด็ด"มโนวิญญาณธาตุ"แล....ประกอบแท้ด้วยโสมนัส,ญาณ....พานอสังขาริกไร้สิ่งชักนำ....พร่ำให้จิตเกิดได้....สิบไซร้คล้ายเก้าแต่เด่น....เป็นสสังขาริก,จิตเกิดได้....ไซร้ต้องมีสิ่งชักจูงเอย....สิบเอ็ดเผยมโนวิญญาณธาตุ...ฃม่พลาดโสมนัสมิมีญาณ....พานอสังขาริกมิมีสิ่งนำเกิด....สิบสองเชิดคล้ายสิบเอ็ดเอย....แต่เผยเป็นสสังขาริกแล....แน่ต้องมีสิ่งจูงนา....สิบสามหนามโนวิญญาณธาตุ....ยาตรมีอุเบกขา,ญาณ....และพานอสังขาริกปราศสิ่งนำ....สิบสี่ล้ำเหมือนสิบสามแต่เป็น....เด่นสสังขาริกมีสิ่งนำเกิด....สิบห้าเชิดมโนวิญญาณธาตุ....กาจด้วยอุเบกขา,ไร้ญาณ....พะพานอสังขาริกไร้....ไม่มีสิ่งชักนำจิตเกิด....เปิดสิบหกเหมือนสิบห้า....แต่มาเป็นสสังขาริกหนา....มีสิ่งพาจิตเกิดฉะนี้

  ๑๓.วิบากจิตผลกุศล....ยลรูปาวจรมีห้า....หนึ่งพาวิบากจิตในฌานหนึ่ง....ตรึงสองในฌานสอง....สามครองในฌานสาม....สี่ลามในฌานสี่....ห้าชี้วิบากจิตในฌานห้าฉะนั้น

   ๑๔.วิบากจิตผลกุศล....ด้นอรูปาวจรมีสี่....ชี้หนึ่งกอปรด้วย"อากาสาฯ"....เพ่งว่าอากาศมิมีที่สุด....รุดสองจิตกอปรด้วย"วิญญานัญฯ"....ครันเพ่งวิญญาณมิมีที่สุด....รุดสามกอปรด้วย"อากิญจัญญาฯ"....เพ่งไม่มีหนาอะไรแม้แต่น้อย....สี่ช้อย"เนวสัญญานาฯ"....เพ่งสัญญาความจำกำหนดหนา....ว่าเป็นของไม่ดีแล้วแล

   ๑๕.วิบากจิตผลกุศล....ล้นโลกุตตรมีสี่ผล....หนึ่งยล"โสดาปัตติผลจิต"....สองชิด"สกทาคามิผลจิต"....สามชิด"อนาคามิผลจิต"....กิจสี่อรหัตตผลจิตฉะนั้น

   ๑๖.วิบากจิตอกุศลผล....จิตด้นเจ็ดอย่างแล....หนึ่งแน่จักขุวิญญาณ....พานอารมณ์รู้ทางตา....มีอุเบกขาเฉยเฉย....มีรูปเปรยเป็นอารมณ์นา....สอง,หนา"โสตวิญญาณ"รู้....พรูทางหูมีอุเบกขา....พาอารมณ์ทางเสียง....สามเกรียง"ฆานวิญญาณ"รู้....กรูอารมณ์ทางจมูกเอย....เผยมีอุเบกขา,มีกลิ่น....เจาะสิ้นเป็นอารมณ์แล....สี่แท้ชิวหาวิญญาณ....พานอุเบกขามีรส....จรดเป็นอารมณ์....บ่มห้า"กายวิญญาณ,อารมณ์รู้"....กรูทางกายประกอบด้วยทุกข์....ปลุกอารมณ์โดยโผฏฐัพพะ....ปะสิ่งสัมผัสด้วยกาย....ฉายหก"มโนธาตุ"คือใจ....ประกอบไซร้อุเบกขา....มีอารมณ์หก,รูป,รส..ครอง....เจ็ดตรอง"มโนวิญญาณธาตุ"....ปราดรู้ทางใจกอปร....ตอบมีอุเบกขามีรูป,รส....จดกลิ่น,เสียง,สัมผัส....และชัดธรรมเป็นอารมณ์แล้วแล

   ๑๗.จิตเป็นกิริยาฝ่ายกามาฯ....หารับผลของกรรมไม่....มีไซร้สิบเอ็ดแล....หนึ่งแน่"มโนธาตุ"มีอุเบกขา ....อารมณ์กล้าคือรูป,รส,กลิ่น....ยินเสียงและโผฏฐัพพะ....ปะสองมโนวิญญาณธาตุ....ระดาษกิริยามีโสมนัส....ชัดมีอารมณ์หกรูป,เสียง....สามเคียงมโนวิญญาณธาตุ....ปราดกิริยามีอุเบกขา....มาด้วยอารมณ์หกรูป,รส....จดสี่มโนวิญญาณธาตุ....กาจกิริยามีโสมนัส....ชัดมีญาณและเป็น....เด่นอสังขาริกปราศสิ่งชักนำ....ย่ำห้าเหมือนข้อสี่....แต่รี่สสังขาริกมี....สิ่งคลี่ชักนำจิตเกิดฉะนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, สิงหาคม, 2568, 02:18:17 PM

(ต่อหน้า ๓/๗) ๓.ธัมมสังคณี

๑๘.จิตเป็นกิริยาฝ่ายกามาฯ....หกหนา"มโนวิญญาณธาตุ".....วาดเป็นกิริยามีโสมนัส....ชัดไม่มีญาณผ่านเด่น....เป็นอสังขาริกปลาตสิ่งชักนำ....เจ็ดด่ำคะคล้ายหก.....แต่ฉกเป็นสสังขาริกนำ....ต้องรอทำสิ่งชักจูงจิตเกิด....แปดเทิดมโนวิญญาณธาตุ.....กาจกิริยามีอุเบกขา....มีญาณกล้าและเป็น.....เด่นอสังขาริกมิต้องมี.....สิ่งใดปรี่ช่วยชักนำ.....เก้าพร่ำเหมือนแปดแล....แต่เป็นสสังขาริกต้องมี....สิ่งรี่ชักจูงจิตเกิด.....สิบเทิดมโนวิญญาณธาตุ....นาถกิริยามีอุเบกขา....ไร้ญาณหนาแต่เป็น....เน้นอสังขริกไม่ต้อง....มีใดครองชักนำเกิด....สิบเอ็ดเจิดเหมือนสิบ.....แต่ลิบเป็นสสังขาริก.....รอสิ่งจิกชักนำจิตเกิดแล้วแล

   ๑๙.รูปาวจรกิริยาจิตคือ.....ชื่อจิตผู้ที่เข้าฌานสมาบัติ....จิตชัดเกิดขึ้นสักว่าทำกิจ.....คิดรู้อารมณ์กรรมฐาน....แต่พานหาใช่เหตุเกิด....เพริดวิบากจิตกับมิใช่....ผลไซร้ของกุศลจิต....ชิดมี"รูปฌานกิริยา"ห้า....มีกล้าองค์ฌานห้าเอย....เผย"วิตก,วิจาร,ปีติ"แล....และแน่"สุข,เอกัคคตา"....องค์ฌานหนาจะค่อยละหมดลง....บ่งตามฌานที่สูงขึ้นเอย....เผยกิริยาในฌานหนึ่ง....จะพึงมีองค์ฌานครบห้า....เพราะยังหาตัดได้ไม่....ในฌานสองละ"วิตก"ไป....ฌานสามไซร้ละ"วิตก,วิจาร"....ผ่านถึงฌานสี่ละ"ปีติ"ลง....บ่งเหลือแต่"สุข,เอกัคตตา"....ฌานห้ามีองค์ฌานเหลือ....เกื้อคือ"อุเบกขา,เอกัคตตา"แล้วแล

   ๒๐.อรูปาวจรกิริยาจิตคือ....ชื่อจิตผู้เข้าถึงอรูปฌาน....จิตพานเกิดขึ้นสักแต่ว่าทำกิจ....คิดรู้อารมณ์กรรมฐาน....พานไร้เหตุเกิดวิบากจิต....ชิดไม่มีผลกุศลจิตเลย....เผยมีอรูปฌานกิริยาจิตสี่....หนึ่งรี่จิตเป็นกิริยา....กอปรหนา"อากาสานัญจาฯ"....สองพา"วิญญานัญจาฯ"....สามกล้า"อากิญจัญญาฯ"....สี่หนากอปรด้วย"เนวสัญญานาฯ"....นี่เป็นหนาจิตดวงท้ายจากทั้งหมด....จรดจิตดวงที่แปดสิบเก้านั่นแล

   ๒๑.อธิบาย"จิตตุปปบาทกัณฑ์"....ครันได้แจงคำสามคำ....กุศลนำ,อกุศล อัพยากตธรรม.....แล้วพร่ำเรื่องจิตแบ่งเป็น....เน้นกามาวจร,รูปาวจระ....อรูปาวจร,โลกุตตระ....ปะอัพยาฯธรรมกลางกลาง....ต่างเป็นจิตวิบากและกิริยา....แจรงหนาจิตดี,มิดี,กลาง....แล้วพลางแจงกรรมกุศล....ด้นฝ่ายกามาวจระ....ที่จะท่องเที่ยวในกามกอปรโสมนัส....ยินดีชัดมีญาณเกิด....อารมณ์เชิดด้วยรูปหรือเสียง....เกรียงด้วยกลิ่นหรือรส....หรือจดโผฏฐัพพะ....หรือปะธรรมสื่งที่ใจรู้....แต่ชูจิตเพียงดวงแรกนี้....ชี้ก็พ่วงธรรมะอื่นเพิ่ม....เสริมอีกห้าสิบหกข้อแล้วแล

   ๒๒.ธรรมะหนาห้าสิบหก....ปรกมี"ผัสสะ"ถูกต้อง....ครอง"เวทนา"รู้สึกทุกข์,สุข,เฉย....เอ่ย"สัญญา"จำได้....ไซร้"เจตนา"จงใจ....ใฝ่"จิตตะ"คือจิต....ความตรึกคิด"วิตก"....จก"วิจาร"ความตรอง....ผ่อง"ปีติ"อิ่มใจ....ใฝ่"สุข"สบายใจ....จิตใกล้"เอกัคคตา"หนึ่งเดียว....ความเชี่อเปรียว"สัทธินทรีย์"....ความเพียรชี้"วิริยินทรีย์"....สติรี่"สตินทรีย์"....คลี่"สมาธินทรีย์"เอย....เผย"ปัญญินทรีย์"เลิศ....บรรเจิดใจ"มนินทรีย์"....ปรี่"โสมนัสสินทรีย์"สุขใจ....ชีพใหญ่"ชีวิตินทรีย์"....ชี้"สัมมาทิฏฐิ"เห็นชอบ....นอบ"สัมมาสังกัปปะ"ดำริชอบ....ครอบ"สัมมวายามะ"เพียร.....เชียร"สัมมาสติ"ระลึกชอบ...ตอบ"สัมมาสมาธิ"ใจมั่น....ดั้นเชื่อ"สัทธาพละ".....เพียร"วิริยพละ".....ปะ"สติพละ"กำลังคือสติ....."สมาธิพละ,ปัญญาพละ"....ปะ"หิรีพละ"ละอายบาป....ทราบ"โอตตัปปพละ"กลัวบาปฉะนี้

  ๒๓.ตามด้วย"อโลภะ"โลภมิมี....ชี้"อโทสะ"ไม่คิดร้าย....กราย"อโมหะ"ไม่หลง....บ่ง"อนภิชฌา"ไร้....ไม่น้อมเป็นของตน....ก่น"อัพยาบาท"ไม่คิดปองร้าย....ผาย"สัมมาทิฏฐิ"เห็นชอบ....นอบทำดีได้ดี....ปรี่"หิริ"บาปละอาย....หน่ายกลัว"โอตตัปปะ"....เผชิญ"กายปัสสัทธิ"....ริระงับขันธ์เวทนา,สัญญา,สังขาร....พานสงบจิต"จิตตปัสสธิ"  ตริ"กายลหุตา"พาเบา....เหล่ากองเวทนา,สัญญา,สังขาร....พาน"จิตตลหุตา"จิตเบาลง....บ่ง"กายมุทุตา"อ่อนงาม....ลาม"จิตตมุทุตา"จิตอ่อนสวย....ทวย"กายกัมมัญญตา"กิจเหมาะควร....ล้วนในกองเวทนา,สัญญา,สังขาร....งานจิตควร"จิตตกัมมัญญตา"....ฝ่า"กายปาคุญญตา"คล่อง....กองเวทนา,สัญญา,สังขาร....ชาญ"จิตตปาคุญญตา"....พาจิตคล่องแคล่วหนา...."กายุชุกตา"ความตรงมิโกง....โปร่งในกองเวทนา,สัญญา,สังขาร....ผ่าน"จิตตชุกตา"จิตมิคด...."สติ"จดระลึกได้....ใจ"สัมปชัญญะ"รู้ตัว....จั่ว"สมถะ"จิตสงบ....จบ"วิปัสสนา"เห็นแจ้ง....แจง"ปัคคาหะ"จิตเพียร....เชียร"อวิกกาปะ"จิตตั้งมั่นนี้แล

   ๒๔.คำอธิบายเรื่อง"รูปกัณฑ์"....พลันกล่าวเกี่ยวกับ"รูป"เด่น....เช่นรูปใหญ่"มหาภูตรูปสี่"....และรี่"อุปาทยรูป"อาศัย....รูปใหญ่สี่ธาตุอยู่....แล้วแจงพรูสิบเอ็ดแม่บท"รูป"ตรึง....แม่บทหนึ่ง"เอกมาติกา"....รูปหนา"มิใช่เหตุ"ทั้งชั่ว,ดี....มิรี่ชั่วโลภะ,โทสะ,โมหะ.....มิปะดีทั้งอโลภะ,อโทสะ,อโมหะ....อีกรูปจะ"ไม่มีเหตุ"เป็นมูล....ไม่มีพูนทั้งโลภะ,โทสะ,โมหะ....อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ....จะมิเป็นมูลเหมือนกุศล,อกุศล....เพราะยลเป็นกลางกลาง....วางทั้งหมดมีสี่สิบสี่บท....จรดสอง"ทุกมาติกา"....แจงรูปมาหมวดละสอง....ทั้งผองมีหนึ่งร้อยสี่คู่....เช่นดู"อุปาทารูป"แล....แท้คือรูปที่อาศัยมีอยู่....รูปจู่มิเป็นอุปาทาก็มี....คือปรี่มหาภูตรูปสี่;....รูปเป็นที่อาศัยของจักขุสัมผัส....ชัดรูปเป็นอารมณ์ของตาก็มี....มิชี้เป็น"อนารมณ์"ก็มี....คลี่หมวดสาม"ติกรูป"นา.....แสดงรูปหนาแบ่งสาม....รวมความสามร้อยสาม....เช่นตามรูปใดทั้งภายนอก-ใน....ไซร้เป็นอุปาทา,อาศัยก็มี....รี่เป็น"โนอุปาทารูป"ไม่อาศัย....ไซร้ก็ยังมี....อื่นชี้รูปนอกมิเป็นที่เกิดเอย....เผยของจักขุสัมผัส....ชัดรูปภายในเป็นที่เกิดก็มี....มิคลี่เป็นที่เกิดก็มีฉะนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, สิงหาคม, 2568, 08:58:06 AM

(ต่อหน้า ๔/๗) ๓.ธัมมสังคณี

   ๒๕.หมวดสี่"จตุกกะ"รูปแบ่ง....แจงสี่อย่างต่างกัน....ครันรวมยี่สิบสอง....เช่นมองรูปใดเป็นรูปอาศัย....รูปนั้นไซร้ถูกยึดถือก็มี....มิรี่ถูกยึดก็มี....รูปใดชี้ไม่เป็นรูปอาศัย....ก็มีไซร้ทั้งถูกยึด,มิยึดตรึง....ถึงหมวดห้า"ปัญจกะ"แจกแจง....แบ่งห้าอย่างได้แก่....แท้ธาตุดิน,ธาตุน้ำ,ธาตุไฟ....ไซร้ธาตุลมและรูปอาศัย....ไวหมวดหก"ฉักกมาติกา"....แจงรูปหนาหกแบบพาน...ที่วิญญาณหกพึงรู้คือ....ชื่อ"จักขุวิญญาณ ตารู้"....กรู"โสตวิญญาณ,หูรู้"....ชู"ฆานวิญญาณ,จมูกรู้"....พรู"ชิวหาวิญญาณ,ลิ้นรู้"....คู่"กายวิญญาณ,กายรู้"....และชู"มโนวิญญาณ,ใจทราบ"....ตราบหมวดเจ็ด"สัตตกมาติกา"....แจงรูปหนาเจ็ดอย่าง....พลางรูปพึงรู้ด้วย"ตา"....ด้วย"หู"หนา,ด้วย"จมูก"แล....แน่ด้วยลิ้น,กาย,ใจ-มโนธาตุ....ระดาษรู้ด้วยมโนวิญญาญธาตุ....ซิใจยาตรรู้ยิ่งแล้วแล

   ๒๖.หมวดแปดดิ่ง"อัฏฐกะมาติกา"....แบ่งรูปมาเป็นแปดอย่าง....พลางรูปพึงรู้ด้วยตาแล....แน่ด้วยหู,จมูก,ลิ้น,กาย....รูปฉายพึงรู้ด้วย"มโนธาตุ"....มิพลาดรู้อีกด้วย"มโนวิญญาณธาตุ"....และกายยาตรพึงรู้เป็นสอง....คือกายครองมีสัมผัสเป็นสุข....และเป็นทุกข์เพิ่มมา....หมวดเก้าว่า"นวกมาติกา".....แจงรูปหนาเก้าอินทรีย์....ชี้เป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่....ได้แก่ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย....ฉาย"อิตถินทรีย์"แจงเพศหญิง....อิง"ปุริสินทรีย์"เพศชาย....กรายด้วย"ชีวินตินทรีย์",ชีวิต....อีกประชิดธรรมชาติ....ที่พลาดเป็นอินทรีย์....รี่หมดสิบ"ทสกมาติกา"....แบ่งรูปพาเป็นสิบอินทรีย์....ชี้ด้วยตา,หู จมูก,ลิ้นกาย....กรายด้วยอิตถินทรีย์....ปรี่ปุริสินทรีย์....รี่ตามหลังด้วยชืวิตแล....มีรูปแท้กระทบได้ก็มี...ที่มิกระทบได้ก็มี....คลี่สิบเอ็ดมีรูป"อนิทัสสนะ"เห็นมิได้....ไร้"อัปปฏิฆะ"ถูกต้องมิได้....เพราะไซร้เป็น"ธัมมายตนะ"รู้ได้ด้วยใจ....ได้อาศัย"อายตนะ"เชื่อมต่อ....ก่อทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย....ฉายด้วยรูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ....จะเพิ่มหนึ่งเพราะถูกต้องมิได้แล้วแล

   ๒๗.นิกเขปกัณฑ์อธิบาย....ฉายบทตั้งกุศลธรรม....ถ้อยคำอกุศลธรรม....และพร่ำอัพยากตธรรม....ความด่ำกุศลธรรมคือ....ชื่อรากเหง้ากุศลสาม....ความไม่โลภ,ไม่โกรธ,ไม่หลง....บ่งขันธ์สี่เวทนา,สัญญฯ....สังขารกล้าและวิญญาณ....ที่พานปราศโลภ,โกรธ,หลง...ตรงนับกายกรรม,วจีกรรม....ทำมโนกรรมมิมีโลภ,โกรธ,หลง....บ่งเป็นมูลเหตุเรียกขานกุศลธรรม....คำอกุศลธรรมมีรากเหง้า....เร้ารุมจากโลภ,โกรธ,หลงมัว....จึงทำชั่วรวดขันธ์สี่....พฤติมิดีทั้งกาย,วาจา,ใจ....ด้วยใฝ่โลภ,โกรธ,หลงเด่น....ที่เป็นต้นเหตุอกุศลธรรม....ส่วนคำอัพยากตธรรมเพ่งนำ....วิบากกล้าผลกุศล,อกุศลธรรมครอง....ผู้ท่องเที่ยวกามาวจระ...ปะรูปาวจร,อรูปาวจระ....โลกุตตระชั้นเหนือโลกแล....แท้วิบากของขันธ์สี่...รวมธรรมที่เป็นกิริยา....มิใช่หนากุศลหรือผลของกรรม....นำรูปทั้งปวงพร้อม....น้อมอสังขตธาตุ,นิพพาน.....ธรรมขานด้วยอัพยากตธรรมเป็นกลางฉะนี้

   ๒๘."อัตถุทธากัณฑ์"อธิบาย....กรายบทตั้งโดยย่อ....ส่อทั้งกุศล,อกุศลธรรม...ด่ำอัพยากตธรรม....โดยคำกุศลหมายล้น....กุศลในภูมิสี่....รี่กามาวจรภูมิ,รูปาฯ,อรูปาฯ....และกล้า"โลกุตตรภูมิ"เอย....เผยอกุศลคือการอุบัติ....ชัดจิตอกุศลสิบสอง....ครองด้วยโลภมูลจิตแปดเอย.....เผยโทสมูลจิตสอง....และส่องโมหมูลจิตสองแล....แน่อัพยากตธรรมคือ....ชื่อวิบากในภูมิสี่....ชี้กิริยาในภูมิสาม....เพราะตามโลกุตตระมิมีกิริยา....แล้วหนาคือรูปและนิพพาน...ธรรมขานเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกลางแล้วแล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑) อภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณี พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๖๕๒-๖๖๙

จิต = คือ วิญญาณขันธ์ทั้งหมด มี ๖ ทางเกิด ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณป และมโนวิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
อายตนะ = แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น ๒ อย่างคือ
(๑) อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก
(๒) อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ ๖ มี  รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น
อายตนะภายนอกนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า สัมผัส รู้ว่ามีการเห็น เรียกว่าวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, สิงหาคม, 2568, 04:17:00 PM

(ต่อหน้า ๕/๗) ๓.ธัมมสังคณี

เจตสิก = คือ ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่าง ๆ อาการที่ประกอบกับจิตนั้น มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ (๑) เกิดพร้อมกับจิต   (๒) ดับพร้อมกับจิต (๓) มีอารมณ์เดียวกับจิต (๔) อาศัยวัตถุเดียวกับจิต
จิตและเจตสิกที่อาศัยกันนี้ ถ้าเปรียบจิตเป็นน้ำ เจตสิกเป็นสีแดง ผสมกันเป็นน้ำแดง เมื่อผสมกันแล้วไม่สามารถแยกน้ำออกจากสีแดงได้ฉันใด จิตและเจตสิกก็ไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นอิสระได้ฉันนั้น  สภาวธรรม รวม ๔ ประการของเจตสิก มีดังนี้
(๑) ลักษณะของเจตสิก คือ มีการอาศัยจิตเกิดขึ้น
(๒) กิจการงานของเจตสิก คือ เกิดร่วมกับจิต
(๓) ผลงานของเจตสิก คือ รับอารมณ์อย่างเดียวกับจิต 
(๔) เหตุที่ทำให้เจตสิกเกิดขึ้นได้ คือ  การเกิดขึ้นของจิต
จิต = แบ่งได้ ๘๙ ชนิด แยกเป็น ๓ อย่าง คือ
(๑) กุศลจิต ฝ่ายดี มี ๒๑ ดวง
แบ่งอีก ๔ ตามภูมิชั้นที่ต่ำ-สูง
(๑.๑) กามาวจรจิต คือจิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม ที่เป็นฝ่ายกุศล มี ๘ คือ
# ๑ = กุศลจิต ฝ่ายกามาวจร เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา(ความดีใจ) ประกอบด้วยญาณ(ความรู้) เป็นอสังขาริก (คือไม่ต้องมีสิ่งชักจูง จิตก็เกิดขึ้น)
# ๒ = กุศลจิต เหมือน ดวง ๑ แต่เป็น สสังขาริก (ต้องมีสิ่งชักจูง จิตจึงเกิดขึ้น) เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน
# ๓ = กุศลจิต ฝ่ายกามาวจร ประกอบด้วยโสมนัส แต่ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๓ แต่เป็น สสังขาริก
# ๕ = กุศลจิตฝ่าย กามาวจร ประกอบด้วย อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆคือไม่ดีใจ ไม่เสียใจ) ประกอบด้วยญาณ เป็นอสังขาริก
# ๖ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๕ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗ = กุศลจิตฝ่ายกามาวจร ประกอบด้วย อุเบกขาแต่ ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็นอสังขาริก
# ๘ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๗ แต่เป็น สสังขาริก
(๑.๒) รูปาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในรูป ที่เป็นฝ่ายกุศล
(คือจิตที่ได้รูปฌาน ฌานที่เพ่งรูปเป็นอารมณ์) โดย รูปาวจรจิต เป็นจิตระดับสูงกว่ากามาวจรจิต เป็นจิตที่ได้อบรม สมถภาวนา เกิดรูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง คือ
# ๙ = ปฐมฌานกุศลจิต ฌาน ๑ = มีองค์ ๕ คือ วิตก(ความตรึก) วิจาร(ความตรอง) ปีติ(ความอิ่มใจ) สุข เอกัคคตา(ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง)
# ๑๐ = ทุติยฌานกุศลจิต ฌาน ๒ = มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
# ๑๑ = ตติยฌานกุศลจิต ฌาน ๓ = มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
# ๑๒ = จตุตถฌานกุศลจิต ฌาน ๔ = มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา
# ๑๓ = ปัญจมฌานกุศลจิต ฌาน ๕ = มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
(๑.๓) อรูปาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในอรูป ที่เป็นฝ่ายกุศล
(คือจิตที่ได้อรูปฌาน ฌานที่เพ่งนามหรือสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์) มี อรูปาวจรกุศลจิต ๔ ดวง คือ
# ๑๔ = อากาสานัญจายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิตที่ระลึกถึงอากาศที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์
#๑๕ = วิญญาณัญจายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่มีวิญญาณที่ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์
# ๑๖ = อากิญจัญญายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์เลย
# ๑๗ = เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่มีอากิญจัญญายตนจิตเป็นอารมณ์ เพราะรู้ว่าแม้ขณะที่ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์เลยนั้น ก็ยังมีอากิญจัญญายตนจิต เป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นสภาพที่ละเอียดประณีตมากโดยขณะนั้นจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
(๑.๔)โลกุตตระ คือจิตที่พ้นจากโลก (ได้แก่จิตที่เป็นมรรค ๔) มี ๔ คือ
#๑๘ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย โสดาปัตติมรรค
#๑๙ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย สกทาคามิมรรค
# ๒๐ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย อนาคามิมรรค
# ๒๑ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย อรหัตตมรรค
(๒) อกุศลจิต ฝ่ายชั่ว มี ๑๒ ดวง
มีประเภทเดียว คือ กามาวจรจิตที่ยังท่องเที่ยวในกาม เป็นจิต ประกอบด้วยความโลภ ๘, ความคิดประทุษร้ายหรือโทสะ ๒, ความหลงหรือโมหะ ๒ คือ
# ๒๒ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วยโสมนัส, ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)  เป็นอสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูง ก็เกิดขึ้น)
# ๒๓ = เหมือนข้อ ๒๒ แต่เป็น สสังขาริก(มีสิ่งชักจูง จึงเกิดขึ้น
# ๒๔ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วยโสมนัส ไม่ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๕ =  เหมือนข้อ ๒๔ แต่เป็น สสังขาริก
# ๒๖ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๗ = เหมือนข้อ ๒๖ แต่เป็น สสังขาริก
# ๒๘ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๙ = เหมือนข้อ ๒๘ แต่เป็นสสังขาริก
# ๓๐ = จิต เกิดจากโทสะเป็นมูลประกอบด้วยโทมนัส (ความไม่สบายใจ) ,ประกอบด้วย ปฏิฆะ(ความขัดใจ) เป็นอสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูง ก็เกิดขึ้น)
# ๓๑ = เหมือนข้อ ๓๐ แต่เป็นสสังขาริก
# ๓๒ = จิตเกิดจากโมหะเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วยความสงสัย
# ๓๓ = จิตเกิดจากโมหะเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วย อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)..


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 16, สิงหาคม, 2568, 07:22:58 AM

(ต่อหน้า ๖/๗) ๓.ธัมมสังคณี

(๓) อัพยากตจิต = จิตเป็นกลางๆ ไม่ชี้ว่ากุศล หรืออกุศล แบ่งเป็น  ประเภทใหญ่ๆเหมือนฝ่ายกุศล มีรวม ๕๖ ดวง
(๓.๑) กามาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในกามที่เป็น อัพยากฤต คือเป็นผลของกุศล ฝ่าย กามาวจร มี ๑๖ ดวง ได้แก่
# ๓๔ = จักขุวิญาณ (ความรู้อารมณ์ทางตา) ประกอบด้วย อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ) มีรูปเป็นอารมณ์
# ๓๕ = โสตวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางหู) ประกอบด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์
# ๓๖ = ฆานวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางจมูก) ประกอบด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์
# ๓๗ =ชิวหาวิญญาณ (ความรู้กาย) ประกอบด้วยสุข มีโผฏฐัพพะ(สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย) เป็นอารมณ์
(จากข้อ # ๓๔ และ # ๓๘ รวม ๕ ข้อ เรียกว่า วิญญาณ ๕ อันเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกุศล)
# ๓๙ = มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป, เสียง, กลิ่น, รส และ โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๔๐ = มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ)  ประกอบด้วยโสมนัส มีรูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ และธรรม(สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) เป็นอารมณ์
# ๔๑ = มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ) อันประกอบด้วยอุเบกขา มีรูป จนถึงมีธรรมเป็นอารมณ์ (มีอารมณ์ครบ ๖)
(หมายเหตุ ตั้งแต่ ข้อ # ๓๔ ถึง # ๔๑ รวม ๘ ข้อ เป็นวิบากจิตธรรมดา ส่วนอีก ๘ ข้อต่อไป เรียกว่า มหาวิบาก)
# ๔๒ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยโสมนัส, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูงให้เกิดขึ้น)
# ๔๓ = เหมือนข้อ #๔๒ แต่เป็น สสังขาริก(มีสิ่งชักจูงจึงเกิดขึ้น)
# ๔๔ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยโสมนัส, ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๕ = เหมือนข้อ # ๔๔ แต่เป็น สสังขาริก
# ๔๖ =มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยอุเบกขา, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๗ = เหมือนข้อ # ๔๖ แต่เป็น สสังขาริก
# ๔๘ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยอุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๙ = เหมือนข้อ # ๔๘ แต่เป็น สสังขาริก
(๒) จิตที่เป็นวิบาก= คือ เป็นผลของกุศล ฝ่าย รูปาวจร ๕ คือ
# ๕๐ = วิบากจิตในฌานที่ ๑ ; # ๕๑ = วิบากจิตในฌานที่ ๒ ; # ๕๒ = วิบากจิตในฌานที่ ๓ ;
# ๕๓ = วิบากจิตในฌานที่ ๔ ; # ๕๔ = วิบากจิตในฌานที่ ๕
(๓) จิตที่เป็นวิบาก = คือ เป็นผลของกุศลฝ่ายอรูปาวจร ๔
# ๕๕ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย อากาสานัญจายตนสัญญา (การเพ่งว่าอากาศหาที่สุดมิได้)
# ๕๖ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย วิญญานัญจายตนสัญญา (การเพ่งว่าวิญญาณหาที่สุดมิได้)
# ๕๗ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย อากิญจัญญายตนสัญญา (การเพ่งว่าไม่มีอะไรแม้แต่น้อย)
# ๕๘ =วิบากจิตที่ประกอบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา(การเพ่งสัญญาคือความจำได้ หรือกำหนดหมายเป็นของไม่ดี)
(๔) จิตที่เป็นวิบาก = คือเป็นผลของกุศลฝ่ายโลกุตตระ ๔
# ๕๙ = โสดาปัตติผลจิต; # ๖๐ = สกทาคามิผลจิต; # ๖๑ = อนาคามิผลจิต; # ๖๒ = อรหัตตผลจิต
(๕) วิบากจิตฝ่ายอกุศล = จิตที่เป็นวิบาก เป็นผลของอกุศล ๗
# ๖๓ = จักขุวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางตา) ประกอบด้วยอุเบกขา(ความรู้สึกเฉยๆ) มีรูปเป็นอารมณ์
# ๖๔ = โสตวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางหู) ประกอบด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์
# ๖๕ = ฆานวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางจมูก) ประกอบด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์
# ๖๖ = ชิวหาวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางลิ้น) ประกอบด้วยอุเบกขา มีรสเป็นอารมณ์
# ๖๗ = กายวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางกาย) ประกอบด้วยทุกข์ มีโผฏฐัพพะ(สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย) เป็นอารมณ์
# ๖๘ = มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) ประกอบด้วยอุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๖๙ = มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ทางใจ) ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรม (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) เป็นอารมณ์
(๖) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายกามาวจร = มี ๑๑ ได้แก่
# ๗๐ = มโนธาตุที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๗๑ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย โสมนัส มีอารมณ์ครบ ๖
# ๗๒ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อุเบกขา มีอารมณ์ครบ ๖
# ๗๓ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย โสมนัส, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๗๔ = เหมือนข้อ # ๗๓ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗๕ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วยโสมนัส, ไม่ประกอบด้วยญาณ, เป็น อสังขาริก
# ๗๖ = เหมือนข้อ #๗๕ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗๗ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา, ประกอบด้วยอุเบกขา, ประกอบด้วยญาณ, เป็นอสังขาริก
# ๗๘ = เหมือนข้อ # ๗๗ แต่เป็น สสังขาริก



หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 16, สิงหาคม, 2568, 12:57:46 PM

(ต่อหน้า ๗/๗) ๓.ธัมมสังคณี

# ๗๙ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา, ประกอบด้วยอุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยญาณ, เป็นอสังขาริก
# ๘๐ = เหมือนข้อ # ๗๙ แต่เป็น สสังขาริก
(๗) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายรูปาวจร= มี ๕ คือ
# ๘๑ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๑ ; # ๘๒ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๒ ; # ๘๓ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๓ ; # ๘๔ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๔ ; # ๘๕ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๕
(๘) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายอรูปาวจร = มี ๔ คือ
# ๘๖ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อากาสานัญจายตนสัญญา
# ๘๗ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย วิญญานัญจายตนสัญญา
# ๘๘ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อากิญจัญญายตนสัญญา
# ๘๙ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
ธรรมอันเป็นกุศล เป็นไฉน ? = คือสมัยใด จิตอันเป็นกุศลฝ่ายกามาวจร (ท่องเที่ยวไปในกาม ) ประกอบด้วยโสมนัส (ความดีใจ) ประกอบด้วยญาณ เกิดขึ้น ปรารภ อารมณ์ คือ รูป หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือโผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องได้) หรือธรรมะ  (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ), ในสมัยนั้นย่อม มี ( ธรรมะ ๕๖ อย่าง ) คือ
(๑) ผัสสะ - ความถูกต้อง (๒) เวทนา - ความรู้สึกอารมณ์ว่า เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข (๓) สัญญา - ความจำได้หมายรู้  (๔) เจตนา -  ความจงใจ (๕) จิตตะ - จิต (๖) วิตก - ความตรึก (๗) วิจาร - ความตรอง (๘) ปีติ - ความอิ่มใจ (๙) สุข - ความสบายใจ, ในที่นี้ไม่หมายเอาสุขกาย (๑๐) จิตตัสส เอกัคคตา - ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (๑๑) สัทธินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความเชื่อ (๑๒) วิริยินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความเพียร (๑๓) สตินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือสติ (๑๔) สมาธินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือสมาธิ (๑๕) ปัญญินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือปัญญา (๑๖) มนินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือใจ (๑๗) โสมนัสสินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความสุขใจ (๑๘) ชีวิตินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือชีวิตความเป็นอยู่ (๑๙) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจจ์ ๔ (๒๐) สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ (๒๑) สัมมาวายามะ - ความพยายามชอบ (๒๒) สัมมาสติ - ความระลึกชอบ (๒๓) สัมมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ (๒๔) สัทธาพละ -กำลังคือความเชื่อ (๒๕) วิริยพละ - กำลังคือความเพียร (๒๖) สติพละ - กำลังคือสติ (๒๗) สมาธิพละ - กำลังคือสมาธิ (๒๘) ปัญญาพละ - กำลังคือปัญญา (๒๙) หิรีพละ - กำลังคือความละอายต่อบาป (๓๐) โอตตัปปพละ - กำลังคือความเกรงกลัวต่อบาป (๓๑) อโลภะ - ความไม่โลภ (๓๒) อโทสะ - ความคิดประทุษร้าย (๓๓) อโมหะ - ความไม่หลง (๓๔) อนภิชฌา - ความไม่โลภ ชนิดนึกน้อมมาเป็นของตน (๓๕) อัพยาบาท - ความไม่คิดปองร้าย ชนิดนึกให้ผู้อื่นพินาศ (๓๖) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบแบบทั่ว ๆ ไป เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี (๓๗) หิริ - ความละอายต่อบาป  (๓๘) โอตตัปปะ - ความเกรงกลัวต่อบาป (๓๙) กายปัสสัทธิ ( ความสงบระงับแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร  (๔๐) จิตตปัสสัทธิ - ความสงบระงับแห่งจิต  (๔๑) กายลหุตา -ความเบาแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร  (๔๒) จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต (๔๓) กายมุทุตา - ความอ่อนสลวยแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๔) จิตตมุทุตา - ความอ่อนสลวยแห่งจิต (๔๕) กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๖) จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งจิต (๔๗) กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๘) จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต (๔๙) กายุชุกตา - ความตรง ไม่คดโกงแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๕๐) จิตตุชุกตา - ความตรง ไม่คดโกงแห่งจิต (๕๑) สติ - ความระลึกได้ (๕๒) สัมปชัญญะ - ความรู้ตัว (๕๓) สมถะ - ความสงบแห่งจิต (๕๔) วิปัสสนา - ความเห็นแจ้ง (๕๕) ปัคคาหะ - ความเพียรทางจิต (๕๖) อวิกเขปะ - ความไม่ซัดส่าย คือความตั้งมั่นแห่งจิต
"อนึ่ง ในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใด แม้อื่น ที่ไม่มีรูปอิงอาศัยกันเกิดขึ้นมีอยู่ ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่ากุศล
มหาภูต = ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
มหาภูตรูป = รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย
อุปาทายรูป = รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป, อาการของมหาภูตรูป ตามหลักฝ่ายอภิธรรมว่า มี ๒๔ คือ
ก) ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ได้แก่ จักขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ลิ้น, กาย
ข) โคจรรูป หรือ วิสัยรูป (รูปที่เป็นอารมณ์) ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพะ ไม่นับเข้าจำนวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วาโย ซึ่งเป็นมหาภูตรูป)
ค) ภาวรูป ๒ ได้แก่
อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง; และ ปุริสภาวะ ความเป็นชาย
ง) หทัยรูป ๑ คือ หทัยวัตถุ หัวใจ
จ) ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย์ ภาวะที่รักษารูปให้เป็นอยู่
ฉ) อาหารรูป ๑ คือ กวฬิงการาหาร อาหารที่กินเกิดเป็นโอชา
ช) ปริจเฉทรูป ๑ คือ อากาศธาตุ ช่องว่า
ญ) วิญญัติรูป ๒ คือ
กายวิญญัติ ไหวกายให้รู้ความ, วจีวิญญัติ ไหววาจาให้รู้ความ คือพูดได้
ฎ) วิการรูป ๕ อาการดัดแปลงต่างๆ ได้แก่
ลหุตา - ความเบา, มุทุตา - ความอ่อน, กัมมัญญตา - ความควรแก่งาน, (อีก ๒ คือ วิญญัติรูป ๒ นั่นเอง ไม่นับอีก)
ฏ) ลักขณรูป ๔ ได้แก่
อุปจยะ - ความเติบขึ้นได้, สันตติ - สืบต่อได้, ชรตา - ทรุดโทรมได้, อนิจจตา - ความสลายไม่ยั่งยืน
(นับโคจรรูปเพียง ๔ วิการรูป เพียง ๓ จึงได้ ๒๔)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, สิงหาคม, 2568, 09:40:11 AM

อภิธรรมปิฎก : ๔.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : รูปขันธ์)

กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ (กาพย์ขับไม้)

   ๑.วิภังค์แจกธรรม                 เป็นกลุ่มแจงนำ                 รายละเอียดหมาย
สิบแปดหมวดแจง                    แต่ละหมวดแบ่ง                หมวดแยกสามกราย
"สุตตันฯ"บรรยาย                    อภิธัมม์ฉาย                       ปัญหาปุจฉ์ฯไข

   ๒.เริ่ม"ขันธวิภังค์"                 แจกขันธ์ห้าตั้ง                  หน้าที่อะไร
"อายตนะฯ"ครอง                     เชื่อมต่อสิบสอง                ภายนอกและใน
"ธาตุวิภังค์"ไซร้                       แจงธาตุหกไว้                    ธาตุสิบแปดเอย

   ๓."สัจจวิภังค์"                       อริยสัจจ์ผัง                        ทุกข์,ดับทุกข์เผย
"อินทรีย์วิภังค์"                         แจกอินทรีย์หยั่ง               ยี่สิบสองเอ่ย
"ปัจจยาฯ"เปรย                        แจงปัจจัยเกย                   เกิดชีวีแล

   ๔."สติปัฏฐาน"                       จดอารมณ์กราน               ภายใน,นอกแฉ
"สัมมัปป์ธานฯ"ครัน                  ความเพียรชอบมั่น           เพียรมีสี่แล
"อิทธิปาฯ"แน่                           อิทธิบาทแล้                       เพิ่มสำเร็จมา

   ๕."โพชฌังค์วิภังค์"               แจงโภชฌงค์ตั้ง                องค์ตรัสรู้หนา
"มัควิภังค์"แล                           มรรคดับทุกข์แฉ                มีแปดทางพา
"ฌานวิภังค์"กล้า                      เพ่งอารมณ์ฝ่า                    แจกสิแปดฌาน

   ๖."อัปมัญญาฯ"                     พรหมวิหารหนา                  ไม่มีประมาณ
"สิกขาวิภังค์ฯ"                         สิกขาบทยั้ง                        ศีลห้าเว้นกราน
"ปฏิสัมฯ"งาน                           แจกความแตกฉาน             สี่ประการเอย

   ๗."ญาณวิภังค์ฯ"ชู                แจงญาณความรู้                 มีสิบอย่างเผย
"ขุททกวัตฯ"ใด                        ธรรมเล็กน้อยไซร้               ธรรมสอง-สามเปรย
"ธัมมหฯ"เคย                           ตั้งปัญหาเกย                       พร้อมตอบถ้อยความ
   ๘.ขันธวิภังค์                         กองขันธ์ห้าตั้ง                    รูปขันธ์เวทนา
สัญญา,สังขาร                         และกองวิญญาณ               รวมมีกองห้า
กองรูปขันธ์หนา                       ฝ่ายสุตตันฯจ้า                   คือรูปต่างกาล

   ๙.รูปเป็นอดีต                        อนาคตขีด                          ปัจจุบันขาน
รูปใน-นอกตน                           หยาบละเอียดท้น              รูปชั้นต่ำพาน
รูปประณีตฉาน                         รูปใกล้-ไกลกราน              รวมกองเดียวกัน

   ๑๐."รูปอดีต"แน่ว                   รูปดับล่วงแล้ว                    เปลี่ยนแปรแล้วผัน
เช่นมหาภูฯ                                ดิน,น้ำ,ไฟ..ชู                      อุปาท์ยะฯดั้น
อาศัยเกิดครัน                           ด้วยมหาภูฯนั้น                   เรียกรูปอดีตแล

   ๑๑."รูปอนาคต"                     เป็นอย่างใดจด                   ยังไม่เกิดแฉ
เช่นมหาภูฯนา                           อุปาทย์หนา                        ที่อาศัยแล
รูปกาลนี้แน่                               มหาภูฯแท้                          อุปาทย์เอย

   ๑๒."รูปภายในตน"                 เกิดด้วยกับชน                   กอปรตัณหาเผย
ทิฏฐิยึดหนา                              มหาภูฯ,อุปาท์                    เกิดรูปในเลย
"รูปนอกตน"เอ่ย                        หมายรูป"เขา"เปรย          แต่เกิดในตน

   ๑๓."รูปหยาบ"จะมอง             รู้เห็นได้ผอง                    เข้าใจได้ล้น
มีสิบสองเช่น                             "หู,ตา,จมูก"เด่น              "ลิ้น,สี,เสียง"ดล
"รส,สัมผัส"ผล                          "กลิ่นกรุ่นระคน               อ่อน-แข็งธาตุดิน

   ๑๔."รูปละเอียด"แล               มองไม่เห็นแน่                   ไม่จดกายผิน
มีสิบหกคือ                                "รูปเพศหญิง"ลือ              "ความเป็นชาย"ชิน
"ดำรงชีพ"ปิ่น                            "เคลื่อนไหวกาย"สิ้น         การพูดบอกความ

   ๑๕."ภาวะช่องว่าง"                 "สภาพเบา"พร่าง              "สภาพอ่อน"ตาม
ภาวะ"เหมาะงาน                        "รูปเกิดแรก"กราน            รูปเจริญผลาม
"รูปเสื่อมลง"ถาม                       "รูปดับลง"ยาม                  "ธาตุน้ำ,อาโป"

   ๑๖."อาหาร"ที่กิน                     ค้ำชีพผลิน                       มีแบ่งสี่โข
"หทยรูป"กิจ                               ที่เกิดของจิต                    เจตสิกช่วยโผล่
ทำกิจเสร็จโร่                              ทั้งกุศลโอ่                        อกุศลแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, สิงหาคม, 2568, 05:09:55 PM

(ต่อหน้า ๒/๖) ๔.วิภังค์

   ๑๗."รูปชั้นต่ำ"คือ               รูปสัตว์ใดลือ               ดูน่าเกลียดแฉ
ไม่ชอบใจเอย                        น่าดูหมิ่นเปรย             เช่นรูป,เสียงแท้
รู้รส,กลิ่นแน่                           สัมผัสเชือนแช            ไม่ชอบใจเลย

   ๑๘."รูปประณีต"ไซร้          ไม่น่าเกลียดใด            น่ายกย่องเผย
น่าปรารถนา                           น่าชอบใจพา               ได้แก่"รูป"เอ่ย
"เสียง,กลิ่น,รส"เชย                สัมผัสเฉลย                  ยินดีเปรมปรีดิ์

   ๑๙."รูปไกล"จะหมาย          "รูปละเอียด"ปราย       พิจารณ์ยากคลี่
"ภาวะเป็นหญิง"                      "ความเป็นชาย"จริง     รักษาชีพรี่
"เคลื่อนไหวกายนี้"                  "พูดเอ่ยความ"ปรี่        "ช่องว่าง"กายแล

   ๒๐."สภาพเบา"กาย              คนไร้โรคหมาย          "ภาวะอ่อน"แฉ
"ภาวะพร้อม"นำ                       กิจพร้อมกระทำ          "รูปแรกเกิด"แท้
"รูปเจริญ"แน่                           "รูปเสื่อมลง"แล้           "รูปซึ่งดับลง"

   ๒๑.รูปคือ"อาหาร"                ชีพเจริญกราน            ใจ,วิญญาณบ่ง
"ธาตุน้ำ"สำคัญ                        ต่อชีพสัตว์ครัน           "หทยรูป"ตรง
ที่จิตเกิดยง                              พร้อมเจตสิกคง           สำเร็จกิจเอย

   ๒๒."รูปใกล้"จะหมาย           รูปหยาบจะง่าย            ต่อพิจารณ์เผย
เช่น"ตา,จมูก,หู"                       "ลิ้น,กาย,สี"พรู           "เสียง,กลิ่น,รส"เคย
มี"สัมผัส"เชย                           เย็น-ร้อน,อ่อนเกย        แข็ง-ตรึง-ไหวแล

   ๒๓."อภิธัมมภาฯ"                  แจกรูปเยี่ยงหนา          อภิธรรมแฉ
รูปใหญ่มหาภูฯ                        มีสี่รูปกรู                        ดิน,น้ำ,ไฟ..แน่
กับ"อุปาท์ฯ"แล้                        ยี่สิบสี่แค่                       อาศัยเกิดนา

   ๒๔.แจกแม่บทไซร้               สิบเอ็ดข้อไกล               ความหมายรูปกล้า
"มาติกา"หนึ่ง                            "รูปไร้เหตุ"ถึง               ไม่มีมูลฝ่า
"โลภ,โกรธ,หลง"อ้า                  ไร้"โลภ,โกรธ.."จ้า        เพราะเป็นกลางกลาง

   ๒๕."รูปมิใช่เหตุ"                    ทั้งชั่ว,ดีเจตน์               ไม่โลภ,โกรธ..ขวาง
ไม่ทำชั่ว,ดี                                 ไร้กุศลปรี่                     อกุศลพราง
เพราะเป็นกลางพร่าง                แจกรูปกระจ่าง            สี่สิบสี่เอย

   ๒๖.มาติกาสอง                      รูปละสองตรอง            มีอาศัยเผย
เช่นรูปอุปาท์ฯ                           ไม่พึ่งมีหนา                  คือมหาภูฯเปรย
แจกรูปผองเกย                         หนึ่งร้อยสี่เอย              แจงเป็นคู่แล

   ๒๗.มาติกาสาม                      แจงรูปสามลาม            รูปภายในแฉ
จะเป็นอุปาท์                             แต่รูปนอกหนา              อุปาท์ฯมีแน่
แต่ไม่เป็นแท้                             ก็ยังมีแล้                        ไม่อาศัยใด

   ๒๘.มาติกาสี่                          แจงสี่อย่างรี่                   รูปใดอาศัย
ก็ถูกยึดถือ                                มิถูกยึดพรือ                  ก็ยังมีไซร้
รูปไม่พึ่งใด                                ก็ถูกยึดไว                     บ้างไม่ยึดเอย

   ๒๙.มาติกาห้า                        แบ่งรูปห้านา                  อาศัยเกิดเผย
จากมหาภูฯไซร้                        ธาตุดิน,น้ำ,ไฟ                และลมสี่เอ่ย
กับอุปาท์ฯเกย                          รวมห้าช่วยเชย              ร่วมสงเคราะห์นา

   ๓๐.แจง"รูปหก"อัน                จักขุวิญญ์ฯดั้น               พึงรู้เห็นหนา
โสตวิญญ์ฯ,ฆาน์วิญญ์ฯ            ชิวหาวิญญ์ฯชิน             กายวิญญ์ฯรู้กล้า
มโนวิญญ์ฯมา                            หกวิญญาณจ้า              สงเคราะห์รูปแล

   ๓๑.แจงรูปเจ็ดหนา                จักขุวิญญ์ฯรู้กล้า           โสตวิญญ์ฯรู้แฉ
ฆาน์วิญญ์ฯพึงรู้                         ชิวหาวิญญ์ฯพรู              กายวิญญาณแน่
มโนธาตุแล้                                มโนวิญญ์ฯแด                รวมเจ็ดวิญญาณ

   ๓๒.แจกรูปแปดอย่าง            วิญญาณรู้พร่าง              จักขุวิญญ์ฯขาน
โสตวิญญ์ฯ,ฆาน์วิญญ์ฯ            มโนธาตุฯชิน                   มโนวิญญ์ฯชาญ
อีกกายวิญญาณ                       สัมผัสรู้พาน                    สุข,ทุกข์เกิดมี

   ๓๓.แจก"รูปเก้า"มา                เป็นอินทรีย์หนา             คือ"จักขุนทรีย์"
"โสตินฯ,ฆานินฯ"                       "ชิวหินฯกายินฯ"             "อิตถินฯ"หญิงชี้
"ปุริสินฯ"คลี่                               "ชีวิตินฯ"มี                      "รูปมิเป็น"เอย



หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, สิงหาคม, 2568, 09:23:22 AM

(ต่อหน้า ๓/๖) ๔.วิภังค์

  ๓๔.แจง"รูปสิบ"ดุน            "โสตินฯ,จักขุนฯ"        "ฆานินทรีย์ฯเผย
"ชิวหินฯ,กายินฯ"                  "ชาย,ปุริสิน                "หญิง,อิตถินฯ"เอ่ย
ชีวิตรูปเปรย                         "กระทบได้"เอย          "ไม่กระทบ"แล

   ๓๕.แจง"รูปสิบเอ็ด"           "ที่เกิดรูป"เด็ด  "         "จักขายะฯ"แฉ
"หู,โสตายะ"                          "จมูก,ฆานาฯ"ปะ         "ลิ้น,ชิวหาฯ"แน่
"กายายะฯ"แท้                      "รูป,รูปาฯ"แล้               "สัททาฯ,เสียง"มา

   ๓๖."คันทายะฯ,กลิ่น"         "รสายะฯ"ชิน               "โผฏฐัพพาฯ"หนา
จับด้วยกายชัด                      รูป"เอนิทัสส์ฯ"             เห็นไม่ได้นา
"อัปป์ฏิฆะ"ล่า                         จับมิได้พา                    ต้องรู้ด้วยใจ

   ๓๗."ปัญหาปุจฉ์กะ"            เกี่ยวกับ"รูป"ปะ            "อัพยากฤต"ไข
"รูป"เป็นกลางยล                   มิเป็นกุศล                     อกุศลไย
รูปขันธ์ข้องไหว                     "กามาวจะฯ"ไซร้           ท่องอยู่ในกาม

   ๓๘.รูปขันธ์"ปริยาฯ"           นับ"วัฏฏะฯ"หนา           วนเวียนทุกข์ผลาม
"อนิย์ยาฯ"คำ                         ไม่เป็นเหตุนำ                ออกวัฏฏะตาม
"อัปปีติฯ"ถาม                         สภาพธรรมลาม           ไร้ปีติเอย

   ๓๙.รูปขันธ์นั้นเป็น              "อวิตักฯ"เด่น                ไร้วิตกเผย
"อวิจาฯ"หนา                           สภาพธรรมกล้า          ไร้วิจารเลย
ตัวอย่าง"รูป"เปรย                  คำตอบย่อเอ่ย"            ขอจบลงครัน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕  พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=35&A=1

วิภังค์ = แปล ว่าด้วยการแจก คือแยกกลุ่มธรรมะให้เห็นรายละเอียด (เช่น คำว่าขันธ์ ๕ อายตนะ  ๑๒ จำแนกออกไปอย่างไรบ้าง) มีทั้งหมด ๑๘ หมวด แต่ละหมวด ส่วนมากจะแจงเป็น ๓ ภาค
(ก) สุตตันตภาชนียะ -หัวข้อฝ่ายพระสูตร (ข) อภิธัมมภาชนียะ - หัวข้อฝ่ายอภิธรรม (ค) ปัญหาปุจฉกะ - ฝ่ายถามตอบปัญหา
วิภังค์ มี ๑๘ หมวด คือ
(๑) ขันธวิภังค์ - แจกขันธ์ ๕ (๒) อายตนวิภังค์ - แจกอายตนะ ๑๒ (๓) ธาตุวิภังค์ -แจกธาตุ ๖ และธาตุ ๑๘ (๔) สัจจวิภังค์ - แจกอริยสัจจ์ ๔ (๕) อินทริยวิภังค์ - แจกอินทรีย์ ๒๒ (๖) ปัจจยาการวิภังค์ -แจกปัจจยาการ ๑๒ ที่เรียก ปฏิจจสมุปบาท (๗) สติปัฏฐานวิภังค์ -แจก สติปัฏฐาน ๔ (๘) สัมมัปปธานวิภังค์ - แจกสัมมัปปธาน เพียรชอบ ๔ (๙) อิทธิปาทวิภังค์ - แจกอิทธิบาท ๔ (๑๐) โพชฌังควิภังค์ - แจกโพชฌงค์ ๗ (๑๑)มัคควิภังค์- แจกมรรคมีองค์ ๘ (๑๒) ฌานวิภังค์ - แจกฌาน การเพ่งอารมณ์ ทั้ง รูปฌาน และอรูปฌาน (๑๓) อัปปมัญญาวิภังค์ - แจกอัปปมัญญา ๔ (พรหมวิหาร ๔ที่แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ) (๑๔) สิกขาปทวิภังค์- แจกสิกขาบท ๕ คือศีล ๕ (๑๕) ปฏิสัมภิทาวิภังค์ - แจกปฏิสัมภิทา ความแตกฉาน ๔ (๑๖) ญาณวิภังค์ - แจกญาณ ความรู้ตั้งแต่หมวด ๑ -๑๐ (๑๗) ขุททกวัตถุวิภังค์ - แจกเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่หมวดที่ ๑ - ๑๘ (๑๘) ธัมมหทยวิภังค์ - แจกหัวใจหรือหัวข้อธรรม
(หมวด ๕,๑๔ ไม่มีหัวข้อฝ่ายพระสูตร; หมวด ๑๖,๑๗,๑๘ ไม่ได้ตั้งเป็นหัวข้อฝ่ายพระสูตร และฝ่ายพระอภิธรรม)
ขันธ์ ๕ = คือ
(๑) รูปขันธ์ - กองรูป (๒) เวทนาขันธ์ - กองเวทนา (๓) สัญญาขันธ์ - กองสัญญา (๔) สังขารขันธ์ - กองสังขาร (๕) วิญญาณขันธ์ - กองวิญญาณ
รูปขันธ์ เป็นไฉน = รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต รูปที่เป็นปัจจุบัน; รูปที่เป็นภายในตน รูปที่เป็นภายนอกตน; รูปหยาบ รูปละเอียด; รูปชั้นต่ำ รูปชั้นประณีต; รูปไกล หรือรูปใกล้; ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า รูปขันธ์
รูปที่เป็นอดีต เป็นไฉน =คือ รูปใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีตได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ (อุปาทายรูป)
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทยรูป  ๒๔ = หรือ อุปาทารูป คือ รูปที่อาศัย มหาภูตรูปเกิด ได้แก่
ก) ปสาทรูป ๕ - รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์ :
(๑) จักขุ - ตา (๒) โสต - หู (๓) ฆาน - จมูก (๔) ชิวหา -ลิ้น (๕) กาย
ข) โคจรรูป หรือ วิสัยรูป ๔ - รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ :
(๖) รูปะ - รูป (๗) สัททะ - เสียง (๘) คันธะ - กลิ่น (๙) รสะ - รส
ค) ภาวรูป ๒ - รูปที่เป็นภาวะ
(๑๐) อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ - ความเป็นหญิง
(๑๑) ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ - ความเป็นชาย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, สิงหาคม, 2568, 05:18:34 PM

(ต่อหน้า ๔/๖) ๔.วิภังค์

ง) หทยรูป ๑ - รูปคือหทัย
(๑๒) หทัยวัตถุ - ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ
จ) ชีวิตรูป ๑ - รูปที่เป็นชีวิต
(๑๓) ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือชีวิต
ฉ) อาหารรูป ๑ - รูปคืออาหาร
(๑๔) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน
ช) ปริจเฉทรูป ๑ - รูปที่กำหนดเทศะ :
(๑๕) อากาสธาตุ - สภาวะคือช่องว่าง
ญ) วิญญัติรูป ๒ - รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย
(๑๖) กายวิญญัติ - การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย :
(๑๗) วจีวิญญัติ - การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา :
ฏ) วิการรูป ๕ - รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้
(๑๘) (รูปัสส) ลหุตา - ความเบา (๑๙) (รูปัสส) มุทุตา - ความอ่อนสลวย (๒๐) (รูปัสส) กัมมัญญตา - ความควรแก่การงาน, ใช้การได้
ฏ) ลักขณรูป ๔ - รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด :
(๒๑) (รูปัสส) อุปจย - ความก่อตัวหรือเติบขึ้น (๒๒) (รูปัสส) สันตติ - ความสืบต่อ (๒๓) (รูปัสส) ชรตา - ความทรุดโทรม (๒๔) (รูปัสส) อนิจจตา - ความปรวนแปรแตกสลาย
รูปที่เป็นอนาคต เป็นไฉน = คือรูปใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นอนาคต
รูปที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน = คือรูปใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบันได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นปัจจุบัน
รูปเกิดในตน = คือ รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายในตน
รูปที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน = คือ รูปใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตนมีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายนอกตน
รูปหยาบ = คือ รูปที่เห็นได้ เข้าใจได้ มี ๑๒ได้แก่
(๑) จักขายตนะ - คือ ตาซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด (๒)โสตายตนะ - หู ฯลฯ (๓) ฆานายตนะ - จมูก (๔) ชิวหายตนะ - ลิ้น (๕) กายายตนะ - กาย (๖) รูปายตนะ - สี (๗) สัททายตนะ - เสียง (๘) คันธายตนะ - กลิ่น (๙) รสายตนะ - รส
โผฏฐัพพายตนะ ซึ่งเป็นที่ประชุมที่เกิด
(๑๐) สัมผัส เย็น,ร้อน ด้วยธาตุไฟ (๑๑) อ่อน,แข็ง ด้วยธาตุดิน (๑๒) ตึง,ไหว ด้วยธาตุลมนี้เรียกว่า รูปหยาบ
รูปละเอียด เป็นไฉน = อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป คือเป็นรูปที่มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ มี ๑๖ อย่าง คือ (๑) อิตถินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของหญิง มีหน้าที่แสดงลักษณะ กิริยาอาการของหญิง (๒) ปุริสินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชาย มีหน้าที่แสดงลักษณะกิริยาอาการของชาย (๓) ชีวิตินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชีวิต มีหน้าที่รักษารูปนาม
(๔) กายวิญญัตติ = การเคลื่อนไหวให้รู้ด้วยกาย เช่น พยักหน้า กวักมือ         
(๕) วจีวิญญัตติ = การให้รู้ความหมายด้วยวาจา คือพูด หรือบอกกล่าว
(๖) อากาสธาตุ =  ภาวะช่องว่าง (๗) รูปลหุตา = เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป ดังเช่น อาการของคนไม่มีโรค (๘) รูปมุทุตา = เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป ดังเช่น หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว (๙) รูปกัมมัญญตา = เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป ดังเช่น ทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว (๑๐) รูปอุปจยะ = รูปเกิดขึ้นขณะแรก (๑๑) รูปสันตติ = ขณะที่รูปเจริญขึ้น (๑๒) รูปชรตา = ขณะที่รูปเสื่อมลง (๑๓) รูปอนิจจตา = ขณะที่รูปดับ (๑๔) กวฬิงการาหาร = อาหาร (๑๕) อาโปธาตุ = ธาตุน้ำ (๑๖) หทยรูป = คือ รูปที่เป็นที่ตั้งอาศัยเกิดของจิตและเจตสิก เพื่อทำกิจให้สำเร็จ เป็นกุศลหรืออกุศล นี้เรียกว่ารูปละเอียด
อาหาร = ปัจจัยเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต มี ๔ คือ (๑) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว (๒) ผัสสาหาร - อาหารคือผัสสะ (๓) มโนสัญเจตนาหาร - อาหารคือมโนสัญเจตนา (๔) วิญญาณาหาร -  อาหารคือวิญญาณ
รูปชั้นต่ำ เป็นไฉน = รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่น่าดูหมิ่น น่าเหยียดหยาม น่าเกลียด น่าตำหนิ ไม่น่ายกย่อง เป็นชั้นต่ำ รู้กันว่าเป็นชั้นต่ำ สมมติกันว่าเป็นชั้นต่ำ ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักไม่น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ นี้เรียกว่า รูปชั้นต่ำ
รูปชั้นประณีต เป็นไฉน = รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่ไม่น่าดูหมิ่น ไม่น่าเหยียดหยาม ไม่น่าเกลียด ไม่น่าตำหนิ น่ายกย่อง  สมมติกันว่าเป็นชั้นประณีต น่าปรารถนา น่ารัก น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะนี้เรียกว่า รูปชั้นประณีต
รูปไกล เป็นไฉน = ได้แก่
(๑) อิตถินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของหญิง มีหน้าที่แสดงลักษณะของหญิง (๒) ปุริสินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชาย มีหน้าที่แสดงลักษณะของชาย (๓) ชีวิตินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชีวิต มีหน้าที่รักษารูปนาม (๔) กายวิญญัตติ = การเคลื่อนไหวให้รู้ด้วยกาย เช่น พยักหน้า กวักมือ (๕) วจีวิญญัตติ = การให้รู้ความหมายด้วยวาจา คือพูด หรือบอกกล่าว (๖) อากาสธาตุ = ภาวะว่างเปล่า (๗) รูปลหุตา = เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป ดังเช่น อาการของคนไม่มีโรค (๘) รูปมุทุตา = เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป ดังเช่น หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, สิงหาคม, 2568, 07:57:01 AM

(ต่อหน้า ๕ /๖) ๔.วิภังค์


 (๙) รูปกัมมัญญตา = เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป ดังเช่น ทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว (๑๐) รูปอุปจยะ = รูปเกิดขึ้นขณะแรก (๑๑) รูปสันตติ = ขณะที่รูปเจริญขึ้น (๑๒) รูปชรตา = ขณะที่รูปเสื่อมลง (๑๓) รูปอนิจจตา = ขณะที่รูปดับ (๑๔) กวฬิงการาหาร = อาหาร (๑๕) อาโปธาตุ = ธาตุน้ำ (๑๖) หทยรูป = คือ รูปที่เป็นที่ตั้งอาศัยเกิดของจิตและเจตสิก เพื่อทำกิจให้สำเร็จ เป็นกุศลหรืออกุศล หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ไม่ใกล้ ในที่ไม่ใกล้ชิด ในที่ไกล ในที่ไม่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปไกล
รูปใกล้ เป็นไฉน = ได้แก่
(๑) จักขายตนะ - คือ ตาซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด (๒)โสตายตนะ - หู ฯลฯ (๓) ฆานายตนะ - จมูก (๔) ชิวหายตนะ - ลิ้น (๕) กายายตนะ - กาย (๖) รูปายตนะ - สี (๗) สัททายตนะ - เสียง (๘) คันธายตนะ - กลิ่น (๙) รสายตนะ - รส
โผฏฐัพพายตนะ ซึ่งเป็นที่ประชุมที่เกิด
(๑๐) สัมผัส เย็น,ร้อน ด้วยธาตุไฟ (๑๑) อ่อน,แข็ง ด้วยธาตุดิน (๑๒) ตึง,ไหว ด้วยธาตุลม
หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ใกล้ ในที่ใกล้ชิดในที่ไม่ไกล ในที่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปใกล้
รูป แจกตาม อภิธัมมภาชนียะ = รูปได้แก่ มหาภูตรูป  ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ (รูปที่ต้องอาศัยมหาภูตรูปเกิด) แจกออกเป็น ๑๑ หมวด คือ
(๑) เอกกะ = แจกออกเป็น ๑
รูปทุกชนิด "มิใช่เหตุ" (มิใช่เหตุฝ่ายดี เพราะมิใช่ อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ และมิใช่เหตุฝ่ายชั่ว เพราะมิใช่ โลภะ,โทสะ,โมหะ)
"ไม่มีเหตุ" (ไม่มีโลภะ,โทสะ,โมหะ หรือ อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ เป็นมูลเหมือน อกุศล หรือ กุศล เพราะเป็นกลางๆ)
(๒) ทุกะ = แจกออกเป็น ๒
(๒.๑) "รูปที่อาศัยมีอยู่"- คืออุปาทยรูป
(๒.๒) "รูปที่มิได้อาศัยมีอยู่" - คือ มหาภูตรูป
 มีเพิ่มอีก ๑๐๓ คู่ รวมเป็น ๑๐๔ คู่
(๓) ติกะ = แจกออกเป็น ๓
(๓.๑) "รูปใดเป็นไปในภายใน รูปนั้นเป็น อุปาทยรูป"
(๓.๒) "รูปใดเป็นไปในภายนอก รูปนั้นเป็น อุปาทยรูป"
(๓.๓) "รูปใดเป็นไปในภายนอก รูปนั้นเป็น นโนอุปาทยรูป (มิใช่รูปอาศัย)"
มีรูปกลุ่ม ๓ อีก ๓๐๒ รวมเป็น ๓๐๓
(๔) จตุกะ = แจกออกเป็น ๔
(๔.๑) "รูปใดเป็นรูปอาศัย รูปนั้นถูกยึดถือ"
(๔.๒) "รูปใดเป็นรูปอาศัย รูปนั้นไม่ถูกยึดถือ"
(๔.๓) "รูปใดไม่เป็นรูปอาศัย รูปนั้นถูกยึดถือ"
(๔.๔) "รูปใดไม่เป็นรูปอาศัย รูปนั้นไม่ถูกยึดถือ"
 (๕) ปัญจกะ = แจกออกเป็น ๕
คือ ธาตุดิน,ธาตุน้ำ,ธาตุไฟ,ธาตุลม และ รูปอาศัย
(๖) ฉักกะ = แจกออกเป็น ๖ คือ
รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือตา, ด้วยโสตวิญญาณ คือหู, ด้วยฆานวิญญาณ คือจมูก, ด้วยชิวหาวิญญาณ คือลิ้น, ด้วยกายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ ด้วยใจ
(๗) สัตตกะ = แจกออกเป็น ๗ คือ
(๗.๑) รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือ ตา (๗.๒) รูปที่พึงรู้ด้วย โสตวิญญาณ คือหู (๗.๓) รูปที่พึงรู้ด้วย ฆานวิญญาณ คือจมูก (๗.๔) รูปที่พึงรู้ด้วย ชิวหาวิญญาณ คือลิ้น (๗.๕) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ คือกาย  (๗.๖) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) (๗.๗) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, สิงหาคม, 2568, 05:07:48 PM

(ต่อหน้า ๖/๖) ๔.วิภังค์

(๘) อัฏฐกะ = แจกออกเป็น ๘
(๘.๑) รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือ ตา (๘.๒) รูปที่พึงรู้ด้วย โสตวิญญาณ คือ หู (๘.๓) รูปที่พึงรู้ด้วย ฆานวิญญาณ คือจมูก (๘.๔) รูปที่พึงรู้ด้วย ชิวหาวิญญาณ คือลิ้น (๘.๕) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ มีสัมผัสเป็นสุข (๘.๖) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ มีสัมผัสเป็นทุกข์ (๘.๗) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนธาตุ (๘.๘) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนวิญญาณธาตุ
(๙) นวกะ = แจกออกเป็น ๙
อินทรีย์ ธรรมชาติอันเป็นใหญ่ คือ จักขุนทรีย์ - ตา, โสตินทรีย์ - หู, ฆานินทรีย์ - จมูก, ชิวหินทรีย์ - ลิ้น, กายินทรีย์ - กาย, อิตถินทรีย์ - ภาวะหญิง, ปุริสินทรีย์ - ภาวะเพศชาย, ชีวิตินทรีย์ - ชีวิต, และรูปที่ไม่เป็นอินทรีย์ คือ ธรรมชาติ
(๑๐) ทสกะ = แจกออกเป็น ๑๐
(๑๐.๑) อินทรีย์ คือ ตา (๑๐.๒) อินทรีย์คือ หู (๑๐.๓) อินทรีย์คือ จมูก (๑๐.๔) อินทรีย์ คือ ลิ้น (๑๐.๕) อินทรีย์คือ กาย (๑๐.๖) อินทรีย์คือ หญิง (๑๐.๗) อินทรีย์คือ ชาย (๑๐.๘) อินทรีย์คือ ชีวิต (๑๐.๙) ธรรมชาติซึ่งมิใช่อินทรีย์อันถูกต้องได้ (สัปปฏิฆะ) (๑๐.๑๐) ธรรมชาติซึ่งมิใช่อินทรีย์อันถูกต้องไม่ได้ (อัปปฏิฆะ)
(๑๑) เอกาทสก ๑๑ = แจกออกเป็น ๑๑ คือ
(๑๑.๑) จักขายตนะ - ที่ต่อหรือบ่อเกิด คือ ตา (๑๑.๒) โสตายตนะ คือ หู (๑๑.๓) ฆานายตนะ คือ จมูก (๑๑.๔) ชิวหายตนะๅ คือ ลิ้น (๑๑.๕) กายายตนะ คือ กาย (๑๑.๖) รูปายตนะ คือ รูป (๑๑.๗) สัททายตนะ คือ เสียง (๑๑.๘) คันทายตนะ คือ กลิ่น (๑๑.๙) รสายตนะ คือ รส
(๑๑.๑๐) โผฏฐัพพายตนะ คือ โผฏฐัพพะ - สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย (๑๑.๑๑) รูปที่เห็นไม่ได้ (เอนิทัสสนะ) และถูกต้องไม่ได้ (อัปปฏิฆะ) เป็นของเนื่องด้วย ธัมมายตนะ (รู้ได้ด้วยใจ)
ปัญหาปุจฉกะ = หมวดถามตอบปัญหา ในเรื่อง รูปขันธ์ มีสรุป เช่น
(๑) กองรูป = เป็น อัพยากฤต เป็นกลางๆ ไม่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศล
(๒) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น กามาวจร - ท่องอยู่ในกามคุณ ๕
(๓) รูป = มีสภาวะธรรม เป็นปริยาปันนะ - นับเนื่องในวัฏฏะทุกข์
(๔) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อนิยยานิกะ - ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏะทุกข์ 
(๕) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อัปปีติกะ -ไม่มีปีติ
(๖) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อวิตักกะ - ไม่มีวิตก (ความตรึก)
(๗) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อวิจาระ - ไม่มีวิจาร(ความตรอง)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, สิงหาคม, 2568, 09:01:33 PM

อภิธรรมปิฎก : ๕.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : เวทนาขันธ์)

กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒

   ๑."เวทนา"ส่วนหนึ่ง....................................ของขันธ์ห้าถึง
"รูป,เวทนา"พึง............................................."สังขาร,สัญญา"
และ"วิญญาณขันธ์"......................................ห้าครันล้วนหนา
สร้างกายสัตว์พา..........................................ชีพสืบต่อไป

    ๒.เวทนารู้สึก............................................พอใจสุขลึก
ไม่พอใจนึก..................................................เกิดทุกข์ก่อไข
ไม่สุขไม่ทุกข์...............................................ก่อซุกเฉยไป
อุเบกขาไซร้.................................................อารมณ์กลางกลาง

   ๓.ความรู้สึกเกิด.........................................จากผัสสะเชิด
ประสาทห้าเปิด.............................................ได้"เห็น,ยิน"ผาง
"กลิ่น,ลิ้ม,สัมผัส"............................................ผ่านชัด"ตา"บ้าง
"หู,จมูก,ลิ้น"กร่าง...........................................กาย,ใจตนเอย

   ๔.ใจรับรู้สึก................................................สบายใจนึก
หรือไม่สบายตรึก...........................................หรือเฉยเฉยเลย
เกิดเวทนารู้....................................................พร่างพรูมากเผย
เวทนา"สอง"เปรย...........................................สาม,ห้า,หก,..มี

   ๕.เวทนาขันธ์กราน......................................เจาะแยกหลายกาล
อดีต,อนาคตพาน...........................................ปัจจุบันที
เวทนา"ภายใน"..............................................."นอก"ไซร้มีคลี่
"หยาบ-ละเอียด"รี่...........................................ทราม-ประณีต"แล

   ๖.เวทนาไกล-ใกล้........................................รวมหมดเรียกไข
เวทนาขันธ์ไว.................................................สภาวะหลายแช
เวทนาอดีตคือ................................................ชื่อดับแล้วแฉ
ต้องมีเปลี่ยนแปร............................................รวมเป็นอดีตเอย

   ๗.มี"สุขเวทนา"............................................"ทุกข์เวทนา"กล้า
"อทุกข์สุขฯ"พา..............................................รู้สึกสามเอย
เรียกว่าอดีต...................................................มีขีดคั่นเผย
ความไม่เที่ยงเกย............................................มีปัจจัยนา

   ๘.เวทนาหนึ่ง"..............................................สัมปยุตพึง
ประกอบด้วยตรึง............................................กับผัสสะมา
เวทนาสอง......................................................ความตรองรู้กล้า
"มีเหตุ"นำมา...................................................และ"ไร้เหตุ"แล

   ๙.เวทนาสาม................................................มี"กุศล"ตาม
"อกุศล"ลาม....................................................."อัพยากฤต"แว
สี่เวทนา...........................................................กามาวจร"แน่
อยู่ท่องกามแท้.................................................รูป,รส,กลิ่นเอย

   ๑๐."รูปาว์จฯ"ชม............................................เป็นรูปพรหม
ในรูปภาพคม...................................................."อรูปาว์ฯ"เกย
ใน"อรูปภพ"ไซร้................................................พรหมไร้รูปเอ่ย
"พ้นวัฏฏะ"เชย..................................................ทุกข์จะพ้นแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, สิงหาคม, 2568, 09:34:53 PM

(ต่อหน้า ๒/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๑๑.เวทนาห้า............................................"สุขินทรีย์"หนา
"ทุกข์,ทุกขินฯ"มา........................................."เศร้า,โทมนัส"แว
"โสมนัสสินฯ"เอก.........................................อุเบกขินฯ"แน่
วางเฉยโดยแท้............................................ไม่รู้สึกเลย

    ๑๒.หกเวทนา...........................................รู้สัมผัสหนา
สัมผัสด้วย"ตา"............................................."หู,โสตสัมฯ"เอย
ทาง"จมูกฆานสัมฯ".......................................รู้พร่ำ"ลิ้น"เอ่ย
"กายสัมผัสฯ"เกย.........................................รู้ทางกายรอ

   ๑๓."มโนสัมผัสส์ฯ".....................................รู้ด้วยใจชัด
เวทนาเจ็ดคัด...............................................เกิดสัมผัสจ่อ
"ตา,จักขุฯ"โดด.............................................ด้วย"โสตสัมฯ"ขอ
"จมูก,ฆาน์สัมฯ"พอ........................................."ลิ้น,ชิวหาฯ"แล

   ๑๔."กายสัมผัสส์ชา"...................................เกิดทางกายหนา
"มโนธาตุสัมฯ"กล้า........................................เกิดทางใจแด
"มโนวิญญาณฯ"............................................ใจขานรู้แน่
เกิดหกทวารแล้.............................................รวมหกอารมณ์

   ๑๕.แปดเวทนา...........................................เกิดสัมผ้สหนา
"ตา,จักขุฯ"กล้า.............................................."หู,โสตสัมฯชม
"จมูก,ฆานสัมฯ"พริ้ว........................................"ลิ้น,ชิวหาฯ"ขม
"กายสัมผัสฯ"ร่ม.............................................เกิดเป็นสุขเอย

   ๑๖."กายสัมผัส"ล้น......................................เกิดเป็นทุกข์ขาน
"มโนธาตุสัมฯ"ดล...........................................กระทบรู้เลย
"มโนวิญญ์สัมฯ"..............................................ใจพร่ำรู้เผย
จิตรู้มากเชย..................................................หลายอารมณ์แล

   ๑๗.เวทนากล้า............................................เกิดรู้หลายเร้า
"จักขุสัมฯ"เฝ้า................................................รู้ด้วยตาแน่
"โสตสัมผัสฯ".................................................หูชัดยิ่งแฉ
"ฆานสัมผัส"แท้..............................................."ลิ้น,ชิวหาฯ"เอย

   ๑๘."กายสัมผัสฯ"แล้ว...................................ใจรู้แน่แน่ว
"มโนธาตุสัมฯ"แคล่ว........................................จิตรู้ซึ้งเลย
"มโนวิญญ์สัมฯ"ล้น..........................................กุศลเด่นเผย
"มโนวิญญ์สัมฯ"เกย.........................................อกุศลด้วยนา

   ๑๙."มโนวิญญ์สัมฯวาง..................................เกิดเป็นกลางกลาง
ไม่บ่งเพราะพราง.............................................กรรมชั่ว,ดีพา
เวทนาสิบพร่ำ..................................................รู้สัมผัส"ตา"
"โสตสัมผัส"หนา..............................................จมูกสัมผัสแล

   ๒๐.ชิวหาสัมผัส............................................กายสัมผัสชัด
รู้สองอย่างจัด..................................................เกิดสุข,ทุกข์แว
"มโนธาตุสัมฯ"มาก...........................................เกิดจากใจแฉ
"มโนวิญญ์ฯแท้.................................................เกิดกุศลวาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, สิงหาคม, 2568, 12:32:29 PM
(ต่อหน้า ๓/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๒๑."มโนวิญญ์ฯวิ่ง.....................................อกุศลดิ่ง
"มโนวิญญ์ฯ"นิ่ง............................................อัพ์ยากฤตกลาง
สิบแปดเวทนา..............................................จิตหนารู้ขวาง
จิตมั่วสุมบ้าง................................................"โสมนัสหก"เอย

    ๒๒.ทางตา,จมูก,หู....................................ลิ้น,กาย,ใจพรู
รุม"โทมนัส"ชู...............................................หกทางแน่เลย
อุเบกขาเด่น.................................................รู้เป็นกลางเผย
หกทางเหมือนเกย........................................เช่นเดียวกันแล

   ๒๓."ร้อยแปดเวทนา".................................อดีต,อนาฯ
ปัจจุบันคว้า.................................................สามกาลนี้แล้
มีเท่ากันกริบ................................................สามสิบหกแฉ
เวทนาหลายแท้............................................ง่ายต่อสอนชน

   ๒๔.สุขเวทนา............................................เสวยอารมณ์หนา
ทั้งกาย,ใจฝ่า...............................................สุขตั้งอยู่ล้น
แต่จะเกิดทุกข์.............................................ถูกบุกเปลี่ยนผล
เมื่ออารมณ์ดล.............................................ถูกแปรเปลี่ยนไป

   ๒๕.ทุกข์เวทนา.........................................เสวยอารมณ์หนา
เกิดทุกข์ทนกล้า..........................................ต้องหมองกาย,ใจ
ไม่สำราญจัง................................................ทุกข์ตั้งอยู่ไซร้
จะเกิดสุขไว.................................................เมื่อทุกข์แปรเอย

   ๒๖.อทุกข์สุขเวทน์ฯ...................................ไร้สองประเภท
ทั้งสุข,ทุกข์เจตน์...........................................ไม่สำราญเลย
หรือสำราญกราย..........................................ทั้งกาย,ใจเผย
"สุขรู้ชอบ"เปรย............................................"ทุกข์รู้ผิด"แล

   ๒๗.ราคานุสัย............................................กิเลสนอนไซร้
สุขเวทนาไว..................................................สงฆ์ละกามแช
อกุศลล่ม......................................................ลุปฐมฌานแฉ
ราคานุฯแท้...................................................มิตามนอนเอย

   ๒๘.ปฏิฆานุสัย...........................................ฉุกโกรธเกิดไว
ทุกข์เวทนาไส...............................................มุ่งวิโมกข์เกย
โทมนัสเกิดชัด..............................................ต้องปัดทิ้งเผย
ปฏิฆานุฯเปรย...............................................หลักโทมนัสนา

   ๒๙.อวิชชานุฯไซร้.......................................นอนเนื่องอยู่ใน
อทุกข์สุขเวทน์ฯใกล้......................................สงฆ์ละสองพา
ทั้งสุข,ทุกข์เอก..............................................อุเบกขานา
เศร้า,โสมนัสล้า..............................................สติใสเอย

   ๓๐.มิหลงมัวใน............................................กามราคาฯไซร้
ลุฌานสี่ใส.....................................................บริสุทธิ์เลย
อวิชชานุฯทราม..............................................มิตามนอนเผย
ในฌานสี่เปรย................................................เวทนาดับปลง

   ๓๑.เวทนามีต่าง...........................................ด้วยอามิสขวาง
สุขเวทนาพราง..............................................ไร้สิ่งล่อทรง
สุขเวทนามี....................................................เจือคลี่อามิสบ่ง
ทุกข์เวทนาส่ง...............................................ไร้อามิสปน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, สิงหาคม, 2568, 07:55:36 PM

(ต่อหน้า ๔/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๓๒.ทุกข์เวทนามี.....................................อามิสอยู่รี่
อทุกข์สุขเวทน์ฯปรี่....................................อามิสระคน
อทุกข์สุขเวทน์ฯหนา..................................ไร้อามิสดล
หมดสิ่งล่อผล............................................เวทนาคลาย

   ๓๓.วิบากเวทนา......................................ผลเวทนาหนา
ก่อบุญ,บาปกล้า.........................................แก่ตัวตนปลาย
ดับเวทนาชัด..............................................ดับผัสสะวาย
ดับเวทนาหน่าย..........................................ดัวยมรรคแปดพาน

   ๓๔.สงฆ์รู้เวทนา.......................................เหตุเกิดดับหนา
ผล,ทางดับมา.............................................เวทนาสามราน
มีปัญญายิ่ง.................................................พร้อมดิ่งสลัดผลาญ
เป็นสงฆ์จริงสาน.........................................ประโยชน์สงฆ์เอย

   ๓๕.เวทนาเกิด..........................................เพราะผัสสะเพริด
ตัณหาเหตุเชิด............................................เวทนาเกิดเปรย
ดับเวทนาชัด...............................................ดับผัสสะเผย
ทางจะดับเกย..............................................ด้วยมรรคแปดแล

   ๓๖.อะไรเป็นคุณ.......................................แห่งเวทนาหนุน
สุข,โสมนัสดุน..............................................ที่เอ่ยแน่แท้
ใดโทษเวทนา...............................................ด้วยหนาความแปร
สิ่งไม่เที่ยงแน่...............................................เปลี่ยนแปลงธรรมดา

   ๓๗.ใดเป็นอุบาย........................................ทิ้งเวทนาวาย
"ฉันทราคะ"กราย..........................................ขจัดออกมา
ติดใจแรงตาม................................................เพิ่มความอยากหนา
ละออกไปพา.................................................เวทนาหมดไป

   ๓๘.ชนนึกอดีตว่า........................................เคยมีเวทนา
สงฆ์ย่อมคิดหนา............................................เวทนากินไซร้
ในอดีตเหมือนลุ.............................................ปัจจุบันไว
อนาคตยังใกล้...............................................ถูกกินเช่นกัน

   ๓๙.คิดไม่ยินดี............................................ทั้งสามกาลคลี่
เกิดเบื่อหน่ายรี่..............................................คลายกำหนัดครัน
ไม่ชื่นพอใจ...................................................เลิกไซร้หยุดสรรค์
ดับเวทนาพลัน...............................................ปัจจุบันแล

   ๔๐.ชนผู้สดับธรรม,.....................................มิสดับเลยหนำ
สุขเวทนานำ..................................................ทุกข์เวทนาแน่
อทุกข์สุขเวทน์ฯ............................................ซึ้งเจตน์บ้างแฉ
ใดต่างกันแน่.................................................ผู้ฟัง,ไม่ยิน

   ๔๑.ผู้ไม่สดับ..............................................ทุกข์เวทนาตรับ
ย่อมโศกเศร้านับ...........................................คร่ำครวญผลิน
เกิดงมงายเจตน์............................................เสวยเวทนาสิ้น
มีสองอย่างวิ่น...............................................ทั้งใจและกาย

    ๔๒.เขาขัดเคืองพา....................................ทุกข์เวทนา
โกรธ,ปฏิฆา..................................................ย่อมนอนมิคลาย
เพลินกามสุขอยู่............................................ไม่รู้อุบาย
สลัดทุกข์เวทน์ฯวาย......................................มีแต่สุขนอน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, สิงหาคม, 2568, 08:22:20 AM

(ต่อหน้า ๕/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๔๓.ราคานุสัย....................................ติดกามเพลินไซร้
ย่อมนอนเนื่องไว...................................มิรู้เหตุจร
คุณ,โทษ,ดับวาย...................................อุบายจะถอน
เวทนาซับซ้อน.......................................ตามความเป็นจริง

   ๔๔.ไม่รู้วิธี..........................................สกัดเวทนารี่
อวิชชานุฯคลี่.........................................หลงติดกามดิ่ง
อทุกข์สุขเวท์นา.....................................จำพานอนนิ่ง
มีกิเลสสิง..............................................เสพ"อทุกข์สุขฯ"ชิน

   ๔๕.ไม่สดับเวทนา...............................มีกิเลสพา
เสพ"สุขเวทนาฯ"กล้า.............................."สุขเวทนาฯ"ยิน
"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"เร้า..............................พุทธ์เจ้าตัดสิน
กอปรชาติ,ชราสิ้น..................................ตายเศร้าเสียใจ

   ๔๖.ผู้ได้สดับ.......................................ทุกข์เวทนาครัน
ไม่โศกครวญนับ.....................................เสวยเวทนาใด
แค่กายเท่านั้น........................................เว้นครันจิตใส
ไม่โกรธเคืองไกล....................................ปฏิฆาฯไม่มี

   ๔๗.ผู้สดับรุก.......................................มิเพลินกามสุข
รู้อุบายชุก..............................................ผละทุกข์เวทน์ฯปรี่
กามสุขมิเพลิน........................................จึงเดินพ้นหนี
ราคานุฯลี้...............................................กามมิแค่นอนเอย

   ๔๘.รู้เกิด,ดับปรี่...................................คุณ,โทษวิธี
ละเวทนารี่..............................................ความเป็นจริงเปรย
อวิชชานุฯชิด..........................................หลงติดกามเผย
อทุกข์สุขเวทน์ฯเกย................................มินอนเนื่องแล

   ๔๙.แม้เสพสุขเวทน์ฯ.............................ทุกข์เวทนาเจตน์
อทุกข์สุขเวทน์ฯ......................................ปราศกิเลสแล้
ผู้สดับแล้ว...............................................เรียกแน่วปราศแฉ
ชาติ,ชราแท้.............................................ตาย,โศก,ทุกข์วาย

   ๕๐.สงฆ์ผู้สดับ......................................สุข,ทุกข์ไม่รับ
เพราะไม่เที่ยงนับ.....................................เสื่อมดับแปรกลาย
เวทนาอนัตตา..........................................ไม่หนาตัวตนฉาย
จักพินาศวาย...........................................สงฆ์คลายยินดี

   ๕๑.ผู้ไม่ละไซร้.....................................ราคานุสัย
เพราะยังติดใจ.........................................สุขเวทนาลี
ปฏิฆาฯมิรุก..............................................กับทุกข์เวทน์ฯชี้
เพราะยังเศร้าคลี่......................................ปฏิฆาฯจึงนอน

    ๕๒.ผู้ยังไม่ทิ้ง.......................................อวิชชานุฯจริง
ยังยินดียิ่ง................................................อทุกข์สุขเวทน์ฯจร
มิรู้โทษยับ................................................ทางดับสิ้นถอน
อวิชชานุฯยอน..........................................จึงนอนเนื่องเอย

   ๕๓.ผู้ยังไม่ละ.........................................ไม่อยู่ฐานะ
จะตัดทุกข์ฉะ............................................ให้สิ้นไปเลย
ถ้าละสามหนา...........................................ราคานุฯเผย
ปฏิฆาฯ,อวิชช์ฯเปรย..................................ดับทุกข์ได้ครัน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, สิงหาคม, 2568, 03:33:52 PM

(ต่อหน้า ๖/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๕๔."ผัสสะ"ปัจจัย...........................เกิดเวทนาไซร้
เสวยอารมณ์ไว.................................สุข,ทุกข์บ้างเอ่ย
ไม่สุข,ไม่ทุกข์...................................มิบุกเพราะเฉย
เวทนาอยู่เกย....................................เพราะผัสสะเจริญ

   ๕๕.เวทนารู้สึก...............................เป็น"อนัตตา"ตรึก
"ไม่ใช่ตัวตน"นึก................................ทำใดได้เพลิน
ถ้าเวทนาเป็น....................................."ตน"เด่นแน่เถิน
ไม่มีป่วยเดิน......................................สั่งหยุดได้แล

   ๕๖.ผู้กล่าวเวทนา............................เป็นตน,อัตตา
คำพูดนั้นหนา.....................................มิสมควรแน่
เวทนามีเกิด........................................มีเพริดเสื่อมแฉ
ตนอัตตาแท้.......................................ต้องเกิด,ดับลง

   ๕๗.ชนเห็นอัตตา.............................เป็นของตนหนา
เสพสุขเวทนา.....................................ทุกข์เวทนาตรง
อทุกข์สุขเวทน์ฯลาม...........................ทั้งสามนี้บ่ง
เวทนาดับลง.......................................แค่ปัจจุบัน

   ๕๘.เห็นเวทนาตรอง.........................ไม่เป็นตนครอง
ตัวเราไม่ต้อง......................................เสพเวทนาพลัน
แต่ก็มิใช่............................................ยังได้เสพผลัน
ตัวเรามีครัน........................................เวท์นาธรรม์ดา

   ๕๙.กล่าวเวทนาแล...........................มิเป็นตนแน่
แต่ยังเสพแท้.......................................ธรรมดาซินา
ถูกซักเวทนา.......................................ดับพร่าหมดหนา
ยังคิด"ตน"ว่า.......................................เป็นเราได้ไย

   ๖๐.สงฆ์ไม่ตรึกยล............................เวทนาเป็นตน
ไม่เล็งเสวยล้น.....................................มิคิดเสพไว
ว่าเวทนา.............................................ธรรมดาไซร้
สงฆ์ไม่ยึดไกล.....................................ย่อมลุนิพพาน

   ๖๑.พุทธ์เจ้าทรงคลี่..........................สติปัฏฐานสี่
เจริญสติทวี........................................."กายในกาย"ชาญ
มีสติเพียรดั้น.......................................สัมปชัญญะฉาน
กำจัด"โลภะ"ซาน.................................โทมนัสหมดลง

    ๖๒.พิจารณ์"เวทนา...........................ในเวทนา"กล้า
"จิตในจิต"หนา....................................."ธรรมในธรรม"ตรง
สติปัฏฐานล้ำ........................................จะกำหนดบ่ง
รู้เวทนาส่ง............................................ทั้งสามนี้เอย

   ๖๓.เห็น"เวทนาใน...............................เวทนา"เป็นใด
สงฆ์กำลังใฝ่.........................................สุขเวทน์ฯรู้เอ่ย
กำลังทุกข์เวทน์ฯ...................................รู้เดชมันเผย
อทุกข์สุขเวทน์ฯเกย..............................ก็รู้ยิ่งแล

   ๖๔.สุขเวทนามี...................................อามิสเจือคลี่
สุขเวทนาที่...........................................ไม่มีเจือแท้
ทุกข์เวทนาติด.......................................อามิสเจือแฉ
ทุกข์เวทนาแน่.......................................ไม่เจือชัดเอย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 31, สิงหาคม, 2568, 07:58:57 AM

(ต่อหน้า ๗/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๖๕.อทุกข์สุขเวทน์ฯมี..............อามิสเจือคลี่
อทุกข์สุขเวทนาฯที่.....................ไม่มีเจือเลย
สงฆ์พิจารณ์หนา........................เวทนารู้เผย
ภายใน-นอกเชย.........................เกิด,เสื่อมถ้วนนา

   ๖๖.สงฆ์มีสติชู.........................เวทนามีอยู่
ไร้ตัณหาพรู...............................ไร้ทิฏพา
ไม่ถือมั่นใจ.................................ที่ในโลกหนา
เรียกเห็น"เวทนา..........................ในเวทนา"เลย

   ๖๗.สงฆ์มีสติรู้..........................ใจพากเพียรชู
สุขเวทนาพรู................................อาศัยกามเกย
ผัสสะเกิดไว.................................ซึ่งไม่เที่ยงเผย
มีเสื่อม,ดับเอ่ย..............................ต้องสลัดแล

   ๖๘.ทิ้งผัสสะใน..........................สุขเวทนาไซร้
ราคานุสัย.....................................ละ"ติดกาม"แท้
สุขเวทนาดับ.................................หายลับตามแฉ
ตรึกเยี่ยงนี้แล้...............................อีกสองเวทนา

   ๖๙.ราคานุสัย............................สงฆ์ละเลิกไซร้
เลิกติดกามไว................................จากสุขเวทน์ฯพา
ปฏิฆานุฯโกรธ...............................กระโดดพ้นหนา
จากทุกข์เวทน์ฯมา.........................ละเสียได้เอย

   ๗๐.อวิชชานุสัย..........................สงฆ์ละเร็วไกล
เลิกหลงรู้ไว...................................จากอทุกข์สุขฯเปรย
พุทธ์เจ้าตรัสว่า..............................ผู้กล้าเก่งเผย
ตัดตัณหาเสย................................ตัดสังโยชน์แล

   ๗๑.ดำริถูกต้อง...........................มีความเพียรครอง
สติสัมป์ชัญฯผ่อง...........................เรียกบัณฑิตแท้
ย่อมจดรู้หนา.................................เวทนาหลายแฉ
หมดกิเลสแน่..................................มิหลงคราวตาย

   ๗๒.ผู้ศรัทธาธรรม........................เชื่อมั่นยิ่งล้ำ
ไม่หวั่นไหวถลำ...............................ตา,หู..แปรกลาย
ไม่เที่ยงธรรมดา..............................ด้วยตา,รูปฉาย
สัมผัสเกิดกราย...............................จักขุเวทน์ฯเอย

   ๗๓.โสตสัมผัสเวทนาฯ...................ฆานสัมผัสหนา
ชิวหาเวทน์ฯพา................................กายสัมผัสฯเกย
มโนสัมผัสฯปรก...............................ทั้งหกแปรเผย
ผู้ไม่หวั่นเอ่ย....................................."สัทธานุฯแล

   ๗๔.พุทธ์เจ้าตรัสเล่า.......................ผู้เพ่งธรรมเคล้า
ด้วยปัญญาเนา................................."ธัมมานุฯ"แว
เป็นโสดาบัน......................................มิหวั่นต่ำแฉ
ผู้เที่ยงซิแน่.......................................ตรัสรู้ต่อไป

   ๗๕.เวทนาสาม................................สุขเวทนาตาม
ทุกข์เวทนาลาม..................................อทุกข์สุขเวทน์ฯใด
เกิดด้วยเด่นชัด..................................มีผัสสะไข
เป็นมูล,เหตุไว....................................รวมปัจจัยแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 31, สิงหาคม, 2568, 02:45:02 PM
(ต่อหน้า ๘/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๗๖.ผัสสะที่ตั้ง.........................เวทนาฝัง
เสพสุขเวทนาหยั่ง......................ผัสสะดับแช
สุขเวทนาย่อม............................ดับพร้อมเลยแฉ
อีกสองเวทน์ฯแท้........................ก็เช่นเดียวกัน

   ๗๗.อริยะตรึก..........................สุขเวทนานึก
ว่าเป็นทุกข์ลึก............................ทุกข์เวทนาพลัน
เห็นเป็นลูกศร.............................วิ่งจรไกลครัน
อทุกข์สุขเวทน์ฯดั้น.....................ว่าไม่เที่ยงนา

   ๗๘.พุทธ์เจ้าทรงตรัส................อริยะชัด
ผู้เห็นชอบจัด...............................ตัดตัณหาพา
ล่วงสังโยชน์รุก............................ลิทุกข์หมดหนา
ละมานะกล้า................................ถือตนสิ้นลง

   ๗๙.สงฆ์ใดพินิจ........................เวทนาชิด
เห็นสุขโดยคิด.............................ว่าเป็นทุกข์ตรง
เห็นทุกข์ขจร...............................ลูกศรแน่บ่ง
เห็นอทุกข์สุขฯคง.........................สิ่งไม่เที่ยงครัน

   ๘๐.สงฆ์นั้นเห็นชอบ...................พ้นเวทนาตอบ
อภิญญานอบ................................จบหกแล้วพลัน
อาสวักข์ยญาณ............................รานกิเลสพลัน
ลุวิโมกข์ดั้น...................................ชื่อมุนีแล

   ๘๑.เวทนาที่เกิด..........................จากตา,หู..เชิด
จมูก,ลิ้น,กายเปิด............................และใจล้วนแปร
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์............................ไม่รุกตามแผ่
ว่าของเราแล้..................................เป็นตัวตนเอย

   ๘๒.เวทนาเกิดหก.......................จักขุสัมฯปก
โสตสัมผัสฯดก..............................ฆานสัมผัสฯเปรย
ชิวหาสัมฯพร่ำ................................กายสัมผัสฯเคย
มโนสัมผัสฯเอ่ย..............................ควรหน่ายพ้นนา

   ๘๓.กำหนัดคลายลง.....................จิตย่อมหลุดบ่ง
ญาณหยั่งรู้ตรง...............................จิตหลุดพ้นมา
ทราบชัดบรรเจิด.............................ชาติ,เกิดสิ้นหนา
พรหมจรรย์จบครา..........................ทำกิจครบพลัน

   ๘๔.เวทนาปัจจัย...........................สำคัญ"รู้"ไกล
รู้ลึกซึ้งไว........................................มิเจือ"อยาก"ครัน
ทิฏฐิ,มานะ.......................................ไม่ประชิดยัน
มีสติรู้ทัน.........................................เวทนาทุกครา

   ๘๕.ทำตนถูกต้อง..........................ไร้โลภ,โกรธครอง
หนีกระบวนผอง................................สังสารวัฏพา
ไร้ผลเสียเล็ง....................................ตนเองเลยหนา
สร้างปัญญากล้า...............................เวทน์นุปัสส์ฯเอย

   ๘๖.ได้"รู้"บริสุทธิ์............................แบบวิวัฏรุด
เห็นจากทุกข์หลุด..............................แม้จิตมิเกย
วิมุตหลุดพ้น......................................ก็ดลคุณเผย
แก่ตนเองเอ่ย.....................................สงบจิรังกาล ฯ|ะ

แสงประภัสสร


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กันยายน, 2568, 08:18:40 AM

(ต่อหน้า ๙/๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาขันธ์ = เป็นองค์ประกอบหนึ่งของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์  และ วิญญาณขันธ์
เวทนา = เป็นความรู้สึก ซึ่งอาจจะเป็นความพอใจ (สุขเวทนา) หรือความไม่พอใจ (ทุกขเวทนา) หรือความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ (อุเบกขา)  ความรู้สึกนี้เกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ (การมองเห็น ลิ้มรส ได้กลิ่น ได้ยิน และสัมผัส ผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และทางใจ โดยขึ้นอยู่กับอารมณ์ คือ สิ่งเร้าที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ หรือกลาง ๆ
คือมีวัตถุภายนอกมากระทบประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แล้วส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้จึงเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมา เช่น มีรูปมากระทบ ประสาทตาส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ คือเมื่อเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รูปนี้สวยจึงเกิดความสบายใจ หรือไปเห็นสุนัขเน่า ทั้งตัว จึงไม่สบายใจเป็นทุกข์
เวทนาเกิดจากผัสสะและจำแนกได้ถึง ๑๐๘ ชนิด แต่ที่นิยมกล่าวถึงมี ๓ ชนิดได้แก่สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา เวทนามีธรรมชาติที่อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้ง ๓ ประการเช่นขันธ์ ๕ ทั้งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะแยกว่า
(๑) เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ =ปราศจากตัณหา มานะและทิฏฐิ เป็นกระบวนธรรมแบบวิวัฏ เวทนาเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยๆ ที่ช่วยให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ นำไปสู่วิชชาและวิมุติ
(๒) เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ = เจือด้วยตัณหา มานะและทิฏฐิ อันเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ เวทนาเป็นปัจจัยสำคัญที่ครอบงำความเป็นไปของกระบวนธรรมทั้งหมด นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด และทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น กล่าวได้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็เพราะเวทนาและเพื่อเวทนา จึงนับว่าเวทนามีความสาคัญยิ่งต่อชีวิต เพราะถ้าเกิดเวทนาแล้วปฏิบัติตนไม่ถูกต้องก็จะเกิดความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ต้องวนเวียนอยู่กับกองทุกข์ แต่ถ้าปฏิบัติตนถูกต้องก็จะเกิดความรู้ที่บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ต่อชีวิตทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
เวทนาขันธ์ เป็นไฉน = คือ
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็น (๑) เวทนาอดีต เวทนาอนาคต เวทนาปัจจุบัน (๒) เวทนาภายใน เวทนาภายนอก (๓) เวทนาหยาบ เวทนาละเอียด (๔) เวทนาทราม เวทนาประณีต (๕) เวทนาไกล เวทนาใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์
ในเวทนาขันธ์นั้น เวทนาอดีต=  เป็นไฉน?
เวทนาใด ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว ที่เป็นอดีตสงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต ได้แก่สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาอดีต
เวทนาอนาคต = เป็นไฉน?
เวทนาใด ยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาอนาคต
เวทนาปัจจุบัน = เป็นไฉน?
เวทนาใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาปัจจุบัน
เวทนาภายใน = เป็นไฉน?
เวทนาใด ของสัตว์นั้นๆ เองซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตนเฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาภายใน
เวทนาภายนอก = เป็นไฉน?
เวทนาใด ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นนั้นๆ ซึ่งมีในตน เฉพาะตนเกิดในตน มีเฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาภายนอก
เวทนาหยาบ = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๒) กุศลเวทนาและอกุศลเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๓) ทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๔) สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๕) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนาหยาบ
(๖) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาหยาบ
เวทนาละเอียด = เป็นไฉน?
(๑) กุศลเวทนาและอัพยากตเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๒) อัพยากตเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๓) สุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๔) อทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๕) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็นเวทนาละเอียด
(๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาละเอียด
หรือพึงทราบเวทนาหยาบเวทนาละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
เวทนาทราม = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๒) กุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๓) ทุกขเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๔) สุขเวทนาและทุกขเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๕) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เป็นเวทนาทราม
(๖) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนาทราม


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, กันยายน, 2568, 07:35:01 PM

(ต่อหน้า ๑๐ /๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาประณีต =เป็นไฉน?
(๑) กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๒) อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๓) สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๔) อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๕) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็นเวทนาประณีต
(๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนาประณีต
หรือพึงทราบเวทนาทราม, เวทนาประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
เวทนาไกล = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา ไกลจาก กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา
(๒) กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา ไกลจาก อกุศลเวทนา
(๓) กุศลเวทนา ไกลจาก อกุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา
(๔) อกุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา ไกลจาก กุศลเวทนา
(๕) อัพยากตเวทนา ไกลจากกุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา
(๖) กุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา ไกลจาก อัพยากตเวทนา
(๗) ทุกขเวทนา ไกลจาก สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๘) สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา ไกลจาก ทุกขเวทนา
(๙) สุขเวทนา ไกลจาก ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑๐) ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา ไกลจาก สุขเวทนา
(๑๑) อทุกขมสุขเวทนา ไกลจากสุขเวทนาและทุกขเวทนา
(๑๒) สุขเวทนาและทุกขเวทนาไกลจาก อทุกขมสุขเวทนา
(๑๓) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ไกลจาก เวทนาของผู้เข้าสมาบัติ
(๑๔) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติไกลจาก เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ
(๑๕) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ไกลจาก เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ.
(๑๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ไกลจาก เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เวทนาใกล้ = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ อกุศลเวทนา
(๒) กุศลเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ กุศลเวทนา
(๓) อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาใกล้กับ อัพยากตเวทนา
(๔) ทุกขเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ ทุกขเวทนา
(๕) สุขเวทนาเป็นเวทนา ใกล้กับ สุขเวทนา
(๖) อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาใกล้กับ อทุกขมสุขเวทนา
(๗) เวทนาของ ผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ
(๘) เวทนาของ ผู้เข้าสมาบัติ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาของผู้เข้าสมาบัติ
(๙) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
(๑๐) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เวทนาขันธ์โดยปริยายต่าง ๆ =
(๑) เวทนา ๑ = คือ เวทนาที่สัมปยุต (ประกอบด้วย) ผัสสะ
(๒) เวทนา ๒ = คือ
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุ และไม่มีเหตุ
(๓) เวทนา ๓ = คือ
เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศล, ที่เป็นอกุศล, และที่เป็นอัพยากฤต
(๔) เวทนา ๔ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็น  กามาวจร; ที่เป็นรูปาวจร; ที่เป็นอรูปาวจร; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
กามาวจร =  คือผู้ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภพ
รูปาวจร = ผู้ที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปภพ
อรูปาวจร = ผู้ที่ยังท่องเที่ยวในอรูปภพ
ผู้ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ = ผู้หมดกิเลส หลุดพ้นทุกข์
(๕) เวทนา ๕ = คือ
(๕.๑) สุขินทรีย์ - อินทรีย์คือ สุข; (๕.๒) ทุกขินทรีย์ - อินทรีย์คือ ทุกข์ ; (๕.๓) โสมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์คือ โสมนัส (ความสุขใจ ปลาบปลื้ม เบิกบานใจ); (๕.๔) โทมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์คือ โทมนัส (ความเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าโศก); (๕.๕) อุเบกขินทรีย์ -  อินทรีย์คือ อุเบกขา (วางเฉย)
(๖) เวทนา ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางตา;
(๖.๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา - ทางหู; (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา - ทางจมูก; (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - ทางลิ้น;  (๖.๕) กายสัมผัสสชาเวทนา - ทางกาย; (๖.๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา - และเวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางใจ
(๗) เวทนา ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ,โสตสัมผัส, ฆานสัมผัส, ชิวหาสัมผัส, กายสัมผัส, มโนธาตุสัมผัส, มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
มโนธาตุ  = คือ อเหตุกจิต ๓ ดวง ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวงและปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง จิตทั้ง ๓ ดวงนี้เป็นมโนธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์และเกิดได้เพียง ๕ ทวาร
มโนวิญญาณธาตุ = คือ สภาพที่รู้แจ้งทางใจ หมายถึงจิต ๗๖ ดวง นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวงและมโนธาตุ ๓ ดวง จิต ๗๖ ดวงนี้เป็นมโนวิญญาณธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กันยายน, 2568, 10:44:59 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๗) ๕.วิภังค์

(๘) เวทนา ๘ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่
(๘.๑) จักขุสัมผัส (๘.๒) โสตสัมผัส (๘.๓) ฆานสัมผัส (๘.๔) ชิวหาสัมผัส  (๘.๕) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุข (๘.๖) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์ (๘.๗) เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘.๘) เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
(๙) เวทนา ๙ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่ (๙.๑) จักขุสัมผัส (๙.๒)โสตสัมผัส (๙.๓) ฆานสัมผัส (๙.๔) ชิวหาสัมผัส (๙.๕) กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัส  (๙.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล (๙.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล (๙.๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
(๑๐) เวทนา ๑๐ = ได้แก่เวทนาที่เกิดแต่
(๑๐.๑) จักขุสัมผัส (๑๐.๒)โสตสัมผัส (๑๐.๓) ฆานสัมผัส (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัส (๑๐.๕) กายสัมผัส ที่เป็นสุข (๑๐.๖) กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์ (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัส (๑๐.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล (๑๐.๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
(๑๑) เวทนา ๑๘ = คือ
(๑๑.๑) เวทนาที่สหรคตด้วยโสมนัส ๖ - ความรู้สึกของจิตที่มั่วสุมอยู่ด้วย โสมนัสหกอย่าง (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ); (๑๑.๒) เวทนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ๖ อย่าง; (๑๑.๓) เวทนาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๖ อย่าง
(๑๒) เวทนา ๓๖ = คือ
(๑๒.๑) เคหสิตโสมนัส ๖ - โสมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน (กามคุณ ๕) หกอย่าง; (๑๒.๒) เนกขัมมโสมนัส ๖ - โสมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๓)  เคหสิตโทมนัส ๖- โทมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๔) เนกขัมมสิตโทมนัส ๖ - โทมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๕) เคหสิตอุเบกขา ๖ -  อุเบกขาเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๖) เนกขัมมสิตอุเบกขา ๖ - อุเบกขาเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออก จากเหย้าเรือน หกอย่าง
(๑๕) เวทนา ๑๐๘ = คือ เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็นอดีต; เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็นอนาคต; และ เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็น ปัจจุบัน
สุขเวทนา = คือความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขในทางกายหรือทางจิต จะเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ แต่เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา = คือ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ ทางกายหรือทางจิต จะเป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ แต่เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนา = คือ ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่สำราญ (มิใช่สุขมิใช่ทุกข์) เกิดทางกายหรือทางจิต เนื่องจากเป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด
ราคานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในสุขเวทนา แต่ราคานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในสุขเวทนา
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อมละราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัยไม่ได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น
ปฏิฆานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในทุกขเวทนา แต่ปฏิฆานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในทุกขเวทนา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไรเราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้ โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น
อวิชชานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา แต่อวิชชานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตฌานนั้น
อนุสัย มี ๗ ประการ =  คือ
(๑) กามราคานุสัย  - โลภะ ความติดข้องในกาม (๒) ปฏิฆานุสัย -  โทสะ ความโกรธ (๓) ทิฏฐานุสัย - ความเห็นผิด (๔) วิจิกิจฉานุสัย - ความสงสัย (๕) มานานุสัย - ความถือตัว, ความสำคัญตัว (๖) ภวราคานุสัย - โลภะ ความติดข้องในภพ (๗) อวิชชานุสัย - โมหะ ความไม่รู้กามราคานุสัย
ความต่างกันแห่งเวทนา = คือ
(๑) สุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๒) สุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๓)ทุกขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๔) ทุกขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๕) อทุกขมสุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๖) อทุกขมสุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่
วิบากแห่งเวทนา = คือ
(๑) การที่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่ ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากเวทนานั้น ๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ
(๒) ความดับแห่งเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ
(๓) ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับแห่งเวทนา คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
เมื่อใดอริยสาวกทราบชัดเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความต่างกันแห่งเวทนา วิบากแห่งเวทนา ความดับแห่งเวทนา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งเวทนาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัด พรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสเป็นที่ดับเวทนานี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, กันยายน, 2568, 04:41:21 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๗) ๕.วิภังค์

หากสมณะไม่รู้ = ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ๓ เหล่านี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ตามความเป็นจริง ก็ยังไม่นับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และท่านเหล่านั้น ย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ 
หากสมณะรู้ = ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ๓ เหล่านี้ตามความเป็นจริง นับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และท่านเหล่านั้นย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา = เป็นไฉน เพราะผัสสะเกิดเวทนาจึงเกิด
ปฏิปทาให้เกิดเวทนา= เป็นไฉน
เพราะตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งเวทนา
ความดับแห่งเวทนา= เป็นไฉน
เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา = เป็นไฉน
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นคุณแห่งเวทนา = คือ สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยเวทนาอันใด นี้เป็นคุณแห่งเวทนา
อะไรเป็นโทษแห่งเวทนา = คือ เวทนาอันใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
อะไรเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา =
ความกำจัด ความละฉันทราคะในเวทนา นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา
ฉันทะ = คือ ความพอใจติดใคร่, ความชอบใจจนติด, ความอยากที่แรงขึ้นเป็นความติด; ฉันทะ ในที่นี้ หมายถึงอกุศลฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นต้น เมื่อเป็นราคะอย่างอ่อน (ทุพพลราคะ) ก็เรียกแค่ว่าเป็นฉันทะ แต่เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็กลายเป็นฉันทราคะ คือราคะอย่างแรง (พลวราคะ หรือสิเนหะ)
บุคคลย่อมตามระลึกถึงเวทนา = ดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้ อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นว่า บัดนี้ เราถูกเวทนากินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกเวทนากินแล้ว เหมือนปัจจุบันยังถูกกินอยู่ แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูกเวทนากินเช่นกัน เมื่อคิดแล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในเวทนาอดีต ย่อมไม่ชื่นชมเวทนาอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับเวทนาในปัจจุบัน
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ = ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อะไรเป็นความพิเศษ ทำให้ต่างกันระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ = จะมีอาการใด
(๑) ทุกขเวทนาย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือ เวทนาทางกายและเวทนาทางใจ
(๒) เขาขัดเคือง ปฏิฆานุสัย (โกรธ) เพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมนอนตามเขา
(๓) เขาเป็นผู้พบทุกขเวทนาแล้ว ย่อมเพลินกามสุข เพราะไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกจากทุกขเวทนานอกจากกามสุข และเมื่อเขาเพลินกามสุขอยู่ ราคานุสัย(ติดในกาม) เพราะสุขเวทนานั้นย่อมนอนเนื่อง เขาย่อมไม่รู้เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง
(๔) เมื่อเขาไม่รู้เหตุเกิด,ความดับ, คุณ, โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง อวิชชานุสัย (โลภหลงในกาม) เพราะอทุกขมสุขเวทนาย่อมนอนเนื่อง
(๕) เขาย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยกิเลส เสวยสุขเวทนา , เสวยทุกขเวทนา, เสวยอทุกขมสุขเวทนา นั้น
(๖) ผู้ไม่ได้สดับนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเป็นผู้ประกอบด้วย ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส (ความคับแค้น) เรากล่าวว่า เป็นผู้ประกอบด้วยทุกข์
ฝ่ายอริยสาวกผู้ได้สดับ = จะมีอาการใด
(๑) เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความงมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ
(๒) เธอย่อมไม่มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนานั้น ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้นย่อมไม่นอนตามเธอผู้ไม่มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนา
(๓) เธอผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินกามสุข สดับแล้ว ย่อมรู้ชัดอุบายสลัดออกจากทุกขเวทนา
(๔) เมื่อเธอไม่เพลิดเพลินกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนาย่อมไม่นอนเนื่อง เธอย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง
(๕) เมื่อเธอรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายจะสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง อวิชชานุสัย เพราะ อทุกขมสุขเวทนา ย่อมไม่นอนเนื่อง
(๖) ถ้าเธอเสวย สุขเวทนา อยู่ ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสนั้น; ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวย; ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสนั้น


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กันยายน, 2568, 08:27:27 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๗) ๕.วิภังค์

(๗) อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ปราศจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ปราศจากทุกข์
(๘) อริยสาวกเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่เสวยทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา นี้คือความต่างกันระหว่างผู้ฉลาดกับปุถุชน ผู้มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ต้องแปรไปตลอด เห็นแจ้งโลกนี้และโลกหน้าอยู่ ท่านย่อมไม่ถึงความขัดเคืองเพราะอนิฏฐารมณ์ (มีสติดำรงอยู่ เป็นผู้ปราศจากทุกข์) อนึ่งเวทนาเป็นอันตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะอริยสาวกนั้นไม่ยินดีและไม่ยินร้าย
โลกธรรม ๘ = ธรรมดาของโลก, ความเป็นไปตามคติธรรมดาซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตว์โลกและสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป
(๑) ลาภ -ได้ลาภ, มีลาภ (๒) อลาภ -เสื่อมลาภ, สูญเสีย (๓) ยส -ได้ยศ, มียศ (๔) อยส - เสื่อมยศ (๕) นินทา -ติเตียน (๖) ปสังสา - สรรเสริญ (๗) สุข - ความสุข  (๘) ทุกข์ - ความทุกข์
ข้อ ๑,๓,๖,๗ เป็น อิฏฐารมณ์ =  ส่วนที่น่าปรารถนา;
ข้อที่เหลือเป็น อนิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา
(๙) ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ เรากล่าวหมายเอาความที่สังขารทั้งหลายนั่นแหละมีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
(๑๐) ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ทั้งที่เป็นภายใน-นอกมีอยู่ ภิกษุรู้ว่าเวทนานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความพินาศเป็นธรรมดา ย่อมคลายความยินดีในเวทนาเหล่านั้น
ฐานะที่มิกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ = เป็นอย่างใด
(๑) ผู้ยังไม่ละราคานุสัย ~ เพราะสุขเวทนา
ยังไม่บรรเทา ยังติดใจอยู่ ราคานุสัยจึงนอนเนื่อง 
(๒) ยังไม่ละ ปฏิฆานุสัย ~ เพราะทุกขเวทนา
ยังไม่ถอน เพราะยังเศร้า ครวญ จึงมี ปฏิฆาวิสัย นอนเนื่องอยู่
(๓) ยังไม่ละ อวิชชานุสัย ~ เพราะ อทุกขมสุขเวทนา
ไม่ละอวิชชาเสีย ยังไม่รู้ คุณ, โทษ, ความดับ, วิธีดับ อทุกขมสุขเวทนา อวิชชานุสัยจึงนอนเนื่อง
จักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
ฐานะที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ = เป็นอย่างใด
(๑) ผู้ที่สุขเวทนาถูกต้องแล้ว ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ จึงไม่มีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่
(๒)ผู้ที่ทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญทุ่มอก ไม่ถึงความหลงพร้อม จึงไม่มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
(๓) ผู้อัน อทุกขมสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไปคุณ โทษ และที่สลัดออกแห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่มีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
บุคคลนั้นละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา ถอนอวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา ยังวิชชาให้เกิดขึ้นเพราะละอวิชชาเสียได้ แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย = ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์ เป็นสุขบ้าง, เป็นทุกข์บ้าง, มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้างจจะไม่พึงเป็นอาพาธ จะขอได้ว่าๆ เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้, เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่เป็นไปดังหวังเลย
ผู้ใดกล่าวว่า = เวทนาเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร
เพราะเวทนามีความเกิด, ความเสื่อม ปรากฏ อัตตาของเราจึงเกิดขึ้นและเสื่อมไป
บุคคลเเล็งเห็น= เวทนาเป็นอัตตา ย่อมเห็นว่า
(๑) เวทนา = เป็นอัตตาของเรา
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ จะถูกซักถามว่าเวทนา ๓ ประการนี้ คือ สุขเวทนา, ทุกขเวทนา, อทุกขมสุขเวทนา เห็นอันไหนว่าเป็นอัตตา
(๑.๑) คราใด อัตตาเสวย สุขเวทนา ก็ไม่ได้เสวย ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑.๒) คราใด อัตตาเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่ได้เสวยสุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑.๓) คราใด อัตตาเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่ได้เสวย สุขเวทนา
เวทนาที่เป็นสุขก็ดี, เป็นทุกข์ก็ดี, เป็นอทุกขมสุขก็ดี ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย และความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวยเวทนาทั้ง ๓ ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา เมื่อเวทนานั้นๆ ดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว
ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา
(๒) ถ้าเวทนา = ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา
เขาจะถูกซักว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้เสวยอารมณ์อยู่ จะเกิดอหังการว่าเป็นเราไม่ได้
เพราะเหตุนั้นแหละ จึงไม่ควรจะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, กันยายน, 2568, 02:27:18 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๗) ๕.วิภังค์

(๓) เวทนา = ไม่เป็นอัตตาของเราเลย
จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
เขาจะถูกซักอย่างนี้ว่า เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมด ไม่เหลืองเศษ เมื่อเวทนาไม่มีเพราะดับแล้ว ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว
เหตุนี้ จึงยังไม่ควรจะเห็นว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
คราวใดภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอย่างนี้ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน
การเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
๑) พิจารณา"เห็นกายในกาย"อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
(๒) พิจารณาเห็น"เวทนาในเวทนา"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๓) พิจารณาเห็น"จิตในจิต"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๔) พิจารณาเห็น"ธรรมใน ธรรม"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
ภิกษุเห็น = เวทนาในเวทนา อยู่อย่างไรเล่า
(๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา
(๒) เสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
(๓) เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
(๔) หรือเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส
(๕) หรือเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
(๖) หรือเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
(๗) หรือเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
(๘) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
(๙) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือความเสื่อมในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้างอยู่
อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่แค่ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้วและไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
ดับผัสสะ เวทนาดับ = คือ
ถ้าสงฆ์มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ เมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น ย่อมรู้ว่า สุขเวทนานั้น อาศัยกาย/ผัสสะนี้เอง ซึ่งกาย/ผัสสะนี้ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้
(๑) สุขเวทนาซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ได้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป, คลายไป, ความดับไป, ความสละคืนในผัสสะและในสุขเวทนาอยู่ ย่อมละราคานุสัยในผัสสะและในสุขเวทนาเสียได้
(๒) ทุกขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
(๓) อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
ภิกษุผู้ไม่มีราคานุสัย = คือผู้
(๑) ละราคานุสัยใน สุขเวทนา
จากภิกษุผู้เสวยสุขเวทนาไม่รู้สึกตัวอยู่ มีปรกติไม่เห็นธรรมเป็นเครื่องสลัดออก
(๒) ละปฏิฆานุสัยใน ทุกขเวทนา
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เสวยทุกขเวทนา ไม่รู้สึกตัว ฯลฯ
(๓) ละอวิชชานุสัยใน อทุกขมสุขเวทนา บุคคลเพลิดเพลิน อทุกขมสุขเวทนาอยู่ อันพระพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์เลย
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีราคานุสัย, มีความเห็นชอบ, ตัดตัณหาได้เด็ดขาด, เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว, ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ
เพราะเหตุที่ภิกษุผู้มีความเพียรละทิ้งเสียได้ด้วยสัมปชัญญะ เชื่อว่าเป็นบัณฑิต ย่อมกำหนดรู้เวทนาทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้เวทนาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในธรรมถึงที่สุด เมื่อตายไป ย่อมไม่เข้าถึงความเป็นผู้กำหนัด ขัดเคือง เป็นผู้หลง ดังนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กันยายน, 2568, 02:02:46 PM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๗) ๕.วิภังค์

สัทธานุสารี = บุคคลศรัทธาเชื่อมั่นธรรมเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ‘สัทธานุสารี (บุคคลผู้เชื่อมั่น ไม่หวั่นไหวในธรรมเหล่านี้ว่า อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา)
(๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตาไม่เที่ยง มีความแปรผันไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
(๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา = โสตเวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู ฯลฯ
(๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก ฯลฯ
(๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น ฯลฯ
(๕) กายสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย  ฯลฯ
(๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ ไม่เที่ยง มีความแปรผัน มีภาวะโดยอาการอื่นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
~ ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี
~ ผู้ใดเพ่งธรรมเหล่านี้ด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า ธัมมานุสารี
~ ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้ เรากล่าวผู้นี้ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
เวทนา ๓ = คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย
เมื่อผัสสะดับ เวทนาก็ดับ =
(๑) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนาอยู่ ถ้าผัสสะดับ สุขเวทนาย่อมดับย่อมสงบ
(๒) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา เมื่อบุคคลนั้นเสวยทุกขเวทนาอยู่ ถ้าผัสสะดับทุกขเวทนาย่อมดับไป
(๓) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่ง อทุกขมสุขเวทนา เมื่อบุคคลนั้นเสวย อทุกขมสุขเวทนา อยู่ ถ้าผัสสะดับ อทุกขมสุขเวทนา ย่อมดับสงบ
เปรียบเหมือนไม้สองท่อนเอามาสีกันให้เกิดความร้อน ติดไฟได้ ถ้าไม้สองท่อนนั้นแยกกันไปเสียคนละทาง ไฟก็จะดับ
พระอริยะพิจารณา เวทนา ว่า =
(๑) เห็น สุขเวทนา โดยความเป็นทุกข์ (๒) เห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นลูกศร (๓) เห็นอทุกขมสุขเวทนาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นพระอริยะผู้เห็นโดยชอบ ตัดตัณหาขาดแล้ว ล่วงสังโยชน์แล้ว ได้กระทำแล้วซึ่งที่สุดแห่งทุกข์เพราะการละมานะโดยชอบ
สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ
(ก) โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
(๑) สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าขันธ์ ๕ คือตัวตน (๒) วิจิกิจฉา - มีความสงสัยลังเลในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (๓) สีลัพพตปรามาส - มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด (๔) กามราคะ - มีความพอใจในกามคุณ (๕) ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง
(ข) อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
(๖) รูปราคะ - มีความพอใจในรูปสัญญา (๗) อรูปราคะ - มีความพอใจในอรูปสัญญา (๘) มานะ - มีความถือตัว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความรู้สึกสำคัญตัวว่าดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน (๙) อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน (๑๐) อวิชชา - มีความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
~ พระโสดาบัน ทำสังโยชน์ ๓ ข้อให้สิ้นไปได้ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
~ พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ ๓ ข้อให้สิ้นไปได้ และมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง
~ พระอนาคามี ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ข้อ หรือโอรัมภาคิยสังโยชน์ให้สิ้นไปได้
~ พระอรหันต์ ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ,เบื้องสูงทั้ง ๑๐ ข้อให้สิ้นไปได้
ภิกษุใดพิจารณา เวทนา ว่า =
(๑) ได้เห็นสุข โดยความเป็นทุกข์  (๒) ได้เห็นทุกข์ โดยความเป็นลูกศร (๓) ได้เห็นอทุกขมสุข โดยความเป็นของไม่เที่ยง
ภิกษุนั้นแลเป็นผู้เห็นโดยชอบ ย่อมหลุดพ้นในเวทนานั้น ภิกษุนั้นอยู่จบอภิญญา ระงับแล้ว ก้าวล่วงโยคะได้แล้ว ชื่อว่าเป็นมุนี
อภิญญา ๖ = ผู้มีความสามารถในด้านต่างๆ
(๑) เป็นผู้มี อิทธิวิธี (มีฤทธิ์) หลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้, หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้, ทำให้ปรากฏก็ได้, ทำให้หายไป, ทะลุฝากำแพงภูเขา, เดินบนน้ำก็ได้ (๒) เป็นผู้มีทิพยโสตธาตุ (ได้ยินเสียงทิพย์) คือ เสียงทิพย์ และเสียงของมนุษย์ ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ (๓) ผู้สามารถใน เจโตปริยญาณ คือ รู้ใจของสัตว์อื่น จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ, รู้ว่าจิตมีโทสะ, จิตปราศจากโทสะ, รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ, รู้ว่าจิตหลุด หรือไม่หลุดพ้น (๔) เป็นผู้สามารถใน บุพเพนิวาสานุสติญาณ (ระลึกชาติได้) เราพึงระลึกชาติก่อนได้หนึ่งบ้าง สอง.. สิบชาติ.. ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมาก ว่าในภพโน้นเรามีชื่อ อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น (๕) เป็นผู้สามารถใน ทิพยจักษุ (ตาทิพย์) คือ เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี รู้ชัดว่าสัตว์เป็นไปตามกรรม (๖) เป็นผู้สามารถใน อาสวักขยญาณ (ญาณแห่งการหลุดพ้น) ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วย ตนเอง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, กันยายน, 2568, 07:19:07 PM

(ต่อหน้า ๑๖/๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาที่เกิดจาก อายตนะภายใน = คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ควรที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส
เธอทั้งหลายจงละ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนานั้นเสีย  จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นเวทนาที่เกิด ๖ อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่าย แล้วคลายกำหนัดลง จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณหยั่งรู้ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว ดังนี้ อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
สังสารวัฏ =สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ์ วังวนแห่งสงสาร คือ ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิวัฏ =วิวัฏฏคามีกุศล บุญกุศลที่ให้ถึงวิวัฏฏ์ คือพระนิพพาน
การเสวย สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา = คือ ไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
(๑) หากว่าเสวยเวทนา ก็ควรปราศจากความยินดียินร้ายในการเสวยเวทนานั้น
(๒) หากว่าเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด   
(๓) ถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
(๔) ทราบชัดว่า ก่อนจะสิ้นชีวิตเพราะกายแตก ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น (เมื่อตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ)
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา = คือ ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
~ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา
~ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฎฐิ
(๕) เปรียบเหมือนลมมากมายหลายชนิด พัดไปในอากาศ ทิศนั้นบ้างนี้บ้าง บางครั้งมีธุลีบ้าง บางครั้งไม่มีธุลีบ้าง บางครั้งลมหนาวบ้าง บางครั้งลมร้อนบ้าง บางครั้งลมแรงบ้าง บางครั้งลมอ่อนบ้าง ฉันใด
~ เวทนาย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน  คือสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง เมื่อใดภิกษุมีความเพียร รู้สึกอยู่ เข้านิโรธ เมื่อนั้น เธอผู้เป็นบัณฑิตย่อมกำหนดรู้เวทนา ได้ทุกอย่าง ภิกษุนั้นกำหนดรู้เวทนาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ตั้งอยู่ในธรรม เรียนจบพระเวทในปัจจุบัน เพราะกายแตกย่อมไม่เข้าถึงซึ่งบัญญัติ
ปัจจัยแห่งเวทนา = เวทนาย่อมมีปัจจัย ดังนี้
(๑) เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง (๒) เพราะความเห็นชอบ (๓) เพราะความดำริผิด (๔) เพราะความดำริชอบ (๕) เพราะเจรจาผิด (๖) เพราะเจรจาชอบ (๗) เพราะการงานผิด (๘) เพราะการงานชอบ (๙) เพราะเลี้ยงชีพผิด (๑๐) เพราะเลี้ยงชีพชอบ (๑๑) เพราะพยายามผิด (๑๒) เพราะพยายามชอบ (๑๓) เพราะความระลึกผิด (๑๔) เพราะความระลึกชอบ (๑๕) เพราะความตั้งใจมั่นผิด (๑๖) เพราะความตั้งใจมั่นชอบ (๑๗) เพราะฉันทะ (๑๘) เพราะวิตก (๑๙) เพราะสัญญา (๒๐) เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบ (๒๑) เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบ (๒๒) เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้ว
เวทนาย่อมมีปัจจัย = ดังนี้
(๑) เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง (๒) เพราะความเห็นผิดสงบ  (๓) เพราะความเห็นชอบ (๔) เพราะความเห็นชอบสงบ (๕) เพราะความดำริผิด (๖) เพราะความดำริผิดสงบ (๗) เพราะความดำริชอบ (๘) เพราะความดำริชอบสงบ (๙) เพราะเจรจาผิด (๑๐) เพราะเจรจาผิดสงบ (๑๑) เพราะเจรจาชอบ (๑๒) เพราะเจรจาชอบสงบ (๑๓) เพราะการงานผิด (๑๔) เพราะการงานผิดสงบ (๑๕) เพราะการงานชอบ (๑๖) เพราะการงานชอบสงบ (๑๗) เพราะเลี้ยงชีพผิด (๑๘) เพราะเลี้ยงชีพผิดสงบ (๑๙) เพราะเลี้ยงชีพชอบ (๒๐) เพราะเลี้ยงชีพชอบสงบ (๒๑) เพราะพยายามผิด (๒๒) เพราะพยายามผิดสงบ (๒๓) เพราะพยายามชอบ (๒๔) เพราะพยายามชอบสงบ (๒๕) เพราะความระลึกผิด (๒๖) เพราะความระลึกผิดสงบ (๒๗) เพราะความระลึกชอบ (๒๘) เพราะความระลึกชอบสงบ (๒๙) เพราะความตั้งใจมั่นผิด (๓๐) เพราะความตั้งใจมั่นผิดสงบ (๓๑) เพราะความตั้งใจมั่นชอบ (๓๒) เพราะความตั้งใจมั่นชอบสงบ (๓๓) เพราะฉันทะ (๓๔) เพราะฉันทะสงบ (๓๕) เพราะวิตก (๓๖) เพราะวิตกสงบ (๓๗) เพราะสัญญา (๓๘) เพราะสัญญาสงบ (๓๙) เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบ (๔๐) เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบ (๔๑) เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้ว


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, กันยายน, 2568, 09:44:35 AM

(ต่อหน้า ๑๗/๑๗) ๕.วิภังค์

ความเกิดขึ้นของเวทนา = คือ
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นของปัจจัย แห่งเวทนาขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ ๕ ประการ  คือ
(๑) เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึงเกิด (๒) เพราะตัณหาเกิด เวทนาจึงเกิด (๓) เพราะกรรมเกิด เวทนาจึงเกิด (๔) เพราะผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด (๕) แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความบังเกิด ก็ย่อมเห็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนาขันธ์
ลักษณะความแปรผันไป = ของเวทนา ชื่อว่าความเสื่อม ปัญญาที่พิจารณาเห็นดังนี้ ชื่อว่าอนุปัสสนาญาณ
พระโยคาวจรย่อมเห็นความเสื่อมแห่งเวทนาขันธ์ โดยความดับแห่งปัจจัยว่า มีลักษณะ ๕ ประการ คือ
(๑) เพราะอวิชชาดับ เวทนาจึงดับ (๒) เพราะตัณหาดับ เวทนาจึงดับ (๓) เพราะกรรมดับ เวทนาจึงดับ (๔) เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ (๕) แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความแปรผัน
อนุปัสสนาญาณ = คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) ของสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏ อนุปัสสนาญาณเป็นส่วนหนึ่งของวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่ใช้ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
นิพพาน = ไม่มีเวทนา นั่นแหละเป็นสุข


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, กันยายน, 2568, 12:12:10 PM

อภิธรรมปิฎก : ๖.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : สัญญาขันธ์)

กาพย์วาสุกรี ๑๒

   ๑.พุทธเจ้าตรัสชัด"สัญญา..............................เรียกขานมาว่าความจำ
จำทุกสิ่งดิ่งได้หนำ............................................ย้ำเช่นสีดำ,เหลือง,แดง

   ๒.ธรรมสามมี"เวทนา"รู้...................................สัญญาชูพรูจำแจง
"วิญญาณ"ตามลามรู้แจ้ง...................................แสดงโดยลำดับเอย

   ๓.สัญญาจำนำหกหนา...................................."รูปสัญญา"จำรูปเลย
"สัทท์สัญญ์ฯ"จำเสียงเผย..................................เคยจำกลิ่นชินอารมณ์

   ๔."รสสัญญา"จำรสชาติ...................................สัมผัสยาตรกระทบชม
"ธัมม์สัญญา"พาจำคม.........................................ด้วยบ่มพร่ำพระธรรมหนา

   ๕.สัญญา,จำพร่ำเหตุไหน.................................ผัสสะไซร้เหตุเกิดพา
ความต่างจำย้ำสัญญา.........................................มีฝ่าหกปก"รูป,เสียง"

   ๖.พร้อมจำ"รส"จด"กลิ่น"ปะ.............................."โผฏฐัพพะ"สัมผัสเพียง
"ธรรมารมณ์"บ่มจำเคียง......................................สิ่งเกรียงเกิดเชิดกับใจ

   ๗."วิบาก"ตรองของสัญญา................................อย่างใดนาพาความไย
พุทธ์เจ้าตรัสสัญญาไว้........................................ถ้อยใดพูดเป็นผลแฉ

   ๘.เขารู้ไรไซร้พูดพลัน......................................รู้สึกครันดั้นเยี่ยงแล
วิบากแห่งสัญญาแน่............................................ผลแล้เกิดเพริดตามเผย

   ๙.ความดับแห่งสัญญาไซร้...............................ทำอย่างไรไวว่องเอย
สัญญาดับลับไปเลย...........................................เผยผัสสะต้องดับถอน

   ๑๐.มรรคองค์แปดวิธีดับ..................................สัญญาลับล่วงไกลรอน
ด้วย"สัมมาทิฏฐิ"สอน..........................................ท้ายช้อน"สัมมาสมาธิ์"

   ๑๑.คราสงฆ์รู้ชูเหตุเกิด....................................สัญญาเชิดความต่างพา
วิบากกับความดับหนา.........................................ทางดับกล้ากิเลสยัน

   ๑๒.สัญญาอนาคตใด.......................................อดีตไซร้ไม่เที่ยงครัน
ไม่ต้องกล่าวปัจจุบัน............................................พลันไม่เที่ยงเช่นกันแฉ

   ๑๓.สงฆ์ยินแล้วแน่วกับใจ.................................มิอาลัยอดีตแล
ไม่เพลินจำกาลหน้าแท้........................................แต่ทำคลายกำหนัดลง

   ๑๔.เพื่อสัญญาปัจจุบัน.....................................ดับไปพลันครันผจง
เหตุสัญญาไม่เที่ยงบ่ง.........................................ตรงสิ่งเกิดก็เช่นกัน

   ๑๕.สงฆ์สดับตรับเบื่อหน่าย..............................กำหนัดคลายหลุดพ้นพลัน
รู้แน่ชัดชาติสิ้นผลัน............................................พรหมจรรย์ครบจบกิจเผย

   ๑๖.สัญญากาลผ่านมาทุกข์..............................กาลหน้ารุกทุกข์เปรียบเอย
ไม่ต้องกล่าวกาลหน้าเอ่ย....................................จะเป็นเปรยเกยไฉน

   ๑๗.สงฆ์เบื่อหน่ายคลายกำหนัด.......................หลุดพ้นชัดชาติสิ้นไกล
กิจทำเสร็จเด็ดครบไว.........................................กิจอื่นไซร้ไม่มีแฉ

   ๑๘.สัญญ,จำอนัตตา........................................มิใช่หนาตัวตนแล
กาลผ่านมา,กาลหน้าแท้......................................แน่กาลนี้ชี้เปรียบครัน

   ๑๙.เมื่อหลุดพ้นผลญาณแน่ว............................รู้ชัดแล้วชาติสิ้นพลัน
พรหมจรรย์จบกิจครบสรรค์.................................กิจดั้นเยี่ยงนี้มิมี

    ๒๐."สัญญา,จำย้ำเหตุ"คิด"...............................กุศลชิดอกุศลลี
คิดอกุศลตนจำทวี...............................................ปรี่ในกามความโกรธ,เบียน

   ๒๑.คิดกุศลล้น"เนกขัม-.....................................มะ"เว้นด่ำทำบาปเตียน
ไม่โกรธ,เบียดเบียนใครเวียน................................ชั่วเอียนเพราะเจาะ"จำ"คุณ

   ๒๒."สัญญาฝ่ายสุตตตันฯนา..............................กองสัญญามาหลายตุน
สัญญาอดีต,กาลหน้าผลุน....................................จุนกาลนี้,ภายนอก-ใน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, กันยายน, 2568, 10:42:51 AM

(ต่อหน้า ๒/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๒๓."สัญญาหยาบ-ละเอียด"ลาม...................."ประณีต-ทราม",ตามใกล้-ไกล
รวมทั้งหมดจดกองไว......................................เรียกไซร้ว่าสัญญาขันธ์

   ๒๔."สัญญาอดีต"ขีดอย่างไร".......................ความจำไซร้ไกลดับครัน
"เกิดเปลี่ยนแปร"แน่แล้วผลัน...........................พลันเกิดผ่านกราน"ตา"เผย

   ๒๕.เรียก"จักขุสัมผัสส์ชา-.............................สัญญา"หนา"จำ"เกิดเชย
"โสตสัมผัสสฯ"ชัดจำเอ่ย..................................ด้วยเคยฟังจึง"จำ"หนา

   ๒๖."ฆานสัมผัสส์ฯ"จมูกดม.............................ได้กลิ่นสมบ่ม"จำ"นา
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"จัดชิมจ้า.................................ลิ้นพารสจด"จำ"แฉ

   ๒๗."กายสัมผัสฯ"กระทบชัด...........................กายสัมผ้ส"จำ"ได้แล
"มโนสัมผัสส์ชาฯ"แน่........................................."จำ"แท้เกิดทางใจไข

   ๒๘."สัญญาจำอนาคต"...................................ได้กำหนดจดอย่างไร
สัญญายังไม่เกิดไซร้.........................................ยังไม่ตั้งพรั่งพร้อมเผย

   ๒๙.สัญญานั้นพลันเกิดผ่าน.............................ตา,หู..กรานเช่นกันเอย
"อายตนะหก"เอ่ย..............................................เหมือนเคยในอดีตหนา

   ๓๐."สัญญา,จำปัจจุบัน"..................................เกิดแล้วพลันยันพร้อมนา
จำผ่านตา,หู..เหมือนครา...................................สัญญาอดีตเช่นเดียวสรรค์

   ๓๑."สัญญาใน"เกิดในตน...............................เฉพาะคนทำกรรมครัน
มีตัณหา,ทิฎฐิผลัน............................................ดั้นผ่านอายตนะแฉ

   ๓๒."สัญญานอก"ของผู้อื่น..............................แต่มีดื่นในตนแล
กรรมมี"อยาก,ทิฏฐิ"แผ่......................................จำแน่ผ่านตา,หู..เผย

   ๓๓."สัญญาหยาบ"ตราบ"ละเอียด"...................จัดละเมียดเฉียดใดเอย
มีความต่างบางคราเอ่ย......................................"จำ"เลยได้ไซร้แปรผาย

   ๓๔.จำด้วยจิตชิดรู้ผ่าน...................................ปัญจ์ทวารพานห้ากราย
ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย.............................................เรียกพราย"หยาบสัญญา"หนา

   ๓๕."จำ"เกิดโอ่มโนทวาร..................................จากใจพานละเอียดนา
"อกุศลสัญญา"คว้า............................................สัญญาจำพร่ำหยาบเผย

   ๓๖.แต่"กุศลสัญญา"กล้า................................อัพยากตกลางเอย
ไม่ดีและไม่ชั่วเชย.............................................เกยสัญญาละเอียดแฉ

   ๓๗."กุศลและอกุศล"......................................สัญญาด้นปนหยาบแล
แต่"อัพยาฯ"มากลางแท้.....................................เป็นแน่"จำ"ละเอียดเผย

   ๓๘.สัญญา,จำนำ"ทุกข์เวทน์ฯ"........................เข้าเจาะเจตน์เรียก"หยาบ"เอย
จำเกิด"สุขเวทนา"เชย.......................................เกย"อัพยาฯ"ละเอียดหนา

   ๓๙.สัญญามีคลี่ทุกข์,สุข................................สัญญารุกบุกหยาบพา
"จำ"กอปร"อทุกข์สุขฯ"ฝ่า.................................สัญญา,จำละเอียดผลัน

   ๔๐."ผู้ไม่เข้าสมาบัติ.......................................สัญญาชัดจัดหยาบครัน
"แต่ผู้เข้าสมาบัติ"ดั้น.........................................พลันสัญญาละเอียดไข

   ๔๑.ความจำใดมีอารมณ์.................................กิเลสซมเรียกหยาบไว
"จำ"ใดมีอารมณ์ไซร้.........................................ไร้กิเลสละเอียดแฉ

   ๔๒.สัญญาทราม,ประณีตไหน........................ต่างกันไยไซร้หลายแล
"อกุศลสัญญา"แล้............................................แน่ฝ่ายชั่วมั่วทรามเผย

   ๔๓.กุศลสัญญา,อัพยาฯ.................................ดี,กลางหนาประณีตเชย
"อกุศล,กุศล"เกย..............................................เปรยสัญญาพาทรามหนา

   ๔๔.สัญญาที่"อัพยาฯ"กลาง............................ความจำวางประณีตพา
"จำ"กอปรชุกทุกข์เวทนา...................................อ้าสัญญาทรามซิแฉ

   ๔๕.สัญญากอปร"อทุกข์สุขเวทน์ฯ".................และสุขเจตน์ประณีตแล
"จำ"มีสุขเวทนาแท้............................................และแน่ทุกข์สัญญาทราม


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, กันยายน, 2568, 05:20:59 PM
(ต่อหน้า ๓/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๔๖."จำ"มี"อทุกข์สุข"หนา............................เรียกสัญญาประณีตลาม
"ผู้ไม่เข้าสมาบัติ"ยาม.....................................ตามเรียกสัญญาทรามเผย

   ๔๗.สัญญา"ผู้เข้าสมาบัติ"............................จะเรียกชัดประณีตเอย
สัญญามีอารมณ์เกย......................................กิเลสเคยเรียกทรามหนาฯ

   ๔๘.สัญญาไร้อารมณ์ชู...............................กิเลสอยู่จะขานนา
สัญญามาประณีตกล้า...................................พาเทียบเคียงเป็นชั้นเผย

   ๔๙."สัญญาไกล"เป็นไฉน............................แยกหลายไซร้"ดี-เลวเอย
"อกุศลสัญญา"ไกลเพ้ย.................................ห่างเกย"กุศลสัญญา"

   ๕๐.และ"อัพยาสัญญาฯ"พร้อม....................เพราะ"จำ"น้อมกรรมดีมา
"กุศลจำ"ไกลล้ำ"อัพยาฯ"...............................และห่างหนา"จำ,อกุศล"

   ๕๑."อัพยาสัญญาฯ"ไว................................."จำ"ห่างไกลกุศลดล
และอกุศลแน่ยล............................................ต่างผลเห็นเด่นแล้วเผย

   ๕๒."ความจำ"ชุก"ทุกข์เวทนา"......................ไกลพ้นหนา"สุขเวทน์ฯ"เอย
และ"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"เอ่ย..............................."จำ"เชยไร้ทุกข์,สุขแฉ

   ๕๓."จำ"ประกอบ"สุขเวทนา".........................จะไกลกว่าทุกข์เวทน์ฯแล
และ"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"แล้................................ผลแท้แตกต่างกันหนา

   ๕๔."จำ"มี"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"ไซร้....................จะไกลว่าสุขเวทนา
และทุกข์เวทนา"กล้า.......................................พิจารณายากเผย

   ๕๕."จำ"กอปร"สุขเวทนา"เจตน์......................และทุกข์เวทน์ฯ"จะไกลเอย
ห่าง"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"เปรย..............................เอ่ยไร้สุขไร้ทุกข์ผล

   ๕๖."สัญญาผู้ไม่เข้าชัด.................................สมาบัติ"จัดไกลยล
ห่างจากผู้อยู่ยงวน...........................................ด้นสมาบัติจัดระบือ

   ๕๗."ความจำ"มีชี้อารมณ์...............................กิเลสซม"จำ"ไกลลือ
ห่างผู้มีอารมณ์ถือ............................................ครือไร้กิเลสปนแฉ

   ๕๘."สัญญาใกล้"อะไรเด่น.............................."ความจำ"เป็นชนิดเดียวแล
อกุศลสัญญาใกล้แท้........................................แน่อกุศลสัญญาหนา

   ๕๙."กุศลสัญญา"ใกล้ครัน.............................กุศลสัญญาเลยนา
"อัพยาสัญญาฯ"ใกล้กล้า..................................มา"อัพยาสัญญาฯ"เผย

   ๖๐.สัญญาผู้เข้าสมาบัติ................................."จำ"ใกล้วัตรสมาบัติเอย
อารมณ์มีกิเลสเอ่ย............................................เปรยใกล้อารมณ์เดียวเหมือน

   ๖๑."อภิธรรมภาชนีย์"หนา..............................แจกสัญญาขันธ์ครัน"หนึ่ง"เยือน
ถึง"สิบหมวด"รวดแจงเกลื่อน.............................เตือนให้รู้ดูธรรมหนำ

   ๖๒.สัญญาขันธ์ดั้นหมวดละ............................มี"หนึ่ง"ปะสัญญา,จำ
เป็น"ผัสส์สัมปยุตฯ"ด่ำ......................................ย้ำประกอบผัสสะแฉ

   ๖๓.สัญญาขันธ์ครันมี"สอง"............................"ไร้เหตุ"ครอง,"มีเหตุ"แฉ
มี"สาม,อกุศล"แล้..............................................แน่"กุศล,อัพยาฯ"เผย

   ๖๔.สัญญาขันธ์พลันมี"สี่"..............................."กามาฯ"ชี้ปรี่"กาม"เอย
เสพกามคุณห้าเอ่ย...........................................เคยท่องในกามภพหนา

   ๖๕."รูปาวจร"นบ............................................ท่องรูปภพคือ"พรหม"นา
"อรูปาวะฯ"ผู้กล้า..............................................ฝ่าอรูปภพเผย

   ๖๖.อยู่อรูปภพไกล........................................คือพรหมไร้รูปกายเอย
ท้ายสุด"อปริฯ"เอ่ย...........................................ไม่เคยชัดไม่แน่นอน

   ๖๗.หมวดห้านั้นสัญญาเป็น............................."สุขินฯ"เด่นกายสุขจร
กอปร"สุขเวทนา"ช้อน.......................................สราญป้อนทุกคราเผย

   ๖๘."จำ"เป็น"ทุกขินฯ"กอปรหนา".....................ทุกข์เวทนาพาทุกข์เอย
"โสมนัสสินฯ"ประกอบเอ่ย.................................เกย"โสมนัสเวทนาฯ".


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, กันยายน, 2568, 10:46:48 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๖๙."จำ"เป็น"โทมนัสสินฯ"เดช..................."โทมนัสเวทนา"เศร้ามา
"อุเปกขินฯ"ประกอบหนา............................."อุเบกขาเวทนา"แฉ

   ๗๐.หมวดหกนั้นสัญญาคือ........................สัมผัสสื่อทางตาแล
เรียก"จักขุสัมผัสส์ชาฯ"แล้..........................."จำ"แน่เกิดเพราะมองเห็น

   ๗๑."โสตสัมผัสส์ชาสัญญา"......................."จำ"เกิดหนาเพราะยินเป็น
"ฆานสัมผัสส์ชาฯ"เด่น..................................เน้น"จำ"กลิ่นเพราะดมหนา

   ๗๒."ชิวหาสัมผัสส์ชาฯ"ไซร้........................"จำ"เกิดได้เพราะชิมพา
"กายสัมผัสสชาสัญญา"................................"จำ"เกิดกล้าเพราะถูกกาย

   ๗๓."มโนสัมผัสส์ชาฯ"ชัด............................ใจสัมผัสรู้"จำ"ปลาย
หมวดเจ็ดเพิ่มเสริมหนึ่งผาย..........................ฉายจากหมวดหกแล้วเอย

   ๗๔.คือ"มโนวิญญาณธาตุฯ"ไซร้.................."จำ"เกิดได้กระทบเคย
ทางธาตุรู้คู่ใจเผย.........................................ห้าแรกเกยหมวดหกเหมือน

   ๗๕.หมวดแปดพลันสัญญาพร่ำ..................."จักขุสัมผัสส์ฯ"เห็นเยือน
"โสตสัมผัสส์ชาฯ"ยินเคลื่อน..........................เกลื่อน"ฆานสัมฯ"กลิ่นแฉ

   ๗๖."ชิวหาสัมผัสส์ฯ"ลิ้มด่ำ..........................."สุขกายสัมฯ" จำสุขแล
"ทุกข์กายสัมฯ"จำทุกข์แล้..............................แท้"มโนธาตุฯ"ใจจำหนา

   ๗๗."มโนวิญาณธาตุฯ"อวย..........................."จำ"ด้วยธาตุรู้ใจมา
หมวดเก้าพลันสัญญาคว้า...............................พา"จักขุสัมฯ"เห็นแฉ

   ๗๘."โสตสัมผัสส์ชาฯ"ยิน"จำ"......................."ฆานสัมผัสส์ฯ"กลิ่น"จำ"แล
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"ลิ้มแท้...................................แน่"กายสัมฯ"กระทบเผย

   ๗๙."มโนธาตุสัมฯ"ใจ"จำ"โร่.........................."กุสลมโนฯ"สัมผัสเอย
ใจเป็นกุศลล้นเคย..........................................เอ่ยจดจำสัญญาหมาย

   ๘๐."อกุศลมโนฯ"ไว......................................"จำ"เกิดได้ด้วยใจกราย
ชิดอกุศลมิคลาย............................................ฉาย"อัพยาฯ"ใจ"จำ"กลาง

   ๘๑."หมวดสิบ"สัญญา,จำ.............................."จักขุสัมผัสส์ฯ"เห็นพลาง
"โสตสัมผัสส์ชาฯ"ยินกร่าง..............................วาง"ฆานสัมฯ"กลิ่นหนา

   ๘๒."ชิวหาสัมผัสส์ฯ"ลิ้มด่ำ............................"สุขกายสัมฯ"จำสุขมา
"ทุกข์กายสัมฯ"จำทุกข์กล้า.............................ฝ่า"มโนธาตุฯ"ใจจำเผย

   ๘๓."กุสลมโนวิญญ์ธาตุฯ".............................ใจยาตรด้วยกุศลเอย
"อกุศลมโนฯ"เอ่ย............................................ใจเปรยจำอกุศล

   ๘๔."อัพยามโนวิญญ์ฯ"คัด.............................ใจสัมผัสจำสิ่งยล
ที่เป็นกลางไม่เป็นดล.......................................กุศล,อกุศลแฉ

   ๘๕.ลักษณะการเกิด,เปลี่ยน..........................สัญญาเวียนมีขึ้นแล
เกิดในปัจจุบันแท้............................................มีแน่ห้าปัจจัยสรรค์

   ๘๖.เพราะ"อวิชชาเกิด"มา.............................สัญญาจำเกิดก่อนพลัน
เพราะ"ตัณหา,อยากเกิด"ดั้น............................ครันสัญญามาเกิดหนา

   ๘๗.เพราะ"กรรมเกิด"จำเชิดมี........................"ผัสสะ"คลี่"จำ"เกิดหนา
เห็นลักษณะเกิดนี้ครา......................................เหมือนว่าก่อสัญญาขันธ์

   ๘๘.ความแปรของสัญญาเรียก.......................ความเสื่อมเพรียกจะเห็นครัน
ด้วย"อนุปัสส์นาฯ"กลั่น.....................................ลั่นดับปัจจัยห้าเผย

   ๘๙.เพราะ"อวิชชาดับ"ลง...............................สัญญาบ่งตรงดับเลย
เพราะ"ตัณหาดับ"แล้วเอ่ย................................สัญญาเอยก็ดับแฉ

   ๙๐.เพราะ"กรรมดับ"ลับลงแล้ว.......................สัญญาแผ่วแน่วดับแล
เพราะ"ผัสสะดับ"ฉับไวแล้.................................แท้สัญญาดับลงไส

   ๙๑.เมื่อเห็นลักษณะไซร้................................ก็เห็นได้ความเสื่อมไกล
ของสัญญาขันธ์รุดไว........................................"จำ"หายไปมิเสถียร


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, กันยายน, 2568, 03:20:28 PM

(ต่อหน้า ๕/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๙๒.กล่าวสัญญาเจ็ดล้ำ.........................สงฆ์เพียรทำผลเลิศเชียร
"อสุภสัญญา"เตียน..................................เวียนจดกายไม่งามผลาม

   ๙๓."มรณสัญญา"หมั่น...........................ระลึกครันพลันตายลาม
"อาหารเรฯ"กำหนดความ..........................อาหารทรามปฏิกูล

   ๙๔."สัพพโลเกฯ"จำชี้.............................ไม่ยินดีโลกอาดูร
"อนิจจสัญญา"ทูน.....................................สังขารพูนมิเที่ยงเผย

   ๙๕."อนิจเจทุกข์สัญญา".........................ทุกสิ่งหนาไม่เที่ยงเลย
"ทุกเขอนัตตสัญฯ"เอ่ย..............................ทุกข์เปรยไป่ตนไม่เถียร

   ๙๖."สัญญาสิบ"จำพริบแน่ว.....................กำหนดแคล่วใจมั่นเพียร
ถ้าป่วยจะระงับเนียน..................................หายเจ็บเชียรสงบหนา

   ๙๗."อนิจจสัญญา"พลัน...........................สังขารนั้นไม่เที่ยงครา
"อนัตตสัญญา"คว้า....................................จดธรรมหาใช่ตัวตน

   ๙๘."อสุภสัญญา"กราย............................กำหนดกายมิงามยล
"อาทีนวสัญฯ"ดล........................................จดผลโทษป่วยกายฉาย

   ๙๙."ปหานสัญญา"ดิ่ง...............................กำหนดทิ้งบาปธรรมปราย
และอกุศลทลาย.........................................สลายวิตกหมดไข

   ๑๐๐."วิราคสัญญา"ล้ำ..............................หมายธรรมตัดกิเลสไกล
"อริยมรรค"แน่ไว.........................................ประณีตไซร้สงบแฉ

   ๑๐๑."นิโรธสัญญา"ธรรมดับ......................ละแล้วลับมิเหลือแล
"อริยผล"เอยแท้..........................................ธรรมแน่สงบยิ่งหนา

   ๑๐๒."สัพพโลเกฯ"กำหนด.........................ไม่เพลินจดในโลกครา
"สัพเพสังขาฯ"ไม่พา....................................น่ายินดีรี่สังขาร

   ๑๐๓."อานาปานัสสติ"...............................กำหนดริหายใจชาญ
เข้า-ออกรู้ตัวสราญ......................................พานอารมณ์นิ่งมั่นเผย

   ๑๐๔.ได้สมาธิ์ด้วยสัญญา..........................สงฆ์หนาเกิดสมาธิเลย
แม้ไม่จดอารมณ์เอย.....................................ยังเชยเพราะมีสัญญา

   ๑๐๕.แค่สงฆ์พึงจดธรรมชาติ.....................สงบยาตรประณีพา
สกัดกิเลส,ตัณหา.........................................กำหนัดพร่าลับ,นิพพาน

   ๑๐๖.เหตุปัจจัยนิพพานวาง........................มีหลายอย่างที่เกี่ยวกราน
สัญญาจำทำสัตว์พาน...................................นิรวาณทันทีแฉ

   ๑๐๗.สัตว์หลายในโลกได้ทราบ..................ความจริงทาบ"จำ"สี่แล
"หานิภาสัญญาฯ"แล้.....................................แท้มีเสื่อมลงอยู่หนา

   ๑๐๘."ฐิติพาสัญญา"ชู................................ดำรงอยู่ยั่งยืนนา
ฝ่าย"วิเสสภาสัญญาฯ"..................................วิเศษมา"จำ"แท้ซิเผย

   ๑๐๙."นิพเพสัญญาฯ"ชำแรก......................กิเลสแตกดับครันเอย
เหตุเกิด,เหตุดับ"จำ"เปรย..............................เอ่ยเป็นอย่างใดกันผัน

   ๑๑๐.เหล่าสงฆ์กล่าวความจำ......................บุรุษด่ำไร้เหตุครัน
ไม่มีปัจจัยใดกัน............................................พลันเกิดและดับเองแฉ

   ๑๑๑.คิดเยี่ยงนี้ชี้ผิดเพราะ..........................ความจำเจาะ"เกิดมี"แล
"ดับก็มี"จำเกิดแล้..........................................แน่ดับด้วยเรียนคลี่หรู

   ๑๑๒.จำด้วย"สัจจสัญญา"...........................ละเอียดคราพาสุขพรู
ปีติเกิดวิเวกชู................................................สงฆ์จู่สงัดกามผลาม

   ๑๑๓.สลัดอกุศลธรรม.................................ลุล้ำปฐมฌานตาม
"กาม"ก่อนดับลับหนีลาม.................................เหลือความวิตก,วิจาร

   ๑๑๔.สงฆ์ร่ำเรียน"จำ"หนึ่งเกิด.....................หนึ่งดับเพริดด้วยเรียนพาน
สงฆ์ลุ"ทุติยฌาน"...........................................จิตพานใสตรึก,ตรองถอน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, กันยายน, 2568, 11:11:42 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๑๑๕.เหลือปีติ,สุขจากสมาธิ์.....................การเรียนพา"จำ"หนึ่งรอน
สงฆ์ลุ"ตติยย์ฌาน"ช้อน..............................ป้อนสุขซ้องอุเบกขา

   ๑๑๖.เพราะเรียนเนื่องดับ"จำ"ไว...............สุข,ทุกข์ไป่มีแล้วพา
เกิด"อทุกข์สุขสัญญาฯ"..............................สงฆ์หนาลุ"จตุตถ์ฌาน"

   ๑๑๗."รูป,สัจจสัญญา"เกิด........................อากาฯเทิดเกิดใหม่พาน
อารมณ์คืออากาศขาน................................"จำ"รูปรานดับลงเผย

   ๑๑๘.สงฆ์เรียนร่ำซ้ำเพิ่มหนา...................."อากานัญฯ"พ้นเอย
จำละเอียดเกิดสงฆ์เสย...............................เกย"วิญญาณัญฯ"ครันแฉ

   ๑๑๙.วิญญาณไม่มีที่สุด............................"จำ"รุดละเอียดครบแล
สงฆ์พ้นวิญญาณัญฯแล้...............................มุ่งแน่"อากิญจัญฌานฯ"

   ๑๒๐.อารมณ์ไม่มีอะไร.............................."จำ"ไซร้ละเอียดยิ่งกราน
ตามลำดับกระทั่งขาน.................................."จำ"ดับรานสนิทไข

   ๑๒๑."อภิสัญญานิโรธ"..............................สภาพโลดดับมิรู้ใด
สงฆ์ผู้"เสกสัญญา"ไว...................................คิด"จำ"ไซร้ของตนหนา

   ๑๒๒.เมื่อพ้นปฐมฌานถึงดั้น......................อากิณจัญฌานฯผ่านมา
สงฆ์ตรึกถ้ายังคิดกล้า..................................พาทำชั่วต้องเลิกเผย

   ๑๒๓.เลิกคิดคำนึงจึงดี.............................."ความจำ"รี่ดับลงเอย
"จำ"หยาบอื่นมิเกิดเลย.................................สงฆ์เกยลุนิโรธไข

   ๑๒๔.เข้า"อภิสัญญานิโรธ".........................สติโชติรู้ตนไว
สงฆ์มีสัมปชัญญะไกล..................................ใน"อากิญจัญฌาน"แฉ

   ๑๒๕.สัญญา,ญาณใดเกิดก่อน...................พระธรรมสอนสัญญาแล
"จำ"เกิดแล้ว"ญาณ"ตามแล้...........................เกิดแน่ลุทีหลังเผย

   ๑๒๖.สงฆ์รู้สัญญาปัจจัย............................ก่อให้ญาณเกิดตามเอย
"จำ"เป็นอัตตา,ตนเอ่ย...................................หรือเคยเป็นของคนแฉ

   ๑๒๗.หรือสัญญาเป็นอย่างหนึ่ง...................อัตตาถึงอีกอย่างแล
อัตตาหยาบมีรูปแว........................................เกิดแน่ด้วยมหาภูฯ

   ๑๒๘.บริโภค"กวฬิงกาฯ".............................อาหารมาเลี้ยงชีพกรู
สัญญาจึงเป็นหนึ่งพรู.....................................ชูอัตตาอีกอย่างหนา

   ๑๒๙.สัญญาบุรุษเกิดหนึ่ง...........................ดับพึงเป็นอีกอย่างครา
อัตตาสำเร็จมา..............................................ด้วยใจกล้าพร้อมอินทรีย์

   ๑๓๐.อวัยวะครบถ้วน..................................บุรุษล้วนจึงจะมี
สัญญาอย่างหนึ่งก็ชี้......................................อัตตาคลี่อีกอย่างเผย

   ๑๓๑.อัตตาไม่มีรูปแล.................................สัญญาแน่อย่างหนึ่งเอย
อัตตาก็อีกอย่างเปรย....................................."จำ"เกยเกิดอย่างดับอย่าง

   ๑๓๒.พราหม์บัญญัติอัตตา,ตน.....................สัญญาท้นยั่งยืนพลาง
เมื่อตาย,อัตตาวาง.........................................ตนลางมีสัญญา,จำ

   ๑๓๓.บางพวกว่าอัตตาไร้............................สัญญาไซร้ว่ายืนนำ
เมื่อตายบัญญัติหนำ......................................ย้ำตนไซร้สัญญาหนา

   ๑๓๔."สัญญาทิฏฐิ"มี"จำ".............................ปัจจัยนำปรุงแต่พา
เป็นเหมือนโรค,หัวฝีมา...................................ลูกศรกล้ากระหน่ำแฉ

   ๑๓๕."อสัญญีทิฏฐิ"ไร้..................................ความจำไซร้,ความหลงแล
ความดับสิ่งปรุงแต่งแล้...................................แน่คงมีอยู่ได้เผย

   ๑๓๖."เนวสัญญีนาฯ"ชี้................................."สัญญามีมิใช่"เอย
"ไม่มีก็มิใช่"เลย..............................................เอ่ยว่าหลังตายมิผัน

   ๑๓๗.สัญญาและภพในสัตว์..........................มีต่างจัดหลายพวกกัน
กาย,สัญญาต่างกันครัน..................................ชั้นมนุษย์,เทพบางพวกแฉ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, กันยายน, 2568, 02:12:38 PM
(ต่อหน้า ๗/๑๔) ๖.วิภังค์

   ๑๓๘."สัตว์มีกายต่าง,สัญญา-.......................เดียวกัน"นาคือพรหมแล
เกิดในปฐมฌานแล้........................................แท้อีกสัตว์เกิดในอบาย

   ๑๓๙."สัตว์มีกายเดียวกัน"แต่.......................สัญญาแค่ต่างกันปราย
คือพรหม"อาภัสสร"กราย...............................กายมีรัศมีซ่านหนา

   ๑๔๐."สัตว์มีกายเดียวกัน"เจียว...................."สัญญาเดียวกัน"เลยนา
คือเทพ"สุภกิณหะ"มา.....................................ลุกล้าทุติยฌาน
  
   ๑๔๑.สัญญามีในโลกมนุษย์.........................เป็นภพรุดมี"จำ"พาน
ภพที่มีสัญญาขาน..........................................ผ่านกายสัญญาต่างกันแฉ

   ๑๔๒."อสัญญสัตว์"คือสัตว์..........................ไร้"จำ"ชัดตั้งใจแล
ไม่เอานามธรรมโทษแล้..................................แน่ปัดวุ่นวายหมดหนา

   ๑๔๓.ลุฌานห้าไร้ทุกข์,สุข...........................จิตมั่นรุกเอกัคค์ตา
พรหมภูมิไร้นามธรรมพา.................................มีกล้าแต่แน่รูปขันธ์

   ๑๔๔.อสัญญสัตว์ไร้"จำ"..............................แต่มีด่ำตอนตายครัน
และตอนเกิดอุบัติสรรค์..................................กาลตั้งมั่นสัญญาหาย

   ๑๔๕.สัญญาขันธ์ดั้นโทษหนา......................"จำ,รู้"นาไม่แน่ปราย
ไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนแปลงกลาย.......................ตะกายทุกข์มิเป็นหวัง

   ๑๔๖.จำ,หมาย,รู้ไป่ตัวตน.............................ประโยชน์ผลมิมียัง
ไม่"จำ"คำถูกด่าคลั่ง.......................................สั่งตนแค้นมิควรหนา

   ๑๔๗.ฝึกโทษท้นสัญญาขันธ์........................สติรู้ทันปล่อยวางพา
ไม่เป็นทาสยาตรพ้นมา...................................ยึดติดกล้าทุกข์ขยาย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส = ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงเรียกว่า สัญญา
(๑) ธรรมชาติที่จำ = จำอะไร
เช่น จำสีเขียวบ้าง จำสีเหลืองบ้าง
เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่อาจแยกจากกัน แต่บัญญัติหน้าที่ต่างกันได้
เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น
(๒) สัญญามีในสมัยนั้น = เป็นไฉน
การจำ กิริยาที่จำ ความจำอันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกันในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญา มีในสมัยนั้น
(๓) สัญญา ๖ ประการนี้ คือ
(๓.๑) รูปสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์ (๓.๒) สัททสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์ (๓.๓) คันธสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์ (๓.๔) รสสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์ (๓.๕) โผฏฐัพพสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ (๓.๖) ธัมมสัญญา - สัญญาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์
(๔) เหตุเกิดแห่งสัญญา = เป็นไฉน คือ
ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งสัญญา
ก็ความต่างแห่งสัญญา = เป็นไฉน คือ มี ๖ ประการ
สัญญาในรูปเป็นอย่างหนึ่ง; สัญญาในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง; สัญญาในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง; สัญญาในรสเป็นอย่างหนึ่ง; สัญญาในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง; สัญญาในธรรมารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง
วิบากแห่งสัญญา = เป็นไฉน คือ
พระพุทธเจ้ากล่าวสัญญาว่า มีคำพูดเป็นผล (เพราะว่า) บุคคลย่อมรู้สึกโดยประการใดๆ ก็ย่อมพูดโดยประการนั้นๆ ว่า เราเป็นผู้มีความรู้สึกอย่างนั้น นี้เรียกว่าวิบากแห่งสัญญา
ความดับแห่งสัญญา = เป็นไฉน
คือ ความดับแห่งสัญญาย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ
อริยมรรคมีองค์ ๘ = คือ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญาได้แก่ สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ
เมื่อใด อริยสาวกทราบ = ชัด สัญญา, เหตุเกิดแห่งสัญญา, ความต่างแห่งสัญญา, วิบากแห่งสัญญา, ความดับแห่งสัญญา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญาอย่างนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส
(๕) ความเป็นอนิจจังแห่งสัญญา = คือ
สัญญาที่เป็นอดีต, สัญญาที่เป็นอนาคต ไม่เที่ยง, จักกล่าวถึงสัญญาที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, กันยายน, 2568, 08:13:42 AM

(ต่อหน้า ๘/๑๔) ๖.วิภังค์

อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว = เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในสัญญาที่เป็นอดีต, ไม่เพลิดเพลินในสัญญาที่เป็นอนาคต, ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อความดับสัญญาที่เป็นปัจจุบัน
สัญญาไม่เที่ยง = แม้เหตุปัจจัยที่ให้สัญญาเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง สัญญาที่เกิดจากสิ่งไม่เที่ยง ที่ไหนจะเที่ยงเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว = เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว = ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว, ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
(๖) ความเป็นทุกข์แห่งสัญญา
~ สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นทุกข์
~ จักกล่าวถึงสัญญาที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในสัญญาที่เป็นอดีต, ไม่เพลิดเพลินในสัญญาที่เป็นอนาคต, ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับสัญญาที่เป็นปัจจุบัน
สัญญาเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้สัญญาเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์
~ สัญญาที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจะเป็นสุขเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว, ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
(๗) ความเป็นอนัตตาแห่งสัญญา
สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา จักกล่าวถึงสัญญาที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในสัญญาที่เป็นอดีต,ไม่เพลิดเพลินในสัญญาที่เป็นอนาคต, ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับสัญญาที่เป็นปัจจุบัน
~สัญญาเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้สัญญาเกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา สัญญาที่เกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจะเป็นอัตตาเล่า
~อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
~เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว, ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
(๘) สัญญาเป็นสมุฏฐานของการดำริ
~ความดำริเป็นอกุศล มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน
สัญญาก็มี = มากหลายอย่าง
สัญญาใดเป็นสัญญาในกาม, เป็นสัญญาในพยาบาท, เป็นสัญญาในการเบียดเบียน, ความดำริเป็นอกุศล มีสัญญานี้เป็นสมุฏฐาน
~ความดำริเป็นกุศล มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน
สัญญาก็มี = มากหลายอย่าง 
สัญญาใดเป็นสัญญาในเนกขัมมะ(ละเว้นจากการทำบาป), เป็นสัญญาในความไม่พยาบาท, เป็นสัญญาในอันไม่เบียดเบียน, ความดำริเป็นกุศลมีสัญญานี้เป็นสมุฏฐาน
สุตตันตภาชนีย์ = ธรรมะฝ่ายพระสูตร แจกสัญญาขันธ์ หลายแบบ
สัญญาขันธ์ = กองสัญญา จำได้ หมาย รู้ เป็นไฉน?
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ สัญญาอดีต, สัญญาอนาคต, สัญญาปัจจุบัน, สัญญาภายใน, สัญญาภายนอก, สัญญาหยาบ, สัญญา-ละเอียด, สัญญาทราม, สัญญาประณีต, สัญญาไกล, สัญญาใกล้, ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์.
สัญญาอดีต = เป็นไฉน?
สัญญาใด ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว ที่เกิดขึ้นแล้ว ปราศไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา- ความจำที่เกิดจากการฟัง (๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้กลิ่น (๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้ลิ้ม (๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
สัญญาอนาคต = เป็นไฉน?
สัญญาใด ยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดยิ่ง ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา- ความจำที่เกิดจากการฟัง (๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้กลิ่น (๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้ลิ้ม (๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, กันยายน, 2568, 04:55:41 PM

(ต่อหน้า ๙ /๑๔) ๖.วิภังค์

อายตนะ ภายใน ๖ = ตา หู จมู ลิ้น กาย ใจ
สัญญาปัจจุบัน = เป็นไฉน?
สัญญาใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้วบังเกิดแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้วที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน ได้แก่
 (๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา- ความจำที่เกิดจากการฟัง (๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้กลิ่น (๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้ลิ้ม (๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
สัญญาภายใน = เป็นไฉน?
สัญญาใดของสัตว์นั้นๆ เอง ซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตนเฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุต(ประกอบด้วย) ด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา- ความจำที่เกิดจากการฟัง (๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้กลิ่น (๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้ลิ้ม (๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
สัญญาภายนอก = เป็นไฉน?
สัญญาใด ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นนั้นๆ ซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา- ความจำที่เกิดจากการฟัง (๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้กลิ่น (๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการได้ลิ้ม (๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
สัญญาหยาบ สัญญาละเอียด =  เป็นไฉน?
(๑) สัญญาอันเกิดแต่ปฏิฆสัมผัส (คือสัญญาเกิดแต่ปัญจทวาร) ~ เป็นสัญญาหยาบ
ปัญจทวาร = คือ ช่องทางในการรับรู้ของจิต ๕ ทาง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ซึ่งเป็นทางที่จิตจะรับรู้หรือสัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ
(๒) สัญญาอันเกิดแต่อธิวจนสัมผัส (คือสัญญาเกิดแต่มโนทวาร) ~ เป็นสัญญาละเอียด (๓) อกุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาหยาบ (๔) กุศลสัญญา และ อัพยากตสัญญา ~ เป็นสัญญาละเอียด (๕) กุศลสัญญา และ อกุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาหยาบ (๖) อัพยากตสัญญา ~ เป็นสัญญาละเอียด (๗) สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาหยาบ (๘) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาละเอียด (๙) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา และ ทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาหยาบ (๑๐) สัญญาที่สัมปยุตด้วย อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาละเอียด (๑๑) สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ~ เป็นสัญญาหยาบ (๑๒) สัญญาของผู้เข้าสมาบัติ ~ เป็นสัญญาละเอียด (๑๓) สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาหยาบ (๑๔) สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาละเอียด
หรือพึงทราบสัญญาหยาบ สัญญาละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป.
สัญญาทราม สัญญาประณีต =  เป็นไฉน?
(๑) อกุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาทราม (๒) กุศลสัญญาและอัพยากตสัญญา ~ เป็นสัญญาประณีต (๓) กุศลสัญญาและ อกุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาทราม (๔) อัพยากตสัญญา ~ เป็นสัญญาประณีต (๕) สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาทราม (๖) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและ อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาประณีต (๗) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและ ทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาทราม (๘) สัญญาที่สัมปยุตด้วย อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาประณีต (๙) สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ~ เป็นสัญญาทราม (๑๐) สัญญาของผู้เข้าสมาบัติ~ เป็นสัญญาประณีต (๑๑) สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาทราม (๑๒) สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาประณีต
หรือพึงทราบสัญญาทรามสัญญาประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
สัญญาไกล = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลสัญญา~ เป็น สัญญาไกลจากกุศลสัญญา และ อัพยากตสัญญา (๒) กุศลสัญญาและอัพยากตสัญญา~ เป็นสัญญาไกลจากอกุศลสัญญา (๓) กุศลสัญญา~ เป็นสัญญาไกลจากอกุศลสัญญาและอัพยากตสัญญา (๔) อกุศลสัญญาและอัพยากตสัญญา ~ เป็นสัญญาไกลจากกุศลสัญญา (๕) อัพยากตสัญญา~ เป็นสัญญาไกลจากกุศลสัญญาและอกุศลสัญญา  ,(๖) กุศลสัญญาและอกุศลสัญญา~ เป็นสัญญาไกลจากอัพยากตสัญญา (๗) สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๘) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๙) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๑๐) สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและ อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๑) สัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาแสะทุกขเวทนา (๑๒) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและ ทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, กันยายน, 2568, 10:00:32 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๔) ๖.วิภังค์

(๑๓) สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาของผู้เข้าสมาบัติ (๑๔) สัญญาของผู้เข้าสมาบัติ ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๑๕) สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ(กิเลส) (๑๖) สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
สมาบัติ = คือ ภาวะที่จิตสงบและแน่วแน่จากการเข้าสมาธิ เรียกว่า สมาบัติ ๘ (มีรูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔
สัญญาใกล้ = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาใกล้กับอกุศลสัญญา (๒) กุศลสัญญา ~ เป็นสัญญาใกล้กับกุศลสัญญา (๓) อัพยกตสัญญา ~ เป็นสัญญาใกล้กับอัพยากตสัญญา (๔) สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕) สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๖) สัญญาที่สัมปยุตด้วย อทุกขมสุขเวทนา ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๗) สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๘) สัญญาของผู้เข้าสมาบัติ ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาของผู้เข้าสมาบัติ (๙) สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๐) สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ~ เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
หรือพึงทราบสัญญาไกลสัญญาใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
อภิธรรมภาชนีย์ = แจกสัญญาขันธ์แบบ อภิธรรม มี หมวดละ ๑ - ๑๐ คือ
[ทุกมูลกวาร]
(๑) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = คือ สัญญาขันธ์ เป็น ผัสสสัมปยุต (ประกอบด้วยกับ ผัสสะ) (๒) สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ) (๓) สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต
(๔) สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ (๔.๑) สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร  - ท่องเที่ยวในกามภพ (๔.๒) เป็น รูปาวจร -ท่องในรูปภพ (๔.๓) เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ (๔.๔) เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัว
(๕) สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ (๕.๑) สัญญาขันธ์เป็น สุขินทริยสัมปยุต -ประกอบด้วย สุขเวทนา (๕.๒) เป็นทุกขินทริยสัมปยุต - ประกอบด้วย ทุกขเวทนา (๕.๓) เป็นโสมนัสสินทริยสัมปยุต - ประกอบด้วย โสมนัสสเวทนา (๕.๔) เป็นโทมนัสสินทริยสัมปยุต -  ประกอบด้วย โทมนัสสสเวทนา (๕.๕) เป็นอุเปกขินทริยสัมปยุต -  ประกอบด้วย อุเบกขาเวทนา
(๖) สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น (๖.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม (๖.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖.๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
(๗) สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๗.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๗.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๗.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๗.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ  (๗.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๘) สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ
(๘.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น (๘.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๘.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๘.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๘.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๘.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๘.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา  - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๘.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๙) สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ
(๙.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๙.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๙.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๙.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๙.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๙.๗) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล (๙.๘) อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๙.๙) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, กันยายน, 2568, 03:15:07 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๔) ๖.วิภังค์

(๑๐) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้
(๑๐.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๑๐.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๑๐.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๑๐.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๑๐.๘) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล (๑๐.๙) อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
ลักษณะแห่งความเกิดและแปร = ของสัญญา
~สัญญาที่เกิดแล้ว เป็นปัจจุบัน ลักษณะความบังเกิดแห่งสัญญานั้น ชื่อว่าความเกิดขึ้น
~พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห่งสัญญาขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ ๕ ประการ โดยความเกิดขึ้นแห่งปัจจัย อะไรบ้าง คือ
(๑) เพราะอวิชชาเกิด สัญญาจึงเกิด (๒) เพราะตัณหาเกิด สัญญาจึงเกิด (๓) เพราะกรรมเกิด สัญญาจึงเกิด (๔) เพราะผัสสะเกิด สัญญาจึงเกิด (๕) แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความบังเกิด ก็ย่อมเห็นความเกิดขึ้นแห่งสัญญาขันธ์
~ลักษณะความแปรผันไป (แห่งสัญญานั้น) ชื่อว่าความเสื่อม ปัญญาที่พิจารณาเห็นดังนี้ ชื่อว่าอนุปัสสนาญาณ
~พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อม (แห่งสัญญาขันธ์) โดยความดับแห่งปัจจัย ย่อมเห็นลักษณะ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
(๑) เพราะอวิชชาดับ สัญญาจึงดับ (๒) เพราะตัณหาดับ สัญญาจึงดับ (๓) เพราะกรรมดับ สัญญาจึงดับ (๔) เพราะผัสสะดับ สัญญาจึงดับ (๕) แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความแปรผัน ก็ย่อมเห็นความเสื่อมแห่งสัญญาขันธ์
อนุปัสส์นาญาณ = อนุปัสสนาญาณ คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาธรรมอย่างต่อเนื่องและรอบด้าน โดยเฉพาะไตรลักษณ์ (ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน). อนุปัสสนาญาณเป็นส่วนหนึ่งของวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔
สัญญา ๗ = อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
(๑) อสุภสัญญา - กำหนดหมายถึงความไม่งามแห่งร่างกาย (๒) มรณสัญญา - การเจริญสติเพื่อระลึกถึงความตาย (๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา - การกำหนดหมายหรือการพิจารณาอาหารว่าเป็นของปฏิกูล (๔) สัพพโลเกอนภิรตสัญญา - สัญญาว่าด้วยความไม่ยินดีในโลกทั้งปวง (๕) อนิจจสัญญา - กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร (๖) อนิจเจทุกขสัญญา - การพิจารณาเห็นว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนแต่ไม่เที่ยง (๗) ทุกเขอนัตตสัญญา - การพิจารณาความทุกข์โดยเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร
สัญญา ๑๐ = สิ่งที่ควรกำหนดหมายไว้ในใจ
บุคคลผู้เจ็บป่วย ความเจ็บป่วยพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟัง สัญญา ๑๐ ประการ นั้น เป็นฐานะที่เป็นไปได้
(๑) อนิจจสัญญา - กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร (๒) อนัตตสัญญา - กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรมทั้งปวง (๓) อสุภสัญญา - กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย (๔) อาทีนวสัญญา - กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือมีอาพาธต่างๆ (๕) ปหานสัญญา - กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรม (๖) วิราคสัญญา - กำหนดหมายวิราคะ ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส คืออริยมรรคว่าเป็นธรรมอันสงบประณีต (๗) นิโรธสัญญา - ธรรมเป็นที่ดับไปโดยไม่เหลือ คืออริยผลว่าเป็นธรรมอันสงบประณีต (๘) สัพพโลเก อนภิรตสัญญา - กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง (๙) สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา - กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง (๑๐) อานาปานัสสติ - สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
การได้สมาธิด้วยสัญญา =
การที่ภิกษุได้สมาธิโดยไม่สำคัญสิ่งใด ๆ เป็นอารมณ์ เป็นแต่ผู้มีสัญญา พึงมีได้
~โดยภิกษุพึงมีสัญญาอย่างนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั้นประณีต คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง, ความสละคืนอุปธิ(กิเลส) ทั้งปวง, ความสิ้นตัณหา, ความสิ้นกำหนัด, ความดับ นิพพาน
เหตุปัจจัยให้ปรินิพพาน = คือ
~สัญญาเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ปรินิพพานในปัจจุบัน
~สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมทราบชัดตามความ เป็นจริงว่า
(๑) หานิภาคิยสัญญา - สัญญาฝ่ายเสื่อม (๒) ฐิติภาคิยสัญญา - สัญญาฝ่ายดำรงอยู่ (๓) วิเสสภาคิยสัญญา - สัญญาฝ่ายวิเศษ (๔) นิพเพธภาคิยสัญญา - สัญญาฝ่ายชำแรกกิเลส


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, กันยายน, 2568, 08:24:44 AM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) ๖.วิภังค์

เหตุเกิดและเหตุดับสัญญา = เป็นอย่างไร
(๑) สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัญญาของบุรุษ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เกิดขึ้นเองดับไปเอง ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกนั้นผิดแต่ต้นทีเดียว
~เพราะเหตุไร เพราะสัญญาของบุรุษมีเหตุ มีปัจจัย เกิดขึ้นก็มี ดับไปก็มี สัญญาอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาก็มี สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาก็มี
(๒) สัญญาเกี่ยวด้วยกามและสัจจสัญญาละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
~เมื่อภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ สัญญาเกี่ยวด้วยกามที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ย่อมมีในสมัยนั้น
~ เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
~สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
~ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก(ตรึก)วิจาร(ตรอง)สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๓) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา
~ภิกษุบรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิในก่อนของเธอย่อมดับไป สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขาย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา
ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๔) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วย อทุกขมสุขสัญญา
~ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
~สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุขย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุข
~รูปสัญญาและสัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษา ด้วยประการอย่างนี้
~ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่าอากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจซึ่งสัญญาต่าง ๆโดยประการทั้งปวงอยู่
~รูปสัญญามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๕) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
~ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้อยู่
~สัจจสัญญาอันละเอีย ประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๖) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน
~ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร
~สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, กันยายน, 2568, 02:16:04 PM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) ๖.วิภังค์

อภิสัญญานิโรธ = คือ สภาพที่สัญญาดับสนิท ไม่มีการรับรู้อะไรอีกต่อไป
(๑) เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้มีสกสัญญา(การสำคัญว่าเป็นของตน) พ้นจากปฐมฌานเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เธอย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า
~เมื่อเรายังคิดอยู่ ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่ จึงจะดี ถ้าเรายังขืนคิด ขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นพึงเกิดขึ้น ถ้ากระไร เราไม่พึงคิด ไม่พึงคำนึง
~ครั้นเธอปริวิตกอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่คิด ไม่คำนึง เมื่อเธอไม่คิด ไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้บรรลุนิโรธ การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับย่อมมีด้วยประการอย่างนี้แล
~พระโยคีย่อมบรรลุนิโรธด้วยประการใดๆ เราก็บัญญัติอากิญจัญญายตนฌานด้วยประการนั้น ๆ เราบัญญัติอากิญจัญญายตนฌานอย่างเดียวบ้าง หลายอย่างบ้าง
สัญญาและญาณ = อะไรเกิดก่อน
~สัญญาแลเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง เพราะสัญญาเกิดขึ้น ญาณจึงเกิดขึ้น
~เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า ญาณเกิดขึ้นแก่เราเพราะสัญญานี้เป็นปัจจัย เธอพึงทราบความข้อนี้โดยบรรยายนี้ว่า
สัญญาและอัตตา = สัญญาเป็นอัตตาของบุรุษ หรือสัญญาอย่ๆๆางหนึ่ง อัตตาอย่างหนึ่ง
อัตตาหยาบ = คือ มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวฬิงการาหาร เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาของบุรุษนี้ = เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง
อัตตาสำเร็จด้วยใจ = มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ ไม่บกพร่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจักมีสัญญาอย่างหนึ่ง มีอัตตาอย่างหนึ่ง
~อัตตาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา =  เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาของบุรุษนี้ เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง
~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืน เมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่มีสัญญา
~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา
สัญญา (สัญญีทิฏฐิ) = อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ เป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
อสัญญีทิฏฐิ = ความไม่มีสัญญา  เป็นความหลง และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ = คือ ความมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
สัญญาและภพ = ต่างกันแต่ละสัตว์ เช่น
(๑) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ~ พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก (๒) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) (๓) สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร (๔) สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ
สัญญามีอยู่ = ในหมู่มนุษย์ โลกมนุษย์เป็นภพที่มีสัญญา, เป็นคติที่มีสัญญา, เป็นสัตตาวาสที่มีสัญญา, เป็นสงสารที่มีสัญญา, เป็นกำเนิดที่มีสัญญา, เป็นการได้อัตภาพที่มีสัญญา มนุษย์จึงทำกิจสำเร็จด้วยสัญญา
สัตตาวาส ๙ ชั้น = ที่อยู่ของสัตว์ ๙ ประเภท
(๑) สัตตาวาสชั้นที่ ๑ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวก และวินิปาติกสัตว์ (สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายภูมิ) บางพวก (๒) สัตตาวาสชั้นที่ ๒ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาผู้อยู่ใน ชั้นพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน (๓) สัตตาวาสชั้นที่ ๓ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือน เทวดาชั้นอาภัสสระ (๔) สัตตาวาสชั้นที่ ๔ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ (๕) สัตตาวาสชั้นที่ ๕ = สัตว์พวกหนึ่ง ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ (๖) สัตตาวาสชั้นที่ ๖ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ความจำหลากหลาย) (๗) สัตตาวาสชั้นที่ ๗ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ (๘) สัตตาวาสชั้นที่ ๘ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ (๙) สัตตาวาสชั้นที่ ๙ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, กันยายน, 2568, 07:53:27 AM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) ๖.วิภังค์

อสัญญสัตว์ และภพแห่งอสัญญสัตว์ = คือที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา
~ผู้อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน (ฌาน ๕ ที่ละจากสุขและทุกข์ทางกาย,ใจ มีอุเบกขา มีแต่ความสงบ ความละเอียดอ่อนของจิตที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอย่างยิ่ง -เอกัคคตา) ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น
~สัญญามีอยู่ในอสัญญสัตว์ทั้งหลายในกาลบางคราว ไม่มีในกาลบางคราว มีอยู่ในกาลจุติ ในกาลอุปบัติ (ปฏิสนธิกาล) ไม่มีในกาลตั้งอยู่ (ฐิติกาล/ปวัตติกาล)
~อสัญญสัตว์ จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้น เพราะเกิดสัญญาขึ้น
การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ = คือ การเห็นว่าความจำ ความหมายรู้นั้น ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน และเป็นทุกข์ ทำให้เกิดความยึดติดในสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์
(๑) โทษของสัญญาขันธ์ ~ไม่เที่ยง:
ความจำและความหมายรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่คงที่ ไม่แน่นอน
(๒) เป็นทุกข์ : การยึดติดในความจำ ความหมายรู้ต่างๆ ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อความจำนั้นไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา หรือเมื่อต้องสูญเสียความจำ
(๓) ไม่ใช่ตัวตน : ความจำและความหมายรู้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ตัวอย่าง:
~การจำรสชาติอาหารอร่อย ทำให้เราอยากกินอีก แต่เมื่อไม่ได้กิน ก็เกิดความทุกข์
~การจำเหตุการณ์ร้ายๆ ในอดีต ทำให้เราไม่สบายใจ และเกิดความกลัว
~การจำคำพูดของคนอื่น ทำให้เราโกรธ หรือเสียใจ
การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ จึงเป็นการฝึกสติ ให้รู้เท่าทันความจำและความหมายรู้ที่เกิดขึ้น และไม่ตกเป็นทาสของมัน เมื่อเห็นโทษของสัญญาขันธ์ ก็จะสามารถปล่อยวางความยึดติดในความจำและความหมายรู้เหล่านั้นได้
สรุป:
สัญญาขันธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ที่ต้องพิจารณาให้เห็นโทษ เพื่อที่จะได้ไม่ยึดติด และหลุดพ้นจากความทุกข์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, กันยายน, 2568, 04:18:07 PM

อภิธรรมปิฎก : ๗.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : สังขารขันธ์)

ร่ายสุภาพ/โคลงสี่สุภาพ

     ๑.สังขารขันธ์คือธรรม.....เกิดนำด้วยปัจจัย....แล้วไกลดับลับลง.....ตรงไม่เที่ยงเป็นทุกข์.....และรุกอนัตตา.....ไม่ใช่หนาตัวตน.....ชนคิดสังขารขันธ์.....ครันคือกองสังขาร.....พานกองแห่งธรรมนำ.....คำมีสภาพปรุงแต่ง.....แกร่งเจตสิกนี้.....ชี้ห้าสิบดวงแฉ....แลทำให้จิตเกิด.....คิดเลิศดี,ชั่วแท้.....กับปรี่เป็นกลางแล้.....ไม่ทั้งเลว,ดี เลยแฮ

     ๒.พระสูตรมีบ่งแท้......................สังขาร
แปล"เจตนา"หกพาน........................ผ่านพร้อม
คิดปรุงแต่งละลาน...........................มีรูป,สัมผัส
เสียง,กลิ่น,รสเลิศน้อม......................ยิ่งรู้ธรรมารมณ์

     ๓.สังขารขันธ์เป็นไฉน.....สังขารใดเหล่าหนึ่ง.....จึ่งเป็น"อดีต"ผ่าน.....ซ่าน"อนาคต"ไกล.....ใน"ปัจจุบัน"กาล.....สังขาร"ภายใน-นอก"....บอก"หยาบ-ละเอียด"หนา.....พา"ทราม-ประณีต"พาน....."สังขารไกลและใกล้".....วางร่วมกองเดียวไซร้.....บ่งพร้องสังขาร ขันธ์นา

     ๔."สังขารอดีต"ล่วงแล้ว...............ดับลง แปรไป
เกิดเผ่นลับมิคง................................อยู่สิ้น
แลใจคิดผจง....................................สัมผัส หกทวาร
ตามุ่งหู,จมูก,ลิ้น................................แจ่มแจ้งกายใจ

     ๕."สังขารอนาคต".....จดเป็นอย่างใดหนอ.....สังขารรอเกิดอยู่.....กู่มิพร้อมเกิด.....มิเชิดปรากฏแล.....แฉยังมิตั้งรัว.....ตัวอย่างเจตนา.....เกิดแต่ตาสัมผัส.....ชัด"จักขุสัมผัสส์ฯ"......จัดลำดับแต่"หู".....พรู"จมูก,ลิ้น,ใจกาย".....ผายเจตนามุ่งไซร้.....ทำพานหกทางไล้.....บ่งแท้สังขาร อนาคต

     ๖.สังขารกาลที่นี้.........................ปัจจุบัน
เกิดแน่วปรากฏพลัน.........................ยิ่งแล้ว
สัมผัสมุ่งปรุงครัน.............................หมายมั่น เจตนา
มองผ่านตา,หู..แจ้ว...........................จัดพร้อมใจ,กาย

     ๗."สังขารภายใน"ชัด.....ของสัตว์นั้นในตน.....เกิดยลในคนชั่ว.....พึ่งทำกรรมประกอบ.....ยอบด้วยทิฏฐิครอง.....ผองตัณหา,อยากได้......ไซร้คิดปรุงแต่งหนา.....ด้วย"ตา"สัมผัสนำ......จักขุสัมผัสส์ชาฯ.....คราโสตสัมผัสส์ฯหู......พรู"ฆานสัมฯ"จมูก.....ถูกลิ้น,ชิวหาสัมฯ......นำกายสัมผัสส์ชาฯ".....พามโนสัมผัสส์ฯจิต.....ชิดปรุงยึดคิดนำ.....ถลำไม่รู้เท่าทัน.....ครันความเป็นจริงแล.....แฉจึงทุกข์และหลง.....พะวงกับอารมณ์.....นึกตรมคิดปรุงแต่ง.....ทุกสิ่งแปร่งไม่เที่ยง.....เสี่ยงเปลี่ยนแปรตลอด.....ควรปลอดนำมุ่งป้อง.....เลิกไม่ยึดติดจ้อง.....เลิกแท้คิดปรุง สังขาร

     ๘."สังขารนอก"เด่นแท้.................บุคคคล สัตว์ผอง
เกิดแน่เพียงในตน.............................พรั่งพร้อม
ตัณหา,ทิฏฐิผล.................................ครองยุ่ง
เกิดผ่าน"ตา,หู.."น้อม.........................แต่งแต้มคิดหนา

     ๙.พา"สังขารหยาบ"พาน.....สังขารละเอียดแล....แฉคิดหยาบ-ละเอียด.....เฉียดเป็นอย่างไรบ้าง....สร้าง"อกุศลสังขาร".....เรียกพานสังขารหยาบ....ตราบ"กุศล,อัพยาฯ".....เรียกหนาสังขารละเอียด....เครียดประกอบด้วยทุกข์....ชุกสังขารหยาบเอย....เผยประกอบสุข,อทุกข์ฯ....รุกสังขารละเอียด....ละเมียดคิดผู้เข้า....เร้าสมาบัติฌาน....ขานสังขารละเอียด....ชนกระเดียดไม่เข้า....ครันไป่สมาบัติเฝ้า....พร่ำพร้องสังขาร หยาบแฮ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, กันยายน, 2568, 09:13:40 AM
(ต่อหน้า ๒/๑๖) ๗.วิภังค์

     ๑๐.พานใจคิดจุ่งล้น....................กิเลส อาสวะ
เรียกพร่ำสังขารเดช........................หยาบพ้อง
สังขารไม่มีเจตน์..............................กิเลส เจือปน
ขานมุ่งละอียดก้อง...........................ต่างแย้งมิเหมือน

     ๑๑.เยือน"สังขารทราม"กับ......จับ"ประณีต"ต่างกัน.....ครันเป็นอย่างใดแล....แฉ"อกุศลสังขาร".....กรานสังขารทรามเอย....เผย"กุศล,อัพยาฯ".....ประณีตหนาสังขาร.....คิดกรานประกอบทุกข์.....บุกเป็นสัญญาทราม.....ลามคิดสุข,อทุกข์เวทน์ฯ.....ประเภทประณีตสังขาร.....จิตพานมีอารมณ์.....ชมไร้กิเลสแล....แฉสังขารประณีต.....ขีดอารมณ์บ่มแล้.....กิเลสเจือปนแท้.....มุ่งแจ้วสังขาร ทรามเฮย

     ๑๒.คนยืนกรานเร่งเข้า.................ดำรง สมาบัติ
เรียกพร่ำประณีตยง..........................แม่นแล้ว
บุคคลไม่เคยตรง..............................พฤติมั่น
เรียกว่าคิดทรามแป้ว.........................เสื่อมแท้ สังขาร

     ๑๓.กรานถึง"สังขารใกล้".....ไซร้เป็นอย่างใดเอย.....เผยใช้พิจารณ์ธรรม.....เห็นนำชีพไม่เที่ยง.....อย่าเสี่ยงต่อชีวิต.....พิศ"กุศลสังขาร".... พานใกล้กุศลสังฯ.....ดัง"อกุศลสังขาร".....กรานใกล้ตัวมันเอง.....เผง"อัพยาสังขาร"......พานด้วย"ทุกข์เวทนา".....มาด้วย"สุขเวทนา".....พา"อทุกข์สุขเวทนา".....คราคิดเข้าสมาบัติ.....ชัดไม่เข้าสมาบัติ.....รวมยอดคัดเพ่งดั้น.....พิศบ่งตรงธรรมนั้น.....มุ่งเป้าเฉพาะธรรม ตรงนา

     ๑๔.คำ"สังขารอยู่ใกล้".................พิจารณ์
ธรรมแต่ละการสาน..........................ดิ่งล้ำ
"สังขารไป่กิเลส"พาน........................"มียิ่ง กิเลส"
สองเพ่งแยกกันย้ำ............................เสร็จสิ้นเกิดผล

     ๑๕.ยล"สังขารไกล"คือ.....ชื่อลืออย่างใดบ้าง.....จิตปรุงสร้างห่างไกล.....ยากไวจะเข้าถึง.....ตรึง"อกุศลสังขาร"....พานไกลจากกุศลฯ....และยลอัพยาฯแล.....แฉ"อัพยาสังขาร".....กรานห่างกุศล,ชั่ว.....จั่วมีทุกข์เวทนา.....ไกลหนาจากสุขเวทน์ฯ....และเสพอัพยาฯ.....ครา"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"นี้....ชี้ไกลจากสุข,ทุกข์ฯ.....ชนรุกสมาบัติรู้.....จำห่างไกลจากผู้.....ไม่เข้าฝึกฌาน สมาบัติ

     ๑๖.พานสังขารมุ่งไร้.....................มัวเมา กิเลส
จะ"ห่างไกล"ลับเขา...........................แน่แท้
กิเลสรี่งมเนา.....................................มากยิ่ง
จึงบ่งไกลลิบแล้.................................ผู้ไร้มัวหลง

    ๑๗.อภิธรรมภาชนีย์.....มีแจงสังขารขันธ์....ทั้งหมดครันหลายแบบ....จะแสดงแนบบางตอน......มิจรครบทั้งหมด....เช่นจดสังขารขันธ์.....พลันแค่หนึ่งถึงสิบ....."หมวดหนึ่ง"กริบคือกราน.....สังขารประกอบฉวย.....อวยกับจิตร่วมกัน.....ครัน"หมวดละสอง"แล.....แฉสังขาร,คิดคลี่......รี่"มีเหตุ,ไร้เหตุ"....."ประเภทละสาม"สังขาร.....พาน"กุศล,อกุศล".....ยล"อัพยากฤต"......ชิด"หมวดละสี่"เอย.....เผย"กามาวจระ".....ปะท่องในกามคุณ.....ดุน"รูปาวจระ".....พะพานรูปภพ.....จบพรหมมีรูปหนา.....มา"อรูปาวจระ"......จะอยู่อรูปภพ.....นบพรหมไร้รูปแล.....แฉวัฏฏะทุกข์แปล้.....เวียนว่ายตายเกิดแท้.....ไม่สิ้นสุดเผย

     ๑๘.สังขารหมวดที่ห้า.......................ประกอบ "สุข,ทุกข์"
"โสมนัส,โทมนัส"ครอบ..........................ยิ่งพร้อม
มี"อุเปกขินฯ"นอบ..................................กลางแน่ว
วางทุกข์,สุขเคยน้อม.............................นิ่งรู้ใจเฉย

     ๑๙.สังขารเชย"หมวดหก".....พกเจตนาผ่าน.....ซ่านหกทวารนี้.....สัมผัสชี้ด้วยตา.....ครา"จักขุสัมผัสส์ฯ".....ชัดหู,โสตสัมผัสส์ฯ.....จัดจมูก,ฆานสัมฯ.....นำลิ้น,ชิวหาสัมฯ.....ทำ"กายสัมผัสส์ชาฯ".....พา"ใจ,มโนสัมผัสส์ฯ".....ชัดจึงปรุงแต่งหนา....ครา"หมวดละเจ็ด"แล.....แฉเพิ่มจากหมวดหก......พกเพิ่มอีกหนึ่งคือ.....ลือ"มโนวิญญาณธาตุฯ"....ปราดสัมผัสตั้งใจ....สัมผัสไวเกิดรู้.....จู้อารมณ์ทางใจ.....ไกล"สังขารขันธ์หมวด.....รวดแปด"ได้แจกแจง.....แฝงจักขุ,โสตแล.....แฉ"ฆาน,ชิวหา".....มา"กายสัมผัสส์ชาฯ.....พาแยกสองสุข,ทุกข์.....รุก"มโนธาตุสัมฯ"......นำใจรู้อารมณ์....ชมผ่านทวารห้า....อ้า"ตา,หู,จมูก"เอย.....เผย"ลิ้น,กาย"ทุกครา....พา"มโนวิญญาณธาตุฯ".....ใจปราดรู้อารมณ์.....พรมวิญญาณรวมผ่านแล้.....ทวารหก"ตา,หู"แท้.....สู่"ลิ้น,กาย,ใจ" เจตนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, กันยายน, 2568, 03:28:30 PM

(ต่อหน้า ๓/๑๖) ๗.วิภังค์

     ๒๐.สังขารไกลลู่แท้.....................เจตนา สัมผัส
เกิดแต่"หู,จมูก,ตา"............................แม่น"ลิ้น"
"กาย,มโนธาตุฯ"เสริมหนา.................ดี,ชั่ว กลางสาม
วิญญ์ธาตุสัมผัสสิ้น...........................แจ่มแจ้งวิญญาณ

     ๒๑.คราสังขารขันธ์สิบ.....แจงลิบคิดผ่านตา.....พาจักขุสัมผัสส์ฯ.....คัดโสตสัมผัสส์ฯ,หู.....กรูจมูก,ฆานสัมฯ.....นำลิ้น,ชิวหาสัมฯ.....ทำกายสัมผัสส์ฯนี้.....ชี้มีสองเจตนา.....พาร่วมด้วยสุข,ทุกข์......รุกมโนธาตุ,ใจ.....สัมผัสไกลผ่านทวาร.....สานทั้งห้าตา..กาย.....ฉายผ่านวิญญาณธาตุฯ.....เจตนายาตรสัมผัส.....ชัดวิญญาณรู้สม.....ชมผ่านทวารหก.....ปรกตา,หู..กาย,ใจ....มีไวตั้งใจเพริด.....สัมผัสเกิดวิญญาณ....พานรู้แจ้งสามยล....."กุศล"และ"ชั่ว"แท้....ใจมุ่ง"กลางกลาง"แล้....สิ่งไร้เลว,ดี

    ๒๒.สังขารขันธ์ไม่พริ้ง..................มิยืน ถาวร
"คิด"เปลี่ยนแปรจำฝืน......................เลิกพร้อม
ยึดปรุงแต่งจิตกลืน...........................หมายมุ่ง ทุกข์ปลง
คุมแน่อารมณ์ค้อม............................ไม่เน้นปรุงหนา ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. สังขารขันธ์ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ https://share.google/LFRDSEUdKrEHzk4uX

สังขารขันธ์ = สภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจ หรือก็คือ เจตสิกทั้งหลาย (ยกเว้นเวทนาและสัญญา) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต สังขารเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิต
สังขาร = ใน ขันธ์ ๕ หมายถึง สภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี ทำดี คิดชั่ว ทำชั่ว หรือเป็นกลางๆ
เจตสิก ๕๒ = ธรรมที่ประกอบกับจิต, สภาวธรรมที่เกิดดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต, อาการและคุณสมบัติต่างๆ ของจิต
[ก] อัญญาสมานาเจตสิก ๑๓ = คือ
เจตสิกที่ประกอบเข้าได้กับจิตทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มิใช่เข้าได้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพวกเดียว
~สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ - เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง
(๑) ผัสสะ - ความกระทบอารมณ์ (๒) เวทนา - ความเสวยอารมณ์ (๓) สัญญา - ความหมายรู้อารมณ์ (๔) เจตนา - ความจงใจต่ออารมณ์ (๕) เอกัคคตา - ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว (๖) ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง (๗) มนสิการ - ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ
~ปกิณณกเจตสิก ๖ = เจตสิกที่เรี่ยรายแพร่กระจายทั่วไป คือ เกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุกดวง
(๘) วิตก - ความตรึกอารมณ์ (๙) วิจาร - ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์ (๑๐) อธิโมกข์ - ความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์ (๑๑) วิริยะ - ความเพียร (๑๒) ปีติ - ความปลาบปลื้มในอารมณ์, อิ่มใจ (๑๓) ฉันทะ - ความพอใจในอารมณ์
[ข] อกุศลเจตสิก ๑๔ = คือเจตสิกฝ่ายอกุศล
~สัพพากุสลสาธารณเจตสิก ๔ - เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับอกุศลจิตทุกดวง
(๑๔) โมหะ - ความหลง (๑๕) อหิริกะ - ความไม่ละอายต่อบาป (๑๖) อโนตตัปปะ - ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป (๑๗) อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน
~ปกิณณกอกุศลเจตสิก ๑๐ = คือ อกุศลเจตสิกที่เกิดเรี่ยรายแก่อกุศลจิต
(๑๘) โลภะ - ความอยากได้อารมณ์ (๑๙) ทิฏฐิ - ความเห็นผิด (๒๐) มานะ - ความถือตัว (๒๑) โทสะ - ความคิดประทุษร้าย (๒๒) อิสสา - ความริษยา (๒๓) มัจฉริยะ - ความตระหนี่ (๒๔) กุกกุจจะ - ความเดือดร้อนใจ (๒๕) ถีนะ - ความหดหู่ (๒๖) มิทธะ - ความง่วงเหงา (๒๗) วิจิกิจฉา - ความคลางแคลงสงสัย
[ค] โสภณเจตสิก ๒๕ = คือ เจตสิกฝ่ายดีงาม
~โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ = คือเจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง
(๒๘) สัทธา - ความเชื่อ (๒๙) สติ - ความระลึกได้, ความสำนึกๆพร้อมอยู่ (๓๐) หิริ - ความละอายต่อบาป (๓๑) โอตตัปปะ - ความสะดุ้งกลัวต่อบาป (๓๒) อโลภะ - ความไม่อยากได้อารมณ์ (๓๓) อโทสะ - ความไม่คิดประทุษร้าย (๓๔) ตัตรมัชฌัตตตา - ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ (๓๕) กายปัสสัทธิ - ความสงบแห่งกองเจตสิก (๓๖) จิตตปัสสัทธิ - ความสงบแห่งจิต (๓๗) กายลหุตา - ความเบาแห่งกองเจตสิก (๓๘) จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต (๓๙) กายมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก (๔๐) จิตตมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต (๔๑) กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก (๔๒) จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งจิต (๔๓) กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก (๔๔) จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต (๔๕) กายุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, กันยายน, 2568, 08:57:46 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๖) ๗.วิภังค์

(๔๖) จิตตุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งจิต
~วิรตีเจตสิก ๓ = เจตสิกที่เป็นตัวความงดเว้น
(๔๗) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ (๔๘) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ (๔๙) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ
~อัปปมัญญาเจตสิก ๒ = คือเจตสิกอัปปมัญญา
(๕๐) กรุณา - ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์ (๕๑) มุทิตา - ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข
~ปัญญินทรีย์เจตสิก ๑ = คือปัญญินทรีย์
(๕๒) ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ - ความรู้เข้าใจ ไม่หลง
สรุปสังขารขันธ์ ที่เป็นเพียง เจตสิกมี ๕๐ ประเภท (เว้น เวทนาเจตสิก และ สัญญาเจตสิก)
สังขารขันธ์ เป็นไฉน? = คือ กองที่รวมสังขารเหล่าหนึ่ง มี  ๑๑ รวมเข้าเป็นกองเดียวกัน เรียก สังขารขันธ์ ได้แก่
สังขารอดีต - อนาคต -ปัจจุบัน; สังขารภายใน - ภายนอก; สังขารหยาบ - ละเอียด; สังขารทราม - ประณีต; สังขารไกล -ใกล้
สังขารอดีต เป็นไฉน? = คือสังขารเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นแล้ว ปราศไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
นี้เรียกว่า สังขารอดีต
สังขารอนาคต เป็นไฉน? = คือ
สังขารเหล่าใด ยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่พร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดยิ่ง ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
นี้เรียกว่า สังขารอนาคต
สังขารปัจจุบัน = เป็นไฉน?
คือ สังขารเหล่าใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิดยิ่งแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
นี้เรียกว่า สังขารปัจจุบัน
สังขารภายใน = เป็นไฉน?
คือ เจตนาที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี ทำดี หรือคิดชั่ว ทำชั่ว (โดยแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ กายสังขาร -เจตนาทางกาย; วจีสังขาร -เจตนาทางวาจา; และมโนสังขาร -เจตนาทางใจ) สังขารเหล่าใด ของสัตว์นซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
นี้เรียกว่า สังขารภายใน
สังขารภายนอก = เป็นไฉน?
คือ สภาพร่างกายสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากส่วนต่างๆ และมองเห็นได้ เช่น ร่างกายของคน สัตว์ หรือสิ่งของต่างๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ สังขารภายนอกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไป
สังขารเหล่าใดของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นนั้นๆ ซึ่งมีในตนเฉพาะตน เกิดในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
นี้เรียกว่า สังขารภายนอก
สังขารหยาบ สังขารละเอียด = เป็นไฉน?
สังขารหยาบ - คือสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจให้เกิดการกระทำต่างๆ ทั้งดีและชั่ว เป็นสิ่งที่มองเห็น, สัมผัส, และรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
สังขารละเอียด - สภาวะของจิตใจที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าสังขารหยาบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งทางความคิดและอารมณ์ สังขารละเอียดนี้เป็นผลมาจากการเจริญสติปัญญา และการฝึกฝนจิตใจให้มีความสงบและตั้งมั่น 
(๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารหยาบ (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารละเอียด (๓) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารหยาบ (๔) อัพยากตสังขารเป็นสังขารละเอียด (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารละเอียด (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารละเอียด (๙) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารหยาบ (๑๐) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารละเอียด (๑๑) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารหยาบ (๑๒) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารละเอียด
หรือพึงทราบสังขารหยาบสังขารละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, กันยายน, 2568, 02:54:44 PM

(ต่อหน้า ๕/๑๖) ๗.วิภังค์

สังขารทราม สังขารประณีต = เป็นไฉน?
สังขารประณีต - คือเจตนา, ความตั้งใจที่ดีงาม เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุขและความสงบทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
(๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารทราม (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารประณีต (๓) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารทราม (๔) อัพยากตสังขารเป็นสังขารประณีต (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารทราม (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารประณีต (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารทราม (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารประณีต (๙) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารทราม (๑๐) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารประณีต (๑๑) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารทราม (๑๒) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารประณีต
หรือพึงทราบสังขารทรามสังขารประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
สังขารใกล้ = เป็นไฉน?
หมายถึง สภาพร่างกายที่กำลังเสื่อมลง หรือเข้าใกล้ความตาย ใช้ในการพิจารณาธรรมะ เพื่อให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และเพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาทในชีวิต
(๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารใกล้กับอกุศลสังขาร (๒) กุศลสังขารเป็นสังขารใกล้กับกุศลสังขาร (๓) อัพยากตสังขารเป็นสังขารใกล้กับอัพยากตสังขาร (๔) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๗) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๘) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขารของผู้เข้าสมาบัติ (๙) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๐) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
นี้เรียกว่า สังขารใกล้
หรือพึงทราบสังขารไกลสังขารใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ
สังขารไกล = เป็นไฉน?
คือ สังขาร - การปรุงแต่งทางจิตใจ เป็นสิ่งที่ห่างไกล ควบคุมไม่ได้ หรือยากที่จะเข้าถึง
(๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขารและอัพยากตสังขาร (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากอกุศลสังขาร (๓) กุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากอกุศลสังขารและอัพยากตสังขาร (๔) อกุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขาร (๕) อัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขารและอกุศลสังขาร (๖) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากอัพยากตสังขาร (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๙) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๑๐) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๑) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนา (๑๒) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๑๓) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้เข้าสมาบัติ (๑๔) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๑๕) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารไกลจากสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๖) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
นี้เรียกว่า สังขารไกล
อภิธรรมภาชนีย์
สังขารขันธ์ = เป็นไฉน
ทุกมูลกวาร =สังขารขันธ์ทั้งหมด แจกหลายแบบ
[ก] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, กันยายน, 2568, 08:53:36 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๖) ๗.วิภังค์

วัฏฏทุกข์  = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด
สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์(สุข) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์(ทุกข์) ก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส                                                                   สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
[ข] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์  = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิตสังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ มีหลายกลุ่ม ได้แก่
~กลุ่มเกี่ยวกับทุกข์,สุข 
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับวิบาก
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
~กลุ่มเนื่องด้วยกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, กันยายน, 2568, 07:08:22 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๖) ๗.วิภังค์

~กลุ่มเนื่องด้วยวิตก(ตรึก) วิจาร(ตรอง)
(๑) สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับปีติ,สุข,อุเบกขา
(๑) สังขารขันธ์ที่สหรคต(มีร่วม)ด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
~กลุ่มที่ต้องประหารกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
(มรรคเบื้องบน ๓ คือมรรคที่สูงกว่าโสดามรรคฯ คือ สกิทาคามิมรรค,อนาคามิมรรค,อรหัตตมรรค)
~กลุ่มเกี่ยวกับเหตุต้องประหาร
(๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~ กลุ่มที่เป็นเหตุให้เกิด ตาย นิพพาน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับ เสขบุคคล อเสขบุคคล
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
(เสขบุคคล เสขะ คือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุ อรหันตผล หรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี เสขะ หากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ และได้ชื่อว่าใหม่ว่า อเสขะ)
~กลุ่มเกี่ยวกับสภาวธรรม
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะก็มี (๓) ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ปริตตะ = สภาวะที่ด้อย หมายถึงธรรมที่เป็นกามาวจร - ท่องอยู่ในกามภพ
มหคัคตะ = หรือ มหรคต เป็นธรรมที่ถึงความยิ่งใหญ่ คือเป็นรูปาวจร - ท่องในรูปภพ หรือ อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ
อัปปมาณะ = ธรรมที่ประมาณมิได้ คือเป็นโลกุตตระ อยู่เหนือโลก
~กลุ่มสภาวะอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
~กลุ่มภาวะหยาบ ละเอียด
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
~กลุ่มสภาวะให้ผลผิด ถูกต้อง
(๑) สังขารขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์ในมรรค
(๑) สังขารขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
~กลุ่มการเกิด
(๑) สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
~กลุ่มกาลเวลา
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี
~กลุ่มที่อารมณ์ในกาลต่างๆ
(๑) สังขารขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
~กลุ่มภายใน-นอก
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒) ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓) ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
~กลุ่มอารมณ์ภายใน-นอกตน
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ สังขารขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ค] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒  แยกได้หลายกลุ่มได้แก่
~กลุ่มว่าด้วยเหตุ
(๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุก็มี
~กลุ่มสังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ)ด้วยเหตุ และวิปปยุต(ไม่ประกอบ)เหตุ
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒)ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
~กลุ่มมีเหตุ ไม่มีเหตุ ปนกัน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี
(๒) ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, กันยายน, 2568, 08:33:18 PM

(ต่อหน้า ๘/๑๖) ๗.วิภังค์

~กลุ่มมีเหตุประกอบร่วม 
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
~กลุ่มไม่เป็นเหตุ
(๑) สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี
(๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
~กลุ่มสภาวะธรรม
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี (๒) ที่เป็นโลกุตตระก็มี
~กลุ่มสภาพจิตรู้
(๑) สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับอาสวกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์ของกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
(๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
~กลุ่มที่มีกิเลสประกอบ,ไม่ประกอบ
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
~กลุ่มมีอารมณ์กิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
~กลุ่มที่ประกอบกับกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
~กลุ่มที่ไม่ประกอบกับกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับสังโยชน์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่รั้งสัตว์ไว้ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง (พระอรหันต์ตัดได้ทั้งหมด)
~กลุ่มอารมณ์ของสังโยชน์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
~กลุ่มที่ประกอบ/ไม่ประกอบสังโยชน์
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
~กลุ่มอารมณ์ของสังโยชน์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบสังโยชน์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
~กลุ่มไม่ประกอบด้วยสังโยชน์ มี/ไม่มีอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นคันถะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
คันถะ ๔= หมายถึง เป็นห่วงที่ร้อยรัดไว้ในระหว่าง จุติ-ปฏิสนธิ ให้เกิดก่อต่อเนื่องกันไม่ให้พ้นไปจากวัฏฏทุกข์ได้
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ           
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
(๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบด้วยคันถะ
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะ แต่ไม่เป็นคันถะก็มี
~กลุ่มประกอบด้วยคันถะ แต่เป็น/ไม่เป็นคันถะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
~กลุ่มไม่ประกอบคันถะ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก
คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
~กลุ่มเกี่ยวกับโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นโอฆะก็มี
โอฆะ = กิเลสที่ท่วมจิตของสัตว์โลก เสมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวที่พัดพาให้สัตว์จมอยู่ในกิเลส ซึ่งมี ๔ อย่าง ได้แก่ กาโมฆะ (โอฆะคือกาม), ภโวฆะ (โอฆะคือภพ), ทิฏโฐฆะ (โอฆะคือทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา)
~กลุ่มอารมณ์ของโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบด้วยโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, กันยายน, 2568, 08:42:36 AM

(ต่อหน้า ๙/๑๖) ๗.วิภังค์

~กลุ่มมี/ไม่มีอารมณ์ของโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะก็มี
~กลุ่มประกอบด้วยโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและสัมปยุตด้วยโอฆะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะก็มี
~กลุ่มไม่ประกอบด้วยโอฆะ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นโยคะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นโยคะก็มี
โยคะ =การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ ได้แก่ควบคุมจิตใจและการเจริญปัญญา
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
(๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยโยคะ
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี
(๒) ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและเป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
(๒) ที่เป็นอารมณ์ของโยคะแต่ไม่เป็นโยคะก็มี
~กลุ่มประกอบด้วยโยคะ แต่เป็น/ไม่เป็นโยคะ
(๑)สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะก็มี
(๒) ที่สัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็นโยคะก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒)ที่วิปปยุตจากโยคและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นนิวรณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
นิวรณ์ =คือ เครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๕ ประการ ได้แก่ กามฉันทะ - พอใจในกาม; พยาบาท; ถีนมิทธะ - หดหู่; อุทธัจจกุกกุจจะ - ฟุ้งซ่าน; และวิจิกิจฉา - ลังเลสงสัย
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
~กลุ่มประกอบด้วย/ไม่ประกอบนิวรณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
~กลุ่มประกอบด้วยนิวรณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
~กลุ่มไม่ประกอบด้วยนิวรณ์ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นปรามาส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี
ปรามาส =การยึดมั่นถือมั่นในศีลและวัตรปฏิบัติอย่างงมงาย
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยปรามาส
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
~กลุ่มที่เป็นอารมณ์ของปรามาส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของ
ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
~กลุ่มที่ยึดถือ/ไม่ยึดถือตัณหา,ทิฏฐิ
(๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอุปาทาน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
~กลุ่มประกอบด้วย/ไม่ประกอบอุปาทาน
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, กันยายน, 2568, 05:04:50 PM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๖) ๗.วิภังค์

~กลุ่มที่ประกอบด้วยอุปาทานแต่เป็น/ไม่เป็นอุปาทาน
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~กลุ่มที่ไม่ประกอบด้วยอุปาทาน แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน             
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~กลุ่มที่ทำให้/ไม่ทำให้เศร้าหมอง
(๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~กลุ่มที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง แต่เป็น/ไม่เป็นกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี (๒) ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~กลุ่มที่ถูกประกอบด้วยกิเลส แต่เป็น/ไม่เป็นกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี (๒)ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~กลุ่มที่ไม่ประกอบด้วยกิเลส แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~กลุ่มที่ต้อง/ไม่ต้องประหาร ด้วยโสดาฯ
(๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
~กลุ่มที่ต้อง/ไม่ต้องประหาร ด้วยมรรคเบื้องบน ๓             
(๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~กลุ่มที่มีเหตุ/ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาฯ
(๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
~กลุ่มที่มีเหตุ/ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน
(๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~กลุ่มที่มี/ไม่มีวิตก
(๑) สังขารขันธ์ที่มีวิตกก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกก็มี
~กลุ่มที่มี/ไม่มีวิจาร(ตรอง)
(๑) สังขารขันธ์ที่มีวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิจารก็มี
~กลุ่มที่มี/ไม่มี ปีติ
(๒) สังขารขันธ์ที่มีปีติก็มี (๒) ที่ไม่มีปีติก็มี
~กลุ่มที่ร่วม/ไม่ร่วมด้วยปีติ
(๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
~กลุ่มที่มี/ไม่มีสุขร่วมด้วย
(๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
~กลุ่มที่มี/ไม่มีอุเบกขาร่วมด้วย
(๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น กามาวจร
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น รูปาวจร
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น อรูปาวจร
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นวัฏฏทุกข์
(๑) สังขารขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์ = คือ วงจรของความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำของกิเลส กรรม และผลของกรรม (วิบาก) ซึ่งหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ มี ๓ อย่าง คือ
(๑) กิเลสวัฏฏะ - ความวนเวียนของกิเลส คือ ความติดข้อง ความอยาก ความหลง ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (๒) กรรมวัฏฏะ - ความวนเวียนของการกระทำ คือ การกระทำทั้งดีและชั่วที่เกิดจากกิเลสนำไปสู่ผลลัพธ์ต่างๆ (๓) วิบากวัฏฏะ - ความวนเวียนของผลของกรรม คือ ผลที่เกิดจากการกระทำ เป็นเหตุให้เกิดกิเลส วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ
 ~กลุ่มที่เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุ นำออกจากวัฏฏะ           
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
~ กลุ่มให้ผลแน่/ไม่แน่นอน
(๑) สังขารขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, ตุลาคม, 2568, 06:06:48 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๖) ๗.วิภังค์

~กลุ่มที่มี/ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี (๒) ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
~กลุ่มที่เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุให้ร้องไห้
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
อนึ่ง ต่อจากนี้ สังขารขันธ์หมวดละ ๓ - ๑๐  ก็จะเหมือนใน ข้อ [ก] อภิธรรมภาชนีย์ที่กล่าวมาแล้ว
[ค] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์= หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑)สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓  แยกเป็นกลุ่มอีกได้แก่
~กลุ่มประกอบด้วย สุข,ทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์
(๑)สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~กลุ่มมีธรรมภายใน/นอก/ทั้งในนอกเป็นอารมณ์
 (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒)ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔-๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
[ง] สังขารขันธ์ หมวด ๑ - ๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา           
[จ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ฉ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ แจกเป็น กลุ่มได้แก่
~กลุ่มที่ประกอบด้วยสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~กลุ่มที่มีธรรมภายใน,นอกตนเป็นอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                         
[ช] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ แจกเป็น กลุ่มได้แก่
~กลุ่มที่ประกอบด้วยสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์ได้แก่ 
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓ )ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~กลุ่มที่มีธรรมภายใน,นอกตนเป็นอารมณ์
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
             ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา           
[ซ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, ตุลาคม, 2568, 03:06:31 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๖) ๗.วิภังค์

[ฌ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑)สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒)ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓)ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ญ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี, ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี, ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ฎ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี, ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ฏ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ฐ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑)สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓ )ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ฑ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒
ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี, ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา                       
[ฒ] สังขารขันธ์ หมวด ๑ - ๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหาณด้วยมรรเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ณ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี, ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี  (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, ตุลาคม, 2568, 09:54:28 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๖) ๗.วิภังค์

[ด] สังขารขันธ์ หมวด ๑ -๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สังขารขันธ์= หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ต] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี, ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา             
[ถ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี, ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี (๒)ที่เป็นมหัคคตะก็มี (๓) ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ท] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี, ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ธ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี, ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[น] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี, ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา           
[บ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ป] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี, ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, ตุลาคม, 2568, 05:27:02 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๖) ๗.วิภังค์

[ผ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี, ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ฝ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
 สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วย
สังโยชน์ก็มี, ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[พ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒) ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓) ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
[ฟ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
 สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี, ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
อุภโตวัฑฒกวาร จบ
พหุวิธวาร =สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ แยกอีกหลายกลุ่ม ได้แก่
~ กลุ่มการกระทำ และภพต่างๆ
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~กลุ่มประกอบด้วยสุข,ทุกข์
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~ กลุ่มธรรมที่มีภายใน,นอกตน
(๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี             
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒๔ แยกได้แก่ กลุ่มเกี่ยวข้องกับอายตนภายใน
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๒) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๓) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, ตุลาคม, 2568, 08:34:54 AM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๖) ๗.วิภังค์

~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๕) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๖) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๗) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๘) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๙) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๐) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๑๑) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๑๒) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๓) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๑๔) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๑๕) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๖) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลจึงมี (๑๗) ที่เป็นอกุศลจึงมี (๑๘) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
(๑๙) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส (๒๐) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส (๒๑) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส (๒๒) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส (๒๓) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๒๔) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓๐
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒) ที่เป็นรูปาวจร (๓) ที่เป็นอรูปาวจร  (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
~ เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๕) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๖) ที่เป็นรูปาวจร (๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๙) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๐) ที่เป็นรูปาวจร (๑๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๓) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๔) ที่เป็นรูปาวจร (๑๕) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๖) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๗) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๘) ที่เป็นรูปาวจร (๑๙) ที่เป็นอรูปาวจร  (๒๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒๒) ที่เป็นรูปาวจร (๒๓) ที่เป็นอรูปาวจร  (๒๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์จึงมี
(๒๕) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส (๒๖) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส (๒๗) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส (๒๘) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส (๒๙) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๓๐) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละมากอย่าง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย จึงมี
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๒) ที่เป็นอกุศล (๓) ที่เป็นอัพยากฤต (๔) ที่เป็นกามาวจร (๕) ที่เป็นรูปาวจร (๖)ที่เป็นอรูปาวจร (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๘) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๙) ที่เป็นอกุศล (๑๐) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๑) ที่เป็นกามาวจร (๑๒) ที่เป็นรูปาวจร (๑๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, ตุลาคม, 2568, 03:28:15 PM

(ต่อหน้า ๑๖/๑๖) ๗.วิภังค์

~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๕) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๖) ที่เป็นอกุศล (๑๗) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๘) ที่เป็นกามาวจร (๑๙) ที่เป็นรูปาวจร (๒๐) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๑) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๒) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๒๓) ที่เป็นอกุศล (๒๔) ที่เป็นอัพยากฤต (๒๕) ที่เป็นกามาวจร (๒๖) ที่เป็นรูปาวจร (๒๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๙) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๐) ที่เป็นอกุศล (๓๑) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๒) ที่เป็นกามาวจร (๓๓) ที่เป็นรูปาวจร (๓๔) ที่เป็นอรูปาวจร (๓๕) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๓๖) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๗) ที่เป็นอกุศล (๓๘) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๙) ที่เป็นกามาวจร (๔๐) ที่เป็นรูปาวจร (๔๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๔๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
(๔๓) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส (๔๔) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส (๔๕) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส (๔๖) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส (๔๗) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๔๘) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย จึงมี
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๕) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๖) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๗) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๘) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๙) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๐) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๑) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๑๒) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๓) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๔) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๑๕) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๖) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๗) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๑๘) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี         
(๑๙) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๐) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๑) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๒) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒๓) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒๔) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒๕) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๒๖) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส (๒๗) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส (๒๘) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส (๒๙) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส (๓๐) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๓๑) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, ตุลาคม, 2568, 10:22:31 AM

อภิธรรมปิฎก : ๘.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : วิญญาณขันธ์)

ร่ายดั้น/ โคลงสี่ดั้นสุภาพ

      ๑.วิญญาณขันธ์นั้นขาน.....กองวิญญาณ"รู้แจ้ง".....อารมณ์แว้งเกิดหนา.....ผ่านอายตนะใน.....หกไว"ตา,หู.."เอย.....เผยมากระทบกับ.....จับอายตนะหก.....ปรก"รูป,รส,กลิ่น,เสียง"....."สัมผัส"เคียงอารมณ์....."ใจ"ชมรู้สึกแล.....แฉกับสิ่งต่างพาน....วิญญาณขันธ์ส่วนหนึ่ง.....จึ่งในขันธ์ห้าเอย......เผยกอปรด้วย"รูป,กาย".....กราย"เวทนา"รู้สึก.....นึก"สัญญา,จำ"หมาย.....กราย"สังขารปรุงแต่ง".....แกร่ง"รู้แจ้ง,วิญญาณ".....งานวิญญาณขันธ์นั้น.....จะดั้นทำอย่างไร.....เมื่อใดอายตนะ.....กระทบใน-นอกครัน.....พลันวิญญาณขันธ์รู้.....จู้เกิดรู้สึกเช่น....เด่นเห็นรูป,ยินเสียง.....เผดียง"รส,กลิ่น"เชย....."กาย"แน่ว สัมผัส....."ใจ"จุ่งทราบรู้แท้.....ยิ่งหนา

     ๒."สุตตันฯ"มาแบ่งแท้..................วิญญาณ ขันธ์เอย
รวมเหล่าวิญญาณกราน...................ย่อเข้า
สิบเอ็ดกลุ่มรวบพาน.........................กองเดี่ยว วิญญาณขันธ์
จะมุ่งแจงชี้เร้า..................................ต่อไป
   
     ๓.ไซร้วิญาณขันธ์เห็น.....เป็นอย่างไรบ้างแล.....แฉวิญญาณอย่างใด.....คือ"ไกลจากอดีต".....วิญญาณดีด"อนาคต"......จดเป็น"ปัจจุบัน"......ครัน"วิญญาณในตน".....ยล"วิญญาณนอกตน".....ผล"วิญญาณหยาบ"แล......แฉ"วิญญาณละเอียด".....กระเดียด"ชั้นต่ำ"เอย.....เผย"วิญญาณประณีต".....ขีด"วิญญาณไกล"พาน....."วิญญาณใกล้ท้ายหนา".....ประมวลมากองเดียว.....เรียกเชียวสัญญาขันธ์....ครันวิญญาณอย่างใด.....หรือไรอย่างหนึ่งหนา......คืออยู่คราสี่ภูมิ.....ปูม"กามภพ" ทุกข์มาก.....ครา"รูปฯ อรูปภูมิ"......โลกุตตร์ฯช้อยพ้น......โลกหนา

     ๔.พาวิญญาณล่วงพ้น................ดับไป ครา"อดีต"
แปรเปลี่ยนแปลงครรไล.................แน่แล้ว
"จักขุฯ"แน่วตาไว............................หูโสต วิญญาณ
มีอยู่หกแล้แผ้ว...............................เด่นแฉ

     ๕.แล"วิญญาณอนาคต".....จดยังไม่เกิดหนา.....ไม่พร้อมมาอุบัติ.....ชัดหกวิญญาณเหมือน.....เตือน"จักขุวิญญาณ".....พานโสตวิญญาณ.....ฆานวิญญาณเอย.....เผยชิวหาวิญญาณ.....ชาญกายแน่ววิญญาณ.....มโนซ่าน วิญญาณ......เห็นเด่นกาลหน้าพริ้ง.....แม่นหนา

     ๖.คราวิญญาณบ่งชี้....................กาลเห็น ปัจจุบัน
เกิดอยู่มองชัดเป็น...........................เริ่มตั้ง
วิญญาณหกประเด็น........................คือชื่อ เดิมหนา
"ตา"แผ่ถึงพร้อมทั้ง..........................จิตใส

     ๗.ไซร้"วิญญาณในตน"......เกิดยลในตนเอง.....เผงผู้กอปรกรรมแล.....แฉทิฏฐิ,ตัณหา.....พาเรียกวิญญาณเกิด.....เพริดในตนเองเลย......เผยได้แก่วิญญาณ.....หกพานวิญญาณแล......แฉเช่นเดียวกันเอย.....เผย"วิญญาณนอกตน"......หมายดลของสัตว์อื่น......แต่เกิดดื่นกับตน......เฉพาะยลกับตัว.....รัว"ทิฎฐิ,ตัณหา".....พาแจ้งรู้ทางหก.....ปรกวิญญาณทั้งผอง.....ตรอง"วิญญาณที่หยาบ.......ตราบละเอียด"ต่างไฉน.....วิญญาณไวรู้รอบ......ตอบทำชั่วแท้เอย.....เผยเป็นวิญญาณหยาบ......ตราบวิญญาณกุศล......ยลอัพยาฯกลางผล......ดลวิญญาณละเอียด.....เฉียดวิญญาณรู้กอปร.....ยอบด้วยทุกข์เวทนา.....พาเรียกว่าหยาบแล.....แฉวิญญาณรู้สุข......อทุกข์สุขเวทนา.....เรียกหาละเอียดรู้.....จู้อารมณ์กิเลส.....เจตน์จึงตรมเรียกสม......ซมวิญาณหยาบเอย.....เผยมิคลี่อารมณ์.....อันไป่ กิเลส......"ละเอียด"ขานรู้แจ้ง.....มั่นหนา

     ๘.บุคคลนาไม่เข้า.......................กระทำ สมาบัติ
เรียกว่า"หยาบ"ถลำ.........................แน่แท้
บุคคลร่ำสมาฯนำ............................."ละเอียด วิญญาณ"
ประสบพบได้แล้..............................เยี่ยมหนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, ตุลาคม, 2568, 04:17:29 PM

(ต่อหน้า ๒/๑๔) ๘.วิภังค์

      ๙.พา"วิญญาณชั้นต่ำ".....พร่ำต่างกับ"ประณีต".....แบ่งขีดอย่างไรกัน.....ครันวิญญาณอกุศล....ยลวิญญาณชั้นต่ำ.....วิญญาณด่ำกุศล.....และยลอัพยาฯกลาง.....ลางวิญญาณประณีตดีดวิญญาณกอปรด้วย.....ย้วยทุกข์เวทนา.....พาเป็นวิญญาณต่ำ.....ฉ่ำสุข,อทุกข์สุขเวทน์ฯ......วิเศษประณีตเอย.....เผยกอปรด้วยอทุกข์สุขฯ.....รุกชั้นประณีตแล......แฉวิญญาณผู้เข้า.....เร้าสมาบัติชัด.....จัดเป็นประณีตเอย....เผยคนไม่พึงถึง.....สมาบัติ.....เจาะดิ่งลึกแจ่งชั้น.....ต่ำหนา

     ๑๐.คราอารมณ์บ่มด้วย...............มัวหลง กิเลส
เห็นเด่นวิญญาณตรง.......................ต่ำชั้น
อารมณ์ไม่พะวง...............................กิเลส
เรียกเปรื่องปราดรู้ดั้น.......................ประณีตแฉ

     ๑๑.แล"วิญญาณไกล"เป็น......เห็นอย่างไรบ้างเอย.....เผยวิญญาณรู้แจ้ง.....แว้งอกุศลแล.....แฉไกลจากกุศล......หรือยลอัพยากฤต.....ชิดรู้อัพยาฯ......บ่งหนาวิญญาณไกล.....ห่างไงจากกุศล.....และยลอกุศล......ผลวิญญาณกอปรสุข......และชุกอทุกข์สุขเวทน์ฯ.....พิเศษวิญญาณไกล......ห่างไวจากวิญญาณ.....ที่พานกอปรทุกข์เอย.....เผยวิญญาณกอปรด้วย.....ย้วยอทุกข์สุขเวทนา.....ไกลหนากว่าประกอบ.....ตอบสุข,ทุกข์เวทนา......วิญญาณหนาไม่มี.....กิเลสพีเจือมาน.....วิญญาณอยู่ไกลแล.....แฉห่าง คนมี.....กิเลสฟูพรัอมแท้.....แน่ขาน

     ๑๒.วิญญาณของผู้เข้า................หมายเนา สมาบัติ
จะบ่งไกลจากเขา.............................ซึ่งไร้
สมาบัติพลาดเกลา...........................ละเลิก กิเลส
จึงห่างไกลผู้ได้................................พฤติหนา

     ๑๓.มา"วิญญาณใกล้"นั้น.....ดั้นเป็นอย่างไรเอย......เผยวิญญาณรู้แจ้งใด.....ก็ไวใกล้กับตน.....ไม่ยลใกล้สิ่งต่าง......กระจ่างเช่นอกุศล.....ยลใกล้อกุศล.....หรือยลกุศลแล.....แฉใกล้กุศลครัน.....พลันรวมทั้งหมดเหมือน.....เตือนวิญญาณอัพยาฯ.....วิญญาณหนากอปรทุกข์.....หรือกอปรสุขเวทนา.....พากอปรด้วยอทุกข์สุขฯ......วิญญาณชุกผู้นำ......ทำสมาบัติเพียรเอย......หรือไม่ กระทำ......จำอยู่เคียงใกล้แล้ว......ชิดตน

     ๑๔.คนกิเลสยิ่งล้น......................วิญญาณ พึงมี
กิเลสเหมือนตนพาน.........................อยู่ใกล้
กิเลสไม่มีขาน..................................จึงผ่อง วิญญาณ
เผยอยู่แนบด้วยได้...........................เฉพาะตน

     ๑๕.ยล"อภิธรรมภาฯ"......มาแจกวิญญาณขันธ์......ครันมีหลายแบบเอย.....เปรยแต่หมวดละหนึ่ง.....ถึงซึ่งหมวดละสิบ.....จึ่งลิบมากกว่านั้น.....ขอดั้นแค่สิบแล......แฉเริ่ม"หมวดละหนึ่ง"......ซึ่งวิญญาณขันธ์นั้น.....ดั้น"ประกอบผัสสะ".....กระทบแล้ววิญญาณ.....พานรู้แจ้งเลยหนา.....ครา"หมวดละสอง"นี้.....ชี้วิญญาณขันธ์ไซร้....."มีเหตุ,ไร้เหตุ"แล.....แฉ"หมวดละสาม"เอย......เผยเป็น"กุศล,ชั่ว"......จั่วเป็น"อัพยาฯ,กลาง"......พลางเป็น"หมวดละสี่"......คลี่"กามาวจระ".....ปะใฝ่กามคุณห้า......กล้า"รูปาวจระ"......พระพรหมมีรูปแล.....แฉ"อรูปาวจระ"......พระพรหมไร้รูปเอย.....เผย"ไม่อยู่วัฏฏะทุกข์".....รุกกลุ่มพ้นวัฏฏะ......ปะอรหันต์ล่วง......พ้นบ่วงกิเลสหนา.....ถึงครา"หมวดละห้า".......วิญญาณคว้าประกอบ......นอบสุข,สุขินทรีย์.....กอปรมีทุกขินทรีย์.....กอปรดีโสมนัสสินฯ.....ชินโทมนัสสินทรีย์......ประกอบ อุเบกขา......พาจิตวางรู้แล้ว......แน่วกลาง

     ๑๖.วาง"วิญญาณหก"แล้.............."ดวงตา จักขุฯ"
"หู,โสตวิญญาณ"มา..........................ชัดแล้ว
"ฆานฯจมูก,ชิวหาฯ............................กายส่ง วิญญาณ
มโนฯ,จิตชาญรู้แผ้ว...........................แจ่มหนา

     ๑๗.คราวิญญาณขันธ์หมวด.....รวดละ"เจ็ดวิญญาณ".....พานจักขุวิญญาณ.....ประสานโสตวิญญาณ......กรานจมูก,ฆานวิญญ์ฯ.....ชินลิ้น,ชิวหาวิญญ์ฯ.....ประทินกายวิญญาณ.....สราญมโนธาตุ.....รับรู้กาจอารมณ์.....สมผ่านทวารห้า.....กล้ามโนวิญญาณธาตุ......คาดรู้อารมณ์ได้.....ไซร้หกอารมณ์เอย.....เผยผ่านหกทวาร....."วิญญาณขันธ์แปด"อย่าง.....แฉกร่างเหมือนหมวดเจ็ด.....เสร็จแต่กายวิญญาณ.....พานแยกแบ่งเป็นสอง.....กอปรร่วม ความสุข.....และร่วมทุกข์ด้วยแท้......แน่เผย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, ตุลาคม, 2568, 09:15:51 AM
(ต่อหน้า ๓/๑๔) ๘.วิภังค์

     ๑๘.วิญญาณเปรย"หมวดเก้า"................เปรียบเหมือน เจ็ดแล
เพียงเปลี่ยน"มโนวิญญ์ฯ"เยือน...................เพิ่มแก้
"กุศล,ชั่ว,กลาง"เฉือน.................................จิตบ่ม อารมณ์
มีหลากหลายรู้แปล้....................................มั่นหนา

     ๑๙.พา"วิญญาณหมวดสิบ"......วิญญาณกริบชื่อลือ.....คือจักขุวิญญาณ......พานโสตวิญญาณแล.....แฉฆานวิญญาณเอย.ขสุข......และร่วมทุกข์"เกิดครอง.....ผองมโนธาตุวิญญ์.....ผินมโนวิญญ์ธาตุฯ.....มีปราดเปรื่องเพียงสาม.....มีชั่ว กุศล.....แฉอัพยาฯตั้งแล้.....มุ่งกลาง

     ๒๐.วิญญาญขันธ์พร่างล้วน..................มีคุณ จากเหตุ
เพราะก่อสุขรตีหนุน.................................ชอบล้น
มันมิเที่ยงจึงดุน........................................ทุกข์เริ่ม โทษลาม
ควรสลัดครันทิ้งพ้น..................................ฉลาดเผย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.วิญญาณขันธ์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=35&siri=6

วิญญาณขันธ์ = กองวิญญาณ หรือสภาพรู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เปรียบเสมือนความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) กระทบกับอายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์) ทำหน้าที่รับรู้และให้ความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ
ขันธ์ ๕ = ประกอบด้วยรูป (กาย), เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (ความจำ), สังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) และวิญญาณ (ความรู้แจ้ง)
อายตนะ = คือส่วนรับรู้ของร่างกายและจิตใจ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) และรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ (อายตนะภายนอก)
การทำงานของวิญญาณขันธ์ = เป็นอย่างไร
เมื่ออายตนะภายใน-นอกกระทบกัน วิญญาณขันธ์จะทำหน้าที่รับรู้และเกิดความรู้สึก เช่น เห็นรูป, ได้ยินเสียง, รู้รส, รู้สึกสัมผัส, รู้กลิ่น และคิด (ทางใจ)
วิญญาณธาตุ, วิญญาณขันธ์ = ต่างกันอย่างไร
~วิญญาณธาตุ (จิต) เป็นสภาพรู้ทั่วไป ~ส่วนวิญญาณขันธ์ (อาการของจิต) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการกระทบของอายตนะ
สุสตตันตภาชนีย์ = แจกวิญญาณขันธ์แบบพระสูตร
วิญญาณขันธ์ = เป็นไฉน
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ วิญญาณที่เป็นอดีต, วิญญาณที่เป็นอนาคต, วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน, วิญญาณที่เป็นภายในตน, วิญญาณที่เป็นภายนอกตน,วิญญาณหยาบ, วิญญาณละเอียด, วิญญาณชั้นต่ำ, วิญญาณชั้นประณีต, วิญญาณไกล, หรือวิญญาณใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง = ได้แก่ที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ กามภูมิ, รูปภูมิ, อรูปภูมิ และโลกุตตรภูมิ
ในวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณที่เป็นอดีต = เป็นไฉน
วิญญาณใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีตได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นอดีต
วิญญาณที่เป็นอนาคต = เป็นไฉน
วิญญาณใดยังไม่เกิด, ยังไม่เป็น, ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิดเฉพาะ ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นอนาคต
วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน = เป็นไฉน
วิญญาณใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบันได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน
วิญญาณที่เป็นภายในตน = เป็นไฉน
วิญญาณใด ของสัตว์นั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นภายในตน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, ตุลาคม, 2568, 04:07:49 PM

(ต่อหน้า ๔/๑๔) ๘.วิภังค์

วิญญาณที่เป็นภายนอกตน = เป็นไฉน
วิญญาณใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตนเกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นภายนอกตน
วิญญาณหยาบ- วิญญาณละเอียด = เป็นไฉน           
(๑) วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณหยาบ (๒) วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต เป็นวิญญาณละเอียด (๓) วิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นวิญญาณหยาบ (๔) วิญญาณที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณละเอียด (๕) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณหยาบ (๖) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณละเอียด (๗) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณหยาบ (๘) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณละเอียด (๙) วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณหยาบ (๑๐) วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณละเอียด
(๑๑) วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณหยาบ (๑๒) วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณละเอียด
พึงทราบวิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณนั้นๆเป็นชั้นๆ ไป
วิญญาณชั้นต่ำ - วิญญาณชั้นประณีต = เป็นไฉน
(๑) วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๒) วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต เป็นวิญญาณชั้นประณีต (๓) วิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๔) วิญญาณที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณชั้นประณีต (๕) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๖) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นประณีต (๗) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๘) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นประณีต (๙) วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๑๐) วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณชั้นประณีต (๑๑) วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณชั้นต่ำ (๑๒) วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณชั้นประณีต
พึงทราบวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
วิญญาณไกล = เป็นไฉน
(๑) วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต (๒) วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอกุศล (๓) วิญญาณที่เป็นกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต (๔) วิญญาณที่เป็นอกุศลและอัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศล (๕) วิญญาณที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศล (๖) วิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอัพยากฤต (๗) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา (๘) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๙) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๑๐) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๑) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนา (๑๒) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๑๓) วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณของผู้เข้าสมาบัติ (๑๔) วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๑๕) วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณไกลจาลกวิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๖) วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
นี้เรียกว่า วิญญาณไกล
วิญญาณใกล้ = เป็นไฉน
(๑) วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นอกุศล (๒) วิญญาณที่เป็นกุศลเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นกุศล (๓) วิญญาณที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นอัพยากฤต (๔) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นวิญญาใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๖) วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๗) วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๘) วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณของผู้เข้าสมาบัติ (๙) วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๐) วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
นี้เรียกว่า วิญญาณใกล้ พึงทราบวิญญาณไกล วิญญาณใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
สุตตันตภาชนีย์ จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, ตุลาคม, 2568, 08:45:58 AM

(ต่อหน้า ๕/๑๔) ๘.วิภังค์

อภิธรรมภาชนีย์
วิญญาณขันธ์
ทุกมูลกวาร = วิญญาณขันธ์ทั้งหมด
บรรดาขันธ์ ๕ นั้น วิญญาณขันธ์ = เป็นไฉน
วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐ รวมทั้งหมดมีหลายแบบ ได้แก่
[ก] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑
ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์"ที่มีเหตุก็มี" ที่"ไม่มีเหตุก็มี"
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓
ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
วิญญาณขันธ์= หมวดละ ๔ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์ = ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ซึ่งเป็นผลมาจากวงจรของกิเลส กรรม และวิบาก
วิญญาณขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่
(๑) จักขุวิญญาณ (๒) โสตวิญญาณ (๓) ฆานวิญญาณ (๔) ชิวหาวิญญาณ (๕) กายวิญญาณ (๖) มโนวิญญาณ             
วิญญาณขันธ์= หมวดละ ๗ ได้แก่
 (๑) จักขุวิญญาณ (๒) โสตวิญญาณ (๓) ฆานวิญญาณ (๔) ชิวหาวิญญาณ (๕) กายวิญญาณ (๖) มโนธาตุ (๗) มโนวิญญาณธาตุ
มโนธาตุ = คือ จิตที่รับรู้อารณ์ได้ ๕ ทวาร เฉพาะทวารของตนๆ เท่านั้น มี ๓ ประเภท คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และสัมปฏิจจฉันนจิต ๒ ดวง รวมเป็นมโนธาตุ ๓
ปัญจทวาราวัชชนจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ (สิ่งที่มากระทบ) ทางทวารทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เป็นจิตดวงแรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งมากระทบอายตนะ (ช่องทางรับอารมณ์) เหล่านั้น โดยทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้เปิดประตูให้จิตดวงอื่นๆ เข้ามาทำงานต่อ
สัมปฏิจฉนจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ต่อจากวิญญาณวิถีจิต (จิตที่เห็น ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส) ในกระบวนการรับรู้ของจิต เปรียบเสมือนการรับช่วงต่ออารมณ์ที่ปรากฏขึ้น เพื่อนำไปสู่การพิจารณาในจิตดวงต่อไป
มโนวิญญาณธาตุ = นั้น หมายถึง จิต ๗๖ ดวง นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวง และนอกเหนือจากมโนธาตุ ๓ ดวง จิต ๗๖ ดวงนี้ เป็นมโนวิญญาณธาตุเพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร
วิญญาณธาตุ = คือ สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนคือวิญญาณซึ่งเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์, ธาตุ คือ วิญญาณ, วิญญาณธาตุ   
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๘
ได้แก่ (๑) จักขุวิญญาณ (๒) โสตวิญญาณ (๓) ฆานวิญญาณ (๔) ชิวหาวิญญาณ (๕) กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๖) กายวิญญาณที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุ (๘) มโนวิญญาณธาตุ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่
(๑) จักขุวิญญาณ (๒) โสตวิญญาณ (๓) ฆานวิญญาณ (๔) ชิวหาวิญญาณ (๕) กายวิญญาณ (๖) มโนธาตุ (๗) มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่
(๑) จักขุวิญญาณ (๒) โสตวิญญาณ (๓) ฆานวิญญาณ (๔) ชิวหาวิญญาณ (๕) กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๖) กายวิญญาณที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุ (๘) มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญาณธาตุ่ที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญาณธาตุที่เป็นอัพยากฤตก็มี
[ข] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐           
วิญญาณขันธ์= หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์"ที่มีเหตุก็มี" ที่"ไม่มีเหตุก็มี"
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ มีหลายแบบ ได้แก่
~สัมปยุต(ประกอบด้วย) ทุกข์,สุข,กลาง
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~เกี่ยวกับวิบาก
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
(๓)ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
~มีตัณหา ทิฏฐิแต่ ยึด/ไม่ยึด
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒ )ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, ตุลาคม, 2568, 04:12:05 PM

(ต่อหน้า ๖/๑๔) ๘.วิภังค์

~อารมณ์เศร้าหมอง/ไม่เศร้า
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~มี/ไม่มีวิตก,วิจาร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
~ประกอบด้วยปีติ, สุข, อุเบกขา
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
~ประหารด้วยโสดาฯ, มรรค
(๑) วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~มีเหตุ/ไม่มีเหตุต้องประหาร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุ เกิด,ตาย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
~เป็น/ไม่เป็นของเสขบุคคล,อเสขบุคคล
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
~กลุ่มสภาวะธรรม
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะก็มี (๓)ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ปริตตะ = สภาวะที่ด้อย หมายถึงธรรมที่เป็นกามาวจร - ท่องอยู่ในกามภพ
มหคัคตะ = หรือ มหรคต เป็นธรรมที่ถึงความยิ่งใหญ่ คือเป็นรูปาวจร - ท่องในรูปภพ หรือ อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ
อัปปมาณะ = ธรรมที่ประมาณมิได้ คือเป็นโลกุตตระ อยู่เหนือโลก
~กลุ่มสภาวะอารมณ์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
~กลุ่มประเภทต่างๆ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
~กลุ่มสภาวะผลผิด/ถูกต้อง
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
~กลุ่มมีมรรคเป็นเหตุ/เป็นใหญ่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
~การเกิดของวิญญาณ
(๑)วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
~ เนี่องด้วยกาล
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี
 ~เนื่องด้วยอารมณ์       
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
~ ภายใน-นอกตน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒) ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓) ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
~มีธรรมภายใน-นอกตน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
             ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ค] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ แจกได้หลายกลุ่ม คือ
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยเหตุ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
~เป็นเหตุ/ไม่เป็น
(๑) วิญญาณขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
~เป็นโลกิยะ/โลกุตตระ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี (๒) ที่เป็นโลกุตตระก็มี
~ รู้/ไม่รู้
(๑) วิญญาณขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
~อารมณ์กิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, ตุลาคม, 2568, 07:35:47 AM

(ต่อหน้า ๗/๑๔) ๘.วิภังค์

~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบกิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
~ไม่ประกอบด้วยกิเลส เป็น/ไม่เป็นอารมณ์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่รั้งสัตว์ไว้ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง (พระอรหันต์ตัดได้ทั้งหมด)
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบสังโยชน์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
~ไม่ประกอบด้วยสังโยชน์แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
คันถะ ๔= หมายถึง เป็นห่วงที่ร้อยรัดไว้ในระหว่าง จุติ-ปฏิสนธิ ให้เกิดก่อต่อเนื่องกันไม่ให้พ้นไปจากวัฏฏทุกข์ได้
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยคันถะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒)ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
~ไม่ประกอบด้วยคันถะแต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์คันถะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
โอฆะ = กิเลสที่ท่วมจิตของสัตว์โลก เสมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวที่พัดพาให้สัตว์จมอยู่ในกิเลส ซึ่งมี ๔ อย่าง ได้แก่ กาโมฆะ (โอฆะคือกาม), ภโวฆะ (โอฆะคือภพ), ทิฏโฐฆะ (โอฆะคือทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา)
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยโอฆะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
~ไม่ประกอบด้วนโอฆะ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
~ประกอบ/ไม่ประกอบด้วยโยคะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
~ไม่ประกอบด้วยโยคะแต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยนิวรณ์
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
นิวรณ์= คือ เครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๕ ประการ ได้แก่ กามฉันทะ - พอใจในกาม; พยาบาท; ถีนมิทธะ - หดหู่; อุทธัจจกุกกุจจะ - ฟุ้งซ่าน; และวิจิกิจฉา - ลังเลสงสัย
~ไม่ประกอบด้วยนิวรณ์ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
 (๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
ปรามาส =การยึดมั่นถือมั่นในศีลและวัตรปฏิบัติอย่างงมงาย
~ประกอบ/ไม่ประกอบด้วยปรามาส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
~ไม่ประกอบด้วยปรามาส แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
~ยึดถือ/ไม่ยึดตัณหา,ทิฏฐิ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี (๒) ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
~ประกอบ/ไม่ประกอบด้วยอุปาทาน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
~ไม่ประกอบด้วยอุปาทานแต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, ตุลาคม, 2568, 02:34:05 PM

(ต่อหน้า ๘/๑๔) ๘.วิภังค์

~เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~เศร้า/ไม่เศร้าด้วยกิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
~ประกอบ/ไม่ประกอบด้วยกิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
~ไม่ประกอบด้วยกิเลสแต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๑) วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~ต้อง/ไม่ต้องประหาร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
~ต้อง/ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน
 (๑) วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
มรรคเบื้องบน ๓ = คือ สกทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค
~มี/ไม่มีเหตุต้องประหาร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
~มี/ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~มี/ไม่มีวิตก(ความตรึก)
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีวิตกก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกก็มี
~มี/ไม่มีวิจาร(ความตรอง)
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิจารก็มี
~มี/ไม่มีปีติ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีปีติก็มี (๒) ที่ไม่มีปีติก็มี
~มีร่วม/ไม่มีร่วมด้วยกับปีติ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
~มีร่วม/ไม่มีร่วมกับสุข
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
มี/ไม่มีร่วมกับ อุเบกขา
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
~เป็น/ไม่เป็น กามาวจร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
~เป็น/ไม่เป็น รูปาวจร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
~เป็น/ไม่เป็น อรูปาวจร
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
~นับ/ไม่นับเนื่อง
(๑) วิญญาณขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์ = คือ วงจรของความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำของกิเลส กรรม และผลของกรรม (วิบาก) ซึ่งหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ มี ๓ อย่าง คือ
(๑) กิเลสวัฏฏะ - ความวนเวียนของกิเลส คือ ความติดข้อง ความอยาก ความหลง ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (๒) กรรมวัฏฏะ - ความวนเวียนของการกระทำ คือ การกระทำทั้งดีและชั่วที่เกิดจากกิเลสนำไปสู่ผลลัพธ์ต่างๆ (๓) วิบากวัฏฏะ - ความวนเวียนของผลของกรรม คือ ผลที่เกิดจากการกระทำ เป็นเหตุให้เกิดกิเลส วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ
~เป็น/ไม่เป็นเหตุออกจากวัฏฏะ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
~ให้ผลแน่/ไม่แน่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
~มี/ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี (๒) ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
~มี/ไม่มีเหตุให้สัตว์ร้องไห้
(๑)วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี  ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา           
[ง] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์= หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, ตุลาคม, 2568, 08:25:48 AM

(ต่อหน้า ๙/๑๔) ๘.วิภังค์

วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
~ประกอบด้วย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~วิญญาณขันธ์เกี่ยวกับวิบาก
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
(๓)ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
~ธรรมภายใน-นอกตน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
ทุกมูลกวาร จบ
ติกมูลกวาร
[จ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ฉ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
~ประกอบด้วยเหตุ/ไม่ประกอบเหตุ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
~เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุ
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา             
[ช] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
~ประกอบด้วยสุข/ทุกข์/กลาง
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
~วิญญาณขันธ์เกี่ยวกับวิบาก
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
(๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
~ธรรมภายใน-นอกตน
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี             
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ซ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
~ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยเหตุ
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
~ เป็น/ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
ติกมูลกวาร จบ
อุภโตวัฑฒกวาร
[ณ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, ตุลาคม, 2568, 02:27:05 PM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๔) ๘.วิภังค์

วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ด] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่วิปปยุตจากเหตุก็มีวิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ต] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ถ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี, ที่เป็นโลกุตตระก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ท] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี, ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ธ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[น] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี, ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[บ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี, ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, ตุลาคม, 2568, 05:34:30 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๔) ๘.วิภังค์

วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒)ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหารด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ป] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ผ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี, ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒ )ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ฝ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐   
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี, ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[พ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะก็มี (๓)ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ฟ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี, ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ภ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี, ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ม] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, ตุลาคม, 2568, 05:06:01 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) ๘.วิภังค์

[ย] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี, ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ร] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี, ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ล] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ว] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี, ที่วิปปยุตจากโยคะก็มีวิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑)วิญญาณขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ศ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี, ที่วิปปยุตจากโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒)ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓)ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ษ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
อุภโตวัฑฒกวาร จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, ตุลาคม, 2568, 09:03:08 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) ๘.วิภังค์

พหุวิธวาร =หมวดละมากอย่าง
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗)ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒๔ ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒) ที่เป็นอกุศล (๓) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๕) ที่เป็นอกุศล (๖) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๗) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๘) ที่เป็นอกุศล (๙) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๐) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๑) ที่เป็นอกุศล (๑๒) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๓) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๔) ที่เป็นอกุศล (๑๕) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๖) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๗) ที่เป็นอกุศล (๑๘) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
(๑๙) จักขุวิญญาณ (๒๐) โสตวิญญาณ (๒๑) ฆานวิญญาณ (๒๒) ชิวหาวิญญาณ (๒๓) กายวิญญาณ (๒๔) มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓๐ ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย (๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒) ที่เป็นรูปาวจร (๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๕)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๖) ที่เป็นรูปาวจร (๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๙)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๐) ที่เป็นรูปาวจร (๑๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๑๓)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๔) ที่เป็นรูปาวจร (๑๕) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๖) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๑๗) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๘) ที่เป็นรูปาวจร (๑๙) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒๒) ที่เป็นรูปาวจร (๒๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
(๒๕) จักขุวิญญาณ (๒๖) โสตวิญญาณ (๒๗) ฆานวิญญาณ (๒๘) ขิวหาวิญญาณ (๒๙) กายวิญาณ (๓๐) มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละมากอย่าง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒) ที่เป็นอกุศล (๓) ที่เป็นอัพยากฤต (๔)ที่เป็นกามาวจร (๕) ที่เป็น
รูปาวจร (๖) ที่เป็นอรูปาวจร (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, ตุลาคม, 2568, 07:29:05 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) ๘.วิภังค์

~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๘) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๙) ที่เป็นอกุศล (๑๐) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๑) ที่เป็นกามาวจร (๑๒) ที่เป็นรูปาวจร (๑๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๕) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๖) ที่เป็นอกุศล (๑๗) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๘) ที่เป็นกามาวจร (๑๙) ที่เป็นรูปาวจร (๒๐) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๑) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๒๒) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒๓) ที่เป็นอกุศล (๒๔) ที่เป็นอัพยากฤต (๒๕)ที่เป็นกามาวจร (๒๖) ที่เป็นรูปาวจร (๒๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
 ~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๙) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๐) ที่เป็นอกุศล (๓๑) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๒)ที่เป็นกามาวจร (๓๓) ที่เป็นรูปาวจร (๓๔) ที่เป็นอรูปาวจร (๓๕) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย (๓๖)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๗) ที่เป็นอกุศล (๓๘) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๙) ที่เป็นกามาวจร (๔๐) ที่เป็นรูปาวจร (๔๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๔๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
(๔๓) จักขุวิญญาณ (๔๔) โสตวิญญาณ (๔๕) ฆานวิญญาณ (๔๖) ชิวหาวิญญาณ (๔๗) กายวิญญาณ (๔๘) มโนวิญญาณ                         
วิญญาณขันธ์ = หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๑๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๑๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๑๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๑๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๑๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๒๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๒๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๓๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๓๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๓๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๓๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๓๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๔๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๔๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๔๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๔๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๔๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๕๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๕๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๕๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๕๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๕๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๖๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๖๑) จักขุวิญญาณ (๖๒) โสตวิญญาณ (๖๓) ฆานวิญญาณ (๖๔) ชิวหาวิญญาณ (๖๕) กายวิญญาณ (๖๖) มโนวิญญาณ             
นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์
พหุวิธวาร จบ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, ตุลาคม, 2568, 05:08:41 PM

อภิธรรมปิฎก : ๙.วิภังค์ (อายตนวิภังค์ แจกอายตนะ ๑๒)

ภการวิปุลลาฉันท์ ๓๒/กาพย์ทัณฑิกา

    ๑.ขอน้อมพระพุทธ์เจ้าอรหันต์..................ตรัส์รู้ซิครันตนุตน
ทรงมีพระคุณแก่นฤชน................................ชี้ทางลิทุกข์พหุผลาญ

    ๒."อายตนะ......วิภังค์"เชื่อมปะ......จิตกับโลกพาน
มีแจงสามดั้น...."สุตตันต์ภาฯ"กราน...."อภิธรรมฯ"ชาญ...."ปัญหาปุจฯ"แล

    ๓.สุตตันฯพระสูตรแจงสิสะพาน.................ทางเชื่อมประสานอายตน์ฯแล้
สิบสองสิข้องใน,พหิแฉ..................................ทำให้ปรุรู้สึกหทยา

    ๔."จักขายะฯ"เอย......ตารู้รูปเปรย......ตาไม่เที่ยงนา
มีแต่ทุกข์เด่น....เน้นเป็นอนัตตา....มีแปรผันกล้า....ธรรมชาติดล

    ๕."รูปายะฯ"สิ่งเห็นนิรเที่ยง.........................เป็นทุกข์เจาะเสี่ยงแน่,อนตน
"โสตายะฯ"หูยินเหมาะเจาะล้น.......................ไม่เที่ยง,อนัตตาสุขะไร้

    ๖. "สัททายะฯ"ชิน.......เสียงที่ได้ยิน......ไม่เที่ยง,ทุกข์ไว
"ฆานายะฯ"เอ่ย....จมูกเปรยดมใกล้....ทุกข์แปรเปลี่ยนได้....หาใช่อนัตตา

    ๗."คันธายะฯ"กลิ่นดมพหุทุกข์...................ไม่เที่ยงและรุกเปลี่ยนทะลุหนา
"ชิวหายะฯ"ลิ้นรู้รสะกล้า...............................ไม่เที่ยงแปรปรุเสมอ

    ๘."รสาย์ตนะฯ".......รสที่ลิ้มดะ......ไม่เที่ยง,ทุกข์เปรอ
"กายายะฯ"ชู....รู้สัมผัสเออ....กายไม่เที่ยงเจอ....มิใช่ของตน

    ๙."โผฏฐัพพ์ยะฯ"สิ่งที่เจาะกระทบ..............สัมผัสมิจบเที่ยงปะทะยล
ใจรู้"มนายาตนะฯ"ดล....................................ใจหาซิทุกข์,เที่ยงจิรเผย

    ๑๐."ธัมมาย์ตนะ"......ธรรมารมณ์ปะ......อารมณ์เกิดเอย
ธรรมไม่เที่ยงแท้....ใจแน่ทุกข์เปรย....อนัตตาเอ่ย....แปรเปลี่ยนธรรม์ดา

    ๑๑.แจงอายะฯตามโดย"อภิธรรมฯ"..............สิบสองแนะนำเกิดปะทุหนา
"จักขายะฯ"ตาเชื่อมกะ"ปสาฯ".........................อาศัยซิยาตรกับ"มหะภูฯ"

    ๑๒.รูปที่เห็นไม่ได้......กระทบได้ไซร้......คนเคยเห็นอยู่
บ้างมิเห็นเอย....เผยกระทบพรู....เรียกหลายอย่างกรู...."จักขุนทรีย์"..แล

    ๑๓."รูปายะฯ"รูปใดพหุสี..............................เห็นได้และชี้พบระดะแฉ
อาศัยมหาภูฯปะทุแล้.......................................บางครั้งมิเห็นแต่ลุกระทบ

    ๑๔."โสตายะฯ"ใด......มีประสาทไซร้......อาศัยมหาฯพบ
รูปไม่เห็นแต่....แน่กระทบครบ....คนไม่เห็นจบ....แต่หูยังฟัง

    ๑๕."สัททายะฯ"อาศัยก็"มหาฯ".....................ไม่เห็นเจาะนาแต่ภวยั้ง
เสียงนั้นกระทบได้สุตะดัง................................เสียงกลองตะโพนก็ประโคม

    ๑๖. เสียงมนุษย์หรือ.......อมนุษย์ครือ......เสียงอื่นใดโลม
อิง"มหาภูฯ"....กรูไม่เห็นโฉม....แต่กระทบโจม....คนเคยฟังเอย

    ๑๗."ฆานาฯ"จมูกพร้อมสิประสาท.................รูปนั้นก็พลาดเห็นซิจะเอ่ย
สามารถกระทบได้เจาะเซาะเผย......................ดมกลิ่นตะไม่เห็นนิรใด

    ๑๘."คันธายะฯ"รู้.......กลิ่นผ่านจมูกชู......จิตเกิดรู้ไข
"ชิวหายะฯ"ลิ้น....เห็นสิ้นไม่ได้....แต่กระทบไซร้....เช่นเคยลิ้มลอง

    ๑๙.รู้รส"รสายาตนะฯ"หนา...........................ผ่านลิ้นเจาะว่าอุระครอง
กายแน่วสิ"กายายตะฯ"ส่อง.............................มีพร้อมประสาทอิงกะ"มหาฯ"

    ๒๐.รูปเห็นไม่ได้......แต่กระทบไว.....เคยถูกต้องพา
"โผฏฐัพพะ"นั้น....พลันไม่เห็นนา....แต่กระทบมา....เรียก"กายธาตุ,กาย"

    ๒๑.บ่อเกิด"มนายาตนะฯ"นำ........................จิตรู้และจำได้มหิกราย
รับรู้สิอารมณ์เจาะกระจาย..............................เป็นเหตุประชุมเกิดรู้พหุเผย

    ๒๒.รูป,เสียง..เกิดจริง......จิตไม่รู้ดิ่ง......ธรรมไม่รวมเอย
สิ่งเกิดทางตา....พาไม่เกิดเอ่ย....หูเช่นกันเปรย....จิตไม่รวมใด


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, ตุลาคม, 2568, 10:33:53 AM

(ต่อหน้า ๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๒๓.แจกแจง"มนายาตะนะฯ"พึง..................แบ่งหมวดละหนึ่ง-สิบภณไว้
หมวดหนึ่งมนายาฯหฤทัย..............................มีผัสสะเกิดร่วมเจาะกระทบ
 
   ๒๔.มนาฯหมวดละสอง......จิตมีเหตุตรอง......และไร้เหตุพบ
มหาฯหมวดสามลุ....ใจ"กุศล"นบ....อกุศลครบ....และอัพยาฯกลาง

    ๒๕.หมวดสี่มนายาตนะชี้............................"กามาวะฯ"คลี่มนคว้าง
ในกามคุณห้ามทะลาง...................................รูปาวะฯรูปพรหมซิก็มี

    ๒๖. "อรูปาฯ"แล.......พรหมไร้รูปแล้......ด้วยเจริญฌานคลี่
"ผู้พ้นวัฏฏทุกข์"....ไม่บุกเวียนปรี่....เพราะกิเลสลี้....ละหมดทลาย

    ๒๗.หมวดห้ามนายาตนะนอบ......................"จิตที่ประกอบด้วยสุขะกาย"
"ทุกข์กายและโสมนัส"สิขยาย........................"โทมนัส,อุเปกขินฯ"ปะทะหนา

    ๒๘.มนายะฯหมวดหก......."จักขุวิญญ์ฯยก......"โสตวิญญ์ฯ"นา
ฆานวิญญาณ....กราน"ชิวหา"จ้า...."กายวิญญาณ"อ้า....มโนวิญญ์นา

    ๒๙.หมวดเจ็ดมนายาตนะชิน.......................มี"จักขุวิญญ์ฯ"พุทธิซิตา
"โสต์วิญญะ"ทางหูเหมาะเจาะกล้า..................."ชิวหาฯ"จะรู้ชิมรสะเผย

    ๓๐."ฆานวิญญาณ"รู้......ทางจมูก,พรู.....รอบรู้กลิ่นเอย
"กายวิญญาณ"เกิด....รู้เลิศผ่านเกย....ตา,หู,จมูกเอ่ย....สัมผัสกายพาน

    ๓๑.รอบรู้"มโนธาตุ"มหึมา............................อารมณ์ซิหนาครันเจาะทวาร
ห้า,"ตา,จมูก,หู"เจาะเซาะกราน........................."ลิ้น,กาย"และเกิดรู้เฉพาะพา

    ๓๒."มโนวิญญาณธาตุ"......จิตรู้บ่มยาตร......ทางทวารหกนา
ตา,หู,จมูก,ลิ้น....ผลิน"กาย,ใจ"กล้า....รู้อารมณ์มา....หกอารมณ์เสริม

    ๓๓.หมวดแปด"มนายาตนะ"ฉาย..................เหมือนเจ็ดตะกายวิญญ์ฯซิริเพิ่ม
"กายวิญญะร่วมด้วยสุขะ"เติม........................."กายวิญญะมีร่วมทุขะ"แฉ

    ๓๔.เก้ามนายตนะ......เหมือนหมวดหกปะ......ต่างมโนวิญญ์ธาตุแล
ที่เป็น"กุศล"....ยล"อกุศล"แล้...."อัพยากฤต"แท้....เป็นกลางกลางผล

    ๓๕.หมวดสิบ"มนายตนะ"เพิ่ม......................เหมือนแปดตะเติมเปลี่ยนตติยล
ก่อมี"มโนวิญญะกุศล"....................................จิตเป็นซิ"ฝ่ายชั่ว"และเจาะ"กลาง"

    ๓๖. ธัมมาย์ตนะ.......สิ่งใจรู้นะ......ด้วยตา,หู..วาง
อารมณ์เกิดได้....ใจคิดรู้พลาง....สภาวะธรรมต่าง....รูปและนามธรรม

    ๓๗.เช่นเวทนาขันธ์จะเจาะตรึก...................สัญญาระลึกจำลุกระทำ
สังขารสิปรุงแต่งริประจำ................................รูปที่มิสัมผัสนิรเห็น

    ๓๘.รูปเห็นไม่ได้.......และกระทบไร้......เช่นนามธรรมเด่น
จักขุวิญญาณ....พานรู้ได้เน้น....ดี,ชั่ว,กลางเป็น....ไม่เห็นรูปเอย

    ๓๙.ไร้ปรุง"อสังข์ตา"ระบุชี้..........................ปัจจัยมิมีก่อภวเชย
สิ้นราคะ,โกรธ,หลงรุจิเผย...............................นิพพานมิเกิดเผยไร้บริพัตร

    ๔๐.เวทนาขันธ์รู้......แจกแจงหลายพรู......หมวดหนึ่ง-สิบชัด
หมวดละหนึ่งครา....เวทนาประกอบจัด....มีถูกสัมผัส....กระทบตรงยล

    ๔๑."เวท์นาสิสอง"เหตุปะทุมี.......................ไร้เหตุซิชี้ชัดอนดล
เวท์นาติสามฝ่ายอกุศล.................................ดี,อัพยากฤตเจาะซิกลาง

    ๔๒.เวทนาขันธ์สี่......แจกกามาฯคลี่......ใฝ่กามคุณพลาง
"รูปาฯ"รูปพรหม....สม"อรูปาฯ"วาง....พรหมไร้รูปพร่าง...."พ้นวัฏฏ์ทุกข์"ตรม

    ๔๓.เวท์นาเจาะห้าเป็น"สุขะ,กาย"..............."ทุกขินฯมิคลาย",อภิรมย์
"โทม์นัสสลดใจ"และเจาะสม.........................เป็นกลางมิทุกข์หรือสุขะครอง

    ๔๔.เวทนาขันธ์หก......รู้สัมผัสปรก......จักขุสัมฯตรอง
"ตาเห็นรูป"เกิด....เลิศรู้ครรลอง...."จักขุวิญญ์ฯผ่อง....ผัสสะเกิดแฉ

    ๔๕."โสต์สัมฯสิหู,เสียง"ปะทะเกิด................"โสต์วิญญะฯ"เลิศประลุแน่
สามสิ่งกระทบครันภวแท้...............................มีผัสสะเกิดรู้มติเผย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, ตุลาคม, 2568, 02:44:56 PM

(ต่อหน้า ๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๔๖."เวทนาเกิดแต่......ฆานสัมผัส"แล........"ชิวหาสัมฯ"เอย
"กายสัมผัส"รู้....ชู"มโนสัม"เปรย....ใจรู้,คิดเอ่ย....อารมณ์ต่างแล

    ๔๗.เวท์นาสิหมวดเจ็ดภวนำ....................แต่จักขุสัมฯจิตมติแน่
โสต์สัมฯกะฆาน์สัมฯมุติแท้.........................ชิวหาเจาะรับรู้รสะหนา

    ๔๘.รู้"กายสัมผัส".......มโนธาตุสัมฯชัด......รู้นามธรรมนา
"มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ"....ใจนำรู้กล้า....ใจสัมผัสพา....อารมณ์ทางใจ

    ๔๙.เวท์นาสิหมวดแปดดุจะเจ็ด................ต่างกันริเด็ด"กายะ"เจาะไกล
"กายสัมฯ"ซิรู้สุขะไว...................................กายสัมฯกระทบได้ทุขะแฉ

    ๕๐.เวทนาขันธ์เก้า......เหมือนหมวดเจ็ดเฝ้า......ต่างกันที่แล
มโนวิญญ์ธาตุฯแท้....เป็นแน่"ดี"แท้....ชั่ว,อัพยาฯ"แว....เป็นกลางกลางเอย

    ๕๑.เวท์นาสิหมวดสิบเจาะถลำ.................ตา,จักขุสัมผัสปะทะเกย
"หู,โสตสัมฯ"ยินเสนาะเลย...........................ฆาน์สัมฯจมูกรู้ทะลุกลิ่น

    ๕๒.ชิวหาสัมผัส......กระทบสามชัด......รส,วิญญาณ,ลิ้น
"กายสัมผัสฯชี้...."ที่เป็นสุข"ชิน...."ที่เป็นทุกข์"ริน....กายรับรู้มา

    ๕๓."เวท์นามโนธาตุ"ปะทะจบ...................อารมณ์กระทบรู้หทยา
"เวท์นามโนวิญญ์ฯ"มติหนา..........................ใจรู้กะดี,กลาง,อกุศล
 
   ๕๔.สัญญาขันธ์ยิบ......หมวดละหนึ่ง-สิบ......จำละเอียดยล
หมวดละหนึ่งปะ...."ผัสสสัมฯ"ผล....กอปรผัสสะล้น....กระทบอารมณ์

    ๕๕.สัญญาสิสอง,จำภวชัด........................มีเหตุซิปัจจัยทวิบ่ม
ฝ่ายชั่ว,กุศล,ใจตริระดม...............................จิตจำเจาะบาป,บุญระดะกรรม

    ๕๖. สัญญาขันธ์ปะ.......อเหตุกะ......จิตไร้เหตุนำ
เป็นวิบากดล....ผลชั่ว,ดีทำ....และจิตถลำ....พระอรหันต์แล

    ๕๗.สัญญาฯสิสามใจริกุศล.......................ฝ่ายชั่วและยลกลางฐิติแน่
สัญญาฯสิสี่เที่ยวเสาะเลาะแฉ.......................ปองกามคุณห้าจิระกาล

    ๕๘.สัญญาฯข้องปะ......."รูปาวจระ"......พรหมมีรูปพาน
"อรูปาวะฯ",ไซร้....ในอรูปภพกราน....พรหมไร้รูปขาน....เพราะตั้งจิตไกล

    ๕๙.ธรรมที่มิแน่ไม่ระบุชัด..........................ตายตัวและจัดวะอะไร
จัดเป็นสิโลกุตตระไซร้..................................มรรค,ผลซินอกวัฏฏะเฉลย

    ๖๐.สัญญาขันธ์ชี้แจง......หมวดละห้าแจ้ง......จำ,หมาย,รู้เอ่ย
"จำกอปรด้วยสุข"....เกิดชุกทุกข์เอย....กอปรโสมนัสเผย....สุขสำราญใจ

    ๖๑.สัญญาปะโทม์นัสทุขะดล.....................ทุกข์ทางกมลท้นลุประลัย
จำกอปร"อุเปกขินฯ"ภวไซร้............................ใจวางมิทุกข์หรือสุขะแฉ

    ๖๒.สัญญาขันธ์แบ่ง......หมวดละหกแจง......จำเกิดหลายแล
"จักขุสัมผัสส์ฯ"....ชัดด้วยเห็นแน่....จึงรอบรู้แท้....สัมผัสทางตา

    ๖๓."หู,โสตสัมผัสส์ฯ"จะเจาะจำ....................จากยินถลำเสนาะนา
"ฆาน์สัมฯ,จมูก"ดมประลุหนา...........................กลิ่นฟุ้งกระจายไปริคะนึง
 
   ๖๔."ชิวหาสัมผัสส์ฯ"......ลิ้มจำแน่ชัด......รสชาติดตรึง
"กายสัมผัสส์ชาฯ"....พากายจำถึง...."มโนสัมผัสส์ฯ"คลึง....ใจจำได้เอย

    ๖๕.สัญญาสิหมวดเจ็ดดุจะหก.....................มีต่างเลาะปก"จำ"ทวิเอ่ย
"สัมผัสมโนธาตุฯจะตริเผย.............................."สัมผัสส์มโนวิญญ์ฯ"มนจำ

    ๖๖. สัญญาขันธ์แจง.......หมวดละแปดแบ่ง......เหมือนหมวดหกนำ
แต่เพิ่มขยาย...."สุขกายสัมฯ"พร่ำ"...."ทุกข์กายสัมฯ"ซ้ำ....จำทั้งสองแล

    ๖๗."สัญญามโนธาตุฯ"ปะทะคึก.....................ธาตุใจระลึกฐิติแท้
"สัญญามโนวิญญ์ฯ"มติแฉ................................สิ่งที่กระทบใจประลุจำ

    ๖๘.สัญญาขันธ์หมวด.......ละแปดมียวด......เหมือนหมวดเจ็ดหน่ำ
ต่าง"กายสัมผัสส์ฯ"....รู้ชัดสุขหนำ....และรู้ทุกข์คลำ....จำทางกายยล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, ตุลาคม, 2568, 09:37:17 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๖๙.สัญญาฯละแปด,เก้าดุจะโข............ต่างเพิ่ม"มโนวิญญ์ฯ"มนล้น
มีจิตกระทบฝ่ายอกุศล............................อัพยาฯ,กุศลจำจิระพาน

    ๗๐.สัญญาขันธ์สิบ......สิ่งกระทบลิบ......"จำ"เหมือนเก้าขาน
มีต่างเพิ่มเป็น....เน้น"สุขกาย"กราน...."ทุกข์กายสัมฯ"ซาน....กระทบกาย,จำ

    ๗๑.ฝ่ายดี"มโนวิญญ์ฯ"ริถวิล..............."จำ"เกิดซิชินใจลุแตะหนำ
ฝ่ายชั่ว"มโนธาตุฯ"ตริและจำ...................มีอัพยากฤตซิเลาะกลาง

    ๗๒.สังขารขันธ์แจง......หมวดหนึ่ง-สิบแบ่ง.....จิตปรุงแต่งวาง
หมวดละหนึ่งอวย....กอปรด้วยจิตพลาง....สองมีเหตุพร่าง....และไร้เหตุเอย

    ๗๓.สังขารระสามปรุง"อกุศล"..............."ฝ่ายดี"เจาะดลตติเอ่ย
"กลาง,อัพยากฤต",มิเจาะเผย...................ดีชั่ว,มิใช่เลยนิรนา

    ๗๔.สังขารขันธ์สี่......เป็น"กามาฯ"ชี้......ท่องกามภพครา
ใน"รูปาฯ"รี่....พรหมมีรูปหนา....ชินปรุงแต่งมา....ในรูปภพแล

    ๗๕.พรหมอยู่"อรูปาวจะฯ"เป็น...............ไร้รูปมิเห็นเหมาะเจาะแน่
พวกลี้สิวัฏฏ์ทุกข์มิเลาะแฉ........................เวียนวนกะตาย,เกิดจิระกาล

    ๗๖.สังขารขันธ์หมวด......ละห้าแจงรวด........ปรุง"สุขกาย"พาน
"กอปรทุกข์กาย"รุก...."กอปรสุขใจ"ชาญ...."กอปรทุกข์ใจ"กราน...."อุเปกฯ"อยู่กลาง

    ๗๗.สังขารฯสิหมวดหกตริตระการ..........มั่นผ่านทวารหกเจาะกระจ่าง
"ตา,จักขุสัมผัสส์ฯ"ปะทะกว้าง...................."หู,โสตสัมผัสฯ"ประลุหวัง

    ๗๘."ฆานสัมผัสส์ฯ"แล.......เจต์นาเกิดแต่......จมูกกระทบจัง
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"หนา....เจต์นาเกิดหยั่ง....ถูกต้องลิ้นทั้ง....ปรุงแต่งรู้ไว

    ๗๙.เจต์นาเจาะ"กายสัมฯ"ลุประทบ.........ปรุงแต่งปะกบกายพหุไกล
ตั้งใจ"มโนสัมฯ"หฤทัย...............................ใจถูกกระทบริเสาะปรุง

    ๘๐.สังขารขันธ์เจ็ด......เหมือนหมวดหกเด็ด......แค่ทวารห้าจรุง
"ตา,หู,จมูก"พราย...."ลิ้น,กาย"บำรุง....เหลือนอกนั้นผลุง....ไม่ได้เหมือนเลย

    ๘๑.เจต์นา"มโนธาตุฯ"ปะทะเกิด..............ปรุงแต่งเตลิดมนเอ่ย
เจต์นา"มโนวิญญ์ฯ"ปะทุเผย.......................สัมผัสเจาะวิญญาณริเฉลียว

    ๘๒.สังขารขันธ์หมวด......ละแปดมียวด......เหมือนหมวดเจ็ดเพรียว
เว้น"กายสัมผัสส์ฯ....ชัดเจต์นาเจียว....มีสองร่วมเกี่ยว....ข้อง"สุข,ทุกข์"นา

    ๘๓.สังขารสิหมวดเก้าก็คะคล้าย..............หมวดเจ็ดขยายเพิ่มมนกล้า
สัมผัส"มโนธาตุฯ"หทยา..............................เจต์นากุศลแลอกุศล
 
   ๘๔.และ"มโนวิญญ์ธาตุฯ"......ที่สัมผัสยาตร......เจตนาสกล
"อัพยากฤต"นี้....ชี้เป็นกลางยล....ไม่เอนเอียงด้น....ดีหรือชั่วแล

    ๘๕.สังขารสิหมวดสิบดุจะเหมือน..............หมวดแปดตะเยือนเพิ่มมนแน่
เจต์นามโนวิญญ์ธาตุฯปะทะแฉ....................."ดี,ชั่วและอัพ์ยาฯ "เลาะเกาะกลาง

    ๘๖. ธาตุที่ปัจจัย.......ไม่ปรุงแต่งไซร้......เป็นอย่างไรพลาง
สภาพธรรมที่....ชี้"ราคะ"บาง....สิ้น"โกรธ,หลง"จาง....ไม่เกิดอารมณ์

    ๘๗.ปัญหาแจรง"ปุจฉกะ"จัด.....................ตอบธรรมวิสัช์นาเจาะระดม
ที่ต่อก็อายาตนะคม......................................สิบสองซิในกาย,พหิกาย

    ๘๘.อายตนะจอง.......ต่อท้ายสิบสอง......จดจำง่ายดาย
"จักขาฯ,รูปาฯ....โสตาฯ,เสียง"กราย...."ฆานา,กลิ่น"มาย...."ชิวหา,รส"เอย

    ๘๙."กายาฯกะโผฏฐัพพ์ฯ"ปะทะหนา..........สัมผัสเจาะอ้าริเฉลย
"ธัมมาฯ,มนาฯใจ"ริตริเคย.............................อารมณ์ซิรู้ชัดมนแฉ

    ๙๐.อายตนะสิบ......คือ"โอฬาฯ"ลิบ......อินทรีย์สิบแล
"ตา,หู,จมูก,ลิ้น....กายชินรูป"แล้...."เสียง,กลิ่น,รส"แน่....และสัมผัสตาม

    ๙๑.ที่ต่อสิอายาตนะสอง..........................."ธัมมาฯมนาฯ"ครองเจาะริสาม
ที่เป็น"กุศล"แลรุจิลาม.................................."ชั่ว,อัพยากฤต"ภวกลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, ตุลาคม, 2568, 02:34:50 PM

(ต่อหน้า ๕/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๙๒.อายตนะสิบ......มิกล่าวได้กริบ......เป็นสุขเวทน์พลาง
เป็นทุกข์เวทน์เด่น....ไม่เป็นทั้งวาง....สุขเวทนาบ้าง....หรือทุกข์เวทนา

    ๙๓.ธัมมาฯ,มนาฯนั้นภวเตร่.................สุข,ทุกขะเวท์นาฯพละกล้า
หรือเป็นมิสุข,ทุกข์นิรมา.........................หากล่าวมิได้มีตติสาม

    ๙๔.อายตนะสิบ......"เนววิบากฯ"ลิบ.....ไร้เหตุเกิดตาม
วิบากไม่เป็น....เร้น"วิปาฯ"ผลาม....เหตุให้เกิดลาม....วิบากกรรมพา

    ๙๕.ยังมีสิ"อายาตนะ"สอง....................ธัมมาฯมนาฯครองภวกล้า
ที่เป็น"วิบาก,เนววิปาฯ..............................ไม่เป็น"วิปาฯ"เหตุปะทุก่อ

    ๙๖.อายตนะห้า......อุปาทินฯนา......ยึด,ตัณหารอ
มีทิฏฐิถือ.....ครือ"อนุปาฯ"พอ....ไม่ยึดถือจ่อ.....อารมณ์มีนา

    ๙๗.ยังมีสิอายาตนะสี่............................มียึดและชี้ชัดลุอุปาฯ
มีทินนุปาฯไม่ซิเกาะหนา..........................."ทินนานุฯ"ไม่ต้องจะผละหนี

    ๙๘.อายตนะสอง.......อุปาฯยึดครอง......อนุปาฯมี
ยึดมีอารมณ์....ยังจมอยู่ปรี่...."ทินนานุฯ"ชี้....ไร้อารมณ์เอย

    ๙๙.บ่อเกิดสิอายาตนะสิบ.....................ไร้เศร้าเจาะยิบไซร้รติเผย
ที่ตั้งเพาะเศร้าหมองทุขะเอ่ย.....................เรียกว่า"อสังกีฐะแถลง

    ๑๐๐.อายตนะสอง......มีสามแบบตรอง......"สังกิเลฯ"แจง
ธรรมที่เศร้าชี้....เป็นที่ตั้งแกร่ง....แห่งความโศกแรง....ยากจะถอนแล

    ๑๐๑.ไร้เศร้า"อสังลิฏฐะฯ"อุบัติ...............ที่ตั้งเจาะชัดเศร้าพหุแน่
เยี่ยมสามอสังฐาฯทวิแฉ.............................ไม่เป็นสกลแล้นิรหมอง

    ๑๐๒.อายตนะสิบ......"อวิตักกาฯ"ลิบ.....ว่างจากเกิดตรอง
สงบสบาย....ใจกายสภาพผ่อง....ชีวิตเรียบครอง....ไร้เรื่องทุกข์ใจ

    ๑๐๓.ใจมีมนายาตนะชี้...........................สามแบบ"สวีตัก"หฤทัย
มีทั้งวิตก,ตรึกและตริไซร้............................ไตร่ตรองวิจารแน่วมหึมา

    ๑๐๔.วิตก,วิจาร......ในปฐมฌาน......มีพบได้นา
"อวิมัตตะฯ"พาน....วิจารเดี่ยวหนา....ไร้วิตกล้า....ทุติยฌานเอย

    ๑๐๕."ตักกาวิจาฯ"ธรรมะปลาต.................ตรึก,ตรองมิยาตรเจออนเผย
ปราศคิดและปรุงแต่งธุระเลย.......................ไม่มีพะวงแล้กิจะใด

    ๑๐๖. ธัมมายตนะ.......มีสี่แบบปะ......"สวิตักกะฯ"ไกล
จิตมีวิตก....ปรกวิจารไว...."อวิมัตตะฯ"ไซร้....แค่"คิด,วิจาร

    ๑๐๗.ธัมมาสิยังจ่อ"อวิตักฯ".....................ไม่มีประจักษ์ทั้งทวิพาน
ตรึกตรองมิคิดปรุงกิจะขาน.........................ท้ายสุดมิเป็นเลยตติสาม

    ๑๐๘.อายตนะสิบ.......ไม่ได้เป็นพริบ......ทั้งกิจสามตาม
ปีติใจร่วม....สุขรวมมิผลาม....อุเบกขาลาม....กล่าวได้ไม่เป็น

    ๑๐๙.ที่ต่อสิอายาตนะสอง.......................สี่แบบเจาะปองปีติเหมาะเด่น"
จิตจ่อเจาะร่วมสุขะเน้น................................ใจวางอุเบกขาธุวะหนา

    ๑๑๐.ท้ายสุดมิอาจ......กล่าวได้เลยยาตร......มิเป็นได้ครา
ปีติจิตไร้....ไม่ร่วมสุขมา....ไป่อุเบกขา....มิเป็นสิ้นกราน

    ๑๑๑.มีสิบสิอายาตนะชัด..........................เป็น"เนวทัสส์ฯ"ธรรมภวพาน
มีภาวะไร้เหตุจะประหาร...............................ด้วยมรรคซิโสดาฯนภเหนือ

    ๑๑๒.อายตนะสอง......มีแจงสามตรอง......เป็น"ทัสส์นะฯ"เอื้อ
ละกิเลสตัด....ชัดสักกายฯเกื้อ....ความสงสัยเครือ....ด้วยมรรคโสดาฯ

    ๑๑๓.เป็น"ภาวนาฯ"แล้ลิกิเลส...................ด้วยมรรคพิเศษอุปริพา
คือมรรค"สกาทาฯกะอนาฯ"..........................มรรคสูงซิเลิศล้ำอรหัตต์
 
   ๑๑๔.เป็น"เนวทัสส์ฯ"แล......คือสภาพธรรมแน่......ไร้ประหารชัด
ด้วยมรรคโสดาฯ....มรรคหนาบนจัด....อีกสามมรรควัตร....สูงกว่าเลยนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, ตุลาคม, 2568, 09:42:18 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๑๑๕.มีสิบสิอายาตนะคัด...................เป็นเนวะทัสส์ฯเหตุนิระมา
ต้องมาประหารล่าภิทะหนา....................ด้วยมรรคซิโสดาฯและเจาะบน

    ๑๑๖.อายตนะสอง......มีแจงสามปอง......กิเลสละด้น
"ทัสส์ปหาตัพฯ".....ดับกิเลสพ้น....โสดามรรคดล....มรรคเบื้องล่างพา

    ๑๑๗.เป็น"ภาวนาป์หา"ลิกิเลส.............ด้วยมรรควิเศษพหิหนา
มรรคบน"สกาทาฯกะอนาฯ"....................มรรคที่ซิสูงสุด"อรหัตต์ฯ"

    ๑๑๘.เป็น"เนวปหาฯ".......เหตุภาวนา......ยังไม่ละชัด
ขาดปัญญาอยู่....ไม่รู้พิศจัด.....ไร้สามารถคัด....ดับกิเลสปลง

    ๑๑๙.ธรรมนี้สิอายาตนะสิบ................ไร้เหตุลุลิบเกิด,มรส่ง
ไร้เหตุลุนิพพานวจะบ่ง..........................."เนวาจยาคาฯ"นิรผล

    ๑๒๐.อายตนะสอง......แจกสามแบบตรอง......เกิด,ตาย,นิพฯดล
"อาจายคาฯ"....เหตุมา"เกิด"วน....ธรรมเหตุ"ตาย"ยล....อุบัติยืนกราน

    ๑๒๑.ธรรมก่อสิ"อาปาจยะคาฯ"...........เหตุธรรมลุกล้ายิ่งนิรวาณ
"เนวาจยาคาฯ"อนขาน............................นิพพานและเกิด,ตายจะมิมี

    ๑๒๒.อายตนะสิบ......เป็น"เนวเสฯ"พริบ......สองสภาพทวี
"เสกขะ"ผู้ยัง....ตั้งใจเรียนรี่....เจริญธรรมคลี่....หมายอรหัตต์ฯครัน

    ๑๒๓.ตรงข้าม"อเสขาฯ"นิรเรียน...........สำเร็จลุเชียรแล้วอรหันต์
หลุดพ้นสิทุกข์,วัฏฏะผละพลัน.................ศึกษามิต้องทำวตะเผย

    ๑๒๔.ผู้ที่มิใช่......"อเสขะ"ไซร้......ไป่"เสกขะ"เอ่ย
เรียก"เนวเสขาฯ"....ว่าเสกขะเอย....หรือ"อเสขะ"เชย....ก็มิใช่แล

    ๑๒๕.บ่อเกิดสิอายาตนะสอง................มีสามอเสฯครองประลุแล้
สอง,เสกขะยังเรียนพิรแท้........................สาม"เนวเสขาฯ"มิเจาะไหน

    ๑๒๖.อายตนะสิบ......เป็น"ปริตตะ"ขลิบ......ธรรมที่ด้อยไกล
เช่นธรรมระดับ.....นับกามาฯไข....ท่องกามคุณไว.....รูป,เสียง,กลิ่น..นำ

    ๑๒๗.ที่ต่อสิอายาตนะสอง...................สามแบบเจาะท่องทำธุระหนำ
ธรรมด้อย"ปริตตา"อนล้ำ.........................ไม่มีเจริญธรรมซิเฉลย

    ๑๒๘.ธรรมใหญ่มหัคค์ตะ.......บางกิเลสละ......ระดับฌานเอย
ธรรม"อัปปมาฯ"....มากหนาสุดเอ่ย....ไร้ขอบเขตเกย....โลกุตตระไว

    ๑๒๙.สิบอย่างสิอายาตนะด่ำ................ไม่ยึด"อนารัมม์ณะ"อะไร
ไร้สิ่งหทัยเกี่ยวเกาะเจาะไซร้....................อารมณ์ซิไร้,จิตนิรมล

    ๑๓๐.อายตนะสอง......อารมณ์สี่จอง......มากน้อยต่างยล
"ปริตตารัมม์ณะ"....ปะเกิดน้อยผล....ตัดสินไม่จน....ดีหรือชั่วนา

    ๑๓๑.อารมณ์"มหัคค์ตา"ตบะชาญ..........บำเพ็ญซิฌานพหุหนา
จิตมีพลังยิ่งนฤกล้า...................................ปราณีตสิกว่าปรกติเอย

    ๑๓๒."อัปป์มารัมม์ณะ"......อารมณ์ล้นปะ......ไร้ขอบเขตเอ่ย
อารมณ์กรรมฐาน....พานส่งเสริมเกย....พรหมวิหารเชย....เมตตา,กรุณา

    ๑๓๓.สุดท้ายสิอายาตนะสอง.................ไม่เป็นสิครองเลยตติมา
อัปป์มาฯ,ปริตตตาฯและเจาะหนา................อารมณ์มหัคค์ตานิรมี

    ๑๓๔.อายตนะสิบ......"มัชฌิมะ"กริบ......ธรรมเป็นกลางปรี่
หว่าง"ลามก"นับ....กับ"ประณีต"ดี....ธรรมที่เกิดรี่....ในภูมิสามดล

    ๑๓๕.ที่ต่อสิอายาตนะสอง......................แจงสามซิคล่องเป็นชะเนาะยล
ทั้ง"หีนะ"ธรรมเลวอกุศล.............................ธรรมดี"ปณีตฯ,มัชฌิมะ"กลาง

    ๑๓๖. อายตนะสิบ.......เป็น"อนิยตะ"ขลิบ......ผลไม่แน่พลาง
อายตนะสอง....ครองสามแบบวาง....ความคิดผิดกร่าง....ความเห็นถูกเอย

    ๑๓๗.คิดผิดสิ"มิจฉัตต์นิยะฯ"ชิด..............ยึดมั่นซิผิดธุวะเอ่ย
ไม่แปรริเปลี่ยนได้ทุขะเกย.........................ไม่พ้นมิเปิดทางนิรวาณ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, ตุลาคม, 2568, 02:17:13 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๑๓๘."สัมมัตต์นิฯ"แน่ว.......คิดถูกต้องแล้ว......นิยตะผลกราน
นิยตะแน่นอน....ผลจรเกิดพาน.....ให้ทันทีขาน....ไร้ใดคั่นนา

    ๑๓๙.ธรรมนี้มิแน่นอนอนิยต................สงฆ์ผิดซิกฏแล้วจะเหมาะหนา
ลงโทษสถานใดผิวะกล้า.........................อยู่คุยกะหญิงเร้นนฤชน

    ๑๔๐.อายตนะสิบ......"อนารัมม์ณะฯ"ดล......ไร้อารมณ์ด้น
ไม่ยึดติดใด....ได้พฤติธรรมค้น....จิตสงบดล....ไม่รู้รูป..แล

    ๑๔๑.อารมณ์หทัยบ่มผิวะไร้................สิ่งเร้าเลาะไกลจิตตะผละแน่
หลุดพ้นฤดีนิ่งมละแฉ..............................ทุกข์ห่างมลานแท้ซิอะรมณ์

    ๑๔๒.อายตนะสอง......มีสี่แบบครอง......ต่างอารมณ์คม
เป็น"มัคคารัมม์ฯ"นา....อารมณ์มรรคบ่ม....หาทางลุชม....มุ่งพระนิพพาน

    ๑๔๓.เป็น"มัคคเหตุฯ"คืออติธรรม..........มรรคแปดซินำเหตุจรขาน
เป็น"มัคคะธิปฯ"จ่อลุประธาน....................ของธรรมซิถูกงำลุคระไล

    ๑๔๔.พวกท้ายอารมณ์......ไม่เป็นเลยชม......ทั้งสามแบบไกล
มัคคารัมม์ฯจัก....มัคคเหตุฯไซร้....มัคคาธิปฯใด....ไม่เป็นไหนแล

    ๑๔๕.บ่อเกิดสิอายาตนะห้า...................แจกห้าซิหนาเกิดปะทุเอย
"อุปปันนะ"เกิดอยู่ขณะเผย......................."อุปปาทิ"เกิดขึ้นฐิติหนา

    ๑๔๖.กล่าวไม่ได้เลย......"อนุปปันนะ"เปรย......ไม่เกิดขึ้นมา
สัททาย์ตนะ.....ปะเสียงมีหนา....อารมณ์มีอ้า.....หน่วงจิตยึดแล

    ๑๔๗.สัททายะฯจิตรู้ลุอุบัติ....................ไม่เกิดก็ชัดมีธุวะแน่
"อุปปาทิ"เว้นกล่าวภณแฉ.........................ว่าเกิดซิแน่นอนเพราะมิมี

    ๑๔๘.อายตนะห้า.......แจงเจ็ดแบบหนา......เกิด,มิเกิดรี่
"เกิด,อุปปันนฯ"....ไม่ปะ"อนุปปันฯ"ชี้....เป็น"อุปปาทิ"....เกิดขึ้นแล้วนา

    ๑๔๙.ที่ต่อสิธัมมาย์ตนะไว.....................อารมณ์ซิใจรู้ทะลุมา
อุปปันนะมีเกิดประลุพา.............................ไม่เกิดอนุปปันฯนิรเผย

    ๑๕๐.ธัมมายตนะ......"อุปปาที"ปะ......เกิดแน่นอนเอย
ยังกล่าวไม่ได้....เกิด,ไม่เกิดเลย....หรือเกิดแน่เปรย....ก็มีต่างลี

    ๑๕๑.สิบเอ็ดสิอายาตนะแจง...................เจ็ดแบบซิแบ่งกาละเจาะปรี่
เป็น"กาลอดีต,หน้า,ขณะนี้".........................เช่นเดียวกะธัมมาย์ตนะเผย

    ๑๕๒.มีกาลอดีต,หน้า......ปัจจุบันหล้า......กล่าวไม่ได้เอ่ย
ว่ายังจะมี....ชี้กาลอดีตเปรย....อนาคตเกย....หรือปัจจุบัน

    ๑๕๓.มีสิบเจาะอายาตนะหนา..................จิตจ่อ"อนารัมม์ณะดั้น
ไร้สิ่งสิเหนี่ยวจิตเจาะเกาะมั่น......................มีภาวะว่างจิตสละนา

    ๑๕๔.อายตนะสอง......แจงสามแบบตรอง......อารมณ์ตั้งพา
จิตรู้เรื่องราว....พราวในอดีตหนา....อนาคตรู้พา....รวมปัจจุบัน ฯ|ะ
   
แสงประภัสสร

มจร. ๒. อภิธรรมภาชนีย์ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕  พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] https://share.google/ZUUp8ETbn15EbzDqH
มจร. ๓. ปัญหาปุจฉกะ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=35&siri=10

อายตนวิภังค์ = หมายถึง การแจกแจงส่วนต่างๆ ของอายตนะ ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกภายนอกกับจิตใจ
ก. สุตตันตภาชนีย์ = แจกอายตนะ ๑๒ ตามแนวพระสูตร
อายตนะ (ที่ต่อหรือบ่อเกิด) มีดังนี้
(๑) จักขายตนะ ~ ตา ทำหน้าที่รับรู้รูป จักษุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๒) รูปายตนะ ~ รูปารมณ์ หรือรูปที่เห็น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๓) โสตายตนะ ~ หู ทำหน้าที่รับรู้เสียง โสตะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา   (๔) สัททายตนะ ~ สัททารมณ์ หรือเสียงที่ได้ยิน สัททะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๕) ฆานายตนะ ~ จมูก ทำหน้าที่รับรู้กลิ่น ฆานะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๖) คันธายตนะ ~ คันธารมณ์ หรือกลิ่นที่ได้ดม คันธะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๗) ชิวหายตนะ~ ลิ้น ทำหน้าที่รับรู้รส ชิวหาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, ตุลาคม, 2568, 08:09:12 AM

(ต่อหน้า ๘/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๘) รสายตนะ ~ รสารมณ์ หรือรสที่ลิ้ม รสไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๙) กายายตนะ ~ กาย ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส กายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพารมณ์ หรือสิ่งที่สัมผัสได้ โผฏฐัพพะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๑) มนายตนะ ~ ใจ ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ธรรมารมณ์ต่างๆ มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๒) ธัมมายตนะ ~ ธรรมารมณ์ หรืออารมณ์ที่เกิดกับใจ ธรรมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
อภิธรรมภาชนีย์ = แจก อายตนะ ๑๒ แบบอภิธรรม คือ
(๑) จักขายตนะ  ~ จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงเห็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ ด้วยจักษุใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยน์ตาบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขายตนะ
จักขายตนะ =คือ อายตนะส่วนที่เกี่ยวกับตา เป็นที่สำหรับให้ตาเห็นรูป หรือก็คือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตา (จักขุปสาท) กับ รูปารมณ์ (อารมณ์ที่เป็นรูป
ปสาทรูป = คือ รูปที่มีความใส สามารถรับอารมณ์ได้ ในพระพุทธศาสนา มีปสาทรูป ๕ คือ
(๑.๑) จักขุปสาทรูป ~ ประสาทตา มีลักษณะใสเหมือนกระจกเงา ตั้งอยู่กลางตาดำ ทำหน้าที่รับภาพ (รูปารมณ์)  (๑.๒) โสตปสาทรูป ~ประสาทหู มีลักษณะเหมือนวงแหวน มีขนละเอียดสีแดงโดยรอบ ทำหน้าที่รับเสียง (สัททารมณ์) (๑.๓) ฆานปสาทรูป ~ ประสาทจมูก มีลักษณะคล้ายเท้าแพะ ทำหน้าที่รับกลิ่น (คันธารมณ์) (๑.๔) ชิวหาปสาทรูป ~ ประสาทลิ้น มีลักษณะเหมือนกลีบบัว ทำหน้าที่รับรส (รสารมณ์) (๑.๕) กายปสาทรูป ~ประสาทกาย ทำหน้าที่รับการสัมผัสทางกาย
จักขุธาตุ = คือ ประสาทตา หรือส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพ ทำหน้าที่รับอารมณ์ทางตา เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเห็น จักขุธาตุ (เป็นส่วนหนึ่งของปสาทรูป โดยปสาทรูปคือรูปที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ ๕ ทาง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย)
จักขุธาตุทำงานร่วมกับรูปารมณ์และจักขุวิญญาณ เมื่อมีรูปารมณ์มากระทบจักขุธาตุ (ประสาทตา) จะเกิดจักขุวิญญาณ (การเห็น)
จักขุธาตุไม่ใช่แค่ตา: จักขุธาตุหมายถึงส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพทั้งหมด ไม่ใช่แค่ลูกตาภายนอก ดังนั้น จักขุธาตุจึงมีความสำคัญในการรับรู้ทางตา และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเห็น
จักขุ = ดวงตา
จักขุนทรีย์ = ทำหน้าที่รับรู้รูป (สิ่งที่เห็น) ผ่านทางตา
ปัณฑระ = คือ สภาวะของจิตใจที่ปราศจากความมัวหมอง และมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
(๒) รูปายตนะ ~ รูปายตนะ เป็นไฉน
รูปใดเป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ เช่น สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท (สีคล้ายเท้าหงส์ สีแดงปนเหลือง สีแดงเรื่อ หรือ สีแสดก็ว่า) สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด สว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละอองแสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใด ที่เป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงได้ ด้วยจักษุที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รูปายตนะ
(๓) โสตายตนะ ~โสตายตนะ เป็นไฉน โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ด้วยโสตะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า โสตะบ้าง โสตายตนะ
บ้าง โสตธาตุบ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า โสตายตนะ
(๔) สัททายตนะ ~ สัททายตนะ เป็นไฉน
เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียงประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องๆสัตว์ เสียงกระทบกันแห่งธาตุ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยโสตะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททายตนะ
(๕) ฆานายตนะ ~ เป็นไฉน ฆานะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยฆานะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานายตนะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, ตุลาคม, 2568, 03:03:48 PM

(ต่อหน้า ๙/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๖) คันธายตนะ ~ คันธายตนะ เป็นไฉน
กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ
(๗) ชิวหายตนะ ~ ชิวหายตนะ เป็นไฉน
ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ
(๘) รสายตนะ ~ รสายตนะ เป็นไฉน
รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ
(๙) กายายตนะ ~ กายายตนะ เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่ากายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ
(๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่าข เป็นไฉน
(๑๑.๑) มนายตนะหมวดละ ๑ = ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยผัสสะ
(๑๑.๒) มนายตนะหมวดละ ๒ = ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
(๑๑.๓) มนายตนะหมวดละ ๓ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๔) มนายตนะหมวดละ ๔ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
กามาวจร = คือ จิตที่ท่องเที่ยวเกี่ยวข้องใน กามภูมิ ที่ยังติดอยู่ในกาม เช่น มนุษย์ เทวดา หรือสัตว์นรก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด
รูปาวจร = คือ "ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป" หรือ "พรหมที่มีรูป" ซึ่งเป็นสภาวะจิตของบุคคลที่ได้บรรลุรูปฌาน
อรูปาวจร = คือ ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป (อรูปภูมิ) ซึ่งเป็นผลจากการเจริญอรูปฌาน ผู้ที่ได้อรูปฌานจะไปเกิดในอรูปภูมิ ๔ ชั้น ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
วัฏฏทุกข์ = ความวนเวียนของความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ วัฏฏทุกข์ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักๆ ที่หมุนเวียนสัมพันธ์กัน ได้แก่
~กิเลสวัฏ คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี
~กรรมวัฏ คือ การกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ การกระทำดี  และการกระทำชั่ว ล้วนเป็นกรรมที่ส่งผลให้เกิดวิบาก
~วิบากวัฏ คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทั้งที่เป็นสุขและทุกข์ วิบากที่ได้รับก็จะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดกิเลสขึ้นอีก วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ
การดับวัฏฏทุกข์ได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ กิเลส
(๑๑.๕) มนายตนะหมวดละ ๕ = ได้แก่
~มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ (สุขกาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ (ทุกข์กาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ (สุขใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ (ทุกข์ใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (อุเปกขินทรีย์ = เวทนาอันสำราญก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ความสำราญ ก็ไม่ใช่ ทางกายหรือทางใจ)
(๑๑.๖) มนายตนะหมวดละ ๖ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ
(๑๑.๗) มนายตนะหมวดละ ๗ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ
(๑๑.๘) มนายตนะหมวดละ ๘ =  ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, ตุลาคม, 2568, 09:48:11 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๑๑.๙) มนายตนะหมวดละ ๙ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๑๐) มนายตนะหมวดละ ๑๐ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และ มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๒) ธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
เป็นอายตนะ ทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของใจ หรือสิ่งที่ใจสามารถรับรู้ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แต่รวมถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจด้วย เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือสภาวะธรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้, ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (คือ อสังขตาธาตุ)
รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
หมายถึง นามธรรมทั้งหลาย (เช่น จักขุวิญญาณ) รู้ได้ แต่ไม่มีลักษณะปรากฏเป็นรูปธรรม (สิ่งที่มีรูปกาย) และไม่มีการกระทบสัมผัสโดยตรง ธรรมเหล่านี้จัดเป็น อสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่ง
อสังขตาธาตุ ที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นนิพพานเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑-๑๐ ~ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นสุขินทรีย์ - สุขกายก็มี; ที่เป็นทุกขินทรีย์ - ทุกข์กายก็มี; ที่เป็นโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี  ที่เป็นโทมนัสสินทรีย์ - ทุกข์ใจก็มี; ที่เป็นอุเปกขินทรีย์- ไม่ทุกข์,ไม่สุขก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
สัญญาขันธ์ ~ เป็นไฉน
(๑) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = คือ สัญญาขันธ์ เป็น ผัสสสัมปยุต (ประกอบด้วยกับ ผัสสะ)
(๒) สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ) (๓) สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต
(๔) สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ
(๔.๑) สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร  - ท่องเที่ยวในกามภพ (๔.๒) เป็น รูปาวจร -ท่องในรูปภพ (๔.๓) เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ (๔.๔) เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัวได้แก่ มรรค ผลของมรรค และอสังขตธาตุ ขั้นที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, ตุลาคม, 2568, 03:16:38 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๕) สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ
(๕.๑) สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี (๕.๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี (๕.๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
(๖) สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น (๖.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม (๖.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖.๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
(๗) สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๗.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๗.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๗.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๗.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ  (๗.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๘) สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ
(๘.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น (๘.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๘.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๘.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๘.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๘.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๘.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา  - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๘.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๙) สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ
(๙.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๙.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๙.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๙.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๙.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๙.๗) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล (๙.๘) อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๙.๙) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
(๑๐) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้
(๑๐.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๑๐.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๑๐.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๑๐.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๑๐.๘) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล (๑๐.๙) อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
สังขารขันธ์ ~ เป็นไฉน
สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์  = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด
สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์ - สุขกาย) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์- ทุกข์กายก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์-ทุกข์ใจก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ - ไม่ทุกข์,ไม่สุข ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส                                                                   สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, ตุลาคม, 2568, 08:19:52 AM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมายตนะ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ
ปัญหาปุจฉกะ = แสดงคำถาม คำตอบ ด้านพระอภิธรรม
ปุจฉกะ = หมายถึง ผู้ตั้งคำถาม หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถาม
อายตนะ ๑๒ = คือ
(๑) จักขายตนะ (๒) รูปายตนะ (๓) โสตายตนะ (๔) สัททายตนะ (๕) ฆานายตนะ (๖) คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ (๙) กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ (๑๑) มนายตนะ (๑๒) ธัมมายตนะ
บรรดาอายตนะ ๑๒ = อายตนะเท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการอธิบายการจำแนกปรมัตถธรรม  โดยแบ่งออกเป็น ๓ บท
วิสัชนา = หมายถึง คำตอบ, คำชี้แจง, คำแก้ไข, หรือคำอธิบาย. เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการสื่อสารแบบ ปุจฉาวิสัชนา ซึ่งเป็นการถาม (ปุจฉา) และตอบ (วิสัชนา) ไปมา เพื่อให้ได้ความรู้หรือแก้ไขข้อสงสัย
อายตนะ ๑๐ = คือโอฬาริกายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต
คือ อินทรีย์ ๑๐ อย่างแรก ประกอบด้วย:
(๑) จักขุ - จักขุนทรีย์: ตา (๒)โสตะ -โสตินทรีย์): หู (๓) ฆานะ - ฆานินทรีย์: จมูก (๔) ชิวหา - ชิวหินทรีย์: ลิ้น (๕) กาย - กายินทรีย์: กาย ผิวหนัง (๖) รูป - รูปายตนะ: สีสัน (๗) สัททะ - สัททายตนะ: เสียง (๘) คันธะ - คันธายตนะ: กลิ่น (๙)รสะ - รสายตนะ: รส (๑๐) โผฏฐัพพะ - โผฏฐัพพายตนะ: สัมผัส (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง)
อายตนะ ๒ = คือ มนายตนะ, ธัมมายตนะ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต(ประกอบด้วย); แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต; มนายตนะ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; ธัมมายตนะเป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม
เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิบาก ~ ผลของกรรมดี,ชั่วที่ทำไว้
อายตนะ ๒ = เป็นวิบากก็มี; เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี; เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี;
อายตนะ ๕ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ; สัททายตนะ; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ
อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่กระทบกับโสตายตนะ (หู) ทำให้เกิดการรับรู้เสียง เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะภายนอก ๖ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสิ่งที่ให้จิตยึดหน่วงและเป็นเหตุให้จิตเจตสิกเกิดขึ้นได้
อายตนะ ๔ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อนุปาทินนานุปาทานิยะ ~ อนุปาทินนานุปาทานิยะ หมายถึง ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่น และไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
อายตนะ ๒ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อายตนะ ๑๐ = เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ
อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ~ คือ ธรรม อันที่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง และ เป็น ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง
อายตนะ ๒ = เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะก็มี;
สังกิเลสิกะ ~ คือ ธรรมอัน เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
อสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ~ ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมอง และไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
หมายถึง สามัญผล ๔ คือ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นธรรมที่ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส และ ไม่เป็นที่ตั้งยึดถือด้วยอำนาจกิเลส


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, ตุลาคม, 2568, 02:47:37 PM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๑๐ = เป็นอนิยตะ
คือ ธรรมเหล่าใดให้ผลไม่แน่นอน
อายตนะ ๒ = เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี; เป็นสัมมัตตนิยตะก็มี; เป็นอนิยตะก็มี
มิจฉัตตนิยตะ ~ การยึดมั่นในความคิด ความเห็น หรือทิฏฐิที่ผิดอย่างแน่วแน่ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หรือบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
สัมมัตตะนิยตะ ~ เป็นสภาวะโดยชอบ
เป็นสัมมัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย โดยให้ผลไม่มีระหว่างคั่นนั่นแหละ จึงชื่อว่า สัมมัตตนิยตา
อนิยต ~ (อ่านว่า อะ-นิ-ยด) ในพระวินัย เป็นสิกขาบทที่มีลักษณะ ไม่แน่นอน ว่าเมื่อภิกษุทำผิดแล้วจะปรับอาบัติในขั้นใด (ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์) ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระวินัยธรตามข้อเท็จจริงและมูลที่กล่าวหา มี ๒ สิกขาบท คือ (๑) การอยู่ในที่ลับตา (ที่กำบัง) กับสตรีสองต่อสอง (ปฐมอนิยต) (๒) การอยู่ในที่ลับหู (ที่เปิดเผย) กับสตรีสองต่อสอง (ทุติยอนิยต)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
หมายถึง ภาวะที่จิตไม่มีอารมณ์ ไม่ยึดติดสิ่งใด เป็นการปฏิบัติธรรมที่มุ่งให้จิตสงบจากสิ่งเร้าทุกชนิด ไม่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์
อายตนะ ๒ = เป็นมัคคารัมมณะก็มี; เป็นมัคคเหตุกะก็มี; เป็นมัคคาธิปติมัคคก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี
มัคคารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์มรรค ย่อมแสวงหา ย่อมค้นหาพระนิพพานอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมฆ่ากิเลสทั้งหลาย
มัคคเหตุกะ ~ ธรรมมีมรรคองค์ ๘ เป็นเหตุ 
มัคคาธิปติ ~ มรรคเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านั้น ด้วยครอบงําให้เป็นไป
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอนุปปันนะ สัททายตนะ; เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที
อุปปันนะ ~ หมายถึงเป็นไปทั่วจําเดิมแต่อุปปาท(เกิดขึ้น) จนถึงภังคขณะ(กำลังดับ) อันยังไม่เลยไป
อุปปาท ~ คือ "ขณะที่เกิดขึ้น" เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสามขั้นตอน คือ อุปปาท (เกิดขึ้น) ฐิติ (ตั้งอยู่) ภังคะ (ดับไป)
ภังคขณะ ~ คือ ช่วงขณะที่จิตหรือรูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) กำลังดับลง หรือแตกสลายลง
อนุปปันนะ ~ ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น คือไม่ใช่อุปปันนะ
อุปปาทิ ~ ธรรมใดจักเกิดขึ้นแน่นอนเพราะเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุที่สําเร็จแล้ว
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ โดยเฉพาะเจาะจงถึง เสียงต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ให้จิตยึดหน่วงและรับรู้ได้
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาทีก็มี
ธัมมายตนะ ~ คือ สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ ๖ อย่าง ทำหน้าที่เป็น "ที่ต่อ" หรือสื่อกลางให้เกิดการรับรู้ทางใจ (มนายตนะ) ได้แก่ นามขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขาร) และสุขุมรูป ๑๖ รวมถึงนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ ส่วน ธัมมายตนะจัดเป็นอายตนะภายนอกที่ ๖ ซึ่งทำหน้าที่คู่กับมนายตนะที่เป็นอายตนะภายใน
อายตนะ ๑๑ = เป็นอดีตก็มี; .เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอดีตก็มี; เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต แม้เป็นปัจจุบันก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอตีตารัมมณะก็มี; เป็นอนาคตารัมมณะก็มี; เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี
อตีตารัมมณะ ~ คือ จิตที่ไปรับรู้อารมณ์ที่ตั้งอยู่ในกาลอดีต
อนาคตารัมมณะ ~ คือ การคิดรับรู้อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอนาคต
ปัจจุปปันนารัมมณะ ~ คือ ธรรมที่อาศัยเหตุนั้น ๆ เกิดขึ้น
อายตนะ ๑๐ = เป็นอวิตักกาวิจาระ
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมที่เข้าถึงสภาวะที่ว่างจากความคิดและตรึกตรอง เป็นสภาวะที่สงบและเรียบง่ายที่สุด
มนายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
สวิตักกสวิจาร ~ คือสภาวะทางจิตที่ มีทั้งวิตก (การตรึกนึก) และวิจาร (การพิจารณา ตริตรอง) สวิตักกสวิจารธรรม เป็นชื่อของธรรมะที่ประกอบด้วยวิตกและวิจาร ซึ่งพบได้ในปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
อวิตักกวิจารมัตตะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ประกอบด้วย วิจาร (การนึกคิดพิจารณา) เพียงอย่างเดียว แต่ ไม่มีวิตก (การตรึกตรองเบื้องต้น) เป็นสมาธิใน ทุติยฌาน สภาวะนี้จะไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แต่ยังคงมีการพิจารณาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, ตุลาคม, 2568, 10:46:44 AM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

ธัมมายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมะที่ไม่มีทั้งวิตก (ความตรึก) และวิจาร (ความตรอง) เป็นสภาพธรรมที่ปราศจากการคิดปรุงแต่ง ไม่มีความลังเลสงสัย หรือการใช้ความคิดเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ; แม้เป็นสุขสหคตะ; แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ
ปีติสหคตทุกะ ~ ธรรมสหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ
สุขสหคตะ ~ สภาพความสุขที่ สหคตะ (ไปด้วยกัน, ประกอบกัน, ร่วมกัน) กับจิต หรือหมายถึง สุขที่เกิดร่วมกับจิต คือ สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้อารมณ์ต่างๆ
อุเปกฺขาสหคต ~ การมี อุเบกขา วางเฉย ประกอบอยู่ด้วย หรือ ประกอบกับอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่ยินดียินร้ายเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ
อายตนะ ๒ = เป็นปีติสหคตะก็มี; เป็นสุขสหคตะก็มี; เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะก็มี
ทัสสนนปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ได้แก่กิเลสสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นกิเลสประการต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ คือ สกทาคามีมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตตมรรค สภาวธรรม คือกิเลสประการต่างๆ ที่ถูกละได้ด้วยมรรค ๓ เบื้องบน เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น กิเลสที่เหลือเหล่านี้ที่ถูกละด้วยมรรค ๓ เบื้องบน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ
สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี
ทัสสนปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลส คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นกิเลสต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ (คือ สกทาคามีมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) กิเลสต่างๆ เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น
เนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง "ภาวนาที่ยังไม่สามารถละได้ด้วยปัญญา" ซึ่งตรงข้ามกับ "ทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ" ซึ่งหมายถึง การภาวนาที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจนละสิ่งควรละได้
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามี
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๒ =เป็นอาจยคามีก็มี; เป็นอปจยคามีก็มี; เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามีก็มี
อาจยคามิติกะ ~ ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
อปจยคามิโน ~ ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เนวาจยคามิโน ~ ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติ ปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวเสกขนาเสกขะ ~ เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่ (หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เป็นทั้ง เสขะ และอเสขะ)
เสขะ ~ คือผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล, ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล, ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค
อเสขะ ~ ผู้ไม่ต้องศึกษา เพราะศึกษาเสร็จสิ้นแล้วได้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คือ พระอรหันต์
อายตนะ ๒ = เป็นเสกขะก็มี; เป็นอเสกขะก็มี; เป็นเนวเสกขนาเสกขะก็มี
เสกขะ ~ พระอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษาอยู่ หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล
อเสขะ ~ (อ่านว่า อะ-เสก-ขะ) คือ พระอริยบุคคลระดับสูงสุดที่ได้ศึกษาไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) จบสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาอีก เพราะบรรลุอรหันตผลแล้ว เป็นผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์และวัฏสงสารได้อย่างสมบูรณ์
อายตนะ ๑๐ = เป็นปริตตะ 
ปริตตะ ~ ธรรมที่ด้อยหรือคับแคบ เช่น ธรรมที่อยู่ในระดับกามาวจร


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, ตุลาคม, 2568, 03:15:09 PM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๒ = เป็นปริตตะก็มี; เป็นมหัคคตะก็มี; เป็นอัปปมาณะก็มี
มหัคคตะ ~ คือ สภาพธรรมที่ถึงความเป็นใหญ่ หมายถึง จิตและเจตสิกที่ถึงระดับฌาน (รูปฌานและอรูปฌาน) ซึ่งมีความสามารถในการระงับกิเลสได้ เป็นจิตที่เข้าถึงความสงบและวิมุติจากการครอบงำของกิเลส
อัปปมาณะ ~ คือ สภาวะที่ "ไม่มีประมาณ"หมายถึงธรรมที่เป็นโลกุตตระ (ธรรมที่พ้นจากโลก)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ ไม่มีสิ่งใดให้จิตยึดหน่วง หรือ ไม่มีสิ่งที่จิตจะไปเกาะเกี่ยวได้ เป็นภาวะตรงกันข้ามกับ อารมณ์
อารัมมณะ ~ หรือ อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตยึดหน่วงไว้ หรือสิ่งที่เป็นที่ตั้งของจิตใจ อารมณ์แบ่งเป็น รูปารมณ์ (รูป), สัททารมณ์ (เสียง), คันธารมณ์ (กลิ่น), รสารมณ์ (รส), โผฏฐัพพารมณ์ (สัมผัส) และ ธรรมารมณ์ (อารมณ์ทางใจ)
อายตนะ ๒ = เป็นปริตตารัมมณะก็มี; เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี; เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็นมหัคคตารัมมณะ แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี
ปริตตารมณ์ ~ คือ อารมณ์ที่มีเกิดได้น้อยเพราะวัตถุหรืออารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปมาก จึงไม่ชัดแจ้งพอที่จะตัดสินลงไปได้ว่าอารมณ์นั้นดี หรือชั่วประการใด
มหัคคตารัมมณะ ~ มหัคคตารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็น "ธรรมใหญ่" หรือ "มหัคตธรรม" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการบำเพ็ญฌาน ทำให้จิตมีความละเอียดและทรงกำลังใหญ่กว่าจิตปกติทั่วไป
อัปปมาณารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์ที่ไม่มีประมาณ หรือกว้างขวางไม่จำกัด เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ส่งเสริม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในซึ่งพรหมวิหาร
อายตนะ ๑๐ = เป็นมัชฌิมะ
มัชฌิมะ ~ ธรรมทั้งหลายมีในท่ามกลางแห่งธรรมอันลามกและประณีต  คือธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ นอกจาก หีนะ และปณีตธรรม
โลกุตระ ชื่อว่า ธรรมอันประณีต เพราะอรรถว่าสูงสุด และอรรถว่าชุ่มชื่นยิ่ง ไม่เร่าร้อน
อายตนะ ๒ = เป็นหีนะก็มี; เป็นมัชฌิมะก็มี; เป็นปณีตะก็มี
หีนา ~ได้แก่ ลามก คือ อกุศลธรรม
ปณีตธรรม ~ ธรรมอันประณีต
อายตนะ ๑๒ = เป็นอัชฌัตตะก็มี; เป็นพหิทธาก็มี; เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี
อัชฌัตตะ ~ คือ สภาวะที่ มีอยู่ภายในตัวบุคคล หรือ เฉพาะตัว โดยทั่วไปหมายถึง "อายตนะภายใน" ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
พหิทธา ~ ภายนอก ก็คือ สิ่งที่เป็นของคนอื่น หรือ จะกล่าวอีกในนัยหนึ่งก็ได้ว่า ขันธ์ของตน เป็นอารมณ์ภายใน ส่วน ขันธ์ของคนอื่น เป็นอารมณ์ภายนอก
อัชฌัตตพหิทธา ~ สิ่งที่รู้ทั้งภายในและภายนอก
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี; เป็นพหิทธารัมมณะก็มี;  เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอัชฌัตตารัมมณะ แม้เป็นพหิทธารัมมณะ แม้เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; รูปายตนะ เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆะ
อัชฌัตตารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง เช่น ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิต เช่น โสมนัสเวทนา (ความสุขใจ), โทมนัสเวทนา (ความเสียใจ), สุขเวทนา (ความสบายกาย) เป็นต้น
พหิทธารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งภายนอกที่กระทบสัมผัส เช่น รูปารมณ์ (สิ่งที่ตาเห็น), สัททารมณ์ (สิ่งที่หูได้ยิน), คันธารมณ์ (สิ่งที่จมูกได้กลิ่น), รสารมณ์ (สิ่งที่ลิ้นได้รส), โผฏฐัพพารัมมณ์ (สิ่งที่กายสัมผัส) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)
อัชฌัตตพหิทธารมณะ ~ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ อารมณ์มีทั้งอารมณ์ภายในและอารมณ์ภายนอก
สนิทัสสนสัปปฏิฆะ ~ รูปที่เป็นไปกับด้วยการเห็น ทั้งเป็นไปกับด้วยการกระทบ
อายตนะ ๙ = เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆะ 
อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป ~ รูปที่ไม่มีการเห็น แต่เป็นไปด้วยการกระทบ
อายตนะ ๒ = เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะ
อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป ~ รูปที่มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ คือรับรู้ไม่ได้ด้วยประสาทใดๆ ไม่ว่าจะด้วยจักษุ หรือด้วยโสตะ ฆานะ ชิวหา และกาย แต่เป็นธรรมารมณ์ อันรู้ด้วยใจ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, ตุลาคม, 2568, 09:10:06 AM

อภิธรรมปิฎก : ๑๐.วิภังค์ (ธาตุวิภังค์ : แจกธาตุ ๖ และ ๑๘)

ภูวรอินทรฉันท์ ๑๖/กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖

    ๑.ขอน้อมประณต"โคตมพุทธ์-.........เจ้า"ตรัสรู้รุดวิชาครัน
ตัดผองกิเลสจ่ออรหันต์.......................สอนชนประพฤติธรรมลิทุกข์วาย

    ๒.คัมภีวิภังค์.................หนึ่งในเจ็ดพลัง.............พระอภิธรรมผาย
แจงหลักธรรมยิ่ง..............เหตุผลความจริง............ธรรมชาติ,จิตกราย
มีกิเลสมาย.......................รู้ดับทุกข์คลาย.............จิตพ้นระกำ

    ๓.แจงธาตุวิภังค์ได้ตติเอย................."สุตตันฯ"พระสูตรเชยจะเล่านำ
รวบรวมประมวลธรรม"อภิธรรมฯ"..........."ปัญหาฯ"และคำตอบแถลงหนา

   ๔."สุตตันต์ภาชนีย์"........แจงธาตุหกปรี่..............สิ่งทั้งหลายคณา
มีธาตุรวมกัน....................."ดิน,ปฐวี"ครัน...............ธรรมชาติแข็งครา
ภายในตนกล้า..................เนื้อ,กระดูกพา..............นอกตน,เพชร์,ทอง

    ๕."อาโปสิน้ำ"ทั้งพหิ,ใน......................กายตนจะอ่อนไซร้และเหลวครอง
ในตนกิเลส,ทิฎฐิเจาะผอง......................เลือดหนองและน้ำลายซิเกิดไกล

    ๖.น้ำภายนอกตน..........มีเอิบอาบล้น.................ธรรมชาติคุมไว
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือริ.....................สร้างรูปน้อย,ใหญ่
เช่นน้ำผลไม้....................นมส้ม,เนยใส.................หรือน้ำในดิน

    ๗."เตโชสิธาตุไฟ"ระอุใน....................กายตนจะอุ่นไซร้เจาะร้อนริน
อยาก,ทิฏฐิยึดอยู่ปะทุชิน......................กายโทรมและย่อยดีสดวกผาย

    ๘.เตโชภายนอก...........ร้อนธรรมชาติดอก.........ความอบอุ่นมาย
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือตริ...................ไฟ,อาทิตย์ฉาย
ร้อนจากไฟกราย.............ไฟมูลสัตว์ปลาย.............กองขี้เถ้านา

    ๙."วาโยสิธาตุลม"เหมาะเจาะตรง.......ในกายซิขึ้นลงและพัดกล้า
อยาก,ทิฏฐิยึดถือปะทะฝ่า.....................ค้ำจุนนะรูปกายผดุงเผย

    ๑๐.ลมภายนอกตน........ธรรม์ชาติพัดท้น............พัดไปมาเอ่ย
อยาก,ทิฏฐินา...................ไม่ยึดถือหนา.................เกิดรูปตรึงเปรย
ลมทิศต่างเกย...................ลมหนาว,ร้อนเสย...........ลมแรงหรือบาง

    ๑๑.อากาสสิธาตุเลาะเสาะใน.............กายตนก็มีไซร้เจาะช่องว่าง
อยาก,ทิฏฐิยึดมั่นปะทะวาง....................ช่องหู,จมูก,มีอะกาศครอง

    ๑๒."อากาสธาตุ"นอก......เป็นธรรมชาติบอก.........อยู่นอกกายตรอง
"มีความว่างเปล่า"เอย..........อากาศล้อมเผย.............ตามธรรมชาติผอง
อยาก,ทิฏฐิจ้อง...................ไม่ยึดถือปอง.................กรรมก่อเกิดยล

    ๑๓."วิญญาณสิธาตุ"รู้หทยา................จิตรู้ซิหกหนาประสบผล
"ตา,จักขุวิญญาณ"กิจะท้น......................หู,โสตวิญญาณซิรู้แฉ

    ๑๔."จมูก,ฆาน์วิญญ์ธาตุ"...จิตรู้กลิ่นยาตร..............ความรู้ชาญแล
"ชิวหาวิญญ์ธาตุฯ"................ได้ลิ้มรสชาติ................จิตรู้รสแน่
"กายวิญญ์าตุฯแล้.................กายสัมผัสแท้................เย็น,ร้อน,เจ็บเอย

    ๑๕."ธาตุใจมโนวิญญ์ฯ"หฤทัย..............ชี้รับอะรมณ์ไซร้ลุรู้เอ่ย
ผ่านวิญญะทางอาย์ตนะเผย....................ตา,หู,จมูก,ลิ้น..ซิวิญญาณ
   
    ๑๖.วิญญาณธาตุเกิด.........ตัวอย่างซิเพริศ.............จักขุวิญญ์ฯพาน
"แสงกระทบรูป"มา.................ประสาทตาคว้า............."มีใส่ใจ"ฉาน
จักขุวิญญาณ........................เกิดจิตรู้การ..................ขาดหนึ่ง"เห็น"จาง

    ๑๗.ธาตุหกซิอีกนัย"สุขะธาตุ"................มีทุกขยาตรเจาะสุขวาง
"โสมนัสสิธาตุ",สุขลุสะพร่าง......................"โทมนัสส์ซิธาตุ"ทุกข์ระทมใจ

    ๑๘."อุเปกขาธาตุ"................อารมณ์กลางยาตร........ทุกข์,สุขอยู่ไกล
"อวิชชาธาตุ"...........................ความไม่รู้จัคลาด...........ด้อยปัญญาใส
ความลุ่มหลงใด.......................ไม่ใคร่ครวญไว..............ขาดพิจารณา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, ตุลาคม, 2568, 07:15:55 PM

(ต่อหน้า ๒/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

   ๑๙.นัยหนึ่งสิธาตุหกริประชิด............"กามธาตุ"หทัยคิดริผิดหนา
อีกธาตุ"พยาปาทฯ"ภิทะฆ่า..................อาฆาตประทุษเขามิเลิกเผย

    ๒๐."วิสิงหาธาตุ"............ใจเบียดเบียนคาด......คิดมิจฉาเอย
เนกขัมมธาตุ.....................คิดถูกต้องยาตร.........ปลอดโลภ,กามเปรย
"อัพยาปาฯ"เผย................คิดถูกใจเชย..............เมตตาสัตว์แล

    ๒๑.ตรึกถูก"อวีหิงฯ"กรุณา................เมตตาซิแผ่กล้าอะรมณ์แล้
เมื่อได้ประมวลย่อตติแท้.......................สามหมวดเจาะสิบแปดซิธาตุหนา

    ๒๒.อภิธรรมภาชนีย์.......ธาตุสิบแปดคลี่...........ธรรมชาติทรงนา
คงสภาพตน......................ลักษณะคงยล.............ไม่เปลี่ยนแปลงพา
"จักขุธาตุ,ตา"....................มีปสาท์รูปกล้า.............เกี่ยวการเห็นแล

    ๒๓."รูปธาตุ"สิสัมผัสและแตะกล้า.......พึงมีประสาทตาเสาะ"สี"แน่
เกิดจักขุวิญญาณมติแฉ........................ความรู้จะแจ้งใจอุบัติมา

   ๒๔."จักขุวิญญ์ธาตุฯ".......ความรู้แจ้งยาตร..........เมื่อตา,รูปนา
พร้อมเหมาะสมแล้ว............เกิดจักขุวิญญ์ฯแน่ว......ใจจริงรู้ครา
"โสตธาตุ,หูฯ"กล้า..............ยินเสียงแล้วหนา...........เกิดโสตวิญญาณ

    ๒๕."สัทท์ธาตุ"ก็เสียงยินภวะใกล้.........เป็นรูปมิเห็นได้กระทบขาน
"โสตวิญญ์ฯ"สิมีโสตะปะพาน...................กับเสียงอุบัติโสตวิญญ์ฯแฉ

    ๒๖."จมูก,ฆานธาตุ"..........ปสารูปยาตร................มีพร้อมแจ้งแล
"คันธธาตุ,กลิ่น"ไซร้.............รูปเห็นไม่ได้.................กระทบได้แน่
จมูก,กลิ่นเหมาะแล้.............."ฆานวิญญ์ธาตุ"แท้........เกิดรู้แจ้งพลัน

    ๒๗."ชิวหาสิธาตุลิ้น"ภวะชิน.................มีพร้อมประสาทลิ้นซิชิมครัน
"รสธาตุ"ก็รู้เด็ดรสะสรร..........................รสนั้นมิเห็นแน่กระทบแฉ

    ๒๘."ชิวหาวิญญ์ธาตุฯ".......ปสาทรูปคาด...............ประสาทลิ้นแล
"กายธาตุ"ที่ชี้........................ประสาทกายมี..............รับสัมผัสแน่
เป็นที่ตั้งแล้...........................กายวิญญาณแท้...........กายทวารเอย

    ๒๙."โผฏฐัพพะธาตุ"สิ่งปะแตะกาย.......รู้ร้อนและเย็นง่ายซิแน่วเลย
ดิน,ไฟและลมนั้นริเจอะเคย......................พบกับประสาทกายลุกายวิญญ์ฯ

    ๓๐.โผฏฐัพพะนี้.................อาศัยกายชี้.................เหมาะสมผลิน
กาย,โผฏฐัพพ์ฯพบ.................สัมผัสกระทบ..............รู้สัมผัสชิน
บังเกิดธาตุริน........................"กายวิญญ์ธาตุฯ"สิ้น.....เกิดรู้แจ้งใจ

    ๓๑.ความหมาย"มโนธาตุ"หทยา............อารมณ์ซิรู้มาและคิดไกล
เกิดห้าอะรมณ์ล้วนพหุไซร้.......................ผ่านห้าทวารตา,กะหู..เอย

    ๓๒."ธัมมธาตุ"คือ................ธรรมารมณ์ชื่อ............รู้ทางใจเชย
มีอารมณ์ไว............................รู้ระลึกใด....................สภาพธรรมเผย
"สุขุมรูป"เอ่ย..........................เจตสิกเสย..................และพระนิพพาน

    ๓๓.คำ"ธัมมธาตุ"แจงวทะเผล่................สามนามขันธ์"เวทนา"ฉาน
"สัญญาและสังขาร"นิรมาณ......................ใจรู้และจำ,ปรุงเสมอมา

    ๓๔.เวทนาเป็นใด.................แจงหนึ่ง-สิบไซร้..........แต่ละหมวดหนา
เวทนาขันธ์หมวด.....................ละหนึ่งมีรวด...............กอปรผัสสะพา
เวทนาขันธ์กล้า.......................หมวดละสองหนา.........เหตุไร้,เหตุมี

    ๓๕.สามเวทนาขันธ์"อกุศล"...................ที่เป็น"กุศล"ท้นและ"กลาง"ปรี่
สี่เวทนาที่จรลี.........................................."กามาวะฯ"ท่องกามคุณแฉ

    ๓๖.เวทนาขันธ์เป็น.............."รูปาวะ"เด่น.................พรหมมีรูปแล
เวทนาขันธ์ผู้..........................."อรูปาฯ"ชู....................พรหมไร้รูปแล้
เวทนาที่แท้.............................พ้นวัฏฏทุกข์แน่............กิเลสวายเอย

    ๓๗.ห้าเวทนาขันธ์"สุขะ"กราย................"ทุกขินฯ"เจาะทุกข์กายทุรนเอ่ย
ใจ"โสมนัส"ปลื้มรติเชย.............................."เศร้า,โทมนัส"ใจระกำหนา

    ๓๘."อุเบกขินทรีย์"................การวางเฉยชี.............ใจสงบมั่นนา
เวทนาขันธ์หก.........................."จักขุสัมฯ"ปก.............รู้ชัดทางตา
"โสตสัมผัสส์ชาฯ".....................รู้สัมผัสหนา...............หูยินเสียงพาน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, ตุลาคม, 2568, 04:03:16 PM

(ต่อหน้า ๓/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๓๙."รู้,ฆานสัมผัสส์ฯ"ปะทะกลิ่น........ผ่านทางจมูกสิ้นและวิญญาณ
"รู้,ชิวหาสัมผัสส์ฯ"รสะกราน.................ด้วยลิ้นอร่อยชิมเหมาะจริงแฉ

    ๔๐."กายสัมผัสส์ชาฯ"....รู้สัมผัสหนา...............ทางกายนั่นแล
เจ็บ,สบายกาย..................รู้เย็น,ร้อนหน่าย.........อ่อน,นุ่ม,แข็งแท้
"มโนสัมผัสส์ฯ"แน่.............ใจรับรู้แล้...................อารมณ์ต่างเอย

    ๔๑.ด้วยใจกระทบสิ่งศยะใกล้............รู้สึกจะเกิดได้ซิเร็วเอ่ย
นึกเรื่องสิเกิดสุขก็จะเชย.......................ตนเองจะสุขใจระเริงหนา

    ๔๒.เวทนาขันธ์เจ็ด.........รู้ผ่าน"ตา"เด็ด............วิญญาณร่วมนา
"จักขุสัมผัส"......................ตา,รูปพร้อมชัด..........."จักขุวิญญ์ฯ"มา
"โสตสัมผัส"พา..................หู,เสียงพร้อมหนา........โสตวิญญ์ฯร่วมชิน

    ๔๓.รู้"ฆานสัมผัส"ปะทะนำ..................ผ่านกลิ่น,จมูกย้ำกะฆานวิญญ์ฯ
"ชิวหาฯ"กระทบเค็มรสะชิน.....................ชิวหาซิวิญญาณอุบัติแฉ

   ๔๔."รู้กายสัมผัส".............ประสาทกายจัด...........ผิวหนังรู้แล
เย็น,ร้อน,ปวดพรู................."กายวิญญาณ"กรู.........เกิดรู้ทันแล้
รู้เจ็บแล้วแท้.......................จดจำหลีกแน่................ป้องกันภัยกราย

    ๔๕.ตรึก"ธรรมะรมณ์"สิ่งหฤทัย.............นึกคิดอะไรได้ซินอกกาย
เป็นหนึ่งสิอายาตนะผาย...........................เห็นจำริทุกข์,สุขปรุมากเอย

    ๔๖."มโนธาตุสัมฯ"พบ........ธรรมารมณ์จบ.............เกิดความรู้เลย
เรียก"มโนวิญญาณ"..............เพราะสองสิ่งพาน........ใจ,ธรรมาฯเผย
ใจสัมผัสเคย.........................สิ่งที่คิดเอ่ย.................เกิดรู้ขึ้นมา

    ๔๗."สัมผัสมโนวิญญ์ฯ"มนรู้....................กับธรรมะรมณ์ชูกุเกิดหนา
ความรู้มโนวิญญ์ฯคติกล้า..........................รู้เวทนา,จำและสังขาร

    ๔๘.เวทนาขันธ์หมวด..........ละแปดแจงรวด...........คล้ายหมวดเจ็ดพาน
ต่างที่เวทนา..........................."กายสัมผัส"ครา..........มีเวทนากราน
แตกสองสถาน.......................เกิดแต่สุขสราญ..........เกิดแต่ทุกข์เอย

    ๔๙.เวท์นาสิขันธ์หมวดนวคล้าย..............หมวดเจ็ดซิจัดง่ายตะต่างเอ่ย
สัมผัสมโนวิญญ์ฯประลุเผย.........................ฝ่ายชั่ว,กุศล,อัพยาฯกลาง

    ๕๐.เวทนาเป็นหมวด............ละสิบเหมือนรวด..........หมวดเก้าต่างพลาง
กายสัมผัสจัด.........................ที่เป็นสุขชัด..................ที่เป็นทุกข์ขวาง
เวทนามากอย่าง.....................ขอเว้นเลิกร้าง................จบแค่สิบแล

    ๕๑.สัญญาสิขันธ์รู้เจาะระลึก..................หนึ่ง-สิบเสาะได้ตรึกซิใจแฉ
แยกหมวดละหนึ่งพึงซิเจาะแท้.....................ความจำประกอบผัสสะร่วมนา

    ๕๒.สัญญาขันธ์หมวด..........ละสองมีรวด..................เหตุมี,ไร้มา
หมวดสามแจกชี้......................มี"กุศล"คลี่...................."อกุศล"หนา
"อัพยากฤต"กล้า.....................ปราศดี,ชั่วคว้า...............อยู่กลางกลางเอย

    ๕๓.หมวดสี่ริ"กามาวจะ"จบ.....................ผู้ท่องลุกาม์ภพซิเสพเผย
ห้ากามคุณ,รูป..จรเคย...............................จำหน่วงและหลงมัวจิรังกาล

    ๕๔.เป็น"รูปาว์จระ"...............ท่องรูปภพนะ.................พรหมมีรูปพาน
เป็น"อรูปาฯ"............................ใน"อรูปภพฯ"ครา...........พรหมไร้รูปกราน
เป็น"อปริฯ"ผ่าน.......................ไม่ชัดเจนขาน................ด้วยไม่แน่นอน

    ๕๕.สัญญาสิหมวดห้าเจาะริชี้.................มี"สุข,สุขินทรีย์"ซิร่วมชอน
มี"ทุกข์ก็ทุกขินฯ"ภวช้อน..........................เกิดทุกขเวท์นาประกอบครัน

    ๕๖."โสมนัสสินทรีย์ฯ"............เวทนาร่วมมี..................สุขทางใจพลัน
"โทมนัสสินทรีย์ฯ".....................เวทนาร่วมชี้..................ทุกข์ทางใจสรร
"อุเปกขินฯ"ยัน..........................มีเวทนางัน....................อารมณ์เฉยแล

    ๕๗.สัญญาสิหก"จำ"เจาะทวาร................สัมผัสซิห้าผ่านกะ"ตา.."แท้
"จำ"เกิดปรุทางตาประลุแล้.........................เรียกจักขุสัมผัสส์ฯจะแลเห็น

    ๕๘."โสตสัมผัสส์ชาฯ"............สัญญา,จำมา................เพราะได้ยินเป็น
"ฆานสัมผัสส์ชาฯ".....................บังเกิดจำหนา...............เพราะได้กลิ่นเด่น
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"เน้น..................จำได้เลือกเฟ้น..............ได้ลิ้มรสเลอ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 27, ตุลาคม, 2568, 07:35:58 PM

(ต่อหน้า ๔/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๕๙."จำ"เกิดกะกายสัมฯกุอุบัติ..........สัมผัส ณ กายชัดเจาะจำเปรอ
สัญญามโนสัมฯริแตะเจอ.....................สัมผัสเจาะจำเกิด ณ ใจเผย

    ๖๐.สัญญาขันธ์หมวด.....ละเจ็ดแจงรวด............เหมือนหกต่างเอย
"มโนวิญญาณธาตุ"............สัมผัสเกิดยาตรพลัน....รู้ธาตุใจเลย
ผ่านประสาทสัมฯเชย.........ตา,หู,จมูกเคย............ลิ้น,กาย,ใจแล

    ๖๑.สัญญาสิแปดนี้ดุจะเจ็ด...............ต่างกันซิกายเด็ดตะรู้แฉ
สัญญาซิกายสัมฯสุขะแล้......................สัญญาซิกายสัมฯทุระหนา

    ๖๒.สัญญาขันธ์แจง........หมวดละเก้าแจ้ง...........คล้ายแปด,ต่างนา
มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ".............จำ"กุศล"นำ.................จาก"อกุศล"พา
จำมี"อัพยา"........................เกิดผัสสะกล้า.............ไร้ดี,เลวแล

    ๖๓.สัญญาสิสิบนี้จะคะคล้าย.............หมวดเก้าซิกรายเจาะก่นแต่
สัญญะกายสัมฯปะทะแล้.......................จึงเกิดเพราะใจสุขสราญแฉ

   ๖๔.กายสัมผัสส์ชาฯ.........สัญญา,จำหนา..............มีทุกข์ร่วมแล
สังขารขันธ์เป็น...................อย่างไรจึงเด่น...............หมวดหนึ่ง-สิบแฉ
หมวดหนึ่งเป็นแล้................สังขารฯกอปรแท้...........ด้วยจิตใจแล

    ๖๕.สังขารละสองส่องระบุเหตุ...........ไร้เหตุมิมีเดชจะปรุงแน่
หมวดสามกุศลท้นเจาะมิแน่...................ชั่ว,อัพยากฤติเจาะเป็นกลาง

    ๖๖.สังขารขันธ์หมวด.......สี่ที่เป็นรวด..................."กามาวะฯ"พลาง
ในกามภพเอย.....................อยู่รูปภพเผย.................ในอรูปภพวาง
สภาพสว่าง.........................พ้นวัฏฏทุกข์ห่าง.............เลิกวนเกิดตาย

    ๖๗.สังขารละห้าปรุงริประกอบ............เป็นสัมปยุตครอบกะสิ่งหลาย
"สุขกาย,สุขินทรีย์"รติกราย...................."ทุกขินฯ"ปะทุกข์กายสบายเลย

    ๖๘."โสมนัสสินฯ"ชุก.........ประกอบด้วยสุข..............ภิรมย์ใจเอย
"โทมนัสสินฯ"รุก...................ประกอบด้วยทุกข์...........ระทมใจเผย
"อุเปกขินฯ"เกย....................ไม่ปรุงใดเอ่ย..................เป็นกลางกลางแล

    ๖๙.สังขารละหกตั้งหทยา...................สัมผัสทวารหนาเสาะปรุงแฉ
ตา,หู,จมูก..ครบปะทะแล้.........................เจต์นาลุด้วย"จักขุสัมผัสส์ฯ

    ๗๐."โสตสัมผัสส์ชาฯ"........เจตนาเกิดหนา..............เพราะหูยินชัด
"ฆานสัมผัสส์ชาฯ".................เจตนาเกิดกล้า..............สัมผัสจมูกจัด
"ชิวหาสัมฯ"คัด......................เจตนาเกิดชัด................สัมผัสลิ้นเอย

    ๗๑.เจต์นาปะ"กายสัมฯ"ริกระทบ..........สัมผัสซิครันจบเจาะปรุงเอ่ย
เจต์นา"มโนสัมฯ"มนเผย..........................สัมผัสฤดีพร้อมจะรู้ครัน

    ๗๒.สังขารขันธ์เจ็ด............เหมือนหมวดหกเด็ด.......แต่เพิ่มเสริมพลัน
"มโนธาตุสัมผัสส์ฯ"................ปรุงห้าทวารชัด.............ใจรู้ถลัน
"มโนวิญญ์ธาตุฯดั้น................ปรุงหกทวารสรรค์.........ธาตุรู้ทางใจ

    ๗๓.สังขารสิแปดนั้นดุจะเจ็ด.................ต่างที่เจาะกายเด็ดมิเหมือนไซร้
"กายสัมฯ"กระทบร่วมสุขะไว...................."กายสัมฯ"กระทบร่วมกะทุกข์เผย

    ๗๔.สังขารขันธ์เก้า.............เหมือนเจ็ดเพิ่มเกลา........มโนวิญญ์ธาตุเอย
มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ.................เจตนาเกิดหนำ................เป็นกุศลเผย
อกุศลเคย.............................และอัพยาฯเชย...........สภาพ"กลาง"เอย

    ๗๕.สังขารสิสิบนั้นจะประดุจ.................หมวดเก้าตะต่างสุดเจาะกายเอ่ย
เจต์นาซิ"กายสัมฯ"เป็นสุขะเชย................."กายสัมฯ"ลุทุกข์ร่วมทุรนหนา

    ๗๖.รูปเห็นไม่ได้................ไม่กระทบไซร้..................เป็นอย่างไรนา
ธัมมาย์ตนะ..........................สภาพธรรมปะ..................เฉพาะใจรู้หนา
เวทนา,สัญญา......................และสังขารกล้า.................มิเห็นมิคลำ

    ๗๗.ธัมม์ธาตุก์ปัจจัยนิรปรุง....................คือธรรมมิคิดมุ่งเพราะสิ้นหนำ
ซึ่งราคะ,โกรธ,โมหะละนำ..........................เรียกว่าอสังข์ธาตุลุนิพพาน

    ๗๘.มโนวิญญาณธาตุ........สภาพใจรู้ยาตร.........หกอารมณ์กราน
ผ่านทวารหกล่วง..................เจ็ดสิบหกดวง............จิตทั้งหมดขาน
ขณะตาย,เกิดผ่าน................วิบากจิตสาน..............มิใช้ทวารแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, ตุลาคม, 2568, 07:24:11 AM

(ต่อหน้า ๕/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๗๙.ใจคือมโนธาตุธุระยาตร.............เมื่อจักขุวิญญ์ธาตุซิดับแล้
รับต่อสิอารมณ์ประลุแล......................เกิดเช่นซิ"หู.."ผู้ตริต่อไป

    ๘๐.ขณะมโนธาตุ.........คราเกิด-ดับคาด.........มโนวิญญ์ธาตุไว
ที่พอเหมาะกัน.................รับมโนธาตุพลัน..........ตามลำดับไกล
วิญญาณห้าได้.................ตา,หู..ดับไซร้.............มโนธาตุเกิดตาม

    ๘๑.มานัส,มโน,จิตเหมาะมโน-...........วิญญ์ธาตุจะเกิดโผล่ประจักษ์ผลาม
ลำดับสิการเกิดกิจะลาม.......................ธรรมอื่นมโนธาตุสิตามมา

    ๘๒.มโนธาตุเกิดแล.......วิญญาณห้าแท้...........ได้ดับลงหนา
"จักขุวิญญ์ธาตุฯ"............."โสตวิญญ์ฯ"ยาตร......."ฆานวิญญ์ธาตุฯ"กล้า
"ชิวหาวิญญ์ฯ"มา.............."กายวิญญ์ธาตุฯ"หล้า....ตามลำดับพลัน

    ๘๓.มานัส,มโน,จิตเหมาะมโน-.............วิญญ์ธาตุจะเกิดโร่และดับครัน
รับรู้สิต่างทุกขณะดั้น............................ปรุงต่อมโนธาตุก็เป็นแฉ

    ๘๔.จิต,มโน,มานัส..........ปัณฑระชัด................มนินทรีย์แล
แปล"จิต"เหมือนชิด...........อาศัยภวังค์จิต............ธรรมมารมณ์แล้
มโนวิญญ์ธาตุฯแน่.............ที่เหมาะสมแท้............จึงเกิดขึ้นเอย

    ๘๕.ปัญหาสิถามปุจจ์ฉกะตรอง...........คำตอบซิมีข้องกะธาตุเผย
สิบแปดสภาพธรรมภวเกย......................ด้วยเหตุและปัจจัยมิใช่ตน

    ๘๖."จักขุธาตุ,ตา"...........เห็น"รูปธาตุ"นา.........."จักขุวิญญ์ธาตุ"ยล
"โสตธาตุ,หู"......................."สัททธาตุ,เสียง"พรู....."โสตวิญญ์ธาตุ"ผล
"จมูก,ฆานธาตุ"ด้น.............."คันธ์ธาตุ,กลิ่น"ล้น......"ฆานวิญญ์ธาตุฯ"นา

    ๘๗."ชิวหาสิธาตุ"พบ"รสะธาตุ"............."ชิวหาซิวิญญ์ฯ"กาจเจาะรู้หนา
"กายธาตุ"เสาะโผฏฐัพพะและกล้า..........."กายวิญญ์ธาตุ"เกิดริรู้พลัน

    ๘๘."มโนธาตุ,ใจ"..............พบ"ธัมมธาตุ"ไซร้.......สิ่งที่รู้ครัน
"มโนวิญญาณธาตุ"..............จึงได้เกิดยาตร...........รู้แจ้งใจสรร
รู้อารมณ์ทัน........................เจ็ดสิบหกดั้น..............เกิดหกทวารแล

    ๘๙.ด้วยธาตุสิสิบหกเหมาะเจาะกลาง.....อัพ์ยาซิเฉยวางและมั่นแฉ
ธัมม์ธาตุ,มโนวิญญ์ก็ละแล้.........................หักออกลุสิบหกปะเหลือคง

    ๙๐.ธาตุสองนั้นคือ............"ธัมมธาตุ"ชื่อ.............."ธรรมมารมณ์"ยง
" มโนวิญญาณธาตุ"..............สภาพรู้แจ้งคาด..........ทางใจประสงค์
เป็นกุศลตรง.........................อกุศลบ่ง....................อัพยากฤต,กลาง

    ๙๑.ธาตุสอง"มโนวิญญ์ฯ"กิจะบ่ม.............ธัมม์ธาตุซิอารมณ์หทัยวาง
พึง"เป็นวิบาก"รอประลุพลาง......................."ไม่เป็นและไร้เหตุวิบาก"หนา

    ๙๒.ด้วย"สัททธาตุ"............เสียงกระทบยาตร.......โสตประสาทนา
มีกรรมประกอบ.....................ด้วยตัณหาครอง.........และทิฏฐิพา
ไม่ยึดถือกล้า.........................มีอารมณ์มา................จากอุปาทาน

    ๙๓.ธาตุสองเจาะ"อยาก,ทิฎฐิ"ริจม............ยึดถือลุอารมณ์ซิมีพาน
"ไม่ยึดตะอารมณ์ศยะ"ขาน..........................อีกพวกปลาตมีนะทั้งสอง

    ๙๔.ธาตุสอง"กิเลส.............ไม่ทำเศร้าเจตน์"..........มีอารมณ์ครอง
"กิเลสไม่ทำ...........................ให้เศร้าหมอง"นำ.........อารมณ์มีปอง
กิเลสไม่จ้อง...........................ทำ"เศร้าหมอง"ถ่อง......ไร้อารมณ์เลย

    ๙๕.ธัมม์ธาตุเจาะอารมณ์ปะทุสอง............"มีตรึก,วิจาร"ส่องซิแน่เอ่ย
"ไร้ตรึก,วิจารมี,อนะเผย"..............................ท้ายกล่าวมิได้ว่าจะไร้,มี

    ๙๖.ธาตุสองสภาพสี่............"มีปีติ"ชี้......................."ร่วมด้วยสุข"คลี่
"ร่วมอุเบกขา"........................."ปีติ,สุขหา....................ไม่มีเลยปรี่"
"ท้ายไม่กล่าวชี้.......................ปีติ,สุขรี่........................อุเบกขา"เอย

    ๙๗.ธาตุสองสิเห็นแจ้งพหุหนา..................ได้ทำวิปัสส์นาเจริญเอ่ย
ทุกสิ่งมิเที่ยง,ทุกข์ทุระเผย...........................ความเป็นอนัตตาก็ทราบแล

    ๙๘.ธาตุสองสามสภาพ........."ต้องประหาร"ราบ..........ด้วยโสดาฯแล้
"ประหารด้วยมรรค..................เบื้องบนสาม"จัก.............เหนือโสดาแท้
"ไม่ประหารแน่........................โสดามรรคแผ่................หรือบนสาม"นา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 28, ตุลาคม, 2568, 04:03:05 PM

(หน้า ๖/๒๐) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๙๙.ธาตุสองสิสามแบบประลุช่วย........มีเหตุประหารด้วยซิโสดาฯ
"หรือมรรคเจาะเบื้องบน"ตติหนา.............ไร้เหตุมิฆ่าด้วยกะมรรคผอง

    ๑๐๐.ธาตุสอง,สามแบบ......เป็นเหตุ"เกิด"แยบ.........และ"ตาย"มีครอง
เป็นเหตุให้ถึง........................พระนิพพานตรึง............ก็ยังมีตรอง
ไร้เหตุทั้งผอง........................ปฏิสนธิปอง..................จุตินิพพาน

    ๑๐๑.ธาตุสองเจาะสาม"เสขะนิกร".......ยังต้องมุเรียนป้อนวิมุติกราน
"ผู้เป็นอเสฯ"ถึงนิรวาณ............................ท้าย,ผู้มิเป็นสองกระไรเผย

    ๑๐๒.ธาตุสอง,สามแบบ......"ปริตตะด้อยแยบ"..........ธรรมข้องกามเอ่ย
เป็นมหัคคตะ..........................คือธรรมใหญ่ปะ............ขั้นรูฌานเกย
เป็นอัปป์มาณะเชย.................ไร้ประมาณเสย..............ขั้นอรหันต์แล

    ๑๐๓.ธัมม์ธาตุสิมีอาสวะท้น..................อารมณ์กิเลสดลซิมากแท้
ไม่เป็นก็มีได้นิรแฉ...................................อารมณ์ปลาตแน่กิเลสบาง

    ๑๐๔.มโนวิญญ์ธาตุ.............มีสามแบบยาตร............มีคันถะจาง
"พร้อมอารมณ์กวน.................จิตใจให้ป่วน"................."ไร้คันถะว่าง"
มีอารมณ์กร่าง........................กล่าวไม่ได้ขวาง............ไม่เป็นใดเลย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑) มจร. ธาตุ ๖ นัยที่ ๑ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ [๓. ธาตุวิภังค์]
https://share.google/xoXfZ1diP3Ex3k3hW
          ๒) ธาตุ ๑๘ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/ep5nyGNHd1N0P1RJ6
          ๓) มจร. ธาตุ ๑๘ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/BoH1chc1FMkIxdXgA

ธาตุวิภังค์ = เป็นคัมภีร์ย่อยในวิภังค์ ซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของพระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓๕ อธิบายเรื่อง "ธาตุ ๑๘" อันประกอบด้วยธาตุทางตา (จักขุธาตุ) รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส และการคิดนึก
การศึกษาธาตุวิภังค์ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง รวมถึงองค์ประกอบของมนุษย์ ทั้งรูปธรรม (วัตถุ) และนามธรรม (จิต เจตสิก) และนิพพาน นำไปสู่การเห็นความจริงว่าทุกสิ่งประกอบขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอนัตตา
ธาตุวิภังค์ = จำแนกออกเป็น ๓ ส่วน คือ (๑) สุตตันตภาชนีย์ จำแนกตามพระสูตร เป็นธาตุ ๖ (๒) อภิธรรมภาชนีย์ จำแนกตามพระอภิธรรม เป็น ธาตุ ๑๘ (๓) ปัญหาปุจฉกะ แสดงคำถาม คำตอบ เกี่ยวกับธาตุ
(ก) สุตตันตภาชนีย์
ธาตุ ๖ = คือ ธาตุ หมายถึงส่วนประกอบสำคัญที่รวมกันขึ้นเป็นสิ่งทั้งหลาย มีความหมายต่างกัน ได้แก่
(๑) ปฐวีธาตุ - ธาตุดิน = มี ๒ อย่าง คือ
(๑.๑) ปฐวีธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตนมีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายใน
(๑.๒) ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น เหล็ก
โลหะ ดีบุกขาว ดีบุกดำ เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงินตรา ทอง แก้วมณีแดง แก้วมณีลาย หญ้า ท่อนไม้ ก้อนกรวด กระเบื้อง แผ่นดิน แผ่นหิน ภูเขา หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก
(๒) อาโปธาตุ - ธาตุน้ำ มี ๒ อย่าง คือ
(๒.๑) อาโปธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายใน


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, ตุลาคม, 2568, 09:18:39 AM


(ต่อหน้า ๗/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

(๒.๒) อาโปธาตุที่เป็นภายนอกก็มี
อาโปธาตุภายนอก เป็นไฉน?
~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะในรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ รส รากไม้ ลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำที่อยู่บนพื้นดิน หรือน้ำที่อยู่ในอากาศ หรือ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ควานเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะกุมรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุภายนอก
(๓) เตโชธาตุ เป็นไฉน?
เตโชธาตุ มี ๒ อย่าง คือ เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายนอก
(๓.๑) เตโชธาตุภายใน เป็นไฉน?
~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายเร่าร้อน เตโชธาตุที่ทำให้ของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มถึงความย่อยไปด้วยดี หรือ ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ เรียกว่า เตโชธาตุภายใน
(๓.๒) เตโชธาตุภายนอก เป็นไฉน?
ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟอสนีบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อน  ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่าเตโชธาตุภายนอก.
(๔) วาโยธาตุ เป็นไฉน?
วาโยธาตุมี ๒ อย่างคือ วาโยธาตุภายใน วาโยธาตุภายนอก.
(๔.๑) วาโยธาตุภายใน เป็นไฉน
~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายในเฉพะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา ลมมีดโกน ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายใน
(๔ ๒) วาโยธาตุภายนอก เป็นไฉน?
~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมครุธ ลมใบตาล ลมใบพัด หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายนอก
(๕) อากาสธาตุ เป็นไฉน?
อากาศธาตุมี ๒ อย่าง คือ อากาสธาตุภายใน อากาสธาตุภายนอก
(๕.๑) อากาสธาตุภายใน
~ อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม และช่องสำหรับของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มไหลออกเบื้องต่ำ หรือ อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายใน
(๕.๒) อากาสธาตุภายนอก เป็นไฉน?
อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายนอก
(๖)วิญญาณธาตุ เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณธาตุ, โสตวิญญาณธาตุ, ฆานวิญญาณธาตุ, ชิวหาวิญญาณธาตุ, กายวิญญาณธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ .นี้เรียกว่า วิญญาณธาตุ
สภาวธรรมเหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖.


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 29, ตุลาคม, 2568, 02:37:52 PM

(ต่อหน้า ๘/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง = คือ
(๑) สุขธาตุ ~ ความสำราญทางกาย; ความสุขทางกาย; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส
(๒) ทุกขธาตุ ~ ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกขธาตุ
(๓)โสมนัสสธาตุ ~ ความสำราญทางใจ; ความสุขทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โสมนัสสธาตุ 
(๔)โทมนัสสธาตุ ~ความไม่สำราญทางใจ; ความทุกข์ทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โทมนัสสธาตุ
(๕) อุเปกขาธาตุ ~ ความสำราญทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สำราญทางใจก็ไม่ใช่; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า อุเปกขาธาตุ
(๖) อวิชชาธาตุ ~ ความไม่รู้ ความไม่เห็น; ความไม่ตรัสรู้; ความไม่รู้โดยสมความ; ความไม่รู้ตามความเป็นจริง; ความไม่แทงตลอด; ความไม่ถือเอาให้ถูกต้อง; ความไม่หยั่งลงอย่างรอบคอบ; ความไม่ใคร่ครวญ; ความไม่พิจารณา; ความไม่ทำให้ประจักษ์; ความด้อยปัญญา; ความโง่เขลา; ความไม่รู้ชัด; ความหลง ความลุ่มหลง; ความหลงใหล อวิชชา; โอฆะคืออวิชชา; โยคะคืออวิชชา; อนุสัยคืออวิชชา; ปริยุฏฐานะคืออวิชชา ลิ่มคืออวิชชา; อกุศลมูลคือโมหะ; นี้เรียกว่า อวิชชาธาตุ
ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง = คือ
(๑) กามธาตุ ~ คือ ความตรึก โดยอาการต่างๆ; ความดำริ; ความที่จิตแนบแน่นในอารมณ์; ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์; ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยกาม; นี้เรียกว่า กามธาตุ (กามมี ๒ คือ วัตถุกาม และกิเลสกาม ธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับกิเลสกามเป็นชื่อของกามวิตก ธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุกามเป็นชื่อสภาวธรรมที่เป็นกามาวจร)
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ท่องเที่ยวนับเนื่องอยู่ในระหว่างนี้ ชั้นต่ำมีอเวจีนรกเป็นที่สุด ชั้นสูงมีเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุดนี้ เรียกว่า กามธาตุ
(๒) พยาปาทธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยพยาบาท นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ (พยาปาทธาตุนี้เป็นชื่อของพยาบาทวิตก)
อีกนัยหนึ่ง ความที่จิตอาฆาตในอาฆาตวัตถุ ๑๐ ความอาฆาตที่รุนแรง; ความกระทบกระทั่ง; ความแค้น; ความพิโรธตอบ; ความกำเริบ; ความกำเริบหนัก; ความกำเริบหนักขึ้น; ความคิดร้าย ความคิดประทุษร้าย; ความคิดประทุษร้ายหนัก; ความที่จิตคิดพยาบาท; ความที่จิตคิดประทุษร้าย; ความโกรธ; กิริยาที่โกรธ; ภาวะที่โกรธ; ความคิดปองร้าย; กิริยาที่คิดปองร้าย; ภาวะที่คิดปองร้าย; ความพยาบาท; กิริยาที่พยาบาท; ภาวะที่พยาบาท; ความพิโรธ; ความพิโรธตอบ; ความดุร้าย; ความเกรี้ยวกราด; ความที่จิตไม่แช่มชื่น; นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ
(๓) วิหิงสาธาตุ ~คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยวิหิงสา นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมใช้ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา หรือเชือกอย่างใดอย่างหนึ่งเบียดเบียนสัตว์; ความเบียดเบียน; กิริยาที่เบียดเบียน; ความรังแก; กิริยาที่รังแก; ความเกรี้ยวกราด; กิริยาที่กระทบกระทั่งอย่างรุนแรง; ความเข้าไปเบียดเบียนสัตว์อื่นเห็นปานนี้; นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ   
(๔) เนกขัมมธาตุ ~คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบด้วยเนกขัมมะ นี้เรียกว่า เนกขัมมธาตุ
(๕) อัพยาปาทธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบด้วยอัพยาบาท นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ
ความมีไมตรี ความเจริญเมตตา ภาวะที่แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย เมตตา เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นทางใจที่มีเมตตาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ
(๖) อวิหิงสาธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ; ความดำริที่ประกอบด้วยอวิหิงสา; ความที่จิตแนบแน่นในอารมณ์; ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์; ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์; สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ
กรุณา; ความเจริญกรุณา; ภาวะที่แผ่กรุณาในสัตว์ทั้งหลาย; กรุณาเจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นทางใจที่มีกรุณาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ
ประมวลย่อธาตุ ๖ สามหมวดนี้เข้าเป็นหมวดเดียวกันจึงเป็นธาตุ ๑๘ ด้วยอาการอย่างนี้
สุตตันตภาชนีย์ จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, ตุลาคม, 2568, 06:38:33 AM

(ต่อหน้า ๙/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

อภิธรรมภาชนีย์
ธาตุ ๑๘ = คือ
(๑) จักขุธาตุ = จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ (ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม) นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขุธาตุ
จักขุธาตุ คือ ปสาทรูปอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยจักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่รับรู้รูปารมณ์ (สิ่งที่ตาเห็น) โดยองค์ธรรมของจักขุธาตุก็คือ จักขุปสาท นั่นเอง
(๒) รูปธาตุ = รูปารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับจักขุปสาทได้องค์ธรรม คือ สีต่างๆอาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ ; ชื่อว่ารูปธาตุบ้าง คือ ส่วนที่จับต้องได้ ในวัตถุหรือร่างกาย
(๓) จักขุวิญญาณธาตุ = จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณจักขุวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น นี้เรียกว่าจักขุวิญญาณธาตุ
(๔) โสตธาตุ =โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้ เรียกว่า โสตธาตุ
(๕) สัททธาตุ =สัททะ (เสียง) ใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า สัททธาตุ
(๖) โสตวิญญาณธาตุ = จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ โสตวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยโสตะ(หู) และเสียงเกิดขึ้นนี้เรียกว่า โสตวิญญาณธาตุ
(๗) ฆานธาตุ = ฆานะ (จมูก) ใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานธาตุ
(๘) คันธธาตุ =คันธะ (กลิ่น)ใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้ ชื่อว่าคันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธธาตุ
(๙) ฆานวิญญาณธาตุ =   จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ ฆานวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยฆานะและกลิ่นเกิดขึ้น นี้เรียกว่า ฆานวิญญาณธาตุ
(๑๐) ชิวหาธาตุ = ชิวหา (ลิ้น) ใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหาธาตุ
(๑๑) รสธาตุ = รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้ชื่อว่ารสธาตุ       
(๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ = ชิวหา (ลิ้น)ใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหาธาตุ
(๑๓) กายธาตุ = กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายธาตุ
(๑๔) โผฏฐัพพธาตุ = ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้ชื่อว่าโผฏฐัพพธาตุบ้าง นี้เรียกว่า โผฏฐัพพธาตุ
(๑๕) กายวิญญาณธาตุ = จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณวิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยกายและโผฏฐัพพะเกิดขึ้น นี้เรียกว่า กายวิญญาณธาตุ
(๑๖) มโนธาตุ = จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งจักขุวิญญาณธาตุ ฯลฯ โสตวิญญาณธาตุ ฯลฯ ฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ ชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งกายวิญญาณธาตุ หรือการพิจารณาอารมณ์ครั้งแรกในสภาวธรรมทั้งปวง จิต มโน มานัส ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่เหมาะสมกันเกิดขึ้น
(๑๗) ธัมมธาตุ = เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
(๑๗.๑) บรรดาธัมมธาตุนั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉนเวทนาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็น  กามาวจร; ที่เป็นรูปาวจร; ที่เป็นอรูปาวจร; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
~กามาวจร =  คือผู้ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภพ
~รูปาวจร = ผู้ที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปภพ
~อรูปาวจร = ผู้ที่ยังท่องเที่ยวในอรูปภพ
~ผู้ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ = ผู้หมดกิเลส หลุดพ้นทุกข์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ
สุขินทรีย์ - อินทรีย์คือ สุข; ทุกขินทรีย์ - อินทรีย์คือ ทุกข์ ; โสมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์ คือ โสมนัส (ความสุขใจ ปลาบปลื้ม เบิกบานใจ); โทมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์คือ โทมนัส (ความเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าโศก); อุเบกขินทรีย์ -  อินทรีย์คือ อุเบกขา (วางเฉย)
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
~จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางตา; ~โสตสัมผัสสชาเวทนา - ทางหู; ~ ฆานสัมผัสสชาเวทนา - ทางจมูก; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - ทางลิ้น; ~ กายสัมผัสสชาเวทนา - ทางกาย; ~ มโนสัมผัสสชาเวทนา - เวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางใจ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 30, ตุลาคม, 2568, 04:52:47 PM

(ต่อหน้า ๑๐/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ,โสตสัมผัส, ฆานสัมผัส, ชิวหาสัมผัส, กายสัมผัส, มโนธาตุสัมผัส, มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
~มโนธาตุ  = คือ อเหตุกจิต ๓ ดวง ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวงและปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง จิตทั้ง ๓ ดวงนี้เป็นมโนธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์และเกิดได้เพียง ๕ ทวาร
~มโนวิญญาณธาตุ = คือ สภาพที่รู้แจ้งทางใจ หมายถึงจิต ๗๖ ดวง นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวงและมโนธาตุ ๓ ดวง จิต ๗๖ ดวงนี้เป็นมโนวิญญาณธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่
~จักขุสัมผัส; ~ โสตสัมผัส; ~ ฆานสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัส; ~ เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุข; ~ เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์; ~ เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; ~ เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่ ~ จักขุสัมผัส; ~โสตสัมผัส; ~ ฆานสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัส; ~ กายสัมผัส; ~ มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ได้แก่เวทนาที่เกิดแต่
~ จักขุสัมผัส; ~โสตสัมผัส; ~ ฆานสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัส; ~ กายสัมผัส ที่เป็นสุข; ~ กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์; ~ มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
(๑๗.๒) สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ)
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต
สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ
~สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร  - ท่องเที่ยวในกามภพ; ~เป็น รูปาวจร - ท่องในรูปภพ; ~เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ; ~เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัว
สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ
~สัญญาขันธ์เป็น สุขินทริยสัมปยุต -ประกอบด้วย สุขเวทนา; ~ เป็นทุกขินทริยสัมปยุต - ประกอบด้วย ทุกขเวทนา; ~ เป็นโสมนัสสินทริยสัมปยุต - ประกอบด้วย โสมนัสสเวทนา; ~ เป็นโทมนัสสินทริยสัมปยุต -  ประกอบด้วย โทมนัสสสเวทนา; ~ เป็นอุเปกขินทริยสัมปยุต -  ประกอบด้วย อุเบกขาเวทนา;
สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
~จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น; ~ โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน; ~ ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น; ~ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม; ~ กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส; ~ มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ
~ จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น; ~โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน; ~ ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น; ~ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม; ~ กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส; ~ มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ
~ จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น; ~ โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน; ~ ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น; ~ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม; ~ สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผังชสทางกาย; ~ ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย; ~ มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา  - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ
~ จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น; ~โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน; ~ ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น; ~ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม; ~ กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส; ~ มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ; ~ กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล; ~ อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล; ~ อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 31, ตุลาคม, 2568, 08:11:39 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้
~ จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น; ~ โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน; ~ ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น; ~ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม; ~ สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสสทางกาย; ~ ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย; ~ มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ; ~ กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล; ~ อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล; ~ อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
(๑๗.๓) สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่
~ สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี; ~ ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ~ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ~ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์  = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด
สังขารขันธ์หมวดละ ๕ =ได้แก่
~ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์(สุข) ก็มี; ~ ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์(ทุกข์) ก็มี; ~ ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี; ~ ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี; ~ ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๖ = ได้แก่
~ จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส; ~ โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส; ~ ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; ~ มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ = ได้แก่
 ~ จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส; ~ โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส; ~ ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; ~ มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส                                                                  สังขารขันธ์หมวดละ ๘ =ได้แก่
~ จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส; ~ โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส; ~ ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์; ~ มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๙ =ได้แก่
~ จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส; ~ โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส; ~ ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; ~ มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี; ~มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ =ได้แก่
~ จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส; ~ โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส; ~ ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส; ~ ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข; ~ กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี; ~ มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี; ~ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 31, ตุลาคม, 2568, 01:43:01 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ = ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ เป็นไฉน
คือ ธรรมหรือปรากฏการณ์ทางจิตใจที่เกิดขึ้นในใจ เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือมโนภาพ ซึ่งไม่อาจเห็นได้ด้วยตาและไม่สามารถสัมผัสได้ทางกายภาพ แต่รับรู้ได้ด้วยใจ
ธัมมายตนะ = คือ ธรรมารมณ์ (ปรากฏการณ์ทางใจ) ซึ่งเป็นอารมณ์ที่รับรู้ได้ทางใจ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ (อัปปฏิฆะ) เป็นลักษณะของธรรมารมณ์ คือ เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา และไม่สามารถสัมผัสได้ทางกาย ตัวอย่าง
ความคิด: เราคิดได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นความคิดและสัมผัสไม่ได้
ความรู้สึก: เช่น ความรัก ความโกรธ ความสุข เกิดขึ้นในใจ แต่ไม่มีรูปร่าง และสัมผัสไม่ได้
มโนภาพ: ภาพที่เรานึกขึ้นมาในใจ ก็เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้น รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ คือ สภาวะของธรรม หรืออารมณ์ทางใจที่เกิดขึ้นในจิตของเรา โดยไม่อิงกับสิ่งที่ตาเห็นหรือมือสัมผัสได้
~ เช่น อิตถินทรีย์ (อินทรีย์ของหญิง), ปุริสินทรีย์ (อินทรีย์ของชาย), และ กวฬิงการาหาร (คำข้าวที่กลืน) เป็นรูปที่สามารถรับรู้ได้ด้วยอินทรีย์ภายนอก (เช่น ตา หู จมูก ลิ้น) แต่ตัวของรูปนั้นไม่ได้กระทบต่ออินทรีย์เหล่านั้นโดยตรง
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน?
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งราคะ, โทสะ, และโมหะ เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมธาตุ
อสังขตธาตุ (หรือ อสังขตธรรม) คือ ภาวะที่พ้นจากการปรุงแต่ง ปราศจากการเกิด ดับ และเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นสภาวะที่เที่ยงแท้ถาวร  คือ นิพพาน
(๑๘) มโนวิญญาณธาตุ = มโนวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
มโนวิญญาณธาตุ คือ = สภาพที่รู้แจ้งทางใจ
หมายถึง จิต ๗๖ ดวง (นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวง และมโนธาตุ ๓ ดวง) จิต ๗๖ ดวงนี้ เป็นมโนวิญญาณธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร
จิตทั้งหมดมี = ๘๙ ดวง จำแนกโดยความเป็นธาตุได้ ๗ อย่าง คือ ~ จักขุวิญญาณธาตุ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง (จิตเห็น ๒ ดวงที่เป็นผลของกุศลและอกุศล); ~โสตวิญญาณธาตุ ได้แก่ โสตวิญญาณ ๒ ดวง (จิตได้ยิน ๒ ดวงที่เป็นผลของกุศลและอกุศล); ~ ฆานวิญญาณธาตุ ได้แก่ ฆานวิญญาณ ๒ ดวง(จิตได้กลิ่น ๒ ดวงที่เป็นผลของกุศลและอกุศล); ~ ชิวหาวิญญาณธาตุ ๒ ดวง (จิตได้ลิ้ม ๒ ดวงที่เป็นผลของกุศลและอกุศล); ~กายวิญญาณธาตุ ได้แก่ กายวิญญาณ ๒ ดวง (จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ๒ ดวงที่เป็นผลของกุศลและอกุศล); ~  มโนธาตุ ๓ ดวง (วิถีจิตแรกทางปัญจทวาร และ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวง); ~ มโนวิญญาณธาตุ ได้แก่ จิต ๗๖ ดวงที่เหลือ(ได้แก่ อกุศลจิต ๑๒ อเหตุกจิต ๕ กามาวจรโสภณ ๒๔ มหัคคตจิต ๒๗ โลกุตตรจิต ๘)
มโนธาตุ = หรือ มโนวิญญาณ คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะการรับรู้อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) หรือการนึกคิด เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะภายใน ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่ใจรับรู้
หน้าที่ของมโนธาตุ/มโนวิญญาณ = คือ
~ รับรู้ธรรมารมณ์ รับรู้อารมณ์ที่เกิดจากใจ
~ การนึกคิดมีการน้อมจิตไปในเวทนา สัญญา สังขาร
~ปรุงแต่งอารมณ์ที่รับรู้ได้
เช่น เมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆ หรือ จำ เรื่องราวต่างๆ ในอดีต ล้วนเป็นหน้าที่ของมโนวิญญาณที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ทางใจ
การเกิด-ดับ ตามลำดับ ของมโนธาตุ = มีดังนี้
~มโนธาตุเกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งจักขุวิญญาณธาตุ
~ จิต (สภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์); มโน (คือธาตุรู้ที่ทำหน้าที่นึกคิด เป็นส่วนหนึ่งของจิต); มานัส (คือธาตุรู้ที่ยึดมั่นในความเป็นตัวตน และ ธาตุทั้งหลาย เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับ -ปฏิจจสมุปบาท โดยมีเจตสิก -องค์ประกอบของจิต ทำหน้าที่ต่างๆ); มโนธาตุเป็นธาตุหนึ่งที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ที่มากระทบทางทวารทั้ง ๕; ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งมโนธาตุ
~มโนธาตุเกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งจักขุวิญญาณธาตุ ฯลฯ โสตวิญญาณธาตุ ฯลฯ ฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ ชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ กายวิญญาณธาตุ
~จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดแม้แห่งมโนธาตุ
~ จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยภวังคจิตและธรรมารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ
ภวังคจิต = คือ จิตพื้นฐานที่เก็บสะสมอารมณ์ไว้ เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดและดับของจิต เป็นสภาพจิตที่อยู่ในระดับลึกที่สุด ไม่ได้ทำงานรับรู้อารมณ์ภายนอกเหมือนวิถีจิต (คือ จิตทีรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ภวังคจิตเป็นแหล่งที่เก็บอารมณ์ กุศลอกุศล และประสบการณ์ต่างๆ ที่จิตเคยรับรู้เอาไว้ ทำงานเป็นกระบวนการอัตโนมัติของจิต เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด เนื่องจากเป็นที่สะสมอุปนิสัยและเป็นองค์แห่งภพ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, พฤศจิกายน, 2568, 08:05:31 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ปัญหาปุจจฉกะ
ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการศึกษาทำความเข้าใจหลักธรรมในพระอภิธรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจในเรื่องของจิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ธาตุ ๑๘ = คือ ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งเป็นธรรมชาติอันเป็นปกติของตนเองไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่ประการใด ได้แก่
(๑) จักขุธาตุ = จักขุ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่รูปารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ จักขุประสาท
(๒) รูปธาตุ = รูปารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับจักขุปสาทได้องค์ธรรม ได้แก่ สีต่างๆ
(๓) จักขุวิญญาณธาตุ = จักขุวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราทรงไว้ซึ่งการเห็นองค์ธรรม ได้แก่ จักขุวิญญาณจิต ๒
(๔) โสตธาตุ =โสตะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่สัททารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท
(๕) สัททธาตุ = สัททารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับโสตปสาทได้ องค์ธรรมได้แก่ เสียงต่างๆ
(๖) โสตวิญญาณธาตุ = ชื่อว่าธาตุ ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน องค์ธรรมได้แก่ โสตวิญญาณจิต ๒
(๗) ฆานธาตุ = ฆานะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่คันธารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท
(๘) คันธธาตุ = คันธารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับฆานปสาท ได้องค์ธรรมคือ กลิ่นต่างๆ
(๙) ฆานวิญญาณธาตุ = ฆานวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้กลิ่นองค์ธรรม ได้แก่ ฆานวิญญาณจิต ๒
(๑๐) ชิวหาธาตุ = ชิวหา ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่รสารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท
(๑๑) รสธาตุ = รสารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับชิวหาปสาทได้องค์ธรรม ได้แก่ รสต่างๆ
(๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ = ชิวหาวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้รสองค์ธรรมิ ได้แก่ ชิวหาวิญญาณจิต ๒
(๑๓) กายธาตุ = กายะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่โผฏฐัพพารมณ์มากระทบได้ องค์ธรรมได้แก่ กายปสาท
(๑๔) โผฏฐัพพธาตุ = โผฏฐัพพารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับกายปสาท ได้องค์ธรรมได้แก่ สัมผัสต่างๆ
(๑๕) กายวิญญาณธาตุ = กายวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้สัมผัสองค์ธรรม ได้แก่ กายวิญญาณจิต ๒
(๑๖) มโนธาตุ = จิต ๓ ดวง ชื่อว่ามโนธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้ปัญจารมณ์อย่างสามัญ องค์ธรรมได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันจิต ๒
~ปัญจทวาราวัชชนจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่ "น้อม" หรือ "หัน" อายตนะทั้ง ๕ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไปรู้อารมณ์ที่มากระทบก่อนเป็นลำดับแรก ทำให้เกิดการรับรู้ทางทวารทั้ง ๕ เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น เป็นต้น จิตนี้เป็นกิริยาจิตที่เกิดขึ้นเพื่อรับรู้ว่าอารมณ์ใดกระทบทวารใด ก่อนที่วิบากจิต (จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ) จะเกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์นั้นจริงๆ
~สัมปฏิจฉันจิต ๒ = หรือ สัมปฏิจฉันนะกิจ คือ หน้าที่ของจิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ต่อจากวิญญาณวิถีจิต โดยจะรับรู้ถึงสิ่งที่กระทบเข้ามาทางประสาทสัมผัส (เช่น สิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส หรือความคิด) แล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไป เช่น สันตีรณจิต เกิดขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์นั้นต่อ
(๑๗) ธัมมธาตุ = สภาพธรรม ๖๙ ชื่อว่าธัมมธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตนๆ องค์ธรรมได้แก่ เจตสิก ๕๒ สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน ๑
~ สุขุมรูป ๑๖ = คือ "อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป" เป็นรูปละเอียด มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ รับรู้ได้ด้วยธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยใจเท่านั้น สุขุมรูปประกอบด้วย อาโปธาตุ ๑ - ธาตุน้ำ; ภาวรูป ๒ - รูปที่เกิดจากการปรุงแต่งทางใจ; หทัยรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของจิต; ชีวิตรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของชีวิต; อาหารรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของอาหาร; ปริจเฉทรูป ๑ - รูปอันเป็นที่กำหนดเขต; วิญญัตติรูป ๒ - รูปอันสื่อแสดง; วิการรูป ๓ - รูปอันเป็นรูปที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น บิดงอ ย่น; ลักขณรูป ๔ - รูปอันเป็นเครื่องหมายของรูปทั้งปวง เช่น เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
(๑๘) มโนวิญญาณธาตุ= จิต ๗๖ ดวง ชื่อว่ามโนวิญญาณธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้ อารมณ์เป็นพิเศษองค์ธรรมได้แก่ จิต ๗๖ (เว้นทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ และ มโนธาตุ ๓)
~ทวิปัญจวิญญาณจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยประกอบด้วยจิต ๑๐ ดวง (๒ ฝ่าย ฝ่ายละ ๕ ดวง) ได้แก่ จักขุวิญญาณ (เห็น), โสตวิญญาณ (ได้ยิน), ฆานวิญญาณ (ได้กลิ่น), ชิวหาวิญญาณ (รู้รส), และกายวิญญาณ (สัมผัส) จิตเหล่านี้เกิดขึ้นจากผลของกรรม ทำให้วิบากนั้นมีทั้งฝ่ายดี (กุศลวิบาก) และฝ่ายไม่ดี (อกุศลวิบาก)
ทุกมาติกาปุจฉา
บรรดาธาตุ ๑๘ ธาตุ = เท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้;


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 01, พฤศจิกายน, 2568, 01:37:15 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

(๒.๒) อาโปธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติ ที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น น้ำรากไม้ น้ำลำต้น น้ำเปลือกไม้ น้ำใบไม้ น้ำดอกไม้ น้ำผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำในพื้นดิน น้ำในอากาศ หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่ซึมซาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายนอก
(๓) เตโชธาต - ธาตุไฟ มี ๒ อย่าง คือ 
(๓.๑) เตโชธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือซึ่งเป็นภายในตน เช่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ที่ทำให้เร่าร้อนและที่ทำให้ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ถึงความย่อยไปด้วยดี หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายใน
(๓.๒) เตโชธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟ อสนิบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่
นี้เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายนอก
(๔) วาโยธาตุ - ธาตุลม มี ๒ อย่าง คือ
(๔.๑) วาโยธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา(ลมที่พัดหมุนไป ประดุจตัดสิ่งที่ต่อกันไว้ที่ผูกกันไว้ด้วยมีดโกน); ลมมีดโกน(ลมที่เฉือดเฉือน ประดุจเฉือนหทัยด้วยมีดอันคม); ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูปเป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายใน
(๔.๒) วาโยธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายนอกตนที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมปีกครุฑ ลมใบกังหัน ลมพัดโบก หรือความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูปเป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตนแม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายนอก
(๕) อากาสธาตุ - ธาตุคือที่ว่าง  มี ๒ อย่าง คือ
(๕.๑) อากาสธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มและช่องสำหรับของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มไหลลงเบื้องต่ำ หรืออากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุที่เป็นภายใน
(๕.๒) อากาสธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ; ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า; (ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่างซึ่งมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้องแล้ว) เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน
(๖) วิญญาณธาตุ - ธาตุคือวิญญาณ คือ จิต หรือ ธาตุรู้
จิตโดยธรรมชาตินั้น ผุดผ่องเป็นประภัสสร เรียกว่าเป็น วิญญาณธาตุ ได้แก่
(๖.๑) จักขุวิญญาณธาตุ (๖.๒) โสตวิญญาณธาตุ (๖.๓) ฆานวิญญาณธาตุ (๖.๔) ชิวหาวิญญาณธาตุ (๖.๕) กายวิญญาณธาตุ (๖.๖) มโนวิญญาณธาตุ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, พฤศจิกายน, 2568, 09:54:18 AM

(ต่อหน้า ๑๕/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

กุสลติกวิสัชนา = คำตอบที่เป็นกุศล
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอัพยากฤต
ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(ธาตุ ๒ คือ ธัมมธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ)
เวทนาติกวิสัชนา = คำตอบที่เป็น เวทนา
ธาตุ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า
(๑) สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒)สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓) หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
ธาตุ ๕ ~ สัมปยุตด้วย
(๑) อทุกขมสุขเวทนา (๒) กายวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๔) มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๖) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๗) ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๘)ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๙) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๑๐) ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยสุขเวทนา, สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา, หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิปากติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับวิบาก
ธาตุ ๑๐ ~ ไม่เป็นวิบาก, และไม่เป็นเหตุให้เกิด วิบาก
ธาตุ ๕ ~ เกี่ยวกับวิบาก
มโนธาตุที่เป็นวิบากก็มี; ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี;
ธาตุ ๒ ~ เกี่ยวกับวิบาก
(๑) ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
อุปาทินนติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับอุปาทาน
ธาตุ ๑๐ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัททธาตุ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
ธาตุ ๕ ~ เกี่ยวกับอุปาทาน
(๑) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ธาตุ ๒ ~ เกี่ยวกับอุปาทาน
(๑) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องเศร้าหมอง
ธาตุ ๑๖ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มีสวิตักกติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ วิตก วิจาร
ธาตุ ๑๕ ~ (๑)ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร (๒) มโนธาตุมีทั้งวิตกและวิจาร (๓) มโนวิญญาณธาตุ
ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๔) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๕) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ธัมมธาตุ = (๑) ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตก และ วิจารก็มี
ปีติติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับปีติ
ธาตุ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขา
ธาตุ ๕ ~ สหรคตด้วยอุเบกขา
กายวิญญาณธาตุ ~ (๑)ไม่สหรคตด้วยปีติ (๒) ที่สหรคตด้วยสุขแต่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยสุขก็มี
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ทัสสนติกวิสัชนา = การเห็นแจ้ง ซึ่งเป็นผลมาจากการวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนเห็นความจริงของสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง คือ ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา)
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
มรรคเบื้องบน ๓ ~ ที่เหนือกว่าโสดาปัตติมรรค คือ สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และ อรหัตตมรรค
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ทัสสนเหตุติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับเหตุต้องประหาร
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 02, พฤศจิกายน, 2568, 03:00:20 PM

(ต่อหน้า ๑๖/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

อาจยคามิติกวิสัชนา = ธรรมทั้งหลายที่เป็นไปของสัตว์ผู้ดําเนินไปสู่ปฏิสนธิ และจุติ
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
เสกขติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับ เสขะ,อเสขะ
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ปริตตติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องธรรมที่ด้อย
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นปริตตะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นปริตตะ(ธรรมด้อย) ก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะ(ธรรมใหญ่) ก็มี (๓) ที่เป็นอัปปมาณะ (ธรรมที่ไม่มีประมาณ) ก็มี
ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องปริตตธรรม
ปริตตารัมมณธรรม คือ สภาวธรรม ที่กระทำปริตตธรรมให้เป็นอารมณ์มีอยู่ (ปริตตธรรม คือสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แต่จิตก็ยินดีพอใจติดข้องในปริตตธรรมนั้นอยู่เสมอ เพราะการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของปริตตธรรมนั้นๆ จึงดูเสมือนไม่ดับไป)
ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้
ธาตุ ๖ ~ มีปริตตะเป็นอารมณ์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์, มีมหัคคตะเป็นอารมณ์, หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
หีนติกวิสัชนา =คำตอบของธรรมที่ต่ำ
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นชั้นกลาง
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
มิจฉัตตติกวิสัชนา =คำตอบที่มีความเห็นผิด,เห็นถูก
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
มัคคารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์ของมรรค
ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้
ธาตุ ๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ (๒) มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดี
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์, มีมรรค
เป็นเหตุ, หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
อุปปันนติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ การเกิดขึ้น
ธาตุ ๑๐ ~ (๑) ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
สัททธาตุ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ธาตุ ๖ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้น หรือ
จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่อง ธรรมมีอารมณ์ภายในตน
ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้
ธาตุ ๖ ~ (๑) ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในก็มี
ทุกมาติกาวิสัชนา
สนิทัสสนติกวิสัชนา = คำตอบการกระทบ
รูปธาตุ ~ เห็นได้และกระทบได้
ธาตุ ๙ ~ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
ธาตุ ๘ ~ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เหตุโคจฉกวิสัชนา =คำตอบเรื่องเหตุ
ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นเหตุ
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุต(ไม่ประกอบด้วย) จากเหตุ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ, หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี (๒) ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ, หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ, หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี 
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ, หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ
มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, พฤศจิกายน, 2568, 09:08:27 AM

(ต่อหน้า ๑๗/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ, หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
จูฬันตรทุกวิสัชนา =
ธาตุ ๑๗ ~ มีปัจจัยปรุงแต่ง
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี (๒) ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี
ธาตุ ๑๗ ~ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี (๒) ที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี
รูปธาตุ ~ เห็นได้
ธาตุ ๑๗ ~ เห็นไม่ได้
ธาตุ ๑๐ ~ กระทบได้
ธาตุ ๘ ~ กระทบไม่ได้
ธาตุ ๑๐ ~ เป็นรูป
ธาตุ ๗ ~ ไม่เป็นรูป
ธัมมธาตุ ~ (๑)ที่เป็นรูปก็มี (๒) ที่ไม่เป็นรูปก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นโลกิยะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นโลกิยะก็มี (๒) ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ธาตุ ๑๘ ~ (๑) ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
อาสวโคจฉกวิสัชนา =คำตอบเรื่องกิเลส
ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นอาสวะ
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ (๑) เป็นอารมณ์ของอาสวะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอาสวะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือ (๒) เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ, หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือ (๒) สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ (๔) หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๔) หรือวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นสังโยชน์
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
มโนวิญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑)เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๒) หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็สังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๔) หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 03, พฤศจิกายน, 2568, 03:51:09 PM
(ต่อหน้า ๑๘/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔) หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
คันถโคจฉกวิสัชนา = การอธิบายว่า สิ่งใดเป็นเครื่องรบกวนจิตใจ (คันถะ) และสิ่งใดไม่เป็นเครื่องรบกวนจิตใจ (ไม่เป็นคันถะ)
ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นคันถะ
ธัมมธาตุ ~ ที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของคันถะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากคันถะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ
มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๒) หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ
มโนวิญญาณธาตุ ~กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๔) หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๔) หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา =
ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์
ธัมมธาตุ ~ ที่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ (๑)กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์
มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๒) หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์
มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๔) หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๔) หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, พฤศจิกายน, 2568, 08:57:12 AM

(ต่อหน้า ๑๙/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ปรามาสโคจฉกวิสัชนา =
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นปรามาส
~ ธัมมธาตุที่เป็นปรามาสก็มี, ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของปรามาส
~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาส
~ มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี, ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
~ ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี, ที่วิปปยุตจาก
ปรามาสก็มี, ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส, หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส
~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
~ ธัมมธาตุที่เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของ
ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส
~ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
มหันตรทุกวิสัชนา
~ ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้
~ ธาตุ ๗ รับรู้อารมณ์ได้
~ ธัมมธาตุที่รับรู้อารมณ์
ได้ก็มี; ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี
~ ธาตุ ๗ เป็นจิต
~ ธาตุ ๑๑ ไม่เป็นจิต
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นเจตสิก
~ ธัมมธาตุที่เป็นเจตสิกก็มี; ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี
~ ธาตุ ๑๐ วิปปยุตจากจิต
~ ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี; ที่วิปปยุตจากจิตก็มี
~ ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต หรือวิปปยุตจากจิต
~ ธาตุ ๑๐ ไม่ระคนกับจิต
~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตก็มี
~ ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต, หรือไม่ระคนกับจิต
~ ธาตุ ๑๒ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
~ ธาตุ ๖ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เกิดพร้อมกับจิต ธัมมธาตุที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นไปตามจิต
~ ธัมมธาตุที่เป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน
~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต
~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็สมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี
~ ธาตุ ๑๒ เป็นภายใน ธาตุ ๖ เป็นภายนอก
~ ธาตุ ๙ เป็นอุปาทายรูป
~ ธาตุ ๘ ไม่เป็นอุปาทายรูป
~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทายรูปก็มี; ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี
อุปาทานโคจฉกวิสัชนา
~ ธาตุ ๑๐ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ
~ สัททธาตุ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
~ ธาตุ ๗ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นอุปาทาน
~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานก็มี, ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 04, พฤศจิกายน, 2568, 02:12:19 PM

(ต่อหน้า ๒๐/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทาน
~ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน
~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน
~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; ที่สัมปยุตด้วอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปทานก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
~ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
กิเลสโคจฉกวิสัชนา =ตอบเรื่องกิเลส
~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นกิเลส
~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสก็มี, ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของกิเลส
~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
~ ธาตุ ๒ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากกิเลส
~ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส, หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส
~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส
~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส
~ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธัมมธาตุ~ ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส
ธาตุ ๒ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ปิฏฐิทุกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค
ธาตุ ๒ ~ ที่ต้องประหารด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓
ธาตุ ๒ ~ ที่ต้องประหารด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, พฤศจิกายน, 2568, 09:52:45 AM

(ต่อหน้า ๒๑/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ธาตุ ๒ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓
ธาตุ ๒ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ธาตุ ๑๕ ~ไม่มีวิตก
มโนธาตุ ~ มีวิตก
ธาตุ ๒ ~ ที่มีวิตกก็มี; ที่ไม่มีวิตกก็มี
ธาตุ ๑๕ ไม่มีวิจาร
มโนธาตุ ~ มีวิจาร
ธาตุ ๒ ~ ที่มีวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิจารก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีปีติ
ธาตุ ๒ ~ ที่มีปีติก็มี; ที่ไม่มีปีติก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่สหรคตด้วยปีติ
ธาตุ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
ธาตุ ๑๕ ~ไม่สหรคตด้วยสุข
ธาตุ ๓ ~ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
ธาตุ ๑๑ ~ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา
ธาตุ ๕ ~ สหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ เป็นกามาวจร
ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นกามาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นรูปาวจร
ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นอรูปาวจร
ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
ธาตุ ๒ ~ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์
ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ ให้ผลไม่แน่นอน
ธาตุ ๒ ~ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ธาตุ ๒ ~ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี; ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ธาตุ ๒ ~ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
ปัญหาปุจฉกะ จบ
ธาตุวิภังค์ จบบริบูรณ์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 05, พฤศจิกายน, 2568, 04:45:18 PM
อภิธรรมปิฎก : ๑๑. สัจจวิภังค์ (แจกอริยสัจจ์ ๔)

วสันตปยาตฉันท์ ๑๔/กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖

    ๑.ขอกราบสิโคตมะพระพุทธ์ฯ.............พระองค์รุดซิตรัสรู้
เมตตาสถานะเหมาะเจาะครู....................แนะธรรมล้ำลิทุกข์ผลาญ

    ๒.สัจจวิภังค์...................ทางดับทุกข์พัง.............."อริยสัจจ์"ชาญ
แจงสามแบบต่าง................"สุตตันต์ภาฯ"พลาง........แบบพระสูตรพาน
"อภิธรรมภาฯ"งาน..............ธรรมขั้นสูงกราน............"ปุจจฉฯ"ตอบธรรม

    ๓.ความจริงประเสริฐ"อริยสัจจ์"............ประพฤติชัดซิทราบล้ำ
กับสัจจะมีเจาะจตุหนำ.............................ก็"ทุกข์"คืออะไรเผย

    ๔."ทุกข์สมุทัย"...............เหตุเกิดทุกข์ไซร้............รู้เหตุดับเลย
"นิโรธอริยสัจจ์"..................ทางดับทุกข์ชัด..............ทำลายหมดเอย
"ทุกข์นิโรธฯ"เกย................ทางปฏิบัติเชย................ทุกข์หมดสิ้นแล

    ๕.ทุกข์สัจไฉนลุทุขะ"ชาติ"...................จะเกิดยาตร ณ ขันธ์แน่
สัตว์มีสิอายตนะแฉ...................................ทวารหกซิตา,หู..

    ๖."ชรา"เป็นอย่างใด.........แก่,คร่ำคร่าไซร้..............ฟันหลุด,หงอกกรู
หนังเหี่ยวย่นตรง..................กาย,วัยเสื่อมลง.............ร่างแก่หง่อมดู
กายงกเงิ่นอยู่.......................เคลื่อนไหวช้ารู้.............ของเหล่าสัตว์นา

    ๗.ความทุกข์ก็ตาย"มรณะ"ไซร้...............ก็เคลื่อนไปทลายหนา
ขันธ์แตกมลานลุภิทะพา.............................และชีวีสลายเอย

    ๘."โสกะ"เป็นใด.................ภาวะเศร้าใจ.................ความแห้งผากเผย
โทมนัสใจรุก.........................ใจพลอยเป็นทุกข์..........ภาวะเสื่อมเปรย
"ปริเทวะ"เอ่ย........................ร้องไห้,ครวญเคย...........มีความเสื่อมซม

    ๙."ทุกข์"เป็นไฉนเจาะมิสราญ..................กะกายพานและอารมณ์
กายถูกกระทบลุทุขะตรม............................ลุอารมณ์ซิทุกข์กราย

    ๑๐."โทมนัส"เป็นใด...........มิสำราญใจ....................เกิดทุกข์ใจฉาย
"เจโตสัมผัส"........................เกิดกระทบชัด................ทางวิญญาณปราย
ไม่ผ่านทางกาย....................ตา,หู,จมูกปลาย..............หรือลิ้นอย่างใด

    ๑๑.คับแค้น"อุปาฯ"สิหทยา......................สภาพหนาทุรนไซร้
เสื่อมญาติและโรคะภยะไว..........................รู้เสื่อมศีลและทรัพย์แฉ

    ๑๒.ประสบ"อารมณ์..........ที่ไม่รัก"ตรม....................เป็นอย่างใดแล
อยู่ร่วมในกาล......................ไม่พอใจขาน...................ไม่ต้องการแล้
จากรูป,เสียงแน่....................กลิ่น,รสที่แย่...................โผฎฐัพพ์ฯหรือใคร

    ๑๓."พลัดพรากกะสิ่งลุปิยะ"ล้น..................จะทุกข์ทนซิอย่างไร
ไม่ได้ลุร่วมเจาะภวะใด..................................สิชื่นชอบก็ทุกข์ถม

    ๑๔."พลาดสิ่งต้องการ".......เหล่าสัตว์จะพาน.............ทุกข์อย่างใดซม
ผู้ที่เกิดมา.............................ต้องการขอหนา...............อย่าเกิดอีกตรม
ไม่สำเร็จชม.........................ปรารถนาสม.....................จึงเป็นทุกข์เอย

    ๑๕.ผู้มีชราปกติไซร้.................................จะเจ็บไข้รึตายเอ่ย
ผู้โทมนัสรวะเฉลย.......................................ซิขอเว้นมิได้แฉ

    ๑๖."อุปาทานขันธ์"............มีห้าอย่างครัน..................เป็นทุกข์ไยแล
"รูปูปาทานฯ"........................มีอารมณ์กราน.................ยึดรูปกายแน่
"เวทนูปาฯ"แล้.......................กองเวทนาแท้..................อารมณ์ยึดมา

    ๑๗."สัญญูปะทาฯ"ธุวระลึก......................กะสิ่งนึกและยึดหนา
ที่ตนเจาะจำเกาะหทยา...............................และหลงว่าซิของตน

    ๑๘."สังขารูปาทานฯ"..........ยึดถือมั่นกราน................สิ่งปรุงแต่งผล
นำสู่ความทุกข์......................."วิญญาณูฯ"รุก................รู้สิ่งต่างด้น
ผ่านสัมผัสชน........................จิตยึดติดล้น....................ทุกข์จึงเกิดมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, พฤศจิกายน, 2568, 10:25:08 AM
(ต่อหน้า ๒/๑๔) ๑๑. สัจจวิภังค์

    ๑๙.ด้วย"ทุกข์สมุทอริยสัจฯ"..............ก็เหตุชัดลุทุกข์หนา
ตัณหาสิอยากเจาะรติคว้า......................ริอารมณ์และเพลินใจ

    ๒๐.ตัณหาเมื่อเกิด........เกิดที่ใดเชิด.............เมื่ออยู่,ที่ไหน
ตัณหาเกิด,อยู่..................ที่"ปิยรูปฯ"ชู.............ด้วยรัก,ชอบไว
คือรูป,เสียงไซร้................รวมกลิ่น,รส..ใกล้.....ท้ายธรรมารมณ์

    ๒๑.โลกมีอะไรลุ"ปิยะรูปฯ"...................เจาะมีจูบซิมากสม
ภายในสิอายตนะชม...............................ก็ตา,หู,จมูก..เอย

    ๒๒.ปิยรูปฯเช่นตา..........เมื่อเกิดตัณหา........เกิดที่ตาเผย
ตัณหาตั้งอยู่......................ก็ที่"ตา"ชู...............ไม่อยู่ไหนเลย
"มโนฯ"เหมือนเอ่ย..............เกิดอยู่ใจเคย..........มิเปลี่ยนแปรไป

    ๒๓.ภายนอกสิอายตนะเกรียง................ก็รูป,เสียงและกลิ่นไข
"รูป"เมื่ออุบัติรึศยะไซร้..............................ณ รูปเดิมมิผันแปร

    ๒๔."ปิยรูปฯ"มีธรรม........ตัณหาเกิดนำ...........เกิดที่ธรรมแน่
ตัณหาตั้งอยู่......................ณ ที่ธรรมชู..............ก็ไม่หนีแล
โผฏฐัพพะแล้.....................เกิด,อยู่จริงแท้..........เช่นเดียวกันพาน

    ๒๕.วิญญาณสิผองก็ปิยะรูปฯ..................เลาะหกจูบซิวิญญาณ
เริ่มจักขุวิญญ์ฯลุศยะกราน.........................ซิโสตวิญญ์ฯและฆาน์วิญญ์ฯ

    ๒๖.ชิวหาวิญญาณ..........กายวิญญาณพาน......มโนวิญญ์ชิน
ตัณหาเกิดที่.......................หกวิญญาณชี้............ต่างแยกผลิน
ตัณหาอยู่สิ้น......................แต่ละวิญญ์ฯยิน.........อยู่ที่นั่นแล

    ๒๗.สัมผัสสิเป็นเจาะปิยะรูปฯ....................ลุ"อยาก"หลุบทะยานแผ่
ที่เกิดเพราะอายตนะแฉ................................ทวารห้านะเกิดอยู่

    ๒๘.จักขุสัมผัส.................ฆานสัมผัสชัด...........โสตสัมผัสฯชู
ชิวหาสัมฯลิ้น.......................กายสัมผัสชิน............มโนสัมฯพรู
ตัณหาเกิดอยู่......................จะเกิด,อยู่กรู.............หกสัมผัสนา

    ๒๙.เวท์นาลุอายตนะใน.............................ซิ"ตา"ไซร้จมูก"..หนา
ลิ้นและกายกะหทยา.....................................ลุ"เกิด,อยู่" ณ เวทน์เผย

    ๓๐.สัญญา,จำดอก...........อายตนะนอก..............เป็นปิยะรูปฯเอย
ตัณหาเกิด,อยู่.....................ที่รูปสัญฯชู..................แน่นอนมิเอ่ย
สัททสัญญาเกย..................คันธ์สัญญาเชย............รสสัญญาแล

    ๓๑.โผฆฐัพพ์ฯอุบัติและศยะครัน...............กะธัมม์สัญญะนี้แล้ว
สัญญาสิหกลุภวแน่......................................และตั้งอยู่ ณ ที่นั้น

    ๓๒.สัญเจตนาดอก............อายตนะนอก...............เป็นปิยะรูปครัน
"รูปสัญเจต์นา"......................สัทท์สัญเจต์ฯมา.........."คันธ์สัญเจต์ฯสรร
รสสัญเจต์ฯนั้น....................."โผฏฐัพพ์สัญฯ"ครัน......."ธัมม์สัญเจต์นา"

    ๓๓.สัญเจตะหกริรติหนา...........................สิตัณหาจะเกิดมา
ตั้งอยู่ ณ สัญลุเฉพาะคว้า.............................เจาะแยกไม่ปะปนกัน

    ๓๔.อายตนะนอก...............ทั้งหกมีบอก................ที่เกิดอยู่ครัน
ของตัณหาแล.......................เป็นปิยรูปฯแท้............."รูปตัณหา"พลัน
"สัทท์ตัณหา"ยัน..................."คันธ์ตัณหา"ดั้น..........."รสตัณหา"เอย

    ๓๕."โผฏฐัพพะตัณฯ"ภวกระทบ..................จะเกิดจบและอยู่เผย
ท้าย"ธัมมตัณฯ"ตริวสะเอ่ย.............................หทัยคิดเสาะ"อยาก"ไข

    ๓๖.อายตนะนอก...............ทั้งหกรวมพอก..............ที่เกิด,อยู่ไว
ของตัณหาเอย......................เป็นปิย์รูปฯเชย............."รูปวิตก"ไกล
"สัทท์วิตก"ใด........................"คันธ์วิตก"ไซร้.............."รสวิตก"ยล

    ๓๗."โผฏฐัพพะฯ"ตรึกภวกระทบ...................เจาะสิ่งพบ ณ กายล้น
ท้าย"ธัมมะฯ"ตรึกตริอกุศล...............................ริคิด"กาม,วิหิงสา"

    ๓๘.อายตนะนอก................มีหกรวมหรอก.............ที่เกิด,อยู่พา
ของตัณหาแล........................เป็นปิย์รูปฯแน่.............."รูปวิจาร"นา
"สัทท์วิจาร"กล้า......................"คันธ์วิจาร"หนา..........."รสวิจาร"เอย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 06, พฤศจิกายน, 2568, 03:29:49 PM
(ต่อหน้า ๓/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

    ๓๙."โผฏฐัพพ์วิจาร"ตริปะทะจริง..............ริตรองสิ่งแตะกายเอ่ย
"ธัมมาวิจารฯ"มนะริเกย...............................ปรุอารมณ์และตรงแฉ

    ๔๐."ทุกข์นิโรธ-...............อริยสัจ"โชติ............ความดับทุกข์แน่
เป็นอย่างใดนับ...................สำรอก,ความดับ.......โดยไม่เหลือแล
ตัณหา,ละแล้......................ดับที่ใดแล้................ปิย์รูปรักนา

    ๔๑.รูปรักและชื่นลุอติชี้............................ก็ที่นี้ซิดับหนา
รูปมีอะไรเจาะปิยะกล้า................................ลุหกสิบเหมาะดับสม

๔๒.จักษุ,โสตะ...................ชิวหา,ฆานะ................กาย,มโนคม        
ตัณหาจะดับ......................ก็หกสิ่งนับ..................ต่างทำระดม
หกน่ารักชม.......................น่าชอบใจรมย์.............แลสำราญใจ

    ๔๓."รูป"เป็นสิสิ่งลุปฏิพัทธ์........................จะดับชัดซิโดยไว
"เสียง,กลิ่นและรส"ก็ดุจะไซร้........................กะ"โผฏฐัพพะ,ธัมมาฯ"

    ๔๔.สิ่งเป็นที่รัก...............หกวิญญาณจัด............ดับที่นี่หนา
จักขุวิญญาณ....................โสตวิญญ์ฯกราน...........ฆานวิญญ์ฯพา
ชิวหาวิญญ์ฯมา..................กายวิญญาณกล้า.........มโนวิญญาณ

    ๔๕.สัมผัสเลาะอายตนะ,ใน.......................ลุดับไว ณ หกกราน
มี"จักขุสัมฯ"แตะปะทะพาน...........................กะรูปเกิดรตีแฉ

    ๔๖.จักขุสัมผัส................ละดับได้ชัด.................ที่จักขุแน่
อีกห้าเช่นกัน.......................ที่น่ารักครัน.................ต่างก็ดับแล
"โสต,ฆานะ"แล้...................."ชิวหา,กาย"แน่............"มโนสัมผัส"เอย

   ๔๗.เวท์นาเจาะอายตนะใน.........................ลุดับไซร้ ณ หกเอ่ย
มี"จักขุสัมฯ"เจาะทะลุเผย.............................กะรูปแล้วกฤษฎ์หนา

    ๔๘."จักขุสัมผัส"...............ดับได้เลยจัด...............ที่จักขุพา
อีกห้าเยี่ยงนั้น......................เป็นที่รักพลัน...............ต่างก็ดับนา
"โสต,ฆานะ"มา....................."ชิวหา,กาย"กล้า.........."มโนสัมผัส"เอย

    ๔๙.สัญญาเจาะอายตนะนอก.....................จะดับดอกซิหกเอ่ย
"รูปสัญญะ"ครันเกาะทะลุเผย........................ระลึกรูปภิรมย์ใจ

    ๕๐."รูปสัญญา"ไซร้............ตัณหาดับได้...............ณ ที่นี้ไส
อีกห้าเช่นกัน........................."สัทท์สัญญา"ครัน........"คันธ์สัญญา"ไว
"รสสัญญา"ไกล....................โผฏฐัพพ์สัญฯไซร้.........ธัมมสัญญา

    ๕๑.เจต์นาเกาะอายตนะนอก......................ละตัดดอกซิหกกล้า
"รูปสัญฯ"สิมั่นริวสะหนา.................................ซิเห็นรูปรตีแล

    ๕๒."รูปสัญเจต์นา".............ตัณหาดับฆ่า..................ณ ที่นี้แฉ
อีกห้าเช่นกัน........................."สัทท์สัญเจตน์ฯ"ครัน......"คันธ์สัญเจตน์"แน่
"รสสัญเจตน์ฯ"แล้.................."โผฏฐัพพ์สัญฯ"แท้.........ธัมมสัญเจต์นา

    ๕๓.ตัณหาเกาะติดลุสุมนัส..........................ละดับตัด ณ หกหนา
"รูปตัณฯ"สิเห็นและวสะกล้า............................ซิ"อยาก"ทิ้งละที่นี่

    ๕๔.ตัณหาอีกห้า.................เช่นเดียวกันหนา............ต่างดับเองดี
"สัททตัณหา".........................."คันธ์ตัณหา"กล้า..........."รสตัณหา"มี
"โผฏฐัพพ์ตัณฯ"ชี้..................."ธัมมตัณหา"คลี่.............ดับตรงนี้เอย

    ๕๕.ความตรึกวิตกลุอภินันท์........................จะดับพลัน ฉ สิ่งเอ่ย
สิ่งนอกสิอายตนะเผย.....................................ก็มี"รูปวิตก"แล้

    ๕๖.อีกห้ามีปรก.................."สัททวิตก"......................"คันธ์วิตก"แฉ
"รสวิตก"เอย.........................."โผฏฐัพพ์วิฯ"เคย............."ธัมม์วิตก"แล
ตัณหาดับแท้.........................ณ ที่หกแน่.......................ต่างก็กระทำ

    ๕๗.ความตรองวิจารลุอภิรมย์......................จะดับสม ฉ สิ่งนำ
สิ่งนอกสิอายตนะหนำ....................................ก็มี"รูปวิจาร"เอย

    ๕๘.อีกห้ามีพาน.................."สัททวิจาร"......................"คันธ์วิจาร"เผย
"รสวิจาร"ลิ้ม.........................."โผฏฐัพพ์วิ"นิ่ม.................."ธัมม์วิจาร"เคย
ตัณหาดับเชย........................ณ ที่หกเกย.......................แตกต่างกันแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, พฤศจิกายน, 2568, 09:35:44 AM

(ต่อหน้า ๔/๑๔) : ๑๑ . สัจจวิภังค์

    ๕๙.ดับ"ทุกข์นิโรธปฏิปทาฯ"....................ซิทางหนาลุดับแฉ
ความจริงประเสริฐริจตุแน่............................มุมรรคแปดสว่างดล

    ๖๐.สัมมาฏฐิ....................เห็นชอบ,จริงตริ........รู้ทุกข์ใดยล
"เหตุเกิดทุกข์"ไซร้..............."การดับทุกข์"ได้.......ทางดับทุกข์พ้น
มีความคิดท้น.......................ถูกต้องจริงล้น..........มีห้าอย่างแล

    ๖๑."กัมมัสสฯ"สิมีลุพละผล........................เจาะกรรมท้นจะดีแน่
หรือชั่ววิบากจะประลุแท้...............................ซิปัจจัยอุบัติหนุน

    ๖๒."วิปัสส์นา-...................สัมมาทิฏฐ์ฯ"พา.........เห็นแจ้งจริงคุณ
อริยสัจสี่..............................สภาพธรรมจริงชี้.......เห็นชัดทุกข์วุ่น
เหตุแห่งทุกข์ดุน...................ความดับทุกข์ลุ้น........ทางดับทุกข์ราน

    ๖๓."มัคค์สัมมะทิฏฐิ"ปฏิบัติ........................ลุมรรคชัดซิแปดชาญ
เป็นทางสิถูกเจาะคติกราน.............................และดับทุกข์ทุรนเอย

    ๖๔."ผลสัมมาทิฏ-..............ฐิ"ได้เห็นชิด...............บรรลุธรรมเผย
เห็นผลกระทำ.......................หลังลุธรรมนำ............ผลสำเร็จเอ่ย
"ปัจจ์เวกสัมฯเกย..................พิจารณ์คุณเชย..........ได้บรรลุธรรม

    ๖๕."สังกัปปะฯ"ดำริเหมาะเจาะชอบ.............ลุคิดนอบเจาะสามนำ
"เนกขัมม์สังฯ"เกาะนิรหนำ..............................ปลาต"กาม"กุศลเผย

    ๖๖."อพยาบาท-.................สังกัปป์ฯ"จะคลาด........ไม่ฆาตใครเอ่ย
เมตตา,กรุณา........................มีไมตรีจ้า....................."อวิหิงสา"เอย
ไม่เบียดเบียนเลย..................ปราศโมหะเกย.............มีปัญญาตรอง

   ๖๗.สัมมาวาจา"มุสุจริต................................ริพูดกิจซิถูกต้อง
เว้นพฤติพจีกะจตุผอง....................................."มิเท็จ,หยาบ,และเสียด,เพ้อ

    ๖๘.พูดไม่เดือดร้อน............มีประโยชน์ป้อน...........พัฒนาตนเออ
"สัมมากัมมัน-.........................ตะ"ทำชอบครัน............เว้นพฤติกายเอ่อ
งดฆ่า,ลักเผลอ......................ผิดในกามเจอ...............ทำถูกต้องกราย

    ๖๙."สัมมาอะชีวะ"สุจริต...............................เจาะไม่ผิดซิกฏหมาย
ซื่อสัตย์มิลวงลิภยวาย.....................................มิเดือดร้อนกะสังคม

    ๗๐."สัมมาวายา-................มะ"เพียรชอบหนา..........สร้างฉันทะสม
ป้องอกุศลธรรม....................มิให้เกิดนำ.....................เกิดแล้วละจม
แน่กุศลชม............................จิตดำรงคม....................มิเลือนหายไป

    ๗๑.สัมมาระลึกลุสติครัน...............................ระลึกพลันจะทำใด
เป็นนิตย์เจาะรู้ซิจตุไข......................................สภาพธรรมหทัยฉาน

    ๗๒."กายานุฯ"ผาย.............พิศกายในกาย...............ดำรงสติกราน
หายใจเข้า-ออก....................นิ่ง-เดินทุกซอก..............สัมป์ชัญญะพาน
สิ่งสกปรกขาน.....................ไต,ปอด,เลือดผ่าน...........น้ำมูก,อื่นสดมภ์

    ๗๓.ดูกายวะธาตุริจตุล้ำ................................เจาะดิน,น้ำและไฟ,ลม
พิศกายวะศพมรณะถม.....................................จะขึ้นอืดกระดูกราน

    ๗๔.สงฆ์ย่อม"เห็นกาย-.......ในกาย"นอกปราย..........ธรรมในกายฉาน
ธรรมในกายเกิด....................และเสื่อมลงเพริด...........สติมั่นรู้มาน
อาศัยกายชาญ......................"อยาก"ทิฏฐิผลาญ.........ไม่ถือมั่นใด

    ๗๕."เวท์นานุปัสส์ฯ"ริประลุเว-.........................ทนาเท่ซิรู้ไหน
ทุกข์,สุข,รึกลางมิเจาะอะไร...............................เลาะความเสื่อมก็รู้พลัน

    ๗๖.สติรู้เวท์นา....................แค่มีอยู่หนา.................เพื่อรำลึกครัน
ตัณหาไม่มี.............................ไร้ทิฏฐิคลี่....................ไม่ถือมั่นยัน
สงฆ์มีนี้สรร............................เห็นเวท์นาดั้น...............ใน-นอกเวท์นา

    ๗๗."จิตตานุปัสส์ฯ"มนปะจิต..........................ก็ใจคิดและรู้หนา
ปราศราคะ,โกรธรึมทพา...................................รึหดหู่และฟุ้งซ่าน

    ๗๘.จิตมีสมาธิ.....................ก็รู้ดีตริ........................ไม่มีรู้กราน
จิตที่ยิ่งใหญ่...........................ก็รู้ใหญ่ไซร้..................มิมีเทียมทาน
จิตหลุดพ้นผ่าน......................ก็ได้รู้ชาญ....................ว่าหลุดพ้นนำ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 07, พฤศจิกายน, 2568, 03:22:12 PM
(ต่อหน้า ๕/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

   ๗๙."ธัมมานุปัสสะฯ"เจาะริพร่ำ...................ลิจะเห็นธรรมซิในธรรม
เครื่องกั้นนิวรณ์มิประลุล้ำ............................พระธรรมเลิศเพราะจิตไหว

    ๘๐.นิวรณ์,จิตฆาต...........หดหู่ฟุ้งยาตร............ลังเลสงสัย
รู้แล้วจิตหนี.........................นิวรณ์เหล่านี้.............มิให้เกิดไซร้
การมีหรือไร้........................จิตแน่ละได้...............เห็นธรรมในธรรม

    ๘๑.การพิศสิขันธ์ห้าริเจาะมุเตร่................ซิรูปเวทนานำ
สัญญาและปรุงลุมติล้ำ.................................กะวิญญาณหทัยรู้

    ๘๒.สงฆ์รู้ขันธ์ห้า.............มีเกิด-ดับหนา............เรียกให้ธรรมพรู
รู้อาย์ตนะ...........................เทียบใน-นอกปะ........พินิจเป็นคู่
ตารูปเสียง-หู......................รู้แล้วละกรู.................เรียกเห็นธรรมแล

    ๘๓."โพชฌงค์"สิช่วยลุอรหันต์...................พระสงฆ์นั้นริรู้แฉ
จิตรู้เจริญรุจิระแล้........................................จะเรียกเห็นพระธรรมเอย

    ๘๔.สงฆ์รอบรู้เด่น.............อริยสัจเห็น................ธรรมในธรรมเผย
เพราะรู้ตามจริง....................ทุกข์เหตุทุกข์ดิ่ง........ดับทุกข์มีเอ่ย
และมรรคแปดเชย................จึงหลุดพ้นเลย...........จากวัฏฏะแล

    ๘๕."สัมมาสมาธิ"หทยา.............................ซิมั่นหนาละชั่วแฉ
สงฆ์จิตสงบตริมละแล้..................................พระธรรมทรามทลายไป

    ๘๖.สงฆ์ลุ"ปฐมฌาน".........เพราะนิวรณ์ราน........มีองค์ธรรมไซร้
วิตก,วิจาร.............................ปีติ,สุขศานต์..............จากวิเวกไกล
สมาธิ์แน่วไว..........................เป็นหนึ่งเดียวไข.........เอกัคคตา

   ๘๗.สงฆ์บรรลุหนา"ทุติยฌาน"...................วิตก"ราน"วิจาร"ซา
ผ่องใสหทัยหนึ่งริฐิติหนา.............................ละมีปีติสุขแฉ

    ๘๘.ลุ"ตติยฌาน"...............ปีติจางพาน...............แต่ยังมีแล
จิตอุเบกขา..........................ใจเป็นหนึ่งนา.............สติพร้อมแน่
สัมปชัญญะแล้.....................เสวยสุขแท้................ด้วยจิต-นามกาย

    ๘๙.ฌานสี่ลุคือจตุตถ์ฌาน........................ลิทุกข์ผลาญละสุขวาย
สงฆ์นั้นจะเหลือสติขยาย..............................อุเบกขาสิครองตน

    ๙๐."อภิธรรมภา-...............ชนีย์"แจกหนา............สัจจะสี่ยล
"ทุกข์,ทุกข์สมุทัย.................."ทุกขนิโรธ"ไซร้..........และมรรคแปดดล
ทางดับทุกข์ทน.....................หัวข้อใหญ่ผล.............เหมือนสุตตันฯเอย

    ๙๑.ทุกข์คือสภาพเจาะมิสบาย..................หทัยกายประสบเอ่ย
ด้วยเกิด,ชรา..ลุภยะเคย..............................กิเลสซ้ำฤดีหมอง

    ๙๒.กิเลสคือสิ่ง..................ทำใจเศร้าจริง.............จึงเกิดทุกข์ครอง
ทุกข์คือกิเลส........................มีบาปชั่วเจตน์..............ทำไม่ดีดอง
เฝ้าปรุงแต่งจ้อง....................เรียกอกุศลส่อง............โลภ,โกรธ,หลงแล

    ๙๓.ทุกข์คือกุศลริวสะบ่ม..........................เสาะอารมณ์มิโลภ..แน่
ธรรมดีสิเหลือตริทะลุแฉ...............................ซิเป็น"อาสวะ"ดองใจ

    ๙๔.ทุกข์คือวิบาก..............รอ"กุศลชั่ว"มาก...........จะให้ผลไว
กุศลที่เหลือ..........................มีอารมณ์เจือ................อาสวะดองไกล
ทุกข์คือธรรมไซร้..................กุศล,ชั่วไร้...................ไร้วิบากเอย

    ๙๕.ความทุกข์ก็มีเจาะสมุทัย......................ซิเหตุไซร้รึกล่าวเอ่ย
"ตัณหา"สิอยากลิวสะเผย..............................เจาะต้นเหตุกะทุกข์ผอง

    ๙๖.เหตุทุกข์ได้แก่............สภาวะธรรมแน่..............อกุศล,ชั่วครอง
กิเลส,ตัณหา.........................ชั่ว,คงเหลือนา...............เป็นเหตุทุกข์จอง
เหตุกุศลจ้อง.........................เป็นอาสวะดอง...............นอนนิ่งในใจ

    ๙๗.ดับ"ทุกข์นิโรธ"ลุนิระอยาก....................กิเลสพรากซิชั่วไส
มีธรรมกุศลสิศยะใน.......................................กิเลสอาส์วะนิ่งแฉ

    ๙๘.ทุกข์สัจประกอบ..........."สุขเวทนา"นอบ.............ทุกข์เวท์นาฯแล
สัมปยุติด้วย..........................."อทุกขม์สุขฯ"ช่วย.........วางเฉยเป็นแล้
กลุ่มท้ายไร้แท้.......................กลับไม่มีแน่...................ทุกข์,สุขหรือกลาง


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, พฤศจิกายน, 2568, 10:51:34 AM
(ต่อหน้า ๖/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

    ๙๙."ทุกข์นิโรธปฏิปทาฯ"..........................ลิดับหนาซิทุกข์เอ่ย
สงฆ์เพียรเจริญอริยะเผย.............................มุโลกุตต์ระนิพพาน

    ๑๐๐.สงฆ์ลุฌานชี้..........ปฏิปทาสี่..................ยาก,ง่าย,ไวขาน
มรรคองค์แปดตริ...............หัวข้อเหมือนริ...........สุตตันต์ภาฯกราน
แจงละเอียดสาน................ต่างการทำงาน..........มิเหมือนกันเลย

    ๑๐๑."สัมมาวะทิฏฐิ"กิริยา..........................ตริปัญญามิหลงเอ่ย
เลือกเฟ้นสิ"ธัมม์วจยะ"เผย............................ลิกรรมชั่วมลายไป
 
    ๑๐๒."สัมมาสังกัปปะฯ"....ตรึกถูกต้องนะ.........แน่วคิดดีไกล
ยั้งการทำชั่ว.......................ทางดับทุกข์มัว........ประพฤติถูกไว
ไม่ยุ่งกามไซร้.....................ดำริชั่วไร้.................ถึงนิพพานครา

    ๑๐๓."สัมมาวะจา"ละทุจริต........................วจีผิดซิชั่วพา
เท็จ,หยาบ,และเพ้อริปิสุณา...........................มิทำละเหตุผอง

    ๑๐๔."สัมมากัมมันตะฯ".....กายทุจริตครัน........เว้นประพฤติพร่อง
ไม่ฆ่าลักทรัพย์.....................ผิดในกามนับ..........ละเมิดคู่ครอง
พฤติอริยะถ่อง.....................ไร้อาสวะดอง..........กิเลสในใจ

    ๑๐๕."สัมมาอะชีวะฯ"สุจริต........................มิเลือกผิดและลวงใคร
อาชีพสะอาดมิทุระไหน.................................มุปัจจัยนะสี่พอ

    ๑๐๖."สัมมาวายาฯ"............มีใจเพียรหนา.........ละชั่วไม่ท้อ
กิเลสไม่เกิด..........................ป้องมิให้เพริด.........เกิดมาได้ต่อ
กุศลเพียรก่อ........................ให้เกิดขึ้นจ่อ..........เจริญยิ่งนา

    ๑๐๗."สัมมาระลึกริสติ"ชู............................มุตรัส์รู้เหมาะปัญญา
เห็นธรรมมิเที่ยงเจาะคติหนา..........................มิเผลอจึงลุมรรคผล

    ๑๐๘."สัมมาสมาธิ"..............จิตตั้งมั่นริ..............ไม่คิดฟุ้งรน
แน่วกุศลธรรม........................อารมณ์เดียวนำ......รู้รูปนามดล
เกิดปัญญาล้น........................ความเป็นจริงยล.....ในไตรลักษณ์กราน

    ๑๐๙.สัมมาสมาธิมติเลิศ.............................จะก่อเกิด"ปฐมฌาน"
องค์ห้า"วิตก"และตริ"วิจาร"............................ลุ"สุข,ปีติ,ใจหนึ่ง"

    ๑๑๐."ทุติยฌาน".................ฌานสองเกิดพาน.....ปีติ,สุขผึง
และอารมณ์เดียว...................."ตติยฌาน"เปรียว.....สุข,ใจหนึ่งพึง
"จตุตถฯ"ถึง............................มีอุเบกขาตรึง...........อารมณ์หนึ่งแล

    ๑๑๑.ปัญญาเจาะปุจฉกะตริถาม.................จะแจงความละเอียดแท้
ความจริงสิสี่อริยะแฉ.....................................เกาะ"ทุกข์สัจ"อะไรนา

    ๑๑๒."สมุทย์สัจ"เชิด.............สาเหตุทุกข์เกิด.........ได้แก่ใดหนา
"นิโรธสัจ"ยิ่ง............................ดับทุกข์ได้จริง...........สภาพทุกข์รานครา
"มัคค์สัจ"จ้า.............................ทางดับทุกข์ล้า...........สายกลางแปดเอย

    ๑๑๓.ทุกข์สัจสิจริงริอกุศล.........................ก็มิทันเพราะโกรธเอ่ย
ฝ่ายดีก็มีมุหิตะเผย........................................ซิผู้ยากเจาะทุกข์แทน

    ๑๑๔.ทุกข์เป็นกลางกลาง......ไม่ดี,ชั่วขวาง.............เช่นเกิดป่วยแสน
ตามธรรมชาติ...........................อุบัติเหตุคาด............เป็นธรรมกลางแดน
สมุทย์สัจแท้..............................เหตุเกิดทุกข์แล้........เป็นอกุศลแล

    ๑๑๕.ด้วยมัคคสัจภวกุศล..........................นิโรธดลซิกลางแน่
เหตุทุกข์สมุทย์ฯลุหินะแฉ.............................ซิตัณหาเจาะทุกข์กราน

    ๑๑๖."มัคค์สัจ"กับ................."นิโรธสัจ"นับ..............ทั้งสองกอปรขาน
สัมปยุตด้วย.............................สุขเวท์นาฉวย.............มีแต่สุขพาน
"อทุกข์มฯ"ฉาน........................ไร้ทุกข์,สุขสาน............เพราะเป็นกลางเอย

    ๑๑๗.ดับสัจนิโรธมิภณะว่า........................ประกอบนาซิ"สุข"เอ่ย
"ทุกข์เวทนา"รึนิรเกย...................................."อทุกข์มสุขฯ"แล

    ๑๑๘.ทุกข์สัจประกอบ..........."สุขเวทนา"นอบ............ทุกข์เวท์นาฯแฉ
สัมปยุติด้วย.............................."อทุกขม์สุขฯ"ช่วย.......วางเฉยเป็นแล้
กลุ่มท้ายไร้แท้..........................กลับไม่มีแน่.................ทุกข์,สุขหรือกลาง.


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 08, พฤศจิกายน, 2568, 02:56:56 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

    ๑๑๙.ดับสัจนิโรธเจาะนิรผล.......................วิบากดลอะไรขวาง
ไม่เป็นสิเหตุลุภววาง...................................... อุบัติเกิดวิบากใด

    ๑๒๐.ทุกข์สัจเป็นสาม..........มีวิบากตาม..............."เป็นเหตุเกิด"ไซร้
"ไม่เป็นวิบาก...........................และเหตุเกิดจาก.......วิบาก"มีไกล
เช่นทุกข์ธรรม์ดาใกล้..............คือขันธ์ห้าไว.............รูป,เวทนา

    ๑๒๑.เหตุสัจสมุทยภวะกรรม......................มิยึดนำซิตัณหา
กับทิฏฐิแต่จะเซาะเกาะพา.............................สิอารมณ์อุปาทาน

    ๑๒๒.ทุกข์สัจมีกรรม............อยาก,ทิฏฐินำ...........แต่ยึดถือราน
แต่ไร้อารมณ์..........................อุปาทานบ่ม..............ทุกข์สัจที่พาน
ไม่ยึดถือกราน........................มีอารม์ซ่าน...............อุปาทานเอย

    ๑๒๓.เหตุสัจสมุทยะเจาะกิเลส....................ลุหมองเจตน์และกายเอ่ย
อารมณ์สิมีลุพหุเผย........................................จะขุ่นเคืองกระทำทราม

    ๑๒๔.ทุกข์สัจทำเศร้า...........ด้วยกิเลสเร้า............มีอารมณ์ผลาม
ด้วยกิเลสนำ............................บ้างก็ไม่ทำ...............ให้เศร้าใจตาม
ดับทุกข์ได้ความ......................มีอารมณ์ลาม............รู้สึกอยู่แล

    ๑๒๕.ด้วยสัจนิโรธเจาะนิรหมอง....................กิเลสตรองซิดับแน่
อารมณ์กิเลสก็มิเกาะแฉ...................................สงบกายหทัยใส

    ๑๒๖."สมุทย์สัจ"พาน.............วิตก,วิจาร..............เหตุตรึก,ตรองใด
ยังมีอยู่ครบ.............................."นิโรธสัจ"นบ..........เหตุดับแล้วไซร้
จึงไม่มีไร.................................วิตก,ตรึกไย............และวิจารพาน

    ๑๒๗.มัคค์สัจสิแจงกะตตินับ........................."วิตกกับวิจาร"ฉาน
"ไม่มีวิตกเหลือตะตริวิจาร"................................"มิมีทั้งสองครอง"

    ๑๒๘.ทุกข์สัจสี่แบบ..............."วิตกตรอง"แยบ...........ไร้ตรึก,มีตรอง
แบบสาม,"วิตก..........................และวิจาร"ปรก..............ไม่มีใดจอง
สี่,ไม่เป็นนอง............................ทั้งสามแบบผอง.............กล่าวไม่ได้แล

    ๑๒๙.ด้วย"สัจนิโรธ"มิภณะชี้..........................ปะ"สุข,ปีติ,เฉย"แน่
นิพพานสิดับลิทุขะแฉ........................................เจาะอารมณ์มิมีเลย

    ๑๓๐.สมุทยสัจ....................เหตุทุกข์เกิดชัด..............ฆ่ากิเลสเผย
ฆ่าด้วย"โสดา-.........................ปัตติมรรค"หนา..............บ้างมรรคบนเอย
"สกทาคาฯ"เอ่ย......................."อนาคามิฯ"เอ่ย................"อรหัตตมรรค"นา

    ๑๓๑.ด้วยสัจสมุทยะภวะเทิด..........................ซิเหตุเกิดและตายหนา
มัคค์สัจก็เหตุจะประลุกล้า..................................สินิพพานแหละโดยตรง

    ๑๓๒.มัคค์สัจ"คือธรรม..........เสขบุคคลล้ำ.................พระอริยะสงฆ์
พระโสดาบัน............................สกิทาฯครัน...................อนาคามีฯคง
กำลังพฤติตรง.........................สู่อรหันต์บ่ง....................หมายนิพพานพลัน

    ๑๓๓.ทุกข์สัจนิโรธและสมุทัย.........................จะเป็นไซร้กะชนครัน
แต่เสขะชนและอรหันต์......................................มิมีครองซิอย่างใด

    ๑๓๔.ทุกข์สัจ"ปริตตะ"..........เป็นธรรมด้อยปะ.............เช่นทุกข์กายไซร้
เกิดปกติเช่น............................ไม่สบายกายเด่น.............กายป่วย,เจ็บไข้
"มหัคค์ตะ,ใหญ่".......................เกี่ยววัฏฏะไกล................เวียนวนเกิดตาย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

พระไตรปิฏกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/ytQPSkrfQfah2gEPL

สัจจวิภังค์ = คือ การจำแนกแจกแจงอริยสัจ ๔ ให้ละเอียด
สุตตันตภาชนีย์ = แจงอริยสัจจ์ ๔ แบบพระสูตร
อริยสัจ ๑ - ๔ = คือ ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ, สัจจะที่พระอริยะพึงรู้ แยกดังนี้
(๑) ทุกขอริยสัจ - อริยสัจคือทุกข์ เป็นไฉน
ชาติเป็นทุกข์, ชราเป็นทุกข์, มรณะเป็นทุกข์, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสเป็นทุกข์, การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์, การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
(๑.๑) บรรดาทุกขอริยสัจนั้น ชาติ เป็นไฉน
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชาติ
(๑.๒) ชรา เป็นไฉน
ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, พฤศจิกายน, 2568, 09:04:28 AM

(ต่อหน้า ๘/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

(๑.๓) มรณะ เป็นไฉน
ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความตายกล่าวคือมฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ
(๑.๔) โสกะ เป็นไฉน
ความเศร้าโศก; กิริยาที่เศร้าโศก; ภาวะที่เศร้าโศก; ความแห้งผากภายใน; ความแห้งกรอบภายใน; ความเกรียมใจ; ความโทมนัส ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ; ความเสื่อมโภคทรัพย์; ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค; ความเสื่อมศีลหรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ
(๑.๕) ปริเทวะ เป็นไฉน
ความร้องไห้; ความคร่ำครวญ;  ความพร่ำเพ้อ; ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ; ความเสื่อมโภคทรัพย์; ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค; ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ
(๑.๖) ทุกข์ เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์
(๑.๗) โทมนัส เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส
เจโตสัมผัส = หมายถึง การที่จิต (วิญญาณธาตุ) ได้รับรู้การกระทบโดยไม่มีการกระทบทางกาย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางลิ้น
(๑.๘) อุปายาส เป็นไฉน
ความคับแค้น ภาวะที่แค้น ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า อุปายาส
(๑.๙) การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไปร่วม การอยู่ร่วมกับอารมณ์อันไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือจากบุคคลผู้ปรารถนาแต่สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ผาสุก ไม่ปรารถนาความหลุดพ้นจากโยคะของเขา
นี้เรียกว่า การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์
(๑.๑๐) การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไม่ประชุมร่วม การไม่อยู่ร่วมกับอารมณ์อันเป็นที่ปรารถนาเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือจากบุคคลผู้ที่มุ่งประโยชน์ มุ่งความเกื้อกูล มุ่งความผาสุก มุ่งความเกษมจากโยคะของเขา เช่น เหล่าญาติ นี้เรียกว่า การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์
(๑.๑๑) การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ เป็นไฉน
~เหล่าสัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้มีความเกิดเป็นธรรมดา หรือขอความเกิดอย่าได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความปรารถนา นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์
~เหล่าสัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ
~เหล่าสัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา ฯลฯ
~เหล่าสัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ ~เหล่าสัตว์ผู้มีความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดา ต่างก็เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้เป็นผู้มีความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดาเลย ขอความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้น อย่าได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความต้องการ นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์
(๑.๑๒) โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน
~รูปูปาทานขันธ์ - กองรูปที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
รูปูปาทานขันธ์ = คือ "การยึดมั่นในรูปขันธ์" การยึดติดในรูปร่างกาย หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา ทำให้เกิดความหนักหนาสาหัส ดิ้นรน และทุกข์ใจ
~เวทนูปาทานขันธ์ - กองเวทนาที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เวทนูปาทานขันธ์ = การยึดมั่นใน เวทนา ซึ่งคือความรู้สึกสุข ทุกข์ และเฉยๆ การยึดมั่นในความรู้สึกเหล่านี้ ทำให้เกิดความทุกข์
~สัญญูปาทานขันธ์ - กองสัญญาที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัญญูปาทาขันธ์ = คือ ความยึดมั่นในสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ว่าสิ่งที่ตนจดจำได้และรับรู้มานั้นเป็นตัวของเขาเอง
~สังขารูปาทานขันธ์ - กองสังขารที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สังขารูปาทานขันธ์ = การยึดมั่นใน สังขารขันธ์ คือ "สิ่งปรุงแต่งจิต" ทำให้เกิดเจตนาในการกระทำต่างๆ เช่น ความอยากทำดี อยากทำชั่ว หรือเจตนาทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อเรายึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตัวตนของเรา ก็จะทำให้เกิดความยึดติดและนำไปสู่ความทุกข์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 09, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:18 PM

(ต่อหน้า ๙/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~วิญญาณูปาทานขันธ์ - กองวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
วิญญาณูปาทานขันธ์ = ความยึดมั่นถือมั่นในวิญญาณ (จิต) หรือสภาวะจิตที่รับรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัส ทำให้เกิดการปรุงแต่งและยึดติดในสิ่งนั้น ๆ
เหล่านี้เรียกว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ
๒) ทุกขสมุทยอริยสัจ - อริยสัจคือเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นไฉน
คือ ตัณหานี้เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี เป็นเหตุเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ก็ตัณหานี้แหละ = เมื่อเกิด เกิดที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ตั้งอยู่ที่ไหน
(๒.๑) ปิยรูปสาตรูป = (สภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ ส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดตัณหา) เป็นสภาวะที่มีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ปิยรูปสาตรูปนี้
ปิยรูปสาตรูป = หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่ารักน่าชื่นใจ และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอายตนะภายในและภายนอก ซึ่งเป็นบ่อเกิดของตัณหา
~ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
(๒.๑.๑) จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักษุนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักษุนี้ (๒.๑.๒)โสตะ ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓) ฆานะ ... ในโลก (๒.๑.๔) ชิวหา ... ในโลก (๒.๑.๕) กาย ... ในโลก (๒.๑.๖) มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนนี้
(๒.๑.๗) รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปนี้ (๒.๑.๘) เสียง ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๙) กลิ่น ... ในโลก (๒.๑.๑๐) รส ... ในโลก (๒.๑.๑๑)โผฏฐัพพะ ... ในโลก (๒.๑.๑๒) ธรรมเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธรรมนี้ เมื่อตั้งอยู่  ก็ตั้งอยู่ที่ธรรมนี้
(๒.๑.๑๓) จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุวิญญาณนี้ (๒.๑.๑๔)โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๑๕) ฆานวิญญาณ ...ในโลก (๒.๑.๑๖) ชิวหาวิญญาณ ... ในโลก (๒.๑.๑๗) กายวิญญาณ ... ในโลก (๒.๑.๑๘) มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนวิญญาณนี้
(๒.๑.๑๙) จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัสนี้ (๒.๑.๒๐) โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๒๑) ฆานสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๒) ชิวหาสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๓) กายสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๔) มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนสัมผัสนี้
(๒.๑.๒๕) เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ (๒.๑.๒๖) เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๒๗) เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๘) เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส... ในโลก (๒.๑.๒๙) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๓๐) เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
(๒.๑.๓๑) รูปสัญญา (ความหมายรู้รูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญญานี้ (๒.๑.๓๒) สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓๓) คันธสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๔) รสสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๕)โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๖) ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ ธัมมสัญญานี้ (๒.๑.๓๗) รูปสัญเจตนา (ความคิดอ่านในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญเจตนานี้ (๒.๑.๓๘) สัททสัญเจตนา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓๙) คันธสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๐)รสสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๑) โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๒) ธัมมสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญเจตนานี้เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมสัญเจตนานี้
(๒.๑.๔๓) รูปตัณหา (ความติดใจในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปตัณหานี้ (๒.๑.๔๔) สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๔๕) คันธตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๖) รสตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๗) โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๘) ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมตัณหานี้
(๒.๑.๔๙) รูปวิตก (ความตรึกถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิตกนี้ (๒.๑.๕๐) สัททวิตก ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๕๑) คันธวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๒) รสวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๓) โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๔) ธัมมวิตก เป็นปิยรูปสาตรูปในโลกตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิตกนี้
(๒.๑.๕๕) รูปวิจาร (ความตรองถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิจารนี้ (๒.๑.๕๖) สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๕๗) คันธวิจาร ...ในโลก (๒.๑.๕๘) รสวิจาร ... ในโลก (๒.๑.๕๙) โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก (๒.๑.๖๐) ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิจารนี้
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ
(๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ - อริยสัจคือความดับทุกข์  เป็นไฉน
ความสำรอกและความดับตัณหานั้นนั่นแลโดยไม่เหลือ; ความปล่อยวาง ความส่งคืน; ความพ้น; ความไม่ติดอยู่; ก็ตัณหานี้เมื่อละ ละที่ไหน เมื่อดับ ดับที่ไหน
ปิยรูปสาตรูปใดมีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ปิยรูปสาตรูปนี้


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 10, พฤศจิกายน, 2568, 06:35:39 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
(๓.๑.๑) จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักษุนี้ เมื่อดับก็ดับที่จักษุนี้ (๓.๑.๒) โสตะ ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๓) ฆานะ ... ในโลก (๓.๑.๔) ชิวหา ... ในโลก (๓.๑.๕) กาย ... ในโลก (๓.๑๖) มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนนี้
(๓.๑๗) รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปนี้ (๓.๑๘) เสียง ฯลฯ ในโลก (๓.๑๙) กลิ่น ... ในโลก (๓.๑.๑๐) รส ... ในโลก (๓.๑.๑๑)โผฏฐัพพะ ... ในโลก (๓.๑.๑๒) ธรรมเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อละ ก็ละที่ธรรมนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธรรมนี้
(๓.๑.๑๓) จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุวิญญาณนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุวิญญาณนี้ (๓.๑.๑๔) โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๑๕) ฆานวิญญาณ ... ในโลก(๓.๑.๑๖) ชิวหาวิญญาณ ... ในโลก (๓.๑.๑๗) กายวิญญาณ ... ในโลก (๓.๑.๑๘) มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนวิญญาณนี้
(๓.๑.๑๙) จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุสัมผัสนี้ (๓.๑.๒๐) โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๒๑) ฆานสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๒) ชิวหาสัมผัส... ในโลก (๓.๑.๒๓) กายสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๔) มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนสัมผัสนี้
(๓.๑.๒๕) เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ (๓.๑.๒๖) เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๒๗) เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๘) เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๙) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๓๐) เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
(๓.๑.๓๑) รูปสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญญานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญญานี้ (๓.๑.๓๒) สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๓๓) คันธสัญญา ... ในโลก (๓.๑.๓๔) รสสัญญา... ในโลก (๓.๑.๓๕) โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก (๓.๑.๓๖) ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมสัญญานี้
(๓.๑.๓๗) รูปสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญเจตนานี้ (๓.๑.๓๘) สัททสัญเจตนา ฯลฯ ในโลก (๓.๑ ๓๙) คันธสัญเจตนา ...ในโลก (๓.๑.๔๐) รสสัญเจตนา ... ในโลก (๓.๑.๔๑)โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก (๓.๑.๔๒) ธัมมสัญเจตนา เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมสัญเจตนานี้
(๓.๑.๔๓) รูปตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปตัณหานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปตัณหานี้ (๓.๑.๔๔) สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก (๓ ๑.๔๕) คันธตัณหา ... ในโลก (๓.๒.๔๖) รสตัณหา ...ในโลก (๓.๑ ๔๗) โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก (๓.๑.๔๘) ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อละ ก็ละที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมตัณหานี้   
(๓.๑.๔๙) รูปวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิตกนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิตกนี้ (๓.๑.๕๐) สัททวิตก ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๕๑) คันธวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๒) รสวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๓) โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๔) ธัมมวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิตกนี้
(๓ ๑.๕๕) รูปวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิจารนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิจารนี้ (๓.๑.๕๖) สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๕๗) คันธวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๕๘) รสวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๕๙)โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๖๐) ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละก็ละที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิจารนี้
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ - อริยสัจคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นแล คือ
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบ เป็นไฉน
(๔.๑.๑)ความรู้ในทุกข์ - ความทุกข์) (๔.๑.๒) ความรู้ในทุกขสมุทัย - เหตุเกิดแห่งทุกข์ (๔.๑.๓) ความรู้ในทุกขนิโรธ - ความดับทุกข์ (๔.๑.๔) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ๕ = คือ การเห็นชอบ ๕ อย่าง ได้แก่
~ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ - เห็นว่ากรรมมีผล
~ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ - เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔
~ มัคคสัมมาทิฏฐิ - เห็นว่ามรรคมีองค์ ๘ เป็นทางดับทุกข์
~ ผลสัมมาทิฏฐิ - เห็นผลจากการบรรลุธรรม
~ ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ - เห็นคุณแห่งผลที่ได้บรรลุ
(๔.๒) สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ เป็นไฉน
ความดำริในการออกจากกาม; ความดำริในการไม่พยาบาท; ความดำริในการไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, พฤศจิกายน, 2568, 07:26:32 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

สัมมาสังกัปปะ ๓ = ได้แก่
~ เนกขัมมสังกัปป์ (หรือ เนกขัมมวิตก) - คือ ความดำริที่ปลอดจากโลภะ ความนึกคิดที่ปลอดโปร่งจากกาม ไม่หมกมุ่นพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยากต่าง ๆ ความคิดเสียสละ และความคิดที่เป็นคุณเป็นกุศลทุกอย่าง จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากราคะหรือโลภะ
~ อพยาบาทสังกัปป์ (หรือ อพยาบาทวิตก) - คือ ดำริในอันไม่พยาบาท หรือเพ่งมองในแง่ร้ายต่าง ๆ มุ่งเอาธรรมที่ตรงข้าม คือเมตตา กรุณา ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากโทสะ
~ อวิหิงสาสังกัปป์ (หรือ อวิหิงสาวิตก) - คือ ดำริในอันไม่เบียดเบียน ไม่มีการคิดทำร้าย หรือไม่มีความโลภ,โกรธมาเกี่ยวข้อง มุ่งเอาธรรมที่ตรงข้าม ปัญญาคือเข้าใจโลกนี้ตามความเป็นจริง รู้ชัดในกฎแห่งกรรม หรือมีสามัญสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเอง จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากโมหะ
(๔.๓) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ เป็นไฉน
(๔.๓.๑) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเท็จ (๔.๓.๒) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดส่อเสียด (๔.๓.๓) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดคำหยาบ (๔.๓.๔) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
นี้เรียกว่า สัมมาวาจา
(๔.๔) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ เป็นไฉน
(๔.๔.๑) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ (๔.๔.๒) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการลักทรัพย์ (๔.๔.๓) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ
(๔.๕) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ เป็นไฉน
ข้อที่พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ละมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
(๔.๖) สัมมาวายามะ - พยายามชอบ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (๔.๖.๑) สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตมุ่งมั่นเพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ (๔.๖.๒) เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ (๔.๖.๓) เพื่อทำบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ (๔.๖.๔) สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่นเพื่อความดำรงอยู่ไม่เลือนหาย ภิยโยภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
(๔.๗) สัมมาสติ - ระลึกชอบ เป็นไฉน
   ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้(๔.๗.๑) เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณา เห็นกายในกายอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ (๔.๗.๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ (๔.๗.๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ (๔.๗.๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ นี้เรียกว่าสัมมาสติ
(๔.๘) สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตมั่นชอบ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย (๔.๘.๑) บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ (๔.๘.๒) เพราะวิตกวิจารสงบระงับไปแล้ว บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่  (๕.๘.๓) เพราะปีติจางคลายไป มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่และเสวยสุขด้วยกาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญว่า ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข (๔.๘.๔) เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
สุตตันตภาชนีย์ จบ.
อภิธรรมภาชนีย์
อัฏฐังคิกวารตที่เป็นอกุศลที่เหลือ ได้แก่
~กุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
กุศลมูล ๓ = คือ
->อโลภะ - ความไม่โลภ: ไม่มีความอยากได้เกินควร มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และมีความคิดเผื่อแผ่เสียสละ
-> อโทสะ - ความไม่โกรธ: คือการไม่มีความคิดประทุษร้าย หรือความพยาบาทต่อผู้อื่น ตรงข้ามกับความโกรธ เป็นการมีเมตตาและให้อภัย
-> อโมหะ - ความไม่หลง: คือการไม่หลงผิด ไม่มัวเมา มีปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง ไม่เชื่อในสิ่งที่งมงาย
~สภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ
~วิบากแห่งสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ
~สภาวธรรมที่เป็นกิริยา ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นวิบากแห่งกรรม และรูปทั้งหมด นี้เรียกว่า ทุกข์
(๒) ทุกขสมุทัย - เหตุเกิดแห่งทุกข์ = เป็นไฉน
ตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย ได้แก่
~ตัณหา และ กิเลสที่เหลือ
~สภาวธรรมที่เป็นอกุศลที่เหลือ
~กุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
~และสภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือ ซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย
(๓) ทุกขนิโรธ - ความดับทุกข์ = เป็นไฉน
~ การละตัณหา, ละกิเลสที่เหลือและ ละสภาวธรรมที่เป็นอกุศลที่เหลือ
~ ละกุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
~ ละสภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 11, พฤศจิกายน, 2568, 08:47:14 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~ อาสวะ = เป็นกิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตใจ มี ๔ ประเภท คือ:
กามาสวะ - ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ; ภวาสวะ - ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่; ทิฏฐาสวะ - ความเห็นผิด ความยึดในความคิดของตน; อวิชชาสวะ - ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงในสิ่งผิด
~ อนาสวะ = บุคคลที่สามารถกำจัดอาสวะทั้ง ๔ หมดสิ้น เป็นผู้มีจิตใจที่ อนาสวะ หรือเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง หรือบรรลุถึงขั้น โลกุตตระ
~ สาสวะ = ผู้ยังมีอาสวะอยู่
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ = เป็นไฉน
~ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม ฯลฯ
~บรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น มรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้น
ปฏิปทา ๔ ประการ= แบ่งตามความยากง่ายในการปฏิบัติ (สุขา/ทุกขา) และความเร็วในการรู้แจ้ง (ขิปปาภิญญา/ทันธาภิญญา) ได้แก่:
-> ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา: ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า
-> ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา: ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว (ตัวอย่างคือพระโมคคัลลานะ)
-> สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา: ปฏิบัติสะดวกสบาย แต่รู้ได้ช้า
-> สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา: ปฏิบัติสะดวกสบาย และรู้ได้เร็ว (ตัวอย่างคือพระสารีบุตร)
~ สภาวธรรมที่เหลือสัมปยุตด้วยทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น = เป็นอย่างไร
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ = เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรมสัมมาทิฏฐิ, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
โพชฌงค์ ๗ =ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ได้แก่ 
(๔.๑.๑) สติสัมโพชฌงค์ - ความระลึกได้ (๔.๑.๒) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ - การพิจารณาธรรม (๔.๑.๓) วิริยสัมโพชฌงค์ - ความเพียร (๔.๑.๔) ปีติสัมโพชฌงค์ - ความอิ่มเอิบใจ (๔.๑.๕) ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ - ความสงบกายใจ (๔.๑.๖) สมาธิสัมโพชฌงค์ - ความตั้งมั่นของจิต (๔.๑.๗) อุเบกขาสัมโพชฌงค์ - ความมีใจเป็นกลาง
เมื่อมีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ทำให้สามารถรู้เท่าทันความปรุงแต่งของจิตใจ, จะกำจัดอกุศลธรรมที่มีอยู่, และป้องกันอกุศลใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น, ช่วยให้การเจริญสติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ และเป็นเหตุให้เข้าถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้
(๔.๒) สัมมาสังกัปปะ = เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันเป็นองค์มรรคนับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ
(๔.๓) สัมมาวาจา = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากวจีทุจริต ๔ การไม่ทำ การเลิกทำ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุ (แห่งวจีทุจริต ๔) สัมมาวาจา อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาวาจา
วจีทุจริต ๔ = การประพฤติชั่วทางวาจา ได้แก่
มุสาวาท; พูดคำหยาบ -ผรุสวาจา; พูดส่อเสียด -ปิสุณาวาจา; พูดเพ้อเจ้อ - สัมผัปปลาปะ
(๔.๔) สัมมากัมมันตะ = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากกายทุจริต ๓ การไม่ทำ, การเลิกทำ, การไม่ล่วงละเมิด, การไม่ล้ำเขต, การกำจัดต้นเหตุ (แห่งกายทุจริต ๓) สัมมากัมมันตะ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ
กายทุจริต ๓ = ได้แก่
ปาณาติปาตา - การฆ่าสัตว์ หรือการทำให้สัตว์เดือดร้อนด้วยการทรมาน จองจำ หรือกักขัง; อทินนาทานา - ลักทรัพย์ ขโมยหยิบฉวย หรือการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยมิชอบ; กาเมสุมิจฉาจารา - ประพฤติผิดในกาม, การล่วงละเมิดคู่ครองของผู้อื่น
(๔.๕) สัมมาอาชีวะ = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากมิจฉาชีพ การไม่ทำ การเลิกทำ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุ(แห่งมิจฉาชีพ) สัมมาอาชีวะ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
(๔.๖) สัมมาวายามะ = เป็นไฉน
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ, วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
~ สัมมาวายามะ = มีหน้าที่ ๔ ประการ คือ:
(๔.๖.๑) อนุปปันนกุศลธรรมธัมมการนธรรม - เพียรระวังไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดขึ้น บังเกิดขึ้น
(๔.๖.๒) ปหานาย โอกุปันนกุศลธรรมธัมมการนธรรม - เพียรละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
(๔.๖.๓) อุปปาทยปจฺจเวกฺขณธมฺม - เพียรให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น
(๔.๖.๔) ฐานานุวุตฺติ - เพียรให้กุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่ และพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นต่อไป


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, พฤศจิกายน, 2568, 08:31:36 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

(๔.๗) สัมมาสติ = เป็นไฉน
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรคนับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสติ
(๔.๘) สัมมาสมาธิ = เป็นไฉน
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่ ฯลฯ สัมมาสมาธิ, สมาธิสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาวธรรมที่เหลือสัมปยุตด้วยทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ปัญหาปุจฉกะ
อริยสัจ ๔ = คือ
(๑) ทุกขอริยสัจ - อริยสัจคือทุกข์
(๒) ทุกขสมุทยอริยสัจ - อริยสัจคือเหตุเกิดแห่งทุกข์
(๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ - อริยสัจคือความดับทุกข์
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ - อริยสัจคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
บรรดาอริยสัจ ๔ = มี อริยสัจเท่าไรเป็นกุศล, เท่าไรเป็นอกุศล, เท่าไรเป็นอัพยากฤต, ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้, เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา
กุสลติกวิสัชนา = คำตอบด้านกุศล
(๑) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๒) สมุทยสัจ ~ เป็นอกุศล (๓) นิโรธสัจ ~ เป็นอัพยากฤต (๔) มัคคสัจ ~ เป็นกุศล
เวทนาติกวิสัชนา = คำตอบด้านเวทนา
(๑) สัจจะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี, ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
สัจจะ ๒ =คือ นิโรธ กับ มรรค
(๒) นิโรธสัจกล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา; สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา; หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
(๓) ทุกขสัจที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิปากติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับวิบาก
(๑) สัจจะ ๒ ~ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
(๒) นิโรธสัจ ~ไม่เป็นวิบาก, และไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
(๓) ทุกขสัจที่เป็นวิบากก็มี; ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี; ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
อุปาทินนติกวิสัชนา= คำตอบเกี่ยวกับอุปาทาน
(๑) สมุทยสัจ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๒) สัจจะ ๒ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบด้านกิเลส
(๑) สมุทยสัจ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส
(๒) สัจจะ ๒ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สวิตักกติกวิสัชนา = คำตอบด้านวิตก วิจาร
(๑) สมุทยสัจ ~ มีทั้งวิตกและวิจาร
(๒) นิโรธสัจ ~ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
(๓) มัคคสัจ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร; ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ปีติติกวิสัชนา = คำตอบด้านปีติ
(๑) สัจจะ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๒) นิโรธสัจ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขา (๓) ทุกขสัจ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ทัสสนติกวิสัชนา
(๑) สัจจะ ๒ ~ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
(๒) สมุทยสัจ ~ ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ทุกขสัจ ~ ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 12, พฤศจิกายน, 2568, 03:49:47 PM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
(๑) สัจจะ ๒ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
(๒) สมุทยสัจ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
อาจยคามิติกวิสัชนา = คำตอบเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ (๒) มัคคสัจ ~ เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน (๓) นิโรธสัจ ~ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
เสกขติกวิสัชนา
(๑) มัคคสัจ ~ เป็นของเสขบุคคล
(๒) สัจจะ ๓ ~ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล
ปริตตติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับความสงบ
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นปริตตะ - ธรรมด้อย (๒) สัจจะ ๒ ~ เป็นอัปปมาณะ -ไม่มีประมาณ (๓) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นปริตตะก็มี; ที่เป็นมหัคคตะก็มี
ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องความสุข โดยการทำอารมณ์ที่สงบ
(๑) นิโรธสัจ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๒) มัคคสัจ ~ มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์
(๓) สมุทยสัจ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์แต่ไม่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์ หรือมีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์ มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
หีนติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับธรรมทราม
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นชั้นต่ำ (๒) สัจจะ ๒ ~ เป็นชั้นประณีต (๓) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี; ที่เป็นชั้นกลางก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 13, พฤศจิกายน, 2568, 07:43:48 AM

อภิธรรมปิฎก : ๑๒.วิภังค์ : อินทริยวิภังค์ (แจกอินทรีย์ ๒๒)

พิบูลรัชนีฉันท์ ๑๔/กาพย์ทัณฑิกา

    ๑.ขอน้อม"พระโคดม"ครัน.........................พระอรหันต์พระสัมมาฯเจ้า
ผู้ตรัสรู้เองเพรา............................................และนยสอนมนุษย์,เทวา

    ๒.อินทรีย์,ธรรมชาติ.....ทำกิจใหญ่ยาตร......หน้าที่ตนหนา
ยี่สิบสองนี้.....อินทรีย์สัตว์นา.....รู้อารมณ์มา.....ทำกิจสมบูรณ์

    ๓.แจกแจง"อภิธรรมฯ"ฉาย........................เจาะอธิบายกะอินทรีย์พูน
"สุตตันตภาฯ"เว้นสูญ....................................ตะภณะ"ปุจฉ์กฯ"ตอบถ้อยเอย

    ๔.อินทรีย์แตกชัด........แต่การสัมผัส.........ทวารรู้เผย
ชีวิต,รู้สึก.....คิดนึกสุขเอ่ย......พลังจิตเชย......โลกุตตระแล

    ๕.แรกเอ่ยก็ม"จักขุนทรีย์"..........................เจาะอติชี้ซิตาเห็นแน่
หู,โสตะ"โสตินฯ"แท้.......................................ลุมหิมาเพราะหูยินเสียง

    ๖."ฆานินทรีย์"ชาญ.......จมูกเป็นใหญ่ด้าน.......ดมกลิ่นเผดียง
"ลิ้น,ชิวหินทรีย์".....ใหญ่ชี้ชิมเคียง.....รสชาติเลิศเกรียง.....หรือเลวกว่านา

    ๗.เป็นใหญ่เซาะ"กายินทรีย์".......................ลุพหุคลี่ทวารกายกล้า
จิตใจ"มนินทรีย์"หนา.....................................ลุมหึมาริรู้อารมณ์

    ๘."มนินทรีย์"หมวด.......ละหนึ่งมีรวด.......สัมปยุตบ่ม
ร่วมอินทรีย์หก.....ปรกสัมผัสคม......ตา,หู,จมูก..ชม......รู้อารมณ์เอย

    ๙.หมวดสองมนินทรีย์ชี้.......................ลุภวะที่เจาะ"มีเหตุ"เอ่ย
ผลจากกุศลยิ่งเผย........................................และมหะ"อัพยาฯ"เป็นกลาง

    ๑๐.มนินทรีย์"ไร้เหตุ"......"วิบาก"พิเศษ......"อัพยากฤต"วาง
ผลกรรมที่เน้น.....ชี้เป็นกลางพลาง.....ไม่เกี่ยวข้องขวาง......การทำบุญใด

    ๑๑.มีสามมนินทรีย์ดล................................ปะ"อกุศล,กุศล"มีใส
เป็น"อัพยากฤต"ไซร้......................................เจาะนิรสองซิชั่ว,ดีเอย

    ๑๒.มนินทรีย์หมวดละ.......สี่ก็มีปะ......."กามาวะฯ"เอ่ย
ผู้อยู่กามภพ.....สบ"รูปาฯ"เกย.....อยู่"รูปภพ"เชย......พรหมมีรูปแล

    ๑๓.ผู้อยู่"อรูปาฯ"สม...................................ก็ภวพรหมซิไร้รูปแน่
"ไกลวัฏฏะทุกข์"ผู้แท้.....................................พระอรหันต์มิมีภพเผย

    ๑๔.มนินทรีย์หมวดละ......ห้าก็มีปะ......."สุขินทรีย์"เชย
กายเป็นสุขชิน......"ทุกขินทรีย์"เกย......กายเกิดทุกข์เผย......ไม่มีสำราญ

    ๑๕.มี"โสมนัสสินทรีย์".................................สุขะฤดีมโนเบิกบาน
มี"โทมนัสสินฯ"ผลาญ.....................................ทุขะหทัยมิมีสุขใจ

    ๑๖."อุเปกขินทรีย์".........เวทนาชี้.......สุขและทุกข์ไร้
ไม่มีเกิดกราย.....ทั้งกายและใจ.....สภาพธรรมไซร้......เป็นกลางกลางนา

    ๑๗.หมวดหกมนินทรีย์ชิน.............................ก็ลุฉวิญญะทั้งหกพา
รับรู้อะรมณ์ผ่านอา-.........................................ยตนะหกจมูก,ตา,หู..

    ๑๘."จักขุวิญญาณ".......รู้รูปเห็นกราน.......รู้ทางตากรู
"โสตวิญญ์ฯ"ชิน.....ได้ยินเสียงพรู......"ฆานวิญญ์"อยู่......รู้กลิ่นด้วยดม

    ๑๙.รู้รสเพราะ"ชิวหาวิญญ์ฯ"........................เจาะรสะกินซิลิ้มลองสม
"กายวิญญ์ฯ"สิรู้อารมณ์...................................แตะปะทะกายเสาะร้อน,เย็น,หนาว

    ๒๐."มโนวิญญาณ"......ธรรมารมณ์พาน......รู้อารมณ์กล่าว
เกิดเพราะรู้ตาม.....ธรรม,นามธรรมพราว.....หกวิญญาณสาว......ภายใน-นอกกาย

    ๒๑.หมวดเจ็ดมนินทรีย์เตือน.......................ก็ดุจะเหมือนกะหกต่างเผย
ที่ตัวมโนกลับกลาย........................................หทยะเรียก"มโนธาตุ"แล

    ๒๒."มโนวิญญาณธาตุ".......รู้ทางใจยาตร.......เกิดหกทวารแน่
ตา,หู..กาย,ใจ.....ไซร้"มโนธาตุ"แล.....รู้แค่ห้าแฉ......ตา,หู,จมูก..กาย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 13, พฤศจิกายน, 2568, 02:03:51 PM

(ต่อหน้า ๒/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

    ๒๓.หมวดแปด"มนินทรีย์"เกลื่อน...............ก็จะเสมือนซิหมวดเจ็ดกราย
ต่างที่ลุกายวิญญ์ฯฉาย.................................เจาะภว"ทุกขะ"กับ"สุข"แล

    ๒๔.มนินทรีย์หมวดละ.....เก้าเหมือนเจ็ดปะ.....ต่างกันที่แน่
มโนวิญญาณธาตุ.....แจงยาตรสามแล้....."กุศล,กลาง"แท้....."อกุศล"นา

    ๒๕.หมวดสิบมนินทรีย์ฉาย........................ก็จะคะคล้ายกะหมวดเก้าหนา
ต่างที่ลุกายวิญญ์ฯกล้า.................................เจาะตติ"ทุกขะ,สุข"พึงเป็น

    ๒๖."อิตถินทรีย์"แจง.......ความเป็นใหญ่แจ้ง.......เป็น"เพศหญิง"เด่น
"ปุริสินทรีย์".....ใหญ่ชี้"ชาย"เห็น......"ชีวิตินฯ"เน้น......ชีพดำรงไกล

    ๒๗.มี"ชีวิตินทรีย์"สอง...............................ทุติยะครองมิมีรูป,ไร้
มีรูปจะเป็นเช่นใด.........................................ก็วปุที่เจริญเติบล้ำ

    ๒๘.อชีวตินทรีย์.......ไม่เป็นรูปชี้.......สิ่งเป็นนามธรรม
เช่นจิต,เวท์นา.....สัญญาความจำ.....วิญญาณรู้นำ.....หรือของเหลวเอย

    ๒๙.สำราญ"สุขินทรีย์"ลัก-.........................ษณะประจักษ์กะสุขกายเอ่ย
ด้วยถูกกระทบกายเผย.................................ลุมหึมาเจาะเรื่องสุขเลอ

    ๓๐."ทุกขินทรีย์"นาม.......ไม่สำราญตาม.......ด้วยทุกข์กายเอ่อ
"โสมนัสสินฯไซร้.....สุขใจเพลินเจอ......ด้วย"เจโตฯ"เปรอ......สัมผัสด้วยใจ

    ๓๑.สุขใจเพราะ"เจโตฯ"หนา.......................ประลุสมาธิใจสุขใส
ไม่ต้องทวารห้าไซร้........................................ซิทะลุ"ตา,จมูก,หู..กาย"

    ๓๒."โทมนัสสินฯ"ไซร้......ไม่สำราญใจ......เกิดทุกข์ใจกราย
เกิดอารมณ์พาน.....จิตคลานทุกข์ปราย.....เจโตฯทุกข์ฉาย......ไม่สบายใจ

    ๓๓.เป็นกลาง"อุเปกขินทรีย์"........................เจาะอนะชี้มิใช่สุขไซร้
หรือทุกข์หทัยเกิดได้......................................ลุศยะเฉยซิอารมณ์

    ๓๔."สัทธินทรีย์"ชี้.......ความศรัทธาคลี่.......ปลงใจใดสม
ความเลื่อมใสจริง.....ฐานยิ่งระดม.....พลังจิตคม......ลุสิ่งต้องการ

    ๓๕.ปรารภฤดีเพียรสิ้น................................ลุ"วิริยินฯ"ซิเป็นใหญ่ขาน
มุ่งมั่นมิทอดทิ้งงาน.........................................หทยะมีพลังความดี

    ๓๖."สตินทรีย์"หนา......สติระลึกกล้า.......สติพละรี่
ไม่มีลืมหลง......ความทรงจำปรี่......หวนระลึกคลี่......สติชอบเอย

    ๓๗.จิตคง"สมาธินทรีย์"...............................เจาะธุวะชี้มิซัดส่ายเลย
กำลังสมาธิ์ยิ่งเผย..........................................ลุมหึมามิฟุ้งซ่าน

    ๓๘."ปัญญินทรีย์"นำ.........ความเลือกเฟ้นธรรม.......รู้ชัดแจ้งชาญ
ไม่หลงงมงาย.....คิดหมายถูกกราน.....หยั่งรู้ธรรมฉาน......ปัญญาใหญ่แล

    ๓๙.ตั้งใจ"อนัญาตัญฯ"...............................เจาะธุวะมั่นจะรู้แน่
ธรรมที่มิเคยรู้แท้...........................................ตะมิลุหวังกระทำแจ้งคง

    ๔๐."อัญญินทรีย์"แกล้ว.......บรรลุธรรมแล้ว.......ทำให้ยิ่งยง
เลือกเฟ้นธรรมปะ.....ธัมมะโพชฌงค์ฯ......โสดาฯประสงค์......ถึงอรหัตต์แล

    ๔๑.ชัดแจ้งสิ"อัญญาฯ"พลัน........................ลุอรหันต์เจาะเป็นใหญ่แล้
ถึงธรรมอร์หัตต์ผลแน่....................................ลุนิรวาณกิเลสรานผอง

    ๔๒."ปัญหาปุจฉ์กะ"......ตอบ"อินทรีย์"คละ......รวมยี่สิบสอง
"อนัญญ์ตัญฯ"ชู.....มุ่งรู้สัจจ์ตรอง.....ถึงมรรคผลถ่อง......เป็นกุศลเอย

    ๔๓.อินทรีย์ประกอบ"สุข,ทุกข์"....................และภวะรุกเจาะ"กลาง"มีเผย
ชีพ"ชีวิตินทรีย์"เอ่ย........................................ก็เลาะผนวกกะสุข,ทุกข์,กลาง

    ๔๔."อัญญินทรีย์"ชี้.......ตรัสรู้มรรคคลี่.......เป็น"วิบาก"พลาง
ได้ลุอรหัตต์ฯ.....ชัดเหตุกระจ่าง.....ปัญญาสว่าง......เกิดผลนิพพาน

    ๔๕.อินทรีย์สิสามผลหนา.............................ประลุวิปากธรรมก่อกราน
"ทุกขินฯ,สุขินทรีย์"ผ่าน..................................และนิรวาณเพราะ"อัญญาตาฯ"


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, พฤศจิกายน, 2568, 08:55:30 AM

(ต่อหน้า ๓/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

    ๔๖.อินทรีย์มีสอง.........วิปากธรรมครอง.......เกิดผลกรรมหนา
"โทมนัสสินทรีย์".....กับชี้"อนัญญาฯ".....เข้าถึงมรรคพา.....ลุ"โสดาบัน"

    ๔๗.ด้วย"โทมนัสสินทรีย์".......................ลุภวชี้ประกอบ"อยาก"ครัน
พร้อมทิฎฐิไม่ยึดพลัน................................ตะจะอุบัติอุปาทานแล

    ๔๘.อินทรีย์สามมาก......มีตัณหา,อยาก......และทิฏฐิแล้
ไม่ยึด,ไม่เป็น.....เด่นอุปาฯแน่.....คือ"สัทธินฯ"แท้....."สมาธินฯ,เพียร"

    ๔๙.ด้วย"โทมนัสสินทรีย์".......................ลุภวชี้กิเลสเศร้าเวียน
อารมณ์กิเลสที่เถียร..................................ประลุอุบัติซิทุกข์ทางใจ

    ๕๐.โทมนัสสินทรีย์........มิ"วิตก"ชี้........และ"วิจาร"ไซร้
"อุเปกขินฯ"ครอง.....มีสองอย่างไว.....บ้างก็จะไร้.....ไม่มีใดเลย

    ๕๑.ด้วย"โสมนัสสินทรีย์"........................เจาะประลุ"ปีติ"ตะไร้"สุข"เอ่ย
พร้อมไร้อุเบกขาเผย..................................จะภณะปีติมียากหนา

    ๕๒.โทมนัสสินทรีย์......ต้องประหาณชี้......ด้วยมรรคโสดาฯ
บ้างต้องฆ่าผลัก.....ด้วยมรรคบนหนา....."สกิทาฯ,อนาคาฯ.....และอรหัตต์ฯแล

    ๕๓.ด้วย"โทมนัสสินฯ"ดล.........................ลุปฏิสนธิเกิด,ตายแน่
อินทรีย์"อนัญญาฯ"แท้.................................เจาะภวเหตุลุนิพพานเผย

    ๕๔.แน่"อัญญินทรีย์".....เป็นเหตุถึงชี้.....นิพพานได้เอย
บ้างไม่เป็นเหตุ.....พิเศษสามเอ่ย.....ทั้งเกิด,ตายเลย.....หรือนิพพานแล

    ๕๕.อินทรีย์สิสองมีชิด..............................ประลุปริตตะอารมณ์แน่
มีอยู่สิน้อยเกิดแท้........................................ก็ระยะสั้นเลาะสุขฯ,ทุกฯหนา

    ๕๖.โทมนัสสินทรีย์.......ธรรมชั้นต่ำชี้.......อกุศลธรรมคว้า
เช่นโลภ,โกรธ,หลง.....พะวงชั่วช้า......เดือดร้อนตนล้า......โลกนี้,หน้าทอน

    ๕๗.อินทรีย์"อนัญญาฯ"...........................ประลุสภาวะชอบ,ผลป้อน
แม้"โทมนัสสินฯ"จร.....................................เจาะภวผิดและผลมีสอง

    ๕๘.อินทรีย์สี่หนา.......ไม่กล่าวชี้ว่า......."มรรคเป็นเหตุ"ครอง
"มรรคเป็นอารมณ์".....หรือชม"ใหญ่"ตรอง.....ทุกฯ,สุขินฯส่อง.....โทมนัส,อัญญาฯ

    ๕๙.อินทรีย์สิเจ็ด,อารมณ์.........................เจาะนิรชมและรับรู้หนา
"อิตถินฯ",ทวารในห้า...................................และ"ปุริสินฯ"แสดงเพศชาย

    ๖๐.อินทรีย์สี่ยล.......มีอารมณ์ตน......."ในและนอกกาย"
คือ"สุขินทรีย์".....ชี้"ทุกขินฯ"หน่าย......"โสมนัสสินฯ"กราย......"อุเปกขินฯ"ไว

    ๖๑.อินทรีย์สิแปดอารมณ์........................ตริเสาะระดม ณ ภายนอก-ใน
ไม่อาจจะกล่าวธรรมได้...............................ลุภวมีซินอก-ในเลย

    ๖๒.เช่นมนินทรีย์......"ชีวิตินฯ"คลี่......"อุเปกขินฯ"เผย
สัทธินฯ,สตินฯหนา....."สมาธินฯ"เอ่ย....."วิริยินฯเชย"......"ปัญญินทรีย์"แล

    ๖๓.อินทรีย์สิสี่เหตุเกิด.............................เลาะภวเลิศกระทำผลแน่
"ปัญญินฯ,สตินทรีย์"แท้...............................เหมาะ"วิริยินฯสมาธินฯ"ใส

    ๖๔.อินทรีย์ยี่สิบ-.......สอง,ปัจจัยยิบ.......ปัจจัย,ปรุงไว
อินทรีย์เจ็ดเน้น.....เป็นรูปชัดไข.....ตา,หู..กายไซร้......"ปุริฯ,อิตถินฯ"เอย

    ๖๕.ด้วย"ชีวิตินทรีย์"ชี้.............................เจาะภวมีซิรูปกายเอ่ย
ไร้รูปก็มีอยู่เผย...........................................เพราะภณะขานสิเป็น"นาม"แล

    ๖๖.อินทรีย์สามปะ......เป็นโลกุตตระ.......ธรรมเหนือโลกแฉ
"อนัญญาตัญฯ"......"อัญญินทรีย์"แล้......"อัญญาตาฯ"แน่......อรหัตต์ฯเอย

    ๖๗.อินทรีย์สิยี่สิบสอง..............................หทยะครองเจาะรู้ได้เอ่ย
บางดวงฤดีนั้นเผย.......................................มิประลุรู้ซิอย่างใดนา

    ๖๘.อินทรีย์ยี่สิบ-.........สองไม่เป็นลิบ.......อาสวะหนา
กิเลสสะสม.....หมักหมมใจจ้า.....เหตุ"อยากได้"มา......อยากในภพแล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 14, พฤศจิกายน, 2568, 01:51:01 PM

(ต่อหน้า ๔/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

    ๖๙.อินทรีย์สิสามไร้อา-.........................สวะเจาะหนากะอารมณ์แท้
"อัญญินฯ,อนัญฯ"แฉ.................................อริยะ"อัญญะตาวินทรีย์"

    ๗๐."โทมนัสสินฯ"........กอปร"อาสวะ"ชิน........ร่วมกิเลสคลี่
อินทรีย์หกพา.....กอปร"อาสวะ"ชี้.....ไม่กอปรก็มี.....อยู่เหมือนกันนา

    ๗๑.ด้วย"โทมนัสสินทรีย์".......................ลุภวะชี้เจาะ"คันถะ"หนา
ถูกมัดจะทุกข์ใจพา...................................หทยะคิดและปรุงแต่งเอย

    ๗๒.อินทรีย์สามปะ......ไม่เป็นคันถะ......ไร้อารมณ์เผย
มีอารมณ์สรรค์.....ไร้คันถะเลย.....คืออินทรีย์เอ่ย.....โลกุตตระแล

    ๗๓.อินทรีย์สิสามไม่เป็น..........................เจาะภวเด่น"นิวรณ์"ห่างแฉ
"อัญญินฯ,อนัญญาฯ"แน่..............................และอติอัญญะตาวินทรีย์

    ๗๔."โทมนัสสินทรีย์"........มีนิวรณ์ชี้.......ขวางทำความดี
อินทรีย์หกร่วม.....สรวมนิวรณ์มี.....บางคราก็ลี้.....จากนิวรณ์นา

    ๗๕.อินทรีย์สิสาม,"ปรามาส".....................จะมิตริพลาดกะความจริงหนา
อินทรีย์สิหกนั้นพา......................................หทยะคิดซิถูก,ผิดสอง

    ๗๖.อินทรีย์เจ็ดสม.......ไม่รู้อารมณ์.......ใดทั้งสิ้นครอง
ได้แก่ทวารห้า.....หู,ตา..กายส่อง......อิตถินฯ,หญิงจอง......ปุริสินฯ,ชาย

    ๗๗.ชีพ"ชีวิตินทรีย์"ตาม...........................จะทะนุ"นามและรูป"คงฉาย
อารมณ์จะรู้ได้กราย....................................จะนิรรู้ก็มีเช่นกัน

    ๗๘.มนินทรีย์แท้.......เป็นหนึ่งเดียวแน่.......ที่เป็น"จิต"ครัน
อีกยี่สิบเอ็ด.....เด็ดที่เหลือพลัน.....มิใช่จิตยัน.....คิดไม่ได้แล

    ๗๙.ด้วย"ชีวิตินทรีย์"เท่............................เจาะภวเจตสิกคิดแท้
บางภาวะไม่เป็นแน่......................................มิหิตะจิตซิปรุงแต่งใด

    ๘๐."มนินทรีย์"นึก.......หน้าที่รู้สึก.......อารมณ์ต่างไป
มิกล่าวว่านอบ.....กอปรด้วยจิตไว......หรือไม่กอปรได้......กับจิตนั่นเอย

    ๘๑.พร้อม"ชีวิตินทรีย์"มี...........................หทยะคลี่สมุฏ์ฐานเอ่ย
จิต,เจตสิกร่วมเผย......................................จะอนุรักษ์ซิชีพดำรง

    ๘๒.ชีวิตินทรีย์.........ไม่มีจิตชี้.........เป็นสมุฏฐานบ่งฯ
เป็นส่วนรูปกาย.....ฉายด้วยกรรมคง....."กัมม์ชรูป"ยง......คอยรักษาแล

    ๘๓.อินทรีย์สิหกภายใน...........................ลุภวไซร้ซิ"จักขุนฯ"แเท้
"โสตินฯกะ"ฆานินฯ"แน่...............................และเจาะ"มนินฯปะ"ชิวหินฯ,กายฯ"

    ๘๔.อินทรีย์สิบหก.......เป็น"ภายนอก"ปรก.......เหลือจาก"ใน"ฉาย
อิตถินฯ,ปุริฯ....."ชีวิตินฯ"กราย.....สุขินทรีย์..มาย......และ"อัญญาตาฯ"

    ๘๕.อินทรีย์สิเจ็ดเป็นหนา.......................ภว"อุปาทย์รูป"เกิดกล้า
 ห้าอายะฯ"ตา,..กายมา..............................เจาะ"ปุริสินฯ"กะ"อัตถินฯ"เอย

    ๘๖.อินทรีย์สิบสี่.......ไม่ได้เกิดชี้.......อุปาท์ยรูปเอ่ย
เริ่ม"ชีวิตินฯ"......"สุขินทรีย์"เชย......"ทุกขินทรีย์"เสย......"อัญญาตาวินฯ

    ๘๗.ด้วย"ชีวิตินฯ"เป็นนา..........................ภวอุปาท์ยรูปสิ้น
เพื่อรักษ์และหล่อเลี้ยงชิน...........................เจาะอนุรักษ์ซิรูปจากกรรม

    ๘๘."ชีวิตินฯ"ไป่.........อุปาท์รูปใด.......เป็นนามธรรมนำ
รักษา,เลี้ยงชิด.....จิต,เจตสิกย้ำ.....คงให้กระทำ......ดำรงต่อไป ฯ|ะ

แสงประภัสสร

มจร. อินทรีย์ ๒๒ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์ ๕. อินทริยวิภังค์ https://share.google/P5AsbGEIlDrKPms0L


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, พฤศจิกายน, 2568, 04:26:32 AM

(ต่อหน้า ๕/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

พระสัมมาฯเจ้า = พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้แจ้งสรรพธรรม (อริยสัจธรรม ๔) ด้วยพระองค์เอง โดยมิได้ทรงอาศัยคำสอนของผู้อื่น และการตรัสรู้นั้นก็ถูกต้องสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
อินทรีย์ = ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในการทำกิจของตน คือ ทำให้ธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามตน ในกิจนั้นๆ
อินทรีย์ ๒๒ = ในพระพุทธศาสนา แยกออกเป็นหมวดหมู่ คือ
(๑) หมวดอายตนะ ๖ = เกี่ยวกับประสาทสัมผัสและการรับรู้ ได้แก่ จักขุ - ตา, โสตะ - หู, ฆานะ - จมูก, ชิวหา - ลิ้น, กายะ -กาย และ มนะ -ใจ
(๒) หมวดภาวะ = ที่บ่งบอกถึงเพศภาวะและชีวิต ได้แก่ อิตถี - หญิง, ปุริส - ชาย และชีวิต
(๓) หมวดเวทนา = เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ได้แก่ สุข, ทุกข์, โสมนัส - ความยินดี, โทมนัส - ความเสียใจ และอุเบกขา -ความวางเฉย
(๔) หมวดพละ = เป็นกำลังหรือพลังของจิต ได้แก่ สัทธา - ความเชื่อ, วิริยะ -ความเพียร, สติ -ความระลึกได้, สมาธิ - ความตั้งมั่น และปัญญา -ความรอบรู้
(๕) หมวดโลกุตตระ = เกี่ยวกับการบรรลุธรรมขั้นสูง ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามิ (ผู้ไม่รู้แต่จะรู้), อัญญา (ผู้รู้), และอัญญาตาวี (ผู้รู้ทั่ว)
อภิธรรมภาชนีย์ = การจำแนกอินทรีย์ ๒๒
อินทรีย์ ๒๒ = คือ
(๑) จักขุนทรีย์ = เป็นไฉน
จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่าจักขุนทรีย์ (คือสภาพธรรมที่มีตาทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการเห็น ครองความเป็นใหญ่ในจักขุทวาร)
(๒) โสตินทรีย์ = เป็นไฉน
โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่าโสตินทรีย์เพราะ ครองความเป็นใหญ่ในโสตทวาร
(๓) ฆานินทรีย์ = เป็นไฉน
ฆานะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่าฆานินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในฆานทวาร
(๔) ชิวหินทรีย์ = เป็นไฉน
ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่าชิวหินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในชิวหาทวาร
(๕) กายินทรีย์ = เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในกายทวาร
(๖) มนินทรีย์ = เป็นไฉน
ที่ชื่อว่า มนินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์
(๖.๑) มนินทรีย์หมวดละ ๑ ได้แก่ มนินทรีย์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
(๖.๒) มนินทรีย์หมวดละ ๒ ได้แก่ มนินทรีย์ที่มีเหตุก็มี; ที่ไม่มีเหตุก็มี
(๖.๓) มนินทรีย์หมวดละ ๓ ได้แก่ มนินทรีย์ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๖.๔) มนินทรีย์หมวดละ ๔ได้แก่ มนินทรีย์ที่เป็นกามาวจรก็มี; ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
(๖.๕) มนินทรีย์หมวดละ ๕ ได้แก่ มนินทรีย์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี; ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี; ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี; ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
(๖.๖) มนินทรีย์หมวดละ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; มโนวิญญาณ
(๖.๗) มนินทรีย์หมวดละ ๗ ได้แก่ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ;  กายวิญญาณ; มโนธาตุ; และมโนวิญญาณธาตุ
(๖.๘) มนินทรีย์หมวดละ ๘ ได้แก่ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี; มโนธาตุ; และมโนวิญญาณธาตุ
(๖.๙) มนินทรีย์หมวดละ ๙ ได้แก่ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; มโนธาตุ; และมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี;
(๖.๑๐) มนินทรีย์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี; มโนธาตุ; และมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ     
(๗) อิตถินทรีย์ = เป็นไฉนทรวดทรงหญิง; เครื่องหมายประจำเพศหญิง; กิริยาหญิง; อาการหญิง; สภาพหญิง; ภาวะหญิงของสตรี นี้เรียกว่า อิตถินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในความเป็นหญิง
(๘) ปุริสินทรีย์ = เป็นไฉนทรวดทรงชาย; เครื่องหมายประจำเพศชาย; กิริยาชาย; อาการชาย; สภาพชาย; ภาวะชายของบุรุษ นี้เรียกว่า ปุริสินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในความเป็นชาย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 15, พฤศจิกายน, 2568, 05:17:02 AM

(ต่อหน้า ๖/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๙) ชีวิตินทรีย์ = เป็นไฉน
เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งการตามรักษา (อนุบาล)
(๙.๒) ชีวิตินทรีย์หมวดละ ๒ = ได้แก่
ชีวิตินทรีย์ที่เป็นรูปก็มี; ชีวิตินทรีย์ที่ไม่เป็นรูปก็มี; ในชีวิตินทรีย์ทั้ง ๒ นั้น
(๙.๒.๑) ชีวิตินทรีย์ที่เป็นรูป = เป็นไฉน
อายุ; ความดำรงอยู่; ความเป็นไป; กิริยาที่ให้เป็นไป; อาการที่สืบเนื่องกัน; ความดำเนินไป; ความหล่อเลี้ยงชีวิต; ชีวิตินทรีย์แห่งสภาวธรรมที่เป็นรูปเหล่านั้น; นี้เรียกว่า ชีวิตินทรีย์ที่เป็นรูป
(๙.๒.๒) ชีวิตินทรีย์ที่ไม่เป็นรูป = เป็นไฉน
อายุ; ความดำรงอยู่; ความเป็นไป; กิริยาที่ให้เป็นไป; อาการที่สืบเนื่องกัน; ความดำเนินไป; ความหล่อเลี้ยงชีวิต; ชีวิตินทรีย์แห่งสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเหล่านั้น; นี้เรียกว่า ชีวิตินทรีย์ที่ไม่เป็นรูป
(๑๐) สุขินทรีย์ = เป็นไฉน
ความสำราญทางกาย; ความสุขทางกาย; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส; นี้เรียกว่า สุขินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะสุข
(๑๑) ทุกขินทรีย์ = เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางกาย; ความทุกข์ทางกาย; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส; นี้เรียกว่า ทุกขินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะทุกข์
(๑๒) โสมนัสสินทรีย์ = เป็นไฉน
ความสำราญทางใจ; ความสุขทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โสมนัสสินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะโสมนัส
~เจโตสัมผัส = การสัมผัสที่เกิดจาก "ใจ" (มโนวิญญาณ) รับรู้อารมณ์ที่เป็นนามธรรม (ธรรมารมณ์) หรือเป็นสภาวะภายในจิต เช่น สุข ทุกข์ หรือความสงบ โดยไม่ต้องอาศัยอายตนะ ๕
(๑๓) โทมนัสสินทรีย์ = เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางใจ; ความทุกข์ทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โทมนัสสินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะโทมนัส
(๑๔) อุเปกขินทรีย์ = เป็นไฉน
ความสำราญทางใจก็ไม่ใช่; ความไม่สำราญทางใจก็ไม่ใช่; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า อุเปกขินทรีย์เพราะ ครองความเป็นใหญ่ในลักษณะอุเบกขา
(๑๕) สัทธินทรีย์ = เป็นไฉน
ศรัทธา; ความเชื่อ; ความปลงใจเชื่อ; ความเลื่อมใสยิ่ง; ศรัทธา  สัทธินทรีย์; สัทธาพละ; นี้เรียกว่า สัทธินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะการน้อมใจเชื่อ
(๑๖) วิริยินทรีย์ = เป็นไฉน
การปรารภความเพียรทางใจ; ความบากบั่น; ความขวนขวาย; ความอุตสาหะ; ความทนทาน; ความเข้มแข็ง; ความมุ่งมั่นอย่างไม่ท้อถอย; ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ; ความไม่ทอดทิ้งธุระ; วิริยะ; วิริยินทรีย์; วิริยพละ; สัมมาวายามะ; นี้เรียกว่า วิริยินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะความเพียร
(๑๗) สตินทรีย์ = เป็นไฉน
สติ; ความตามระลึก; ความหวนระลึก; กิริยาที่ระลึก; ความทรงจำ; ความไม่เลื่อนลอย; ความไม่หลงลืม; สตินทรีย์; สติพละ; สัมมาสติ; นี้เรียกว่า สตินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะความปรากฏ (ของอารมณ์)
(๑๘) สมาธินทรีย์ = เป็นไฉน
ความตั้งอยู่แห่งจิต; ความดำรงมั่น; ความไม่ซัดส่าย; ความไม่ฟุ้งซ่าน; ความที่จิตไม่ซัดส่าย; สมถะ; สมาธินทรีย์; สมาธิพละ; สัมมาสมาธิ; นี้เรียกว่า สมาธินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะความไม่ฟุ้งซ่าน
(๑๙) ปัญญินทรีย์ = เป็นไฉน
ปัญญา; กิริยาที่รู้ชัด; ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย; ความเลือกเฟ้นธรรม; สัมมาทิฏฐิ; นี้เรียกว่า ปัญญินทรีย์เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะการเห็น
(๒๐) อนัญญาตัญญัสสามีตินทร = เป็นไฉน
ปัญญา; กิริยาที่รู้ชัด; ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย; ความเลือกเฟ้นธรรม; สัมมาทิฏฐิ; ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค เพื่อรู้ธรรมที่ยังไม่เคยรู้, เพื่อเห็นธรรมที่ยังไม่เคยเห็น, เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่เคยบรรลุ, เพื่อทราบธรรมที่ยังไม่เคยทราบ, เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่เคยทำให้แจ้งนั้นๆ, นี้เรียกว่า อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ อัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผลของผู้ปฏิบัติ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 16, พฤศจิกายน, 2568, 07:51:06 PM

(ต่อหน้า ๗/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๒๑) อัญญินทรีย์ = เป็นไฉน
ปัญญา; กิริยาที่รู้ชัด; ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย; ความเลือกเฟ้นธรรม; สัมมาทิฏฐิ; ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค เพื่อรู้ธรรมที่รู้แล้ว,เพื่อเห็นธรรมที่เห็นแล้ว, เพื่อบรรลุธรรมที่บรรลุแล้ว, เพื่อทราบธรรมที่ทราบแล้ว,เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ทำให้แจ้งแล้วนั้นๆ, นี้เรียกว่า อัญญินทรีย์ (อินทรีย์ คือ การตรัสรู้สัจจธรรมด้วยมรรค ได้แก่ โสดาปัตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคามิผล, อนาตามิมรรค, อนาคามิผล, อรหัตตมรรค)
โพชฌงค์ ๗= คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
(๒๑.๑) สติ (สติสัมโพชฌงค์) - ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
(๒๑.๒) ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) - ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
(๒๑.๓) วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) - ความเพียร
(๒๑.๔) ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) - ความอิ่มใจ
(๒๑.๕) ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) - ความสงบกายใจ
(๒๑.๖) สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) - ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
(๒๑.๗) อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) - ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
(๒๒) อัญญาตาวินทรีย์ = เป็นไฉน
ปัญญา; กิริยาที่รู้ชัด; ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย; ความเลือกเฟ้นธรรม; สัมมาทิฏฐิ; ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค เพื่อรู้ธรรมที่รู้ทั่วแล้ว, เพื่อเห็นธรรมที่เห็นแล้ว, เพื่อบรรลุธรรมที่บรรลุแล้ว, เพื่อทราบธรรมที่ทราบแล้ว, เพื่อทำให้แจ้ง ธรรมที่ทำให้แจ้งแล้ว นั้นๆ นี้เรียกว่า อัญญาตาวินทรีย์ (คือ อินทรีย์ของพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้สัจจธรรมแล้ว)
อภิธรรมภาชนีย์ จบ
ปัญหาปุจฉกะ = การตอบคำถาม
อินทรีย์ ๒๒ = คือ
(๑) จักขุนทรีย์ (๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์ (๖) มนินทรีย์ (๗) อิตถินทรีย์ (๘) ปุริสินทรีย์ (๙) ชีวิตินทรีย์ (๑๐) สุขินทรีย์ (๑๑) ทุกขินทรีย์ (๑๒) โสมนัสสินทรีย์ (๑๓) โทมนัสสินทรีย์ (๑๔) อุเปกขินทรีย์ (๑๕) สัทธินทรีย์ (๑๖) วิริยินทรีย์ (๑๗) สตินทรีย์ (๑๘) สมาธินทรีย์ (๑๙) ปัญญินทรีย์ (๒๐) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (๒๑) อัญญินทรีย์ (๒๒) อัญญาตาวินทรีย์
ทุกมาติกาปุจฉา = คำถาม แจงหมวดละสอง
บรรดาอินทรีย์ ๒๒ อินทรีย์เท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไร
เป็นอัพยากฤต ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา
(๑) กุสลติกวิสัชนา =คำตอบด้านกุศล
(๑.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอัพยากฤต เป็น กลางๆ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นอกุศล (๑.๓) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ เป็นกุศล (๑.๔) อินทรีย์ ๔ ~ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ได้แก่ สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, และ ปัญญินทรีย์ (๑.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์
(๒) เวทนาติกวิสัชนา = คำตอบด้านเวทนา
(๒.๑) อินทรีย์ ๑๒ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา; สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา; หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๒.๒) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๒.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์ และ โสมนัสสินทรีย์ (๒ ๔) ชีวิตินทรีย์~ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
(๓) วิปากติกวิสัชนา = คำตอบด้านวิบาก
(๓.๑) อินทรีย์ ๗ ~ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก (๓.๒) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นวิบาก
(๓.๓) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นวิปากธรรม ได้แก่ ทุกขินทรีย์ สุขินทรีย์ อัญญาตาวินทรีย์ (๓.๔) อินทรีย์ ๒ ~ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก (๓.๕) อินทรีย์ ๒ ~ เป็นวิปากธัมมธรรม คือ เป็นธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก คือโทมนัสสินทรีย์ กับ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (๓.๖) อัญญินทรีย์ ~ ที่เป็นวิบากก็มี; ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓.๗) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นวิบากก็มี; ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี; ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓.๘) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 16, พฤศจิกายน, 2568, 07:54:23 PM

(ต่อหน้า ๘/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์


(๔) อุปาทินนติกวิสัชนา
(๔.๑) อินทรีย์ ๙ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๔.๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ได้แก่ สัทธินอินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ วิริยินทรีย์ (๔.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
(๕) สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบด้านกิเลส
(๕.๑) อินทรีย์ ๙ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง และไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๔) อินทรีย์ ๓ ~ ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๕.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์
(๖) สวิตักกติกวิสัชนา
(๖.๑) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร (๖.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีทั้งวิตกและวิจาร (๖.๓) อุเปกขินทรีย์ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๖.๔) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
(๗) ปีติติกวิสัชนา
(๗.๑) อินทรีย์ ๑๑ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขา ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์ และ โทมนัสสินทรีย์ (๗.๒) โสมนัสสินทรีย์ ~ ที่สหรคตด้วยปีติแต่ไม่สหรคตด้วยสุขและไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติก็มี (๗.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๗.๔) อินทรีย์ ๔ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
(๘) ทัสสนติกวิสัชนา
(๘.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ (๘.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
~มรรคเบื้องบน ๓ = สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และ อรหัตตมรรค (๘.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
(๙) ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
(๙.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ (๙.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๙.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
(๑๐) อาจยคามิติกวิสัชนา
(๑๐.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน (๑๐.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ (๑๐.๓) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน (๑๐.๔) อัญญินทรีย์ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี (๑๐.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี; ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
(๑๑) เสกขติกวิสัชนา
(๑๑.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล (๑๑.๒) อินทรีย์ ๒ ~ เป็นของเสขบุคคล (๑๑.๓) อัญญาตาวินทรีย์ ~ เป็นของอเสขบุคคล (๑๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี; ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี; ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
(๑๒) ปริตตติกวิสัชนา
(๑๒.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นปริตตะ - ธรรมด้อย (๑๒.๒) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นอัปปมาณะ-ประมาณไม่ได้ (๑๒.๓) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นปริตตะก็มี; ที่เป็นมหัคคตะก็มี; ที่เป็นอัปปมาณะก็มี ได้แก่ มนินทรีย์, ชีวิตินทรีย์,โสมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ ปัญญินทรีย์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, พฤศจิกายน, 2568, 05:50:31 AM

(ต่อหน้า ๙/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๑๓) ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์มีกำลังอ่อน ที่เกิดขึ้นชั่วคราว
(๑๓.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๓.๒) อินทรีย์ ๒ ~ มีปริตตะเป็นอารมณ์ ได้แก่ สุขินทรีย์ และ ทุกขินทรีย์ (๑๓.๓) อินทรีย์ ๓ ~ มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ (๑๓.๔) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์แต่ไม่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์หรือมีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๑๓.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
(๑๔) หีนติกวิสัชนา
(๑๔.๑) อินทรีย์ ๙ ~ เป็นชั้นกลาง (๑๔.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นชั้นต่ำ (๑๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นชั้นประณีต (๑๔.๔) อินทรีย์ ๓ ~ ที่เป็นชั้นกลางก็มี; ที่เป็นชั้นประณีตก็มี (๑๔.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี; ที่เป็นชั้นกลางก็มี; ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
(๑๕) มิจฉัตตติกวิสัชนา
(๑๕.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น (๑๕.๒) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน (๑๕.๓) อินทรีย์ ๔ ~ ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี (๑๕.๔)โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี (๑๕.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
(๑๖) มัคคารัมมณติกวิสัชนา
(๑๖.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๖.๒) อินทรีย์ ๔ ~ กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์; มีมรรคเป็นเหตุ; หรือมีมรรคเป็นอธิบดี ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๖.๓) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ ไม่ใช่มีมรรคเป็นอารมณ์; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๑๖.๔) อัญญินทรีย์ ~ไม่ใช่มีมรรคเป็นอารมณ์; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๑๖.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
(๑๗) อุปปันนติกวิสัชนา =คำตอบด้าน ธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
(๑๗.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี; แต่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้น (๑๗.๒) อินทรีย์ ๒ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; แต่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอน (๑๗.๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
(๑๘) อตีตติกวิสัชนา
(๑๘.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ที่เป็นอดีตก็มี; ที่เป็นอนาคตก็มี; ที่เป็นปัจจุบันก็มี
(๑๙) อตีตารัมมณติกวิสัชนา
(๑๙.๑) อินทรีย์ ๗ ~รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๙.๒) อินทรีย์ ๒ ~ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ (๑๙.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์; มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์; หรือ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ (๑๙.๔) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
(๒๐) อัชฌัตตติกวิสัชนา = คำตอบด้าน ธรรมที่นำมาปฏิบัติเพื่อตนเอง
(๒๐.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ที่เป็นภายในตนก็มี; ที่เป็นภายนอกตนก็มี; ที่เป็นภายในตน และภายนอกตนก็มี
(๒๑) อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์ภายใน-นอกตน
(๒๑.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์ (๒๑.๒) อินทรีย์ ๓ ~ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ (๒๑.๓) อินทรีย์ ๔ ~ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์ และ อุเปกขินทรีย์  (๒๑.๔) อินทรีย์ ๘ ~ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ำ หรือมีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ได้แก่ มนินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ ปัญญินทรีย์
(๒๒) สนิทัสสนติกวิสัชนา
(๒๒.๑) อินทรีย์ ๕ ~ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ (๒๒.๒) อินทรีย์ ๑๗ ~ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
ทุกมาติกาวิสัชนา = คำตอบหมวดละสอง
(๑) เหตุโคจฉกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับเหตุเกิด
(๑.๑) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุ ได้แก่ วิริยินทรีย์; สตินทรีย์; สมาธินทรีย์; ปัญญินทรีย์ (๑ ๒) อินทรีย์ ๑๘ ~ไม่เป็นเหตุ (๑.๓) อินทรีย์ ๗ ~ มีเหตุ (๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีเหตุ (๑.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีเหตุก็มี; ที่ไม่มีเหตุก็มี (๑.๖) อินทรีย์ ๗ ~ สัมปยุตด้วยเหตุ (๑.๗) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากเหตุ (๑.๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี; ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี (๑.๙) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุและมีเหตุ (๑.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๑) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๒) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๑.๑๓) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, พฤศจิกายน, 2568, 06:07:27 AM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๑.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ; หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ; ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๑.๑๗) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ (๑.๑๘) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ (๑.๑๙) อินทรีย์ ๔ ~ กล่าวไม่ได้ว่าไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ; หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ (๑.๒๐) อินทรีย์ ๖ ~ ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
(๒) จูฬันตรทุกวิสัชนา
(๒.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ มีปัจจัยปรุงแต่ง (๒.๒) อินทรีย์ ๒๒ ~ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง (๒.๓) อินทรีย์ ๒๒ ~ เห็นไม่ได้ (๒.๔) อินทรีย์ ๕ ~ กระทบได้ (๒.๕) อินทรีย์ ๑๗ ~ กระทบไม่ได้ (๒.๖) อินทรีย์ ๗ ~ เป็นรูป ได้แก่จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสสินทรีย์ (๒.๗) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นรูป ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๒.๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่เป็นรูปก็มี; ที่ไม่เป็นรูปก็มี (๒.๙) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นโลกิยะ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์,โทมนัสสินทรีย์ (๒.๑๐) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นโลกุตตระ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์; อัญญินทรีย์; อัญญาตาวินทรีย์ (๒.๑๑) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นโลกิยะก็มี; ที่เป็นโลกุตตระก็มี (๒.๑๒) อินทรีย์ ๒๒ ~ จิตบางดวงรู้ได้ (๒.๑๓) อินทรีย์ ๒๒ ~ จิตบางดวงรู้ไม่ได้
(๓) อาสวโคจฉกวิสัชนา= คำตอบด้านกิเลส (อาสวกิเลส คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เกิดจากการสั่งสม ความเคยชิน เรียกย่อว่า อาสวะ มี ๔ อย่าง คือ
~กาม - ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ; ~ภพ - ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่; ~ทิฏฐิ - ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น; ~อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ~ความลุ่มหลงมัวเมา
(๓.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นอาสวะ (๓.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๓.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากอาสวะ (๓.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยอาสวะ (๓.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี (๓.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือวิปปยุตจากอาสวะ และไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
(๔) สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
(๔.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นสังโยชน์ (๔.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๔.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์ (๔.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~สัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๔.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี (๕.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๕.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 17, พฤศจิกายน, 2568, 07:24:17 PM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๕.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๕.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๕.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
(๕) คันถโคจฉกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ การผูกมัด
~ คันถะ ๔ = คือ
-->๑. อภิชฌากายคันถะ - ผูกมัดอยู่กับความยินดี ชอบใจ อยากได้ องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘
-->๒. พยาปาทกายคันถะ - ผูกมัดอยู่กับความโกรธ อาจมีคิดปองร้ายด้วย องค์ธรรมได้แก่โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิตทั้ง ๒ ดวง
-->๓. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ - ผูกมัดอยู่ในความชอบใจในการปฏิบัติที่ผิด ว่าปฏิบัติอย่างนี้แหละเป็นทางให้พ้นทุกข์ โดยเข้าใจว่าเป็นการถูกต้องแล้ว แต่หากมีผู้รู้แนะนำสั่งสอนทางที่ถูกต้องให้ ก็สามารถกลับใจได้ องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคต สัมปยุตตจิต ๔
-->๔. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ - ผูกมัดอยู่ในความชอบใจในการปฏิบัติที่ผิด แต่ว่ารุนแรงมั่นคงแน่วแน่มากกว่าในข้อ ๓ นอกจากนั้นแล้วยังดูหมิ่นและเหยียบย่ำ ทับถมวาทะ หรือมติของผู้อื่นด้วย ถึงแม้ว่าจะมีผู้รู้มาชี้แจงแสดงเหตุผลในทางที่ถูก ที่ชอบประการใด ๆ ก็ไม่ยอมกลับใจได้เลย องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ใน ทิฏฐิคตสัมปยุตต ๔
รวมคันถะมี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๓ คือ โลภเจตสิก โทสเจตสิก และ ทิฏฐิเจตสิก
(๕.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ไม่เป็นคันถะ (๕.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๔) อินทรีย์ ๙ ~ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๕.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากคันถะ (๕.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยคันถะ (๕.๗) อินทรีย์ ๖ ~ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี (๕.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๕.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๕.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๕.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๕.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
(๖-๘) โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา
~ โอฆะ ๔ = คือ
-->๑. กาโมฆะ - ห้วงแห่งกาม พาให้สัตว์จมอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘
-->๒. ภโวฆะ - ห้วงแห่งภพ พาให้สัตว์จมอยู่ในความยินดีต่ออัตภาพของตน ตลอดจนชอบใจอยากได้รูปภพ, อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในทิฏฐิคต วิปปยุตตจิต ๔
-->๓. ทิฏโฐฆะ - ห้วงแห่งความเห็นผิด พาให้สัตว์จมอยู่ในความเห็นผิดจาก ความเป็นจริงของสภาวธรรม องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔
-->๔. อวิชโชฆะ - ห้วงแห่งความหลง พาให้สัตว์ลุ่มหลงจมอยู่ในความไม่รู้เหตุ ผลตามความเป็นจริงจึง โลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสล จิต ๑๒


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, พฤศจิกายน, 2568, 06:05:31 AM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

~โยคะ ๔ = คือ
-->๑. กามโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับกามคุณ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภ มูลจิต ๘
-->๒. ภวโยคะ -ตรึงให้ติดอยู่กับความยินดีในอัตภาพของตน, ตลอดจนชอบใจ ในรูปภพ, อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
-->๓. ทิฏฐิโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับความเห็นผิดจากความเป็นจริงของสภาวธรรม องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔
-->๔. อวิชชาโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับความหลง เพราะไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง จึงโลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสลจิต ๑๒
~นิวรณ์ ๖ = คือ
-->๑. กามฉันทนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความชอบใจอยากได้ในกามคุณอารมณ์ จึงย่อมขาดสมาธิในอันที่จะทำ ความดี มีฌานและมัคคผลเป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘
-->๒. พยาปาทนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความไม่ชอบใจในอารมณ์ เมื่อจิตใจ มีแต่ความขุ่นเคืองไม่ชอบใจแล้ว ก็ย่อมขาดปีติความอิ่มใจในการกระทำความดี มี ฌานเป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิต ๒
-->๓. ถีนมิทธนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความหดหู่ท้อถอยในอารมณ์ จึงย่อมขาดวิตก คือไม่มีใจที่จะคิดกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก ที่ในอกุสลสสังขาริกจิต ๕
-->๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะคิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ก็ย่อมขาดความสุขใจในอันที่จะกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ อุทธัจจ เจตสิก กุกกุจจเจตสิก ที่ในอกุสลจิต ๑๒
-->๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความสงสัย ลังเลใจ ก็ย่อมขาดวิจารในอันที่จะพินิจกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิก ที่ในวิจิกิจฉาสหคตจิต ๑
-->๖. อวิชชานิวรณ์ -ขัดขวางไว้เพราะความไม่รู้ มีการทำให้หลงลืม ก็ย่อมขาด สติ ไม่ระลึกถึงความดีที่ตนจะกระทำ องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสลจิต ๑๒
(๑) อินทรีย์ ๒๒ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ (๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์ (๖)โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๖)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
(๙) ปรามาสโคจฉกวิสัชนา = คำตอบด้าน การยึดมั่นถือมั่น ที่ผิดจากความเป็นจริง
(๙.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นปรามาส (๙.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๙.๕) อินทรีย์ ๑๖ ~ วิปปยุตจากปรามาส (๙.๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๙.๗) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส (๙.๘) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส (๙.๙) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี (๙.๑๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๑๑) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๑๒) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 18, พฤศจิกายน, 2568, 06:44:30 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๙.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
(๑๐) มหันตรทุกวิสัชนา
(๑๐.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์
(๑๐.๒) อินทรีย์ ๑๔ ~ รับรู้อารมณ์ได้ (๑๐.๓) ชีวิตินทรีย์ ~ที่รับรู้อารมณ์ได้ก็มี; ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๑๐.๔) อินทรีย์ ๒๑ ~ ไม่เป็นจิต (๑๐.๕) มนินทรีย์ ~ เป็นจิต (๑๐.๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ เป็นเจตสิก (๑๐.๗) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เป็นเจตสิก (๑๐.๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่เป็นเจตสิกก็มี; ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี
~ เจตสิก = ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของคน ที่ช่วยตัดสินใจ หรือปรุงแต่งจิตใจ ในการทำบุญและทำบาป ซึ่งธรรมชาตินี้ เกิดพร้อมกับจิต, ดับพร้อมกับจิต, มีอารมณ์เดียวกันกับจิต, อาศัยวัตถุเดียวกันกับจิต
(๑๐.๙) อินทรีย์ ๑๓ ~ สัมปยุตด้วยจิต (๑๐.๑๐) อินทรีย์ ๗ ~ วิปปยุตจากจิต (๑๐.๑๑) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี; ที่วิปปยุตจากจิตก็มี
(๑๐.๑๒) มนินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต; หรือวิปปยุตจากจิต (๑๐.๑๓) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิต (๑๐.๑๔) อินทรีย์ ๗ ~ ไม่ระคนกับจิต (๑๐.๑๕) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตก็มี (๑๐.๑๖) มนินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต หรือไม่ระคนกับจิต
(๑๐.๑๗) อินทรีย์ ๑๓ ~ มีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๑๘) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๑๙) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
~ชีวิตินทริยเจตสิกจึงเป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกัน เป็นใหญ่ในการรักษาสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมด้วยให้ดำรงอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะดับไป
~ชีวิตรูปเป็นรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน คือเกิดจากกรรม จึงตามอนุบาลรักษากัมมชรูปที่เกิดพร้อมกันเท่านั้น ทำให้รูปของสัตว์ที่มีชีวิตแตกต่างจากรูปของสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสัตว์ที่ตายแล้ว
(๑๐.๒๐) อินทรีย์ ๑๓ ~ เกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๒๑) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๒๒) ชีวิตินทรีย์ ~ที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี (๑๐.๒๓) อินทรีย์ ๑๓ ~ เป็นไปตามจิต (๑๐.๒๔) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เป็นไปตามจิต (๑๐.๒๕) ชีวิตินทรีย์ที่เป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี (๑๐.๒๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๒๗) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่ระคนกับจิต และมีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๒๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี (๑๐.๒๙) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๓๐) อินทรีย์ ๘ ~ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๓๑) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี (๑๐.๓๒) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต (๑๐.๓๓) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต (๑๐.๓๔) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตมีจิต เป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี (๑๐.๓๕) อินทรีย์ ๖ ~ เป็นภายใน ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๑๐.๓๖) อินทรีย์ ๑๖ ~ เป็นภายนอก ได้แก่ ที่เหลือจากภายใน คือ อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๐.๓๗) อินทรีย์ ๗ ~ เป็นอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ เกิด)ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์ (๑๐.๓๘) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นอุปาทายรูป ได้แก่ ชีวิตินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๐.๓๙) ชีวิตินทรีย์ ~ที่เป็นอุปาทายรูปก็มี; ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี
~ชีวิตินทรีย์ = อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ
-->๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป - เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง มีหน้าที่รักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม)
-->๒. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิก - สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) มีหน้าที่รักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือ จิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือ นามชีวิตินทรีย์
(๑๐.๔๐) อินทรีย์ ๙ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ (๑๐.๔๑) อินทรีย์ ๔ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
(๑๐.๔๒) อินทรีย์ ๙ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, พฤศจิกายน, 2568, 05:57:19 AM

(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๑๑) อุปาทานโคจฉกวิสัชนา
(๑๑.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๑๑.๕) อินทรีย์ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอุปาทาน (๑๑.๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี (๑๑.๗) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๘) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๙) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๑) อินทรีย์ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๑๒) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๑๑.๑๔) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๑๑.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
(๑๒) กิเลสโคจฉกวิสัชนา
(๑๒.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๑๒.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง (๑๒.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมอง (๑๒.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี (๑๒.๘) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากกิเลส (๑๒.๙) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยกิเลส (๑๒.๑๐) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี (๑๒.๑๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๒) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๓) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๑๔) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๕) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๑๗) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๘)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๙) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๒๐) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๑) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๓) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๑๒.๒๔) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
(๑๓) ปิฏฐิทุกวิสัชนา
(๑๓.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค (๑๓.๒) อินทรีย์ ๗ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๑๓.๓) อินทรีย์ ๑๕ ~ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (๑๓.๔) อินทรีย์ ๗ ~ ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๑๓.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 19, พฤศจิกายน, 2568, 10:01:57 PM

(ต่อหน้า ๑๕/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

(๑๓.๖) อินทรีย์ ๗ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๑๓.๗) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (๑๓.๘) อินทรีย์ ๗ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๑๓.๙) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีวิตก (๑๓.๑๐) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีวิตก (๑๓.๑๑) อินทรีย์ ๑๒ ~ ที่มีวิตกก็มี; ที่ไม่มีวิตกก็มี (๑๓.๑๒) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีวิจาร (๑๓.๑๓) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีวิจาร (๑๓.๑๔) อินทรีย์ ๑๒ ~ ที่มีวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิจารก็มี (๑๓.๑๕) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่มีปีติ (๑๓.๑๖) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่มีปีติก็มี; ที่ไม่มีปีติก็มี (๑๓.๑๗) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่สหรคตด้วยปีติ (๑๓.๑๘) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี (๑๓.๑๙) อินทรีย์ ๑๒ ~ ไม่สหรคตด้วยสุข (๑๓.๒๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี (๑๓.๒๑) อินทรีย์ ๑๒ ~ไม่สหรตด้วยอุเบกขา (๑๓.๒๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๑๓.๒๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นกามาวจร ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, และโทมนัสสินทรีย์, เป็นกามาวจรอย่างเดียว (๑๓.๒๔) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นกามาวจร (๑๓.๒๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นกามาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี (๑๓.๒๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ ไม่เป็นรูปาวจร (๑๓.๒๗) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี (๑๓.๒๘) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นอรูปาวจร (๑๓.๒๙) อินทรีย์ ๘ ~ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี (๑๓.๓๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๑๓.๓๑) อินทรีย์ ๓ ~ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ อนัญตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญินตาวินทรีย์ (๑๓.๓๒) อินทรีย์ ๙ ~ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๑๓.๓๓) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์(๑๓.๓๔) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ (๑๓.๓๕) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี (๑๓.๓๖) อินทรีย์ ๑๐ ~ ให้ผลไม่แน่นอน (๑๓.๓๗) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ ให้ผลแน่นอน (๑๓.๓๘) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี (๑๓.๓๙) อินทรีย์ ๑๐ ~ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (๑๓.๔๐) อินทรีย์ ๓ ~ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (๑๓.๔๑) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี; ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี (๑๓.๔๒) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ (๑๓.๔๓) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ (๑๓.๔๔) อินทรีย์ ๖ ~ ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
ปัญหาปุจฉกะ จบ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, พฤศจิกายน, 2568, 06:15:02 AM

อภิธรรมปิฎก : ๑๓ วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์ (แจกปัจจยาการ ๑๒)

นาคาคะนองฝนฉันท์ ๒๖/กาพย์ทัณฑิกา

    ๑.ผจงน้อมพระโคดม.......................................อติสมพระคุณมั่น
ทรงเป็นพระพุทธะอรหันต์....................................ลุตรัสรู้ซิองค์เอง

    ๒.พระศาสดา.......ทรงพระเมตตา......สอนชน,เทพเผง
พ้นจากความทุกข์....ที่รุกกายเพรง....สงฆ์ลุตามเปล่ง....หมายนิพพานแล

    ๓.ก็"ปัจจ์ยาวิภังค์"แนบ.....................................ตติแบบซิต่างแฉ
"สุตตันฯแถลงกะวทะแล้.......................................พระสูตรว่าละเอียดเผย

    ๔."อภิธรรมภาฯ".......อธิบายหนา.......ปรมัตถ์ธรรมเอ่ย
"ปัญหาปุจฉกะ"....จะตอบความเอย....."ปัจจยาการ"เปรย...ตามลำดับนำ

   ๕.ผิปัจจ์ยาฯรึเรียกชิด.......................................วะปฏิจจะฯหลายธรรม
เกิดพร้อมและร่วมประลุกระทำ..............................จะอาศัยซิกันแฉ

    ๖.หลักธรรมอธิบาย........การเกิดทุกข์ฉาย.......เพราะปัจจัยแน่
มีสิบสองจ่อ....เกิดต่อสืบแน่....อยู่อิงร่วมแล้....ตามลำดับกราน

   ๗."อวิชชา"สิปัจจัย..............................................ภวไซร้ซิสังขาร
สังขารเจาะชาตะลุประสาน....................................กะวิญญาณอุบัติผลาม

   ๘.วิญญาณปัจจัย.......เป็นเหตุเกิดไซร้........นามรูปมีลาม
นามรูปเป็นเหตุ....พิเศษรุกหวาม...."สฬายะฯลาม....ตา,หู..ใจนา

    ๙."สฬายาตะ"เหตุชัด.........................................ภวผัสสะเกิดหนา
ด้วยผัสสะก่อเกาะริตริกล้า.....................................ลุเวทนาเพราะอารมณ์

    ๑๐.เวทนา,ปัจจัย.........ก่อตัณหาไกล.......ความอยากมีบ่ม
ตัณหา,อยากพา....อุปาทานคม....เกิดยึดมั่นสม....ทุกสิ่งของตน

   ๑๑.อุปาทานสิถือครบ.........................................ลุประภพซิ"ภพ"ท้น
"ภพ"เป็นสิเหตุเจาะริสกนธ์.....................................ก็"ชาติ"จึงปรุเกิดหนา

    ๑๒."ชาติ"แน่ปัจจัย.......มีเกิดแล้วไซร้......ชรา,ตายตามมา
มีโศก,ทุกข์,ครวญ....กำสรวลแค้นหนา....กองทุกข์ใหญ่หล้า....เกิดเยี่ยงนี้แล

    ๑๓.แสดงต้น,ลุปลายโถม...................................."อนุโลมฯ"ซิเรียกแฉ
เริ่มจากอวิชช์ฯสิเจาะตริแล้.....................................ชรา,ตายและทุกข์ตาม

    ๑๔.ถ้าแจงย้อนพา.......ปฏิโลมเทศนา.......เริ่มแก่ตายผลาม
เพราะมีเหตุ"ชาติ"....ยาตรมี"ภพ"งาม.....กระทั่งถึงลาม...."อวิชชา"เอย

   ๑๕.ก็สิบสองสิวนเถียร.........................................ลุเฉวียนตลอดเอ่ย
ปัจจัยซิสันตติเจาะเผย...........................................ลุเหตุผลมิสิ้นแล

    ๑๖."สุตตันตภาฯ"........แจงปัจจัยหนา.......สิบสองกรานแล้
อวิชชานำ....เหตุถลำแฉ....มีสังขารแท้....อวิชชาคือใด

   ๑๗.อวิชชามิรู้ชัด.................................................อริย์สัจอะไรไข
"ทุกข์ผองและเหตุเจาะสมุทัย.................................."นิโรธ"ทางลิทุกข์ผลาญ

   ๑๘.สังขารมีใด.......ปรุงกุศลไซร้........ท่องกามาฯพาน
ด้วยกามคุณห้า....ฝ่า"รูปาฯ"ชาญ....สำเร็จด้วยทาน....ศีล,ภาวนา

    ๑๙.ก็สังขารสิปรุงชั่วยล.......................................อกุศล ณ กามาฯ
"อาเนญภิสังฯ"หทยะหนา.........................................สมาธิ์แน่วลุฌานสี่

    ๒๐.เจตนากุศล.........ท่อง"อรูปฯ"ด้น.......อรูปพรหมชี้
กายสังขารหนา....เจตนากายคลี่....ตั้งใจพูดดี....มโนดีพาน

   ๒๑.เพราะสังขารสิเหตุปรก....................................ภวหกเจาะวิญญาณ
ปรุงผ่านเลาะอายตนะฉาน........................................ซิตา,หู..มโนแฉ

    ๒๒.วิญญาณปัจจัย.......เกิดนาม,รูปไซร้......"นาม"เป็นใดแล้
ขันธ์สี่คือใด....ใช่เวทนาแน่....สัญญาขันธ์แท้....สังขาร,วิญญาณ


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 20, พฤศจิกายน, 2568, 05:51:08 PM

(ต่อหน้า ๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๓.ปะ"รูป"จาก"มหาภูฯ"..................................จตุกรูซิ"ดิน.."พาน
แหล่งเกิด"อุปาทยะฯ"เจาะผ่าน............................จะเกิดรูปเจริญหนา

    ๒๔.นามรูป,ปัจจัย.......สฬาย์ตนะไซร้.......จึงเกิดมีกล้า
มีปสาทรูป,ตา....พาเห็นรูปหล้า.....รู้กระทบมา....เรียก"จักขาฯ"เอย

   ๒๕.ประสาทหู,จมูก,ลิ้น......................................วปุชิน"มโน"เผย
ด้วยมีประสาทก็ดุจะเอ่ย.......................................และรับรู้ซิเหมือน"ตา"

    ๒๖."โสตายะฯ,หู"........"ฆานายะฯ"กรู......."ชิวหายะฯ"หนา
"กายายะฯ,กาย"....พราย"มนายะฯ"กล้า....หกทางเชื่อมนา....รับรู้ได้แล

   ๒๗."สฬายาตะฯ"เหตุชัด....................................ภว"ผัสสะ"เกิดแน่
ทางเชื่อมเพราะอายตนะแฉ..................................ลุสัมผัสซิหกเอย

   ๒๘.จักขุสัมผัส.......โสตสัมฯชัด........ฆานสัมฯเอ่ย
ชิวหาสัมฯ,ลิ้น....ชินกายสัมฯเชย....มโนสัมฯเผย....กระทบทางใจ

    ๒๙.เจาะชี้"ผัสสะ"เหตุเร่....................................ภว"เวทนา"ไข
อารมณ์สิก่อปะทุมุไว............................................เพราะตา,จักขุสัมฯแฉ

    ๓๐.เช่นกัน"เวทนา".........เกิดแต่หูพา.......โสตสัมผัสแน่
ฆานสัมผัสมา....ชิวหาสัมฯแล้....กายสัมผัสแท้....มโนสัมฯนา

   ๓๑.เพราะ"เวทนา"สิก่อมาก.................................ภว"อยาก"ซิตัณหา
อยากได้นะ"รูป"ศิริวิภา...........................................ปะอยาก"สัททตัณฯ"เอย

    ๓๒.อยากได้กลิ่นฉม......."คันธตัณฯ"ดม......"รสตัณหา"เผย
"โผฏฐัพพ์ตัณหา"....พาสัมผัสเชย...."ธัมม์ตัณหา"เสย....ใจคิด"อยาก"แล

    ๓๓.เพราะ"ตัณหา"ริเหตุหนา..............................ตริ"อุปาฯ"ซิยึดแน่
ถือ"กามุปาฯ"ลุธุวแล้.............................................ริ"รูป,รส.."รตีหนา

    ๓๔."ทิฏฐุปาทาน".......ยึดคำสอนพาน.......ผิดความจริงพา
"สีลัพพ์ตุ"ติด....ชิดลัทธินา.....เชื่อความขลังมา...ไร้เหตุผลอิง

   ๓๕.เพราะ"อัตต์วาทุปาทาน"...............................ฐิติพานเจาะคิดยิ่ง
ถือวาทะตนลุภวจริง.............................................มิคำนึงซิเหตุผล

    ๓๖."อุปาทาน"หนา........เหตุก่อ"ภพ"มา.......มี"กรรมภพ"ดล
กรรมเป็นเหตุทำ....นำวิญญาณด้น....สู่"ภพ"ต่างยล....ตามดี,ชั่วแล

   ๓๗.เพราะ"อุปัตติภพ"ชัด....................................มติสัตว์เจาะ"เกิด"แน่
วิญญาณอุบัติเลาะภวแท้.......................................ณ "กามภพ"เพราะท่องกามหนา

   ๓๘."กามภพ"สิบเอ็ด.......ที่อยู่สัตว์เด็ด........พฤติกามคุณพา
ใน"อบายสี่"....ที่โลกมนุษย์นา....สวรรค์หกชั้นหล้า....อายุต่างกัน

    ๓๙.ก็"รูปภพ"สิสิบหก.......................................ภวปรกพระพรหมลุฌานครัน
พรหมมีซิรูปเจาะอติสรรค์.....................................เผดิม"ปาริสัชชา"

    ๔๐."อรูปภพ"ไซร้.........ผู้เกิด"รูป"ไร้.......อรูปพรหมหนา
มีสี่ชั้นจุ....ลุอรูปฌานกล้า....เริ่ม"อากาสาฯ"....ถึง"เนวสัญญ์ฯ"แล

   ๔๑.เจาะ"สัญญาฯ"สิภพลาม...............................ภว"นามขันธ์"แฉ
สัญญาสิมีเลาะพหุแน่............................................ซิเช่นกามภพหนา

    ๔๒."อสัญญาภพ".......ไร้นามขันธ์จบ......มีรูปขันธ์กล้า
เพียงอย่างเดียวเอย....เผยอบรมมา....จนลุฌานห้า....พรหมมี"รูป"ครัน

    ๔๓.ลุภพ"เนวสัญญาฯ".......................................คติหนาซินามขันธ์
มีหรือมิมีภณะยัน..................................................อรูป์พรหม ณ ชั้นสี่

    ๔๔."เอกโวการภพ".......มีรูปขันธ์จบ.......ไร้นามธรรมคลี่
"จตุโวการภพ"....สี่ครบนามชี้.....ไร้รูปขันธ์มี....อรูปพรหมเอย

   ๔๕.ผิภพ"ปัญจโวฯ"ชัด.......................................ภวสัตว์เจาะห้าเอ่ย
ขันธ์ห้าสิ"นาม"เกาะจตุเผย....................................เลาะหนึ่ง"รูป"ประกอบกาย


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, พฤศจิกายน, 2568, 08:46:03 AM

(ต่อหน้า ๓/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๔๖.เช่นสัตว์เกิดใน........กามภูมิไซร้.......รูปภูมิขจาย
สิบห้าเว้นครัน....อสัญญสัตว์กราย....มีแค่หนึ่งฉาย....เพียงรูปขันธ์แล

   ๔๗.เพราะ"ภพ"เป็นสิเหตุยาตร...........................ภว"ชาติ"จะเกิดแฉ
สัตว์มีซิอายตนะแล้..............................................และ"ภพ"เหตุเหมาะ"ชาติ"หนา

   ๔๘."ชาติ"เป็นปัจจัย.......มีเหตุตามไว........ชรา,มฤต,โศกกล้า
คร่ำครวญ,ทุกข์โถม....โทมนัสใจมา...."อุปายาส"ครา....เกิดทุกข์ทั้งมวล

    ๔๙."ชรา"เป็นสิคร่ำคร่า.....................................พละล้าซิกายผวน
กายเสื่อมและหง่อมชิรณะซวน..............................เจาะทรุดโทรมและอ่อนแรง

    ๕๐.มรณะไฉน.........ตาย,ทลายไว.......ขันธ์แตกทลายแจง
ชีวิตินทรีย์....ชี้ขาดสูญแกร่ง....เรียก"ชาติ"เหตุแต่ง....ชรา,ตายมีครัน

   ๕๑.พิลาป"โสกะ"เป็นใด.....................................รวะไซร้เพราะโศกศัลย์
เสื่อมโรคะ,ญาติลุทุขะหวั่น...................................ลุเสื่อมศีลและเงินทอง

    ๕๒."ปริเทวะ".......ความร้องไห้ปะ......ครวญ,พร่ำเพ้อร้อง
"ทุกข์"เป็นไฉน....กายไม่สุขผ่อง....อารมณ์ทุกข์ผอง....ไม่สำราญเลย

    ๕๓."อุปายาส"สิแค้นเคือง..................................ชิระเรื่องซิเสื่อมเผย
"โทม์นัส"เจาะทุกข์หทยะเอ่ย................................มิสำราญกะอารมณ์

    ๕๔."อภิธรรมภาช์นีย์".......ปัจจยาการชี้.......ละเอียดมากชม
แจง"ปัจจยฯ"สี่....รี่"เหตุจตุฯ"คม....."สัมปยุตฯ"สม....อัญญมัญญ์ฯไกล

   ๕๕.ผิปัจจายะฯแจกแจง....................................เจาะแสดงซิปัจจัย
สิบสองสิองค์ตะมิวิไล..........................................มิสมบูรณ์ซิแหล่งสอง

    ๕๖.อวิชชา,ปัจจัย........ก่อให้เกิดไซร้.......สังขาร,ปรุงผอง
สังขารปรุงผาย....กาย,พูด,ใจจ้อง....วิญญาณรู้ส่อง....หกวิญญาณแล

   ๕๗.เพราะ"วิญญาณ"สิปัจจัย............................ภวไซร้ซิ"นาม"แน่
วิญญาณก็จิตจะเจาะลุแฉ...................................ซิครรภ์แม่เพาะตัวอ่อน

   ๕๘.มีทั้งรูป,นาม.......กายและใจลาม........เกิดชีวิตจร
เจริญสืบไป....ไร้วิญญาณสลอน....หรือตายดับคลอน....ไร้นามรูปเอย

    ๕๙.เพราะ"นาม"หนุน"มโน,ใจ"..........................หฤทัยอุบัติเคย
ปัจจัยมนายตนะเผย............................................กระทบผัสสะมีครัน

    ๖๐.มี"ผัสสะ"แล้.........ก่อ"เวทนา"แน่.......รู้สึกได้สรรค์
เวทนา,ปัจจัย....ได้"ตัณหา"พลัน....พึงพอใจดั้น....สุข,ทุกข์,เฉยแล

   ๖๑.เพราะ"ตัณหา"กระตุ้นหนา...........................ริ"อุปาฯ"เจาะเกิดแน่
ยึดมั่นสิพลันวะดนุแฉ...........................................และกลายเป็นอุปาทาน

    ๖๒."อุปาทาน"ไซร้.......ยึดติดมั่นไว......หนุนสร้าง"ภพ"พาน
ด้วยปรุงสิ่งต่าง....พลางตามยึดกราน....ภาวะพร้อมขาน....เกิด"ภพ"ได้ดล

    ๖๓.สิ"ภพ"หนุนและเกื้อ"ชาติ"............................ภวยาตรเจาะเกิดยล
ทำกรรมกุศล,รึอกุศล.............................................ประเดิมเกิดซิรูป,นาม

    ๖๔.มี"ชาติ"เกิดแล้ว.......ขันธ์ห้าก่อแน่ว.......ชีวิตเกิดผลาม
"ชรามรณะ"....จะตามเร็วลาม.....ความหง่อม,เสื่อมทราม...ความตายจำปลง

   ๖๕.ผิ"ปัจจายะฯ"ตอนสอง..................................ภวพร่องมิครบองค์
ปัจจัยอวิชช์ฯเจาะหิตะบ่ง......................................ลุสังขารซิเกิดครัน

    ๖๖.สังขาร,ปัจจัย........ปรุงแต่งแล้วไซร้.......วิญญาณเกิดพลันฯ
วิญญาณเกื้อหนุน....จุนให้เกิดสรร...."นาม"จึงมีดั้น....และ"รูป"เกิดพาน

   ๖๗.พระพุทธเจ้าสิตรัสชื่อ....................................มนะคือสิวิญญาณ
ย่อมเวียนแวะ"นาม"จะมิมลาน.................................ไถลพร้อมจะเกิดวน

   ๖๘."นาม"เป็นปัจจัย.......เกิด"ผัสสะ"ได้........จากกระทบผล
"ผัสสะ"ปัจจัย....ไซร้กระทบดล....เกิด"เวทนา"ล้น....รู้สึกตามมา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 21, พฤศจิกายน, 2568, 03:10:28 PM
(ต่อหน้า ๔/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๖๙.เพราะ"เวท์นา"สิปัจจัย..................................หิตะไวกะ"ตัณหา"
รู้แล้วก็"อยาก"ริวสะหนา........................................ซิมากขึ้นตลอดกาล

    ๗๐.มี"ตัณหา"แล้ว.........เป็นปัจจัยแน่ว.......เกิด"อุปาทาน"
อุปาฯปัจจัย....ทำให้เกิดผ่าน....ณ ภพหน้าพาน....เวียนเช่นนี้แล

    ๗๑.เพราะ"ภพ"เน้นสิหนุนชัด..............................เจาะอุบัติซิ"ชาติ"แท้
"ชาติ"มี"ชรา,มรณะแน่...........................................ก็ตามพลันเกาะทุกข์ผอง

    ๗๒."ปัจจ์ยะฯตอนสาม.......แจกแจงสัตว์ตาม........เกิดในครรภ์ครอง
"อวิชชา"หนา....หารู้จริงคล่อง....อริย์สัจสี่ตรอง...."สังขาร"มีกราน

    ๗๓.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง..............................หิตะแจ้งลุ"วิญญาณ"
"วิญญาณ"จะก่อลุภวพาน......................................และ"นามรูป"เจาะนาม,กาย

    ๗๔."นามรูป"ปัจจัย......."อายตนะ"ไว.......คือ"มโน"เกิดฉาย
"อายตนะหก"....ปรกปัจจัยกราย.....เกิด"ผัสสะ"พราย....เริ่มกระทบพา

    ๗๕.เพราะมี"ผัสสะ"ปัจจัย..................................ภวไวลุ"เวท์นา"
"เวท์นา"สิหนุนตริวสะกล้า.....................................ซิ"ตัณหา"เจาะมากหลาย

    ๗๖."ตัณหา"ปัจจัย........"อุปาทาน"ไซร้.......เกิดยึดมั่นกราย
มี"อุปาทาน"....พานยึดสิ่งพราย....เป็นของตนหมาย...."ภพ"หน้ามีครา

   ๗๗.เพราะ"ภพ"หนุนสิเด่นชัด..............................เจาะอุบัติซิ"ชาติ"หนา
"ชาติ"เริ่ม"ชรา,มรณะ"มา......................................ซิตามพร้อมปะทุกข์ผอง

   ๗๘.ปัจจ์ยะฯตอนสี่.......แจกแจงสัตว์คลี่........"โอปปาติฯ"ครอง
เริ่ม"อวิชชา"....พาไม่รู้ถ่อง....อริยสัจส่อง...."สังขาร"มีพาน

    ๗๙.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง.............................ตริแจรงลุ"วิญญาณ"
"วิญญาณ"ซิเกื้อเจาะประสาน...............................มุ"นามรูป"อุบัติมี

    ๘๐."นามรูป"ปัจจัย........."สฬาย์ตนะ"ไว.......ทวาร,ตา..ใจคลี่
เพราะ"สฬาย์ตนะ"....เกิดประภพชี้....ผัสสะรู้รี่....เกิดกระทบมา

   ๘๑.เพราะมี"ผัสสะ"ปัจจัย..................................ภวไซร้ลุ"เวท์นา"
เวท์นาสิเอื้อเกาะวสะคว้า......................................ซิ"ตัณหา"รตีเผย

    ๘๒."ตัณหา"ปัจจัย......."อุปาทาน"ไว......ก่อเกิดตามเอย
มี"อุปาทาน"....ไม่รานเลิกเลย....มั่นทุกสิ่งเปรย...."ภพ"หน้ามีแล

    ๘๓.เพราะ"ภพ"เป็นสิปัจจัย................................ฐิติไซร้ลุ"ชาติ"แน่
"ชาติ"หนุน"ชรา,มรณะ"แท้....................................และตามพร้อมเจาะทุกข์หลาย

    ๘๔."เหตุจตุกกะ".......เหตุสี่ตอนปะ.......วนวัฏฏะปลาย
เหตุตอนหนึ่งชิด...."อวิชชา"หนุนกราย.....ให้"สังขาร"ผาย....ปรุงดี,ชั่วกราน

   ๘๕.เพราะ"สังขาร"สิเริ่มดล................................ปฏิสนธิวิญญาณ
คราจิตอุบัติและระยะพาน....................................ซิหลังเกิดมนุษย์ หนา

    ๘๖.สังขารปรุงปก........รู้ผ่านทวารหก.......จักขุวิญญ์ฯกล้า
โสตวิญญ์ฯ,ฆานวิญญ์ฯ....มีลิ้น,ชิวหาฯ....กายวิญญาณมา....มโนวิญญ ฯเอย

   ๘๗.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม......................ภว"นาม"ซิมีเอ่ย
วิญญาณก็คือหทยะเผย.....................................ซิ"นาม,เจตสิก"แล

   ๘๘."วิญญาณ"กับ"นาม".......เป็นเหตุเด่นตาม........อยู่ชิดกันแน่
เวียนและวนไป....เหมือนไซร้"จิต"แท้....กับ"เจตสิก"แล้....เกิดพร้อมกันเลย

    ๘๙.เพราะ"นาม,เจตสิก"หนา............................หิตะ"อายะฯหก"เอ่ย
ด้วยอายะฯคือหทยะเผย.....................................จะมี"เจตสิก,นาม"

    ๙๐.อายะฯที่หก.........คือ"มโน"ปก.......เป็นปัจจัยผลาม
กับ"ผัสสะ"ชี้....ถ้ามี"มโน"ลาม....เกิดกระทบตาม....ผัสสะมีพลัน

   ๙๑.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเตร่...............................ภว"เวทนา"สรรค์
เวท์นาสิหนุนริวสะดั้น..........................................ลุ"ตัณหา"ซิมากหนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, พฤศจิกายน, 2568, 07:54:45 AM

(ต่อหน้า ๕/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๙๒."ตัณหา"เหตุเอย.......อยากหลายสิ่งเผย........ยึดของตนคว้า
เรียก"อุปาทาน"....พานเหตุตัณหา....อุปาฯมีกล้า....จากตัณหากราน

    ๙๓.เพราะ"อุปาฯ"สิเหตุจบ.................................ภว"ภพ"ลุมีขาน
จิตยึดอะไรก็นิรมาณ............................................ซิภพภูมิและเวียนวน

    ๙๔.เพราะ"ภพ"เป็นปัจจัย.......เช่นสัตว์เกิดไซร้.......ในกามภพยล
มียึดถือมั่น....ครันต้องเกิดดล.....ภพเป็นเหตุผล...."ชาติ"จึงมีตาม

    ๙๕.เพราะมี"ชาติ"สิเหตุหนา..............................ก็ชราและตายผลาม
ปัจจัย"อิทัปฯ"เจาะระบุลาม...................................จะต้องมีซิ"นี้"หนา

    ๙๖.เหตุจตุกกะ........อันที่สองปะ.......ไม่รู้"อวิชชา"
"อวิชชา"เจือจาน...."สังขาร"ปรุงมา....เพราะไม่รู้นา....ปรุงสังขารมาย

   ๙๗.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง..............................มนะแจ้งซิรู้หลาย
วิญญาณก็คือหทยะฉาย.......................................จะเกิดมีเพราะสังขาร

    ๙๘."วิญญาณ"รับรู้.......ก่อให้"นาม"ชู........สุข,ทุกข์รู้พาน
เจตนา,จำบ่ม....อารมณ์มีผ่าน....รู้ได้ด้วยทวาร....ตา..ใจนั้นแล

    ๙๙.เพราะ"นาม,เจตสิก"มุ่ง................................ภวปรุงซิเกิดแน่
เกิดผัสสะทางหทยะแฉ........................................ฉะนี้ผัสสะเหตุนาม

    ๑๐๐."ผัสสะ"ปัจจัย.........นำก่อเหตุให้.......เกิด"เวทนา"ผลาม
สิ่งสามต่างหนา...."ตา"เห็น"รูป"ลาม...."จักขุวิญญ์ฯ"ตาม....จึงรู้เวทนา

   ๑๐๑.เพราะ"เวท์นา"เจาะรู้ใด..............................รติไซร้ลุ"ตัณหา"
เวท์นามิมีก็นิรหนา................................................สิตัณหาอะไรเลย

    ๑๐๒."ตัณหา"ปัจจัย......."อุปาทาน"ไซร้........เกิดด้วย"อยาก"เผย
ได้แล้วชอบใจ....ยึดไว้พลันเอย....ยึดอุปาฯเอ่ย....เหตุตัณหาแล

    ๑๐๓."อุปาทาน"สิยึดมั่น....................................จะลุสรรค์ซิ"ภพ"แฉ
เหตุยึดมุภพลุภวแน่..............................................เหมาะเหมือนกับสภาพตน

    ๑๐๔."ภพ"เป็นปัจจัย......."ชาติ"จึงมีได้.......เมื่อยึดภพดล
ยึดมั่นสิ่งหวัง....ที่ตั้งภพยล.....ภายภาคหน้าผล....จึงต้องเกิดเวียน

    ๑๐๕.เพราะ"ชาติ"เป็นสิเหตุหนา........................ลุชราและตายเถียร
เกิดแล้วก็เป็นปกติเปลี่ยน.....................................สภาพธรรมชาติเอย

    ๑๐๖.เหตุจตุกกะ........ตอนที่สามปะ.......ปฏิจจ์สมุปฯเผย
เริ่มเหตุ"อวิชชา"....หารู้จริงเอ่ย....อริยสัจจ์ฯเชย...."สังขาร,ปรุง"ยล

   ๑๐๗.เพราะสังขารสิเหตุชิน...............................ภววิญญ์ฯซิเกิดดล
สังขารเจาะก่อลุ"ปฏิสนธิ์".....................................จะเกิดมา ณ ภพหน้า

   ๑๐๘.เมื่อเกิดมาแล้ว.......สังขารปรุงแน่ว........"วิถีวิญญ์ฯมา
เกิดวิญญาณหก....ปรก"จักขุฯ"หนา...."โสตวิญญาณ"กล้า....และมโนวิญญาณ

    ๑๐๙.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม.....................ภว"นามและรูป"พาน
วิญญาณริก่อลุนิรมาณ..........................................ซินามขันธ์และรูปขันธ์

    ๑๑๐.นามขันธ์สี่หนา.........เวทนา,สัญญา.......สังขาร,วิญญ์ฯครัน
รูปขันธ์คือกาย....ฝ่ายวิญญ์ฯเวียนดั้น....ใกล้นามรูปพลัน....จึงเกิดตายวน

   ๑๑๑.เพราะ"นามรูป"สิเหตุหนา............................ก็"มนายะฯ"ใจผล
นามรูปประกอบหทยะท้น.......................................เจาะเป็นเหตุ"มโน"เผย

    ๑๑๒."อายะฯที่หก".......เป็นปัจจัยปก.......ของ"ผัสสะ"เอย
"ผัสสะ"เกิดไซร้....อาศัยมโนเอ่ย....จิตแหล่งเกิดเกย...."ผัสสะ"จึงมี

    ๑๑๓.เพราะมี"ผัสสะ"เตร็ดเตร่............................ภว"เวทนาคลี่
เมื่อเกิดแตะอายตนะชี้...........................................ซิสามสิ่งประชุมแล

    ๑๑๔.สามสิ่งอายะฯ.......ทั้งใน-นอกปะ.......และวิญญาณแฉ
เกิดผัสสะแน่ว....รู้แคล่วสุขแน่.....รู้ทุกข์,เฉยแล้....คือเวทนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 22, พฤศจิกายน, 2568, 03:18:02 PM

(ต่อหน้า ๖/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๑๑๕.เพราะ"เวท์นา"สิสาเหตุ...........................วสะเจตน์เจาะตัณหา
รู้สึกรตีซิพหุกล้า................................................ลุตัณหาเพราะเวท์นา

    ๑๑๖."ตัณหา,อยาก"ฉาน........ยิ่งแสวงหาพาน.......ได้แล้วชอบหนา
จึงเกิดยึดมั่น....ดั้น"อุปาฯ"กล้า....เพราะมีตัณหา...."อยาก"เป็นเหตุนำ

    ๑๑๗."อุปาทาน"สิเหตุจบ.................................ภว"ภพ"อุบัติพร่ำ
ยึดติดอุปาฯและจะกระทำ...................................ซิกรรมหลายเจาะ"ภพ"วน

    ๑๑๘."ภพ"ที่อาศัย.......สัตว์ทำกรรมไซร้........ดี,ชั่วบ้างผล
ตายแล้วจึงไป....ภพใหม่ต่างยล....ภพปัจจัยด้น...."ชาติ"เกิดจึงมี

    ๑๑๙.เพราะ"ชาติ"เหตุชราล้า...........................มรณาซิแน่ชี้
มีเกิดก็ต้องชิระฉะนี้............................................มฤตตามเผชิญหนา

    ๑๒๐.เหตุจตุกกะ.........มีสี่ตอนปะ.......เริ่ม"อวิชชา"
ความไม่รู้จริง....ยิ่งอริย์สัจจ์กล้า....เกิดปรุงแต่งพา....เหตุ"สังขาร"แล

    ๑๒๑.เพราะ"สังขาร"สิก่อผล.............................อกุศล,กุศลแน่
"วิญญาณ"ปฐมก็ภวแน่.........................................อุบัติเด่นเพราะสังขาร

    ๑๒๒."วิญญาณ"เหตุดั้น.......รูปขันธ์,นามขันธ์........ให้บังเกิดพาน
"นามรูป"เหตุมี....ชี้เพราะวิญญาณ....วิญญาณเกิดกราน....เพราะนามรูปพรู

    ๑๒๓.เพราะ"นามรูป"สินำมา...............................เจาะ"สฬายะฯ"ตา,หู..
แต่เกิดและรู้ลุภวกรู..............................................กระทำงานลุล่วงหนา

    ๑๒๔.ทางติดต่อสม.......รูป,ธรรมารมณ์.......ประสานงานพา
เกิดวิญญาณครบ....รู้จบสิ่งคว้า.....นามรูปนี้นา....ก่อสฬายะฯแล
 
    ๑๒๕.เพราะ"อายาตะฯ"ที่หก..............................มนะปรกก็ใจแฉ
ก่อผัสสะ,"อายาตะฯ"แล้........................................ซิใน-นอกกระทบหนา

    ๑๒๖.วิญญาณทางใจ........เกิดรู้สึกไซร้.......สุข,ทุกข์,เฉยมา
มนายตนะ....ปะปัจจัยกล้า....เกิดกระทบพา....เหตุผัสสะเอย

   ๑๒๗.เพราะมีผัสสะเหตุคุม.................................จะประชุมสิสามเอ่ย
ด้วยอายะฯในและพหิเผย.....................................กะวิญญาณลุเวท์นา

    ๑๒๘.กระทบสามสิ่ง.......พลันรู้เวท์นาจริง........สุขเวทนาหนา
ทุกข์เวท์นาเอย....เผยอุเบกขา....เรียกเวท์นาว่า....ผล"ผัสสะ"มี

    ๑๒๙.เพราะเวทนาสิรู้สึก..................................สตินึกและยินดี
เกิด"อยาก"จิรังลุฐิติชี้..........................................เจาะ"ตัณหา"เพราะเวท์นา

    ๑๓๐."ตัณหา"คิดอยาก........."อุปาทาน"มาก.......ยึดเพราะอยากพา
สิ่งนั้นของเรา....เฝ้ายึดทุกข์มา...."อยาก"เหตุยึดหนา....เกิดอุปาทาน

   ๑๓๑."อุปาทาน"สิยึดมั่น.....................................ภวดั้นซิ"ภพ"พาน
กอปรกรรมซิมายเจาะพละขาน.............................จะก่อภพอุบัติตาม

    ๑๓๒."ภพ"เป็นปัจจัย.......จิตครานี้ไซร้........ยึดมั่นตนลาม
เร่าร้อนเป็นทุกข์....เหตุรุกเกิดความ....คือ"ชาติ"แน่ผลาม....ในภพต่อไป

    ๑๓๓.เพราะ"ชาติ"แน่วสิเกิดหนา........................ก็ชรา,มฤตไว
เศร้าโศกพิไรปกติไซร้..........................................เพราะเป็นธรรมชาติแล

    ๑๓๔.สัมปยุตต์ฯแจก.......ตอนที่หนึ่งแตก.......ความไม่รู้แฉ
คือ"อวิชชา"....เหตุพาเกิดแท้.....สังขารปรุงแน่....กาย,วาจา,ใจ

    ๑๓๕.กระทำผิดมิรู้จริง......................................มทะดิ่งและยึดไว้
สังขารประภพก็เพราะหทัย...................................ประกอบด้วยอวิชชา

    ๑๓๖."สังขาร"ปัจจัย........เหตุวิญญาณไซร้.......ร่วมสังขารหนา
อภิสังขาร....กรานดี,ชั่วมา....ผลกรรมส่งพา....วิญญาณเกิดพาน

   ๑๓๗.ณ ภพหน้าเพราะ"ปรุง"ดล.........................ปฏิสนธิวิญญาณ
วิญญาณสิเกิดภวประสาน....................................กะสังขารซิแท้เทียว


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, พฤศจิกายน, 2568, 07:35:01 AM

(ต่อหน้า ๗/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

       ๑๓๘."วิญญาณ"ปัจจัย........ประกอบร่วมไซร้........กับ"นาม"แน่เชียว
นามรู้อารมณ์....ได้ชมเฉลียว....จากวิญญาณเปรียว....หก"อายะฯ"แล

    ๑๓๙.ก็"ตา,จักขุฯ"โสตฯท้น..........................สุวคนธ์จมูกแฉ
"ชิวหาฯและกายฯ"หทยะแล้.............................มโนวิญญ์ฯสิใจรู้

    ๑๔๐.นาม:เจตสิกไซร้.........ปัจจัยร่วมไว......."มนายะฯหก"พรู
เหตุผลซึ่งกัน....นามนั้นไร้กรู....โลภ,โกรธ,หลงชู....ช่วยมนายะพา

    ๑๔๑.ก็นามมีวิตกพาน...................................และวิจารลุเวท์นา
ศรัทธา,ฉลาดวิริยะหนา....................................ลุช่วยเหลือมนาฯเอย

    ๑๔๒.มนายตนะ.......เหตุประกอบปะ........กับผัสสะเอ่ย
สามสิ่งกระทบ....ครบอายะฯเผย....ใน-นอก,วิญญ์ฯเชย....ผัสสะเกิดแล

    ๑๔๓.กระทบผัสสะรู้สึก.................................สุขะตรึกรึทุกข์แฉ
สุขทุกข์สิไร้เจาะนิรแท้......................................ซิกลาง,เวทนาเผย

    ๑๔๔."เวทนา"รู้ตรึง.......ยินดีคะนึง.......เกิด"ตัณหา"เอย
อยากด้วยติดใจ....ชอบไซร้จนเคย.....ตัณหาเกิดเอ่ย....จากรู้สึกครัน

    ๑๔๕.เพราะ"ตัณหา"สิปัจจัย...........................วสะได้รตีพลัน
เกิดยึดมิปล่อยตริธุวมั่น.....................................หทัยเกิด"อุปาทาน"

    ๑๔๖."อุปาทาน"ถือ........ยึดสิ่งนั้นครือ.......เป็นของตนพาน
เกิดความเคยชิน....ยินดีสภาพกานต์....เกิด"ภพ"หน้าขาน....เกิดวนเวียนไป

    ๑๔๗.เพราะ"ภพ"แหล่งอุบัติชัด........................ศยะสัตว์เจาะ"ชาติ"ไซร้
ผลกรรมจะนำลุภวไว..........................................จะมี"ภพ"เหมาะตนเผย

    ๑๔๘."ชาติ"เป็นปัจจัย.......เมื่อเกิดแล้วไว........ชรา,ตายตามเอย
ตามธรรมชาติ....กายยาตรเสื่อมเปรย....แล้วสิ้นสูญเลย....เป็นวงจรแล

    ๑๔๙.ผิ"สองสัมปยุตต์ฯ"กิจ.............................เจาะ"อวิชช์ฯ"มิรู้แฉ
ความจริงประเสริฐอริยะฯแท้...............................กุ"สังขาร"เลอะเลือนปรุง

    ๑๕๐."สังขาร"เหตุนำ.........ปรุงแต่งผิดถลำ.......วิญญาณรู้ผลุง
ผิดตามสังขาร....วิญญาณกอปรผดุง....รอบรู้บำรุง....ด้วยสังขารเอย

    ๑๕๑.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม....................ภวนามประกอบเอ่ย
วิญญาณก็จิตจะหิตะเผย.....................................กะนาม,เจตสิกแล

    ๑๕๒."นาม"คือจิต,มโน-.......วิญญาณธาตุโผล่........ประกอบร่วมแน่
กับนามธรรมอื่น....มีดื่นเหมาะแล้....กระทบร่วมแท้....เกิด"ผัสสะ"มา

    ๑๕๓.เพราะมี"ผัสสะ"ชี้จบ................................ตริกระทบซิรู้หนา
เกิด"เวทนา"ลุสุขะกล้า........................................ลุทุกข์หรือเจาะเฉยเฉย

    ๑๕๔."เวทนา"ปัจจัย.......รู้สึกเกิดไซร้.......ในกามคุณเอ่ย
เพลิดเพลินรูป,รส....คิดจดเพิ่มเอ่ย....."อยาก,ตัณหา"เกย....ร่วมเกิดเร็วพาน

    ๑๕๕.เพราะ"ตัณหา"สิปัจจัย............................ภวไซร้"อุปาทาน"
ได้สิ่งซิครบก็ธุวขาน...........................................เจาะยึดมั่นวะของตน

    ๑๕๖.เหตุ"อุปาทาน"........ยึดทุกสิ่งกราน.......ก่อ"ภพ"เกิดดล
ยึดติดเหล่านี้....ก็ชี้เวียนวน....สังสารวัฏผล....มีภพหน้าแล

   ๑๕๗.เพราะภพหน้าอุบัติยาตร...........................ภว"ชาติ"เกาะเกี่ยวแน่
เจต์นาและจิตลุขณะแฉ.......................................ณ ภพนี้จะไปไกล

    ๑๕๘."ชาติ"เป็นเหตุนา.......ชรา,ตายมีหนา........กฏธรรมชาติไข
"ธัมมัฏฯ"ตั้งจด....กฏ"ธัมม์นิฯ"ไว...."อิทัปปัจจ์ฯ"ไซร้....เกิดด้วยเหตุแล

    ๑๕๙.เจาะสาม"สัมปยุตต์ฯ"กิจ..........................เพราะ"อวิชช์ฯ"มิรู้แท้
ความจริงประเสริฐอริยะแล้..................................ลุ"สังขาร"ซิกรรมหลาย

    ๑๖๐."สังขาร"ปัจจัย.........เกิด"วิญญาณ"ไซร้.......ด้วยสังขารฉาย
ทำกรรมชั่ว,ดี....ชี้"จิต"รับกราย....ปฏิสนธิ์วิญญ์ฯพราย....เกิดภพหน้าดล


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 23, พฤศจิกายน, 2568, 01:42:04 PM

(ต่อหน้า ๘/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๖๑.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุลาม.........................ภวนามและรูปยล
"วิญญาณ"ลุก้าวเจาะปฏิสนธิ์.................................ณ ครรภ์แม่ฉะนี้เอย

    ๑๖๒."นามรูป"เหตุปก.......อายะฯที่หก........คือมนายะเผย
กอปรร่วม"นาม"ไซร้....ใจ,วิญญาณเปรย....หน้าที่คิดเอ่ย....รู้อารมณ์แล

    ๑๖๓.มโน"อายะฯ"ที่หก......................................ธุระปกซิเหตุแล้
วิญญ์ฯ,ใจและอายตนะแฉ.....................................ลุสัมผัสมโนสรรค์

    ๑๖๔."ผัสสะ"ปัจจัย......."เวทนา"ร่วมไซร้.......จากกระทบครัน
เกิดรู้สึกหนา....พาชอบใจพลัน.....เวทนารู้มั่น....ผัสมะจึงมี

    ๑๖๕.เพราะ"เวทนา"สิเหตุมาก............................ภว"อยาก"เพราะรู้คลี่
ตัณหาอุบัติเพราะพหุชี้..........................................ประกอบเวทนาหลาย

    ๑๖๖.ตัณหาปัจจัย........"อุปาทาน"ไซร้.......ยึดมากขยาย
ได้แล้วยึดหนุน....กามคุณมิคลาย....ยึดของตนกราย....อุปาทานมี

    ๑๖๗.อุปาทานเจาะยึดครบ................................ภว"ภพ"จะมีคลี่
"ภพ"เหตุสิ"ชาติ"ริประลุชี้......................................อุบัติเยี่ยง ณ ภพหน้า

    ๑๖๘."ชาติ"เป็นปัจจัย......."ชรา,มฤต"ตามไซร้........กฏธรรมชาติหนา
มีทุกข์อีกมาก....จาก"โสกะ"นา...."ปริเทวะ"กล้า....โทมนัสใจแล

    ๑๖๙.ลุสี่"สัมปยุตต์ฯ"กิจ....................................เพราะ"อวิชช์ฯ"มิทราบแล้
สัจจ์สี่ประเสริฐอริยะแฉ........................................มุสังขารมิทำดี

    ๑๗๐."สังขาร"ปัจจัย.........ผลกรรมมีไซร้.......วิญญาณเกิดคลี่
วิญญาณก่อผลาม...."นามรูป"กายมี....ขันธ์ห้าครบชี้....บริบูรณ์แล

    ๑๗๑.เพราะ"นามรูป"สิเหตุหนา.........................ก็ฉอายะฯร่วมแล้
กับ"นาม"มโนหทยะแฉ.........................................เจาะธัมมาฯหทัยรู้

    ๑๗๒.อายะฯที่หก.......คือใจ,เหตุปก........"มโนวิญญาณ"ชู
"อายะฯนอก,ใน"....สามไซร้เกิดกรู....ด้วยผัสสะพรู....อายะฯหกเอย

    ๑๗๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเตร่.............................ภว"เวทนา"เอ่ย
กอปรผัสสะร่วมตริสุขะเผย...................................กะทุกข์,เฉยจะรู้หนา

    ๑๗๔."เวทนา"ปัจจัย.......รู้สึกชอบไซร้.......เกิดอยาก"ตัณหา"
ตัณหาเหตุลุ...."อุปาทาน"กล้า.....เฝ้ายึดมั่นว่า....ของตนเองแล

    ๑๗๕."อุปาทาน"สิยึดจบ.....................................ภว"ภพ"จะเกิดแฉ
มี"ภพ"จะก่อเจาะประลุแน่......................................ซิ"ชาติ"ล่วงประภพหนา

    ๑๗๖."ชาติ"เป็นปัจจัย........ชรา,มฤตไซร้.......พลันเกิดตามมา
กองทุกข์ทั้งปวง....บ่วงเกิดขึ้นมา....โสกะ,เศร้าครา....โทมนัสทางใจ

    ๑๗๗.เจาะ"อัญญ์มัญญะฯ"ตอนหนึ่ง.....................คติพึ่งและอาศัย
จึงเกิดและตั้งสิฐิติได้..............................................ก็จิต,เจตสิกเผย

    ๑๗๘."อวิชชา"ปัจจัย......."สังขาร"เกิดไว........เพราะผลกรรมเอย
แม้"สังขาร"มี....ชี้อวิชช์ฯเหตุเคย....ไม่รู้อวิชช์ฯเลย....จึงยึดทุกข์มา

    ๑๗๙.เพราะ"สังขาร"สิเหตุริน..............................ปะทุวิญญ์ฯและรู้หนา
วิญญาณก็เหตุริภวกล้า..........................................มุ"สังขาร"กระทำเสริม

    ๑๘๐."วิญญาณ,รับรู้".........ปัจจัยเกิดชู......."นาม":จิตคิดเติม
แม้"นาม:ขันธ์สี่....มีวิญญาณเริ่ม....งานร่วมประเดิม....ให้ชีวิตคง

    ๑๘๑.เพราะ"นาม"ขันธ์สิสี่หนา............................ลุฉ"อายะฯ"รู้บ่ง
แม้อายะฯหกหทยะส่ง...........................................มุ"นาม"รู้ซิอารมณ์

    ๑๘๒."อายะที่หก.......ธรรมสามร่วมปก........"ผัสสะ"มีชม
แม้"ผัสสะ"ครบ....กระทบแล้วบ่ม....ใจรับรู้สม....อายะฯหกวน

    ๑๘๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเร่................................ประลุ"เวทนา"ดล
เวท์นาสิรู้และรติท้น...............................................ก็มี"ผัสสะ"อีกครา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, พฤศจิกายน, 2568, 08:50:19 AM

(ต่อหน้า ๙/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๘๔."เวทนา"รู้สึก........ใจชอบแล้วนึก........ก่อ"อยาก,ตัณหา"
"ตัณหา"เกิดผลุน....กระตุ้นใจพา....แสวงเพิ่มจ้า....เพื่อพอใจกราน

    ๑๘๕.เพราะ"ตัณหา"สิอยากดั้น.....................ภวมั่น"อุปาทาน"
ยึดครอง"อุปาฯ"ฐิติประสาน..............................ลุ"ตัณหา"แสวงแล

    ๑๘๖."อุปาทาน"ตรึง.........ยึดของตนพึง........"ภพ"เกิดรอแท้
"ภพ"เป็นปัจจัย....สภาพไซร้มีแล้...."ชาติ"ตามมาแน่....ในภพหน้าเอย

    ๑๘๗.เพราะ"ชาติ"เป็นสิเหตุแท้.......................ชิระแน่,มฤตเอ่ย
เป็นวัฏฏะเวียนปกติเผย.....................................เจาะปัจจัยซิทุกข์ตาม

    ๑๘๘."อัญญ์มัญญ์ฯ"ตอนสอง........อวิชชาผอง........ไม่รู้ธรรมผลาม
อริยสัจสี่....ชี้ทำแน่วกาม....มีผลกรรมตาม...."สังขาร"เกิดแล

    ๑๘๙.เพราะ"สังขาร"ก็เหตุชัด.........................ปฏิบัติมิถูกแล้
ไร้สัจจ์สิเลิศอริยะแฉ........................................."อวิชชา"ก็วนเวียน

    ๑๙๐.สังขาร,เจตนา.........กรรมดี,ชั่วหนา.......ก่อ"วิญญาณ"เถียร
"วิญญาณ"จิตรู้....ชูผลกรรมเชียร....เกิดวิญญาณเนียน....เพราะสังขารเอย

    ๑๙๑.เพราะ"วิญญาณ"สิจิตรู้.........................ภวชูซิ"นาม"เผย
วิญญาณก็หนึ่งลุจตุเอ่ย....................................กะนามขันธ์ประกอบงาน

    ๑๙๒.เมื่อวิญญาณเกิด.......อีกสามนามเพริศ........รูปกายเริ่มสาน
ครบองค์ชีพแล....แน่นาม,วิญญาณ....ปัจจัยร่วมการ....พึ่งพากันนา

    ๑๙๓.เพราะ"นาม"จิตสิเหตุชัด........................ภวผัสสะเกิดกล้า
สัมผัสแตะอายตนะหนา.....................................ซิ"นาม"เกิดและรู้พลัน

    ๑๙๔."ผัสสะ"กระทบ......."เวทนา"มีจบ.......เกิดรู้สึกสรรค์
"เวทนา"รู้สึก....ตรึกกระทบครัน.....เกิด"ผัสสะ"ดั้น....รับรู้ต่อมา

    ๑๙๕.เพราะมี"เวทนา"มาก...............................ประลุ"อยาก"ซิตัณหา
ตัณหาเจาะเพิ่มริภวกล้า.....................................ปะรู้เวทนากราน

    ๑๙๖.ตัณหาปัจจัย........อยากได้,ชอบไซร้.......ยึด,อุปาทาน
"อุปาฯ"ยึดมั่น....สิ่งนั้น"อยาก"พาน....รักษ์ครองอีกนาน...."ตัณหา"เกิดเอย

    ๑๙๗.อุปาทานสิเหตุอึด...................................ธุวยึดปะ"ภพ"เผย
เมื่อ"ภพ"ตริมีลุภวเชย.........................................ลุ "ชาติ"เกิดซิตามมา

    ๑๙๘."ชาติ"เป็นเหตุปะ.......ชรา,มรณะ........บรรลุตามหนา
กองทุกข์ทั้งมวล....เกิดด่วนเศร้าพา....ปริเทวะกล้า....ทุกข์,โทมนัสใจ

    ๑๙๙.ลุ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิสามกิจ........................ตริอวิชช์ฯมิรู้ใฝ่
ความจริงประเสริฐอริยะไซร้...............................มนุษย์กอปรซิกรรมหลาย

    ๒๐๐."อวิชชา,ไม่รู้".........ก่อ"สังขาร"พรู.......ทำดี,ชั่วมาย
"สังขาร",หมั่นปรุง....มุ่งกาย..ใจฉาย....ด้วยไม่รู้กราย....ก่ออวิชช์ฯยล

    ๒๐๑.เพราะ"สังขาร"สิกรรมชิด.......................นิรมิตซิวิญญ์ฯดล
วิญญาณลุผลริปฏิสนธิ์......................................กระทำกรรมเหมาะ"สังขาร"

    ๒๐๒."วิญญาณ"เหตุเกิด......."นามรูป"มีเพริศ........ด้วยสามสิ่งกราน
"วิญญาณ:จิต"ผลาม...."นาม:เจตสิก"พาน...."กัมมัชรูป"ขาน...."นามรูป"เกิดแล

    ๒๐๓.เพราะ"นามรูป"สิมีไซร้...........................หฤทัยและกายแฉ
ห้าขันธ์ซิครบเจาะภวแล้....................................ลุวิญญาณจะแจ้งหนา

    ๒๐๔.นามรูป:กาย,ใจ.......อายะฯหกไซร้.......คือ"มโน"รู้กล้า
"มโน"กระทบล้ำ....ธรรมารมณ์นา.....เกิดนามรูปจ้า....รู้,จำ,ปรุงพาน

    ๒๐๕."มโน,ธัมมะรมณ์,วิญญ์ฯ..........................ตติชินกระทบกราน
เรียก"ผัสสะ"พร้อมลุนิรมาณ...............................มโนหกประดุจเดียว

    ๒๐๖."ผัสสะ"ปัจจัย........กระทบแล้วไซร้.......รู้"เวทนา"เปรียว
"เวทนา,รู้สึก"....ตรึกสุข,ทุกข์เชียว....เกิดผัสสะเหนี่ยว....กระทบรู้หนา


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 24, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:08 PM

(ต่อหน้า ๑๐/๑๘) : ๑๓.วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๐๗.เพราะมี"เวทนา"มาก..........................ภว"อยาก"ลุ"ตัณหา"
"ตัณหา"สิหนาลุวสะกล้า................................จะก่อ"เวทนา"ผาย

   ๒๐๘."ตัณหา"ปัจจัย......."อยาก"ได้แล้วไซร้......."อุปาทาน"กราย   
ยึดอุปาทาน....พานยึดมากหลาย...."ตัณหา"เกิดมาย....ด้วยความอยากครัน

    ๒๐๙."อุปาทาน"สิยึดครอง..........................ภว"ภพ"ก็นามขันธ์
แม้"ภพ"ก็ยังหิตะดั้น.......................................ลุก่อ"ชาติ"เพราะจิตนำ

    ๒๑๐."ชาติ"เป็นปัจจัย......ก่อชรา,ตายไซร้......จึ่งตามมาซ้ำ
กองทุกข์ทั้งปวง....เป็นบ่วงเกิดพร่ำ....โสกะ,ครวญคร่ำ....คับแค้น,รำพัน

    ๒๑๑.ผิ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิความจริง.................ทวิสิ่งเจาะเกื้อกัน
ไม่รู้อวิชช์ฯเพราะมทะดั้น................................เจาะชั่ว,ดี,วจี,ใจ

    ๒๑๒.หรือทำดีด้วย........ผลกรรมอำนวย......ก่อสังขารได้
"สังขาร"หลายเกิด....เพริดไม่รู้ไซร้...."อริยสัจ"ไข....ก่อ"อวิชชา"

    ๒๑๓.เพราะ"สังขาร"ลุเจตน์ดล.....................อกุศลกุศลหนา
สังขารก็ก่อหทยะพา.......................................ลุ"วิญญาณ"เหมาะรับกรรม

    ๒๑๔.วิญญาณคือจิต........เป็นปัจจัยชิด........ก่อ"สังขาร"นำ
วิญญาณเกิดเพราะ....เหมาะผลกรรมทำ....เกิด"สังขาร"ซ้ำ....จิตเหมือนกันยล

    ๒๑๕.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม................ภว"นามและรูป"ดล
วิญญาณลุครรภ์เจาะ"ปฏิสนธิ์ฯ".......................มโน,กายอุบัติพลัน

    ๒๑๖."นามรูป"มีอยู่........."วิญญาณ"มีอยู่........ย่อมเวียนกลับกัน
หานามรูปไซร้....ไม่ไปไหนครัน....ชนจึงเกิดดั้น....แก่,ตายบ้างเอย

    ๒๑๗.เพราะ"นามรูป"สิมีหนา..........................เจาะ"สฬายะฯ"มีเผย
ด้วยมี"สฬายตนะ"เกย.......................................จะมี"นามกะรูป"แล

    ๒๑๘."อายะฯที่หก"........มโนเป็นเหตุปรก........ด้วยธรรมารมณ์แฉ
มโน,มโนวิญญาณ....พานสามเกิดแล้...."ผัสสะ"แล้วแน่....เกิด"มโน"อีกครา

    ๒๑๙.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุครบ.........................ลุกระทบเจาะ"เวท์นา"
"เวท์นา"จะรู้และรติหนา.....................................จะก่อ"ผัสสะ"เวียนวน

    ๒๒๐."เวทนา,รู้สึก".........ชอบ,ยินดีนึก......."อยาก,ตัณหา"ดล
"ตัณหา"อยากเพิ่ม....เสริมหาอีกค้น...."เวทนา"เกิดล้น....รู้สึกต่อพาน

    ๒๒๑.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุเชิด.......................ภวเกิด"อุปาทาน"
ยึดมั่นอุปาฯเจาะดนุกราน.................................จะรักษ์คงลุ"ตัณหา"

    ๒๒๒."อุปาทาน"คือ.......ยึดปรุงมั่นครือ........ก็มี"ภพ"หนา
ก็ภพดำรงไป....ตามไขว่ใจกล้า....จึงเกิด"ชาติ"คว้า....สภาพตัวตน

    ๒๒๓.เพราะ"ชาติ"สิเหตุจบ...........................ลุประภพซิตนผล
ความแก่,มฤตก็ระยะท้น...................................จะเสื่อมลงปะทุกข์รอ

    ๒๒๔."สังขาร"ปัจจัย.......จิตก่อกรรมไซร้......."อวิชช์ฯ"มิรู้จ่อ
วิญญาณรับรู้....สิ่งพรูต่างก่อ.....ไร้ปัญญาส่อ...."อวิชชา"มี

    ๒๒๕.เพราะ"นาม,ใจ"ก็ยังนึก.........................เจาะระลึกและปรุงชี้
นามขันธ์สิสี่ริธุวคลี่..........................................และยึดก่อ"อวิชช์ฯ"แฉ

    ๒๒๖."อายะฯหกมโน"........ไม่รู้จริงโอ่.......เกิด"อวิชชา"แน่
"ผัสสะ"กระทบ....จบยินดีแล้....ไม่รู้ธรรมแท้...."อวิชช์ฯ"เกิดพลัน

    ๒๒๗.เพราะมี"เวทนา"รู้.................................รติชูรึโศกครัน
ไร้สัจจ์ประเสริฐอริยะนั้น..................................จะก่อเกิดอวิชชา

    ๒๒๘."ตัณหา"เหตุไซร้.......ก่อ"อวิชชา"ได้........ขาดอริยสัจจ์พา
"อุปาทาน"มั่น....ยึดยันตนหนา....ไม่มีปัญญา...."อวิชช์ฯ"เกิดดล

    ๒๒๙."อวิชชา"ปรุ"สังขาร".............................ประลุพานเพราะกรรมผล
"สังขาร"สิเหตุริอกุศล.......................................กุศลเกื้อซิ"วิญญาณ"


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, พฤศจิกายน, 2568, 08:06:04 AM

(ต่อหน้า ๑๑/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๓๐."วิญญาณ"ปัจจัย......ก่อเกิด"นาม"ไซร้......สร้างจิต,ชีพกราน
"นาม,เจตสิก"หนา....อายะฯหกมาน....ด้วยมีพึ่งพาน....เกิดร่วมกันมา

    ๒๓๑."มนาฯหก"สิเหตุชัด..............................ปะทะผัสสะเกิดหนา
ใจธรรมะรมณ์และภวกล้า................................มโนวิญญ์ฯกระทบแล

    ๒๓๒."ผัสสะ"กระทบ........ก่อ"เวทนา"จบ......รู้สุข,ทุกข์แฉ
"เวทนา"รู้สึก....นึกยินดึแล้....อยากได้อีกแท้....เกิด"ตัณหา"พาน

    ๒๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพฤติ.....................ประลุยึดอุปาทาน
ด้วยมีอุปาฯจะหิตะฉาน....................................จะก่อ"ภพ"เพราะยึดคง

    ๒๓๔."ภพ"เป็นเหตุมี........ดำรงอยู่ชี้........"ชาติ"มีตามบ่ง
"ชาติ"เป็นเหตุหนา....ชรา,มรณะส่ง....ความเสื่อมทุกข์ตรง....ตามธรรมชาติกลาย

    ๒๓๕.สิทุกข์สิ้นกุเกิดนี้..................................ดุจะชี้ลุความฉาย
สังขารซิมูลเสาะอธิบาย....................................ก็ทุกสิ่งเจาะทุกข์เข็ญ

    ๒๓๖.ปัจจยาการ.........หรือปฏิจจ์สมุปฯขาน........แจงความจริงเด่น
ตามเหตุปัจจัย....ในธรรมชาติเน้น....แจ้งเหตุทุกข์เป็น....ทางดับทุกข์แล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์ https://share.google/kbChnYRRrpQ96ZrRG

ปฏิจจสมุปบาท = หรือ ปัจจยาการ ๑๒ - การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น
(๑/๒) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา =  เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
อวิชชา - ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา ๘ , อวิชชา ๔
(๓) สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ = เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๒ หรือ อภิสังขาร ๓
(๔) วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ = เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
วิญญาณ - ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖
(๕) นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ = เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
นามรูป - นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๖) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส = เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
สฬายตนะ อายตนะ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๗) ผสฺสปจฺจยา เวทนา = เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
ผัสสะ - ความกระทบ  ได้แก่ สัมผัส ๖
(๘) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา = เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๙) ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ = เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
ตัณหา - ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๑๐) อุปาทานปจฺจยา ภโว = เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
อุปาทาน - ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
(๑๑) ภวปจฺจยา ชาติ = เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
ภพ - ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร ๓) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ
(๑๒) ชาติปจฺจยา ชรามรณํ = เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
ชาติ - ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
ชรามรณะ - ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
~โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ = ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
~เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ = ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์ = แจง ปัจจยาการ ๑๒
(๑/๒) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๑) อวิชชา = เป็นไฉน ไม่รู้อริยสัจ ๔ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา
~เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 25, พฤศจิกายน, 2568, 04:51:51 PM

(ต่อหน้า ๑๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

๒) สังขารเป็นไฉน = การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มีความหมาย ๓ ประการ คือ เป็นสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งมา; เป็นเหตุปัจจัยที่ไปปรุงแต่งสิ่งอื่น; เป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตนเอง สังขาร มี ๖ อย่าง
(๒.๑) ปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็นกามาวจร; เป็นรูปาวจร สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา
กามาวจร = ภพที่ท่องกามคุณ ๕
รูปาวจร = ภพของรูปพรหมที่เจริญฌาน
(๒.๒) อปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นอกุศลซึ่งเป็นกามาวจร
(๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว = เป็นไฉน
อเนญชาภิสังขาร = ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
อรูปาวจร = ภพของอรูปพรหมที่เจริญฌาน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็น อรูปาวจร
(๒.๔) กายสังขาร = กายสัญเจตนา คือเจตนาทางกาย (๒.๕) วจีสังขาร = วจีสัญเจตนาเป็นเจตนาทางวาจา (๒.๖) จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา เป็นเจตนาทางใจ
เหล่านี้เรียกว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = เป็นไฉน
~ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
(๔) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑
(๔.๑) นาม เป็นไฉน = เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ นี้เรียกว่า นาม (๔.๒) รูป เป็นไฉน = มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป นี้เรียกว่า รูป
นามและรูปดังกล่าว นี้เรียกว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป ๒๔ = รูปที่อาศัยมหาภูตรูป เกิด
(๕) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขายตนะ ,โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวหายตนะ, กายายตนะ, และมนายตนะ
(๖) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขุสัมผัส; โสตสัมผัส; ฆานสัมผัส; ชิวหาสัมผัส; กายสัมผัส; และมโนสัมผัส
(๗) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี = เป็นไฉน
~ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส; นี้เรียกว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
(๘) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี = เป็นไฉน
(๘.๑) รูปตัณหา - อยากได้รูป (๘.๒) สัททตัณหา -อยากได้เสียง (๘.๓) คันธตัณหา - อยากได้กลิ่น (๘.๔) รสตัณหา - อยากได้รส (๘.๕) โผฏฐัพพตัณหา - อยากได้โผฏฐัพพะ (๘.๖) ธัมมตัณหา - อยากได้ธรรมารมณ์ นี้เรียกว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
(๙) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี = เป็นไฉน ได้แก่
(๙.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
(๙ ๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ
(๙.๓) สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล
(๙.๔) อัตตวาทุปาทาน - ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลาย หรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวง อันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ นี้เรียกว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
(๑๐) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี = เป็นไฉน
(๑๐.๑) กรรมภพ - กรรมที่เป็นเหตุให้ไปสู่ภพ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร, และอาเนญชาภิสังขาร นี้เรียกว่า กรรมภพ
(๑๐.๒) อุปปัตติภพ -ได้แก่
(๑๐.๒.๑) กามภพ - คือสัตว์ที่เกิดในกามภูมิ มี ๑๑ ภูมิ ได้แก่ที่อยู่ของสัตว์ใน อบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน); มนุษย์ ๑, และเทวดา ๖ ชั้น (คือ จาตุมมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรดี, ปรนิมมิสสวัตตี)
(๑๐.๒.๒) รูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในรูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของรูปพรหม ๑๖ ชั้น (ได้แก่ พรหมปาริสัชชา, พรหมปุโรหิตา, มหาพรหมา, ปริตตาภาพรหม, อัปปมาณาพรหม, อาภัสสราพรหม, ปริตตสุภาพรหม, อัปปมาณสุภาพรหม, สุภกิณหาพรหม, เวหัปผลาพรหม, อสัญญสัตตาพรหม, อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี, อกนิฏฐา)


หัวข้อ: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เริ่มหัวข้อโดย: แสงประภัสสร ที่ 26, พฤศจิกายน, 2568, 08:42:39 AM

(ต่อหน้า ๑๓/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๑๐.๒.๓) อรูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในอรูปภูมิ มี ๔ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของ อรูปพรหม มี ๔ ชั้น คือ อรูปภูมิ ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
(๑๐.๒.๔) สัญญาภพ - ภพที่มีนามขันธ์ ได้แก่ กามภพ ๑๑, รูปภพ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตาภพ), อรูปภพ ๓ (เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ)
~สัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้มีสัญญา
~อสัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่มีสัญญา
~เนวสัญญานาสัญญา - ธรรมชาติที่เป็น มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา ก็มิใช่ เพราะไม่มีสัญญาหยาบ และ เพราะมีแต่สัญญาละเอียด มีอยู่ในภพนั้น
(๑๐.๒.๕) อสัญญาภพ - ภพที่ไม่มีนามขันธ์ได้แก่ ภพฝ่าย อสัญญสัตตภูมิ
 ~อสัญญสัตตภูมิ = ที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา หมายถึง สถานที่เกิดของบุคคลที่อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน แต่เป็นผู้ที่ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น
(๑๐.๒.๖) เนวสัญญานาสัญญาภพ - คือ สัตว์ที่จะนับว่าไม่มีนามขันธ์ก็ไม่ใช่ จะว่ามีนามขันธ์ก็ไม่เชิง ได้แก่ สัตว์ในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
~เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ - คือ พรหมโลกชั้นสูงสุดในกลุ่ม อรูปพรหม ๔ ชั้น เป็นที่อยู่ของพระพรหมที่ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นฌานสมาบัติที่ละเอียดประณีตที่สุด โดยจิตจะเข้าสู่สภาวะที่ ไม่มีสัญญา (ความจำ) และ ไม่ใช่ไม่มีสัญญา (ไร้ความคิด)
(๑๐.๒.๗) เอกโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีรูปขันธ์เพียงขันธ์เดียว ได้แก่ สัตว์ใน อสัญญสัตตภูมิ
(๑๐ ๒.๘) จตุโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ ๔ ขันธ์ (เว้นรูปขันธ์) ได้แก่ สัตว์ใน อรูปภูมิ ๔ ภูมิ คือ อรูปพรหม
(๑๐.๒.๙) ปัญจโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ครบทั้ง ๕ ขันธ์ ได้แก่ สัตว์ ในกามภูมิ ๑๑ และในรูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตต มีแต่รูปอย่างเดียว) นี้เรียกว่า อุปปัตติภพ; กรรมภพและอุปปัตติภพที่กล่าวมานี้ นี้เรียกว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
(๑๑) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี = เป็นไฉน
คือ ความเกิด; ความเกิดพร้อม; ความหยั่งลง; ความบังเกิดเฉพาะ; ความปรากฏแห่งขันธ์; ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ; นี้เรียกว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
(๑๒) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสจึงมี กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๑๒.๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี = เป็นไฉน
(๑๒.๑) ชรา เป็นไฉน
~ ความแก่, ความคร่ำคร่า, ความมีฟันหัก, ความมีผมหงอก  ความมีหนังเหี่ยวย่น, ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา
(๑๒.๒) มรณะ เป็นไฉน
~ ความจุติ, ความเคลื่อนไป, ความทำลายไป, ความหายไป, ความตายกล่าว คือ มฤตยู, การทำกาละ, ความแตกแห่งขันธ์, ความทอดทิ้งร่างกาย, ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ ชราและมรณะที่กล่าวมา นี้เรียกว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
(๑๒.๓) โสกะ เป็นไฉน
~ ความเศร้าโศก, กิริยาที่เศร้าโศก, ความแห้งผากภายใน, ความแห้งกรอบภายใน, ความเกรียมใจ, ความโทมนัส, ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่ถูก, ความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ
(๑๒.๔) ปริเทวะ เป็นไฉน
~ ความร้องไห้, ความคร่ำครวญ, กิริยาที่ร้องไห้, กิริยาที่คร่ำครวญ, ภาวะที่ร้องไห้, ความบ่นถึง, ความพร่ำเพ้อ, ความร่ำไห้,  กิริยาที่พิไรรำพันของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ  ของผู้ที่
กด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ
(๑๒.๕) ทุกข์ เป็นไฉน
~ ความไม่สำราญทางกาย, ความทุกข์ทางกาย, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์
(๑๒.๖) โทมนัส เป็นไฉน
~ความไม่สำราญทางใจ, ความทุกข์ทางใจ, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส