บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => ห้องนั่งเล่นพักผ่อน => ข้อความที่เริ่มโดย: นายประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 01, มกราคม, 2557, 10:23:17 PM



หัวข้อ: ข้อคิดเพื่อสังคม2
เริ่มหัวข้อโดย: นายประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 01, มกราคม, 2557, 10:23:17 PM


    ผมขอนำ "ข้อคิดเพื่อสังคม" จาก www.naturedharma.com  ข้อคิดข้อเขียนเหล่านี้ผมได้เก็บตกจากสภาพสังคมที่พบเห็นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ผมมอง  ทุกคนอาจจะมองเหมือนกัน หรือไม่เหมือนกัน นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา อย่างไรก็ดีคิดว่าข้อเขียนเหล่านี้เก็บคุณค่าได้บ้าง  จึงขอนำมาให้ท่านได้สัมผัส  ในหลายแง่หลายมุม จะทยอยลงกันต่อไปเรื่อย ๆ ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม มีข้อคิดเห็นใดท่านแสดงความคิดเห็นไว้ด้วย ถือเป็นพระคุณยิ่ง
      
     ประทีป  วัฒนสิทธิ์
     ธรรมชาติธรรม
           1 มกราคม 2557



(http://upic.me/i/tw/pratat1.jpg) (http://upic.me/show/34425007)

http://www.naturedharma.com/data-1445.html


หัวข้อ: Re: ข้อคิดเพื่อสังคม2
เริ่มหัวข้อโดย: นายประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 01, มกราคม, 2557, 10:24:43 PM

 
                                                            สุขภาพมาก่อน

          ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก  ประกาศเป็นจุดยืนว่า "เรื่องสุขภาพของประชาชนต้องมาก่อน" จากจุดยืนตรงนี้จึงใคร่นำเสนอแนวคิดเรื่องปัญหาสุขภาพของประชาชนต่อผู้บริการในรัฐบาล หรือผู้เกี่ยวข้อง ผู้มีความรู้ความสามารถทุกระดับในเรื่องนี้ เพื่อให้เห็นความสำคัญและช่วยกันหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข หรือพัฒนาต่อไป

         ความเป็นจริงที่ประจักษ์ขณะนี้คือ  โรงพยาบาลของรัฐขาดบุคลากร  ขาดเครื่องมีออุปกรณ์ด้านการแพทย์   ทำให้การบริการล่าช้าไม่ทั่วถึง  ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สรุปว่าการดูแลสุขภาพของประชาชนยังด้อยคุณภาพ รัฐบาลต้องรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ให้มากขึ้น

         เหตุที่รัฐบาลแต่ละสมัยยังแก้ไข ปรับปรุง หรือถึงขั้นพัฒนาในเรื่องนี้ไม่ได้ตามที่น่าควรจะเป็น นั้นน่าจะสืบเนื่องจากสาเหตุใหญ่คือเรื่องการจัดงบประมาณด้านนี้ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุงบประมาณถูกผลักดันไปเรื่องอื่น ๆ จะสาเหตุใดไม่ขอกล่าวถึง  แต่ขอทวงติงว่า บรรดาผู้แทนของประชาชนควรมีวิสัยทัศน์  ประกอบกับความความสุจริตใจ แล้วจะมองภาพรวมออกว่า งบประมาณเรื่องใดควรตัด ควรเพิ่ม ควรให้ความสำคัญมากน้อย อะไรต้องทำก่อนหลัง  ทั้งนี้ต้องมีจิตวิญญาณที่จะตัดสินใจอย่างถูกต้องโปร่งใส นี่คือผู้แทนของประชนที่แท้จริงและหากพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบด้วยเหตุผลอื่น ๆ ประกอบคิดว่าความจำเป็นเรื่องสุขภาพของประชาชนควรมาก่อน

          โรงพยาบาลขาดบุคลากร ขาดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เป็นเรื่องสร้างความเสียหายอย่างมาก ปัญหาที่เกิดคือการรักษา หรือการวินิจฉัยโรคของแพทย์เป็นไปอย่างฉาบฉวย ขาดอุปกรณ์การดูแลรักษาก็ขาดประสิทธิภาพ ขาดแพทย์เฉพาะทางทำใหผู้ป่วยเสียโอกาสซึ่งถือว่าผิดพลาดอย่างยิ่ง   คล้ายเป็นการปล่อยปละละเลย ไร้ซึ่งคุณธรรมด้วยซ้ำ

          หากจำนวนผู้ป่วยมาก แต่มีแพทย์น้อยการวินิจฉัยโรคให้ผู้ป่วยก็จะเป็นไปอย่างฉาบฉวย เนื่องจากรีบร้อนเพื่อตรวจให้หมด ให้ทันเวลา ดังนั้นผลที่ออกมาอาจมีโอกาสที่จะคลาดเคลื่อนได้มาก เมื่อจ่ายยาไม่ตรงกับโรค   ผู้ป่วยก็ไม่หาย  เปลืองเปล่าทั้งการใช้ยา และเปลืองเปล่าต่อสุขภาพของประชาชน

         หันมาเรื่องการขาดแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก โรงพยาบาลประจำอำเภอมีแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางน้อยมาก การรักษาเฉพาะทางถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลจังหวัด อันที่จริงโรงพยาบาลประจำอำเภอควรมีศักยภาพการบริการที่เท่าเทียมกับโรงพยาบาลจังหวัด

          บุคลากรที่ควรกล่าวถึงเช่นกันคือ พยาบาล บุคลากรด้านนี้ยังไม่เพียงพอเช่นกัน  มีประเด็นหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับขวัญ และกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานคือเรื่องลูกจ้างเดี๋ยวนี้พยาบาลที่เป็นลูกจ้างมีจำนวนมาก หากค่าตอบแทน สวัสดิการไม่เท่าเทียมกับข้าราชการประจำ ทำให้ขวัญ และกำลังใจในการทำงานขาดหายไป   ปัญหาคือคุณภาพของงานตามมาอย่างแน่นอน    รัฐจึงจึงต้องเห็นความสำคัญเรื่องนี้ให้มากเช่นกัน ไม่ใช่คิดแต่เพียงลดรายจ่าย ต้องคำนึงถึงคุณภาพงานเป็นสำคัญด้วย

         เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือทางการแพทย์บางอย่างมีราคาแพงเนื่องจากต้องสั่งซื้อต่างประเทศ   แม้จะแพงเท่าไรหากผันงบประมาณได้ก็สามารถที่จะจัดการให้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามต้องการ  ทั้งนี้ต้องฝากไว้กับผู้แทนของปวงชน  และนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ

         เรื่องราว และปัญหาสาเหตุต่าง ๆที่กล่าวมา พอจะเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องนำมาวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อหาข้อแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาให้ถูกจุดต่อไป อย่างไรก็ดีใคร่ขอเสนอความคิดไว้บ้างตามสมควร

          ประเด็นแรกคือการบริหารจัดการอย่างไร ต่อสถานีอนามัย   ซึ่งเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น    "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ.... "    โรงพยาบาลอำเภอ  และรวมทั้งโรงพยาบาลประจำจังหวัด ถึงให้เกิดศักยภาพในการให้บริการดี   และระบบงานที่ประสานเกี่ยวข้องครบวงจร เพื่อการขับเคลื่อนงานให้เกิดคุณภาพ และประหยัด   ด้านความพร้อมของอาคารสถานที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี    จะเห็นว่ามีสถานีอนามัยทุกตำบล  มีโรงพยาบาลอำเภอทุกแห่ง  โรงพยาบาลประจำจังหวัดก็มีครบถ้วน   เพียงแต่ให้มีการบริหารจัดการที่ดี
ที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น  

          ขอนำเสนอให้โรงพยาบาลจังหวัดเป็นโรงพยาบาลศูนย์   โรงพยาบาลศูนย์เป็สถานผลิตแพทย์ใหม่  ส่งเสริมสนับสนุนแพทย์ หรือผลิตแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง  ศุนย์ข้อมูลด้านสาธารณสุข  ศูนย์วิจัยเกี่ยวกับยาและการรักษา เกี่ยวกับโรคภัย  เครื่องมือแพทย์หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และประการสุดท้ายคือใหเป็น้ศุูนย์รักษาผู้ป่วยเฉพาะทาง ที่ต้องรักษาบำบัดเป็นพิเศษกว่าโรงพยาบาลอำเภอ

          การผลิตนักศึกษาแพทย์ใหม่ที่โรงพยาบาลศุนย์เป็นเรื่องง่าย และทำสะดวก เพราะส่วนสำคัญที่ส่งเสริมสนับสนุนมีพร้อม การสอนนักศึกษาแพทย์ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดในระบบมหาวิทยาลัยตามที่ทำกันก็ได้    หากคิดให้ดีให้รอบคอบการจัดการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลเป็นเรื่องเหมะสมที่สุด   สามารถเรียนทฤษฎีควบคู่ไปกับการปฏิบัติปฏิบัติ  เคสคนไข้เฉพาะทางก็มีให้ศึกษา ศูุนย์การวิจัยเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็อยู่ที่นี่ อาจารย์ที่สอนก็เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่อยู่ใกล้ชิด ห้องเรียนคือโรงพยาบาลเหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาแพทย์ การได้รับสัมผัสประสบการณ์ตรง  มีผู้ให้คำแนะนำใกล้ชิดตลอดเวลา เมื่อเรียนจบหลักสูตรน่าจะมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพมากกว่าเรียนในห้องเรียนของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีเวลาฝึกงานในโรงพยาบาลเพียงจำกัด

           ที่กล่าวมาเป็นข้อดี  ข้อได้เปรียบ และด้านความพร้อม  ความคล่องตัวในการที่อำนวยความสะะดวกผลิตนักศึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์  การใช้วิทยากรภายนอก หรืออาจารย์พิเศษนั่นขึ้นอยู่กับความต้องการ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่ฝ่ายบริหารการจัดการ

          ด้วยโรงพยาบาลศุนย์มีทั่วทุกจังหวัด ฉะนั้นการผลิตนักศึกษาแพทย์ใหม่ จึงเป็นเรื่องง่าย สะดวก สามารถผลิตแพทย์ได้รวดเร็วต่อเนื่องและตรงตามความต้องการ สามารถผลิตแพทยป้อนให้โรงพยาบาลอำเภอได้  และหากเป็นไปได้โรงพยาบาลอำเภอก็อาจเป็นเครื่อข่ายการผลิตแพทย์อีกทอดหนึ่ง   ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละโรงพยาบาล

          การผลิตนักศึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์เป็นการลดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล  งบประมาณที่ไปทุ่มเทให้กับการขยายการผลิตนักศึกษาแพทย์ตามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต้องใช้งบประมาณมาก  เป็นงบสถานที่  งบเครื่องมือเครื่องใช้   งบค่าตอบแทนผู้สอน หรือด้านอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง  การสอนนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัย ดูแล้วเป็นเรื่องที่ไกลตัว เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องสัมพันธ์   ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ที่สอนนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่ก็ดึงมาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ตามความต้องการ  ยกตัวอย่างให้เห็นเรื่องนี้เรื่องเดียวก็คงเห็นชัดเจน ว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องขาดสัมพันธภาพ ขาดความสะดวกคล่องตัว  ดังนั้นประสิทธิภาพในการจัดการย่อมส่งผลสืบเนื่องตามมา    ฉะนั้นหากงบประมาณทุ่มเทมาที่โรงพยาบาลศูนย์ และยึดเป็นสถานผลิตนักศึกษาแพทย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ  จะเป็นเรื่องดียิ่ง และที่สำคัญรัฐบาลลดการใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล

          โครงการส่งเสริมสนับสนุนความรู้ให้แพทย์เฉพาะทางสามารถทำได้ง่ายที่โรงพยาบาลศูนย์  ก็เช่นเดียว และแนวเดียวกับ การผลิตนักศึกษาแพทย์    ด้วยศักยภาพด้านต่าง ๆ  ของโรงพยาบาลศูนย์มีความพร้อมที่สุด  ดังนั้นการสนับสนุน การเสริมศักยภาพด้านวิชาการ   ด้า้นทักษะเฉพาะทางจึงเป็นเรื่องที่ง่าย และสะดวกเช่นกัน เพียงแต่ใช้หลักการบริหารการจัดการที่ดีเท่านั้นเอง

           ส่วนเรื่องการจัดตั้งศูนย์วิจัยในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านสาธารณสุขก็ทำได้ง่าย และสะดวกเช่นกัน เมื่อความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ ความพร้อมของบุคลากรมีครบควบคู่กันไป จึงขึ้นอยู่กับงบประมาณ และการบริการจัดการเป็นสำคัญ

          สำหรับการจัดเป็นศูนย์รับผู้ป่วยเฉพาะทาง รวมทั้งเน้นคนไข้ในรายที่มีปัญหามาก ๆ เพื่อแบ่งเบาโรงพยาบาลประจำอำเภอและที่สำคัญจะได้ผู้ป่วยที่ต้องการศึกษา และวิจัย  การจัดเป็นศุนย์รักษาโรคเฉพาะทางยังมีประโยชน์ครอบคลุมไปทุกด้านที่จัดให้มีในโรงพยาบาลศูนย์ เช่น นักศึกษาแพทย์  การฝึกแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง   และ ศูนย์วิจัยเกี่ยวกับด้านสาธารณสุข เป็นต้น

          โรงพยาบาลประจำอำเภอยังขาดแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิ่งที่ตามมาคือเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์  รัฐบาลต้องรีบยกฐานะโรงพยาบาลอำเภอให้มีศักยภาพทัดเทียมกับโรงพยาบาลศูนย์   ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านแพย์ ด้านพยาบาลน่าจะไม่เป็นปัญหา   หากทุกจังหวัดยกฐานะโรงพยาบาลจังหวัดเป็นโรงพยาบาลศูนย์ คงมีศักยภาพพอที่จะผลิตบุคลากรอย่างมีคุณภาพ และพอเพียง โรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศควรตั้งเครื่อข่ายเพื่อสะดวกในการติดต่อ แลกเปลี่ยน รู้ความเคลื่อนไหวต่าง ๆเป็นการเสริมศักยภาพด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  สำหรับเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือรวมทั้งอาคารสถานที่เหล่านี้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องเห็นความสำคัญดั่งที่ว่า "สุขภาพมาก่อน"

          สถานีอนามัยน่าจะคงไว้ในรูปแบบเดิม  คือเก็บข้อมูลขั้นพื้นฐาน  การดูแลเฝ้าระวังป้องกันด้านสาธารณสุขในเชิงรุก  การส่งเสริมด้านสุขภาพ  การติดตามดูแลผู้ป่วย  หรือ อื่น ๆ ที่จำเป็นเกี่ยวข้อง ซึ่งในรูปกรอบตามแผนที่ปฏิบัติเดิมมีความพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว  การมาเปลี่ยนชื่อเป็น " โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ..."  เหมือนกับย้ำเน้นว่าให้การรักษาด้วยเป็นสำคัญ การขยายงานในลักษณะอย่างนี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดพอสมควร  ผิดพลาดอย่างไร ? ในเมื่อโรงพยาบาลอำเภอยังไม่พร้อมด้านบุคลากร ด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์  แพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำไมถึงขยายงานให้กว้างออกไป ยากแก่การควบคุมบริหาร และไร้ซึ่งคุณภาพ

          ที่พูดได้เต็มปากเช่นนี้เพราะข้อมูลที่เชิงประจักษ์ทุกคนเห็นกันชัดเจน  และหากเจาะลงไปลึก ๆ ก็จะพบรายละเอียดลงไปอีก  เช่นตอนนี้มีมโยบายให้แพทย์โรงพยาบาลประจำอำเภอไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ " โรงพยบาลส่งเสริมสุขภาพ...." อาทิตย์ละครั้ง หรือ2 ครั้ง ตามแผน   แผนวางไว้  มีไว้ แต่พอปฏิบัติจริงทำไม่ได้เต็มที่เพราะโรงพยาบาลขาดบุคลากร  ฉะนั้นแผนงานตรงนี้ควรจะให้โรงพยาบาลอำเภอมีความพร้อม มีศักยภาพก็สามารถที่จะบริหารจัดการได้  ฉะนั้นสถานีอนามัยน่าจะคงชื่อเดิม หรือ ชื่อใหม่ที่พอจะเป็นชื่อที่สอดคล้องกับงานว่า "ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ"

         สิ่งที่สมควรจะปรับปรุงส่งเสริมในสถานีอนามัยคือ เรื่องของการบริหารจัดการเกี่ยวกับอุบัติเหตุ  สถานีอนามัยควรมีรถพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ  การอำนวยความสะดวก และดูแลในเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะโดยเฉพาะปัจจุบันอุบัติเหตุบนท้องถนนมีจำนวนมาก

          เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเพี่ยงข้อเสนอในประเด็นแรก   สำหรับประเด็นที่สองคือเรื่องงบประมาณ   ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นว่า "สุขภาพมาก่อน" ฉะนัันงบประมาณต้องติดตามมาด้วย เรื่องนี้ผู้แทนของเราเป็นผู้ดูแล หากผู้แทนของเราไม่ทำหน้าที่ที่เหมาะสมหรือประชาชนนำเสนอผ่านผู้แทนแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ประชาชนอาจใช้สิทธิ์ลงชื่อเรียกร้องได้ตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างไรก็ดีหากท่านที่เกี่ยวข้องได้อ่านบทความนี้ หากมีข้อคิดในส่วนที่เห็นว่าน่าจะนำปฏิบัติได้ ก็ควรให้การสนับสนุน และขับเคลื่อนไปตามกระบวนการ “ เพื่อได้พัฒนาเรื่องนี้ต่อไป

          อย่างไรก็ดีหากดำเนินชิวิตตามแนว ตามหลักการของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดทำ จัดดำเนินการอย่างที่ว่า  "มาก่อน"  การระดมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่อย่างมีสุข ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย คงทำกันอย่างเชิงรุก และต่อเนื่อง   ส่วนการบริหารจัดการน่าคงอยู่ในรูปแบบนี้ เพียงแต่สังคมแบบ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน  คงไม่เกี่ยวข้องเรื่องงบประมาณซึ่งรูปแบบแนวคิดนี้น่าศึกษาติดตาม

http://www.naturedharma.com/data-1615.html 

ประทีป  วัฒนสิทธิ์
1 มกราคม 2557

          


 


หัวข้อ: Re: ข้อคิดเพื่อสังคม2
เริ่มหัวข้อโดย: นายประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 05, มกราคม, 2557, 06:42:36 AM
 
:AddEmoticons00943:
 

ใกล้จะล่มสลายตายแล้วไทย


ด เอ๋ย ด เด็ก
ขอยกบทกวีเปิดหน้าฉาก


ด เอ๋ย ด เด็กยังเล็กนัก
ไม่รู้จักทีหนีที่ไล่
ยิ่งสังคมจมปลักแสนหนักใจ
น่าห่วงใยเด็กน้อยพลอยรับกรรม

มองแวดล้อมรอบตัวน่ากลัวยิ่ง
ล้วนเล่ห์ดิ่งอบายร้ายเหลือล้ำ
ยื่นชั่วร้ายหลายหลากฝากระยำ
รุมกระทำต่อเนื่องทั่วเมืองไทย

ผลประโยชน์โคตรชั่วตัวมารร้าย
เรื่องหลากหลายล้วนฝากจากผู้ใหญ่
จากกิเลสเจ้ากรรมถึงทำไป
ฤๅใส่ใจภัยพิษติดเด็กมา

ไม่ได้นึกระลึกถึงซึ่งภัยโทษ
ผลประโยชน์เพียงตนจนมืดหน้า
เร่งรุนแรงแห่งกิจอวิชชา
จักเยียวยาอย่างไรคนใหญ่ทราม

เด็กน้อยน้อยพลอยม้วยด้วยเลียนแบบ
ทำเจ็บแสบเด็กไทยในสยาม
โอ้บาปกรรมเด็กน้อยพลอยลอกตาม
ไร้ดีงามเลวชั่วกลั้วอบาย

หลายหลายอย่างให้เห็นเป็นตำตา
หนึ่งพวกยาเสพติดพิษฉิบหาย
ช่องหาเงินหาทองสบายสบาย
พวกที่ขายผู้ใหญ่ผู้ใหญ่อ้ายสามานย์

ฆ่าเยาวชนฆ่าเด็กมันฆ่าฆ่า
มุ่งผลาญพล่าฆ่าดิ้นสิ้นลูกหลาน
แม้จะอยู่รูคุกรัฐบาล
ยังตามผลาญเข้าขายมากมายมี

น่าตัดหัวให้ตายหลายชั่วโคตร
พวกชั่วโฉดร้ายธรรมทำบัดสี
บูชาเงินบูชาทองว่าของดี
ลูกหลานตายเป็นผีไม่อีนัง

ด เอ๋ย ด เด็ก ยังเล็กนัก
หมู่มารยักษ์ผู้ใหญ่ให้ใบสั่ง
ให้เสพบ้าม้าไอซ์แลอีอัง
ถึงบ้าคลั่งฆ่าแม่พ่อเป็นทรพี

มั่วเมายาฆ่าคุณธรรมประจำจิต
ดุจชีวิตร้ายร้ายในซากผี
โอ้ผู้ใหญ่เลวเลวเหลวอัปรีย์
ชาติไทยนี้จะเป็นอย่างเช่นไร

คงจะเป็นพระมเหลเถไถไทยแลนด์
ไร้ซึ่งแก่นซึ่งสารร่านเหลวไหล
คงเป็นแค่พระมเหลเทไทย
ไร้ไร้ไร้ไร้ไร้ไร้คุณธรรม

สองการเมืองเรื่องใหญ่ในแดนนี้
ได้กลิ่นเหม็นเหม็นเห็นเช้าค่ำ
ซื้อเสียงอุตลุดสุดใจดำ
นี่เวรกรรมเยาวชนคนทราบความ

แต่ตำแหน่งผู้ใหญ่ใช้เงินล้าน
จึงจะผ่านเลือกตั้งทั้งสนาม
เด็กสงสัยชื้อเสียงเคียงติดตาม
สืบสอบถามรู้ผลปล้นแผ่นดิน

ใช่ซื้อเสียงทำตนเป็นผลประโยชน์
หฤโหดผลาญภาษีขยี่สิ้น
สภาเล็กสภาใหญ่เคยได้ยิน
อันดับ 88 โกงกินเลวเลวเลว

เด็กได้ดูผู้ใหญ่ในชั่วชั่ว
ลอกติดตัวชั่วชังงั่งเลวเหลว
จิตไหลลงล่างล่างล่างสะเอว
ดิ่งตกเหวคุณธรรมทาน

เด็กได้ดูผู้ใหญ่ในชั่วชั่ว
คงติดตัวชั่วชังยังเหลนหลาน
บ้านเมืองจักย่อยยับอัประมาณ
มีคนพาลครองเมืองเรื่องล้วนทราม

เรื่องที่สามเกมออนไลน์ทำลายเด็ก
เล่นแต่เล็กวัยรุ่นวุ่นสยาม
ไร้ควบคุมรุมรุกทุกเขตคาม
รวยสนามดิ่งอบายไร้ควบคุม

ทั่วในกรุงทุ่งป่าหาเล่นง่าย
ใช้เงินจ่ายน้อยนิดคิดว่าคุ้ม
พิษเกมร้ายทำลายจิตพอกพิษรุม
ล้วนแต่สุมใส่ชั่วมั่วอบาย

ยิงแทงฟันปล้นฆ่าสารพัด
เสริมใส่จัดเอาไว้ได้มากหลาย
หลากวิธีแยบยลกลอุบาย
ล้วนทำลายคุณธรรมประจำใจ

เด็กเอาอย่างทางผิดเกาะจิตมั่น
เล่นทุกวันซึมซับกับเหลวไหล
เด็กเอาอย่างชั่วช้าน่าห่วงใย
โอ้เมืองไทยเมืองทองต้องภินท์พัง

เสียเวลาเล่าเรียนเพียรศึกษา
ทิ้งวิชาหาเรื่องประเทืองงั่ง
พวกผู้ใหญ่ไม่ห่วงใยเศ้ราใจจัง
สุดเหนี่ยวรั้งเกมออนไลน์ไร้ควบคุม

อีกประการน่ากลัวชั่วราตรี
นารีสีแสงแหล่งมั่วสุม
แหล่งวัยรุ่นวัยชรามาชุมนุม
คือขุมนรกลึกศึกฆ่าคน

มีสุราปลาปิ้งหญิงยวนเย้า
ชักชวนเข้าเริงรมย์สมสุขล้น
ฆ่าเถิดฆ่าฆ่าเถิดฆ่าเยาวชน
ให้ปี้ป่นย่อยยับแลอับปาง

ธุรกิจกามาฆ่าลูกหลาน
รัฐบาลให้เสรีมิขัดขวาง
กลุ่มธุรกิจคิดแต่แค่สตางค์
ไทยเมืองร้างแห่งศีลสิ้นของดี

กล่าวถึงการพนันนั้นมากบ่อน
โดยเฉพาะบอลเล่นล้นจนป่นปี้
เปิดบ่อนเถื่อนแต่เหมือนบ่อนเสรี
มากมายมีทั่วแคว้นดินแดนไทย

ผลประโยชน์แด่ผู้เปิดประเสริฐแสน
พวกเหี้ยแลนคุ้มครองเงินทองได้
บ่อนพนันนั้นมิมีได้อย่างไร
ใครใครใครได้ประโยชน์โคตรมารผจญ

เรื่องแฟชั่นกวดขันกันได้ไหม
ลืมแบบไทยเลียนนอกออกจะล้น
กลุ่มวัยรุ่นแต่งกายไม่ใช่คน
เลยเกินพ้นวัฒนธรรมน่าช้ำใจ

แบบไทยไทยไหนคิดผลิตแฟชั่น
ให้เห็นกันต่างชาติอาจหลงใหล
จะได้ตามดีบ้างของอย่างไทย
เมืองวิไลแห่งวัฒนธรรมงาม

ได้ขึ้นเสียงขึ้นชื่อลือไปทั่ว
การแต่งตัวต้องไทยในสยาม
ชื่นชอบไหมหากใครเลียนแบบตาม
ได้มีนามไทยดีมีวัฒนธรรม

ที่ที่เห็นแฟชั่นนั้นฝรั่ง
เลียนแบบจังยิ่งบ้าก้าวหน้าล้ำ
แต่ละชุดแต่ละชุดสุดระยำ
มันเถื่อนถ้ำจริงจริงสิงจิตใจ

โชว์เนินถันโชว์สะดือฮือโชว์ขา
เหมือนจะแก้เสื้อผ้ามันเหลวไหล
มายั่วยวนกวนกามรมย์กันทำไม
พลอยให้ใจตกต่ำระยำชน

พิธีกรดาราหน้าจอโทรทัศน์
ออกอวดสัดอวดส่วนกวนใจล้น
น่าชำเราทีวีให้ปี้ป่น
คนคนคนเมื่อไรใจเป็นมนุษย์

รัฐบาลเอ๋ยเคยคำนึงถึงบางไหม
เรื่องอะไรอะไรไม่ผ่องผุด
รีบแก้ไขไทยทีก่อนที่ทรุด
ใกล้ถึงจุดล้มสลายตายแล้วไทย
 
 

               ก่อนจะเข้าเนื้อหาขอเล่าประวัติของผมเองสักนิด จะได้รู้ที่มาที่ไปเผื่อเข้าใจผมดีขึ้นบ้าง ด้วยผมเองชอบเขียนบทกวี หรือข้อความเกี่ยวกับสังคมเป็นส่วนใหญ่ สรุปอย่างนี้ดีกว่า คือต้องเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองมากที่สุด

               ผมจึงมีเบื้องลึกเบื้องหลังเล่าให้ฟังบ้าง หลายคนยังไม่รู้ว่าผมอยู่เมืองเดียวกับ อังคาร กัลยาณพงศ์ นักเขียนซีไรต์ ปี 2529 เรื่องที่เขียนก็เป็นเรื่องของสภาพสังคม  และยังมีนักเขียนซีไรต์อีกคน ที่อยู่เมืองเดียวกับผม คือ "ศิลา โคมฉาย" คุณวินัย บุญช่วย หรือผมเรียกว่า "อ้ายเบี้ยว" เป็นทั้งญาติ และเพื่อน เคยร่วมชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นศึกษาปีที่ 4 เคยแย่งอับดับที่ 1 ที่ 2 การสอบไล่มาตลอด ผมคิดว่าเรื่องที่เพื่อนเขียนก็เรื่องเกี่ยวกับสังคมเช่นกันนี่คือความคล้ายคลึงของทั้งสองท่านกับผม   เกิดเป็นชาวนครศรีธรรมราชด้วยกัน     คล้ายคลึงเรื่องแนวคิด      แต่ความเก่งไม่คล้ายกันคือทั้งสองท่าน
เก่งกว่าผมมาก ๆ

             สมัยผมอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนั้นมีถนนตัดผ่านหน้าบ้าน  ถนนที่ชาวบ้านสร้างกันเอง โดยขุดกันด้วยจอบ เขาเรียกว่า  "ถนนพัฒนาการ"  เป็นการนำของนาอำเภอ คูถนนสองข้างจะมีปลามาอยู่ในช่างฤดูน้ำหลาก    ถึงฤดูแล้ง น้ำแห้งขอดก็ได้จับปลากัน  ครั้งหนึ่งผมจับปลาที่คูถนนหน้าบ้าน ทำความสกปรกให้ถนนพอสมควร คือโยนเรียวไม้   ขวากหนามอะไรเหล่านั้นไว้บนถนน    มาพบพอดี ก็ต่อว่าผมทันที   ผมยังจำคำพูดของผมมาถึงวันนี้ ว่า   "แม้จะเป็นผู้ใหญ่หากบุกเข้าป่าหนามหนามก็แทง"   คำพูดนี้ที่จำได้ดีเพราะท่านผู้ใหญ่ได้ไปรายงานให้คุณแม่ทราบ ในทำนองว่าผมเป็นคนพูดจาคมคายเฉียบแหลม      และพูดในทำนองโดยสรุปว่า "หัวรุนแรง" อะไรทำนองนั้น

              คำว่า "หัวรุนแรง" ของผมก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่ว่าอยู่บ้าง จากที่ผมค้นพบกลอนเก่า ๆ สมัยเคยแต่งไว้เมื่อชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1-2-3 (พ.ศ. 2508-2510) ล้วนเป็นเรื่องของสังคม  และใช้คำที่รุนแรงพอสมควร  อ่านแล้วสรุปว่าความคิดความอ่านยังเหมือนปัจจุบัน   เป็นคนรักความถูกต้อง   รักความตรงไปตรงมา   รักความเป็นธรรม  จิตใจมีที่จะช่วยเหลืออยู่เป็นทุน     บทกวีของผมอาจจะแฝงดัวยถ้อยคำที่รุนแรงบ้าง     ทั้งนี้เพื่อสะท้อนสังคมตามแนวคิดของกวี      มันเป็นเรื่องกวีต่างหาก      และที่สำคัญต้องการผลักดันสังคมสู่ความเป็นธรรม    ตามแนวคิดที่นำเสนอ     "ธรรมชาติธรรม"     ในเว็บไซต์
http://www.naturedharma.com     ที่ท่านให้การต้อนรับมาด้วยดี

               ขอเข้าเรื่องใกล้จะล่มสลายตายแล้วไทย ซื่อยาวสักนิดแต่ก็สื่อสารได้ดี ได้ครบถ้วนตามที่ตั้งใจ ถ้ามองอย่างลึกซึ้ง มองจอย่างพิสดารว่าอย่างนั้นเถอะ ประเทศไทยเรากำลังล่มสลายจริง ๆ  ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ประเทศล่มสลายต้นต่อใหญ่ที่สุด  โดดเด่นที่สุดคือ   เรื่อง   "วัตถุนิยม"   ปัจจัยนี้ถือเป็นหัวเงื่อน   รากเง้า   จุดเริ่ม   หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ในลักษณะนี้ได้เลย  ที่ถือว่าวัตถุนิยมเป็นจุดเริ่ม  ก็เพราะวัตถุนิยมเป็นเรื่องของผลประโยชน์ การมีผลประโยชน์ตัวเดียวทำให้ความชั่วร้ายในเรื่อง การเอารัดเอาเปรียบ วิธีหาช่องทางทีแฝงด้วยชั่วร้ายเพื่อเอาชนะคู่แข่ง  เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ตัวควบคุมสังคม ที่ดีที่สุดจางไป หรือถึงกับเหือดหายไป นั่นคือศีลธรรม หรือจะเรียกว่ารวมว่าคุณธรรมก็ไม่ผิดเพี้ยนเท่าไร ด้วยสองอย่างนี้คู่กัน แทบจะแยกไม่ออก อย่าเอาถ้อยคำมาอธิบายผิดถูกกันเลย เอาแต่ความรู้สึก และความเข้าใจกันดีกว่า เมื่อศีลธรรมหาย คุณธรรมตายจาก

              ความชั่วในรูปแบบต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นในสังคม เกิดขึ้นทุก ๆ ด้านพร้อม ๆ กัน มันจึงเกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างรวดเร็ว ความล่มสลายก็เร็ว การใช้หัวเรื่อง "ใกล้จะล่สลายแล้วไทย หรือ "ไทยใกล้ล่มสลาย" ก็ถือว่าถูกต้อง และดูดี

             การขาดศีลธรรม ขาดคุณธรรมถูกแทรกเข้าทุก ๆ เรื่องที่มีในสังคม แต่ในที่นี้พูดไปตามที่เสนอไว้ในบทกวีคือเรื่องต่อไปนี้
      1. การเมือง
      2. ยาเสพติด
      3. เกมออนไลน์
      4. บ่อนการพนัน
      5. แฟชั่น

          การเมืองเป็นหัวเงื่อน เป็นรากเง้า เป็นจุดเริ่ม ของเรื่องอีก 4 เรื่องที่ยกมา คือ เรื่องยาเสพติด เกมออนไลน์ บ่อนการพนัน และ เรื่องของแฟชั่น จึงขอยกเอาการเมืองมาพูดก่อน ก่อนจะพูดการเมืองขอยกประเทศฟินแลนด์ มาเล่าสู่กันฟัง ที่ยกมาก็เกี่ยวของกับการเมืองอยู่บ้าง

          ผมรู้จักประเทศฟินแลนด์พอสมควรจากการเปิดดูในอินเทอร์เนต และรู้จักดีเมื่อพี่เลี้ยงน้องของผมไปได้สามีชาวฟินแลนด์ จากการประกาศจัดอันดับคอรัปชั่นปี 2555  ลำดับประเทศที่โกงกินน้อยที่สุดปีนี้ คือประเทศเบลเยี่ยม   ถ้าจำไม่ผิด    และที่จำไม่ผิดแน่ ๆ    คือประเทศฟินแลนด์    ถูกจัดอันดับให้อยู่ลำดับที่ 2 สรุปว่าไม่โกงกินก็แล้วกัน เพราะการจัดอันดับโกงกินเขารวมไปในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง ได้คือเรื่องการแต่งตั้ง   โยกย้ายข้าราชการเข้าด้วย   สรุปให้สวยงามว่าประเทศฟินแลนด์ไม่มีการโกงกินก็แล้วกัน   สำหรับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 88 จากประเทศ 176 ประเทศ ถือว่าโกงมาก ๆ   ที่จำและมากขึ้นทุกปี เพราะสมัยปี 2544 อยู่อันดับที่ 60 กว่า ๆ

           ข้อมูลสด ๆ ของประเทศฟินแลนด์ จากปากพี่เลี้ยงน้องผม เขาเก็บภาษีจากผู้ประกอบการสูงมาก เก็บจากรายได้ถึงร้อยละ 30 คือร้อยหนึ่งเก็บเข้ารัฐ ถามย้ำว่ากำไรหรือรายได้รวมเขาบอกว่ารายได้รวมเขามีคุณธรรมสูงมาก   ที่ว่าสูงมากด้วยเหตุผลว่า   ผู้ประกอบการไม่โวยวาย เมืองไทยเราขึ้นค่าแรง 300 บาท ให้กับผู้ใช้แรงงาน   ดูแล้วมีปากเสียงจากนายทุนไม่รู้จักจบสิ้น   จริง ๆ    ค่าแรงปัจจุบัน ถ้าตรงตามหลักเศรษฐศาสตร์น่าจะมากกว่า 300 ร้อย ตรงนี้เองที่วัดคุณธรรมกันได้ ท่านลองวัดคุณธรรมนักธุรกิจประเทศฟินแลนด์ กับ ประเทศไทยดูเอาเองก็แล้วกัน

             จากภาษีที่เขาเก็บได้มาก ๆ เมื่อเขาไม่มีการโกงกินก็ตกที่การบริการประชาชน บริการให้สังคมเป็นธรรม ให้ผู้ที่เกิดมาร่วมในสังคมเดียวกันมีความสุขใกล้เคียงกันทุกคนไม่ให้เกิดช่องว่างรวยจน   ในสังคมมากนัก อย่างนี้ถือเป็นระบบวัตถุนิยมที่ดี ที่มีคุณภาพ ที่ควรสนับสนุน พี่เลี้ยงผมบอกว่า " นี่ลูกคนนี้เกิดที่ฟินแลดน์เขามีเงินเดือนแล้วนะ ประมาณเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะเข้าเรียนชั้น ป.1 " และ "ตอนที่คลอด เขาถือว่าแม่ไม่ได้ทำงานจะจ่ายให้ แม่เดือนละ ประมาณ 18,000 บาท เมื่อคิดเป็นเงินไทย" ผมจำไม่แน่ชัดว่า จ่ายให้ 1 ปี หรือถึง 3 ปี สวัสดิการคนแก่ก็คงมีพอประมาณ ผมไม่ได้ถาม คิดเหมาว่าคงมีแน่จากที่เห็นด้านอื่น ๆ

              ขอพูดฟินแลนด์อีกนิด  ด้วยยังติดใจ   ขอเล่าถึงการบริหารจัดการของโรงพยาบาล  เขาจัดระบบได้ดีมาก จัดง่าย ๆ คือโรงพยาบาลของเขาไม่มีญาติเฝ้าคนไข้นั่นเป็นการรับประกันร้อยเปอร์เซ็น ว่าเขาบริการได้ดีได้เยี่ยมญาติไม่ต้องมาเฝ้าให้เสียเวลา ให้เกะกะเจ้าหน้าที่ ประเทศไทยผิดกันลิบ ขอชมโรงพยาบาลนครินทร์ สงขลา มีลักษณะเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้ นี่พูดตามที่เห็น ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลของเมืองไทยที่ไหนเหมือนของฟินแลนด์บ้าง      ผมยังนึกต่อไปว่าเขาทำดีอย่างนี้      เขาน่าจะไม่มีห้องพิเศษ   คงเป็นห้องพิเศษทั้งโรงพยาบาล   คือเขาจัดได้ดี และเสมอภาค     ประเทศไทย มีห้องพิเศษไว้ต้อนรับคนรวย เป็นธุรกิจโรงพยาบาลหาเงินคนรวย ข้าราชการมักถูกห้องเกินสิทธิ์ เพราะไม่รวยจริง ก็ต้องเสียรายนอกเดือนร้อนกันไป คนจนหมดสิทธิ์นอนห้องพิเศษโรงพยาบาล  นอนห้องรวมที่หนาแน่นไปด้วยคนเฝ้าไข้ ไปหายใจเอาไอร้อนรดคนไข้กันเต็มโรงพยาบาล คนไข้จะหายเร็วกลับหายช้า หรือไม่ก็กลุ้มใจตาย ที่ขอพูดเพียงนิดน่าเป็นประโยชน์อยากมาก    โรงพยาบาลบ้านเราส่วนใหญ่ญาติคนไข้ไปกันหนาแน่น    ไปนอนกันแน่นทางเท้าโรงพยาบาล    แถมบ้วนน้ำหมากน้ำลาย   ทิ้งก้นบุหรี่   ทิ้งก้นใบจากไว้เพราะเชื้อโรคอีกต่างหาก    ที่สำคัญญาติคนไข้ก็ไม่ได้กรีดยาง ไม่ได้ขายข้าวแกง ล้วนขาดร้ายได้ มิซ้ำร้ายเงินทองที่มีไปหมดกับค่ารถค่าอาหารเสียอีก น่าคิดบริหารกันใหม่

              เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้นึกได้อีกเรื่อง จำเป็นต้องพูดเพราะมันเป็นเรื่องคุณธรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  กลุ่มประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย   มีคุณธรรมอันดับต้น ๆ มีประเทศอะไรบ้างก็จำได้ไม่หมด ขอเล่าถึงประเทศเดนมาร์ค     มีเพื่อนผมคนหนึ่ง   เป็นชาวนครศรีธรรมราช    ภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอขนอม    แกมีคู่เขยอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ค   บางปีแกไปหาคูเขย       ไปหาช่วงฤดูที่มีการเก็บผลไม้ป่าซึ่งงอกบนภูขา จะได้เก็บขายกับเขาบ้าง ไปเก็บแค่สามเดือน ทำเงินได้ถึงสามแสน ไม่รู้ว่าผลไม้อะไร จำไม่ได้ อย่าไปรู้ชื่อมันเลย เอาตรงที่จุดคุณธรรมดีกว่า สมมุติว่าแก่เคยขายพ่อค้าคนกลาง กิโลกรัมละ 15 บาท ทำอย่างนี้กันเป็นเวลาเกือบสองเดือน     วันนั้นนึกแปลกใจได้เงินมากกว่าที่เคยขาย    สอบถามพ่อค้าคนกลางได้รู้ข้อเท็จจริงว่า     พ่อค้าคนกลางไปขายได้ราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม10 บาท  จึงมาแบ่งให้ผู้เก็บตามอัตราส่วนที่ควรจะได้ นี่คือคุณธรรมที่มีในหมู่ชาวเดนมาร์ค ถามว่าพ่อค้าคนกลางเมืองไทยมีอย่างนี้หรือไม่ คงหาไม่ได้เลย เพราะแม้แต่ราคาที่ซื้อจากชาวสวนชาวนาชาวไร่ก็ยังจะกดราคากัน แถมโกงตาชั่งเสียอีก นี่คือศีลธรรม นี่คือคุณธรรม

                 ข้อมูลทั้งหมดที่เล่ามามากมายก็เพื่อให้เราเห็นถึงความสำคัญของคุณธรรม ศีลธรรม ที่เป็นสิ่งสำคัญช่วยเป็นเกราะป้องกันพิษภัยของสังคม ทำให้สังคมมีความเข้มแข็ง มีความสุขความเจริญ ได้กล่าวแล้วนักการเมืองเปรียบเสมือนหัวเงื่อน    รากเหง้า   หรือจุดเริ่ม ของทุกเรื่องในสังคม สรุปว่าเป็นหัวขบวนของสังคมที่จะนำความถูกต้องทั้งหลายสู่สังคมเพื่อความสันติสุขอย่างยั่งยืน  ฉะนั้นถ้านัก  การเมืองขาดคุณธรรม ขาดศีลธรรม งานทุกอย่างจึงล้มเหลวตามมา จากการโกงกินอันดับ 88 ของ โลก เป็นตัวชี้วัดความล้มเหลวอย่างดี

             ระบบทุนนิยม เป็นเรื่องของผลประโยชน์เฉพาะ ผลประโยชน์ทำให้คนขาคุณธรรม ขาดศีลธรรม เมื่อผู้นำขบวน ทีมนำขบวนขาดคุณธรรม ต่างอยู่บนผลประโยชน์แล้ว ขอถามว่า ยาเสพติด บ่อนพนัน เกมออนไลน์ แฟชั่น หรืออื่น ๆ บริหารจัดการกันถูกต้องแค่ไหน ทั้งในระบบทางราชการ และระบบเอกชน การแพร่กระจายการโกงกินที่เป็นระบบ และเกี่ยวโยงกันกับหน่วยงานต่าง ทั้งรัฐ และเอกชนเพียงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มที่ประสานกันโยงใยกัน    ล้วนเป็นการเอารัดเอาเปรียบสังคม    ผู้ที่ตกเป็นเยื่อเยี่ยงทาสรับใช้นั่นคิอผู้ใช้แรงงาน     พวกแรงงานในประเทศเรามีจำนวนมาก ประมาณ   85    เปอร์เซ็นต์ อยู่ในรูปแบบทาสที่แอบแฝง

                 อีกอย่างเกี่ยวกับนักการเมือง มันไม่ใช่เรื่องโกงกินแต่มันก็เหมือนเรื่องโกงกิน คือเรื่องที่พูดกันว่า  "ตามน้ำ"  นั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่เป็นส่วนแบ่งจากงบประมาณโดยมิได้โกงกิน   ส่วนเรื่องทวนน้ำก็ตรงข้ามกัน การตั้งงบประมาณเผื่อไว้สูง ๆ อย่างนี้ มันเอื้อต่อนักการเมือง ข้าราชการประจำ นายทุน นี่มันแอบแฝงรีดภาษีกันซึ่ง ๆ หน้า ถามจริง ๆ การตั้งงบประมาณเผื่อเหลือเผื่อขาดถึงมาก ๆ อย่างนี้หากพูดว่า "แอบแฝงรีดภาษี" มีส่วนถูกหรือออย่างไร  ที่สำคัญทำไมบรรดา ส.ส. ทั้งหลายผู้เป็นฝ่ายนิติบัญญัติไม่ช่วยแก้กฎหมายเพื่อประชาชนกันบ้าง หากพูดว่า "แอบแฝงรีดภาษี" ก็น่าจะพูดได้


                  ขอวกมาที่ว่าทำไมจัดพวกแรงงานทั้งหลายว่าอยู่ในทาสที่แอบแฝง   ก็พูดให้เห็นแล้วตอนต้น   แต่บางคนอาจจะมองไม่เห็นจะขอพูดให้เห็นชัดเจนอีกครั้ง   บรรดานักการเมือง ซึ่งเป็นหัวขบวน  หัวขบวนโกงกินอันดับ 88 ถามว่าผู้ที่โยงใยประสานกัน   อย่างนายทุน    รัฐวิสาหกิจ    ธุรกิจเอกชนซึ่งมีมากมายมีส่วนร่วมผลประโยชน์หรือไม่   แน่นอนย่อมมีผลประโยชน์เกี่ยวโยงกัน   ได้ประโยชน์จากงบประมาณที่เรียกว่า "ตามน้ำ" ร่วมกันหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าได้ นี่คือทาสรับใช้แอบแฝง เพาะภาษีของทุกคน เอาสักอย่างห้องพิเศษของโรงพยาบาล พวกคนจนได้นอนห้องพิเศษบ้างไหม นั่นภาษีของทุกคน แต่ทำไมคนจนไม่ได้นอน ถามว่ามีความเท่าเทียมหรือไม่อย่างไร และหากนำเงินที่เป็นภาษีเปลี่ยนเป็น บุคลากรทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ทันสมัยที่ยังขาดแทน จะไม่ดีกว่าสร้างห้องพิเศษให้คนส่วนหนึ่งส่วนน้อยหาความสะดวกสบายหรือ     กับอีกส่วนมากยังเดือดร้อน    นี่คือทาสแอบแฝง      เรื่องอื่น ๆ อีกมากอยากให้สังคมลองหาความจริงกันบ้าง

               และเมื่อถึงจุดหาความจริงได้ทุกคนจะได้เข้าใจถึงการอยู่ร่วมอย่างมีสุขของมวลมนุษยชาติที่แท้จริง แม้จะเป็น "ระบบทุนนิยม" อย่างฟินแลนด์ก็ถือว่ามีระบบที่พัฒนา เห็นความเสมอภาคของบุคคล นั่นเพราะคนมีคุณธรรม มีศีลธรรม และหากให้ดีเลิศประเสริฐศรีก็ต้อง "ระบบพอเพียงนิยม" ตามแนวที่ผมนำเสนอผ่าน "ธรรมชาติธรรม" ท่านลองติดตามแนวคิดของผมบ้าง และจะได้เห็นอย่างผมว่า "ใกล้จะล่มสลายตายแล้วไทย"      หรือจะเปลี่ยนใหม่ให้หรูว่า    " ไทยใกล้ล่มสลาย"     หรือ "ตายแล้วประเทศไทย"
 
ประทีป  วัฒนสิทธิ์
ธรรมชาติธรรม[/size]

 :AddEmoticons00926:


หัวข้อ: Re: ข้อคิดเพื่อสังคม2
เริ่มหัวข้อโดย: นายประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 15, กุมภาพันธ์, 2557, 11:17:14 PM
พ่อแม่สมัยใหม่-ลูกสมัยใหม่

          สมัยก่อนไม่มีการคุมกำเหนิด  เขาพูดเชิงสนุก ๆ ว่า "เกิดได้เกิดเอา"  และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวมีลูกไม่ต่ำกว่า 5 คนขนาดถึงมีลูกเป็นโหลก็เคยได้ยินเขาพูดกัน เล่ากันให้ฟัง สมัยนี้มีการรณรงค์ให้มีลูกได้ 1- 2 คน "หญิงก็ได้ชายก็ดีมีแค่สอง" พ่อแม่สมัยใหม่จึงมีลูกอย่างมากก็เพียง 2 คน เหมือนเป็นค่านิยมกันไปแล้ว บางคนถึงกับประกาศว่าเอาแค่คนเดียว ด้วยเหตุผลว่ามีหลายคนเป็นภาระมาก ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ที่ทำมาหากินลำบาก สรุปว่าครอบครัวคนยุคใหม่มักจะมีลูกไม่เกิน 2 คน

          พ่อแม่ที่มีลูกเพียงหนึ่งคนส่วนใหญ่จะโอ๋ลูกอย่างมากจนคนใกล้เคียงรู้สึกหมั่นไส้ เนื่องจากเอาใจลูกเกินเหตุ  ลูกจะเอาอะไรได้ทั้งนั้น ที่เขาพูดว่ายกเว้นดาว และเดือน   เดี๋ยวนี้พ่อแม่เหมือนจะท้าทายลูกว่า  "เอาเลยลูกได้ทั้งนั้น ไม่ว่าดาวหรือเดือน"   สรุปว่าสิ่งที่ลูกต้องการแม้จะหามาได้ยากลำบากเพียงไรพ่อแม่จะหาให้จนได้   การเอาใจลูกนี้เองที่ทำให้เกิดผลเสียอย่างมีเพลงชื่อ"ลูกเทวดา"เนื้อหาสาระของเพลงสะท้อนให้เห็นถึงการโอ๋ลูก อะไรทำนองนั้น

         เด็กที่ถูกตามใจจนเกินเหตุเป็นเด็กที่อ่อนแอไปในทุกเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มีผลเสียต่อเด็กอยากมาก เด็กที่ถูกตามใจจะขาดประสบการณ์ทั้งทางกายและทางจิตใจ  จึงเป็นเด็กที่อ่อนแออย่างสมบูรณ์แบบ   เด็กพวกนี้จะไม่รู้จักลำบาก   ไม่รู้จักตรากตรำ  ไม่รู้จักรับผิดชอบ หนักไม่เอาเบาไม่สู้   ขี้เกียจดูดายไม่มีเหตุผลโดยสรุปเด็กประเภทนี้จะขาดคุณธรรมแทบทุกข้อที่มนุษย์พึงมี   ก็ขอลองสรุปเอาเองว่ามันขาดอะไรไปบ้าง   พอจะมีคุณธรรมอะไรที่พอจะติดตัวมาบ้าง  หากว่าพูดสรุปสั้น ๆ ว่า  "เด็กประเภทนี้พาตัวไม่รอด"  ก็คงสรุปเป็นเชิงความคิดรวบยอดได้เป็นอย่างดี

          มักจะได้ยินคำพูดของพ่อแม่ว่า "ลูกกูต้องเหมือนลูกเพื่อน"ชาวบ้านร้านตลาดเขาปฏิบัติกับลูกอย่างไรจะต้องทำให้ได้ทุกอย่างจะลำบากอย่างไรจะต้องดิ้นรนอย่างไร ต้องทำให้ได้  ต้องหาให้ได้  ยอมเดือดร้อนทุกอย่าง ยอมเสี่ยงทุกอย่าง แม้ไม่ควรเสี่ยง นี่เป็นเพราะตั้งเป้าว่า "ลูกเราต้องเหมือนลูกเพื่อน" เคยมีเรื่องทำนองนี้ที่เล่าต่อ ๆ กัน เรื่องส่งลูกเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ฯ  ลูกขอเงินเท่าไรให้เท่าที่ขอ ในที่สุดลูกก็เรียนไม่สำเร็จ เนื่องจากนำเงินส่วนเกินไปจ่ายสุรุ่ยสุร่าย  ไปเที่ยวเตร่   จนไม่ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เด็กที่เหมือนตัวอย่างนี้มีมากมาย ก็เข้าทำนองลูกกูต้องเหมือนลูกเพื่อน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องลักษณะตามใจเกินเหตุเช่นกัน

          "เป็นเพราะเพื่อน"  คำพูดทำนองนี้ได้ยินจากปากพ่อแม่ผู้ปกครองสมัยใหม่อยู่เสมอ  คือเข้าทำนองไม่ได้โทษลูกของตน  ที่ลูกผิด  ที่ลูกทำพลาดพลั้งนั้นเป็นเพราะเพื่อน คำพูดทำนองนี้เมื่อลูกได้ยินเป็นเรื่องการให้ท้ายลูกทั้งสิ้น เด็กจึงเหลิงได้ง่าย ทั้งยังสำคัญตัวเองว่าเป็นผู้ถูกอยู่เสมอ ขาดความยั้งคิด ขาดการพิจารณา ขาดการสำรวจตัวเอง จึงกลายเป็นคนที่ไม่ปรับปรุง และพัฒนาตนเองได้

          คำพูดของพ่อแม่ที่เข้าลักษณะส่งเสริมให้ลูกเหลิงคือ  "อ้ายไข่กูไม่ได้แหละ..."  เหตุการณ์เข้าลักษณะนี้เช่น  พอลูกตนเองไปกระทำความเดือดร้อนให้เพื่อน  เช่นชกต่อย หรือขั้นรุนแรงกว่านั้น   ชนะเพื่อนในด้านคำพูด ในด้านทางกายก็ดี  เมื่อลูกได้ยินคำพูดทำนองนี้  ลูกจะรู้สึกว่าตัวเองเก่ง  ตัวเองกล้า  มีคนอยู่หลังคอยสนับสนุน  คอยป้องกัน  คอยให้กำลังใจ อะไรทำนองนี้ลูกก็เรื่อมจะเหลิงลอยทันที

         ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวปัจจุบันที่ปูพื้นฐานให้ลูกผิด ๆ   ล้วนแต่เป็นการฆ่าลูกทางอ้อม  ฆ่าครอบครัว  ฆ่าสังคม  และผลสุดท้ายคือฆ่าประเทศชาติ ทำลายประเทศชาตินั่นเอง


http://www.naturedharma.com/data-1615.html  

ประทีป  วัฒนสิทธิ์
15 กุมภาพันธ์ 2557