บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: Black Sword ที่ 09, พฤศจิกายน, 2561, 11:42:12 PM



หัวข้อ: ..-๐ ญ่า : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
เริ่มหัวข้อโดย: Black Sword ที่ 09, พฤศจิกายน, 2561, 11:42:12 PM
(https://image.ibb.co/fw3v0A/Drawings-180948-380-400.jpg) (https://imgbb.com/)
ขอบคุณรูปภาพจาก Internet ผลงานของ อ. ประเทือง เอมเจริญ


ญ่า


          สายัณห์หนึ่งในวสันตฤดู  ฝนหายพรายเมฆขาวสะอาด  สุมทุมพุ่มไม้เขียวชะอุ่มลออสดใส  ดวงตะวันยอแสงรุ้งลงกินน้ำ  เบื้องหลังภูเขาสูงลมโชยแมกไม้ยูงยางสลัดน้ำฝนลงแพรวพราย  เป็นชนบทเปล่าเปลี่ยวห่างไกลจากตัวเมือง

          หญิงชราร่างหง่อม  อาศัยกระท่อมเก่า ๆ  กลางไร่ร้าง  นางมีผมเหมือนสีหมอกดอกเลา  ใบหน้านั้นย่นและแห้งเหี่ยว  เว้นแต่แววตายังวาวแต่ก็ราวกะเวลาโพล้เพล้  อายุขัยแปดสิบเศษ  หลังนั้นค่อมลงมากแล้ว

          นางอยู่ในวัยของ  ญ่า  ไร้ญาติขาดมิตร  เก็บผักหักฟืนขายเลี้ยงชีพมาช้านาน  เวลานี้ร่างกายผ่ายผอมลง และเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ  อดมื้อกินมื้อ  อยู่มาวันหนึ่ง  เพิ่งหายไข้  อยากจะกินข้าวกะแกงเลียงยอดผักหญ้า  จึงออกจากกระท่อมเที่ยวเก็บผัก  เห็นยอดตำลึงไหว ๆ  ฉะอ้อนกระแสลม  พอจะเอื้อมเด็ดเถาตำลึงหนึ่งร้องว่า

          ญ่าเก็บฉันก่อนเถอะ  เถานั้นเป็นน้องสาว  รอไว้พรุ่งนี้  บางทีเธออาจจะมีเรื่องสนทนาปราศรัยกะญ่าบ้างก็ได้  นางให้พิศวงงงงวยเป็นที่สุด  แต่ก็แข็งใจตอบไปว่า  แน่แท้หรอกเจ้า  ฝูงคนทั้งแผ่นดินนั้นมีพรุ่งนี้  แต่เฉพาะญ่าแล้ว  วันนี้เป็นวันสุดท้ายเสมอ  ไม่แน่นอนนักพอไก่ขันล่วงสามยามปลาย  ญ่าอาจจะสิ้นลมก็ได้  เกือบตายมาหลายหนแล้ว  วันนี้จึงอยากจะขอกินแกงเลียงให้ชื่นใจสักหน่อยเถอะ

          ยอดกระถินถามนางบ้างว่า  ญ่ามีข้าวสารหรือเปล่า  เออ  พอมีบ้างซื้อไว้สี่ห้าทะนานหลายวันแล้ว  เหลืออยู่สักทะนานกว่า ๆ  แต่ข้าวเป็นมอดต้องเก็บมอดทิ้ง  กะว่าจะได้หุงก็ตอนเข้าไต้เข้าไฟ  โพล้เพล้นี่แหละ

          พอหญิงชราพูดขาดคำ  มะละกอสุกงอมเหลืองอร่าม  ร้องบอกเสียงสั่นเครือว่า  ญ่าเอาผลอันสุกงอมของฉันไปกินก่อนเถอะ  นางยังไม่วายพิศวง  กล่าวขอบอกขอบใจในพืชพันธุ์เหล่านั้นเป็นล้นพ้น

          มะละกอบอกซ้ำว่า  ญ่าเอาผลของฉันไปกินก่อนเถอะ  แรงโอสถบางอย่างจะล้างลำไส้ของญ่าให้สะอาด  แล้วให้ญ่าทำใจให้สบาย  ลืมวิตกกังวลจนสิ้นเชิง  รื่นอารมณ์ชมชื่นในแสงรุ้งตะวันทั้งเจ็ดสี  ตื่นแต่เช้าหายใจอากาศสดบริสุทธิ์ไว้ต้อนรับอุษาเทพเจ้า  อ่อนไท้จะประทานประกายปีติทิพย์มาให้ญ่า  จะยืดอายุขัยออกไปอีก  ญ่าจะมีวันพรุ่งนี้สืบเนื่องไปตามแรงปรารถนาของหัวใจ

          นางถามว่า  ทำไม  ต้นไม้จึงพูดได้เล่า  วันก่อน ๆ  ก็เห็นนิ่งเป็นใบ้อยู่ทั้งสิ้นหรือชะรอยเจ้าจะมีน้ำใจ  ซ่อนเร้นอยู่อย่างลี้ลับลึกซึ้งดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  มีเมตตาธรรมกว้างขวางหนักหนา  ทำให้ญ่าดีอกดีใจจนเกิดปีติเป็นแรงทิพย์มีกำลังวังชาสดชื่นขึ้น

          บัดดลนั้น  พฤกษชาติในไร่เปรย ๆ  ประสานเสียงขึ้นพร้อมกันว่า  ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์  แต่อุปนิสัยใจคออันคับแคบตระหนี่ถี่เหนียวของมนุษย์  มิได้มีอิทธิพลเหนือเราเลย  เราไม่เอาอย่างจริต  มารยาสาไถย
 ของมนุษย์เป็นอันขาด  เว้นจากญ่าแล้วเราก็มิได้พูดด้วย  เราเห็นญ่าถูกทอดทิ้ง  ขาดน้ำใจจากสังคมมนุษย์  จึงสุดที่จะสมเพชเวทนาอดวาจาไว้มิได้

          ที่จริง  เทพเจ้า  ก็ได้ประทานดวงวิญญาณแก่สรรพสิ่งทั้งหลาย แต่เรารักจะเป็นใบ้  ถึงจะมีภาษาก็เสมือนหามีไม่  ซึ่งบางครั้งเราก็สนทนากันบ้าง แต่ภาษานั้น  ลี้ลับลึกซึ้งจนเกินหูสามัญมนุษย์จะล่วงรู้ถึง  ครั้งแรกเราหลงว่าญ่าจะสิ้นลมในคืนนี้  แต่โชคดีเหลือเกินที่รู้ว่า  ญ่าเกิดแรงยินดีมีปีติเป็นทิพย์เท่ากับยาอายุวัฒนะ  ทำให้ญ่ายืดอายุขัยออกไปอีกนานทีเดียว  นางนิ่งฟังวังเวงใจ  ทันใดยอดผักบุ้งในสระหลังกระท่อมพูดขึ้นบ้างว่า

          ญ่าจ๋า  ฉันจะแตกยอดให้ญ่าเก็บไปขายที่ตลาดทุก ๆ วัน  ภายหน้าผู้คนจะมากมายขึ้น  ฉันจะมีราคาแพงขึ้นบ้างละ  แล้วญ่าช่วยตีฆ้องร้องป่าวไปด้วยว่า  ผักบุ้งเป็นโอสถวิเศษ  กินแล้วช่วยให้สายตาดีขึ้นมากด้วย

          หญิงชราตื้นตันใจ  จนน้ำตาพร่าพรายลงอาบแก้ม  ก้มกราบกับแผ่นดิน  ขอบใจในบุญคุณพระแม่ธรณี  และผักหญ้าพฤกษชาติเป็นล้นพ้น  แล้วออกปากว่า  ญ่าให้รู้สึกเกรงอกเกรงใจเต็มที

          เวลาเก็บเจ้าไปขายนั้นนะ  เจ้าไม่เจ็บปวดบ้างเลยหรือ  ยอดผักบุ้งไหว ๆ  หัวเราะแล้วตอบว่า  เทพเจ้าเท่านั้นที่มีน้ำพระทัยประเสริฐเลิศล้ำ  ญ่าคิดหรือว่าถ้าเทพเจ้าสร้างประสาทมาในผักหญ้านานาพันธุ์ไม้ไว้รู้สึก  แผ่นดินนี้จะระงมไปด้วยเสียงคร่ำครวญ  บาดเจ็บ  สาหัส  จากผลการกระทำของมนุษย์ทุกคืนวัน  ที่ฉันพูดได้ รู้สึกระลึกได้  เหตุด้วยแรงจากดวงวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์

          โชคดีมาก  ต้นไม้ทั้งหลายไม่มีประสาทไว้รู้สึกเจ็บปวด  ถ้าสู้ความทุกข์ระทมขมขื่นไม่ได้ก็ตายไปเลย  ขอให้ญ่าเก็บฉันไปขายเถอะ  ฉันยินดีจะงอกงามขึ้นใหม่เสมอ

          หลังจากวันนั้น  ผักบุ้งในสระก็ทอดยอดงดงาม  หญิงชราเก็บไปขายที่ตลาดพอได้เงินซื้อข้าวซื้อกับกิน  ครองชีวิตในกระท่อมเก่า ๆ  จากบางตับผุขาดจนเห็นแสงดาวระยับย้อยมาตามช่องโหว่นั้น  ดาวไถก็คล้อยฟ้าไปแล้ว  กบเขียดร้องเสียงใสเป็นเวลาดึกสงัด

          ขณะนี้หญิงชราล้มเจ็บป่วย  เป็นมาเลเรียมาหลายวันแล้วพิษไข้ขึ้นสูง  ให้หูอื้อ  ตาลาย  ละเมอเพ้อเจ้อ  อากาศแปรปรวน  อบอ้าว  เมฆสีหม่นหมองมาบดบังจันทร์  กระแสลมเริ่มพัดจนรุนแรงจัดขึ้นเป็นวายุกล้า  หวั่นไหวไกวเมือง  หมู่ไม้เสมือนชิงช้ากลางสายฝน  สายฟ้าแลบแปลบปลาบ  แล้วฟาดเปรี้ยงสนั่นลั่นโลก  หญิงชราตกใจสลบไปร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำฝน  ล่วงไปหลายนาฬิกาฝนก็ซาหาย  ฟ้าจวนสางแสงเงินแสงทอง  เสียงโประดก  นกหกร้องร่าเริงอยู่แจ้ว ๆ

          นางฟื้นขึ้นแล้ว  พิษไข้กลับย้อนซ้ำอีก  อนิจจา  ละเมอเพ้อสิ้นสติ  หลงใหลลงเก็บผักบุ้ง  ยอดผักบุ้งร้องบอกว่า  ญ่าอย่าลงมา ๆ  มีงูร้ายอยู่ริมสระ  มันกำลังร่านคู่ประสมพันธุ์กัน  แต่นางไม่ได้ยินเสียงอันหวังดีนั้น  ดุ่มเดินลงไป

          บังเอิญ  ถึงคราวเคราะห์ร้าย  เหยียบปลายหางงูเห่าฉกรรจ์  งูตกใจฉกกัดเอาเต็มที่  ฝังสองเขี้ยวพิษไว้เต็มแรง นางรู้สึกเสียวปลาบที่หลังเท้า  ก็เอามือลูบคลำ  งูกัดซ้ำเข้าที่มือจึงรู้สึกตัวว่าถูกงูกัด  ก็พลันตกใจสิ้นสติ  เป็นลมล้มลงขอบสระนั้น  มินานนักฤทธิ์อันร้ายแรงของอสรพิษ  ก็ทวนกระแสโลหิตในวัยชราอันมีกำลังต้านทานน้อยเหลือเกินเร่งฝ่ากระแสโลหิตเข้าสู่ห้องหัวใจ  ดับแรงเต้นของชีพจรให้วอดวายลง  หญิงชราก็สิ้นลม  แต่ตานั้นลืมโพลงราวจะเป็นห่วงถึงผักหญ้าพฤกษาลดามาลย์  เสมือนมิตรสหายอันยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้  เสี้ยวจันทร์เจ้าข้างแรมทอแสงหรุบหรู่ลับทิวไม้ไปแล้ว  ฟ้าสาง  สายฝนก็หายนานอากาศสงบยะเยือกเย็นลง  จนวิเวกวังเวง  น้ำค้างเผาะ ๆ  บนใบไม้  เหลือแต่ดาวดวงหนึ่งระยับระย้าอยู่ในห้วงสวรรค์อันบริสุทธิ์

          ถ้าแม้ใครมีหูทิพย์  ก็จะได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากพฤกษาลดามาลย์ในไร่นั้น  ยอดผักบุ้ง  มะละกอ  กระถิน และเถาตำลึงก็ครวญคร่ำร่ำไห้

          ดอกไม้เล็ก ๆ  เสียงสั่นว่า  พี่พฤกษชาติทั้งหลายเอย  ฉันเสียใจ  หมายมั่นไว้ว่าจะบานแย้มดอกสีม่วงใสในเช้านี้  ถ้าญ่าได้เห็นสีอันสวยสดงดงาม  จะทำให้บรรเทาความเจ็บป่วยลงบ้าง  น่าเสียดายเหลือเกิน  ตำลึงว่าดูเถอะนั่น  ฝูงมดคันไฟกำลังรุมแทะกินลูกตาดำ ๆ  ของญ่า  มันรุมกินกันเป็นกลุ่ม ๆ  จนเป็นก้อน  ไม่กี่วันอสุภซากนั้นจะเน่าพอง  แร้งกาจะมาจิกกิน  กระดูกจะเรี่ยรายกลิ้งกระจายกลางทรายดิน  นึกน่าสมเพชเวทนานักหนาแล้ว

          ขาดคำรำพึงรำพัน  เถาตำลึงก็ซ้ำร่ำไห้  สะอึกสะอื้นจนเกิดน้ำตาขึ้นกลางเกษรของดอกสีขาวนวลละออง  น้ำนั้นละลายปนกับน้ำค้าง  หยดหยาดระรินลงราวกับกระแสทุกข์โศกาดูร  หลั่งไหลไว้อาลัยหญิงชราผู้ลาโลก  จากลับแล้วชั่วนิจนิรันดร


อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ กวีนิพนธ์ ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๔๐))