บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

คำประพันธ์ แยกตามประเภท => นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 10, มิถุนายน, 2564, 11:30:03 AM



หัวข้อ: นิทานสอนใจ "อายหมามัน"
เริ่มหัวข้อโดย: ลิตเติลเกิร์ล ที่ 10, มิถุนายน, 2564, 11:30:03 AM

(https://i.ibb.co/FH02TSm/pe98k76hw1-IILue-Qes0-o.jpg) (https://ibb.co/g4PNK5m)

"อายหมามัน"

ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงฯ เรานี่เอง มีพระหมอดูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าดูหมอแม่นมาก
พระหมอดูรูปนี้ เป็นผู้ที่มากไปด้วยเมตตา ท่านใช้วิชาโหราศาสตร์ในการปลดเปลื้องความทุกข์
ของชาวบ้านด้วยการปลอบประโลม หรือเตือนสติให้ผู้มาดูหมอกับท่าน
อยู่ในลู่ทางของพุทธศาสนิกชนที่ดี คือไม่ให้ทุกข์จนทอดอาลัย
หรือไม่ให้ลิงโลดคอยแต่โชคลาภที่จะมาถึง จนประมาทไม่ทำมาหากินเลย

นอกจากนี้ท่านก็ไม่หวงวิชา เวลาท่านดูหมอให้ชาวบ้านก็มักจะมีพวกลูกศิษย์ลูกหา
ทั้งพระ ทั้งฆราวาสมานั่งเรียนวิชาจากท่าน หลายครั้งท่านจะให้พวกลูกศิษย์
ประเภทพอมีความรู้ทางโหราศาสตร์ ใช้การได้แล้วทดลองผูกดวงของญาติโยมที่มาดูหมอ
โดยท่านจะตรวจความถูกต้องอีกทีหนึ่ง เวลาท่านทำนายทายทักก็อธิบายถึงอิทธิพลของดวงดาว
และเรือนของภพของภูมิต่าง ๆ ตลอดจนหลักการพยากรณ์และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ไปด้วย

แล้วมาวันหนึ่ง..
มีชายวัยกลางคนแต่งตัวซอมซ่อพาลูกชาย ๒ คนมาหาพระดูหมอดูที่ว่านี้
ชายวัยกลางคนนี้เล่าว่า เขายากจนเหลือเกินไม่มีปัญญาหาเลี้ยงลูกทั้งสองได้
ก็เลยจะยกลูกคนหนึ่งให้กับญาติที่บ้านเดิมที่กาญจนบุรี เป็นบุตรบุญธรรมเขาเสียคนหนึ่ง
เพราะหากอยู่ด้วยกัน ๓ คนพ่อลูกก็อาจจะอดตายได้
ที่มาหาพระก็เพื่อให้ช่วยดูดวงว่าควรจะยกลูกคนโตหรือลูกคนเล็กให้ญาติเลี้ยงดี
เรียกว่า มาอาศัยบารมีของโหราศาสตร์ให้ช่วยเลือกทีเถิด

พระหมอดูท่านนั้นหลังจากผูกดวงเรียบร้อยแล้ว ท่านพูดว่า
"ที่สำคัญต้องดูนิสัยใจคอเด็กจากตนุเศษเสียก่อน เจ้าคนพี่ ตนุเศษคือ ศุกร์ในเรือนจันทร์
มันอ่อนหวาน มีอารมณ์แช่มชื่น หัวอ่อน ว่าง่าย และศุกร์ตนุเศษเป็นศรี มักรักดีใฝ่ดี
แม้ร่วมอังคารก็ไม่แรง เพราะเป็นนิจไปเสียแล้ว ศุกร์เป็นทั้งตนุลัคน์และตนุเศษ
เป็นคนเปิดเผย สุจริต เมื่อตนุเศษมาอยู่ในภพกัมมะ มันรักเอาใจใส่การงานดี

"ส่วนเจ้าน้องชายนั้นตนุเศษคืออังคารในเรือนอาทิตย์ ใจมันกล้าหาญร้อนแรง
อยู่ข้างจะไม่เรียบร้อย ยิ่งติดเรือนอาทิตย์ ถ้าจะดื้อแล้วมันก็จะรั้นเอาการทีเดียว
ยิ่งร่วมมฤตยูมันดึงดันแบบเอาหัวชนฝา ยิ่งกว่านั้นราหู ตัวอารมณ์อยู่เรือนอังคาร
ทำให้อังคารตัวนี้วู่วามขาดความยับยั้ง แต่ถ้ายามดี มันขยันหมั่นเพียรอาสาการงานดี
เพราะตนุเป็นอุตสาหะ คนที่ตนุลัคน์เป็นอุจจ์นั้น ไม่ค่อยยอมลงใครง่าย ๆ หรอก
ดังนั้น ถ้าจะให้ใครไปอยู่กับคนอื่นก็คงต้องตัวพี่ชายนั้นแหละ
เนื่องจากการไปอยู่อาศัยอยู่กับคนอื่นนั้นเด็กมันต้องอัธยาศัยดี
อ่อนน้อม ขยันขันแข็ง ใช่คล่อง เขาถึงจะเมตตา"

เวลาท่านดูหมอแล้วละก็ ท่านจะฟันธงโป๊ะเชะไปเลย ไม่มีอ้อมค้อม อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
ทำนายกำกวมแบบกั๊กเหมือนหมอดูหรือพวกใบ้หวยพวกนั้นที่เขานิยมทำ ๆ กัน
เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าคนพี่ก็ปล่อยโฮสะอื้นฮัก ๆ ทำเอาคนทั้งหลายบนกุฏิระส่ำระส่าย
ด้วยความเวทนา เจ้าเด็กน้อยตัวนี้ก็หันไปสั่งเสียกับพ่อว่า

"พ่อขายผมได้เงินมาแล้ว พ่อต้องให้น้องเข้าโรงเรียน แล้วทำบุญให้แม่ด้วย"

เท่านั้นแหละ พระหมอดูท่านหันไปตวาดถามอีตาพ่อทันทีว่า

"นี่แกจะขายลูกหรือ ?"

อีตาพ่อโกหกมาแต่แรกแล้ว จึงต้องสารภาพว่า
"คนจีนในตลาดเขาไม่มีลูก เขาขอเด็กไปเลี้ยง จะให้ค่าเลี้ยงดูเก้าร้อยบาท
ตั้งใจจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำทุนหาเลี้ยงเจ้าคนที่เหลือต่อไป"

พูดแล้วก็กระสับกระส่าย ถือโอกาสลากลับเลยทีเดียว
พระหมอดูท่านพยายามระงับจิตใจเอาไว้แล้วก็พูดเบา ๆ ว่า
"ก่อนที่จะกลับนี่ อยากจะเล่าอะไรให้ฟังไว้สักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องพ่อและลูกที่เกิดขึ้นจริง ๆ
เมื่อสมัยอาตมายังเป็นเด็ก ไม่ได้สรรค์แต่งมาพูดเทศนา ฟังแล้วจะไม่ยึดถือ เอาทิ้งไว้ชานกุฏินี้ก็ได้"

เมื่อเห็นพ่อเด็กนิ่งเหมือนยอมรับฟังโดยดุษณี ท่านก็เริ่มเรื่องขึ้น

"เมื่ออาตมายังเด็ก อายุคราว ๆ เจ้าสองคนนี่แหละ โยมป้าแช่มแกเป็นสาวโสด
แกขออาตมาซึ่งเป็นหลานมาเลี้ยงแกจับอาตมาบวชเณรที่วัดตีนเลน เดี๋ยวนี้เขาเรียกวัดบพิตรภิมุข
ส่วนตัวแกเองอยู่บ้านถัดวัดเข้าไป เป็นสะพานยาวตามที่ชานเลนลงริมแม่น้ำ
อาชีพแกทำขนมฝรั่งขายส่งเจ้าจำนำอยู่ที่สะพานหัน ซึ่งส่งกันเป็นประจำทุกวัน
การส่งขนมเจ้านำของแกแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร คือใช้สุนัขเป็นผู้ส่งและรับเงินค่าขนมกลับมาเสร็จ
เจ้าสุนัขตัวนี้รูปร่างพิกล เป็นสุนัขตัวผู้สีขาวปลอด แต่ตอนบนศีรษะเหมือนใครเอาถุงสีดำมาคลุมไว้
แกเลยตั้งชื่อตามลักษณะของมันว่า "อ้ายโม่ง"  วิธีส่งขนมฝรั่งของแก คือ
พอทำเสร็จก็ใส่บรรจุลงในตะกร้าหวาย สำหรับถือไปจ่ายกับข้าว เอาผ้าปิดกันฝุ่นไว้
เขียนจดหมายบอกราคาเงินใส่ไปเสร็จส่งให้อ้ายโม่งคาบไปส่งเจ้าจำนำที่เชิงสะพานหัน
เมื่อเจ้าจำนำรับขนมฝรั่งครบก็เอาสตางค์ใส่ตะกร้าส่งให้อ้ายโม่งคาบกลับมา ปฏิบัติเช่นนี้มาทุกวัน
ที่มันฉลาดรอบรู้ทำได้ดี ก็เพราะตอนมันเล็ก ๆ มันติดสอยห้อยตามโยมป้าไปส่งขนมฝรั่ง
เจ้าจำนำคนนี้เป็นประจำทุกวัน ร่วมปีจนมันโตเป็นหนุ่มจำได้แม่น ระยะทางจากบ้านปลายสะพาน
ยาวมาร้านจำนำที่สะพานหันนั้นมันไกลพอดู คือจากบ้านต้องผ่านวัดและเลี้ยวอ้อมโบสถ์
มาหลังโรงเรียนบพิตรภิมุข และเลียบตึกแถวริมคลองโอ่งอ่างมาจนถึงสะพานหัน
ชาวบ้านสองข้างทางทุกบ้านรู้จักอ้ายโม่งดี เวลามันคาบตะกร้าขนมฝรั่งมา
พอเมื่อยพักหน้าบ้านใครเข้า เขาก็แกล้งล้อมันว่าขอขนมฝรั่งกินหน่อย
มันทำตาเขียวโกรธรีบคาบหนีไปหน้าบ้านอื่นทันที ถ้าเป็นเด็ก ๆ ทำวอแวเข้ามาคว้าขนมฝรั่ง
มันจะฮื่อฮ่าทำท่าจะกัดเอาจริง ๆ ส่วนตัวมันเองสัตย์ซื่อถือขันติไม่เคยแตะต้องขนมฝรั่งในตะกร้าเลย
และเวลาขากลับได้สตางค์มามันจะวิ่งแน่วไม่ยอมหยุดที่ไหนกลับถึงบ้านทันที มันส่งมาแรมปี

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุประหลาดขึ้น เจ้าจำนำรับขนมเขียนหนังสือมาต่อว่า
ว่าขนมขาดไป ๒ อัน คุณโยมป้าแช่มไม่สงสัยอะไร คิดว่าตัวเองอาจเผอเรอนับผิดมากกว่า
จึงพยายามนับถี่ถ้วนจนครบ แล้วส่งไปก็ถูกต่อว่ายังขาดเช่นเดิม โยมป้าคิดอะไรไม่ถูก
หาเหตุผลอะไรไม่ได้ จะว่าหายระหว่างทางก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอ้ายโม่งมันรักษาหน้าที่
เคร่งครัดมาตลอดเวลาร่วมปี ไม่เคยบกพร่อง เพื่อตัดปัญหา แกนับเกินไป ๒ อันเผื่อหาย
ครั้งนี้ไม่มีการต่อว่า ว่าขาดอีก

จนสองสามวันต่อมา ความสงสัยของโยมป้าไม่มีสิ้นสุด ความอยากรู้สาเหตุ
วันหนึ่งแกนับขนมมอบให้อ้ายโม่งไปแล้ว แกก็แอบสะกดรอยตามหลังอ้ายโม่งไปด้วย
อ้ายโม่งออกจากบ้านตรงแหนวไม่เเวะที่ไหน ผ่านถนนในวัดตรงไปสู่โบสถ์
แต่ตอนจะเลี้ยวหลังโบสถ์ผ่านลานทรายไปทางริมคลอง โยมป้าเห็นอ้ายโม่ง
เลี้ยวข้างกำแพงโบสถ์เข้าไปหลังเจดีย์ซึ่งเป็นที่ลับตาคน สักพักอ้ายโม่งก็กลับออกมา
และมุ่งหน้าไปตามเส้นทางส่งขนมตามเคย

โยมป้าแอบเข้าไปดู ปรากฏว่า หมาแม่ลูกอ่อนออกลูกโทน (มีลูกตัวเดียว) สีสันเหมือนอ้ายโม่งไม่มีผิด
ไม่ต้องมีใครบอก ก็รู้ว่าเป็นลูกอ้ายโม่งชัด ๆ และมีขนมฝรั่งที่แกทำวางไว้สองก้อน

นับแต่นั้นมา โยมป้าก็ต้องนับขนมฝรั่งให้เกินไว้ ๒ อัน เพื่อให้อ้ายโม่งได้ทำหน้าที่พ่อ
ที่ต้องเลี้ยงดูลูกเมียหมา ๆ ของมัน จนกระทั้งลูกหมาได้อายุหย่านมแล้ว
โยมป้าจึงติดตามไปเอาสายเลือดของอ้ายโม่งมาเลี้ยงเป็นสมาชิกของครอบครัวเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้ชาวบ้านแถบนั้นเขารู้เรื่องโจษขานกันอยู่หลายปี คนเก่าแก่แถวนั้นเดี๋ยวนี้ยังคงพูดถึงอยู่เสมอ

พอพระหมอดูเล่าเรื่องจบลงคนบนกุฏิ ๖-๗ คนนิ่งเงียบกันหมด ต่างคนต่างคิด
อัดอั้นตันใจกันไปหมด มีแต่เสียงเจ้าเด็กน้อยคนพี่ ที่ถูกตัดสินให้จากพ่อไปยังคงสะอื้นอยู่เบา ๆ
เลยพาเอาเจ้าคนน้องที่พอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พลอยร้องไห้ตามพี่ชายไปด้วย

สักครู่ใหญ่พ่อเด็กกระเถิบเข้ามาพนมมือบอกลาแล้วก้มลงกราบ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาอาบแก้ม พร้อมกับกล่าวว่า

"ผมตัดสินใจไม่ขายลูกแล้วขอรับ อายหมามัน"

จบแล้วจ้าา  :057: