พิมพ์หน้านี้ - ทำศพด้วยน้ำ

(https://i.ibb.co/vZBQFg7/aquamation.png) (https://ibb.co/KFGLPRM)

แม้หมดลมหายใจลงแล้ว มนุษย์เราก็ยังไม่หยุดทำร้ายโลก
.
เพราะการเผาศพ 1 ศพปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 113 กิโลกรัม แถมยังใช้ก๊าซและพลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับการเดินทางโดยรถยนต์ราว 800 กิโลเมตร
.
ส่วนการฝังศพก็ไม่น้อยหน้า เพราะต้องใช้ต้นไม้มาทำเป็นโลงศพ ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นขยะที่ไม่ย่อยสลาย แถมการฝังศพยังต้องใช้น้ำยาดองศพ ซึ่งจะสลายกลายเป็นมลพิษทางอากาศอีกต่างหาก
.
แต่ครั้นจะปล่อยให้ซากศพย่อยสลายไปตามธรรมชาติก็ไม่ใช่เรื่องน่ามอง แถมยังผิดกฏหมายในหลายประเทศ ดังนั้นวิธีจัดการกับร่างไร้วิญญาณของมนุษย์จึงถูกพัฒนาให้ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยลงเรื่อยๆ อย่างเช่น Aquamation วิธีการจัดการศพด้วยน้ำที่เราเลือกมานำเสนอในวันนี้
.
Aquamation เป็นวิธีการจัดการกับร่างกายไร้วิญญาณโดยการใช้น้ำ โดยร่างของผู้ตายจะถูกนำไปใส่ไว้ในถังแรงดันซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษ เสร็จแล้วจึงใส่ของเหลวซึ่งเป็นน้ำผสมด่างโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ลงไป แล้วเพิ่มความร้อนซึ่งจะทำให้ร่างกายค่อยๆ สลายไปภายใน 4-16 ชั่วโมง
.
ด้วยวิธีนี้ เนื้อเยื่อจะเปลี่ยนเป็นของเหลวซึ่งเททิ้งได้โดยไม่เป็นอันตราย ส่วนกระดูกก็จะกลายเป็นเถ้าที่เปราะจนสามารถบดเป็นผงได้ง่ายๆ จากนั้น ‘เถ้ากระดูก’ ที่ไม่ได้เกิดจากการเผาก็จะถูกส่งต่อให้ญาติของผู้ตายได้นำไปทำพิธีอื่นๆ ตามความเชื่อต่อไป
.
การจัดการศพด้วยของเหลวอย่างที่ว่านี้ ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 25% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 38% และมีคาร์บอนฟุตพรินต์น้อยลงเหลือเพียง 10% เท่านั้นเมื่อเทียบกับการเผาศพทั่วไป ดังนั้นมันจึงเป็นทางเลือกใหม่ในการก้าวสู่โลกหลังความตาย โดยเฉพาะสำหรับคนที่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมแบบสุดๆ จนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
.
ทั้งนี้ Auqamation ถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะอาร์คบิชอป เดสมอนด์ ตูตู (Desmond Tutu) บาทหลวงชาวแอฟริกาใต้ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพผู้ต่อสู้เรื่องการแบ่งแย่งสีผิวมานาน ซึ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในพินัยกรรมว่าให้จัดการศพของตนด้วยวิธีแบบ Aquamation เท่านั้น เพราะเป็นวิธีที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการเผาแบบดั้งเดิม
.
ใครที่อยากใช้วิธี Aquamation บ้าง สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ aquamationinfo.com บอกข้อมูลเผื่อไว้นิดว่าตอนนี้ยังไม่มีบริการแบบนี้ในประเทศไทย แต่ดูจากแนวโน้มและกระแสตอบรับที่ดีมากๆ แล้วก็เป็นไปได้ว่าวิธีการจัดการศพทางเลือกแบบนี้น่าจะเริ่มมีมากขึ้นในประเทศไทยภายในเวลาอีกไม่ช้าไม่นานนี้อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Greenative

บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล