บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล

บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา => ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม => ข้อความที่เริ่มโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 26, มิถุนายน, 2558, 09:22:36 AM



หัวข้อ: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 26, มิถุนายน, 2558, 09:22:36 AM
(http://upic.me/i/dq/kji8p.jpg) (http://upic.me/show/55987430)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๑

เกิดวังหลังดังวังหลวงล่วงวังหน้า
มีบิดาชาวแกลงแหล่งชองสิ
เชื้อชนเผ่าชาวชองระยองฮิ
ตนเองมิตามเผ่าเป็นชาวชอง

มารดาเป็นเผ่าพราหมณ์รามราช
ถือสัญชาติไทยแท้ไม่แปรสอง
จากเมืองเพชรอยู่บางกอกกับพี่น้อง
แม่นมของวังหลังไร้กังวล

แล้วขุนศรีสังหารชาวบ้านกร่ำ
มาประจำวังหลังรักตั้งต้น
พบพราหมณ์สาวชาวเพชรพรรณพิมล
บุญบันดลทั้งสองครองรักกัน

เกิดมีบาปเป็นมารมารานรัก
เมื่อ“เตียงหัก”หนุ่มชองต้องโศกศัลย์
กลับไปบวชอยู่บ้านเนิ่นนานวัน
โดยไม่หันกลับมาหาลูกเมีย

เด็กชายภู่เกิดกายในวังหลัง
เป็นเด็กวังนิสัยไม่เคยเสีย
เรียนในวัดชีปะขาวร่วม“เจ้าเปีย”
ลูกหลาน“เสี่ย”และเหล่าลูกเจ้านาย

เป็นเสมียนพระคลังวังหลังก่อน
ชอบแต่งกลอนเกี้ยวสาวหลากเป้าหมาย
จนสาว“จัน”รักมากฝากใจกาย
ถูกเฆี่ยนหลังขังหายเป็นหลายเดือน.......


@ เต็ม อภินันท์
๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ / ๑๙.๓๐ น.

(โปรดอ่านตอนต่อไปครับ)

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต


หัวข้อ: Re: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 26, มิถุนายน, 2558, 09:28:30 AM
(http://upic.me/i/ux/4ixpx.jpg) (http://upic.me/show/55987477)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๒

วัยยี่สิบพ้นหมดโทษคุมขัง
จากวังหลังลงเรือไปกับเพื่อน
ล่องลงไปเมืองชลไม่แชเชือน
ขึ้นเดินบกบุกเถื่อนทุรทาง

ไปเมืองแกลงแขวงระยองไม่ย่อท้อ
หา“หลวงพ่อ”วัดกลางกร่ำมิอางขนาง
ท่านบวชได้ยี่สิบปีมิละวาง
มียศอย่างพระเด่นเป็น“พระครู”

นาม“อารัญธรรมรังสี”นี้ชัดแจ้ง
ครองตำแหน่งเจ้าคณะแขวงที่อยู่
ญาติฝ่ายพ่อมากหน้ามารุมดู
รับนายภู่เป็นญาติไม่ปัดเมิน

เป็นศิษย์วัดหัดสวดเหมือนบวชด้วย
มีหลานช่วยปรนนิบัติไม่ขัดเขิน
“ม่วง”กับ“”คำ”สองหลานนั้นก้ำเกิน
ให้บังเอิญหึงหวงพวงมาลา

อยู่เมืองแกลงบ้านกร่ำเห็นลำบาก
จึงพลันพรากจากหลวงพ่อไม่รอท่า
สองหลานสาวเหล่าน้องพี่ญาติกา
เคยเห็นหน้าเช้าค่ำจำลาจร

เขียน“นิราศเมืองแกลง”แต่งกลอนตลาด
เป็นนิราศแบบใหม่ไม่เหมือนก่อน
แบบอย่างง่ายให้อยู่เป็น“ครูกลอน”
สำหรับสอนลีลาภาษากวี

เหตุเพราะแม่ของท่านแต่งงานใหม่
มีน้องให้สองนางสอางค์ศรี
หนุ่มแมลงภู่จึ่งไม่คิดใยดี
อยู่ในที่เกิดกายเห็นไม่ควร

จึงเลยลาบางกอกออกนิราศ
ไปหาญาติฝ่ายแม่มีครบถ้วน
ณ เมืองเพชรหวานพร้อมหอมอบอวล
เข้ารบกวน“หม่อมบุนนาก”ฝากชีวิต

ช่วยทำนาทำไร่ไปตามเรื่อง
ญาติฝ่ายเมืองเพชรนั้นเสน่ห์สนิท
ให้ลูกหลานที่เพียรชอบเขียนคิด
เป็นลูกศิษย์เขียนอ่านงานกาพย์กลอน

“หม่อมบุญนาก”เมตตาเข้ามาบอก
วอน“เจ้าครอก”วังหลังคิดผันผ่อน
ไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องร้าวรอน
ให้“ภู่”นอนร่วมเตียงเคียงคู่“จัน”

ได้กลับอยู่วังหลังอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้จึงอยู่สนุกเสพสุขสันต์
เป็นมหาดเล็ก“ปฐมวงศ์”พงศ์ราชัน
ซึ่งครานั้นบวชเป็นพระ...วัดระฆัง

ตามเสด็จไปไหว้พระพุทธบาท
แต่งนิราศเรื่องสองประคองหวัง
แทรกภาษิตคติธรรมความรักชัง
แววโด่งดังทางกลอนกระฉ่อนนาม........


@ เต็ม อภินันท์
๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ / ๑๗.๑๕ น.

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

    อภิปราย ขยายความ.....หนุ่มภู่พ้นโทษจำขังเมื่ออายุ ๒๐ ปี ยังพบกับจันยอดชู้ของตนไม่ได้ ก็มุ่งหน้าไปหาบิดา ซึ่งลาออกจาราชการไปบวชอยู่ที่วัดกลางกร่ำ เมืองแกลง แขวงระยอง ตอนนี้บวชได้ ๒๐ พรรษาแล้ว ได้รับสมณะศักดิ์เป็น พระครูอารัญธรรมรังสี ตำแหน่งเจ้าคณะแขวงระยอง หนุ่มภู่ใช้เรือเป็นพาหนะมีเพื่อนชายคนหนึ่งช่วยแจวไปจนถึงเมืองชล จึงขึ้นบกเดินไปเมืองแกลง การเดินทางไปหาหลวงพ่อครั้งนี้ ได้แต่งกลอนยาวให้ชื่อว่า นิราศเมืองแกลง เป็นนิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ และเรื่องแรกที่เป็นกลอนตลาด ก่อนนั้นมีการแต่งนิราศเป็นโคลงทั้งหมด

     ในคำกลอนนิราศนี้บ อกชัดเจนว่า ญาติฝ่ายบิดานั้นเป้นชาวชอง คือชนเผ่าพันธุ์หนึ่ง อยู่แถบชายทะเลตะวันออก อยู่กับหลวงพ่อได้เดือนเศษก็ลากลับ มาอยู่กับมารดาก็หงุดหงิด เพราะมารดามีสามีใหม่หลังจากเลิกกับบิดาแล้ว และมีลูกใหม่เป็นหญิง สองคน ชื่อฉิมกับนิ่ม หนุ่มภู่ ออกไปหาญาติฝ่ายมารดาที่เมืองเพชรบุรี อาศัยหม่อมบุนนาก ในพระราชวังหลัง ที่กลับออกไปอยู่บ้านเดิม หม่อมบุนนากอุปการะเลี้ยงดูเป้นอย่างดี แล้วพยายามติดต่อเจรจาให้ เจ้าครอกทองอยู่ยอมยกโทษให้ จนสำเร็จ นายภู่กลับมาอยู่กับนางจันในวังหลัง เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ซึ่งผนวชอยู่วัดระฆัง แล้วตามเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี และได้เขียนนิราศขึ้นเป็นเรื่องที่ ๒ ชื่อว่านิราศพระบาท

(โปรดอ่านตอนต่อไปครับ)



หัวข้อ: Re: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 27, มิถุนายน, 2558, 09:50:23 AM
(http://upic.me/i/e7/11377360_1862104574014873_3196267404302970135_n.jpg) (http://upic.me/show/55997687)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๓

เข้ารับราชการกรมอาลักษณ์
ราชสำนักชุบเลี้ยงขุนนางสยาม
ให้บรรดาศักดิ์ดีสมนิยาม
โดยตั้งตามลักษณะประจำตน

“ภู่”แต่งกลอนอ่อนหวานชำนาญวาท
คำตลาดเป็นกลอนมีเกลื่อนกล่น
เป็น“ขุนสุนทรโวหาร”ชาญนิพนธ์
และเป็นคนโปรดปรานในราชา

ราชสำนักมากวีมิพร่อง
งานร้อยกรองเฟื่องฟูอยู่หรรษา
บทละครกล่อมเห่พร้อมเสภา
รจนานึกแต่งคิดแข่งขัน

“ขุนสุนทรโวหาร”มีงานเด่น
ตัวอย่างเช่นเสภาอ่านฮาลั่น
เรื่องขุนช้างขุนแผนตอนสำคัญ
คือเมื่อ“วันทอง”ให้เกิด“พลายงาม”

ความเป็น“นักกวีที่ปรึกษา”
พระราชาโปรดปรานจนพาลห่าม
มิเกรงใครในวังทั้งลามปาม
เมาคุกคามญาติผู้ใหญ่ไม่เกรงกลัว

ถูก“ขังลืม”เป็นนานฐานกำเริบ
ดื่มเหล้าเติบลืมตนจนทำชั่ว
“พระเลิศหล้า”แต่งกลอนละครนัว
จึงเบิกตัวช่วยแต่งทิ้งโทษไป

สิ้น“สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า”
จะเหลียวหาที่พึ่งมิพึงได้
คู่ขัดแย้งในสำนักกวีไทย
ขึ้นเป็นใหญ่ล้ำเหลือเหนือฝูงชน

เกรงราชภัยไม่อยู่ดูหน้าเพื่อน
ละบ้านเรือนร่อนเร่ระเหระหน
เหมือนวิหคปีกหักจากลมบน
อยู่อย่างคนเดินดินสิ้นราคา

“แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ
บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา
เหมือนลอยล่องท้องทะเลอยู่เอกา
เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล” (จากระพันพิลาป)

หนีไปบวชที่เมืองเพชรแล้วเตร็ดเตร่
เป็นพระเร่หาวัดอยู่ไม่แน่
แล้วเข้ากรุงยอมทนคนรังแก
ถือความ“แพ้เป็นพระ”ชนะพาล

อยู่“วัดเลียบ”เป็นอาจารย์กุมารเจ้า
“พระนั่งเกล้า”โปรดเห็นเป็นหลักฐาน
เจ้าฟ้ากลางเจ้าฟ้าปิ๋วสองราชกุมาร
ทรงประทานเป็นศิษย์เรียนวิทยา

ยามจากฝาก“เพลงยาวถวายโอวาท”
เป็นศิลป์ศาสตร์คารมคำคมกล้า
หวังให้ศิษย์ปฏิบัติเป็นอัตรา
ด้วยเมตตาอาลัยในศิษย์รัก

“อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก
จึงค่อยชักฟาดฟันให้บรรลัย

จับให้มั่นคั้นหมายให้วายวอด
ช่วยให้รอดรักให้ชิดพิสมัย
ตัดให้ขาดปรารถนาหาสิ่งใด
เพียรจงได้ดังประสงค์ที่ตรงดี” (จากเพลงยาวถวายโอวาท)

โอวาทกลอนสอนคำจำได้ง่าย
สองฟ้าชายเจนคำสอนจ้ำจี้
“พระภู่”ลาวัดเลียบไปทันที
“ลายแทง”บอกให้ไปหาทอง


@ เต็ม อภินันท์
๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ / ๑๙.๒๙ น.
(โปรดอ่านตอนต่อไปครับ)

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต
อภิปราย ขยายความ
     มหาดเล็กภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์วังหลวง ได้บรรดาศักดิ์เป็น ขุนสุนทรโวหาร เป็นกวีที่ปรึกษา และเป็นกวีคนโปรด จนเกิดความอหังการไม่เกรงกลัวใคร เมาสุราอาละวาดทำร้ายร่างกายญาติผู้ใหญ่ จนถูกกริ้วสั่งให้จำจองไว้ในเรือนจำแบบ "ขังลืม" จนเมื่อทรงพระราชนิพนธ์บทละครติดขัด จึงทรงนึกถึงขุนสุนทรโวหาร โปรดให้พ้นโทษออกมาเป็นกวีที่ปรึกษาตามเดิม ท่านขุนเกิดความขัดแย้งในเรื่องกวีกับกรมหมื่นเจษฎาบดินร์อย่างรุนแรง ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต กรมหมื่นเจษฎาฯเสด็จขึ้นครองราช เป็นสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขุนสุนทรโวหารเกรงราชภัย จึงลาออกจากราชการ ดังบทกลอนในรำพันพิลาปของท่านว่า "แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ บรรพชิตพิสวาทพระศาสนา...."

     ท่านออกไปบวชแถวเมืองพชรบุรี แล้วเร่ร่อนไปหลายแห่ง แล้วเข้ากรุงเทพฯ อยู่วัดเลียบ(ราชบูรณะ) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดให้เจ้าฟ้าชายกลาง(กรมพระบำราบปรปักษ์) กับ เจ้าฟ้าชายปิว เป้นศิษย์เรียนวิทยาในพระภิกษุภู่ ท่านอยูณได้ไม่นานก็มีเรื่องให้ต้องจากวัดเลียบ นัยว่าได้ลายแทงให้ไปแสวงหาแร่มาแปรเป้นทอง จึงอำลาสองเจ้าฟ้าศิษย์ไปโดยมอบกลอนเพลงยาวะถวายโอวาทไว้ให้แทนตัว


หัวข้อ: Re: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 28, มิถุนายน, 2558, 01:56:21 PM
(http://upic.me/i/lx/1272701670.jpg) (http://upic.me/show/56008512)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๔

จากวัดเลียบเร่ร่อนจรไปทั่ว
มิได้กลัวภัยพาลหมู่มารผอง
ถือลายแทงหาแร่แปรทดลอง
ผิดบกพร่องไม่สมอุดมการณ์

“ทางบกเรือเหนือใต้ไปเทียวทั่ว
จังหวัดหัวเมืองสิ้นทุกถิ่นฐาน
เมืองพริบพลีที่เขาทำรองน้ำตาล
รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม

ไปราชพลีมีแต่พาลจัณฑาลพระ
เหมือนไปปะบอระเพ็ดเหลือเข็ดขม
ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม
ทุกข์ระทมแทบจะตายเสียหลายคราว

ครั้งไปด่านกาญจน์บุรีที่อยู่กะเหรี่ยง
ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว
นอนน้ำค้างพร่างพรมพรอยพรมพราว
เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง...” (จากรำพันพิลาป)

ไปตกยากอยู่สุพรรณเป็นนานโข
ซูบผอมโซยามจนทนเศร้าหมอง
ทั้งโจรร้ายมากที่ “สองพี่น้อง”
ขโมยของพร้อมเรือไม่เหลือเลย

ขึ้นไปพิษณุโลกยิ่งโศกซ้ำ
ลงบึงปล้ำจระเข้โอ้อกเอ๋ย
เป็นเคราะห์กรรมซักวิบัติเกย
สุขที่เคยมีน้อยยิ่งลอยไกล

กลับเข้ากรุงคลายเคราะห์ลงอักโข
อยู่วัดโพธิ์เชตุพนคลายหม่นไหม้
“ลักขณานุคุณ”จุนเจือไว้
แล้วย้ายไปมหาธาตุวัดใกล้วัง....


@ เต็ม อภินันท์
๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ /๐๖.๕๔ น.

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต
อภิปราย ขยายความ.....
     เมื่อออกจากวัดเลียบแล้วพระภิกษุภู่ใช้เรือร่อนเร่ไปหลายแห่ง แสวงหาแร่ตามลายทองมาแปรเป็นทอง ท่านเขียนบอกเล่าไว้ในกลอนชื่อ "รำพันพิลาป" ซึ่งแต่งในขณะที่อยู่่วัดเเทพธิดาราม รำพันถึงอดีตชีวิตนับแต่ "ปีวอกออกขาดราชกิจ บรรพชิตพิศวาทพระศาสนา"

     ไปเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ในป่าที่อยู่่ของกะเหรี่ยง กลับลงมาอยู่ที่สองพี่น้อง มัวถลุงแร่เพลินจนถูกขโมยลักของพร้อมเรือคู่ชีพไปหมด ชาวบ้านต้องเรี่ยรายกัน ซื้อบาตร ไตรจีวร และเรือถวายใหม่ ขึ้นไปพิษณุโลก ลงปล้ำจระเข้ในบึงใหญ่ด้วยเชื่อลายแทงว่ามีแร่อยู่ในนั้น

     ล่องลงมาผจญภัยตั้งแต่ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อยุธยา กลับเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่วัดโพธิ(พระเชตุพนฯ) แล้วได้โยมอุปฐากใหม่ คือ พระองค์เจ้าลักขนานุคุณ ทรงนิมนต์ให้เข้าอยู่วัดมหาธาตุ ใกล้วังของพระองค์.....

                                                                      (โปรดอ่านตอนต่อไปครับ)


หัวข้อ: Re: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 29, มิถุนายน, 2558, 10:01:54 AM
(http://upic.me/i/jf/w19-450.jpg) (http://upic.me/show/51608508)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๕

ครั้น“ลักขณานุคุณ”สิ้นบุญแล้ว
ได้ดวงแก้วล้ำค่าอาภาปลั่ง
“กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ”ดัง-
สวรรค์สั่งลงมาพาเลี้ยงดู

นิมนต์ย้ายจากวัดมหาธาตุ
สู่อาวาส“เทธิดาราม”หรู
สร้างเสร็จใหม่สวยงามเจ้าค้ำชู
“ภิกษุภู่”อาศัยไรัลำเค็ญ

“ ได้พึ่งพระปะแพรพอแก้หน้า
สองพรรษาสิ้นงามถึงยามเข็ญ
คิดขัดขวางอย่างจะพาเลือดตากระเด็น
บันดาลเป็นปลวกปล่องขึ้นห้องนอน

กัดเสื่อสาดขาดปรุทะลุสมุด
เสียดายสุดแสนรักเรื่องอักษร
เสียแพรผ้าอาศัยไตรจีวร
ดูพรุนพรอนพลอยพาน้ำตาคลอ

ถึงคราวคลายปลายอ้อยบุญน้อยแล้ว
ไม่ผ่องแผ้วพักตราวาสนาหนอ
นับปีเดือนเหมือนจะหักทั้งหลักตอ
แต่รั้งรอร้อนรนกระวนกระวาย”..........(จากรำพันพิลาป)

รำพันกลอนก่อนลาจากอาวาส
เสื้อมุ้งขาดเหลือไว้น่าใจหาย
ยามคำมืดยุงกลุ้มรุมร่างกาย
ขาดแสงฉายไฟส่องแสนมืดมน

ตัดใจลาอาวรามอันงามเลิศ
หมายใจเกิดภพที่ดีอีกหน
ถึงยามดึกตรึกไตร่ใจกังวล
คิดถึงคนคุ้นหน้าคุ้นตาใจ

“ จะลับวัดพลัดที่กะฎีตึก
สุดแต่นึกน้ำตามาแต่ไหน
เฝ้านองเนตรเช็ดพักตร์สักเท่าไร
ขืนหลังไหลรินร่ำน่ารำคาญ......(จากรำพันพิลาป)

ปรารถนายิ่งใหญ่ในชีวิต
ไม่แปรจิตเปลี่ยนใจไปจากฐาน
คือ“เล่นแร่แปรธาตุ”ตามตำนาน
เชื่อตำรา“อาจารย์ทองบ้านจุง”

“ต่อเมื่อไรไปทำทองสำเร็จ
แก้ปูนเพชรพบทองสักสองถุง
จะผาสุกทุกสิ่งนอนกลิ้งพุง
กินหมูกุ้งเป็ดไก่ให้เข็ดฟัน........(จากรำพันพิลาป)

ท่านเขียนกลอนกล่าวคำ“รำพันพิลาป”
เพื่อให้ทราบความนัยที่ใจฝัน
เป็นเพลงยาวพราวเกล็ดเพชรคำครัน
ชนทุกชั้นอ่านเกิดความเพลิดเพลิน

“โอ้ปีนี้ปีขาลบันดาลฝัน
ที่หมายมั่นเหมือนหมางระคางเขิน
ก็คิดเหมือนเป็นเคราะห์จำเพาะเผชิญ
ให้ห่างเหินโหยหวนรำจวนใจ

จึงแต่งตามความฝันรำพันพิลาป
ให้ศิษย์ทราบสุนทราอัชฌาศัย
จะสั่งสาวชาววังข้างนอกใน
ก็กลัวภัยให้ขยาดพระอาชญา

จึงเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น
ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา
ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา
รักแต่เทพธิดาสุราลัย

ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเบื้องสูง
พอพยูงยกย่องให้ผ่องใส
ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย
เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน

พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย
อย่าถือเลยเคยเจนเหมือนเหลนหลาน
นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน
เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง

จะอวดดีฝีปากจะฝากรัก
ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง
ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง
จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา.......(จากรำพันพิลาป)

เผยความลับหลานสาวเหล่าข้าหลวง
เคยมาลวงเขียนถ้อยร้อยภาษา
เป็นเพลงยาวตอบให้กันไปมา
แท้หลวงน้าเขียนหมดหลานระเลิง

“โอ้สงสารหลานสาวเหล่าข้าหลวง
เคยมาลวงหลอกเชื่อจนเหลือเหลิง
ไม่รู้เท่าเจ้าทั้งนั้นเสียชั้นเชิง
เชิญบันเทิงเถิดนะหลานปากหวานดี

ได้ฉันลมชมลิ้นเสียสิ้นแล้ว
ล้วนหลานแก้วหลอกน้าต้องล่าหนี
จะนับเดือนเลื่อนลับไปนับปี
จงอยู่ดีได้เป็นหม่อมให้พร้อมเพรียง”.....(จากรำพันพิลาป)

กลอนรำพันสรรคำมาร่ำสั่ง
เหมือนมุ่งหวังตะโกนจนสุดเสียง
จากจากวัดจากกุฏิหลุดพ้นเตียง
ออกไปเสี่ยงดวงดังทางโลกีย์....


@ เต็ม อภินันท์
๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ / ๑๙.๒๑ น.

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

อภิปรายขยายความ......

      หลังจากที่พระภิกษุภู่ เดินทางท่องเที่ยวแสวงหาแร่แปรเป็นทองไปทั่วภาคตะวันตก ภาคเหนือกลับลงมาภาคกลางแล้วกลับเข้ากรุงเทพฯ เข้าอยู่วัดเลียบอีกครั้งหนึ่ง แต่มีปัญหา เพราะไม่มีกุฏิให้อยู่ จึงต้องเข้าอยู่ในอุโบสถไม่มีเสื่อสาดปูนอน ต้องนอนกับพื้นซิเมนต์ที่เย็นมาก เจ้าฟ้ามหามาลา(ชายกลาง)ทรงทราบ จึงเข้าอุปการะ นิมนต์ไปอยูู่วัดโพธิท่าเตียน ในช่วงเวลานี้นัยว่าท่านไปสุพรรณบุรีในปี ๒๓๗๙ แต่งโคลงนิราศสุพรรณ ซึ่งท่านแต่งโคลงเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวเท่านั้น ต่อมาพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงอุปการะ นิมนต์ไปอยู่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ใกล้วังของพระองค์ แล้วขอให้แต่งเรื่องพระอภัยมณีถวาย ต่อจากที่เคยแต่งไว้สมัย ร. ๒ ครั้นพระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์ลง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระพี่นางของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงรับอุปการะต่อ นิมนต์จากวัดมหาธาตุเข้าอยู่วัดเทพธิดาราม ที่ทรงสร้างเสร็จเป็นปีแรก และทรงขอให้แต่งพระอภัยมณีถวายพระองค์ต่อไป..
                                                                            (โปรดอ่านตอนต่อไปครับ)




หัวข้อ: Re: ว่าด้วยสุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: บ้านกลอนน้อยฯ ที่ 30, มิถุนายน, 2558, 11:28:38 AM
(http://upic.me/i/f0/rsa4-.jpg) (http://upic.me/show/55988068)

ว่าด้วยสุนทรภู่ ๖

เพราะใจรักมากมายไร้ขอบเขต
คือสาเหตุให้พรากออกจากที่
คิดใฝ่สูงเกินศักดิ์รักไม่ดี
เกิดราคีเป็นพิษจิตระคาย

“ ออกวัสสาผ้าสบงกระทงเข้า
พระองค์เจ้าจบหัตถ์จัดถวาย
ไม่แหงนเงยเลยกลัวเจ้าขรัวนาย
สำรวมกายก้มหน้าเกรงบารมี

สวดมนต์จบหลบออกข้างนอกเล่า
ปะแต่เหล่าสาวแส้ห่มแพรสี
สู้หลับตามาสุดถึงกุฎี
เหมือนไม่มีตัวตัวด้วยกลัวตาย

ตั้งแต่นี้มิได้หลบไม่พบแล้ว
จงผ่องแผ้วพักตร์เหมือนดั่งเดือนฉาย
จะเงียบเหงาเช้าเย็นมิเว้นวาย
โอ้ใจหายหมายมาดเคลื่อนคลาดคลา......” (จากรำพันพิลาป)

จิตใฝ่สูงเกินศักดิ์เผลอรักเจ้า
จึงต้องเศร้าอกตรมสู้ก้มหน้า
กลัวโทษร้ายอายบาปกรรมหยาบช้า
ตัดใจลารักพรากขาดจากกัน

“ถวิลหวังสังวาสสวาทแสวง
ให้แจ่มแจ้งแต่งตามเรื่องความฝัน
ฝากฝีปากฝากคำที่สำคัญ
ชื่อรำพันพิลาปล้ำกาพย์กลอน

เปรียบเหมือนกับขับกล่อมสนอมเสน่ห์
สำเนียงเห่เทวัญริมบรรจถรณ์
เสวยสวัสดิ์วัฒนาสถาวร
วานฟังกลอนกลอยแก่เถิดแม่เอยฯ.....” (จากรำพันพิลาป)

จบ“รำพันพิลาป”กราบลาพระ
ปลดพันธะเทพธิดาด้วยวางเฉย
จากวัด“เทพธิดาราม”ความคุ้นเคย
อำลาเลยลับตาตัดอาลัย

ลาสิกขาทั้งหมดปลดผ้าเหลือง
ถอดทิ้งเครื่องวัดวาเคยอาศัย
“สิบเจ็ดปี”เป็นพระภู่ทนอยู่ไย
อายุได้“ห้าสิบเจ็ด”เข็ดวัดวา

สึกลาขาดวัดวาอาศัยเพื่อน
เข้าอยู่เรือน“บัว สโรบล”วังหน้า
กรมวังเจ้าฟ้าน้อยพลอยพึ่งพา
นาม“พระยามณเฑียรบาล”ท่านใจดี

ฝากเข้ารับราชการงานอาลักษณ์
พระทรงศักดิ์“ปิ่นเกล้า”เจ้าเกศี
ตั้งเป็น“เจ้ากรมอาลักษณ์”นักกวี
พร้อมให้มีบรรดาศักดิ์ประจักษ์ชัด

“พระศรีสุนทรโวหาร”นามหวานหู
“สุนทรภู่”เรียกสนิทไม่ติดขัด
เป็น“กวีสามวัง”สี่ทั้งวัด
รอบรู้อรรถโลกธรรมอย่างชำนาญ

พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งวังหน้า
ทรงเมตตา“พระศรีสุนทรโวหาร”
ให้อยู่ดีมีสุขทุกประการ
โดยอยู่บ้านผู้ใหญ่ในวังเดิม

เกิดวังหลังดังวังหลวงร่วงวังหน้า
เป็นสมญากวีใหญ่ใส่ความเสริม
“กวีวัด”อีกเล่าเข้ามาเติม
เรียกว่าเพิ่มคุณค่ามามากมาย

อายุครบ“เจ็ดสิบปี”สิ้นชีวิต
เป็นการปิดตำนานยาวนานหลาย
ชีวิตท่านกวีเอกเฉกนิยาย
ยังไม่ตายจากโลกกวีเอย.....


@ เต็ม อภินันท์
๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๘ / ๒๐.๔๗ น.

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต