|
1
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:19:52 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน สภาวธรรมเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมายตนะ อภิธรรมภาชนีย์ จบ ปัญหาปุจฉกะ = แสดงคำถาม คำตอบ ด้านพระอภิธรรม ปุจฉกะ = หมายถึง ผู้ตั้งคำถาม หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถาม อายตนะ ๑๒ = คือ (๑) จักขายตนะ (๒) รูปายตนะ (๓) โสตายตนะ (๔) สัททายตนะ (๕) ฆานายตนะ (๖) คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ (๙) กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ (๑๑) มนายตนะ (๑๒) ธัมมายตนะ บรรดาอายตนะ ๑๒ = อายตนะเท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการอธิบายการจำแนกปรมัตถธรรม โดยแบ่งออกเป็น ๓ บท วิสัชนา = หมายถึง คำตอบ, คำชี้แจง, คำแก้ไข, หรือคำอธิบาย. เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการสื่อสารแบบ ปุจฉาวิสัชนา ซึ่งเป็นการถาม (ปุจฉา) และตอบ (วิสัชนา) ไปมา เพื่อให้ได้ความรู้หรือแก้ไขข้อสงสัย อายตนะ ๑๐ = คือโอฬาริกายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต คือ อินทรีย์ ๑๐ อย่างแรก ประกอบด้วย: (๑) จักขุ - จักขุนทรีย์: ตา (๒)โสตะ -โสตินทรีย์): หู (๓) ฆานะ - ฆานินทรีย์: จมูก (๔) ชิวหา - ชิวหินทรีย์: ลิ้น (๕) กาย - กายินทรีย์: กาย ผิวหนัง (๖) รูป - รูปายตนะ: สีสัน (๗) สัททะ - สัททายตนะ: เสียง (๘) คันธะ - คันธายตนะ: กลิ่น (๙)รสะ - รสายตนะ: รส (๑๐) โผฏฐัพพะ - โผฏฐัพพายตนะ: สัมผัส (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) อายตนะ ๒ = คือ มนายตนะ, ธัมมายตนะ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต(ประกอบด้วย); แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต; มนายตนะ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; ธัมมายตนะเป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี อายตนะ ๑๐ = เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก วิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก วิบาก ~ ผลของกรรมดี,ชั่วที่ทำไว้ อายตนะ ๒ = เป็นวิบากก็มี; เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี; เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี; อายตนะ ๕ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ; สัททายตนะ; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่กระทบกับโสตายตนะ (หู) ทำให้เกิดการรับรู้เสียง เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะภายนอก ๖ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสิ่งที่ให้จิตยึดหน่วงและเป็นเหตุให้จิตเจตสิกเกิดขึ้นได้ อายตนะ ๔ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี; อนุปาทินนานุปาทานิยะ ~ อนุปาทินนานุปาทานิยะ หมายถึง ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่น และไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความยึดมั่น อายตนะ ๒ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี; อายตนะ ๑๐ = เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ~ คือ ธรรม อันที่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง และ เป็น ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง อายตนะ ๒ = เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะก็มี; สังกิเลสิกะ ~ คือ ธรรมอัน เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง อสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ~ ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมอง และไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง หมายถึง สามัญผล ๔ คือ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นธรรมที่ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส และ ไม่เป็นที่ตั้งยึดถือด้วยอำนาจกิเลส |
||
|
2
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:27:12 PM
|
||||||||||||||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||||||||||||||
![]() ขอบคุณรูปภาพต้นแบบจาก Internet
|
||||||||||||||
|
3
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:22:21 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
เออจริงด้วยแบบนี้เข้าที่ทาง ทั่วทั้งบางรีบนะมาเป็นกัน ![]() |
||
|
4
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:18:12 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา) | ||
|
เป็นเบาหวานดีใจจริงไหมท่าน หากหนักหวานแย่กว่าใครว่าบ้าง ![]() |
||
|
5
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:16:38 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ (๕) สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ (๕.๑) สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี (๕.๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี (๕.๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (๖) สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ (๖.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น (๖.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม (๖.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖.๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ (๗) สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ (๗.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๗.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๗.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๗.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๗.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๗.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ (๘) สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ (๘.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น (๘.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๘.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๘.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๘.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๘.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๘.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๘.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ (๙) สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ (๙.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๙.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๙.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๙.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๙.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๙.๗) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล (๙.๘) อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๙.๙) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล (๑๐) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้ (๑๐.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๑๐.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๑๐.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๑๐.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๑๐.๘) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล (๑๐.๙) อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล สังขารขันธ์ ~ เป็นไฉน สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี วัฏฏทุกข์ = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์ - สุขกาย) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์- ทุกข์กายก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์-ทุกข์ใจก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ - ไม่ทุกข์,ไม่สุข ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี |
||
|
6
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:48:11 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ (๑๑.๙) มนายตนะหมวดละ ๙ =ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๑๑.๑๐) มนายตนะหมวดละ ๑๐ = ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และ มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๑๒) ธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน เป็นอายตนะ ทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของใจ หรือสิ่งที่ใจสามารถรับรู้ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แต่รวมถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจด้วย เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือสภาวะธรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้, ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (คือ อสังขตาธาตุ) รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน หมายถึง นามธรรมทั้งหลาย (เช่น จักขุวิญญาณ) รู้ได้ แต่ไม่มีลักษณะปรากฏเป็นรูปธรรม (สิ่งที่มีรูปกาย) และไม่มีการกระทบสัมผัสโดยตรง ธรรมเหล่านี้จัดเป็น อสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่ง อสังขตาธาตุ ที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน สภาวธรรมที่เป็นนิพพานเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง เวทนาขันธ์หมวดละ ๑-๑๐ ~ มีด้วยอาการอย่างนี้ ทุกมูลกวาร เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นสุขินทรีย์ - สุขกายก็มี; ที่เป็นทุกขินทรีย์ - ทุกข์กายก็มี; ที่เป็นโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี ที่เป็นโทมนัสสินทรีย์ - ทุกข์ใจก็มี; ที่เป็นอุเปกขินทรีย์- ไม่ทุกข์,ไม่สุขก็มี เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ =ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี สัญญาขันธ์ ~ เป็นไฉน (๑) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = คือ สัญญาขันธ์ เป็น ผัสสสัมปยุต (ประกอบด้วยกับ ผัสสะ) (๒) สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ) (๓) สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต (๔) สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ (๔.๑) สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร - ท่องเที่ยวในกามภพ (๔.๒) เป็น รูปาวจร -ท่องในรูปภพ (๔.๓) เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ (๔.๔) เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัวได้แก่ มรรค ผลของมรรค และอสังขตธาตุ ขั้นที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏะ |
||
|
7
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องว่าง-ขนมไทย จัดใส่โคลง ๐-...
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 10:00:35 PM
|
||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
8
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 09:50:34 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น ![]() เบาหวานกินผองเพื่อนทั้งเรือนพลัน รีบแบ่งกันคนละหน่อยค่อยเบาจาง ![]() |
||
|
9
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 03:03:48 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๙/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ (๖) คันธายตนะ ~ คันธายตนะ เป็นไฉน กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ ~ ชิวหายตนะ เป็นไฉน ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ ~ รสายตนะ เป็นไฉน รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ (๙) กายายตนะ ~ กายายตนะ เป็นไฉน กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่ากายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่าข เป็นไฉน (๑๑.๑) มนายตนะหมวดละ ๑ = ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยผัสสะ (๑๑.๒) มนายตนะหมวดละ ๒ = ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี (๑๑.๓) มนายตนะหมวดละ ๓ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๑๑.๔) มนายตนะหมวดละ ๔ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี กามาวจร = คือ จิตที่ท่องเที่ยวเกี่ยวข้องใน กามภูมิ ที่ยังติดอยู่ในกาม เช่น มนุษย์ เทวดา หรือสัตว์นรก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด รูปาวจร = คือ "ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป" หรือ "พรหมที่มีรูป" ซึ่งเป็นสภาวะจิตของบุคคลที่ได้บรรลุรูปฌาน อรูปาวจร = คือ ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป (อรูปภูมิ) ซึ่งเป็นผลจากการเจริญอรูปฌาน ผู้ที่ได้อรูปฌานจะไปเกิดในอรูปภูมิ ๔ ชั้น ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ วัฏฏทุกข์ = ความวนเวียนของความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ วัฏฏทุกข์ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักๆ ที่หมุนเวียนสัมพันธ์กัน ได้แก่ ~กิเลสวัฏ คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี ~กรรมวัฏ คือ การกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ การกระทำดี และการกระทำชั่ว ล้วนเป็นกรรมที่ส่งผลให้เกิดวิบาก ~วิบากวัฏ คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทั้งที่เป็นสุขและทุกข์ วิบากที่ได้รับก็จะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดกิเลสขึ้นอีก วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ การดับวัฏฏทุกข์ได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ กิเลส (๑๑.๕) มนายตนะหมวดละ ๕ = ได้แก่ ~มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ (สุขกาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ (ทุกข์กาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ (สุขใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ (ทุกข์ใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (อุเปกขินทรีย์ = เวทนาอันสำราญก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ความสำราญ ก็ไม่ใช่ ทางกายหรือทางใจ) (๑๑.๖) มนายตนะหมวดละ ๖ =ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ (๑๑.๗) มนายตนะหมวดละ ๗ = ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ (๑๑.๘) มนายตนะหมวดละ ๘ = ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ |
||
|
10
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 12:54:32 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น ![]() |
||







