(ต่อหน้า ๕/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร
๖๕."เจโตวิมุตติ"มิเจาะรุด....................ก็พระพุทธะกล่าวพจี
เหนือ"อัปปมาฯลุหินะปรี่.........................ผิวะจ่อลุพรหมวิหาร
๖๖.พาน"อัปปมาฯ"เปี่ยมท้น................พรหมแล
"กรุณ"เยี่ยม"เมตตา"แฉ..........................โลกหล้า
"ยินดี"ยิ่งมิแปร.......................................ใจว่าง อุเบกขา
กำเริบอาจมีกล้า.....................................โกรธย้ำ,โลภ,หลง
๖๗."เจโตวิมุตติฯ"ลิกิเลส......................ก็ประเภทซิโลภพะวง
โกรธ,หลงลิหมดหทยะปลง......................ดุจะ"ตาล"ทลายและผลาญ
๖๘.ชาญ"เจโตฯ"ก่อไซร้.......................เลิศเหนือ "อากิญฯ"
เพราะว่างกิเลสเครือ................................นิมิตคล้อย
โลภ,หลง,โกรธ"มิเจือ...............................ปนต่อ อีกเลย
มิเกิดอีกเลยช้อย.....................................หลุดพ้นถาวร
๖๙."เจโตวิมุตติ"มหะกิจ........................"อนิมิตฯ"ซิด้อยและทอน
เจโตฯสิเหนือเพราะนิรคลอน....................มละ"ราคะ,โทสะ,หลง
๗๐."สารีฯ"คงกล่าวแล้ว........................."อรรถธรรม" เดียวกัน
สอนต่างปัญญานำ....................................เก่งรู้
"พระะมหาโกฏฐิฯจำ..................................ชมชื่น
ภาษิต"สารีฯ"กู้..........................................แจ่มแจ้งจริงหนา ฯ|ะ
แสงประภัสสร
มจร. ๓. มหาเวทัลลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://share.google/BYwVP8yuyu6LlrrIcเชตวันฯ= วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชต นอกเมืองสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อถวาย ด้วยเงินมากถึง ๑๘ โกฏิ วัดแห่งนี้นับว่าเป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง ๑๙ พรรษา เป็นสถานที่เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย
พระมหาโกฏฐิกเถระ = เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ ได้แก่
(๑) อัตถปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในอรรถ (๒) ธัมมปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในธรรม (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
พระสาริบุตร = พระอัครสาวกเบื้องขวา ของพระโคดมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศด้วยปัญญา
[ก] ปัญญากับวิญญาณ
พระมหาโกฏฐิกะ ถามคำถามกับพระสารีบุตร หลายเรื่องว่า
(๑) เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม'
ตอบว่า -> บุคคลไม่รู้ชัด เหตุนั้นจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม’ ไม่รู้ชัดอะไร คือ ไม่รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ ตามความเป็นจริง
~คำว่า เพราะเหตุไรหนอแล แปลจากคำว่า “กิตฺตาวตา นุ โข” เป็นคำถามหาเหตุ แท้จริงการถามนั้นมี ๕ อย่าง คือ (๑.๑) อทิฏฐโชตนาปุจฉา - การถามให้แสดงเรื่องที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน (๑.๒) ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา - การถามให้ชี้แจงเรื่องที่เคยทราบมาแล้ว เพื่อเทียบกันดูกับเรื่องที่ตนรู้มา (๑.๓) วิมติเฉทนาปุจฉา - การถามเพื่อให้คลายความสงสัย (๑.๔) อนุมติปุจฉา - การถามเพื่อให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม (๑.๕) กเถตุกามยตาปุจฉา - การถามเพื่อมุ่งจะกล่าวชี้แจงต่อ เป็นลักษณะของการถามเอง ตอบเอง
ในที่นี้พระมหาโกฏฐิกะ ถามในลักษณะของทิฏฐสังสันทนาปุจฉา
(๒) บุคคลที่เรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา เพราะเหตุไรหนอแลจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’
ตอบว่า -> บุคคลรู้ชัด เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’ บุคคลรู้ชัดอะไร คือ รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’
(๓) สภาวะที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า
‘วิญญาณ”
ตอบว่า -> สภาวะรู้แจ้ง เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘วิญญาณ’ สภาวะรู้แจ้งอะไร คือ รู้แจ้งสุขบ้าง รู้แจ้งทุกข์บ้าง รู้แจ้ง อทุกขมสุขบ้าง
(๔) ข้อถามมี ๓ นัย
(๔.๑) "ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน หรือแยกกัน และสามารถแยกแยะ บัญญัติหน้าที่ต่างกันได้หรือไม่” หรือ
(๔.๒) “ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น เหตุนั้นธรรม ๒ ประการนี้ จึงรวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้” หรือ