|
1
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:35:34 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๓/๑๖) อภิธรรมปิฎก : ๑๔.วิภังค์ : สติปัฏฐานวิภังค์ [ข] อภิธรรมภาชนีย์ สติปัฏฐาน ๔ =ได้แก่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (๑) กายานุปัสสนา = พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เป็นอย่างไร ~ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระ ซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน ~เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม ฯลฯ ~บรรลุปฐมฌานที่เป็น ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา พิจารณาเห็นกายในกาย อยู่ในสมัยใด --ปฏิปทา ๔ = แนวปฏิบัติให้ถึงจุดหมาย คือความหลุดพ้นหรือความสิ้นอาสวะ ๑) ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา - ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า เช่นผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น อีกทั้งอินทรีย์ก็อ่อน จึงบรรลุโลกุตตรมรรคล่าช้า ๒) ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา - ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น แต่มีอินทรีย์แก่กล้า จึงบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว ๓) สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา - ปฏิบัติสบาย แต่รู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นเนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน ๔ อันเป็นสุขประณีต แต่มีอินทรีย์อ่อน จึงบรรลุโลกุตตรมรรคล่าช้า ๔) สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา - ปฏิบัติสบาย ทั้งรู้ได้ไว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นเนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน ๔ อันเป็นสุขประณีต อีกทั้งมีอินทรีย์แก่กล้า จึงบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว ~ ในสมัยนั้น สติ, ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพชฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สติปัฏฐาน ~สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุต (ประกอบ) ด้วยสติปัฏฐาน (๒) เวทนานุปัสสนา = ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เป็นอย่างไร ~ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน ~ เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม ฯลฯ ~บรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ~ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา อยู่ในสมัยใด ~ ในสมัยนั้น สติ, ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพชฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สติปัฏฐาน ~ สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุตด้วยสติปัฏฐาน (๓) จิตตานุปัสสนา = ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ เป็นอย่างไร ~ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน ~ เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น ~ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ~ พิจารณาเห็นจิตในจิต อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น สติ, ความตามระลึก, ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สติปัฏฐาน ~ สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุตด้วยสติปัฏฐาน (๔) ธัมมานุปัสสนา = ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นอย่างไร (๔.๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน (๔.๒) เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น (๔.๓) สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา (๔.๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรม อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น สติ, ความตามระลึก, ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพชฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สติปัฏฐาน (๔.๕) สภาวธรรมที่เหลือชื่อว่าสัมปยุตด้วยสติปัฏฐาน สติปัฏฐานธรรม = ในสภาวธรรมเหล่านั้น สติปัฏฐาน เป็นไฉน (๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน (๒) เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น (๓) สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด (๔) ในสมัยนั้น ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ ก็เกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกุศล (๔.๑) ผัสสะ = การกระทบ, กิริยาที่กระทบ, อาการที่ถูกต้อง, ความถูกต้อง (๔.๒) อวิกเขปะ = ความตั้งอยู่แห่งจิต, ความดำรงอยู่แห่งจิต, ความมั่นอยู่แห่งจิต, ความไม่ส่ายไปแห่งจิต, ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต, ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป, ความสงบ, สมาธินทรีย์, สมาธิพละ, มิจฉาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ~ สมาธินทรีย์ = เป็นไฉน? ความตั้งอยู่แห่งจิต, ความมั่นอยู่แห่งจิต, ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต, ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป, ความสงบ |
||
|
2
เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:48:34 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร สงครามไพร ในแดนดิน ถิ่นนี้ คือถิ่นไพร ต้องเรียนรู้ รักษาไว้ ให้ลูกหลาน วนวัฒน์ พัฒนา งามสคราญ ปวงสัตว์ป่า สุขสราญ กลางอรัญ แหงนมองฟ้า สกุณา ร่าเริงยิ่ง สรรพสิ่ง สร้างสมดุล หนุนสร้างสรรค์ สารพัด พฤกษา นานาพันธุ์ ดุจสวรรค์ แห่งสยาม สมนามไทย ชลธาร ไหลหลั่ง ตระการตา เหล่ามัจฉา แหวกว่าย สายน้ำใส สาคเรศ สวยสะอาด ปราศจากภัย แสนละไม สุดละมุน หนุนนำพา สงครามไพร แสนยิ่งใหญ่ กว่าใดอื่น หวังพลิกฟื้น คืนอุดม สมปรารถนา เหล่าศัตรู ผู้รุกราน พงพนา วอนเทวา สังหารสิ้น จากถิ่นไทย คนเรียนไพร ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
||
|
3
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 08:20:58 PM
|
||
| เริ่มโดย ฝาตุ่ม - กระทู้ล่าสุด โดย ฝาตุ่ม | ||
|
สหายเกลอ เริงร่ามาเต็มบ้าน สุขสำราญนัวเนียคลอเคลียหา ชิมอาหารกันอิ่มยิ้มปรีดา ไหนบอกว่ามาช่วยด้วยน้ำใจ อันของสดที่หรือถือเต็มรถ เพียงพริบตาพร่องหมดสลดไหม แต่ละคำกลืนกล้ำซ้ำกันไป เหลืออะไรไว้กินวันสิ้นปี คงต้องพึ่งไข่เจียวแล้วซิหนอ มาม่าห่อพอได้กันไหมนี่ หมูไก่หมดมองอะไรก็ไม่มี ทำอย่างไรเล่าคราวนี้สิ้นปีครวญ |
||
|
4
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:40:34 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ฝาตุ่ม | ||
|
มีเงินใช้จ่ายคล่องกองเต็มถัง ฝากความหวังได้ไหมยืมใช้ก่อน ![]() |
||
|
5
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:30:33 PM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร แด่ทหารกล้า จักมีใคร หยั่งรู้ ในไพรกว้าง แสนอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว เป็นหนักหนา ตะวันเดือด ร้อนแรง ยามทิวา หนาวกายา รัตติกาล สะท้านทรวง สองตามอง สองหูฟัง ระวังไว อริราช แดนไกล ภัยใหญ่หลวง มุ่งทำร้าย ครองแผ่นดิน สิ้นทั้งปวง ใจแหนหวง เพราะถิ่นนี้ คือถิ่นไทย บรรพชน คนกล้า อดีตกาล เข้าต่อกร ผู้รุกราน ไม่หวั่นไหว ถึงตัวตาย ไม่ขายชาติ ให้ผู้ใด สละได้ ทุกสิ่งอย่าง หว่างชีวี หลับเถิดหนา ทหารกล้า ผู้ทรงธรรม วีรกรรม ทำไว้ เป็นเกียรติศรี เพื่อนร่วมชาติ น้อมนำ สดุดี ปฐพี แห่งมารดา คารวคุณ คนเรียนไพร ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
||
|
6
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 04:16:12 PM
|
|||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | |||
|
|||
|
7
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:53:14 PM
|
||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | ||
|
|
||
|
8
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:31:46 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร ไพรร่มเย็น ยังคงเป็น เช่นเดิม ไร้เติมแต่ง ไม่เสแสร้ง แกล้งกระทำ ให้หลงใหล พฤติกรรม น้อมนำ คนรักษ์ไพร ทั้งใกล้ไกล ได้รื่นรมย์ สมสัจจา อุทยาน แห่งชาติ ประกาศก้อง ไทยทั้งผอง สุขสม ปรารถนา เขียวขจี ความอุดม สมวนา พรรณพฤกษา สัตว์ป่า ได้ คุ้มครอง ปณิธาน สืบสาน มาแสนนาน ร่วมขับขาน ผืนไพร ไร้หม่นหมอง สามัคคี ร่วมรักษา สร้างปองดอง ไทยทั้งผอง เทิดไว้ สดุดี วนาชน ผู้ปิด ทองหลังพระ ไม่ลดละ แม้ยากเข็ญ เป็นเกียรติศรี จักปกป้อง รักษา วนาลี ประชาชี ได้ร่มเย็น เป็นนิรันดร์ คนเรียนไพร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
||
|
9
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:33:32 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๒/๑๖) อภิธรรมปิฎก : ๑๔.วิภังค์ : สติปัฏฐานวิภังค์ (๔.๓) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายในตนและภายนอกตนอยู่ = เป็นอย่างไร (๔.๓.๑) นีวรณปัพพะ = หมวดนิวรณ์ ๕ เหตุขัดขวางไม่ให้ลุความดี ได้แก่ กามฉันทะ, พยาบาท, ถีนมิทธะ,อุทธัจจกุกกุจจะ, วิจิกิจฉา (๔.๓.๑.๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้กามฉันทะซึ่งมีอยู่ว่า กามฉันทะมีอยู่ ~ หรือรู้กามฉันทะซึ่งไม่มีอยู่ว่า กามฉันทะไม่มีอยู่ ~ อนึ่ง รู้เหตุเกิดแห่งกามฉันทะที่ยังไม่เกิด เหตุละกามฉันทะที่เกิดแล้ว และเหตุที่กามฉันทะซึ่งละได้แล้วจะไม่เกิดต่อไป (๔.๓.๑.๒) รู้พยาบาทซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๑.๓) รู้ถีนมิทธะซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๑.๔) รู้อุทธัจจกุกกุจจะซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๑.๕) รู้วิจิกิจฉาซึ่งมีอยู่ว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ~ หรือรู้วิจิกิจฉาซึ่งไม่มีอยู่ว่า วิจิกิจฉาไม่มีอยู่ ~ อนึ่ง รู้เหตุเกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เหตุละวิจิกิจฉาที่เกิดแล้ว และเหตุที่วิจิกิจฉาซึ่งละได้แล้วจะไม่เกิดต่อไป (๔.๓.๒) โพชฌงคปัพพะ = หมวดแห่งสัมโภชฌงค์ ๗ ธรรมอันนำไปสู่การตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, วิริยสัมโพชฌงค์, ปีติสัมโพชฌงค์, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมาธิสัมโพชฌงค์, อุเปกขาสัมโพชฌงค์ (๔.๓.๒.๑) รู้สติสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ว่า สติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ~ หรือรู้สติสัมโพชฌงค์ซึ่งไม่มีอยู่ว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ~ อนึ่ง รู้เหตุเกิดแห่งสติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด และเหตุเจริญบริบูรณ์แห่งสติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว (๔.๓.๒.๒) รู้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๒.๓) รู้วิริยสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๒.๔) รู้ปีติสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๒.๕) รู้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๒.๖) รู้สมาธิสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ ฯลฯ (๔.๓.๒.๗) รู้อุเปกขาสัมโพชฌงค์ซึ่งมีอยู่ว่า อุเปกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ ~ หรือรู้อุเปกขาสัมโพชฌงค์ซึ่งไม่มีอยู่ว่า อุเปกขาสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ~ อนึ่ง รู้เหตุเกิดแห่งอุเปกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด และเหตุเจริญบริบูรณ์แห่งอุเปกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายในตนและภายนอกตนอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ -> คำว่า พิจารณาเห็น = เป็นไฉน - ปัญญา, กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย, ความเลือกเฟ้นธรรม, สัมมาทิฏฐิ นี้เรียกว่า การพิจารณาเห็น - ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว, เข้ามาถึงแล้ว, เข้ามาถึงแล้วด้วยดี, เข้าถึงแล้วด้วยดี, ประกอบแล้วด้วยการพิจารณาเห็นนี้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า พิจารณาเห็น -> คำว่า อยู่ = เป็นไฉน - อธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่, ดำเนินไปอยู่, รักษาอยู่, เป็น ไปอยู่, ให้เป็นไปอยู่, เที่ยวไปอยู่ พักอยู่, เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า อยู่ -> คำว่า มีความเพียร = เป็นไฉน - การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ นี้เรียกว่า ความเพียร - ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว, เข้าไปถึงแล้วด้วยดี, เข้ามาถึงแล้ว, เข้ามาถึงแล้วด้วยดี, เข้าถึงแล้ว, เข้าถึงแล้วด้วยดี, ประกอบแล้วด้วยความเพียรนี้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ามีความเพียร -> คำว่า มีสัมปชัญญะ = เป็นไฉน - ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ, ความไม่หลงงมงาย, ความเลือกเฟ้นธรรม, สัมมาทิฏฐิ นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ - ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว, เข้าไปถึงแล้วด้วยดี, เข้ามาถึงแล้ว, เข้ามาถึงแล้วด้วยดี, เข้าถึงแล้ว, เข้าถึงแล้วด้วยดี, ประกอบแล้วด้วยสัมปชัญญะนี้, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า มีสัมปชัญญะ -> คำว่า มีสติ = เป็นไฉน - สติ ความตามระลึก, ฯลฯ สัมมาสติ นี้เรียกว่า สติ - ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว, เข้าไปถึงแล้วด้วยดี, เข้ามาถึงแล้ว, เข้ามาถึงแล้วด้วยดี, เข้าถึงแล้ว, เข้าถึงแล้วด้วยดี, ประกอบแล้วด้วยสตินี้, เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ามีสติ -> คำว่า พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ นั้น = โลก เป็นไฉน - ความไม่สำราญทางใจ, ความทุกข์ทางใจ, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส อภิชฌาและโทมนัสนี้ ดังกล่าวนี้ ถูกกำจัด, ถูกกำจัดราบคาบ, สงบ ระงับ, สงบเงียบ, ดับไป, ดับไปอย่างราบคาบ, ถูกทำให้พินาศไป, ถูกทำให้พินาศย่อยยับไป, ถูกทำให้เหือดแห้งไป, ถูกทำให้เหือดแห้งไปด้วยดี, ถูกทำให้สิ้นไปในโลกนี้ จึงเรียกว่า พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ - มีความเพียร, มีสัมปชัญญะ, มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกได้ ธัมมานุปัสสนานิทเทส จบ สุตตันตภาชนีย์ จบ |
||
|
10
เมื่อ: 22, ธันวาคม, 2568, 10:55:50 PM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร คามวาสี เพราะตั้งใจ เรียนรู้ สู่นิพพาน จักประหาร กิเลส เหตุโมหันธ์ หนทางเสื่อม ดั่งไฟ ประลัยกัลป์ ดุจความฝัน มวลมนุษย์ ปุถุชน สานุศิษย์ ใฝ่รู้ ภูมิปัญญา พุทธบูชา เทิดไว้ ทุกแห่งหน ขนานนาม คามวาสี ทั่วมณฑล เต็มกมล เหล่าครูบา พุทธาจารย์ ด้วยโลกเปลี่ยน เวียนว่าย วัฏจักร ไม่หยุดพัก มหาชน คนสืบสาน อรุณรุ่ง โปรดสัตว์ จิตชื่นบาน ทุกเรือนชาน คามวาสี ดีต่อใจ เป็นพระบ้าน สุขสำราญ มานานเนิ่น ธรรมจำเริญ สืบสาน ร่วมสมัย คามวาสี รื่นรมย์ สมฤทัย แม้ห่างไกล ไพรพนา ไม่ห่างธรรม คนเรียนไพร ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
||


.gif)

