Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:19:52 AM 
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร

(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมายตนะ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ
ปัญหาปุจฉกะ = แสดงคำถาม คำตอบ ด้านพระอภิธรรม
ปุจฉกะ = หมายถึง ผู้ตั้งคำถาม หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถาม
อายตนะ ๑๒ = คือ
(๑) จักขายตนะ (๒) รูปายตนะ (๓) โสตายตนะ (๔) สัททายตนะ (๕) ฆานายตนะ (๖) คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ (๙) กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ (๑๑) มนายตนะ (๑๒) ธัมมายตนะ
บรรดาอายตนะ ๑๒ = อายตนะเท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการอธิบายการจำแนกปรมัตถธรรม  โดยแบ่งออกเป็น ๓ บท
วิสัชนา = หมายถึง คำตอบ, คำชี้แจง, คำแก้ไข, หรือคำอธิบาย. เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการสื่อสารแบบ ปุจฉาวิสัชนา ซึ่งเป็นการถาม (ปุจฉา) และตอบ (วิสัชนา) ไปมา เพื่อให้ได้ความรู้หรือแก้ไขข้อสงสัย
อายตนะ ๑๐ = คือโอฬาริกายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต
คือ อินทรีย์ ๑๐ อย่างแรก ประกอบด้วย:
(๑) จักขุ - จักขุนทรีย์: ตา (๒)โสตะ -โสตินทรีย์): หู (๓) ฆานะ - ฆานินทรีย์: จมูก (๔) ชิวหา - ชิวหินทรีย์: ลิ้น (๕) กาย - กายินทรีย์: กาย ผิวหนัง (๖) รูป - รูปายตนะ: สีสัน (๗) สัททะ - สัททายตนะ: เสียง (๘) คันธะ - คันธายตนะ: กลิ่น (๙)รสะ - รสายตนะ: รส (๑๐) โผฏฐัพพะ - โผฏฐัพพายตนะ: สัมผัส (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง)
อายตนะ ๒ = คือ มนายตนะ, ธัมมายตนะ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต(ประกอบด้วย); แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต; มนายตนะ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; ธัมมายตนะเป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม
เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิบาก ~ ผลของกรรมดี,ชั่วที่ทำไว้
อายตนะ ๒ = เป็นวิบากก็มี; เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี; เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี;
อายตนะ ๕ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ; สัททายตนะ; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ
อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่กระทบกับโสตายตนะ (หู) ทำให้เกิดการรับรู้เสียง เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะภายนอก ๖ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสิ่งที่ให้จิตยึดหน่วงและเป็นเหตุให้จิตเจตสิกเกิดขึ้นได้
อายตนะ ๔ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อนุปาทินนานุปาทานิยะ ~ อนุปาทินนานุปาทานิยะ หมายถึง ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่น และไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
อายตนะ ๒ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อายตนะ ๑๐ = เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ
อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ~ คือ ธรรม อันที่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง และ เป็น ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง
อายตนะ ๒ = เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะก็มี;
สังกิเลสิกะ ~ คือ ธรรมอัน เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
อสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ~ ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมอง และไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
หมายถึง สามัญผล ๔ คือ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นธรรมที่ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส และ ไม่เป็นที่ตั้งยึดถือด้วยอำนาจกิเลส

 2 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาประสาสัตว์คำโคลง ๐-...
 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:27:12 PM 
เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword

ขอบคุณรูปภาพต้นแบบจาก Internet

-๐ นกกะรางหางแดง ๐-

๏   เหมือนพลามเพลิงสว่างพลิ้ว      พรายแสง
เพียงนกกะรางหางแดงเคลื่อนเยื้อง
วามวาบโรจน์เริงแรงประทับจิต
จารสลักลงสู่เบื้องอกต้องตรึงจำ ๚ะ๛

- Black Sword -
(หมู มยุรธุชบูรพา)

• กลับสู่สารบัญ นานาประสาสัตว์คำโคลง คลิก

 3 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอน ร้อยกรองหลากลีลา / Re: ..ขอบาทเดียว..
 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:22:21 PM 
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword

เออจริงด้วยแบบนี้เข้าที่ทาง       ทั่วทั้งบางรีบนะมาเป็นกัน
 

 4 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอน ร้อยกรองหลากลีลา / Re: ..ขอบาทเดียว..
 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:18:12 PM 
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา)


เป็นเบาหวานดีใจจริงไหมท่าน        หากหนักหวานแย่กว่าใครว่าบ้าง 

 5 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:16:38 PM 
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร

(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๕) สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ
(๕.๑) สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี (๕.๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี (๕.๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
(๖) สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น (๖.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม (๖.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖.๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
(๗) สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๗.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๗.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๗.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๗.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ  (๗.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๘) สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ
(๘.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น (๘.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๘.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๘.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๘.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๘.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๘.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา  - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๘.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๙) สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ
(๙.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๙.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๙.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๙.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๙.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๙.๗) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล (๙.๘) อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๙.๙) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
(๑๐) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้
(๑๐.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๑๐.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๑๐.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๑๐.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๑๐.๘) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล (๑๐.๙) อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
สังขารขันธ์ ~ เป็นไฉน
สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์  = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด
สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์ - สุขกาย) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์- ทุกข์กายก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์-ทุกข์ใจก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ - ไม่ทุกข์,ไม่สุข ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส                                                                   สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี

 6 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:48:11 AM 
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร

(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๑๑.๙) มนายตนะหมวดละ ๙ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๑๐) มนายตนะหมวดละ ๑๐ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และ มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๒) ธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
เป็นอายตนะ ทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของใจ หรือสิ่งที่ใจสามารถรับรู้ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แต่รวมถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจด้วย เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือสภาวะธรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้, ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (คือ อสังขตาธาตุ)
รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
หมายถึง นามธรรมทั้งหลาย (เช่น จักขุวิญญาณ) รู้ได้ แต่ไม่มีลักษณะปรากฏเป็นรูปธรรม (สิ่งที่มีรูปกาย) และไม่มีการกระทบสัมผัสโดยตรง ธรรมเหล่านี้จัดเป็น อสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่ง
อสังขตาธาตุ ที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นนิพพานเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑-๑๐ ~ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นสุขินทรีย์ - สุขกายก็มี; ที่เป็นทุกขินทรีย์ - ทุกข์กายก็มี; ที่เป็นโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี  ที่เป็นโทมนัสสินทรีย์ - ทุกข์ใจก็มี; ที่เป็นอุเปกขินทรีย์- ไม่ทุกข์,ไม่สุขก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
สัญญาขันธ์ ~ เป็นไฉน
(๑) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = คือ สัญญาขันธ์ เป็น ผัสสสัมปยุต (ประกอบด้วยกับ ผัสสะ)
(๒) สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ) (๓) สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต
(๔) สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ
(๔.๑) สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร  - ท่องเที่ยวในกามภพ (๔.๒) เป็น รูปาวจร -ท่องในรูปภพ (๔.๓) เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ (๔.๔) เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัวได้แก่ มรรค ผลของมรรค และอสังขตธาตุ ขั้นที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏะ

 7 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องว่าง-ขนมไทย จัดใส่โคลง ๐-...
 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 10:00:35 PM 
เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword

ขอบคุณรูปภาพต้นแบบจาก Internet

-๐ ขนมทองโยะ ๐-

๏   ทองโยะหนุบนุ่มเคี้ยว        เพลินพลาง
ตาเหลือบลอบแลนางขณะลิ้ม
หวานอ่อนเค็มอ่อนบางคำขบ
หวานสบตาส่งยิ้มยั่วเย้าคราวยล ๚ะ๛

- Black Sword -
(หมู มยุรธุชบูรพา)

• กลับสู่สารบัญ เครื่องหวาน-เครื่องว่างไทย จัดใส่โคลง คลิก

 8 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอน ร้อยกรองหลากลีลา / Re: ..ขอบาทเดียว..
 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 09:50:34 PM 
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword
อ้างจาก: ต้นฝ้าย ที่ 22, ตุลาคม, 2568, 12:54:32 PM

มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม      เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น 

เบาหวานกินผองเพื่อนทั้งเรือนพลัน     รีบแบ่งกันคนละหน่อยค่อยเบาจาง
 

 9 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 03:03:48 PM 
เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร

(ต่อหน้า ๙/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๖) คันธายตนะ ~ คันธายตนะ เป็นไฉน
กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ
(๗) ชิวหายตนะ ~ ชิวหายตนะ เป็นไฉน
ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ
(๘) รสายตนะ ~ รสายตนะ เป็นไฉน
รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ
(๙) กายายตนะ ~ กายายตนะ เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่ากายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ
(๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่าข เป็นไฉน
(๑๑.๑) มนายตนะหมวดละ ๑ = ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยผัสสะ
(๑๑.๒) มนายตนะหมวดละ ๒ = ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
(๑๑.๓) มนายตนะหมวดละ ๓ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๔) มนายตนะหมวดละ ๔ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
กามาวจร = คือ จิตที่ท่องเที่ยวเกี่ยวข้องใน กามภูมิ ที่ยังติดอยู่ในกาม เช่น มนุษย์ เทวดา หรือสัตว์นรก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด
รูปาวจร = คือ "ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป" หรือ "พรหมที่มีรูป" ซึ่งเป็นสภาวะจิตของบุคคลที่ได้บรรลุรูปฌาน
อรูปาวจร = คือ ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป (อรูปภูมิ) ซึ่งเป็นผลจากการเจริญอรูปฌาน ผู้ที่ได้อรูปฌานจะไปเกิดในอรูปภูมิ ๔ ชั้น ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
วัฏฏทุกข์ = ความวนเวียนของความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ วัฏฏทุกข์ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักๆ ที่หมุนเวียนสัมพันธ์กัน ได้แก่
~กิเลสวัฏ คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี
~กรรมวัฏ คือ การกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ การกระทำดี  และการกระทำชั่ว ล้วนเป็นกรรมที่ส่งผลให้เกิดวิบาก
~วิบากวัฏ คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทั้งที่เป็นสุขและทุกข์ วิบากที่ได้รับก็จะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดกิเลสขึ้นอีก วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ
การดับวัฏฏทุกข์ได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ กิเลส
(๑๑.๕) มนายตนะหมวดละ ๕ = ได้แก่
~มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ (สุขกาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ (ทุกข์กาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ (สุขใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ (ทุกข์ใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (อุเปกขินทรีย์ = เวทนาอันสำราญก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ความสำราญ ก็ไม่ใช่ ทางกายหรือทางใจ)
(๑๑.๖) มนายตนะหมวดละ ๖ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ
(๑๑.๗) มนายตนะหมวดละ ๗ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ
(๑๑.๘) มนายตนะหมวดละ ๘ =  ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ

 10 
 คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอน ร้อยกรองหลากลีลา / Re: ..ขอบาทเดียว..
 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 12:54:32 PM 
เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย

มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม      เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น 

หน้า: [1] 2 3 ... 10
Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.151 วินาที กับ 18 คำสั่ง
กำลังโหลด...