แม้อ่อนแอ ท้อแท้ ใช่แพ้พ่าย
แค่ร่างกาย ใจหวัง นั่งพักผ่อน
เชื่อมั่นเถิด วันเศร้า จะเคลื่อนคลอน
พ้นวันร้อน รอนผ่าน...กาลเวลา
กุ้งนา
วันที่อ่อนแอ
|
1
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:47:36 PM
|
||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา) | ||
|
แม้อ่อนแอ ท้อแท้ ใช่แพ้พ่าย แค่ร่างกาย ใจหวัง นั่งพักผ่อน เชื่อมั่นเถิด วันเศร้า จะเคลื่อนคลอน พ้นวันร้อน รอนผ่าน...กาลเวลา กุ้งนา วันที่อ่อนแอ |
||
|
2
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:36:52 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา) | ||
|
จึงรีบวางจานลงตรงหน้าไว กลัวหัวใจจะวายเพราะอิ่มจัง |
||
|
3
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 04:09:43 PM
|
|||
| เริ่มโดย รินดาวดี - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|
|||
|
4
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 04:07:04 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
อันตรายใดใดไม่คิดหวาด แค่ว่าน้ำหนักอาจจะขึ้นได้ ![]() |
||
|
5
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:28:31 PM
|
||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
จะเฝ้าคอยวันคืนฟื้นแรงจิต เนรมิตบทกลอนร่อนภาษา รอถ้อยคำรำพันพรรณนา ปลุกวิญญาณรจนาภาษาใจ จะรอคอยร้อยกรองทำนองฝาก ที่รินจากจิตสรรอันสดใส ร่วมสืบสานตำนานกานต์เกรียงไกร เป็นแสงไฟส่องหล้าชั่วนิรันดร์ ![]() ต้นฝ้าย |
||
|
6
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:22:07 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
เร่งระวังรั้งจิตคิดป้องกัน กลัวภัยอันตรายวุ่นวายใจ ![]() |
||
|
7
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:19:23 PM
|
||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
ใจเอ๋ยใจรวน ประเดี๋ยวสรวลสู้แสงตำแหน่งใส ประเดี๋ยวเศร้าซึมเซาเหงาจับใจ เปลี่ยนไปไวหวั่นไหวไม่อาจปราณ เหมือนพายุถาโถมประโลมแดด ร้อนระแผดเผาใจให้ฟุ้งซ่าน คุมไม่อยู่รู้ตัวกลัวร้าวราญ ทรมานหม่นมัวกลัวใจเอย ![]() ต้นฝ้าย |
||
|
8
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:32:44 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๙/๑๖) อภิธรรมปิฎก : ๑๔.วิภังค์ : สติปัฏฐานวิภังค์ (๒.๓) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในตนและภายนอกตนอยู่ = เป็นอย่างไร มี ๙ แบบเช่นกัน (๒.๓.๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้ชัดสุขเวทนาว่า เป็นสุขเวทนา (๒.๓.๒) รู้ชัดทุกขเวทนาว่า เป็นทุกขเวทนา (๒.๓.๓) รู้ชัดอทุกขมสุขเวทนาว่า เป็นอทุกขมสุขเวทนา (๒.๓.๔) รู้ชัดสุขเวทนามีอามิสว่า เป็นสุขเวทนามีอามิส (๒.๓.๕) หรือรู้ชัดสุขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็นสุขเวทนาไม่มีอามิส (๒.๓.๖) รู้ชัดทุกขเวทนามีอามิสว่า เป็นทุกขเวทนามีอามิส (๒.๓.๗) หรือรู้ชัดทุกขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็นทุกขเวทนาไม่มีอามิส (๒.๓.๘) รู้ชัดอทุกขมสุขเวทนามีอามิสว่า เป็นอทุกขมสุขเวทนามี อามิส (๒.๓.๙) หรือรู้ชัดอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็นอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในตนและภายนอกตนอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ [๓] จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน = การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ (๓.๑) พิจารณาเห็นจิตในจิตภายในตนอยู่ = เป็นอย่างไร (๓.๑.๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้ชัดจิตมีราคะว่า จิตของเรามีราคะ (๓.๑.๒) หรือรู้ชัดจิตปราศจากราคะว่า จิตของเราปราศจากราคะ (๓.๑.๓) รู้ชัดจิตมีโทสะว่า จิตของเรามีโทสะ (๓.๑.๔) หรือรู้ชัดจิตปราศจากโทสะว่า จิตของเราปราศจากโทสะ (๓.๑.๕) รู้ชัดจิตมีโมหะว่า จิตของเรามีโมหะ (๓ ๑.๖) หรือรู้ชัดจิตปราศจากโมหะว่า จิตของเราปราศจากโมหะ (๓.๑.๗) รู้ชัดจิตหดหู่ว่า จิตของเราหดหู่ (๓.๑.๘) รู้ชัดจิตฟุ้งซ่านว่า จิตของเราฟุ้งซ่าน (๓.๑.๙) รู้ชัดจิตเป็นมหัคคตะว่า จิตของเราเป็นมหัคคตะ (มหัคคตะ= คือ ถึงความเป็นใหญ่ หมายเอาจิตที่เป็นฌาน หรือเป็นอัปปมัญญา พรหมวิหาร) (๓.๑.๑๐) หรือรู้ชัดจิตที่ไม่เป็นมหัคคตะว่า จิตของเราไม่เป็นมหัคคตะ (๓.๑.๑๑) รู้ชัดจิตที่เป็นสอุตตระว่า จิตของเราเป็นสอุตตระ มีจิตอื่นยิ่งกว่า ~ จิตเป็นสอุตตระ = คือ กามาวจรจิต ซึ่งมีจิตอื่นยิ่งกว่า คือ รูปาวจร ~กามาวจร = กามาวจรจิต คือจิตที่ยังท่องไปในกาม คือมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ ~รูปาวจร = รูปาวจรจิต เป็นจิตระดับสูงกว่ากามาวจรจิต เป็นจิตที่ได้อบรมเจริญขึ้นจนพ้นจากกามอารมณ์ โดยอาศัยการอบรมเจริญกามาวจรกุศลจิตจนสงบมั่นคงขึ้นเป็นสมถภาวนา เมื่อกามาวจรกุศลจิตสงบมั่นคงขึ้น เป็นสมาธิขั้นต่างๆ จนจิตแนบแน่นในอารมณ์เป็นอัปปนาสมาธิขณะใด ขณะนั้นก็เป็นรูปาวจรกุศลจิต (รูปฌานกุศลจิต) พ้นจากสภาพของกามาวจรจิต (๓.๑.๑๒) หรือรู้ชัดจิตเป็นอนุตตระว่า จิตของเราเป็นอนุตตระ ~ จิตเป็นอนุตตระ = คือจิตที่เป็นอรูปาวจรจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า คือ อรูปาวจร ~ อรูปาวจรจิต คือ จิตที่ไม่มีรูปกรรมฐานเป็นอารมณ์ เพราะเห็นว่าเมื่อยังมีรูปกรรมฐานเป็นอารมณ์อยู่ ก็ยังใกล้ชิดต่อการที่จะมีกามเป็นอารมณ์ ก็เพิกรูปกสิณที่เป็นอารมณ์ โดยน้อมระลึกถึงสภาพที่ไม่มีรูปนิมิต และมีอารมณ์ไม่มีที่สุด (๓.๑.๑๓) รู้ชัดจิตเป็นสมาธิว่า จิตของเราเป็นสมาธิ (๓.๑.๑๔) หรือรู้ชัดจิตไม่เป็นสมาธิว่าจิตของเราไม่เป็นสมาธิ (๓.๑.๑๕) รู้ชัดจิตหลุดพ้นว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ (๓.๑.๑๖) หรือรู้ชัดจิตที่ยังไม่หลุดพ้นว่า จิตของเรายังไม่หลุดพ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดนิมิตนั้นด้วยดี ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดนิมิตนั้นด้วยดีแล้วจึงส่งจิตไปในจิตภายนอกตน (๓.๒) พิจารณเห็นจิตในจิตภายนอกตนอยู่ = เป็นอย่างไร (๓.๒.๑)~ ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งมีราคะว่า จิตของเขามีราคะ (๓.๒.๒)~ หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งปราศจากราคะว่า จิตของเขาปราศจากราคะ จิตปราศจากราคะ = ในที่นี้หมายถึงโลกิยจิตที่เป็นกุศล ๑๗ วิปากจิต ๓๒ อเหตุกกิริยาจิต ๒ (เว้นหสิตุปปาทะ) (๓.๒.๓) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งมีโทสะว่า จิตของเขามีโทสะ (๓.๒.๔) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งปราศจากโทสะว่า จิตของเขาปราศจากโทสะ (๓.๒.๕) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งมีโมหะว่า จิตของเขามีโมหะ (๓.๒.๖) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งปราศจากโมหะว่า จิตของเขปราศจากโมหะ (๓.๒.๗) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งหดหู่ว่า จิตของเขาหดหู่ (๓.๒.๘) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งฟุ้งซ่านว่า จิตของเขาฟุ้งซ่าน (๓.๒.๙) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งเป็นมหัคคตะว่า จิตของเขาเป็นมหัคคตะ (๓.๒.๑๐) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งไม่เป็นมหัคคตะว่า จิตของเขาไม่เป็นมหัคคตะ (๓.๒.๑๑) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งเป็นสอุตตระว่า จิตของเขาเป็นสอุตตระ (๓.๒.๑๒) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งเป็นอนุตตระว่า จิตของเขาเป็นอนุตตระ (๓.๒.๑๓) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งเป็นสมาธิว่า จิตของเขาเป็นสมาธิ (๓.๒.๑๔) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งไม่เป็นสมาธิว่า จิตของเขาไม่เป็นสมาธิ (๔.๒.๑๕) รู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งหลุดพ้นแล้วว่า จิตของเขาหลุดพ้นแล้ว (๓.๒.๑๖) หรือรู้ชัดจิตของผู้นั้นซึ่งยังไม่หลุดพ้นว่า จิตของเขายังไม่หลุดพ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดนิมิตนั้นด้วยดี ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดนิมิตนั้นด้วยดีแล้วจึงส่งจิตไปในจิตภายในตนและภายนอกตน |
||
|
9
เมื่อ: 19, ธันวาคม, 2568, 05:46:25 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
หมูรีบหลบทางซ้ายไม่ชักช้า แล้วหันขวาปลดระฆังก่อนดังลั่น ![]() |
||
|
10
เมื่อ: 19, ธันวาคม, 2568, 10:49:55 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร เชิดชูไพร สัตว์วนา ป่าสวย ยามเหมันต์ สรรพชีวัน สุขสันต์ แสนหรรษา บุปผชาติ งดงาม ตระการตา บูรณา สัตว์สวย แลป่างาม ในกลางดง คงอุดม ผืนป่าใหญ่ กิ่งก้านใบ สูงเสียดฟ้า ไร้เกรงขาม บ้างผลิดอก ออกช่อ แสนงดงาม สมญานาม เลื่องระบือ คือถิ่นไพร สรรพสัตว์ ร่อนเร่ กลางวนา รู้จักหา เก็บกิน สิ้นสงสัย เสน่หา ความขจี ดีต่อใจ แผ่นดินไทย ไม่ไร้สิ้น ถิ่นอุดม แม้เหน็บหนาว ด้วยลมเย็น เห็นคุณค่า ผืนวนา ชุ่มชื้น คืนสุขสม แผ่นดินไทย งามล้วน ชวนชื่นชม ไร้ตรอมตรม ด้วยเรียนรู้ เชิดชูไพร คนเรียนไพร ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
||