
ขอบคุณรูปภาพต้นแบบจาก Internet
|
11
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องว่าง-ขนมไทย จัดใส่โคลง ๐-...
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 10:00:35 PM
|
||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
12
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 09:50:34 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น ![]() เบาหวานกินผองเพื่อนทั้งเรือนพลัน รีบแบ่งกันคนละหน่อยค่อยเบาจาง ![]() |
||
|
13
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 03:03:48 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๙/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ (๖) คันธายตนะ ~ คันธายตนะ เป็นไฉน กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ ~ ชิวหายตนะ เป็นไฉน ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ ~ รสายตนะ เป็นไฉน รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ (๙) กายายตนะ ~ กายายตนะ เป็นไฉน กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่ากายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่าข เป็นไฉน (๑๑.๑) มนายตนะหมวดละ ๑ = ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยผัสสะ (๑๑.๒) มนายตนะหมวดละ ๒ = ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี (๑๑.๓) มนายตนะหมวดละ ๓ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๑๑.๔) มนายตนะหมวดละ ๔ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี กามาวจร = คือ จิตที่ท่องเที่ยวเกี่ยวข้องใน กามภูมิ ที่ยังติดอยู่ในกาม เช่น มนุษย์ เทวดา หรือสัตว์นรก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด รูปาวจร = คือ "ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป" หรือ "พรหมที่มีรูป" ซึ่งเป็นสภาวะจิตของบุคคลที่ได้บรรลุรูปฌาน อรูปาวจร = คือ ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป (อรูปภูมิ) ซึ่งเป็นผลจากการเจริญอรูปฌาน ผู้ที่ได้อรูปฌานจะไปเกิดในอรูปภูมิ ๔ ชั้น ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ วัฏฏทุกข์ = ความวนเวียนของความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ วัฏฏทุกข์ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักๆ ที่หมุนเวียนสัมพันธ์กัน ได้แก่ ~กิเลสวัฏ คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี ~กรรมวัฏ คือ การกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ การกระทำดี และการกระทำชั่ว ล้วนเป็นกรรมที่ส่งผลให้เกิดวิบาก ~วิบากวัฏ คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทั้งที่เป็นสุขและทุกข์ วิบากที่ได้รับก็จะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดกิเลสขึ้นอีก วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ การดับวัฏฏทุกข์ได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ กิเลส (๑๑.๕) มนายตนะหมวดละ ๕ = ได้แก่ ~มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ (สุขกาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ (ทุกข์กาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ (สุขใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ (ทุกข์ใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (อุเปกขินทรีย์ = เวทนาอันสำราญก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ความสำราญ ก็ไม่ใช่ ทางกายหรือทางใจ) (๑๑.๖) มนายตนะหมวดละ ๖ =ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ (๑๑.๗) มนายตนะหมวดละ ๗ = ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ (๑๑.๘) มนายตนะหมวดละ ๘ = ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ |
||
|
14
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 12:54:32 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
มีน้ำตาลกี่โลยกเทถม เราจะต้มจนหวานไม่หวาดหวั่น ![]() |
||
|
15
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 08:09:12 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๘/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ (๘) รสายตนะ ~ รสารมณ์ หรือรสที่ลิ้ม รสไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๙) กายายตนะ ~ กาย ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส กายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพารมณ์ หรือสิ่งที่สัมผัสได้ โผฏฐัพพะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๑) มนายตนะ ~ ใจ ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ธรรมารมณ์ต่างๆ มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๒) ธัมมายตนะ ~ ธรรมารมณ์ หรืออารมณ์ที่เกิดกับใจ ธรรมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา อภิธรรมภาชนีย์ = แจก อายตนะ ๑๒ แบบอภิธรรม คือ (๑) จักขายตนะ ~ จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงเห็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ ด้วยจักษุใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยน์ตาบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขายตนะ จักขายตนะ =คือ อายตนะส่วนที่เกี่ยวกับตา เป็นที่สำหรับให้ตาเห็นรูป หรือก็คือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตา (จักขุปสาท) กับ รูปารมณ์ (อารมณ์ที่เป็นรูป ปสาทรูป = คือ รูปที่มีความใส สามารถรับอารมณ์ได้ ในพระพุทธศาสนา มีปสาทรูป ๕ คือ (๑.๑) จักขุปสาทรูป ~ ประสาทตา มีลักษณะใสเหมือนกระจกเงา ตั้งอยู่กลางตาดำ ทำหน้าที่รับภาพ (รูปารมณ์) (๑.๒) โสตปสาทรูป ~ประสาทหู มีลักษณะเหมือนวงแหวน มีขนละเอียดสีแดงโดยรอบ ทำหน้าที่รับเสียง (สัททารมณ์) (๑.๓) ฆานปสาทรูป ~ ประสาทจมูก มีลักษณะคล้ายเท้าแพะ ทำหน้าที่รับกลิ่น (คันธารมณ์) (๑.๔) ชิวหาปสาทรูป ~ ประสาทลิ้น มีลักษณะเหมือนกลีบบัว ทำหน้าที่รับรส (รสารมณ์) (๑.๕) กายปสาทรูป ~ประสาทกาย ทำหน้าที่รับการสัมผัสทางกาย จักขุธาตุ = คือ ประสาทตา หรือส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพ ทำหน้าที่รับอารมณ์ทางตา เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเห็น จักขุธาตุ (เป็นส่วนหนึ่งของปสาทรูป โดยปสาทรูปคือรูปที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ ๕ ทาง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย) จักขุธาตุทำงานร่วมกับรูปารมณ์และจักขุวิญญาณ เมื่อมีรูปารมณ์มากระทบจักขุธาตุ (ประสาทตา) จะเกิดจักขุวิญญาณ (การเห็น) จักขุธาตุไม่ใช่แค่ตา: จักขุธาตุหมายถึงส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพทั้งหมด ไม่ใช่แค่ลูกตาภายนอก ดังนั้น จักขุธาตุจึงมีความสำคัญในการรับรู้ทางตา และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเห็น จักขุ = ดวงตา จักขุนทรีย์ = ทำหน้าที่รับรู้รูป (สิ่งที่เห็น) ผ่านทางตา ปัณฑระ = คือ สภาวะของจิตใจที่ปราศจากความมัวหมอง และมีความบริสุทธิ์ผ่องใส มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม (๒) รูปายตนะ ~ รูปายตนะ เป็นไฉน รูปใดเป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ เช่น สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท (สีคล้ายเท้าหงส์ สีแดงปนเหลือง สีแดงเรื่อ หรือ สีแสดก็ว่า) สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด สว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละอองแสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใด ที่เป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงได้ ด้วยจักษุที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รูปายตนะ (๓) โสตายตนะ ~โสตายตนะ เป็นไฉน โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ด้วยโสตะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า โสตะบ้าง โสตายตนะ บ้าง โสตธาตุบ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า โสตายตนะ (๔) สัททายตนะ ~ สัททายตนะ เป็นไฉน เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียงประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องๆสัตว์ เสียงกระทบกันแห่งธาตุ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยโสตะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททายตนะ (๕) ฆานายตนะ ~ เป็นไฉน ฆานะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยฆานะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานายตนะ |
||
|
16
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องจิ้มไทย จัดสำรับ กาพย์ห่อโคลง ๐-...
เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 10:31:11 PM
|
||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
17
เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 10:21:07 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
น้ำกระเจี้ยบเปรี้ยวหนอก็พอมี ณ ยามนี้ใครนะจะต้มคั้น ![]() |
||
|
18
เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 03:14:19 PM
|
|||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | |||
|
|||
|
19
เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 02:55:26 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | ||
|
สมุนไพรล้วนล้วนชวนใจชื่น ต่างหยิบยื่นเชิญชิมให้เต็มที่ ![]() (แผนลวง ล้วงอายุ ) |
||
|
20
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 02:17:13 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๗/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์ ๑๓๘."สัมมัตต์นิฯ"แน่ว.......คิดถูกต้องแล้ว......นิยตะผลกราน นิยตะแน่นอน....ผลจรเกิดพาน.....ให้ทันทีขาน....ไร้ใดคั่นนา ๑๓๙.ธรรมนี้มิแน่นอนอนิยต................สงฆ์ผิดซิกฏแล้วจะเหมาะหนา ลงโทษสถานใดผิวะกล้า.........................อยู่คุยกะหญิงเร้นนฤชน ๑๔๐.อายตนะสิบ......"อนารัมม์ณะฯ"ดล......ไร้อารมณ์ด้น ไม่ยึดติดใด....ได้พฤติธรรมค้น....จิตสงบดล....ไม่รู้รูป..แล ๑๔๑.อารมณ์หทัยบ่มผิวะไร้................สิ่งเร้าเลาะไกลจิตตะผละแน่ หลุดพ้นฤดีนิ่งมละแฉ..............................ทุกข์ห่างมลานแท้ซิอะรมณ์ ๑๔๒.อายตนะสอง......มีสี่แบบครอง......ต่างอารมณ์คม เป็น"มัคคารัมม์ฯ"นา....อารมณ์มรรคบ่ม....หาทางลุชม....มุ่งพระนิพพาน ๑๔๓.เป็น"มัคคเหตุฯ"คืออติธรรม..........มรรคแปดซินำเหตุจรขาน เป็น"มัคคะธิปฯ"จ่อลุประธาน....................ของธรรมซิถูกงำลุคระไล ๑๔๔.พวกท้ายอารมณ์......ไม่เป็นเลยชม......ทั้งสามแบบไกล มัคคารัมม์ฯจัก....มัคคเหตุฯไซร้....มัคคาธิปฯใด....ไม่เป็นไหนแล ๑๔๕.บ่อเกิดสิอายาตนะห้า...................แจกห้าซิหนาเกิดปะทุเอย "อุปปันนะ"เกิดอยู่ขณะเผย......................."อุปปาทิ"เกิดขึ้นฐิติหนา ๑๔๖.กล่าวไม่ได้เลย......"อนุปปันนะ"เปรย......ไม่เกิดขึ้นมา สัททาย์ตนะ.....ปะเสียงมีหนา....อารมณ์มีอ้า.....หน่วงจิตยึดแล ๑๔๗.สัททายะฯจิตรู้ลุอุบัติ....................ไม่เกิดก็ชัดมีธุวะแน่ "อุปปาทิ"เว้นกล่าวภณแฉ.........................ว่าเกิดซิแน่นอนเพราะมิมี ๑๔๘.อายตนะห้า.......แจงเจ็ดแบบหนา......เกิด,มิเกิดรี่ "เกิด,อุปปันนฯ"....ไม่ปะ"อนุปปันฯ"ชี้....เป็น"อุปปาทิ"....เกิดขึ้นแล้วนา ๑๔๙.ที่ต่อสิธัมมาย์ตนะไว.....................อารมณ์ซิใจรู้ทะลุมา อุปปันนะมีเกิดประลุพา.............................ไม่เกิดอนุปปันฯนิรเผย ๑๕๐.ธัมมายตนะ......"อุปปาที"ปะ......เกิดแน่นอนเอย ยังกล่าวไม่ได้....เกิด,ไม่เกิดเลย....หรือเกิดแน่เปรย....ก็มีต่างลี ๑๕๑.สิบเอ็ดสิอายาตนะแจง...................เจ็ดแบบซิแบ่งกาละเจาะปรี่ เป็น"กาลอดีต,หน้า,ขณะนี้".........................เช่นเดียวกะธัมมาย์ตนะเผย ๑๕๒.มีกาลอดีต,หน้า......ปัจจุบันหล้า......กล่าวไม่ได้เอ่ย ว่ายังจะมี....ชี้กาลอดีตเปรย....อนาคตเกย....หรือปัจจุบัน ๑๕๓.มีสิบเจาะอายาตนะหนา..................จิตจ่อ"อนารัมม์ณะดั้น ไร้สิ่งสิเหนี่ยวจิตเจาะเกาะมั่น......................มีภาวะว่างจิตสละนา ๑๕๔.อายตนะสอง......แจงสามแบบตรอง......อารมณ์ตั้งพา จิตรู้เรื่องราว....พราวในอดีตหนา....อนาคตรู้พา....รวมปัจจุบัน ฯ|ะ แสงประภัสสร มจร. ๒. อภิธรรมภาชนีย์ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] https://share.google/ZUUp8ETbn15EbzDqH มจร. ๓. ปัญหาปุจฉกะ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=35&siri=10 อายตนวิภังค์ = หมายถึง การแจกแจงส่วนต่างๆ ของอายตนะ ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกภายนอกกับจิตใจ ก. สุตตันตภาชนีย์ = แจกอายตนะ ๑๒ ตามแนวพระสูตร อายตนะ (ที่ต่อหรือบ่อเกิด) มีดังนี้ (๑) จักขายตนะ ~ ตา ทำหน้าที่รับรู้รูป จักษุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๒) รูปายตนะ ~ รูปารมณ์ หรือรูปที่เห็น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๓) โสตายตนะ ~ หู ทำหน้าที่รับรู้เสียง โสตะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๔) สัททายตนะ ~ สัททารมณ์ หรือเสียงที่ได้ยิน สัททะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๕) ฆานายตนะ ~ จมูก ทำหน้าที่รับรู้กลิ่น ฆานะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๖) คันธายตนะ ~ คันธารมณ์ หรือกลิ่นที่ได้ดม คันธะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๗) ชิวหายตนะ~ ลิ้น ทำหน้าที่รับรู้รส ชิวหาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา |
||