(ต่อหน้า ๓/๖) ประมวลธรรม : ๕๙. สาเลยยกสูตร
๓๓.พรหมเสร็จ"อะกิญยตนะฌานฯ"................ภวชาญซิเพิ่มกราย
ฌานใหม่สิ"เนวะยตะฯ"ฉาย................................ประลุเนวะภูมิฯผล
๓๔.บุคคลมีช่องแท้........................................"เจโต วิมุตติ"
กิเลสตัดรอนโซ.................................................หลุดพ้น
"ปัญญาวิมุตติ"อักโข..........................................ละ"อวิชช์ฯ"
จึงสู่"วิชชา"ท้น...................................................สงบแล้อรหันต์
๓๕.พุทธ์เจ้าสิตรัสเจาะภณะความ...................คณะพราหมณ์และชนครัน
ทรงสอนพระธรรมลุศุจิสรรค์..............................ลุกระจ่างเพราะพริ้งแฉ
๓๖.แลธรรมครันแจ่มแจ้ง................................เหมือนหงาย ของปิด
ของปิดก็เปิดฉาย...............................................ชัดแท้
"หลง"บอกทางพราย...........................................ยลสว่าง
ขอพึ่งรัตน์ตรัยแล้...............................................แต่นี้ตลอดกาล ฯ|ะ
แสงประภัสสร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/book/m_siri.php?B=12&siri=41ว่าด้วยเหตุการณ์ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อสาลา = เหตุปัจจัยนำไปสุคติและทุคติ
สาลา = คือ ชื่อของพราหมณ์ อยู่แคว้นโกศล
สาลาพราหมณ์ ทูลถามพระพุทธเจ้า =
(๑) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ หลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า = “พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ หลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความประพฤติไม่สม่ำเสมอ คือความประพฤติอธรรมเป็นเหตุ
~ อบาย เพราะปราศจากความงอกงาม คือความเจริญหรือความสุข
~ ทุคติ เพราะเป็นคติ คือเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์
~ วินิบาต เพราะเป็นสถานที่ตกไปของหมู่สัตว์ที่ทำความชั่ว
~ ชื่อว่า นรก เพราะ ปราศจากความยินดี เหตุเป็นที่ไม่มีความสบายใจ
~ ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ (วิสมจริยา)
~ ความประพฤติ อธรรม (อธัมมจริยา) หมายถึงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
(วิสมจริยา + อธัมมจริยา = อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
(๒) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า = พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เพราะความประพฤติสม่ำเสมอ คือความประพฤติธรรมเป็นเหตุ
อกุศลกรรมบถ ๑๐ = ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ คือ ความประพฤติอธรรม ทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ และทางใจ ๓ ดังนี้
[ก] ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ = คือ ความประพฤติอธรรมทางกายมี ๓ ประการ
(๑) เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือ เป็นคนหยาบช้า มีมือเปื้อนเลือด ปักใจอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความละอาย ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง
(๒) เป็นผู้ลักทรัพย์ คือ เป็นผู้ถือเอาทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่น ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นเหตุขโมย
(๓) เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม คือ เป็นผู้ประพฤติล่วงในสตรีที่อยู่ในปกครองของผู้อื่น
[ข] ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ = คือความประพฤติอธรรมทางวาจามี ๔ ประการ
(๔) เป็นผู้พูดเท็จ เป็นพยานเท็จ
(๕) เป็นผู้พูดส่อเสียด คือ ฟังความฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น; ยุยงคนที่สามัคคีกัน; ส่งเสริมคนที่แตกแยกกัน; ชื่นชมยินดี เพลิดเพลินต่อผู้ที่แตกแยกกัน; พูดแต่ถ้อยคำที่ก่อความแตกแยกกัน
(๖) เป็นผู้พูดคำหยาบ คือ พูดแต่คำหยาบคาย กล้าแข็ง เผ็ดร้อน
หยาบคายร้ายกาจแก่ผู้อื่น; กระทบกระทั่งผู้อื่น ใกล้ต่อความโกรไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ
(๗) เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ คือ พูดไม่ถูกเวลา; พูดคำที่ไม่จริง; พูดคำที่ไม่อิงประโยชน์; พูดไม่อิงธรรม พูดไม่อิงวินัย; พูดคำที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง;ไม่มีที่กำหนด; ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยไม่เหมาะแก่เวลา
[ค] ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ = คือ ความประพฤติอธรรมทางใจมี ๓ ประการ
(๘) เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้ของเขา
(๙) เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีจิตคิดร้ายว่า ‘ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า; จงถูกทำลาย; จงขาดสูญ; จงพินาศไป; หรืออย่าได้มี’