|
41
เมื่อ: 18, ตุลาคม, 2568, 08:59:45 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๑/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร ~ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) = ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่มีองค์ประกอบคือ สุข (ความสุขกายสุขใจที่ละเอียดขึ้น) และ เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตทรงตัวแน่วแน่) โดยละ ปีติ (ความอิ่มเอิบใจ) ออกไป เหลือแต่ความสุขที่เยือกเย็นและจิตที่มั่นคงยิ่งขึ้น ~จตุตถฌาน ๔ = หรือฌานที่ ๔ คือระดับการทำใจให้แน่วแน่ขั้นสูงสุดในสมาธิ ๔ ชั้น โดยมีลักษณะสำคัญคือ ความอุเบกขา (วางเฉย) และเอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) เป็นหลัก โดยละความสุข ปีติ และความรู้สึกทางกายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในฌานระดับต้นๆ ได้หมดสิ้น ความดับแห่งกองทุกข์ = ดังนี้ (๑) ภิกษุนั้นเห็นรูปทางตาแล้วไม่กำหนัดในรูปที่น่ารัก, ไม่ขัดเคืองในรูปที่น่าชัง, ย่อมเป็นผู้มีสติในกายตั้งมั่น และมีจิตหาประมาณมิได้อยู่ ทราบชัดถึงเจโตวิมุตติ, ปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งบาปอกุศลธรรมตามความเป็นจริง เธอละความยินดียินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้น เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายจึงดับไป; เพราะควาเพลิดเพลินดับ อุปาทานจึงดับ; เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ; เพราะภพดับ ชาติจึงดับ; เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสของภิกษุนั้นจึงดับ; ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้อย่างนี้ ~ มีจิตหาประมาณมิได้ = หมายถึงผู้มีโลกุตตรจิตหาประมาณมิได้ คือผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคจิต ฟังเสียงทางหู ...; ดมกลิ่นทางจมูก ...; ลิ้มรสทางลิ้น ...; ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ...; รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว ไม่ยินดีในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ไม่ขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติในกายตั้งมั่น และมีจิตหาประมาณมิได้อยู่ ทราบชัดถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งบาปอกุศลธรรม ตามความเป็นจริง เธอละความยินดียินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้น เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายจึงดับไป; เพราะความเพลิดเพลินดับ อุปาทานจึงดับ; เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ; เพราะภพดับ ชาติจึงดับ; เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสของภิกษุนั้นจึงดับ; ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้ (๒) ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงทรงจำตัณหาสังขยวิมุตติ โดยย่อของเรานี้ ตัณหาสังขยวิมุตติ = การหลุดพ้นเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นหลักธรรมที่กล่าวถึงการดับสิ้นซึ่งความอยากหรือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทำให้จิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำโดยกิเลสตัณหา อนึ่ง เธอทั้งหลายจงทรงจำสาติภิกษุบุตรชาวประมงว่า เป็นผู้ติดอยู่ในข่ายคือตัณหาและกองแห่งตัณหาใหญ่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล |
||
|
42
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 09:56:46 PM
|
|||
| เริ่มโดย รินดาวดี - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|
|||
|
43
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 09:54:13 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
แบงค์กาโม่หรือเปล่าเล่าทรามวัย ควรส่งให้หมูนี้ช่วยตรวจตรา ![]() |
||
|
44
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 08:52:25 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา) | ||
|
เป็นแม่ยกเงินถังหวังเต็มที่ ณ งานนี้มีลุ้นรอคล้องคอใส่ ![]() |
||
|
45
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 04:44:26 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๐/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร ภิกษุนั้นเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรพอคุ้มร่างกาย และบิณฑบาตพออิ่มท้อง จะไป ณ ที่ใดๆ ก็ไปได้ทันที เหมือนนกมีปีกจะบินไป ณ ที่ใดๆ ก็มีแต่ปีกของมันเป็นภาระบินไป แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรพอคุ้มร่างกายและบิณฑบาตพออิ่มท้อง จะไป ณ ที่ใดๆ ก็ไปได้ทันที การทำจิตให้บริสุทธิ์ = มีดังนี้ (๑) ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยสีลขันธ์นี้แล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ภิกษุนั้นเห็นรูปทางตาแล้ว ไม่รวบถือ ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบัติเพื่อความสำรวมจักขุนทรีย์ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จึงรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟังเสียงทางหู ..., ดมกลิ่นทางจมูก ...,ลิ้มรสทางลิ้น ...,ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ...,รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว ไม่รวบถือ ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบัติเพื่อความสำรวมมนินทรีย์ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้วก็จะเป็นเหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้ จึงรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยอินทรียสังวร ย่อมเสวยสุขอันไม่ระคนกับกิเลสในภายใน ภิกษุนั้นทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง การทำจิตให้บริสุทธิ์ ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยสีลขันธ์ อริยอินทรียสังวรและอริยสติสัมปชัญญะนี้ แล้วพักอยู่ ณ เสนาสนะเงียบสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าทึบ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น)ในโลก มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา ละพยาบาทและความมุ่งร้าย มีจิตไม่พยาบาท มุ่งประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากพยาบาทและความมุ่งร้าย ละถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) ปราศจากถีนมิทธะ กำหนดแสงสว่างมีสติสัมปชัญญะอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ(ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ) เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) ข้ามวิจิกิจฉาได้แล้ว ไม่มีวิจิกิจฉาในกุศลธรรมอยู่ชำระจิตให้บริสุทธิ์จลากวิจิกิจฉา ~ อริยสีลขันธ์ คือ สังรวมแห่งศีลอันประเสริฐ เป็นการปฏิบัติตามหลักศีลที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ประสบภัยในภายใน ได้เสวยสุขที่ปราศจากโทษ โดยเน้นที่การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และการเพ่งพิจารณาในโทษของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความสำรวมในทวารทั้ง ๖ และมีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย ~ อินทรียสังวร = ความสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง โผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, ความระวังไม่ให้กิเลสครอบงำใจในเวลารับรู้อารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๖ ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตและเป็นเหตุทำปัญญาให้อ่อนกำลังได้แล้ว สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่; เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่; บรรลุตติยฌาน, บรรลุจตุตถฌานอยู่ ตามลำดับ ~นิวรณ์ ๕ = คือ เครื่องทำจิตเศร้าหมอง (๑) กามฉันทะ = ความพอใจในกาม, ความลุ่มหลง, ความรักใคร่ ความต้องการทางเพศ การติดใจ ความปรารถนา (๒) ถีนมิทธะ = ความง่วงเหงาหดหู่, ความเกียจคร้าน, ท้อแท้ เศร้าซึม, หมดหวัง เสียใจ หมดอาลัย (๓) อุทธัจจะกุกกุจจะ = ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, วิตกกังวล ระแวง กลัว ความคิดซัดส่ายตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ (๔) วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย, ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ เป็นต้น ~ปฐมยาม = ปฐมฌาน คือ ฌานลำดับที่ ๑ เป็นสภาวะของจิตที่สงบและรวมเป็นหนึ่งเดียว (เอกัคคตา) มีองค์ประกอบ ๕ อย่าง ได้แก่ วิตก (การตรึกนึก) วิจาร (การตรอง) ปีติ (ความอิ่มใจ) สุข (ความสุขใจ) และเอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว) ~ทุติยฌาน = (ฌานที่ ๒) คือสภาวะการเข้าฌานที่จิตสงบลงจากการคิดปรุงแต่ง (วิตกวิจาร) จากปฐมฌาน เกิดเป็นอารมณ์ที่ตั้งมั่นแน่วแน่ขึ้นอย่างแรงกล้า โดยมีองค์ประกอบคือ"ปีติ" (ความอิ่มเอิบใจ) และ "สุข" (ความสบายใจ) พร้อมกับ "เอกัคคตา" (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว) |
||
|
46
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 03:21:51 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
หาลิเกสักวงก็คงพอ จะนั่งรอพระเอกหล่อคล้องพวงมาลัย ![]() |
||
|
47
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 03:19:05 PM
|
||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
ตามเอ๋ยตามนั้น หลักฐานพันเป็นเถาเบาที่ไหน เป็นลายลักษณ์อักษรบั่นทอนใจ ท่านเปาได้โปรดคิดพิจารณา เครื่องประหารหัวอะไรได้โปรดเลือก ล่ามโซ่เชือกเส้นใหญ่มือซ้ายขวา แมสสีดำอยู่ไหนใช้ปิดตา ใครจะมาช่วยได้ไม่มีเอย ![]() ต้นฝ้าย |
||
|
48
เมื่อ: 17, ตุลาคม, 2568, 01:48:45 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๙/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธคุณ = มีดังนี้ (๑) ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ; เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก; เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม; เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย; เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค; ตถาคตนั้นรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก; และสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ด้วยตนเองแล้ว จึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม; แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด; ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน; คหบดี บุตรคหบดี หรืออนุชน(คนผู้เกิดภายหลัง)ในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ฟังธรรมนั้นแล้วได้ศรัทธาในตถาคต เมื่อมีศรัทธาแล้วย่อมตระหนักว่า ‘การอยู่ครองเรือนเป็นเรื่องอึดอัด เป็นทางแห่งธุลี การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง; การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด มิใช่ทำได้ง่าย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต’ ต่อมา เขาละทิ้งกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ และเครือญาติน้อยใหญ่ โกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สิกขาและสาชีพของภิกษุ (๒) เขาเมื่อบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพเสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย คือ (๒.๑) ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่ (๒.๒) ละเว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่ (๒.๓) ละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรม อันเป็นกิจของชาวบ้าน ~เมถุนธรรม หมายถึงการร่วมประเวณี การร่วมสังวาส กล่าวคือการเสพอสัทธรรมอันเป็นประเวณีของชาวบ้านมีน้ำเป็นที่สุด เป็นกิจที่จะต้องทำในที่ลับ เป็นการกระทำของคนที่เป็นคู่ๆ (๒.๔) ละเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่คำสัตย์ ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลก (๒.๕) ละเว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือ ฟังความจากฝ่ายนี้แล้วไม่ไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังความฝ่ายโน้นแล้วไม่มาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น สมานคนที่แตกกัน ส่งเสริมคนที่ปรองดองกัน ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินต่อผู้ที่สามัคคีกัน พูดแต่ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี (๒.๖) ละเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ คือ พูดแต่คำไม่มีโทษ ไพเราะ น่ารัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ (๒.๗) ละเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดถูกเวลา พูดแต่คำจริง พูดอิงประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ เหมาะแก่เวลา (๒.๘) เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม ~พืชคาม หมายถึงพืชพันธุ์จำพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก ~ภูตคาม หมายถึงของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่นกระชาย, เกิดจากต้น เช่น โพ, เกิดจากตา เช่น อ้อย, เกิดจากยอด เช่น ผักชี, เกิดจากเมล็ด เช่น ข้าว (๒.๙) ฉันมื้อเดียว ไม่ฉันตอนกลางคืน เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล ~ฉันในเวลาวิกาล คือ เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเรื่อง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึงผิดเวลาที่กำหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึงเวลาอรุณขึ้น (๒.๑๐) เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล (๒.๑๑) เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ของหอม และเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่งการแต่งตัว (๒.๑๒) เว้นขาดจากที่นอนสูงใหญ่ (๒.๑๓) เว้นขาดจากการรับทองและเงิน (๒.๑๔) เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ ~ธัญญาหารดิบ ในที่นี้หมายถึงธัญชาติ ๗ ชนิด คือ ข้าวสาลี; ข้าวเปลือก; ข้าวเหนียว; ข้าวละมาน; ข้าวฟ่าง; ลูกเดือย; หญ้ากับแก้ (๒.๑๕) เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ (๒.๑๖) เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี (๒.๑๗) เว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย (๒.๑๘) เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ (๒.๑๙) เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (๒.๒๐) เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา (๒.๒๑) เว้นขาดจากการรับเรือกสวน ไร่นา และที่ดิน (๒.๒๒) เว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร (๒.๒๓) เว้นขาดจากการซื้อการขาย (๒.๒๔) เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม และด้วยเครื่องตวงวัด (๒.๒๕) เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง (๒.๒๖) เว้นขาดจากการตัด(อวัยวะ) การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้น และการขู่กรรโชก |
||
|
49
เมื่อ: 16, ตุลาคม, 2568, 11:04:07 PM
|
|||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|
|||
|
50
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องจิ้มไทย จัดสำรับ กาพย์ห่อโคลง ๐-...
เมื่อ: 16, ตุลาคม, 2568, 10:45:09 PM
|
||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||


.gif)


