เหมือนเอ๋ยเหมือนนะ
เหมือนหลอกขนขยะก็ว่าได้
ส่วนเกินที่เขาทิ้งเศษกิ่งใบ
ทั้งกิ่งไม้ใบเน่าเอาไปทิ้ง
คนสวยสวยอย่างเราเขาทำได้
มาหลอกใช้ขนไม้เจ็บใจยิ่ง
จะไปฟ้องท่านเปาเอ้าจริงจริง
เล่าทุกสิ่งที่หมูพูดมาเอย

กุ้งนา
|
61
เมื่อ: 15, ตุลาคม, 2568, 07:56:46 PM
|
||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย ขวัญฤทัย (กุ้งนา) | ||
|
เหมือนเอ๋ยเหมือนนะ เหมือนหลอกขนขยะก็ว่าได้ ส่วนเกินที่เขาทิ้งเศษกิ่งใบ ทั้งกิ่งไม้ใบเน่าเอาไปทิ้ง คนสวยสวยอย่างเราเขาทำได้ มาหลอกใช้ขนไม้เจ็บใจยิ่ง จะไปฟ้องท่านเปาเอ้าจริงจริง เล่าทุกสิ่งที่หมูพูดมาเอย ![]() กุ้งนา |
||
|
62
เมื่อ: 15, ตุลาคม, 2568, 02:21:47 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๖/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร ~ สฬายตนะ -- อายตนะภายในทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จะทำงานร่วมกับ อายตนะภายนอก ๖ ซึ่งได้แก่ รูป (สิ่งเห็น) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจรับรู้) เมื่ออายตนะภายในและภายนอกกระทบกัน ก็จะเกิดการรับรู้และความรู้สึกขึ้น สฬายตนะ มีความสำคัญในหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหลักธรรมที่แสดงถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ โดยระบุว่า "เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ" และ "เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ" นั่นหมายความว่า การมีอยู่ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุให้เกิดการรับรู้ (ผัสสะ) และนำไปสู่การเกิดสุข ทุกข์ และความยึดติดในที่สุด (๕) สฬายตนะ = มีนามรูป เป็นต้นเหตุ; มีนามรูปเป็นเหตุเกิด; มีนามรูปเป็นที่เกิด; มีนามรูปเป็นแดนเกิด (๖) นามรูป= มีวิญญาณเป็นต้นเหตุ; มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด; มีวิญญาณเป็นที่เกิด; มีวิญญาณเป็นแดนเกิด (๗) วิญญาณ = มีสังขารเป็นต้นเหตุ; มีสังขารเป็นเหตุเกิด; มีสังขารเป็นที่เกิด; มีสังขารเป็นแดนเกิด (๘) สังขารทั้งหลาย = มี อวิชชาเป็นต้นเหตุ; มีอวิชชาเป็นเหตุเกิด; มีอวิชชาเป็นที่เกิด; มีอวิชชาเป็นแดนเกิด องค์ประกอบ ของปฏิจจสมุปบาท = ได้แก่ (๑) เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขารจึงมี ~ อวิชชา : ความไม่รู้ในอริยสัจจ์ ๔ (๒) เพราะสังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ~สังขาร : การปรุงแต่งทางกาย วาจา ใจ (๓) เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ~วิญญาณ : ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้ตามอายตนะ (๔) เพราะนามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี ~ นามรูป : กายและใจ - รูปธรรมและนามธรรม (๕) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ~ สฬายตนะ : คือ อายตนะทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) (๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ~ผัสสะ : การกระทบกันของอายตนะ, อารมณ์, และวิญญาณ (๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ~ เวทนา : ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ (๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ~ ตัณหา : ความทะยานอยากใคร่ได้ (๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ~อุปาทาน : การยึดติดถือมั่น (๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ~ ภพ : ความเป็นอยู่ ภาวะชีวิตหรือสภาพชีวิต (๑๑) เพราะชาติชรามรณะ เป็นปัจจัย มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) จึงมี ~ ชาติ : การเกิด การปรากฏขึ้นของขันธ์ทั้งหลายที่ยึดถือเป็นตัวตน ~ ชรามรณะ : ความแก่และความตาย, ความเสื่อมและการแตกสลายของขันธ์ ตามผังลำดับการเกิด : อวิชชา ---> สังขาร ---> วิญญาณ ---> นามรูป ---> สฬายตนะ ---> ผัสสะ ----> เวทนา ---> ตัณหา ---> อุปาทาน ---> ภพ ---> ชาติ ---> ชรา มรณะ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวข้อความว่า = (๑) ที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมี’ (๒) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’ (๓)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’ (๔) “เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ (๕)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’ (๖)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’ (๗)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’ (๘)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี’ (๙)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี' (๑๐)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’ (๑๑)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี’ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า = “ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เธอทั้งหลายกล่าวอย่างนั้น แม้เราก็กล่าวอย่างนั้น เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, คือ (๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี (๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี (๕) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี |
||
|
63
เมื่อ: 15, ตุลาคม, 2568, 09:12:57 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๕/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร ๙๒.ลุปฐมฌาน.......วิตก,วิจาร.......ปีติสุขเชย ทุติย์ฌาน,สอง....จิตครองหนึ่งเอย....ตรึก,ตรองดับเลย....ปีติ,สุขคง ๙๓.พระสงฆ์ครันเจริญกราน.............ตติย์ฌานนะเอยบ่ง ด้วยปีติจางริสติส่ง...............................อุเบกขาเจาะสุขเผย ๙๔.สงฆ์ลุฌานสี่.......จตุตถฯชี้......ละทุกข์,สุขเอ่ย โทมนัส,โสมนัส....ตัดหมดแล้วเคย....สติสะอาดเชย....อุเบกขาครอง ๙๕.ละดับทุกข์ ณ คราพิศ.................เจาะพินิจซิ"ตา"ตรอง เห็นรูปสิรู้มิรติผอง................................รึชังรูปมิพอใจ ๙๖.สงฆ์มีสติมั่น......จิตล้ำเลิศสรร......"เจโตวิมุตต์ฯไว "ปัญญาวิมุตติ"....แจ้งรุดละไม....ดับกิเลสไส....ไร้อกุศลธรรม ๙๗.พระสงฆ์พลันละยินดี...................มิเจาะรี่กะร้ายนำ รู้"เวทนา"ผิสุขะล้ำ.................................รึทุกข์,ไร้ซิทั้งสอง ๙๘.สงฆ์มิเพลินหนา......ไม่ติดเวทนา......เวทนาดับปอง อุปาทานดับ....ลับตามมิครอง....แล้วภพดับจอง....ชาติดับต่อตาม ๙๙.เพราะชาติดับชราคว้า..................มรณาเจาะโศกลาม คร่ำครวญและไห้ลุทุขะผลาม.................พะพร้อมโทมนัสซา ๑๐๐.แค้น,อุปายาส......ดับลงพิฆาต......ทุกข์ทั้งผองพา ดับสิ้นลงพลัน....ครันกองทุกข์ล่า....ถอยดับหมดหนา....ด้วยเหตุนี้แล ๑๐๑.พระพุทธ์เจ้าริตรัสเหตุ................ธุวเดชซิพ้นแน่ "ตัณหาสิสังขยะวิฯ"แฉ...........................ก็เทศ์นาลุหลุดพ้น ๑๐๒.ทรงขอให้จำ.......สาติฯสงฆ์นำ......ตัณหามากยล เมื่อทรงกล่าวจบ....สงฆ์นบชื่นท้น....ภาษิตง่ายด้น....ต่างชื่นชมเอย ฯ|ะ แสงประภัสสร มจร.๘.มหาตัณหาสังขยสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=38 เชตวันฯ= วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชต นอกเมืองสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อมาด้วยเงินมากถึง ๑๘ โกฏิ วัดแห่งนี้นับว่าเป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง ๑๙ พรรษา เป็นสถานที่เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย สาติบุตร = คือ ภิกษุชื่อสาติเกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามกเห็นเกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น โมฆาบุรุษ = โมฆบุรุษ คือบุคคลที่ว่างเปล่า ไม่มีแก่นสาร ว่างเปล่าจากอะไร (๑) ว่างเปล่าจากกุศลธรรมในขณะนั้นคือขณะนั้นเป็นอกุศลที่มีกำลัง เป็นโมฆบุรุษใน ขณะนั้น (๒) ว่างเปล่าจากความเห็นถูกคือเป็นผู้มีความเห็นผิด เป็นโมฆบุรุษ (๓) ว่างเปล่าเพราะไม่มีอุปนิสัยที่จะได้บรรลุมรรคผลในชาตินั้น (๔) ว่างเปล่าแม้จะมีอุปนิสัยจะได้บรรลุในชาตินั้นและท้ายที่สุดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลจึงว่างเปล่าจากการบรรลุในขณะนั้น ขณะนั้นก็ชื่อว่าเป็นโมฆบุรุษ ปฏิจจสมุปบาท : กระบวนการเกิด = ดังนี้ (๑) อาหาร ๔ ชนิด = อะไรบ้าง (๑.๑) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว) หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง (๑.๒) ผัสสาหาร - อาหารคือการสัมผัส (๑.๓) มโนสัญเจตนาหาร - อาหารคือความจงใจ (๑.๔) วิญญาณาหาร - อาหารคือวิญญาณ ~ อาหาร ๔ ชนิด มีอะไรเป็นต้นเหตุ, มีอะไรเป็นเหตุเกิด, มีอะไรเป็นที่เกิด, มีอะไรเป็นแดนเกิด อาหาร ๔ ชนิด = มีตัณหาเป็นต้นเหตุ; มีตัณหาเป็นเหตุเกิด; มีตัณหาเป็นที่เกิด; มีตัณหาเป็นแดนเกิด (๒) ตัณหา = มีเวทนาเป็นต้นเหตุ; มีเวทนาเป็นเหตุเกิด; มีเวทนาเป็นที่เกิด; มีเวทนาเป็นแดนเกิด (๓) เวทนา = มีผัสสะเป็นต้นเหตุ; มีผัสสะเป็นเหตุเกิด; มีผัสสะเป็นที่เกิด; มีผัสสะเป็นแดนเกิด (๔) ผัสสะ = มีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ; มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด; มีสฬายตนะเป็นที่เกิด; มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด |
||
|
64
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต / Re: ...-๐ นานาเครื่องว่าง-ขนมไทย จัดใส่โคลง ๐-...
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 10:45:41 PM
|
||
| เริ่มโดย Black Sword - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
65
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 10:40:14 PM
|
|||
| เริ่มโดย ปลายฝน คนงาม - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|
|||
|
66
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 10:26:08 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
แล้วรวมกันโชว์ตัวอวดสายตา เหมือนรวมเหล่าดาราเข้าท่าดี ![]() |
||
|
67
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 07:35:04 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ต้นฝ้าย | ||
|
เราอยากเป็นโอลีฟซะเหลือหลาย แฟนป๊อบอายชายเท่ห์เสน่หา ![]() |
||
|
68
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 03:15:48 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๔/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร ๖๙.นิกรเกิดตระหนักชัด..................คฤหัสถ์ประจักษ์เอ่ย ครองเรือนสิยากจะประลุเผย...............มิสามารถประพฤติตน ๗๐.การบวชเรียนรุด........พรหม์จรรย์บริสุทธิ์........ลุธรรมง่ายดล เลิกครองเรือนชวด....โกนหนวด,ผมยล....กาสาว์พัตรท้น....รักษาศีลมา ๗๑.ณ คราบวชก็ถึงพร้อม................วตะน้อมกะสิกขา พฤติตนละอายมิภิทะหนา....................มุเกื้อสรรพสัตว์เอย ๗๒.เป็นคนสะอาด.......เว้นลักทรัพย์ขาด.......รับแต่ของเอย เฉพาะเขาให้....พอใจของเอ่ย....ไม่หวังอื่นเลย....เอาที่ให้แล ๗๓.ประพฤติพรหมจรรย์ไซร้............นิรใกล้ริเสพแท้ "เมถุนฯ"ซิร้ายเจาะกิจะแฉ....................มนุษย์บ้านประเวณี ๗๔.เว้นพูดเท็จใด.......ไม่หลอกลวงใคร......พูดสัจจะมี เว้นพูดส่อเสียด....ให้เกลียดกันชี้....สร้างสามัคคี....พูดสร้างสรรค์นา ๗๕.ละเว้นพูดสิหยาบไซร้................วจะไพเราะรื่นหนา เพ้อเจ้อละเสียริภณะกล้า....................ประโยชน์ยิ่งและอิงธรรม ๗๖.เว้นตัด"พืชคาม"......ห้ามทำลายลาม......พืชงอกได้นำ "ภูตคาม"ต้นไม้....ไซร้เว้นตัดหนำ....ทลายพ้นดินทำ....จะอาบัติเอย ๗๗.พระสงฆ์"ฉัน"สิมื้อเดียว..............นิรเหลียววิกาลเอ่ย หลังเที่ยงเจาะถึงสุริยะเผย..................และกลางคืนมิ"ฉัน"แฉ ๗๘.ไม่ดูฟ้อนรำ......การขับร้องนำ......การละเล่นแล เว้นจากแต่งกาย....ฉายประทินแล้....ด้วยดอกไม้แน่....มีกลิ่นหอมนา ๗๙.สิที่นอนเจาะสูงใหญ่...................อนะไซร้มินอนหนา ทอง,เงินมิรับลิหิตะคว้า.........................เพราะป้องยึดและติดสิน ๘๐.เว้นขาดรับกริบ......ธัญญาหารดิบ......ธัญชาติเจ็ดกิน สาลี,ข้าวเปลือก....เลือกข้าวเหนียวชิน....ข้าวฟ่าง,เดือยสิ้น....สะอาดศีลมี ๘๑.ละเนื้อดิบเพราะป้องจาก..............ภวพรากซิบาปชี้ ห้ามรับสตรีและดรุณี.............................จะป้องกันกะกล่าวหา ๘๒.เว้นทาสหญิง-ชาย.......อีกทั้งสัตว์หลาย......แพะ,แกะ,ไก่มา สุกร,โค,ช้าง....ห่างจากม้า,ลา....ไม่รับสวน,นา....เรื่องสื่อสารใด ๘๓.ละเว้นซื้อและขายดล....................จะละพ้นซิลวงไกล สินบนมิรับจะประลุไหน...........................ลิเว้นฆ่าและปล้นเผย ๘๔.สงฆ์สันโดษแล......เพียงจีวรแล้......แค่บิณฑ์อิ่มเอย สงฆ์ประกอบแท้....แน่อริยศีลเผย....สุขไร้โทษเอ่ย....จิตบริสุทธิ์แล ๘๕.พระสงฆ์เห็นสิรูปชัด......................ปฏิบัติจะถึงแน่ สำรวมซิ"ตา"มิเลาะเกาะแฉ......................เจาะห่างบาปอภิชฌา ๘๖.ฟังเสียงทางหู......จมูกดมกลิ่นพรู......ลิ้มรสด้วยนา ถูกต้องโผฏฐัพพ์ฯ....จับถูกกายหนา....ธรรมารมณ์กล้า.....ไม่ยินดีไย ๘๗.สิรู้ธรรมะรมณ์บ่ง..........................นิรส่งรตีใส ไร้เคืองหทัยริสติไว.................................ซิจิตมั่นสราญเผย ๘๘.สงฆ์รู้สึกตัว.......การก้าวไปรัว.......ถอยกลับ,เหลียวเอย การคู้เข้าแล....แฉเหยียดออกเกย...."สังฆาติ"เชย...."ฉัน",บาตร,จีวร ๘๙.ริดื่ม,เคี้ยวสิลิ้มลอง........................ยุรปองซิยืน,นอน หลับ,ตื่นและนั่งริวจะย้อน........................ลุมูตร,คูถรึได้มี ๙๐.จิตสะอาดครัน......."อริยศีลขันธ์".......สำรวมศีลดี ในทวารหก....ปรกฆ่า,ลักชี้....."อินทรีย์สังฯ"นี้....สำรวมทวาร ๙๑.พระสงฆ์ตัดนิวรณ์ไกล...................หฤทัยเจาะเศร้าขาน เหตุปัญญะด้อยลิพละพาน.......................สงัดกามลิบาปเอย |
||
|
69
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 01:29:38 PM
|
||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | ||
|
เลี้ยงสุนัขแค่ ๓ วัน มันจะจำคุณไป ๓ ปี แต่เลี้ยงมนุษย์ ๓ ปี เขากลับลืมคุณได้ภายใน ๓ วัน ![]() |
||
|
70
เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 12:35:01 PM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร วันมหาวิปโยค สิบสี่ ตุลาคม ไทยขื่นขม ตรมทั่วหล้า ยืนหยัด ขึ้นทายท้า เหล่าผู้กล้า ประชาไทย กอดคอ พร้อมก้าวเดิน ไม่ขัดเขิน สมาสัย เพียงหวัง ถึงหลักชัย ลูกหลานไทย ได้เสรี ฟันฝ่า ห่ากระสุน ร่วมเกื้อหนุน เป็นสักขี เพื่อชาติ ยอมชีพพลี สมศักดิ์ศรี วีรชน เขมร รุกชายแดน สร้างคับแค้น ทุกแห่งหน ถึงกาล สยามชน ไล่ให้พ้น จากแดนไทย คนเรียนไพร ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ (กาพย์ยานี ๑๑) |
||