|
71
เมื่อ: 01, ธันวาคม, 2568, 07:55:44 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๕/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร (๓) ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ สุข, เอกัคคตา ~ฌาน ๓ ทรงอุปมาผู้อยู่อุเบกขาด้วยสุขที่หาปิติมิได้ เปรียบเหมือนดอกบัว ๓ เหล่า ที่แช่น้ำเย็นตั้งแต่ ยอดจนถึงราก ~นามกาย = ที่ประชุมแห่งนามธรรม หรือกองแห่งเจตสิก หรือ หมายถึงนามขันธ์หมดทั้ง ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือ ทั้งจิต และเจตสิก (๔) จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา ~ฌาน ๔ ทรงอุปมาสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เปรียบเหมือนชายที่นั่งคลุมด้วยผ้าขาว ตลอดทั้งตัว ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกคลุม อุปมาวิชชา ๓ = คือ การเปรียบเทียบว่า การได้วิชชาเหล่านี้เปรียบเหมือนบุรุษที่ออกจากบ้านของตนไปสู่บ้านอื่นแล้วสามารถระลึกถึงบ้านเดิมของตนได้อย่างชัดเจน วิชชา ๓ (ญาณ ๓) ได้แก่ (๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ระลึกชาติ, รู้ชาติในอดีต, รู้ภพในอดีต จะระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น (๒) จุตูปปาตญาณ = รู้การจุติ การอุบัติ รู้ภพใหม่ ด้วยทิพย์จักษุ การอุบัติของสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วย ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม (๓) อาสวักขยญาณ = รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นภพ จิตโน้มไปเพื่ออาสวักขญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์, นี้ทุกขสมุทัย, นี้ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อาสวะ = กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่าง มี ๓ อย่าง คือ (๑) กามาสวะ อาสวะ คือกาม (๒) ภวาสวะ อาสวะ คือภพ (๓) อวิชชาสวะ อาสวะ คืออวิชชา สมัญญาต่างๆ ของสงฆ์ = ชื่อเรียกที่ยกย่อง ได้แก่ (๑) บุคคลชื่อว่า ภิกษุ = เพราะทำลายธรรม ๗ ประการได้ คือ (๑.๑) สักกายทิฏฐิ - เห็นว่าร่างกายที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น "เรา" หรือ "ตัวตน" ของตน (๑.๒) วิจิกิจฉา - ความลังเล, สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย (๑.๓) สีลัพพตปรามาส - ความยึดมั่นถือมั่นในศีลและพรตที่ผิด (๑.๔) ราคะ - มีความพอใจในกามคุณ (๑.๕) โทสะ (๑.๖) โมหะ ความหลง เขลา (๑.๗) มานะ - ความถือตนว่าดีเด่น (๒) สมณะ = ชื่อว่าสมณะ เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นระงับ ธรรม ๗ ประการได้แล้ว (๓) พราหมณ์ = ชื่อว่าพราหมณ์ เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นลอยได้แล้ว (๔) นหาตกะ = นหาตกะ เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นล้าง ธรรม ๗ ประการแล้ว (๕) เวทคู = เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นรู้แจ้ง ธรรม ๗ ประการแล้ว (๖) โสตติยะ = เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีทุกข์เป็นวิบาก, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลชื่อว่าโสตติยะ เพราะธรรม ๗ ประการร้อยรัดไม่ได้ (๗) อริยะ = เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นทำลาย ธรรม ๗ ประการได้แล้ว (๘) อรหันต์ = เป็นอย่างไร คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นห่างไกลจาก ธรรม ๗ ประการแล้ว |
||
|
72
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 07:39:56 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
กินแล้วพูดฝรั่งปร๋อหนองานนี้ เอบีซีฟุดฟิดและฟอไฟ ![]() |
||
|
73
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 04:59:18 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๔/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร อัสสปุรนิคม = แหล่งชุมชน ของพระราชกุมารชาวอังคะ ในแคว้นอังคะ ธรรม = หมายถึงไตรลักษณ์ คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา แต่ในที่นี้ทรงมุ่งแสดงหิริและโอตตัปปะ สมณะ = ผู้สงบกิเลส หรือ ผู้สงบระงับจากบาป โดยเฉพาะหมายถึง ภิกษุในพระพุทธศาสนา และยังอาจหมายถึง ผู้บำเพ็ญพรตหรือผู้แสวงหา ประโยชน์จากความเป็นสมณะ = มีหลายนัย ดังนี้ ~อริยมรรคมีองค์ ๘ บ้าง ~หมายถึงความสิ้นราคะ, ความสิ้นโทสะ, และความสิ้นโมหะบ้าง สมณะ = พึงประพฤติตน มิให้เสื่อมจากความเป็น สมณะ ดังนี้ (๑) หิริ โอตัปปะ (๑.๑) หิริ - ละอายบาป ความรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาป ห้ามใจไม่ให้วิ่งไปหาความชั่ว (๑.๒) โอตตัปปะ - เกรงกลัวบาป ความกลัวว่าทำบาปไปแล้วจะได้รับผลเสีย หรือมีความทุกข์ทรมานจากการกระทำนั้น (๒) กายสมาจารบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่ใช้ฝ่ามือ ก้อนดินท่อนไม้ หรือศัสตราทุบตีเบียดเบียนผู้อื่น หรือไม่เงื้อมือหรือท่อนไม้ไล่กาที่กำลังดื่มน้ำในหม้อน้ำ หรือจิกกินข้าวสุกในบาตร (๓) วจีสมาจารบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่พูดเท็จ, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่กล่าวดูหมิ่นใครๆ, หรือไม่กล่าวถากถางเยาะเย้ยภิกษุใดๆ (๔) มโนสมาจารบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่มีอภิชฌา ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความเห็นผิด ไม่ยินดีทองและเงิน หรือไม่ตรึกถึงกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก (๕) อาชีวะบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่เลี้ยงชีพด้วยกรรมที่ไม่สมควร เช่น การรักษาไข้ การให้น้ำมันทาเท้า การหุงน้ำมัน พูดเลียบเคียงขอผู้อื่น หรือการสะสมปัญจโครส มีเนยใส เป็นต้น (๖) สำรวมอินทรีย์ ๖ = ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ ถ้าไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำ ผู้สำรวมอินทรีย์ ๖ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน (๗) รู้จักประมาณในโภชนะ = ภิกษุควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จักพิจารณากินอาหาร ไม่ใช่เพื่อความมัวเมา แต่เพียงเพื่อกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป เพื่อบำบัดความหิว เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ โดยอุบายนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสียได้ และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ และการอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา (๘) ตื่นบำเพ็ญเพียร = คือ ภิกษุควรมีความเพียรในธรรมเป็นเครื่องตื่นอย่างต่อเนื่อง จักชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมอันเป็นเครื่องขัดขวางด้วยการเดินจงกรม และการนั่งตลอดวัน การนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี สำเร็จการนอนดุจราชสีห์โดยตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ด้วยการเดินจงกรม, การนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี (๙) เจริญสติสัมปชัญญะ = ภิกษุควรสำเหนียกว่า จักเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ทำความรู้สึกตัวในทุกอิริยาบถ เช่น การก้าวไป การครองสังฆาฏิ บาตร และ จีวร การฉัน เป็นต้น (๑๐) การละนิวรณ์ ๕ = คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้พักอยู่ ณ เงียบสงัด กลับจากบิณฑบาตรภายหลังฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า (๑๐.๑) ละอภิชฌา - ความเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา (๑๐.๒) ละความมุ่งร้ายคือพยาบาท มีจิตไม่พยาบาท มุ่งประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความมุ่งร้ายคือพยาบาท (๑๐.๓) ละ ถีนมิทธะ - ความหดหู่และความเซื่องซึม ปราศจากถีนมิทธะ กำหนดแสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ (๑๐.๔) ละอุทธัจจกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ (๑๐.๕) ละวิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย ข้ามวิจิกิจฉาได้แล้ว ไม่มีวิจิกิจฉาในกุศลธรรมอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา อุปมาฌาน ๔ = คือ เปรียบเทียบการบรรลุฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นภาวะที่จิตมีความสงบแน่วแน่ จิตใจเป็นกลาง (อุเบกขา) และมีสติที่บริสุทธิ์ โดยมีอุปมาว่า "ชายที่นั่งคลุมตัวด้วยผ้าขาวตลอดทั้งตัว" ซึ่งไม่มีส่วนใดที่ผ้าขาวไม่คลุม ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก ฌาน ๔ = คือ (๑) ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก), วิจาร (ตรอง), ปีติ, สุข, เอกัคคตา (ใจเป็นหนึ่งเดียว) ~ฌาน ๑ ทรงอุปมาปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เปรียบเหมือนโรยผงถูกตัว ลงในขันสำริด แล้วพรม น้ำหมัก ไว้ ครั้นเวลาเย็น ก้อนผงออกยางเข้ากัน ซึมทั่วกายไม่ไหลหยด (๒) ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ~ฌาน ๒ ทรงอุปมาปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เปรียบเหมือนห้วงนํ้าอันลึก มีน้ำอันพลุ่ง ไม่มีปากทาง น้ำเข้าทางทิศต่างๆ และฝนก็ไม่ตกเพิ่มน้ำให้แก่ห้วงน้ำนั้นตลอดกาล ท่อน้ำเย็นพลุ่งขึ้นจากห้วงน้ำ ประพรมกายทำให้ชุ่ม |
||
|
74
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 03:53:39 PM
|
||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย กรกช | ||
|
ช่วงนี้ติดฟังเพลงนี้ ฟังวันละเกินสิบรอบ โดยเฉพาะเวอร์ชั่น My Eyes เด็กๆน่ารักมาก ส่วนเวอร์ชั่นต้นฉบับ ฟังแล้วยอดเยี่ยมมาก รับรู้ได้อย่างหนึ่งเลยว่า เพลงนี้ยาวมาก ๔ นาทีกว่าๆ น้องแพร ชนา ร้องคนเดียว ต้องคุมโทนเสียงให้อยู่ ส่วนเวอร์ชั่นสี่สาว แบ่งกันร้อง ทำงานง่ายกว่าเยอะ ใครชอบเหมือนกัน กดไลค์ กดหัวใจ ตามมาเลยครับ แถมเวอร์ชั่น พี่บอย พีชเมคเกอร์ |
||
|
75
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 08:03:07 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๓/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร ๓๓.สงฆ์จิตพิสุทธิ์นิรกิเลส....................เจาะน้อมเจตน์ลุญาณล้ำ เห็นสัตว์อุบัติมรณะนำ..............................เพราะตาทิพย์กระจ่างหนา ๓๔.สัตว์มาเรือนต่างเข้า-.......................ออกครัน เห็นนา เดินเที่ยวจรไปพลัน..................................แห่งโน้น สงฆ์ก็เช่นเดียวกัน....................................เห็นสัตว์ เกิด,ตาย สูงต่ำตามกรรมโพ้น..................................พฤติด้วยใจกาย ๓๕.เมื่อจิตเจริญประลุสมาธิ์...................กิเลสฆ่ามลานวาย น้อม"อาสวักขยะฯเหมาะ"ผาย...................."อรีย์สัจ"ประเสริฐแฉ ๓๖.แลอริยสัจสี่แผ้ว...............................แนวทาง ดับทุกข์ "ทุกข์"สื่ออะไรวาง.....................................เร่าร้อน "เหตุทุกข์"เกิดทราบพลาง.........................."ทุกข์นิโรธ" ดับเฮย "ทุกข์นิโรธคาฯ"มรรคป้อน..........................กิเลสล้างลับผลาญ ๓๗.จิตสงฆ์ละ"อาสวะกิเลส"....................กิเลสเดช ณ สันดาน พ้น"กาม,อวิชช์สวะฯ"ลิผ่าน........................."สมูทัยส์วะ"ล่วงเผย ๓๘.สงฆ์เอยทราบหลุดพ้น......................."ชาติ"หา มีแล เพิกมุ่งเรียนธรรมหนา..................................สุดแล้ว ทำกิจเสร็จหมดครา.....................................แจงเรื่อง ความจริง กิจต่างหลายจึงแป้ว.....................................ไม่ต้องทำเผย ๓๙.ชื่อเรียกพระสงฆ์"สมณะ"ชู.................ลุ"เวคู"รึ"พราหมณ์"เอ่ย "โสตตียะ"บ้าง"อริยะ"เชย............................."นหาตากะ"นี้แฉ ๔๐.แล"ภิกษุ"เรียกไซร้.............................เพราะทลาย ธรรมเจ็ด ยึดว่า"ตน,สักกายฯ".....................................มั่นแล้ "วิจิกิจฉา"ปราย...........................................มิกระจ่าง รัตน์ตรัย "สีลัพพ์ฯ,เห็นผิด"แท้.....................................มากแล้ว"ราคะกาม ๔๑."โกรธ,โทสะ,โมหะมทะมัว"...................และถือตัวสิเด่นผลาม บุคคลระงับเหมาะมละตาม...........................สิเจ็ด,ภิกษุเรียกขาน ๔๒."สมณะ"พานเรียกแท้..........................ระงับธรรม อกุศล กรานก่อเกิดเศร้านำ.....................................ภพหน้า วิบากทุกข์รานหนำ......................................." ชาติ"ก่อ" ตาย"ตาม สงฆ์หยุดธรรมเจ็ดล้า...................................เพรียกพร้อง"สมณะ"เผย ๔๓.เรียก"พราหมณ์"เพราะชนสินิรมัว........จะ"ลอยชั่ว"ซิเจ็ดเอ่ย เพรียกชน"นหาตกะ"ลุเชย............................จะล้างธรรมลิหมดหนา ๔๔."เวทคู"มาทราบแจ้ง.............................เจ็ดธรรม ครองมุ่งธรรมเพียรนำ...................................ยิ่งรู้ "โสตติฯ"แกร่งแข็งหนำ.................................เหนือกว่า ผองเจ็ดธรรมนอบคู้......................................ไม่ร้อยรัดแฉ ๔๕.บุคคลจะเรียก"อริยะ"ฉาย....................เพราะทำลายพระธรรมแน่ ทั้งสัตตะธรรมเจาะภิทะแฉ............................กิเลสมิเหลือเอย ๔๖.เปรย"อร์หันต์"เพราะวิ่งพ้น...................ธรรมเจ็ด ห่างไกล ลุนิพพานเลิศเด็ด..........................................สงัดแล้ พุทธ์องค์เอ่ยความเสร็จ.................................สงฆ์บ่ง ยินดี ชมชื่นภาษิตแท้.............................................ช่วยเกื้อสว่างไข ฯ|ะ แสงประภัสสร มจร. ๙. มหาอัสสปุรสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/lJZzXX2cOFmKOXRoY |
||
|
76
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 06:05:14 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร สืบพงไพร มาลี มีรูปงาม ชวนติดตาม กลิ่นหอมหวน สีสัน ร่วมเย้ายวน ไร้กำสรวล กวนจิตใจ พฤกษ์ไพร ในวนา ล้วนล้ำค่า ร่วมสมัย สมดุล รักษาไว้ ชีวาลัย สมบูรณ์ดี สัตว์ป่า จตุบาท เก่งสามารถ ตามวิธี น้อยใหญ่ ในพงพี สุขฤดี มีต่อกัน เชิญชวน ร่วมรักษ์ไพร ให้ยิ่งใหญ่ ไร้โศกศัลย์ ลูกหลาน สืบพงษ์พันธุ์ ตราบถึงวัน นิรันดร์กาล คนเรียนไพร ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ (กาพย์ยานี ๑๑) |
||
|
77
เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 06:03:59 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร ไพรยืนยง สังคม ปลายยอดหญ้า กลางวนา ป่าต้นหนาว ชีวิต บอกเรื่องราว เมื่อถึงคราว ต้องจากกัน เหน็บหนาว ยะเยือกเย็น ทุกข์ยากเข็ญ ต่างคิมหันต์ เหมยขาบ ยามเหมันต์ ละลายพลัน ตะวันแรง หริ่งหรีด ร้องระงม ด้วยขื่นขม ตรมเพราะแสง ระวี ฤทธิ์สำแดง หมู่แมลง แฝงพฤกษ์ไพร โผผิน สกุณา จากเวหา พาสดใส อิงแอบ แนบจิตใจ ร่วมสร้างไพร ให้ยืนยง คนเรียนไพร ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ (กาพย์ยานี ๑๑) |
||
|
78
เมื่อ: 29, พฤศจิกายน, 2568, 07:11:42 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ฝาตุ่ม | ||
|
หมากฝรั่งอร่อยนั่งคอยแบ่ง ถ้าหมากแดงขอผ่านคลานหลบหนี ![]() |
||
|
79
เมื่อ: 29, พฤศจิกายน, 2568, 03:46:07 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๒/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร ๑๗.พุทธ์เจ้าตริยืมลุธนะกราย...........ซิค้าขายลุล่วงมา กำไรสิพอเจาะทะนุกล้า........................กะครอบครัวสราญเผย ๑๘.เปรยคนเจ็บป่วยไข้.....................อาหาร มิกิน ลำบาก"กำลัง"ราน................................เรี่ยวน้อย หายจากโรคจึงทาน..............................มากแน่ พลังมี เพราะเหตุหายโรคคล้อย.......................ย่อมยิ้มสุขไข ๑๙.นักโทษเจาะตรวนทะลุตะราง........ผละพ้นทางคระไลไกล คราพ้นสิโทษก็รติไซร้............................เพราะเหตุพ้นเจาะเบิกบาน ๒๐.เป็นทาสกรานยิ่งด้อย...................เป็นไท เขามุ่งจรพลาดไกล................................ทุกครั้ง เพิกจากทาสคระไล................................พาพึ่ง ตนเอง เหตุอิสระจึงยั้ง.......................................รื่นแย้มสำราญ ๒๑.คนมีสิทรัพย์ลุจรลี.........................ณ ทางชี้ซิกันดาร ร่มเย็นและไร้สิภยะพาน..........................เพราะเหตุนี้ก็สุขเผย ๒๒.สงฆ์เอยเหมือนเช่นนั้น...................จะตรอง พิจารณ์ เปรียบเรื่องนิวรณ์ผอง.............................ดั่งหนี้ "ติดคุก,โรค,ทาส"ครอง............................ยังไม่ ละวาง สงฆ์ตัดนิวรณ์ชี้.......................................หลุดพ้นเป็นไท ๒๓.สงฆ์หลายสิตัดมละนิวรณ์..............ซิห้าถอนผละหมองไส กรรมชั่วลิได้เจาะศุจิใจ............................ลุฌานหนึ่งวิเวกหนา ๒๔.คราปฐมฌาน,หนึ่งชี้.......................เกิดผล "วิตก,วิจาร"ดล.........................................ตรึกพร้อม "ปีติ,สุข"กายยล.......................................ซาบซ่าน เพราะสงบวิเวกน้อม..................................แช่มช้อยกายเผย ๒๕.ตรึก,ตรองระงับหทยะเป็น................ซิ"หนึ่ง"เด่นเจาะผุดเอ่ย จึงบรรลุ"ฌานทุติยะ"เชย...........................เลาะสุข,ปีติทั่วกาย ๒๖."ปีติ"ฉาย"สุข"ช้อย...........................จากสมาธิ์ กายชื่นเอิบอาบครา...................................เปี่ยมล้น เปรียบธารชุ่มเย็นมา..................................พาฉ่ำตลอดกาย มีสุขจากสมาธิ์ท้น......................................แผ่ล้ำเย็นหนา ๒๗.สงฆ์"ปีติ"จางเจาะสติสัม-..................ปชัญญ์ฯล้ำซิสุขมา "นามกาย"พะพร้อมลุตติกล้า......................อุเบกขาซิวางเฉย ๒๘.ฌานสามเอยเปรียบได้.....................กอบัว เติบโต มิโผล่รับแสงรัว..........................................ชุ่มน้ำ จากยอด-รากอาบตัว..................................ซาบซ่าน ตลอดพาน สงฆ์เช่นกันสุขย้ำ.......................................ชื่นช้อยยืนนาน ๒๙.สงฆ์ตัดละ"สุขและทุขะ"ชัด...............เพราะโทม์นัสซิดับราน พร้อมโสมนัสลุ"จตุตถ์ฌาน"........................จะเหลือแต่อุเบกขา ๓๐.ฌานพาสุข,ทุกข์ไร้............................สะอาด มโน ใจผ่องอาบกายโข.......................................ทั่วแล้ ดุจคลุมร่างมิโชว์.........................................แพรแผ่ กายา สงฆ์เปรียบสกาวแท้.....................................แจ่มแผ้วดวงแด ๓๑.จิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์...........................กิเลสทรุดปลาตแน่ เศร้าหมองมิมีเจาะธุวะแฉ.............................ลุ"ปุพเพนิวาญาณฯ" ๓๒.สงฆ์กรานระลึกชาติได้.......................มากหลาย อดีตเด่นเป็นใดกราย....................................เนื่องแล้ ทราบประวัติแน่ทุกราย.................................ละเอียดยิ่ง สงฆ์ก่อกรรมใดแท้.......................................หยั่งได้ผลกรรม |
||
|
80
เมื่อ: 29, พฤศจิกายน, 2568, 07:07:49 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร (สูตรว่าด้วยคำสอนในนิคมชื่อ อัสสปุระ สูตรใหญ่ : ข้อปฏิบัติของสมณะ) วสันตปยาตฉันท์ ๑๔/โคลงสี่สุภาพ ๑.ขอน้อมถวายลุอภิวาทน์....................ฤดียาตรพระองค์ครัน เป็นศาสดาลุอรหันต์................................พระโคดมพระพุทธ์เจ้า ๒.พุทธ์คุณเพราท่วมท้น.......................ประชา เทวา กอปรยิ่งพระเมตตา.................................เหล่าข้า ทรงเพียรสั่งสอนพา.................................สงฆ์มุ่ง นิพพาน ทวยราษฎร์คลายทุกข์กล้า.......................ซาบซึ้งคำสอน ๓.ทรงพัก ณ "อัสสปุระฯ"ไซร้................นิคมใหญ่พระสงฆ์จร ตรัสชนจะเรียกสมณะป้อน.......................ก็ควรพฤติเหมาะยิ่งหนา ๔.สงฆ์ควรมาเร่งร้อน............................เจริญธรรม สมชื่อเขาเรียกนำ.....................................ยิ่งแท้ ปัจจัยรับบิณฑ์หนำ...................................คุณส่ง ถึงชน บวชไม่เป็นหมันแล้....................................เฟื่องฟุ้งเรืองฉาย ๕.ธรรมที่เหมาะเป็นสมณะชัด................พระองค์ตรัสเจาะสิบกราย "โอปตัปปะกลัว,หิริละอาย"........................มิทำบาปซิชั่วเผย ๖.สงฆ์ควรเปรยมุ่งแม้น.........................."กายสมาจาร" พฤติชั่วเพิกเสียหนา..................................มุ่งเว้น ทำกายยิ่งสะอาดครา.................................คงอยู่ สมณะ คุณจุ่งมีมากเน้น........................................เสื่อมไร้มิผลาญ ๗.พุทธ์องค์สิตรัสเจาะระบุกิจ.................."วจีชิดสมาจาร" ควรทำพจีลุชระพาน..................................ซิสำรวมมิข่มไผ ๘.หากสงฆ์ใดคิดแล้...............................กาย,วจี ระวัง โอตตัปฯ,หิริมี............................................เสร็จพร้อม สมณะครบดี..............................................ทรงเอ่ย ตักเตือน กิจที่เหนือยังน้อม.......................................ปรี่ล้นรอเผย ๙.เหล่าสงฆ์ตริมี"มนะสมาธิ์ฯ"..................ประพฤติหนาสะอาดเอ่ย อาฆาตมิมีหทยะเชย...................................และสำรวมระวังหนา ๑๐.คราสงฆ์คิดพฤติแปล้........................กาย,วจี, ใจครบ "โอตตัปฯ,หิริ"มี...........................................เปี่ยมล้น พุทธ์องค์สั่งเตือนทวี....................................กิจยิ่ง ยังรอ คุณประโยชน์สมณะค้น...............................ไม่ได้ทรามแฉ ๑๑.สงฆ์มี"อะชีวะบริสุทธิ์"........................เจาะชีพรุดสะอาดแล แค่นี้มิพอสมณะแล้......................................ลุสำรวม ฉ อินทรีย์ ๑๒.มีระวังทวารหกแล้..............................หนีไกล จากบาป "ตา,จักขุนทรีย์"ไว.......................................มุ่งป้อง "หู,ลิ้น,จมูก,กาย"ไป......................................"ใจ"ห่าง บาปผอง กิจที่เหนือมีพร้อง.........................................ค่าล้นโรจน์เฮย ๑๓.สงฆ์พอกะโภชนะเหมาะบ่ง..................จะดำรงซิชีพเอย หิว,มัวและเมาจะภิทะเผย..............................ลิเวท์นามลายหนา ๑๔.คราพุทธ์องค์บ่งชี้................................เพียรธรรม สืบเอย เดินนั่ง,บำเพ็ญนำ..........................................เร่งแท้ กลางคืนนั่ง,เดินหนำ......................................นอนพัก รีบลุก ทำจิตสะอาดแล้............................................มุ่งพร้อมลุธรรม ๑๕.สงฆ์ควรเจริญสติริดั้น..........................กะสัมป์ชัญญะพร้อมนำ รู้ตัวสิทุกขณะกระทำ.....................................ซิยืน,นั่งมิรู้หลง ๑๖.สงฆ์ควรละยิ่งห้า..................................นิวรณ์ ขัดขวาง ใจไม่สงบคลอน.............................................หยั่งดิ้น "ความอยาก,มุ่งฆาต"จร..................................."หดหู่,สงสัย" "คิดซ่านรำคาญ"สิ้น........................................ห่อนก้าวธรรมหนา |
||


