สะกิดพี่หมูเจ้าหยิบผิดจ้า ไม่ใช่ยาแน่นั้น นั่นท๊อฟฟี่

|
91
เมื่อ: 26, พฤศจิกายน, 2568, 06:42:42 AM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | ||
|
สะกิดพี่หมูเจ้าหยิบผิดจ้า ไม่ใช่ยาแน่นั้น นั่นท๊อฟฟี่ ![]() |
||
|
92
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 07:20:03 PM
|
|||
| เริ่มโดย รินดาวดี - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | |||
|
|||
|
93
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 07:17:19 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย Black Sword | ||
|
อัดทิฟฟี่ทันใดไม่แชเชือน หลับปุ๋ยกันเป็นเดือนเลื่อนเป็นปี ![]() |
||
|
94
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 04:51:51 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์ ๒) สังขารเป็นไฉน = การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มีความหมาย ๓ ประการ คือ เป็นสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งมา; เป็นเหตุปัจจัยที่ไปปรุงแต่งสิ่งอื่น; เป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตนเอง สังขาร มี ๖ อย่าง (๒.๑) ปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี เป็นไฉน ~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็นกามาวจร; เป็นรูปาวจร สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา กามาวจร = ภพที่ท่องกามคุณ ๕ รูปาวจร = ภพของรูปพรหมที่เจริญฌาน (๒.๒) อปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว เป็นไฉน ~ เจตนาที่เป็นอกุศลซึ่งเป็นกามาวจร (๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว = เป็นไฉน อเนญชาภิสังขาร = ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน อรูปาวจร = ภพของอรูปพรหมที่เจริญฌาน ~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็น อรูปาวจร (๒.๔) กายสังขาร = กายสัญเจตนา คือเจตนาทางกาย (๒.๕) วจีสังขาร = วจีสัญเจตนาเป็นเจตนาทางวาจา (๒.๖) จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา เป็นเจตนาทางใจ เหล่านี้เรียกว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = เป็นไฉน ~ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๔) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑ (๔.๑) นาม เป็นไฉน = เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ นี้เรียกว่า นาม (๔.๒) รูป เป็นไฉน = มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป นี้เรียกว่า รูป นามและรูปดังกล่าว นี้เรียกว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม อุปาทายรูป ๒๔ = รูปที่อาศัยมหาภูตรูป เกิด (๕) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี = เป็นไฉน ~ ได้แก่ จักขายตนะ ,โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวหายตนะ, กายายตนะ, และมนายตนะ (๖) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี = เป็นไฉน ~ ได้แก่ จักขุสัมผัส; โสตสัมผัส; ฆานสัมผัส; ชิวหาสัมผัส; กายสัมผัส; และมโนสัมผัส (๗) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี = เป็นไฉน ~ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส; นี้เรียกว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๘) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี = เป็นไฉน (๘.๑) รูปตัณหา - อยากได้รูป (๘.๒) สัททตัณหา -อยากได้เสียง (๘.๓) คันธตัณหา - อยากได้กลิ่น (๘.๔) รสตัณหา - อยากได้รส (๘.๕) โผฏฐัพพตัณหา - อยากได้โผฏฐัพพะ (๘.๖) ธัมมตัณหา - อยากได้ธรรมารมณ์ นี้เรียกว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๙) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี = เป็นไฉน ได้แก่ (๙.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๙ ๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ (๙.๓) สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล (๙.๔) อัตตวาทุปาทาน - ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลาย หรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวง อันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ นี้เรียกว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๑๐) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี = เป็นไฉน (๑๐.๑) กรรมภพ - กรรมที่เป็นเหตุให้ไปสู่ภพ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร, และอาเนญชาภิสังขาร นี้เรียกว่า กรรมภพ (๑๐.๒) อุปปัตติภพ -ได้แก่ (๑๐.๒.๑) กามภพ - คือสัตว์ที่เกิดในกามภูมิ มี ๑๑ ภูมิ ได้แก่ที่อยู่ของสัตว์ใน อบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน); มนุษย์ ๑, และเทวดา ๖ ชั้น (คือ จาตุมมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรดี, ปรนิมมิสสวัตตี) (๑๐.๒.๒) รูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในรูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของรูปพรหม ๑๖ ชั้น (ได้แก่ พรหมปาริสัชชา, พรหมปุโรหิตา, มหาพรหมา, ปริตตาภาพรหม, อัปปมาณาพรหม, อาภัสสราพรหม, ปริตตสุภาพรหม, อัปปมาณสุภาพรหม, สุภกิณหาพรหม, เวหัปผลาพรหม, อสัญญสัตตาพรหม, อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี, อกนิฏฐา) |
||
|
95
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 04:13:37 PM
|
||
| เริ่มโดย เฒ่าธุลี - กระทู้ล่าสุด โดย เฒ่าธุลี | ||
![]() ![]() ♠.♠.น้ำตาชาย.♠.♠..? ♠•♠ น้ำค้างพรมพร่างพรายชายคนเศร้า อยู่กับเงาเหงาเหงาใจเปล่าเปลี่ยว ขนลุกซู่ลมหนาวพัดกราวเกรียว รอเธอเหลียวแลหาหว้าเหว่ใจ ♠•♠ ล้าเรี่ยวแรงยังฝืนยืนยัดสู้ เพียงเพื่ออยู่คอยเธอเพ้อหวั่นไหว ฝ่าสายฝนทนหนาวร้าวทรวงใน ลมพัดใบไม้หวั่นฝันเลื่อนลอย ♠•♠ ร่างผล็อยร่วงเคว้งคว้างกลางห้วงเหว ใจแหลกเหลวห่อเหี่ยวเปลี่ยวเหงาหงอย สิ้นแล้วฤาความหวังตั้งใจคอย เธออย่าปล่อยฉันเก้อเพ้อเดียวดาย ♠•♠ ฝ่าลมหนาวคราวนี้จะมีไหม คนรักใคร่ใกล้ชิดมิตรสะหาย มอบหัวใจให้แนบแอบอิงกาย ช่วยผ่อนคลายความหนาว...รวดร้าวทรวง ♠•♠ จักเจ็บยอกหรือหายคลายหมองเศร้า มีเธอเฝ้ารักใคร่ด้วยใจห่วง รักจริงใจไม่แสร้งแกล้งหลอกลวง เป็นคู่ควงคลอเคล้า...เฝ้าห่วงใย ♠•♠ ขาดร่มพักมานานพานพบเจอ มีเพียงเธอเคียงคู่อยู่ชิดใกล้ ช่วยผ่อนคลายหายหนาวรวดร้าวใจ สุขอยู่ใน...หอห้องครองวิวาห์ ♠•♠ เฒ่าธุลี ![]() |
||
|
96
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 08:06:04 AM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๑/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์ ๒๓๐."วิญญาณ"ปัจจัย......ก่อเกิด"นาม"ไซร้......สร้างจิต,ชีพกราน "นาม,เจตสิก"หนา....อายะฯหกมาน....ด้วยมีพึ่งพาน....เกิดร่วมกันมา ๒๓๑."มนาฯหก"สิเหตุชัด..............................ปะทะผัสสะเกิดหนา ใจธรรมะรมณ์และภวกล้า................................มโนวิญญ์ฯกระทบแล ๒๓๒."ผัสสะ"กระทบ........ก่อ"เวทนา"จบ......รู้สุข,ทุกข์แฉ "เวทนา"รู้สึก....นึกยินดึแล้....อยากได้อีกแท้....เกิด"ตัณหา"พาน ๒๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพฤติ.....................ประลุยึดอุปาทาน ด้วยมีอุปาฯจะหิตะฉาน....................................จะก่อ"ภพ"เพราะยึดคง ๒๓๔."ภพ"เป็นเหตุมี........ดำรงอยู่ชี้........"ชาติ"มีตามบ่ง "ชาติ"เป็นเหตุหนา....ชรา,มรณะส่ง....ความเสื่อมทุกข์ตรง....ตามธรรมชาติกลาย ๒๓๕.สิทุกข์สิ้นกุเกิดนี้..................................ดุจะชี้ลุความฉาย สังขารซิมูลเสาะอธิบาย....................................ก็ทุกสิ่งเจาะทุกข์เข็ญ ๒๓๖.ปัจจยาการ.........หรือปฏิจจ์สมุปฯขาน........แจงความจริงเด่น ตามเหตุปัจจัย....ในธรรมชาติเน้น....แจ้งเหตุทุกข์เป็น....ทางดับทุกข์แล ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : มจร. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/kbChnYRRrpQ96ZrRG ปฏิจจสมุปบาท = หรือ ปัจจยาการ ๑๒ - การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น (๑/๒) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา = เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี อวิชชา - ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา ๘ , อวิชชา ๔ (๓) สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ = เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๒ หรือ อภิสังขาร ๓ (๔) วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ = เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี วิญญาณ - ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ (๕) นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ = เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี นามรูป - นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (๖) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส = เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี สฬายตนะ อายตนะ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ (๗) ผสฺสปจฺจยา เวทนา = เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี ผัสสะ - ความกระทบ ได้แก่ สัมผัส ๖ (๘) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา = เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖ (๙) ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ = เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี ตัณหา - ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) (๑๐) อุปาทานปจฺจยา ภโว = เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี อุปาทาน - ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔ (๑๑) ภวปจฺจยา ชาติ = เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี ภพ - ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร ๓) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ (๑๒) ชาติปจฺจยา ชรามรณํ = เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี ชาติ - ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ ชรามรณะ - ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์) ~โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ = ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ~เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ = ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์ สุตตันตภาชนีย์ = แจง ปัจจยาการ ๑๒ (๑/๒) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๑) อวิชชา = เป็นไฉน ไม่รู้อริยสัจ ๔ คือ ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา ~เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี |
||
|
97
เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 06:25:19 AM
|
||
| เริ่มโดย คนเรียนไพร - กระทู้ล่าสุด โดย คนเรียนไพร | ||
![]() ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดย คนเรียนไพร สิ้นไพร สิ้นไทย ทุรกรรม ทำไทย ช้ำฤดี หลายชีวี เป็นทุกข์ ไร้สุขศานติ์ เคยอุดม สดรื่น แสนชื่นบาน กลับทนทุกข์ ทรมาน นานขวบปี สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ธารธารา เอ่อนอง หม่นหมองศรี ด้วยน้ำเหนือ มากล้น พ้นทวี เป็นเยี่ยงนี้ ทุกปี ไม่มีแปร พิษภัยแล้ง ย่างกราย เข้าครอบงำ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ตามกระแส ผืนแผ่นดิน อีสาน ถูกรังแก ด้วยจริงแท้ ทำลายป่า มานานวัน แม่ฮ่องสอน เชียงราย ในถิ่นเหนือ ไม่หลงเหลือ ผืนพนา แทบอาสัญ ทั้งเผาป่า นาไร่ อยู่ครามครัน เสริมตะวัน หลงระเริง เพลิงอัคคี แดนทักษิณ สงขลา พัทลุง น้ำท่วมทุ่ง รานรุก ทุกวิถี เพราะก่นสร้าง ทำร้าย ปฐพี ร้าวฤดี ทุกขัง อนัตตา ไทยจักยอม ล้มเหลว เยี่ยงนี้หรือ สร้างไพรคือ สุดยอด ปรารถนา ผืนแผ่นดิน ปกป้องไว้ ด้วยไพรพนา ทั่วพารา ธานี มีสมดุล คนเรียนไพร ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ |
||
|
98
เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 07:25:26 PM
|
||
| เริ่มโดย บ้านกลอนน้อย - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | ||
|
พอมืดค่ำไม่หลับกลับท่องเที่ยว หวัดเลยเลี้ยวเล่นงานจนคลานเคลื่อน ![]() |
||
|
99
เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 07:19:57 PM
|
|||
| เริ่มโดย ลิตเติลเกิร์ล - กระทู้ล่าสุด โดย ลิตเติลเกิร์ล | |||
|
|||
|
100
คำประพันธ์ แยกตามประเภท / กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม / Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:08 PM
|
||
| เริ่มโดย แสงประภัสสร - กระทู้ล่าสุด โดย แสงประภัสสร | ||
|
(ต่อหน้า ๑๐/๑๘) : ๑๓.วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์ ๒๐๗.เพราะมี"เวทนา"มาก..........................ภว"อยาก"ลุ"ตัณหา" "ตัณหา"สิหนาลุวสะกล้า................................จะก่อ"เวทนา"ผาย ๒๐๘."ตัณหา"ปัจจัย......."อยาก"ได้แล้วไซร้......."อุปาทาน"กราย ยึดอุปาทาน....พานยึดมากหลาย...."ตัณหา"เกิดมาย....ด้วยความอยากครัน ๒๐๙."อุปาทาน"สิยึดครอง..........................ภว"ภพ"ก็นามขันธ์ แม้"ภพ"ก็ยังหิตะดั้น.......................................ลุก่อ"ชาติ"เพราะจิตนำ ๒๑๐."ชาติ"เป็นปัจจัย......ก่อชรา,ตายไซร้......จึ่งตามมาซ้ำ กองทุกข์ทั้งปวง....เป็นบ่วงเกิดพร่ำ....โสกะ,ครวญคร่ำ....คับแค้น,รำพัน ๒๑๑.ผิ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิความจริง.................ทวิสิ่งเจาะเกื้อกัน ไม่รู้อวิชช์ฯเพราะมทะดั้น................................เจาะชั่ว,ดี,วจี,ใจ ๒๑๒.หรือทำดีด้วย........ผลกรรมอำนวย......ก่อสังขารได้ "สังขาร"หลายเกิด....เพริดไม่รู้ไซร้...."อริยสัจ"ไข....ก่อ"อวิชชา" ๒๑๓.เพราะ"สังขาร"ลุเจตน์ดล.....................อกุศลกุศลหนา สังขารก็ก่อหทยะพา.......................................ลุ"วิญญาณ"เหมาะรับกรรม ๒๑๔.วิญญาณคือจิต........เป็นปัจจัยชิด........ก่อ"สังขาร"นำ วิญญาณเกิดเพราะ....เหมาะผลกรรมทำ....เกิด"สังขาร"ซ้ำ....จิตเหมือนกันยล ๒๑๕.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม................ภว"นามและรูป"ดล วิญญาณลุครรภ์เจาะ"ปฏิสนธิ์ฯ".......................มโน,กายอุบัติพลัน ๒๑๖."นามรูป"มีอยู่........."วิญญาณ"มีอยู่........ย่อมเวียนกลับกัน หานามรูปไซร้....ไม่ไปไหนครัน....ชนจึงเกิดดั้น....แก่,ตายบ้างเอย ๒๑๗.เพราะ"นามรูป"สิมีหนา..........................เจาะ"สฬายะฯ"มีเผย ด้วยมี"สฬายตนะ"เกย.......................................จะมี"นามกะรูป"แล ๒๑๘."อายะฯที่หก"........มโนเป็นเหตุปรก........ด้วยธรรมารมณ์แฉ มโน,มโนวิญญาณ....พานสามเกิดแล้...."ผัสสะ"แล้วแน่....เกิด"มโน"อีกครา ๒๑๙.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุครบ.........................ลุกระทบเจาะ"เวท์นา" "เวท์นา"จะรู้และรติหนา.....................................จะก่อ"ผัสสะ"เวียนวน ๒๒๐."เวทนา,รู้สึก".........ชอบ,ยินดีนึก......."อยาก,ตัณหา"ดล "ตัณหา"อยากเพิ่ม....เสริมหาอีกค้น...."เวทนา"เกิดล้น....รู้สึกต่อพาน ๒๒๑.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุเชิด.......................ภวเกิด"อุปาทาน" ยึดมั่นอุปาฯเจาะดนุกราน.................................จะรักษ์คงลุ"ตัณหา" ๒๒๒."อุปาทาน"คือ.......ยึดปรุงมั่นครือ........ก็มี"ภพ"หนา ก็ภพดำรงไป....ตามไขว่ใจกล้า....จึงเกิด"ชาติ"คว้า....สภาพตัวตน ๒๒๓.เพราะ"ชาติ"สิเหตุจบ...........................ลุประภพซิตนผล ความแก่,มฤตก็ระยะท้น...................................จะเสื่อมลงปะทุกข์รอ ๒๒๔."สังขาร"ปัจจัย.......จิตก่อกรรมไซร้......."อวิชช์ฯ"มิรู้จ่อ วิญญาณรับรู้....สิ่งพรูต่างก่อ.....ไร้ปัญญาส่อ...."อวิชชา"มี ๒๒๕.เพราะ"นาม,ใจ"ก็ยังนึก.........................เจาะระลึกและปรุงชี้ นามขันธ์สิสี่ริธุวคลี่..........................................และยึดก่อ"อวิชช์ฯ"แฉ ๒๒๖."อายะฯหกมโน"........ไม่รู้จริงโอ่.......เกิด"อวิชชา"แน่ "ผัสสะ"กระทบ....จบยินดีแล้....ไม่รู้ธรรมแท้...."อวิชช์ฯ"เกิดพลัน ๒๒๗.เพราะมี"เวทนา"รู้.................................รติชูรึโศกครัน ไร้สัจจ์ประเสริฐอริยะนั้น..................................จะก่อเกิดอวิชชา ๒๒๘."ตัณหา"เหตุไซร้.......ก่อ"อวิชชา"ได้........ขาดอริยสัจจ์พา "อุปาทาน"มั่น....ยึดยันตนหนา....ไม่มีปัญญา...."อวิชช์ฯ"เกิดดล ๒๒๙."อวิชชา"ปรุ"สังขาร".............................ประลุพานเพราะกรรมผล "สังขาร"สิเหตุริอกุศล.......................................กุศลเกื้อซิ"วิญญาณ" |
||