Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป >> ..-๐ น้ำนมสีแดง : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ..-๐ น้ำนมสีแดง : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..  (อ่าน 8667 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Black Sword
ผู้บริหารเว็บ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:65535
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 88
จำนวนกระทู้: 10568


เมื่อ มยุรธุชกางปีกฟ้อน... มวลอักษรก็ร่อนรำ


| |
..-๐ น้ำนมสีแดง : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
« เมื่อ: 11, พฤศจิกายน, 2561, 10:34:57 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: ..-๐ น้ำนมสีแดง : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..

ขอบคุณรูปภาพจาก Internet


น้ำนมสีแดง

          แจ่มจันทร์เจ้าฉายแสงทอหน้าผาอาบสีเงินยวงอย่างวิเวกวังเวงจากฟากฟ้าพู้น  ประกายดาราร่วงรุ้งเรียงรายลงดั่งสายพิณพิเศษ  แม้มีหัตถ์ทิพย์แห่งความเป็นไปเอื้อมเลยจากเงื้อมผาขาว  ดีดสายพิณพิเศษนั้น  ก็จะเป็นลำนำซับซ้อนมิติภพชาติสะท้อนคลื่นกระแสกรรมไปหลายดาราจักร

          บรรยากาศสงบนิ่งชักชวนมวลอนุภาคแห่งเรณูหอมบุหงาลดามาลย์อันอ่อนหวานนั้น  ลอยล่องตรลบหอมลงตรงซอกหุบเหวลึก  ระหว่างโตรกชะโงกเงื้อมง้ำมีกระแสแควป่าคดเคี้ยวหลากไหลไปดั่งพญานาคราชร้ายพรายเกล็ดเหลือบสีกลางคืน  ประกายเกล็ดประดับด้วยแสงดาวระยับวับวาวเลื้อยแล้วสงบนิ่งเล่ห์หลับไหลอยู่ใต้แสงเสี้ยวเดือนทองคำ  คืออัจกลับแก้วของปฐพี

          ท่ามกลางป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัยใหญ่กว้างอ้างว้างนั้น  คลื่นแห่งเทือกขุนภูผาสลับซับซ้อน  เสียงหมาป่าเห่าหอนโหยหวนอยู่ที่เงื้อมผาหนึ่งซึ่งสูงเสียดแสงดาว  คลื่นเสียงหอนโหยหวนกระเพื่อมวง  กังวานไปจนเวิ้งเทือกเขาลำเนาไม้  ค่อยค่อยจางหายแผ่วเบาละลาย  ลงในละอองหมอกเมฆกลางดึกดื่น

          เสียงสะอื้นเบา ๆ  จากเงาของเจตภูติหนึ่งซึ่งเรือง ๆ  แสงสกาววาว  กำลังทักษิณาวัฏฏ์รอบเงื้อมผาสูง  บางรอบก็ห่างออกไป  บางรอบก็ใกล้เข้ามาเกือบถึงหน้าผานั้น  ประหนึ่งจะร้อยรัดไว้ด้วยอำนาจสายใยแห่งเสน่หาอาลัยไม่ขาดหาย

          เสียงสามหมาป่าเห่าหอนโหยหวน  เรียกหาแม่หมาป่าในดวงเดือน  แต่มันไม่สามารถมองเห็นเจตภูติ  คือดวงวิญญาณหนึ่งซึ่งไหว ๆ  ระยับแสงสีนิลในรูปแม่หมาป่า  เขี้ยวขาวราวแสงดาว  แววตาวาวราวเร่าร้อนด้วยเปลวไฟอันปรารถนามาไหม้หัวใจตัวเอง  ให้วอดวายดับสลายลงตรงซอกเงื้อมผาป่าชัฏนั้น

          ย้อนหลังระลึกไปถึงวาระหนึ่ง  ซึ่งรอนรอนแสงพระสุริยา  อ้างว้างกลางป่าใหญ่  โพล้เพล้ลงรำไรเริ่มสนธยา  แม่หมารีบลงมาตามไหล่เขา  กระทั่งถึงป่าโปร่ง  ตั้งใจจะหาอาหารไปฝากลูกน้อยทั้งสามชีวิต  ซึ่งรอคอยแม่อยู่ในโพรงใต้ซอกเงื้อมหินใหญ่ ณ หน้าผาสูงเสียดแสงดาว

          แต่ถึงคราวเคราะห์ร้าย  บังเอิญแม่หมาป่าพลาดพลั้งขาหลังข้างหนึ่งไปติดกับเหล็กของนายพรานไพรใจฉกรรจ์  นางอกสั่นขวัญหนีตกใจเป็นที่สุด  จึ่งในนาทีอันคับขันนั้น  นางตัดสินใจกัดขาตัวเองจนเข่าขาด  อิสระเสรีหนีไปได้  แต่เจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลตลอดทาง รีบวิ่งเซซังมาหาลูกน้อยในโพรงใต้แท่นหินใหญ่นั้น

          สามลูกหมาป่าดีใจ  รุมล้อมแม่หมา  ขออาหาร  วิ่งเวียนซ้ายเวียนขวา  รุมรอบมารดาด้วยสุดเสน่หาอาลัย  แม่หมาสุดที่จะเจ็บปวดโซเซ  เสียหลักล้มลงก็รีบกลับตัวอยู่ในท่าให้นมลูก  จ้องมองลูกแล้วสลดใจ  เสียงสั่นเครือบอกลูกหมาว่า  "ลูกเอ๋ย  คืนนี้แม่เหนื่อยเหลือเกินแล้ว  ยังหาเหยื่อไม่ได้เลย แต่แม่ยังมีน้ำนมสีแดงเหลืออยู่  ถนอมไว้ให้ลูกทั้งสามเป็นพิเศษ  แต่ต้องผลัดกันดูดดื่มทีละตัวตามลำดับ"

          ลูกหมาป่ายังไร้เดียงสา  ตามประสาสัตว์มันจึงดูดเลือดจากบาดแผลขาหลังตรงเข่าขาดนั้น  ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำนมพิเศษ  เหตุหิวจัดจึงดื่มจนอิ่มทั้งสามชีวิต  กระทั่งแม่หมาสุดอ่อนเพลีย  ชีพจรเต้นช้าลงเพราะสูญเสียเลือดมาก  ลูกหมาตัวสุดท้องถามแม่ว่า  "ทำไมน้ำนมของแม่เป็นสีแดงและปนรสเนื้อหวาน  ลูกไม่เคยกินเลย"

          "ลูกเอ๋ย  นี่แหละน้ำนมมื้อสุดท้าย  ที่แม่สะสมทะนุถนอมไว้ทั้งชีวิต  บัดนี้ถึงเวลาแล้ว  แม่ปรารถนาให้ลูกดื่มสิ้นทั้งหัวใจ"  เสียงแม่หมาค่อย ๆ  แผ่วเบาลง  เมื่อสายเลือดจะเหือดหายหมดไปจากกาย  สั่งลูกว่า

          "เลยสามวันไปแล้ว  ถ้าแม่หลับไม่ตื่นฟื้นขึ้น  ขอให้พวกเจ้าซึ่งอดอยากหิวโหยแทะกินอสุภซากของแม่เป็นอาหาร  รีบเติบโตแข็งแรงรักษาตัวเองให้ได้  สามพี่น้องอย่าทอดทิ้งกัน"  หยุดสักสองสามอึดใจ กล่าวต่อไปว่า  "วิญญาณแม่จะลาเจ้าไปแสวงหาอาหารในดวงเดือน  ถ้าเจ้าระลึกถึงแม่และความรักแท้ของแม่แต่เดิมแล้วไซร้  ให้ลูกไปเรียกแม่ในแจ่มจันทร์จ้า ณ พู้นฟากฟ้าฝั่งฝัน"

          พลันแม่หมาก็สิ้นแรง  ซบสลบไสลขาดใจตาย

          ลูกหมาเห็นแม่นิ่ง  และสิ้นลมหายใจก็หวั่นไหวรู้สึกไปถึงความตาย  ดั่งที่แม่เคยเล่าให้ฟังแต่หนหลัง  ทั้งสามชีวิตวิปโยคโศกเศร้าเป็นที่สุด  แล้วซบกับอสุภซากของมารดา  นิ่งน้ำตาไหลพรากจากทำนบแห่งหัวใจ  ซึ่งพังทลายอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น  อันความสุดที่ทุกข์โศกาดูรนั้นเสมอกันทุกรูปนาม  ไม่เว้นหมู่มนุษย์และสรรพสัตว์

          ล่วงสามทิวาราตรีกว่าแล้ว  สามลูกหมาทนหิวโหยไม่ไหว  นึกถึงคำสั่งของแม่ในวาระสุดท้ายได้  ก็แทะอสุภซากแม่กินต่างอาหาร  จนเติบโตแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้  สามชีวิตก็ยังจดจำคำมั่นสัญญาอาลัยแม่ไม่เคยหลงลืม  จึ่งพร้อมกันไปร่ำไห้  คือหอนอย่างโหยหวนเป็นลำนำเพลงวังเวงอยู่บนเงื้อมผาสูง  ปรารถนาให้คลื่นเสียงของลูกน้อยอันเศร้าสร้อยละห้อยหา  ก้องกังวานฝั่งฟ้าไปถึงมารดา ณ ดวงเดือนดวงดาวกระจายอยู่ระยับระย้าทั่วฟากฟ้า  เพื่อให้ใต้หล้าแลเห็นคุณค่าวิเศษแห่งสุนทรีย์  อันประเสริฐเลิศล้ำนั้นฉันใด

          ในโพรงหินใต้เงื้อมผ่า  คูหาแห่งมารดาแก้วนั้น  อัฏฐิของแม่ก็กระจายอยู่เพื่อเตือนใจสามลูกน้อยให้ละห้อยผูกพันใฝ่ฝันระลึกถึงแต่แม่ไปไม่วางวาย  เมื่อสามลูกน้อยได้มาเห็นกองอัฏฐิของมารดา  ก็ประดุจดั่งเห็นดวงหน้าแม่  และความเป็นไปในหนหลัง  เคยสั่งเสียลูกไว้  ทุกห้องหัวใจหวั่นไหวระลึกถึงคุณค่าน้ำใจของมารดาอันดีงามสุดประเสริฐเลิศล้ำก็ฉันนั้น

          กาลจักรก็เคลื่อนคล้อยโคจรไปนับหลากหลายวันเดือนปี  ทั้งสามชีวิตก็ยังระลึกถึงมารดาอยู่เช่นนั้นเป็นนิจศีล  ยิ่งในวันเดือนเพ็ญ  เช่นวิสาขมาสสมัย  สามชีวิตจะไปหอนโหยหวนขออโหสิกรรมต่อแม่  ที่ลูกได้ล่วงเกินแทะกินซากของมารดาเป็นอาหาร

          ทั้งสามลูกหมามักจะมาจ้องมอง  หอนไปหาแม่หมา ณ ป่าช้าจันทรามหาสถานเป็นประจำอยู่ช้านานเช่นนั้น  จวบจนวันที่สามชีวิตจวนจะจบสิ้นอายุขัย  สามลูกหมาป่านัดกันมาพร้อมใจตาย  ยึดเอาเงื้อมผาของมารดาเป็นป่าช้าจิตกาธาน  ให้แสงพระสุริยา  ทั้งสายฟ้า  สายฝน  ลมบนหมอกเมฆ  และหยาดเหมยหนาว  ช่วยชำระล้างกระดูกจนขาวโพลง  กระจุยกระจาย  ท้าทายแสงเดือนแสงดาว  หนาวเย็นยะเยือกอยู่กลางดึกดื่น ณ ชะง่อนเงื้อมผาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย

          รุกขเทพเจ้าป่า  ผู้เป็นใหญ่ซึ่งสิงสถิตอยู่ในวิมานมิ่งไม้  อันเลอเลิศด้วยสภาวะทิพยนั้น  เล็งเห็นรู้แจ้งสิ้นด้วยกำลังญาณวิเศษ  ก่อนจะเอนกายทิพย์ลงสนิทนิทราลัย  ทรงสมเพชเวทนาเป็นที่ยิ่ง  นิ่งประมวลความรู้สึกสังเวช  หวั่นไหว  ละลายฝากไว้ในยวงหยาดน้ำค้างเป็นสื่อสัญลักษณ์พิเศษ  ซึมหายบอกเล่าให้ทุกเม็ดธุลีทรายดินฟัง  ประดุจดั่งลายสือทิพย์ของภพชาติ  ซ่อนเร้นไว้ในมิติพิเศษแห่งอันตกาล

          ปลงสังเวช  รูปนามนิมิตนั้น  ซึมหายไปกับเม็ดธุลีทรายดินอันประดุจนาฬิกาแก้วของกาลจักร  จะหยดหยาดอำนาจพิเศษแห่งยวงเวลาไว้เตือนแหล่งหล้าฟ้าดินไตร  ท่ามกลางความเป็นไป  อยู่ชั่วนิจนิรันดร ฯ


อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ ปณิธานกวี ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๐๐))


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, ฟองเมฆ, รพีกาญจน์, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, กรกช, เอกราช

บันทึกการเข้า

รวมบทกลอน "ที่นี่เมืองไทย..."
รวมบทกลอน "ร้อยบุปผา"
รวมบทประพันธ์ทั่วไป "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์กลบท "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์ฉันท์ "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
กลอนสุภาษิต-คำพังเพย-สำนวนไทย บ้านกลอนน้อย
ลานอักษร มยุรธุชบูรพา
..

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.123 วินาที กับ 40 คำสั่ง
กำลังโหลด...