Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
หน้า: 1 [2]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ  (อ่าน 2604 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 622



| |
Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
« ตอบ #15 เมื่อ: 08, มิถุนายน, 2568, 01:14:57 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ

นรกภูมิ : ๔.โลกันตะนรก (ว่าด้วยนรกนอกจักรวาล)

กาพย์มหาตุรงคธาวี

    ๑."โลกันตะ".....นรกที่ปะ.....อยู่ระหว่างจักรวาล
ทั้งสามดุจ....บาตรรุดวางพาน....เชื่อมกันแล....เกิดแน่ช่องว่างโลกันฯ
โลกันตะ.....มีมากเกินจะ.....นับคะเนได้ผลัน
ขนาดกว้าง....ขวางได้แปดพัน....ช่องเบื้องบน....หายลฝาปิดเอย

    ๒.ยาว, ลึกชัด......ไม่สามารถวัด.....หรือจัดคาดเดาเผย
เบื้องล่างผอง....น้ำรองรับเคย....เบื้องบนปล่อง....สูงท่องพรหมโลกนา
ไร้วิมาน......เทพเทวาพาน.....บันดาลมืดมนหนา
ไม่เห็นใด....ดุจไซร้หลับตา....โลกันฯชู....เพราะอยู่นอกจักร์วาลแล

    ๓.แสงอาทิตย์......แสงจันทร์ถูกปิด.......ลิดข้ามจักร์วาลแฉ
มืดนิจกาล....แสงฉานมีแท้....ปรากฏการณ์....ห้าพานพระพุทธ์เจ้ามา
แสงรุจี.......หมื่นโลกธาตุรี่.....ยลปรี่ฟ้าแลบหนา
คราวโพธิ์สัตว์....ลงชัดครรภ์นา....พุทธ์มารดา....แสงพาสว่างไกล

    ๔."นิยตะ".......มิจฉาทิฏฯ"ปะ......ผิดละเลยแก้ไข
ด้วยคิดมั่น....สวรรค์นรกไซร้....ไม่มีเอย....เผยพ่อแม่ไร้บุญคุณ
สัตว์ทำชั่ว......หรือทำดีจั่ว......กรรมทั่วไม่แต่งผลุน
ทำดีไร้....บุญไกลอาดุลย์....ทำบาปเห็น....มิเป็นบาปอย่างใดเลย

    ๕.ถือผิดหนา......ตายแล้จะมา......"มหาตานรก"เผย
กรรมมิสิ้น....ตกผินสู่เอย...."อวีจีนรก"....แล้วตกสู่โลกันฯนา
รูปกายเด่น......สูงสามร้อยเส้น......เน้นน่าเกลียดยิ่งหนา
มีเล็บยาว....เกาะพราวอยู่นา....เชิงเขาจักร์วาล....แขวนกรานห้อยตัวอยู่แล

    ๖.สัตว์ไต่มา......พบกันคิดว่า......เป็นอาหารกินแน่
ปลุกปล้ำกัน....พลันตกน้ำแล้....น้ำเย็นเยียบ....แต่เทียบมิคมร้ายเอย
อำนาจกรรม......กลายน้ำกรดนำ.......ถลำย่อยยุ่ยเผย
เหมือนทิ้งแป้ง....ลงแอ่งน้ำเปรย....แต่กายคืน....พลิกฟื้นร้องคร่ำครวญนำ

    ๗.ตะกายมัว....เชิงเขาห้อยตัว......หิวจั่วเจอก็ปล้ำ
ตกน้ำแล้ว....มิแคล้วแหลกถลำ....ทุกข์เวทนา....จนกว่าแผ่นดินประลัย
แผ่นดินนั้น......คราพินาศพลัน......ดั้นไฟ,น้ำ,ลมไส
นิยตมิจฯ....คิดนรกไร้....มิอาจหนี....ไกลลี้โลกันฯได้เลย

    ๘.กรรมชั่วผล.....พายุใหญ่ดล.....หอบพ้นไปทันเผย
สู่จักร์วาล....หาพานดื่นเอย....เพลิงไม่ถึง....มีพึ่งได้แสนโกฏนา
ผู้ก่อกรรม......หยาบสาหัสทำ......ต้องล้ำโลกันฯหนา
เผาเจดีย์....ฟัน,ตีสงฆ์ครา....ชนทั้งผอง....ต้องรับโทษทัณฑ์แน่แล

    ๙.พุทธ์เจ้าไซร้......ตรัสอายุขัย.....ในนรกมิคงแฉ
สัตว์รับทุกข์....อยู่รุกสิ้นแล้....กรรมไม่หมด....ต้องจดขุมอื่นต่อไป
ขุมนรกมี......"สี่ห้าหก"ชี้.....รับคลี่เพียงพอไข
กรรมคือกฏ....กำหนดมีไว้....สิ้นกรรมครบ....ก็จบพ้นนรกพลัน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 622



| |
Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
« ตอบ #16 เมื่อ: 09, มิถุนายน, 2568, 08:06:42 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ

(ต่อหน้า ๒/๒) ๔.โลกันตะนรก

โลกันตะนรก = เป็นขุมนรกอยู่นอกจักรวาล สำหรับผู้ที่กระทำอนันตริยกรรมฝ่ายบาป ๕ อย่าง เป็นกรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด มี ๕ อย่าง คือ (๑) ฆ่าบิดา (๒) ฆ่ามารดา (๓) ฆ่าพระอรหันต์ (๔) ทำให้พระกายพระพุทธเจ้าห้อเลือด (๕) ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน
นอกจากนรกขุมใหญ่ คือ มหานรก, นรกบริวารอย่างอุสสทนรก และนรกบริวารชั้นนอกสุดอย่างยมโลกนรกแล้ว นิรยภูมิยังมีนรกพิเศษอยู่อีกซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ๓ โลกอันได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก เป็นขุมมืดมิดเพราะไม่มีแสงใดส่องไปถึง เรียกว่า “โลกันตนรก” เต็มไปด้วยสัตว์นรกร่างกายใหญ่โต รูปร่างแปลกประหลาด ลอยเคว้งด้วยความหนาวเหน็บอยู่ชั่วนิรันดร์
ปรากฏการณ์ ๕ =จะเกิดขึ้นใน โลกันตนรก มี แสงสว่างส่องไปถึง ดังนี้
(๑) เวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา (๒) เวลาที่พระโพธิสัตว์ออกจากครรภ์พระมารดา (๓) เวลาที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ (๔) เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรม (๕) เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
มิจฉาทิฏฐิ = มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน
(๑) ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล (๒) ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล (๓) ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล (๔) ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี (๕) ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี (๖) ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี (๗) ความเห็นว่า มารดาไม่มี (๘) ความเห็นว่า บิดาไม่มี (๙) ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี (๑๐) ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก
โลกและจักรวาลพินาศ = พระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าถึงยุคที่มนุษย์มีจิตใจตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เกิดภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวมี ๓ รูปแบบ คือ
(๑) เพลิงประลัยกัลป์ = ไฟล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโทสะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีโทสะมาก โลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ที่เผาทำลายโลกมนุษย์ แล้วลุกลามไปยังสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น และรูปพรหมอีก ๓ ชั้น จนมอดไหม้หมดสิ้น
(๒) น้ำประลัยกัลป์ = น้ำล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลราคะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีความโลภมาก มีราคะเกิดขึ้นท่วมท้น ถึงจุดหนึ่งจะเกิดน้ำบรรลัยกัลป์ล้างโลก สามารถทำลายล้างนับตั้งแต่โลกมนุษย์ สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จนถึงรูปพรหมอีก ๖ ชั้นจนหมดสิ้น
(๓) ลมประลัยกัลป์ = ลมล้างโลก มีสาเหตุมาจากกิเลสตระกูลโมหะของมนุษย์ ยุคใดที่มนุษย์มีความลุ่มหลงมัวเมา ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ จะเกิดลมบรรลัยกัลป์ล้างโลก ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างยิ่งกว่าไฟและน้ำ สามารถพัดทำลายโลกมนุษย์ ตลอดจนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จนถึงรูปพรหมอีก ๙ ชั้น จนหมดสิ้น
นิยตมิจฉาทิฐิ = หมายถึงความเห็นผิดอย่างแรงที่ไม่เชื่อในเหตุในผลของเจตนาในการกระทำบุญบาป ทั้งหลายว่า จะต้องมี รวมทั้งปฏิเสธทั้งเหตุและทั้งผล ว่าสักแต่เป็นการกระทำขึ้นเองเฉยๆ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การทำชั่วทั้งหลาย ไม่มีผลเกิดขึ้นเองเป็นต้น
มหาตานรกฯ = มหาตาปนรก  คือ นรกขุมที่ ๗ ของมหานรก ๘ เป็นนรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด มีสัณฐานเป็นหีบเหล็ก ขนาดเท่ากับนรกที่ผ่านมา ประกอบด้วยภูเขาเหล็กสูงใหญ่ นายนิรยบาลคอยไล่ทิ่มแทง ต้อนให้ขึ้นเขา ที่ยอดเขามีลมนรกเป็นพายุใหญ่พัดสัตว์นรกตกลงมา ไม่ทันถึงดินก็มีหลาวเหล็กเท่าลำตาลคอยรับ เสียบกายแต่หัวถึงทวารหนัก แต่ละคนถูกเสียบ ๒,๓,๔,๕ เล่ม ทุกเล่มมีเปลวเพลิงมิเหือด เผาเนื้อเผาเลือดในตัว และยังมีเพลิงจากแผ่นดินเหล็ก นอกกายอีก ทั้งเพลิงนอก-ในกายบรรจบกัน สัตว์นรกในมหาตาปนรก จะทนทุกขเวทนาเป็นเวลานาน กึ่งอันตรกัป (หนึ่งอันตรกัป เท่ากับ จำเดิมมนุษย์อายุ ๑๐ ปี และอายุเจริญขึ้น อสงไขย(อสงไขยปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว) แล้วมีความประมาท จนอายุถอยลงเหลือ ๑๐ ปี เวลาเท่านี้เรียก อันตรกัป ๑ สัตว์นรกเหล่านี้ ต้องเสวยกรรม เพราะปางก่อน เป็นพญา เป็นอำมาตย์บ้าง มีจิตร้ายหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสียบสัตว์เป็นด้วยหลาวเหล็ก; ยกสัตว์ทุ่มเข้ากองเพลิง บางทีมัดย่างตากแดดให้ตาย กระทำหยาบช้าหาความกรุณามิได้ จึงต้องทนทุกข์เพราะหลาวเหล็ก; ผู้มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบต้องทนทุกข์ในมหาตาปนรก พ้นจากนี้ ถ้าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ก็ตกลึกลงถึงอเวจีนรก ทนทุกข์ต่อตกลงถึงโลกันตนรก มิอาจยกตนขึ้นจากนรกได้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 622



| |
Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
« ตอบ #17 เมื่อ: 30, มิถุนายน, 2568, 07:55:34 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
นรกภูมิ : ๕.เมื่อทำบาปจะได้รับผลอะไร

กาพย์ตุรงคธาวี

    ๑.ธรรมดา......มนุษย์ทราบนา.......ไหนคว้าดี,ชั่วแฉ
แม้ไม่มี....ใครรี่มาสอนแล....แตกต่างสัตว์....เห็นชัดไม่รู้เลย
ด้วยมนุษย์......จิตสำนึกรุด......ประทุษมิดีเผย
ผู้ถูกทำ....กระหน่ำโกรธแค้นเอย....พลอยอาฆาต....มุ่งมาดร้ายเราจริง

    ๒.เพราะสันดาน......เห็นแก่ตัวขาน......จะพานยึดตนยิ่ง
ทำบ่อยเข้า....ชอบเฝ้าทำชั่วดิ่ง....หาประโยชน์....ลืมโลดทำชั่วมัว
ทำบาปใด......แย้งชั่วดีไซร้.....จิตไวก้ำกึ่งกลัว
ทุกข์สะสม....บ่มในสันดานชั่ว....เศร้าหมองใจ....จิตไม่แจ่มใสเอย

    ๓.ขาดแจ่มใส......จะเกิดผลไซร้......ชีพไหวแปรเปลี่ยนเผย
ครานอนหลับ....กลับฝันร้ายทุกข์เอ่ย....ตื่นมาแล้ว....ต้องแคล้วจากสุขแล
อารมณ์เสีย......ถูกขัดใจเพลีย......พลาดเปลี้ยสิ่งรักแฉ
มิสามารถ....ยาตรตามเหตุผลแล้....ทาสเสพติด....ประชิดได้ง่ายนา

    ๔.คราเจ็บป่วย......กังวลกลัวม้วย......งงงวยอ่อนแอหนา
เจ้าอารมณ์....คิดซมซ้ำซากแล้....ระงับจิต....เลิกคิดมิได้เลย
คราวใกล้ตาย......."สุข"มิเฉียดกราย......ทุรายทุรนเผย
เพราะมักนึก....เวียนตรึกทำบาปเคย....ทำร้ายเขา....จึงเฝ้าทุกข์ระทม

    ๕.เพราะเหตุใด.......จึงทำบาปไป.......ทั้งใจรู้เลวขม
คนพาลนั้น....มีปัญญาทรามซม....ทำบาปอยู่...."ไม่รู้"วิบากกรรม
ทำบาปแล้ว.......จะมีผลใดแคล่ว.....แน่แน่วร้ายแรงหนำ
เขาทำบาป....ร้อนนาบไฟเผานำ....ตายแล้วตก....ไฟนรกเผาไหม้แล

    ๖.คนพาลคือ......ผิดศีลห้าลือ.....สิบชื่อ"อกุศลฯ"แฉ
"กายทุจริต"....ผิด"มโนฯ"สามแล้...."วจีฯ"สี่....พฤติรี่ทำบาปยง
บาปกรรมนั้น......มิให้ผลพลัน.....ยังดั้นรอก่อนบ่ง
คล้ายนมโค....โผล่เป็นนมเปรี้ยวส่ง....ใช้เวลา....จึงมาเปลี่ยนสภาพนา

    ๗.บาปกรรมทำ......ต้องให้ผลนำ.......ขอย้ำแน่นอนหนา
เขายังคง....ดำรงชีพสุขมา....เพราะอาศัย....กรรมในชาติก่อนไกล
เมื่อใดตาย......กายแตกแหลกวาย......อบายแน่นอนไข
ครานี้บ่ง....บาปส่งผลตามไว....เฝ้าผลาญเขา....ไหม้เผาเนื้อหนังเอย

    ๘.บาปชาตินี้......แม้ทำมากปรี่......แต่ชี้ผลน้อยเผย
เพราะขันธ์ห้า....มาด้วยกรรมดีเคย....จากชาติก่อน....จะป้อนคุ้มครองกาย
คราวตายมา......กรรมชาตินี้หนา.....พาสู่นรก,เปรตผาย
แล้วบาปนั้น....ตามทันมิได้คลาย....คอยเผาผลาญ....ทรมานไหม้แล

    ๙.พุทธ์เจ้าตรัส......'ถ้าบาปทำซัด......ผลชัดทันทีแฉ
ไม่มีใคร....กล้าไซร้ทำบาปแน่'....เมื่อทำบาป....รอตราบให้ผลนา
ความเรื่องนี้......พึงระวังรี่......ไม่ปรี่เผลอทำหนา
เหนี่ยวรั้งตน....พฤติพ้นชั่วช้าพา....ทั้งกาย,ใจ....วจีไซร้ต้องงาม

    ๑๐.โลกนี้เป็น......นรก,สวรรค์เด่น.....เรียกเน้นสองแหล่งผลาม
อีกโลกหน้า...."โอปปาฯ"ก็มีคาม....นรก,สวรรค์....ครันแท้จริงแน่เอย
พุทธ์เจ้ากล่าว.....ทรงเห็นนรกพราว......ชาวสวรรค์หลายเผย
สองแหล่งชู....เชื่อมอยู่ที่ต่อเอย...."อายตนะ"....ปะหกมนุษย์นา

       ๑๑.ตา,หู,ลิ้น.......จมูก,กาย,ใจสิ้น.......ชินสุขสววรค์หนา
ตา,ลิ้น,หู....จมูก,พรูกายพา....ใจเป็นทุกข์....เรียกรุกนรกแล
คุมหกทัน........อย่าก่อนรกดั้น.......อย่าให้มันเหนือแน่
อิทธิพล....หกพ้นเลิกเสียแล้....นรก,สวรรค์....พลันไร้ก็นิพพาน

    ๑๒.นรกนั้น.......มีแต่ทุกข์ดั้น......พลันไร้โอกาสขาน
พฤติพรหม์จรรย์....สวรรค์สุขสราญ....ทุกข์ไม่มี....ยินดีสนุกไว
จึงบำเพ็ญ.......พรหม์จรรย์มิเด่น.......เช่นโลกมนุษย์ไข
มีทั้งทุกข์....และสุขระคนไป....กัมมัฏฐาน....พานเหมาะสมยิ่งเลอ


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 622



| |
Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ
« ตอบ #18 เมื่อ: 30, มิถุนายน, 2568, 01:12:23 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: นรกภูมิ : ๑.มหานรก ๘ ขุม ~ ร่ายสุภาพ

(ต่อหน้า ๒/๒) ๕.เมื่อทำบาปจะได้รับผลอะไร

    ๑๓.ผู้เป็นคน......"มิจฉาทิฏฯ"ล้น......ทำพ้นบาปเสมอ
แต่ไม่เห็น...คิดเด่นบุญบาปเจอ....มิมีครอง....ผลของกรรมมิมี
"โอปปาฯ"ไซร้......สัตว์ผุดขึ้นไว.....ก็ไม่ปรากฏปรี่
เขาไม่เห็น....โทษเด่นของตนรี่....มีบาปกรรม....เศร้านำในใจตน

    ๑๔.ก่อบาปชิน.....เพราะศีลห้าวิ่น......ใจชินเศร้าหมองผล
ใจหาสงบ....ทุกข์พบบ่อยบัดดล....ไม่รู้สึก....ยังตรึกทุจริตแล
ยึดทุจริต......กาย,ใจ,วจีชิด.....ปิดโทษ,เลวทรามแฉ
ไม่รู้เศร้า....เขลาอกุศลธรรมแล้....ไม่เห็นคุณ....อดุลย์กุศลธรรม ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : นรก - สวรรค์ (ภาคนรก) พร รัตนสุวรรณ สำนักค้นคว้าทางวิญาณ พ.ศ. ๒๕๓๑

วิบากกรรม = คิอ ผลของกรรมชั่ว และ กรรมดี ที่ได้ทำไว้
อกุศลฯ = อกุศลกรรมบท ๑๐ คือ  กายทุจริต ๓, วจีทุจริต ๔, มโนทุจริต ๓ คือ
กายทุจริต ๓ :
(๑) ปาณาติบาต - การยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป
(๒) อทินนาทาน - การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
(๓) กาเมสุมิจฉาจาร    - การประพฤติผิดในกาม
วจีทุจริต ๔ :
(๔) มุสาวาท - พูดเท็จ
(๕) ปิสุณาวาจา - พูดส่อเสียด
(๖) ผรุสวาจา -  พูดคำหยาบ
(๗) สัมผัปปลาป - พูดเพ้อเจ้อ
มโนทุจริต ๓ :
(๘) อภิชฌา - ความโลภอยากได้ของเขา
(๙) พยาบาท - ความปองร้ายเขา
(๑๐) มิจฉาทิฏฐิ - ความเห็นผิด
กุศลกรรมบถ ๑๐ = อย่าง คือ  กายสุจริต ๓, วจีสุจริต ๔, มโนสุจริต ๓ คือ
กายสุจริต ๓ :
(๑) ปาณาติปาตา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการฆ่าสัตว์
(๒) อทินนาทานา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
(๓) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี  - เจตนาเครื่องเว้น จากการประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต ๔ :
(๔) มุสาวาทา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเท็จ
(๕) ปิสุณาย วาจาย เวรมณี -  เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดส่อเสียด
(๖) ผรุสาย วาจาย เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดคำหยาบ
(๗) สัมผัปปลาปา เวรมณี - เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ
มโนสุจริต ๓ :
(๘) อนภิชฌา - ความไม่โลภอยากได้ของเขา
(๙) อัพยาบาท - ความไม่ปองร้ายเขา
(๑๐) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ
อบาย ๔ = ภูมิที่หาความสุขได้ยาก ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และ ดิรัจฉาน
ขันธ์ ๕ = ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ
อายตนะ ๖ = คือ อายตนะ ภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มิจฉาทิฏฯ = มิจฉาทิฏฐิ  ๑๐ ความเห็นผิดเป็นไฉน
(๑) ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล (๒) ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล (๓) ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล (๔) ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี (๕) ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี (๖) ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี (๗) ความเห็นว่า มารดาไม่มี (๘) ความเห็นว่า บิดาไม่มี (๙) ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี (๑๐) ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก
กัมมัฏฐาน = คือ วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ
(๑) สมถกัมมัฏฐาน - อุบายสงบใจ
(๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน - อุบายเรืองปัญญา
โอปปาฯ = โอปปาติกะ คือ ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 [2]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.38 วินาที กับ 65 คำสั่ง
กำลังโหลด...