Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 11291 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5035
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #75 เมื่อ: วันนี้ เวลา 02:27:18 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๗) ๕.วิภังค์

(๓) เวทนา = ไม่เป็นอัตตาของเราเลย
จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
เขาจะถูกซักอย่างนี้ว่า เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมด ไม่เหลืองเศษ เมื่อเวทนาไม่มีเพราะดับแล้ว ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว
เหตุนี้ จึงยังไม่ควรจะเห็นว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
คราวใดภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอย่างนี้ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน
การเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
๑) พิจารณา"เห็นกายในกาย"อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
(๒) พิจารณาเห็น"เวทนาในเวทนา"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๓) พิจารณาเห็น"จิตในจิต"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๔) พิจารณาเห็น"ธรรมใน ธรรม"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
ภิกษุเห็น = เวทนาในเวทนา อยู่อย่างไรเล่า
(๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา
(๒) เสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
(๓) เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
(๔) หรือเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส
(๕) หรือเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
(๖) หรือเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
(๗) หรือเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
(๘) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
(๙) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือความเสื่อมในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้างอยู่
อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่แค่ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้วและไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
ดับผัสสะ เวทนาดับ = คือ
ถ้าสงฆ์มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ เมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น ย่อมรู้ว่า สุขเวทนานั้น อาศัยกาย/ผัสสะนี้เอง ซึ่งกาย/ผัสสะนี้ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้
(๑) สุขเวทนาซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ได้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป, คลายไป, ความดับไป, ความสละคืนในผัสสะและในสุขเวทนาอยู่ ย่อมละราคานุสัยในผัสสะและในสุขเวทนาเสียได้
(๒) ทุกขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
(๓) อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
ภิกษุผู้ไม่มีราคานุสัย = คือผู้
(๑) ละราคานุสัยใน สุขเวทนา
จากภิกษุผู้เสวยสุขเวทนาไม่รู้สึกตัวอยู่ มีปรกติไม่เห็นธรรมเป็นเครื่องสลัดออก
(๒) ละปฏิฆานุสัยใน ทุกขเวทนา
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เสวยทุกขเวทนา ไม่รู้สึกตัว ฯลฯ
(๓) ละอวิชชานุสัยใน อทุกขมสุขเวทนา บุคคลเพลิดเพลิน อทุกขมสุขเวทนาอยู่ อันพระพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์เลย
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีราคานุสัย, มีความเห็นชอบ, ตัดตัณหาได้เด็ดขาด, เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว, ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ
เพราะเหตุที่ภิกษุผู้มีความเพียรละทิ้งเสียได้ด้วยสัมปชัญญะ เชื่อว่าเป็นบัณฑิต ย่อมกำหนดรู้เวทนาทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้เวทนาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในธรรมถึงที่สุด เมื่อตายไป ย่อมไม่เข้าถึงความเป็นผู้กำหนัด ขัดเคือง เป็นผู้หลง ดังนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.401 วินาที กับ 23 คำสั่ง
กำลังโหลด...