(ต่อหน้า ๑๑/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๒๓๐."วิญญาณ"ปัจจัย......ก่อเกิด"นาม"ไซร้......สร้างจิต,ชีพกราน
"นาม,เจตสิก"หนา....อายะฯหกมาน....ด้วยมีพึ่งพาน....เกิดร่วมกันมา
๒๓๑."มนาฯหก"สิเหตุชัด..............................ปะทะผัสสะเกิดหนา
ใจธรรมะรมณ์และภวกล้า................................มโนวิญญ์ฯกระทบแล
๒๓๒."ผัสสะ"กระทบ........ก่อ"เวทนา"จบ......รู้สุข,ทุกข์แฉ
"เวทนา"รู้สึก....นึกยินดึแล้....อยากได้อีกแท้....เกิด"ตัณหา"พาน
๒๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพฤติ.....................ประลุยึดอุปาทาน
ด้วยมีอุปาฯจะหิตะฉาน....................................จะก่อ"ภพ"เพราะยึดคง
๒๓๔."ภพ"เป็นเหตุมี........ดำรงอยู่ชี้........"ชาติ"มีตามบ่ง
"ชาติ"เป็นเหตุหนา....ชรา,มรณะส่ง....ความเสื่อมทุกข์ตรง....ตามธรรมชาติกลาย
๒๓๕.สิทุกข์สิ้นกุเกิดนี้..................................ดุจะชี้ลุความฉาย
สังขารซิมูลเสาะอธิบาย....................................ก็ทุกสิ่งเจาะทุกข์เข็ญ
๒๓๖.ปัจจยาการ.........หรือปฏิจจ์สมุปฯขาน........แจงความจริงเด่น
ตามเหตุปัจจัย....ในธรรมชาติเน้น....แจ้งเหตุทุกข์เป็น....ทางดับทุกข์แล ฯ|ะ
แสงประภัสสร
ที่มา : มจร. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์
https://share.google/kbChnYRRrpQ96ZrRGปฏิจจสมุปบาท = หรือ ปัจจยาการ ๑๒ - การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น
(๑/๒) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา = เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
อวิชชา - ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา ๘ , อวิชชา ๔
(๓) สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ = เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๒ หรือ อภิสังขาร ๓
(๔) วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ = เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
วิญญาณ - ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖
(๕) นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ = เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
นามรูป - นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๖) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส = เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
สฬายตนะ อายตนะ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๗) ผสฺสปจฺจยา เวทนา = เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
ผัสสะ - ความกระทบ ได้แก่ สัมผัส ๖
(๘) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา = เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๙) ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ = เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
ตัณหา - ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๑๐) อุปาทานปจฺจยา ภโว = เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
อุปาทาน - ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
(๑๑) ภวปจฺจยา ชาติ = เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
ภพ - ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร ๓) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ
(๑๒) ชาติปจฺจยา ชรามรณํ = เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
ชาติ - ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
ชรามรณะ - ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
~โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ = ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
~เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ = ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์ = แจง ปัจจยาการ ๑๒
(๑/๒) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๑) อวิชชา = เป็นไฉน ไม่รู้อริยสัจ ๔ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา
~เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี