บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ตั้งพระยาจักรีมอญ -
พม่ามารุกรบด้านตะวันตก ไทยสะทกสะท้านจนขวัญหนี ขุนศึกแกร่งกล้าเข้มน้อยเต็มที เรียกจักรีจากเหนือช่วยเหลือพลัน |
อภิปราย ขยายความ ............
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินเสร็จศึกเชียงใหม่เสด็จกลับกรุงธนบุรี ทรงแวะเมืองระแหง นมัสการประพุทธปฏิมา ณ วัดกลาง วัดดอยเขาแก้ว แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องลงตามล้ำปิง ออกสู่เจ้าพระยาลงถึงกรุงธนบุรี ในเวลาเดินทาง ๕ วันเต็ม วันนี้มาดูความตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อครับ
 * ฝ่ายพระเจ้ามังระเจ้าแผ่นดินกรุงอังวะนั้น เสด็จลงมาเมืองย่างกุ้งเพื่อทำการยกฉัตรยอดพระมหาเจดีย์เกศธาตุ ทางกรุงวะก็เกิดความวุ่นวายขึ้น โดย พระยาหงสาวดี พระยาอุปราชา กับตละเกิ้งและรามัญทั้งปวงที่ถูกกวาดต้อนขึ้นไปในคราวที่พม่าตีเมืองหงสาวดีได้สมัยพระเจ้ามังลอง เมื่อเห็นว่าพระเจ้ามังระไม่อยู่กรุงอังวะ จึงคบคิดกันเป็นบกฏจะยกเข้าปล้นเอาเมือง แต่เสนาบดีผู้อยู่รักษาเมืองจับกุมตัวไว้ได้ทั้งหมดแล้วบอกลงมาให้พระเจ้ามังระทรงทราบ พระเจ้าอังวะจึงให้มีหนังสือตอบขึ้นไปว่า จงประหารชีวิตพระยาหงสา พระยาอุปราชาและตละเกิ้งสมิงรามัญตัวนายผู้ร่วมคิดกันเป็นกบฏนั้นเสียให้สิ้น แล้วให้ข้าหลวงมาเร่งกองทัพอะแซหวุ่นกี้ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองเมาะตะมะให้ยกตามมอญกบฏเข้าไปตีเมืองไทยให้ได้
 อะแซหวุ่นกี้จึงให้งุยอคุงหวุ่นเป็นแม่กองทัพหน้า กับอุตมสิงหจอจัว ๑ ปคันเลชู ๑ เมี้ยนหวุ่น ๑ อคุงหวุ่นมุงโยะ ๑ เนมโยแมงละนรทา ๑ ยุยยองโบ่ ๑ ถือพลห้าพันยกล่วงหน้ามาก่อน ให้ตะแคงมรหน่องเชื้อวงศ์พระเจ้าอังวะ กับหม่องจ่ายิด ถือพลสามพันอีกทัพหนึ่งยกหนุนมา กองหน้าพม่ายกตามครัวมอญมา เข้าตีกองทัพไทยซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ท่าดินแดงนั้นแตก พระยายมราชแม่ทัพถอยลงมาแล้วบอกเข้ามากราบทูลว่า พม่ายกทัพใหญ่มาเหลือกำลังต้านทานต่อรบ ขอพระราชทานกองทัพเพิ่มเติมขึ้นไปช่วย พระเจ้าตากสินจึงดำรัสให้พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ยกับพระยาธิเบศบดีเป็นแม่ทัพถือพล ๓,๐๐๐ ยกไปตั้งค่าย ณ เมืองราชบุรี
 พระยายมราชบอกลงมาอีกว่า พระยาอภัยรณฤทธิ์ ๑ พระยาเพชรบุรี ๑ หลวงสมบัติบาล ๑ หลวงสำแดงฤทธา ๑ ทั้งสี่นายแตกพม่าเข้ามา แต่พระยาสุนทรพิพิธ ๑ หลวงรักษามนเทียร ๑ พระยาสุพรรณบุรี ๑ พระยากาญจนบุรี ๑ พระยานครไชยศรี ๑ ทั้งห้านายนี้ยังไม่พบตัว จึงดำรัสให้จับเอาบุตรภรรยามาจำไว้ ให้เจ้าตัวทำราชการแก้ตัว ส่งไปเข้ากองพระเจ้าลูกเธอพระเองเจ้าจุ้ยและพระยาธิเบศบดี แล้วดำรัสให้พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ถือพล ๑,๐๐๐ ยกไปช่วยพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ย
 * ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๓ เวลาเช้าเสด็จลงพระตำหนักแพ ให้เรือตำรวจขึ้นไปเร่งกองทัพซึ่งกลับจากเชียงใหม่ยังล้าหลังอยู่มาไม่ทันนั้นจงรีบเร่งลงมาโดยเร็วอย่าให้ใครแวะเข้าบ้านเป็นอันขาด ใครแวะเข้าบ้านจะประหารชีวิตเสีย เรือท้าวพระยาพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการทั้งปวงนั้นก็รีบเร่งลงมาถึงหน้าพระตำหนักแพ พอกราบถวายบังคมลาแล้วก็โบกพระหัตถ์สั่งให้รีบออกไปเมืองราชบุรี ขณะนั้นพระเทพโยธาจอดเรือแวะขึ้นบ้าน ตำรวจลงมากราบทูลก็ทรงพระโกรธมาก รับสั่งให้ตำรวจรีบไปเอาตัวมาในทันใด ดำรัสให้เอาตัวพระเทพโยธาขึ้นมัดไว้กับเสาพระตำหนักแพ ทรงถอดพระแสงดาบออกจากฝักฟันพระเทพโยธาบนพระตำหนักแพจนศีรษะขาดตกลงแล้วให้ตำรวจนำศีรษะไปเสียบประจานไว้ที่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ และศพนั้นโยนลงน้ำทิ้งไป ประกาศอย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่างสืบไป
 * พวกรามัญที่หนีพม่ามานั้นคือ พระยาเจ่ง ตละเสี้ยง ตละเก็บ กับพระยากลางเมือง คนเหล่านี้หนีเข้ามาแต่ครั้งกรุงเก่า เมื่อพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกแล้วนำตัวกลับไป และมีโอกาสหนีเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีอีกครั้ง พระเจ้าตากสินทรงให้ข้าหลวงไปรับสมิงรามัญไพร่นายทั้งปวงที่พาครัวเข้ามาทุกด่านทุกทิศทางเข้ามาถึงพระนครแล้ว ทรงพระกรุณาให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองนนท์บ้าง เมืองสามโคกบ้าง คัดเลือกชายฉกรรจ์ได้สามพันคน โปรดตั้งหลวงบำเรอภักดิ์ เชื้อรามัญครั้งกรุงเก่าให้เป็นพระยารามัญวงศ์ เรียกว่าจักรีมอญ ควบคุมกองมอญทั้งสิ้น และโปรดให้พระราชทานตราภูมคุ้มห้ามสรรพากรขนอนตลาดทั้งปวง ให้ค้าขายทำมาหากินเป็นสุข แล้วให้เกณฑ์พระยารามัญวงศ์คุมกองมอญยกหนุนออกไปต่อรบพม่าอีกทัพหนึ่ง แล้วโปรดให้มีตราขึ้นไปหากองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองตะวันออกทั้งปวง ให้เร่งรีบยกลงมาช่วยราชการสงคราม
 * เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ซึ่งอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่นั้น ทราบจากพระยาเชียงใหม่ พระยานครลำปางว่า พระยาน่านยังมิได้เข้าสวามิภักดิ์ จึงให้พระยาอุปราชเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปางกับขุนนางข้าหลวงไทยไปเจรจาเกลี้ยกล่อมพระยาน่านแต่โดยดี พระยาน่านก็ยอมสวามิภักดิ์ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแล้วแต่งขุนนางสองนายลงไปเข้าเฝ้าด้วย พอข้าหลวงถือตราขึ้นไปหากองทัพกลับและเกณฑ์หัวเมืองทั้งปวง เจ้าพระยาจักรี และท้าวพระยาพระหัวเมืองทั้งหลายก็จัดแจงทัพทุก ๆ หัวเมืองยกลงมาตามพระราชดำรัสให้หานั้น
 ฝ่ายกองทัพพม่านั้นก็ยกแยกกันไป เที่ยวไล่จับผู้คนครอบครัว ณ แขวงเมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครไชยศรี เมืองสุพรรณบุรี ทุกบ้านทุกตำบล ณ วันอังคารแรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ กรมการเมืองนครไชยศรีบอกเข้ามากราบทูลว่า ตำรวจที่ถือหนังสือท้องตราพระราชสีห์ไปเมืองสุพรรณบุรีนั้น ไปถึงตำบลบ้านภูม พบทหารพม่าสามสิบคนควบม้าไล่ก็วิ่งหนีจนกะทอผ้าที่ใส่หนังสือท้องตรานั้นตกหาย พม่าเข้าล้อมบ้านภูมไว้ นายพูน นายสา นายแก่น หนีมาได้ แต่นายพรหมนั้นหายไป พระเจ้าตากสินจึงให้พระยาพิชัยไอสวรรย์ ว่าที่กรมท่า ยกกองทัพพลพันหนึ่งไปเมืองนครไชยศรีเพื่อตีทัพพม่าที่ยกมานั้น”
 * เรื่องราวในการศึกสงครามเริ่มเข้มข้นมากขึ้นแล้ว กองทัพพม่าแกร่งกล้ากว่ากองทัพไทย ด่านท่าดินแดงถูกพม่าตีแตกได้โดยง่าย เพราะขุนศึกผู้เข้มแข็งของกรุงธนบุรีมีน้อยนัก แม้จะได้กองกำลังจากชาวรามัญมาเพิ่มกำลังทัพ ทรงตั้งให้หลวงบำเรอภักดิ์หัวหน้ากลุ่มรามัญเป็นพระยารามัญวงศ์ หรือ พระยาจักรีมอญ แล้วก็ยังไม่ทำให้กองทัพไทยแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานทัพพม่าได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงเรียกเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ที่ตั้งกองกำลังรักษาราชการอยู่ ณ เชียงใหม่นั้น ให้เร่งจัดกำลังทัพจากเมืองเหนือรีบยกกลับลงมาช่วยเป็นการด่วน
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ตามอ่านกันวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๖ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, กลอน123, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ล้อมค่ายพม่าบีบให้จำนน -
ยกทัพหลวงออกรบสมทบทัพ ตั้งค่ายรับปัจจาพม่ามั่น รายล้อมค่ายนางแก้ววางแนวกัน เส้นทางตันขาดเสบียงเสี่ยงอดตาย
ไม่ให้ตีมิให้ยิงนิ่งรอจับ เพียงวางกับดักมันผู้ขวัญหาย เมื่อทั้งหมดอดอยากอย่างมากมาย ทั้งไพร่นายคงพร้อมยอมจำนน |
อภิปราย ขยายความ...................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงถึงความที่พระเจ้ามังระให้อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพเข้าตีไทยทางด้านตะวันตกกรุงธนบุรี ทัพพม่าตีด่านท่าดินแดงแตกแล้วก็แยกย้ายกันเที่ยวไล่จับผู้คนครอบครัวไทยแขวงเมืองกาญจนบุรี ราชบุรี นครชัยศรี สุพรรณบุรี เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบอกเล่าไว้ต่อไปครับ
 * “ทัพพม่ายกมาทางเมืองกาญจนบุรีตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ ปากแพรก แบ่งทัพมาสามพันเศษ ยกเข้าตั้งค่ายอยู่ที่บ้านนางแก้ว แขวงเมืองราชบุรีสามค่าย พระยายมราชซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงนั้นถูกพม่าตีแตกก็เลิกถอยเข้ามา พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้าจุ้ย) กับพระยาธิเบศบดีจึงให้หลวงมหาเทพเป็นกองหน้าคุมพลพันหนึ่งยกไปตั้งค่ายประชิดโอบค่ายพม่าด้านตะวันตก ทัพพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ก็ยกพลพันหนึ่งไปตั้งค่ายประชิดด้านตะวันออก พระเจ้าลูกเธอกับพระยาธิเบศบดีตั้งค่ายมั่นอยู่ที่โคกกระต่าย แล้วบอกข้อราชการเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ
 ณ วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ได้มหาพิชัยฤกษ์ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งกราบยาวสิบสามวา พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นอันมาก เสด็จยกพยุหยาตรานาวาทัพพลโยธาแปดพันแปดร้อยเศษ จากกรุงธนบุรีโดยทางชลมารคไปหยุดประทับ ณ เมืองสาครบุรีคอยน้ำขึ้น เพลาค่ำห้าทุ่มจึงเคลื่อนกองทัพไป เพลารุ่งขึ้นเช้าเข้าที่เสวย ณ วัดกลางค่ายบางกุ้ง
 เพลาบ่ายโมงเศษเสด็จถึงค่ายมั่นเมืองราชบุรี ดำรัสให้พระยาวิจิตรนาวี ไปสืบข่าวราชการที่ค่ายบ้านนางแก้ว แล้วเกณฑ์ท้าวพระยานายทัพนายกองพลทหาร หนุนเพิ่มเติมไปล้อมค่ายอีกเป็นหลายทัพหลายกอง
 * ฝ่ายตะแคงมรหน่องยกกองทัพพลสามพันติดตามทัพพระยายมราชเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรก อะแซหวุ่นกี้ก็เกณฑ์กองทัพพม่ารามัญหนุนเพิ่มเติมมาอีกพันหนึ่ง พระยายมราชถอยทัพมาตั้งค่ายอยู่ ณ ดงรังหนองขาว พระเจ้าตากสินจึงให้พระยาสีหราชเดโช กับพระยาอินทรวิชิตเจ้าเมืองวิเศษชัยชาญถือพลสองพัน ยกหนุนไปช่วยกองทัพพระยายมราช
 วันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ พระยาวิจิตรนาวีซึ่งไปสืบราชการ ณ ค่ายบ้านนางแก้วนั้นกลับมากราบทูลว่า พม่าประมาทฝีมือไทย นิ่งให้ตั้งค่ายล้อมมิได้ออกรบพุ่ง ให้ร้องถามออกมาเป็นภาษาไทยว่า ตั้งค่ายมั่นแล้วหรือยัง ฝ่ายข้างเราร้องบอกไปว่ายังไม่ตั้งมั่น แต่บัดนี้ไทยได้ตั้งค่ายล้อมค่ายพม่าไว้รอบแล้ว ครั้นค่ำลงเพลาสามยามเศษจึงเสด็จพยุหโยธาทัพจากค่ายเมืองราชบุรีไปทางวัดอรัญญิก ประทับ ณ พลับพลาค่ายวัดเขาพระ คอยฟังข่าวราชการอยู่ที่นั่น และพม่ายังหาได้ยกออกตีค่ายไทยไม่ นิ่งให้ล้อมด้วยจิตคิดประมาทว่าไทยฝีมืออ่อน จะออกตีเมื่อไรก็จะแตกเมื่อนั้น จะได้จับผู้คนได้มาก ฝ่ายทัพไทยก็ตั้งค่ายล้อมไว้ถึงสามชั้น
 วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ เพลาเช้า สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จพระราชดำเนินพยุหยาตราทัพไปทอดพระเนตรถึงค่ายล้อม พระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) หลวงบำเรอภักดิ์ หลวงราชเสนามาเฝ้า จึงดำรัสให้ไปตั้งค่ายรักษาหนองน้ำที่เขาชะงุ้มไว้
 ในวันเดียวกันนั้นขุนปลัดเมืองราชบุรีบอกเข้ามากราบทูลว่า พม่ายกเข้ามาทางประตูสามบ้าน ด่านเจ้าขว้าว จับชาวด่านไปสองคนแล้วจะยกกลับไปหรือจะตั้งอยู่ประการใดยังไม่ทราบ จึงดำรัสสั่งให้พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้าจุ้ย) กับกองทัพจีนพระยาราชาเศรษฐี (พระยาพิพิธ) ยกลงไปรักษาค่ายเมืองราชบุรี แล้วให้รื้อค่ายเปล่าลงไปตั้งริมน้ำให้สิ้น แล้วให้ปักขวากหนามไว้มาก ๆ และให้กองเจ้าพระยาอินทรอภัยยกไปรักษาสระน้ำเขาชั่วพรานตั้งค่ายอยู่สามค่าย
 ค่ำวันนั้นพม่ายกออกตีค่ายเจ้าพระยาอินทรอภัยถึงสามครั้ง ได้รบกันเป็นสามารถและพม่าก็แตกถอยไปทุกครั้ง ฝ่ายไทยจับพม่าเป็นได้สามคน ที่บาดเจ็บหนีรอดไปได้เป็นอันมาก จึงบอกข้อราชการและส่งพม่ามาถวาย เมื่อทรงทราบดังนั้นจึงให้เตรียมพลทหารจะเสด็จไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัยด้วยพระองค์เอง แต่พระยาเทพอรชุนและหลวงดำเกิงรณภพกราบบังคมทูลห้ามไว้ โดยขออาสาจะยกไปเอง
 * รุ่งขึ้นจึงดำรัสให้เกณฑ์ทหารกองในกองนอกและกองอาจารย์กองทนายเลือก ได้ ๗๔๕ คน ให้พระยาเทพอรชุน หลวงดำเกิงรณภพ ยกเป็นกองโจรไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัย แล้วทรงให้ถามเชลยพม่าได้ความว่านายทัพที่ยกมาตีค่ายสระน้ำนั้นชื่อเนมโยแมงละนรทา ถือพลพันหนึ่ง ที่ค่ายบ้านนางแก้วนั้นนายทัพชื่องุยอคุงหวุ่น ถือพลสองพันเศษ ที่ค่ายปากแพรกนั้นนายทัพชื่อตะแคงมรหน่อง เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าอังวะ กับหม่องจ่ายิด ถือพลสามพันเศษ และยังมีทัพหนุนมาอีกเป็นอันมาก ส่วนทางทวายนั้นก็ยกมาอีกทัพหนึ่ง ไม่ทราบว่านายทัพชื่ออะไร
 ทรงทราบดังนั้น จึงให้พระณรงค์วิชิตไปตัดเอาศีรษะพม่าผู้ที่ถูกปืนตาย ณ ค่ายเขาชั่วพราน ไปเสียบไว้หน้าค่าย ประชิดให้รอบ แล้วสั่งให้ประกาศนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ห้ามนายทัพนายกองที่ตั้งล้อมมิให้เข้าตีค่ายพม่า แต่ให้ตั้งล้อมไว้ให้จงมั่น ถ้าพม่ายกออกจากค่ายก็ให้รบพุ่งดันให้ถอยกลับอย่างเดียว ดำรัสว่า "กักมันไว้ให้โซแล้วเอาข้าวล่อเอาเถิด" แม้นพม่าหนีไปได้จะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต”
 * มาถึงตรงนี้จึงเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญในการทำสงครามคือ “น้ำ” นอกจากใช้เป็นเส้นทางในการเดินทัพลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว บ่อน้ำ หรือแหล่งนำในการบริโภคก็นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสั่งกำชับให้ควบคุมดูแลบ่อน้ำ หนองน้ำ สายน้ำลำธาร ไว้ให้จงดี อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้ข้าศึกศัตรูใช้ประโยชน์ได้
ทรงใช้ยุทธวิธีล้อมค่าย ตัดกำลังลำเลียงอาหาร เพื่อให้ทหารในค่ายขาดเสบียงอาหาร อดอยาก โหยหิว แล้วเอาข้าวปลาอาหารออกล่อให้ทหารออกจากค่ายมาเอา แล้วล้อมจับตัวไว้ ไม่ต้องยิงข้าศึกศัตรู ไม่ต้องเข้าตีชิงเอาค่าย บีบให้ทหารพม่าในค่ายอดตาย ถ้าไม่ยอมอดตายก็ให้ออกมายอมแพ้เสียแต่โดยดี ยุทธการแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ ก็รอดูกันต่อไป
อ่านต่อวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๗ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่ารุกหนักไทยร่อแร่ -
แม้เสียค่ายไทยยังตั้งต่อสู้ ต้านทานอยู่ไม่ท้อถอยย่อย่น พม่าโหมโรมรันไม่ลุกลน สู้อย่างคนมีสติพร้อมวิชา |
อภิปราย ขยายความ......................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกพยุหยาตราจากกรุงธนบุรีไปต้านตีกองทัพพม่าที่ยกมาทางกาญจนบุรี ที่ตีค่ายไทยที่ด่านท่าดินแดงแล้วยกเลยเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านนางแก้วเมืองราชบุรี ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง ตรัสสั่งให้ตั้งค่ายรายล้อมค่ายนางแก้วของพม่าไว้ แล้วสกัดกำลังบำรุงมิให้พม่าส่งเสบียงเข้าเลี้ยงทหารในค่ายนี้ได้ ไม่ต้องยิงปืนเข้าไปในค่าย ไม่ต้องปีนปล้นค่าย รอให้ทหารในค่ายอดอาหารหิวโซแล้วออกมายอมแพ้แต่โดยดี ยุทธวิธีนี้จะสำเร็จหรือไม่ วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากันต่อไปครับ
 * “ครั้นค่ำลงก็ปรากฏว่าพม่าออกแหกค่ายด้านหลวงมหาเทพ พลทหารยิงปืนระดมไปก็กลับเข้าค่าย ที่ถูกปืนตายก็เป็นอันมาก และในคืนวันนั้นพม่ายกมาแต่ปากแพรกจะเข้าช่วยพม่าที่อยู่ในค่ายล้อม ได้ยกเข้าตีค่ายหนองน้ำเขาชะงุ้มล้อมกองรามัญไว้ แต่กองพระยาธิเบศบดีตีเข้าไปกันเอากองรามัญออกมาได้ เสียขุนณรงค์ไปคนหนึ่งตายในที่รบ พม่าตีวกหลังหักออกมาจึงได้รบกันเป็นสามารถ กองทัพพระยาธิเบศบดีต่อรบต้านทานจนเหลือกำลังก็แตกถอยมา พม่าได้ค่ายหนองน้ำเขาชะงุ้มแล้วเข้าตั้งมั่นอยู่ในค่าย
 ทรงทราบความนั้นในเวลาเดียวกันกับที่กองทัพพระยานครสวรรค์ยกมาถึง จึงดำรัสให้พระยานครสวรรค์เร่งยกไปช่วยพระยาธิเบศบดี ในคืนวันนั้นจึงได้ทราบว่ากองมอญพระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) ออกจากที่ล้อมได้แล้วจึงเสด็จกลับมา ณ ค่ายศาลาโคกกระต่าย พระยานครสวรรค์ พระยาธิเบศบดีปรึกษากันแล้วบอกส่งพระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) และหลวงบำเรอภักดิ์ หลวงราชเสนา ลงมา ณ พลับพลาค่ายโคกกระต่าย จึงดำรัสให้มีตราขึ้นไปให้พระยานครสวรรค์ พระยาธิเบศบดี ถอยทัพลงมาตั้งค่ายรับพม่าอยู่นอกค่ายล้อมบ้านนางแก้ว ไกลประมาณห้าเส้น
 วันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ พระยายมราช พระยาสีหราชเดโช พระยาอินทรอภัย บอกลงมากราบทูลว่า ได้ตั้งค่ายอยู่ ณ ดงรังหนองน้ำขาว พม่ายกมาแต่ค่ายปากแพรกเข้าตีค่าย รบกันเป็นสามารถ พม่าถูกปืนตายและบาดเจ็บลำบากเป็นอันมาก จับเป็นได้สองคนดังที่ส่งตัวมาถวายพร้อมนี้ แต่บัดนี้กระสุนดินดำยังเหลืออยู่น้อย ขอพระราชทานเพิ่มเติมไปอีก ดำรัสสั่งให้มีตราตอบขึ้นไปว่า รอกองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ลงมาถึงจึงจะให้รีบยกหนุนขึ้นไป ให้คอยเอากระสุนดินดำที่กองทัพเจ้าพระยาจักรีนั้นเถิด ขณะนั้นกรมการเมืองคลองวาฬบอกส่งข่าวเข้ามาว่า พม่าเมืองมะริดห้าร้อยยกมาตีบ้านทับสะแก ได้ตั้งค่ายรับไว้ แต่กรมการตัวน้อยนัก ขอพระราชทานกองทัพไปช่วย ทรงสั่งให้มีตราบอกไปว่า ราชการศึกยังติดพันกันอยู่ ให้ผู้รั้งกรมการทั้งปวงรับรองสู้รบพม่าไว้ให้ได้”
 * สถานการณ์คับขันเข้าขั้นวิกฤตแล้วครับ ไทยต้องเสียค่ายหนองน้ำเขาชะงุ้มซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับอุปโภคบริโภคของกองทัพ พม่ารุกหนักเข้ามาอีก ค่ายดงรังที่หนองน้ำขาวกำลังจะแตก กระสุนดินดำเหลือน้อยเต็มที นายกองทูลขอสนับสนุนด้านกระสุนดินดำ พระเจ้าตากสินก็ตรัสให้รอเอาจากกองทัพเจ้าพระยาจักรีที่กำลังยกมาจากทางเมืองเหนือใกล้จะถึงแล้ว ในขณะเดียวกันนั้นทางกรมการเมืองคลองวาฬ (ประจวบคีรีขันธ์) ก็แจ้งมาว่า ทหารพม่าประมาณ ๕๐๐ คนยกมาตีทับสะแก ไทยมีกำลังน้อยจะต้านทานมิอยู่ ขอให้ทางกรุงธนบุรีส่งกองกำลังลงไปช่วยด้วย สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสให้บอกลงไปว่า ขอให้กรมการเมืองคลองวาฬพยายามต้านทานข้าศึกไว้ก่อน สถานการณ์ทางพระองค์ยังมีการสู้รบติดพันกันอย่างหนัก ไม่อาจส่งกองกำลังลงไปช่วยทางคลองวาฬได้ ไทยจะพ้นวิกฤตินี้ได้อย่างไรหรือไม่ ดูกันต่อไปครับ
 “ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีข่าวร้ายและข่าวดีมาพร้อมกัน กล่าวคือ หลวงมหาเทพออกไปแต่กรุงธนบุรี เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า สมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตย์ (พระมารดา) ทรงพระประชวรพระยอดอัคเนสัน เสด็จทิวงคตเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ฉศก (จุลศักราช ๑๑๓๖ = ๒๓๑๗) ในราตรีเพลาสองยามแปดบาท เวลาไล่เลี่ยกันนั้น คนไทยที่เป็นเชลยพม่าสองคนหนีออกมาจากค่ายล้อมบ้านนางแก้ว ให้การแก่นายทัพนายกองว่า อดอาหารมานานถึง ๗ วันแล้ว ได้กินแต่เนื้อช้างเนื้อม้าพอประทังชีวิต แต่น้ำในบ่อนั้นยังมีอยู่ สำหรับปืนใหญ่ที่ไทยยิงเข้าในค่ายนั้น ถูกทหารพม่าล้มตายเป็นอันมาก พม่าได้ขุดหลุมลงหลบซ่อนอยู่ ทรงทราบดังนั้นจึงพระราชทานม้า ๑๐ ม้า ให้พระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) คุมกองรามัญใหม่ทั้งนายทั้งไพร่สี่ร้อยคนพร้อมอาวุธครบมือ เป็นกองโจรยกไปลาดตระเวนข้างหลังเขาชะงุ้ม คอยตีพม่าซึ่งจะยกมาช่วยพม่าในค่ายที่ล้อมนั้น
 ในขณะนั้นกองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ซึ่งยกทัพมาจากเชียงใหม่ก็ลงมาถึง นำขุนนางเมืองน่านสองนายเข้าเฝ้า ณ พลับพลาค่ายโคกกระต่าย กราบบังคมทูลข้อราชการซึ่งได้เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองน่าน จนได้เมืองน่านมาเป็นเมืองขึ้นเข้าในขอบขัณฑสีมา
 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระโสมนัสที่ได้เมืองน่านมาเข้าอยู่ในขอบขัณฑสีมาโดยมิต้องยกกำลังเข้าสู้รบกัน ตรัสสรรเสริญเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) แล้วทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระแสงดาบฝักทองด้ามทอง กับพระธำมรงค์เพชรวงหนึ่ง แล้วให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ยกไปตั้งค่ายอยู่เหนือพระมหาธาตุวัดเขาพระ และให้ตั้งค่ายรายกันขึ้นไปถึงหลังค่ายล้อมบ้านนางแก้ว อย่าให้พม่าวกหลังได้ ให้พระยารามัญวงศ์คุมพลทหารสี่ร้อยจัดเป็นสองกอง ไปคอยด้อมมองจับพม่าที่ออกมาตักน้ำ ณ หนองเขาชะงุ้มให้จงได้”
* ท่านผู้อ่านครับ การรบใหญ่ยังไม่มาถึง ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการเริ่มต้น จะเห็นได้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระปรีชาสามารถในการวางกลยุทธ์ที่จะพิชิตข้าศึกได้อย่างรัดกุมมาก ในยามนั้นแม้จะทรงทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระราชมารดาก็มิได้ทรงเสียพระทัยจนเสียการศึกสงคราม ผลการรบที่ค่ายบ้านนางแก้วจะเป็นอย่างไร อ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต
|
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่าวอนขอชีวิต -
พม่าเมื่อถูกล้อมใกล้ยอมแพ้ ยังเล่นแง่นักเลงอวดเก่งกล้า บอกถ้วนทั่วตัวนายยอมวายชีวา แต่เมตตาลูกน้องที่ต้องตาย
จึงขอนัดเจรจาหาทางออก ทางไทยบอกจงยอมเสียง่ายง่าย จะเว้นโทษเข่นฆ่าชีวาวาย พม่าบ่ายเบี่ยงพักคิดสักวัน |
อภิปราย ขยายความ................................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงถึงพม่ามาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านนางแก้ว พระเจ้าตากสินทรงสั่งให้ทหารไทยยกกำลังไปตั้งค่ายรายล้อมพม่าไว้มีการรบย่อย ๆ ประปรายหลายครั้ง พระเจ้าตากทรงให้มีตราเรียกกองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) จากเชียงใหม่ให้ลงมาช่วยรบ และให้เกณฑ์ทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ มาสบทบด้วย เมื่อเจ้าพระยาจักรียกทัพลงมาแล้วทรงพระราชทานรางวัลความดีความชอบที่เจ้าพระยาจักรีได้เกลี้ยกล่อมเอาเมืองน่านมาขึ้นกับกรุงธนบุรีได้ จากนั้นทรงให้ไปตั้งค่ายมั่นอยู่เหนือพระมหาธาตุวัดเขาพระ ตั้งค่ายรายล้อมถึงหลังค่ายพม่าบ้านนางแก้ว ให้หลวงบำเรอภักดิ์คุมพลไปคอยจับทหารพม่าถ้าจะออกมาตักน้ำที่หนองเขาชะงุ้ม เรื่องจะเป็นอย่างไร ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถ์เลขาว่าดังต่อไปนี้ครับ
 * เวลาห้าทุ่มเศษของค่ำวันนั้น พม่าในค่ายที่ถูกล้อมได้ยกออกมาแหกค่ายหน้าที่พระยาพิพัฒโกษา พระยาเพชรบุรี พลทัพไทยระดมปืนใหญ่น้อยยิงออกไปจากค่ายถูกพม่าบาดเจ็บล้มตายมาก แหกออกมิได้ก็ล่าถอยกลับเข้าค่ายไป ครั้นถึงเวลาสามยามพม่าก็ออกแหกค่ายหน้าที่หลวงราชนิกุล พลทหารไทยก็ระดมยิงปืนใหญ่น้อยเข้าใส่ถูกพม่าบาดเจ็บล้มตายอีกเป็นอันมาก เมื่อแหกค่ายมิได้ก็ล่าถอยกลับเข้าค่ายไป คราวนี้ฝ่ายไทยเสียนายสุจินดาโดยถูกปืนพม่าเสียชีวิตคนเดียว
 วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ พระเจ้าตากสินทรงม้าพระที่นั่งเสด็จดำเนินทัพไปหยุดอยู่ที่หลังค่ายหลวงมหาเทพ ให้จักกายเทวรามัญร้องเข้าไปเป็นภาษาพม่าว่า “ให้พม่าทั้งปวงออกมาหาโดยดีเถิด ทรงพระกรุณาจะโปรดปล่อยไปให้สิ้น” พม่านายทัพในค่ายร้องออกมาว่า “ท่านล้อมไว้ครั้งนี้ ซึ่งจะหนีไปให้รอดจากความตายหามิได้แล้ว แต่เอ็นดูไพร่พลทั้งปวงมากนักจะพลอยตายเสียด้วย ถึงตัวเราผู้เป็นนายทัพจะตายก็ตามกรรมเถิด แต่จะขอพบตละเกล็บสักหน่อยหนึ่ง” (ตละเกล็บ คือหัวหน้ามอญกบฏคนหนึ่งที่หนีมาจากอังวะ) จึงดำรัสสั่งให้ตละเกล็บซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระยาพระรามนั้นขี่ม้ากั้นร่มระย้าออกไปเจรจากับพม่าตามความประสงค์ พม่าได้เขียนหนังสือเป็นภาษาพุกามใส่ใบตาลขดทิ้งออกมาจากในค่าย อ่านและแปลออกเป็นคำไทยได้ความว่า
 “พระเจ้าช้างเผือก ณ กรุงศรีอยุธยามีบุญบารมีมากนัก พระราชอาณาจักรผ่านแผ่ไปในชมพูทวีปทั้งปวง ฝ่ายพระเจ้าปราสาททอง ณ กรุงรัตนบุระอังวะก็มีบุญบารมีมากเป็นมหัศจรรย์ และพระมหากษัตริย์ทั้งสองฝ่ายเป็นเวรแก่กัน ใช้ให้ข้าพเจ้านายทัพนายกองทั้งปวงมากระทำสงครามกับท่านอัครมหาเสนาบดีกรุงศรีอยุธยาในครานี้ และข้าพเจ้าเสียทีแก่ท่าน ท่านล้อมไว้ จะพากันออกไปก็มิได้ จะหนีไปก็ขัดสนนัก อันจะถึงแก่ความตายบัดนี้ ใช่แต่ตัวข้าพเจ้านายทัพนายกองเท่านั้นหามิได้ จะตายสิ้นทั้งไพร่พลเป็นอันมาก และการสงครามแห่งพระมหากษัตริย์ทั้งสองฝ่ายจักสำเร็จสุดสิ้นแต่ครั้งนี้ก็หามิได้ ฝ่ายท่านอัครมหาเสนาบดีกรุงไทยก็ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และพระราชกำหนดกฎหมายพิชัยสงคราม ฝ่ายข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ดุจถืออาวุธและไม้ฆ้อนไว้ทั้งสองมือ อันสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระสัทธรรมเทศนาไว้ว่า ซึ่งเกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละคนนี้ยากนัก ไฉนข้าพเจ้าทั้งปวงจะรอดชีวิต ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นข้าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยานั้น ก็สุดแต่ปัญญาท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นเถิด”
 สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงดำรัสสั่งให้เขียนหนังสือตอบทิ้งไปในค่ายพม่าเป็นอักษรรามัญฉบับหนี่งมีใจความสำคัญว่า
“ถ้าท่านทั้งปวงออกมาถวายบังคมโดยดี เราจะช่วยกราบทูลขอพระราชทานชีวิตไว้ทั้งนายและไพร่ ถ้ามิออกมาเราจะฆ่าเสียให้สิ้น”
 ในขณะนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกกองทัพจากเมืองพระพิษณุโลกก็ลงไปถึง โดยมีกองทัพเมืองเหนือทั้งปวงทยอยลงไปถึงตามลำดับแล้วพร้อมกันเข้าเฝ้ากราบถวายบังคม พระเจ้าตากสินทรงพระกรุณาพระราชทานร่มแพรแดงมีธงระย้าด้ามปิดทองแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ แล้วดำรัสสั่งให้ยกไปดูการ ณ ค่ายล้อมบ้านนางแก้ว
 ในขณะนั้นพระยาเพชรบุรีมิเป็นใจในการศึก คิดย่อท้อต่อการสงคราม พูดกับบ่าวว่าถ้าพม่ารบแหกค่ายออกมาได้รับรองมิหยุด เราจะพากันหนีข้ามเขากลับไปเมือง บ่าวนั้นนำคำพูดของพระยาเพชรบุรีมาฟ้องข้าหลวงให้กราบทูล จึงดำรัสให้เอาตัวพระยาเพชรบุรีมาถามสอบ ก็ยอมรับว่าได้พูดจริงตามนั้น จึงตรัสสั่งให้มัดมือไพล่หลังแล้วเอาตระเวนรอบทัพ จากนั้นให้ประหารชีวิตตัดศีรษะไปเสียบไว้หน้าค่ายอย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง
 พระยาพระรามรามัญใหม่ (ตละเกล็บ) กับหมื่นศรีสหเทพมากราบทูลว่า ได้ไปเจรจากับพม่าโดยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยกพยุหโยธาทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่ได้แล้ว โปสุพลากับโปมะยุง่วนหนีไปได้ ภายหลังโปสุพลาจะฆ่าโปมะยุง่วนเสีย โปมะยุง่วนหนีเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงไว้ คราวนี้ถ้าพม่าตัวนายจะออกมาถวายบังคมขอสวามิภักดิ์เราจะช่วยพิดทูลให้รอดชีวิต แต่พม่าว่าตละเกล็บพึ่งมาเข้าเป็นข้าเจ้ากรุงศรีอยุธยาใหม่จะไว้ใจมิได้ จะใคร่พบท่านนายทัพนายกองผู้ใหญ่
 ทรงทราบดังนั้นจึงดำรัสให้กลับไปบอกแก่พม่าว่า ให้แต่งพม่าตัวนายออกมาเถิด จะพาไปพบท่านแม่ทัพผู้ใหญ่ตามปรารถนา งุยอคุงหวุ่นจึงให้พม่านายกองคนหนึ่งกับไพร่ห้าคนออกมาหาตละเกล็บซึ่งเป็นพระยาพระราม ดำรัสให้พระยาพระรามพาพม่านั้นไปให้พบพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ที่ค่ายเหนือพระมหาธาตุวัดเขาพระ
 พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์จึงให้พระยาพระราม (ตละเกล็บ) บอกแก่พม่าว่า “ถ้านายมึงออกมาถวายบังคมกูจะช่วยให้รอดจากความตาย ถ้ามิออกมาจะฆ่าเสียทั้งสิ้น” พม่าตัวนายจึงว่า ขอให้ยับยั้งอยู่แต่ในเพลาพรุ่งนี้สามโมงเช้า จะขอปรึกษาให้พร้อมกันก่อน จึงให้ปล่อยพม่านายไพร่กลับเข้าค่ายไป”
* การล้อมค่ายพม่าบ้านนางแก้วได้ผล กองทัพพม่าที่ยกหนุนมาทางด่านท่าดินแดง ปากแพรก ไม่สามารถช่วยพวกตนในค่ายบ้านนางแก้วได้ พม่าในค่ายนางแก้วกำลังอดอยาก ช้างม้าในค่ายก็อดตาย พลพม่าต้องแล่เนื้อเถือหนังช้างม้ากินเป็นอาหารพอประทังชีวิต พวกเขาพยายามแหกค่ายตีหักออกจะหนีไป ก็ไม่สำเร็จ เพราะถูกยุทธการ “ปิดประตูตีแมว” จึงเจรจาร้องขอชีวิตต่อไทย ผลจะเป็นอย่างไร อ่านต่อวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๙ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, กลอน123, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- นายค่ายพม่าเจรจายอมแพ้ -
ไทยรวมพลมากน้อยทยอยหนุน ฝ่าย“งุยอคงหวุ่น”ไม่ผลุนผลัน ส่งเจ็ดนายเจรจาความเมืองกัน ให้คำมั่นยอมอายถวายบังคม |
อภิปราย ขยายความ..................................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงม้าพระที่นั่งเสด็จไปถึงหน้าค่ายบ้านนางแก้ว (ปัจจุบันเรียกค่ายบางแก้ว) ตรัสให้จักกายเทวรามัญ ร้องตะโกนเป็นภาษาพม่าให้พม่าทั้งปวงออกมาถวายบังคม แล้วจะทรงพระกรุณาโปรดปล่อยไปทั้งสิ้น พม่าร้องตอบว่าออกไปไม่ได้ ขอพบตละเกล็บชาวรามัญที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาราม เพื่อเจรจาความเมือง หลังจากนั้นพม่าได้ส่งตัวนายออกมาเจรจา ทรงให้พาไปพบพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์และเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) พระเจ้าหลานเธอตรัสรับรองว่าถ้านายค่ายพม่าออกมาถวายบังคม จะขอรับรองให้รอดชีวิต ตัวนายพม่าขอทุเลาว่า เพลาพรุ่งนี้สามโมงเช้าจะให้คำตอบ จึงปล่อยเข้าค่ายไป วันนี้มาดูเรื่องนี้ต่อไปครับ
 * “ณ วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) กราบถวายบังคมลายกกองทัพไปตั้งค่ายล้อมพม่า ณ ค่ายเขาชะงุ้ม จึงดำรัสให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงและข้าหลวงในกรุงยกไปตั้งล้อมอยู่หลายค่าย ในวันเดียวกันนั้น พระกุยบุรี พระคลองวาฬ บอกเข้ามากราบทูลว่า พม่าประมาณสี่ร้อยเศษยกมาตีเมืองบางสะพาน ได้รบกันเป็นสามารถ พม่าแหกค่ายหนีออกไปแล้วเผาเมืองบางสะพานเสีย ยกไปทางเมืองปทิว จึงทรงร่างท้องตราให้ไปถึงพระเจ้าหลานเธอเจ้าบุญจันทร์ และพระยาธิเบศบดีครั้งกรุงเก่า ซึ่งโปรดตั้งเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช ให้อยู่รักษากรุงธนบุรีนั้นให้มีหนังสือตอบบอกไปว่า ให้พระกุยบุรี พระคลองวาฬ รักษาด่านทาง ให้ใส่ยาเบื่อในหนองน้ำบ่อน้ำที่ทางข้าศึกจะมานั้นทั้งหมด อย่าให้กินน้ำได้ แล้วให้เอาพม่าเมืองเชียงใหม่ซึ่งจำไว้ในคุกสามคน ทวายคนหนึ่งกับพม่าซึ่งปล้นค่ายเจ้าพระอินทรอภัย ณ เขาชั่วพรานคนหนึ่ง ให้ลงพระราชอาชญาตัดมือตัดเท้าเสีย แล้วให้เขียนหนังสือผูกแขวนคอไป ใจความหนังสือนั้นว่า “บอกแก่เจ้านายมันให้เร่งยกมาอีกเถิด”
 จากนั้นเสด็จไปทอดพระเนตรค่ายเจ้าพระยาอินทรอภัย และพระโหราธิบดี ซึ่งตั้งรักษาสระน้ำน้ำอยู่ ณ เขาชั่วพรานนั้น พระยารามัญวงศ์ (จักกรีมอญ) และหลวงบำเรอภักดิ์จับพม่าได้สองคนนำมาถวาย ดำรัสให้ถามพม่าได้ความว่า มาแต่ค่ายปากแพรก เพื่อมาส่งลำเลียง พม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายปากแพรกนั้นมีคนสามพันเศษ ที่ยกเข้ามาตั้งค่ายอยู่ ณ เขาชะงุ้มนั้นสี่กองมีคนมากมายหลายพัน ทรงทราบดังนั้นจึงดำรัสให้หลวงภักดีสงครามทหารกองนอก ซึ่งอยู่ในกองพระยาเทพอรชุนที่ยกมาช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัยนั้น ให้คุมพลทหารห้าร้อยยกไปเป็นกองโจร ให้ถมห้วยหนองบึงบ่อที่มีน้ำตามทางมาแต่ปากแพรกเสียให้สิ้น อย่าให้หลงเหลือเป็นกำลังข้าศึกได้ ถ้าถมไม่ได้ก็ให้เอาเปลือกไม้เบื่อเมา (เช่น หางไหลและสลัดได) และซากศพใส่ลงไป อย่าให้กินน้ำได้ และให้ออกก้าวสกัดตีตัดลำเลียงพม่าอย่าให้ส่งถึงกัน
 ค่ำลงวันนั้นเวลาประมาณสองยาม พม่าในค่ายเขาชะงุ้มทำค่ายวิหลั่นยกออกปล้นค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ทหารในค่ายยิงปืนใหญ่น้อยออกไปถูกพม่าบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พลทหารพม่ารวนเรลงมาถึงค่ายเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์แล้วถอยกลับเข้าค่าย ครั้นเพลาสามยามเศษพม่ายกออกเราะค่ายพระยานครสวรรค์จนรุ่ง ทหารในค่ายยิงปืนใหญ่น้อยออกไปถูกพม่าบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก รุ่งเช้าวันพุธ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๔ จึงเสด็จดำเนินทัพขึ้นไปช่วย ดำรัสให้กองอาจารย์และฝีพายทนายเลือกเข้ารบ ถ้าเห็นหนักที่ไหนให้เข้าช่วยที่นั้น ครั้นเพลาสองโมงพม่าก็กลับเข้าค่าย เมื่อเห็นว่าพม่ากลับเข้าค่ายแล้วก็เสด็จกลับมา ณ พลับพลาค่ายโคกกระต่าย
 * ณ วันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ งุยอคุงหวุ่นนายทัพค่ายบ้านนางแก้ว ให้พม่าตัวนาย ๗ คนออกมาเจรจาความเมืองด้วยพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์และเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ว่า ถ้าท่านแม่ทัพกรุณาทูลขอชีวิตไว้ได้นายทัพนายกองทั้งปวงก็จะชวนกันออกมาถวายบังคมด้วยกันทั้งสิ้น พระเจ้าหลานเธอและเจ้าพระยาจักรีก็รับปากแล้วปล่อยกลับไป ๒ คน กักตัวไว้ ๕ คน โดยกล่าวว่าครั้งก่อนลวงว่าจะออกมาทำให้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเป็นเท็จไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าครั้งนี้เป็นเท็จอีกก็ช่วยอะไรไม่ได้
 เวลาเที่ยงวันนั้นกองทัพพระยานครราชสิมานำพลพันเก้าร้อยลงมาถึง เมื่อเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมก็ทรงพระพิโรธ ดำรัสคาดโทษว่ามาช้ากว่าหัวเมืองทั้งปวง พระยานครราชสีมากราบทูลแก้ตัวว่า เหตุที่มาช้าเพราะว่า เลกหัวเมืองขึ้นที่เกณฑ์ไปรบเชียงใหม่นั้นหนีตาทัพกลับบ้าน จึงให้ไปเที่ยวตามจับตัวกับทั้งบุตรภรรยา ได้ทั้งชายหญิงรวมเก้าสิบหกคนด้วยกัน ทรงฟังความดังนั้นแล้วตรัสว่า เลกหนีตาทัพจะเอาไว้มิได้ ให้ตัดศีรษะเสียสิ้นทั้งบุตรภรรยา ณ ริมทางนอกค่ายโคกกระต่ายนั่นเอง”
 * อ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเรขามาถึงตอนนี้ ผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดรู้สึกว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินออกจะทรงโหดเหี้ยมเกินไป ที่กระทำทารุณกรรมต่อเชลยศึกพม่าด้วยการตัดมือตัดตีน เขียนป้ายแขวนคอปล่อยตัวไปท้าทายข้าศึกศัตรู และยังให้ใส่ยาเบื่อลงไปในแหล่งน้ำที่เป็นเส้นทางเดินทัพของพม่าข้าศึก นอกจากยาเบื่อเมาแล้วยังให้นำซากศพคนและสัตว์ตายเน่าใส่ลงในน้ำมิให้ข้าศึกดื่มกินได้ ส่วน “เลก” คือทหารเกณฑ์ที่หนีการเกณฑ์เป็นทหารนั้น เมื่อจับตัวได้ก็ทรงให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวเสียสิ้น
สงครามก็ต้องโหดร้ายทารุณอย่างนี้แหละครับ
เมื่องุยอคงหวุ่นแม่ทัพในค่ายบ้านนางแก้วส่งนายทัพนายกองคนสนิทออกมาเจรจาความเมือง แล้วตกลงกันว่าจะยกออกมาถวายบังคมยอมแพ้แต่โดยดีแล้ว จะจริงตามข้อตกลงหรือไม่ อ่านต่อในเช้าวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๐ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- น้ำพระทัยพระเจ้าตาก -
ฝ่ายพม่ายอมแพ้แต่ไว้ชื่อ ว่าข้าคือชาติเชื้อสิงห์เสือสม เป็นชาติชายตายตนชื่อคนชม มิยอมก้มหัวแพ้แก่ศัตรู
ยอมเคารพนบเกล้าเพียง“เจ้าตาก” ด้วยทรงมากเมตตาไม่ลบหลู่ คนแพ้ยอมยอบลงทรงอุ้มชู พร้อมเลี้ยงดูให้สุขทุกคนไป |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงการรบกับพม่าที่บ้านนางแก้ว ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงใช้ยุทธวิธีตั้งค่ายล้อมค่ายพม่า ตัดการลำเลียงทุกทางเพื่อให้พม่าอดอยากแล้วยอมจำนน ผลจะเป็นอย่างไรมาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
 “ในวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ นั้น งุยอคุงหวุ่นนายทัพพม่าก็ให้อุตมสิงหจอจัวปลัดทัพกับพม่าตัวนายหมวดนายกอง ๑๓ คน นำเอาอาวุธต่าง ๆ มัดรวมออกมาเฝ้าพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ พระเจ้าหลานเธอจึงให้พระยาพิพัฒโกษาและหลวงมหาเทพมัดอุตมสิงหจอจัวและพม่าตัวนายทั้งหมดนั้น นำมาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสิน ณ พลับพลาค่ายโคกกระต่าย จึงดำรัสให้ถามพม่า ๑๔ คน ทั้งหมดให้การว่า “ข้าพเจ้านายทัพนายกองทั้งปวงปรึกษาพร้อมกันแล้ว จึงนำเอาเครื่องศัสตราวุธออกมาถวายบังคม ถ้าทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตแล้ว จะขอถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นข้าทูลละอองพระบาททำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไป”
 จึงดำรัสว่า “กูจะให้จำไว้ก่อนกว่าจะได้ตัวนายมาพร้อมกัน ถ้าเอ็งสวามิภักดิ์โดยจริงแล้ว แม้นสำเร็จราชการศึกได้เมืองอังวะจะให้รั้งเมืองอังวะ” แล้วดำรัสให้พระยาพระราม (ตละเกล็บ) ข้าหลวงมีชื่อคุมตัวอุตมสิงหจอจัวกับพม่า ๑๓ คนกลับไป ณ ค่ายล้อม ให้ร้องเรียกงุยอคุงหวุ่นและพม่านายทัพนายกองทั้งปวงให้ออกมา พม่าตัวนายในค่ายร้องตอบออกมาว่าขอเวลาปรึกษากันก่อน พวกข้าหลวงก็พาพม่า ๑๔ คนกลับมาค่ายหลวง สำหรับอุตมสิงหจอจัว ปลัดทัพพม่าที่ออกมาเจรจาครั้งนั้นจะได้ไหว้ผู้ใดก็หามิได้ ถวายบังคมแต่สมเด็จพระเจ้าตากสินเพียงพระองค์เดียว ทรงดำรัสสรรเสริญว่า “มิเสียทีเป็นขุนนางนายทหาร น้ำใจองอาจรักษายศมิได้เข็ดขามย่อท่อ ควรที่เป็นทหารเอก” จากนั้นทรงสั่งให้เอาพม่าทั้ง ๑๔ คนไปจำไว้ที่ตะรางในค่ายหลวง
 * ณ วันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ โปรดให้พระยานครราชสิมายกทัพไปตั้งค่ายประชิดล้อมค่ายพม่า ณ เขาชะงุ้ม ให้ปลูกร้านเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายพม่า พร้อมกันนั้นก็ดำรัสสั่งให้มหาดเล็กไปถอดอุตมสิงหจอจัวและพม่า ๑๓ คนคุมตัวไปเรียกงุยอคุงหวุ่น ณ ค่ายล้อมว่า “ให้ออกมาเถิดพระเจ้าทรงธรรมไม่ฆ่าเสีย พระราชทานเสื้อผ้าและเครื่องอุปโภคแก่เราเป็นอันมาก อย่าสงสัยเลย”
 งุยอคุงหวุ่นร้องตอบออกมาว่า “เราให้ไปเป็นหลายคน ไม่มีผู้ใดกลับมาบอกว่าร้ายดีประการใด มีแต่ตัวเจ้ามายืนร้องเรียกอยู่อย่างนี้จะเชื่อฟังมิได้” อุตมสิงหจอจัวก็ร้องตอบไปว่า “พวกเราที่ออกมานั้นพระเจ้าทรงธรรมทรงเอาตัวไว้ ถ้าหนีหายไปสักคนหนึ่งจะให้ใช้ถึง ๑๐ คน แม้นเราจะให้กลับเข้าไปหาท่าน ท่านมิกลับออกมาก็ดี ฆ่าเสียก็ดี เราจะได้พม่าที่ไหนไปใช้ให้พระเจ้าทรงธรรมเล่า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทรงโกรธแล้วฆ่าเราเสีย เพราะเหตุนี้เราจึงมิได้ให้ใครกลับเข้าไปแจ้งความแก่ท่าน” งุยอคุงหวุ่นร้องตอบออกมาว่า “จงปล่อยใครในจำนวนนั้นเข้ามาสักคนเถิด ถ้าเราฆ่าเสียก็ดี มิให้กลับออกไปก็ดี จงให้อาวุธซึ่งล้อมอยู่นี้สังหารเราเถิด” อุตมสิงหจอจัวจึงให้ แยละ ๑ แยข่องจอ ๑ เข้าไปในค่ายแล้วบอกว่า พระเจ้าทรงธรรมทรงพระเมตตาหาฆ่าเสียไม่ งุยอคุงหวุ่นก็ว่า ผู้น้อยและไพร่ไม่ตาย แต่ตัวเราเป็นผู้ใหญ่เห็นจะตายเป็นมั่นคง” แล้วก็ปล่อยตัวแยละ แยข่องจอ ออกจากค่ายกลับไปหาอุตมสิงหจอจัว พม่าทั้งหมดกลับเข้าเฝ้าและกราบทูลให้ทรงทราบ
 ทรงดำรัสว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะคิดอ่านให้งุยอคุงหวุ่นออกมาไม่ได้ละหรือ พวกข้าหลวงกราบทูลว่า เห็นขัดสนอยู่ แต่ถ้าเอาปืนลูกไม้ยิงเข้าไปอีกจนพม่ากลัวมากเข้าก็น่าจะพากันออกมาจากค่ายทั้งหมด พระองค์ดำรัสตอบว่า อันจะฆ่าพม่าให้ตายนั้นง่าย แต่จะเป็นบาปกรรมหาผลประโยชน์สิ่งใดไม่” แล้วทรงให้คุมตัวพม่าทั้ง ๑๔ คนไปไว้ในตะรางตามเดิม
 * ค่ำวันนั้นเวลาทุ่มเศษ ดำรัสให้ไปเอาตัวอุตมสิงจอจัวมาเฝ้า ตรัสถามว่า พม่าที่มารบครั้งนี้มีเพียงเท่านี้หรือว่าจะมียกหนุนมาอีก อุตมสิงหจอจัวกราบทูลว่า มีทัพอะแซหวุ่นกี้เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะทรงตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ขณะนี้ยังตั้งอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ มีรี้พลเป็นอันมาก รอคอยฟังข่าว ตะแคงมรหน่องและหม่องจ่ายิดนายทัพปากแพรกจะบอกขึ้นไปประการใด เห็นทีว่าอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่จะยกหนุนลงมาอีกเป็นแน่
 ทรงฟังดังนั้นจึงมีตราให้ไปหานายทัพผู้ใหญ่มาร่วมปรึกษาราชการ เมื่อแม่ทัพผู้ใหญ่มาประชุมพร้อมกันแล้วจึงตรัสปรึกษาว่า “เราจะให้หาทัพหัวเมืองปากใต้สี่เมือง คือ เมืองจันทบูร ๑ เมืองไชยา ๑ เมืองนครศรีธรรมราช ๑ เมืองพัทลุง ๑ ให้ยกเข้ามาอีก แม้นทัพใหญ่อะแซหวุ่นกี้ยกหนุนเพิ่มเติมมามาก จะได้สู้รบมีกำลังมากขึ้น” เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) กราบทูลว่า “อันทัพเมืองฝ่ายใต้ทั้งสี่เมืองนั้นระยะทางไกลนัก เห็นจะยกมามิทัน ถึงมาตรว่าอะแซหวุ่นกี้จะยกทัพใหญ่หนุนมา แต่ทัพในกรุงกับทัพเมืองเหนือซึ่งสู้รบอยู่บัดนี้ ก็เห็นจะพอต้านทานทัพอะแซหวุ่นกี้ไว้ได้”
 ทรงเห็นชอบตามที่เจ้าพระยาจักรีกราบทูลนั้น จึงดำรัสต่อไปว่า “อันเมืองฝ่ายใต้นั้นยังมิได้กระทำสงครามกับพม่า บัดนี้ข้าวในฉางหลวงซึ่งจะจ่ายในกองทัพก็น้อยลง จงให้มีตราเกณฑ์เอาข้าวสารเมืองนครศรีธรรมราชหกร้อยเกวียน เมืองพัทลุง เมืองไชยา เมืองจันทบูร สามเมืองให้เกณฑ์เอาเมืองละสี่ร้อยเกวียน ถ้าข้าวขัดสนให้ส่งเงินคิดเป็นราคาข้าวเปลือกเกวียนละห้าตำลึง ข้าวสารเกวียนละสิบตำลึงเข้ามาตามรับสั่ง” แล้วให้หมายบอกนายทัพนายกองทั้งปวงว่า “ถ้าพม่าเลิกหนีไปก็อย่าให้ยกติดตาม เกรงเกลือกพม่าจะซุ่มซ่อนพลไว้โจมตีตามระยะทาง ด้วยข้าศึกมิได้แตกเลิกถอยไปเอง แม้นจะยกทัพตามไปก็ให้ก้าวสกัดไปเอาทางปากแพรกทีเดียว”
 * * แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าต้องพ่ายแพ้แน่นอน งุยอคุงหวุ่นแม่ทัพพม่าค่ายนางแก้วยอมแพ้แต่ยังไม่ยอมมอบตัว ให้อุตมสิงหจอจัวปลัดทัพพร้อมนายทัพนายกองจำนวนหนึ่งรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์ผูกรวมกันแบกออกจากค่าย เข้ามอบตัวแก่พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ ในการเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น อุตมสิงหจอจัวเดินผ่านนายทัพนายกองขุนศึกขุนนางไทยอย่างทระนงองอาจ หมอบคลานเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมแต่เฉพาะสมเด็จพระเจ้าตากสินเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสชมว่า เขาสมกับเป็นชายชาติทหาร ตรัสให้กลับไปเจรจาเกลี้ยกล่อมงุยอคุงหวุ่น แต่ไม่สำเร็จ เพราะแม่ทัพยังไม่ไว้วางใจ สมเด็จพระเจ้าตากสินแสดงน้ำพระราชหฤทัยให้เห็นว่าทรงมีพระเมตตาต่อข้าศึกศัตรู โดยตรัสว่า “อันจะฆ่าพม่าให้ตายนั้นง่าย แต่จะเป็นบาปกรรมหาผลประโยชน์สิ่งใดมิได้” จึงทรงหาอุบายให้งุยอคุงหวุ่นแม่ทัพค่ายนางแก้วยอมมอบตัวต่อไป
ติดตามอ่านต่อในวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, กลอน123, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ชลนา ทิชากร, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ได้ค่ายนางแก้วโดยละม่อม -
“งุยอคุงหวุ่น”ครุ่นคิดหนัก จะยอมหักคามือหรือหาไม่ แต่แล้วยอมพร้อมงออย่างท้อใจ สู้แล้วไร้ผลดีมีแต่ทราม
จึงยอมแพ้แก่ไทยไม่สู้ต่อ เข้าเฝ้าขอเป็นข้าแผ่นดินสยาม พระเจ้าตากรับไว้ไม่คุกคาม เลี้ยงดูตามฐานะจะพึงมี |
อภิปราย ขยายความ................................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงตอนที่งุยอคุงหวุ่นแม่ทัพค่ายบ้านนางแก้ว ให้อุตมสิงหจอจัวปลัดทัพนำนายหมวดนายกอง ๑๓ คนพร้อมอาวุธต่าง ๆ มัดรวมกันออกจากค่ายมามอบตัว เป็นการ “หยั่งเชิง” สมเด็จพระจ้าตากสิน จึงทรงให้กักขังอุตมสิงหจอจัวไว้ระหว่างรอการเจรจาต่อรองกับงุยอคุงหวุ่น วันนี้มาดูเรื่องราวต่อไปครับ
 ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ซึ่งเป็นเทศกาลตรุษวันต้น จึงดำรัสให้ข้าหลวงคุมตัวอุตมสิงหจอจัวไป ณ ค่ายล้อมอีก ไปร้องเรียกงุยอคุงหวุ่นให้ออกมาจากค่าย งุยอคุงหวุ่นร้องตอบออกมาว่า “ท่านจะเข้ามามัดก็มัดเอาเถิด หรือจะเข้ามาฆ่าเสียก็ฆ่าเถิด จะนิ่งตายอยู่ในค่าย ไม่ออกไปแล้ว” อุตมสิงหจอจัวจึงพากันกลับมากราบทูลตามนั้น จึงให้อุตมสิงหจอจัวเขียนหนังสือเป็นอักษรพุกามมีใจความว่า “ถ้างุยอคุงหวุ่นจะออกมาถวายบังคมก็ให้เร่งออกมา แม้นมิออกมาพระเจ้าทรงธรรมจะให้พลทหารเข้าไปฟันเสียให้สิ้นทั้งสามค่าย” จากนั้นเสด็จไปตั้งอยู่หลังค่ายหลวงมหาเทพ ให้พม่าถือหนังสือเข้าไปถึงงุยอคุงหวุ่นในค่าย
 ครั้นถึงเพลาเย็นวันนั้น งุยอคุงหวุ่นจึงมัดอาวุธที่มีอยู่ในค่ายทั้งสิ้นให้ไพร่พลขนออกมาถวาย และสั่งมากราบทูลด้วยว่า “ขอผัดอีกวันหนึ่ง เพลาพรุ่งนี้เราจะออกไปเฝ้า ให้อุตมสิงหจอจัวมารับเราด้วย” สมเด็จพระเจ้าตากสินดำรัสให้พวกข้าหลวงคุมเอาตัวพม่าทั้งปวงกับอาวุธทั้งหมดส่งมายังค่ายหลวง แล้วเสด็จกลับ
 * รุ่งขึ้นวันศุกร์ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ดำรัสให้ข้าหลวงคุมตัวอุตมสิงหจอจัวออกไปรับงุยอคุงหวุ่นที่ค่ายล้อม งุยอคุงหวุ่นให้เมี้ยนหวุ่น กับ ปคันเลชู สองนายกับพม่ามีชื่อตัวนายอีก ๑๒ คนออกมาก่อน อุตมสิงหจอจัวกับข้าหลวง ๑๔ คนนั้นมาเข้าเฝ้าถวายบังคม ณ ค่ายหลวง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงพระราชทานเลี้ยงหน้าพระที่นั่งอิ่มหนำทุกคนแล้ว เมี้ยนหวุ่นกับปคันเลชูกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามาทำสงครามเสียท่วงทีล้อมขังไว้ได้ถึงตายทั้งสิ้น ขาดจากเป็นข้าพระเจ้าอังวะแล้ว บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตไว้ จะขออาสาทำราชการกว่าจะสิ้น จะขอพระราชทานไพร่พม่าสองคนกับตัวข้าพระพุทธเจ้า ๒ คนนี้ จะเข้าไปกล่าวเอาตัวงุยอคุงหวุ่นนายทัพออกมาให้ได้”
 จึงโปรดให้ตามคำกราบทูลนั้น เมี้ยนหวุ่นกับปคันเลชูกลับเข้าค่ายไปเกลี้ยกล่อมงุยอคุงหวุ่นจนถึงเพลาบ่ายของวันนั้น งุยอคุงหวุ่นกับเนมโยแมงละนรทา ยุยยองโบ่ อคุงหวุ่นมุงโยะ และพม่ามีชื่อตัวนายทั้งสิ้นกับหญิง ๒ คน ทั้งไพร่พล ๑,๓๒๘ คน กับม้าแดงสองม้า ม้าดำหนึ่ง ซึ่งเหลือตายอยู่นั้นออกมาสิ้นทั้งสามค่าย พวกข้าหลาวงก็นำเข้าเฝ้ากราบบังคมทูล จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโภชนาหารให้เลี้ยงจนอิ่มหนำสำเร็จแล้ว งุยอคุงหวุ่นจึงถวายทรัพย์สิ่งของเครื่องอุปบริโภคทั้งปวงซึ่งมีมานั้น ทรงกล่าวว่า “เราทำสงครามใช่จะปรารถนาเอาทรัพย์สิ่งสินหามิได้ ตั้งใจจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และประชาราษฎรทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในสัจธรรม” จากนั้นทรงให้พวกข้าหลวงคุมพม่าทั้งปวงไปจำไว้ในตะราง”
 * ท่านผู้อ่านครับ งุยอคุงหวุ่นนายทัพหน้าพม่าที่อะแซหวุ่นกี้ให้ยกมาก่อนนั้นได้ตั้งค่ายเป็นสามค่าย ณ บ้านนางแก้ว ราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสั่งให้แม่ทัพนายกองยกทัพไปตั้งค่ายล้อมค่ายพม่าตั้งแต่วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ จนถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ไม่ทรงปรารถนาจะฆ่าพม่าให้ตาย โดยต้องการจับเป็นทั้งหมด พม่าถูกกักขังอยู่ในค่ายเป็นเวลานาน ถึง ๔๗ วัน ก็ยอมจำนน พากันออกมาถวายบังคมขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อทหารพม่าออกจากค่ายหมดแล้ว จึงดำรัสให้พระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) คุมกองรามัญพันหนึ่งเข้าอยู่ในค่ายนั้นแทน แล้วให้ร้องแห่พูดจาภาษาพม่า เพื่อให้พวกพม่า ณ ค่ายเขาชะงุ้มได้ยิน จะได้สำคัญว่าพวกเดียวกันยังอยู่ในค่ายบ้านนางแก้ว แล้วจะตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้มให้จงได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามอ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, เนิน จำราย, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, เฒ่าธุลี, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- วีรกรรมนายขนมต้ม -
ปราบพม่าตะวันตกหมดยกกลับ พร้อมรอรับศึกใหม่ไม่ถอยหนี ฝ่ายเจ้ากรุงอังวะฉลองเจดีย์ จัดให้มีชกมวยด้วยโปรดปราน
“ขนมต้ม”เชลยไทยได้ขึ้นชก เพียงต้นยกคู่ต่อยไม่คอยต้าน พ่ายน็อกหมดสิบคนพ้นประมาณ พม่าม่านม่อยระย่อไม่ต่อกร
เพราะหวังได้ไทยสิ้นแผ่นดินสยาม จึ่งคุกคามเมืองเหนือ“กินเหยื่ออ่อน” “อะแซหวุ่นกี้”จัดการตัดตอน ยกทัพรอนรานทางกลางตอนบน |
อภิปราย ขยายความ................................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงตอนที่พระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปตั้งค่ายล้อมค่ายพม่าที่บ้านนางแก้ว ราชบุรี ทรงใช้เวลาล้อมค่ายอยู่ตั้งแต่วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ แม่ทัพนายกองพม่าจึงยอมจำนน พากันออกมามอบตัวขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทนั้น
 วันนี้ใคร่ขอรวบลัดตัดความในในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า ต่อจากนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงบัญชาการรบ ตรัสให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เจ้าพระยาสองพี่น้องดำเนินการเข้าตีค่ายพม่าที่เหลือทั้งหมดจนแตกยับเยิน พม่าล้มตายลงเป็นอันมาก จับตัวเชลยได้หลายพันคน ที่รอดตายและรอดถูกจับตัวได้หนีกลับไปได้ไม่มากนัก ศึกพม่าด้านเบื้องตะวันตกกรุงธนบุรีก็สงบลง เมื่ออะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่พม่าที่มาตั้งบัญชาการรบอยู่ที่เมืองเมาะตะมะนั้นเห็นว่ากองทัพไทยกล้าแกร่งเกินกำลังจะต่อตีได้ง่าย ๆ จึงไม่คิดสู้รบต่อไป วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อครับ
 “เมื่อทรงปราบปรามพม่าที่ยกมาประชิดดินแดนไทยด้านตะวันตกได้ราบคาบแล้วจึงยกทัพกลับกรุงธนบุรี กองทัพทั้งปวงก็เลิกทัพตามเสด็จกลับมาทั้งสิ้น เมื่อถึงกรุงธนบุรีแล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจุ้ย เป็น กรมขุนอินทรพิทักษ์ ตั้งพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ เป็น กรมขุนอนุรักษ์สงคราม ตั้งพระเจ้าหลานเธอบุญจันทร์ เป็น กรมขุนรามภูเบศ แล้วพระราชทานรางวัลแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยสมควรแก่ความชอบในราชการสงคราม ส่วนม้าแดงสองม้าที่ได้มาแต่ค่ายพม่านั้นเห็นว่ามีฝีเท้าเร็วควรจะเป็นราชพาหนะพระที่นั่งได้ จึงโปรดตั้งชื่อขึ้นระวางเป็น เจ้าพระยาอาชาชาติ ๑ เจ้าพระยาราชพาหนะ ๑
จากนั้น ให้ปลูกพระเมรุ ณ วัดบางยี่เรือใต้เสร็จแล้ว โปรดให้เชิญพระโกศบรมศพสมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์ (พระมารดา) ใส่เรือพระที่นั่งกิ่ง แห่โดยกระบวนนาวาพยุหไปโดยทางชลมารค เชิญขึ้นสู่เมรุแล้วให้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์หนึ่งพันรูปมาสดับปกรณ์ ถวายไตรจีวรบริขารต่าง ๆ มีงานมหรสพสามวัน แล้วถวายพระเพลิง
 ถึง ณ เดือน ๑๐ ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ (พ.ศ. ๒๓๑๘) มีหนังสือบอกจากเมืองเชียงใหม่ลงมาว่า โปสุพลา โปมะยุง่วน ซึ่งแตกหนีจากเชียงใหม่ไปอยู่เมืองเชียงแสนนั้น มีข่าวว่าจะยกกลับมาตีเชียงใหม่อีก จึงดำรัสให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เป็นแม่ทัพ คุมทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงยกขึ้นไปช่วยราชการเมืองเชียงใหม่ และโปรดให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกกองทัพขึ้นไปช่วยด้วย ถ้าตีทัพพม่าแตกแล้วให้ยกตามไปตีเมืองเชียงแสนทีเดียว
 * กล่าวฝ่ายพระเจ้าอังวะที่ยังคงอยู่ ณ เมืองย่างกุ้ง ได้ทำการยกฉัตรยอดพระมหาเจดีย์เกศธาตุเสร็จแล้วโปรดให้มีการฉลอง ในงานฉลองนี้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยด้วย ได้มีขุนนางพม่ากราบทูลว่า มีนักมวยคนไทยฝีมือดียิ่งนักถูกกวาดต้อนมาจากรุงศรีอยุธยา จึงตรัสให้จัดหามาเข้าร่วมการแข่งขัน ขุนนางนั้นจึงได้นายขนมต้มคนหนึ่งเป็นมวยดีมีฝีมือแต่ครั้งกรุงเก่า เอาตัวมาถวายพระเจ้าอังวะ พระเจ้ามังระจึงให้จัดพม่าคนมวยเข้ามาเปรียบนายขนมต้ม เมื่อเห็นว่าเปรียบได้กันแล้วก็ให้ชกกันหน้าที่นั่ง ผลปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็ชนะอย่างง่ายดาย ดำรัสให้หาคนมวยอื่นมาเปรียบชกอีก นายขนมต้มก็ชกทั้งพม่าและมอญแพ้ไปถึงเก้าคนสิบคนไม่มีใครสู้ได้
 พระเจ้าอังวะทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ทรงยกพระหัตถ์ตบพระอุระ ตรัสสรรเสริญฝีมือนายขนมต้มว่า “ไทยมีพิษอยู่ทั่วตัว แต่มือเปล่าไม่มีอาวุธเลยยังสู้ได้ คนเดียวชำนะถึงเก้าคนสิบคนฉะนี้ เพราะเจ้านายไม่ดีจึงเสียเมืองแก่ข้าศึก ถ้าเจ้านายดีแล้วไหนเลยจะเสียกรุงศรีอยุธยา” ตรัสสรรเสริญแล้วจึงพระราชทานรางวัลแก่นายขนมต้มโดยสมควร
 ในเวลานั้นหนังสือบอกจากอะแซหวุ่นกี้ก็มีขึ้นไปกราบทูลว่า กองทัพถูกไทยตีแตกหมดทุกกองทัพ เสียรี้พลไปเป็นอันมาก ไทยล้อมจับได้เป็นพันเศษ และเมืองไทยบัดนี้มีกำลัง เพราะหัวเมืองฝ่ายเหนือผู้คนยังบริบูรณ์มั่งคั่ง จะขอกองทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ได้เสียก่อน ไทยจึงจะหย่อนกำลัง ภายหลังจึงจะตีเอาเมืองบางกอกเห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้ามังระเห็นชอบด้วย จึงให้เกณฑ์กองทัพเพิ่มเติมมาอีก ให้อะแซหวุ่นกี้ยกไปตีเมืองฝ่ายเหนือให้ยับเยินจงได้ แล้วเสด็จกลับคืนไปเมืองอังวะ
 อะแซหวุ่นกี้รับพระราชบัญชาแล้วจัดแจงแต่งกองทัพ ให้แมงแยยางูผู้น้องกับกะละโบ่ ๑ ปัญญีแยข่องจอ ๑ ปัญญีตจวง ๑ ถือพลสองหมื่นเป็นกองหน้า ตัวอะแซหวุ่นกี้เป็นโบชุกแม่ทัพ กับ ตะแคงมรหน่อง และเจ้าเมืองตองอู ถือพลหมื่นห้าพัน พร้อมด้วยช้างม้าสรรพาวุธพร้อมเสร็จ เมื่อจัดเตรียมทัพพร้อมแล้ว ถึง ณ เดือน ๑๑ ก็ยกกองทัพจากเมืองเมาะตะมะเข้าสู่ไทยทางด่านเมืองตาก แล้วหยุดทัพอยู่ที่นั้น กรมการเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร เห็นกองทัพพม่ายกมามากเหลือกำลังจะต่อรบก็พาครัวหนีเข้าป่า แล้วส่งหนังสือบอกไปถึงกองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) และบอกลงมายังกรุงธนบุรีกราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ”
 * นายขนมต้มเป็นชาวอำเภอบางบาล นักมวยดังในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึก เขาได้แสดงฝีมือให้ปรากฏต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้าอังวะ ปราบนักมวยพม่ามอญราบคาบด้วยการชนะน็อกทั้งหมดมากกว่า ๑๐ คน จนพระเจ้าอังวะทรงตบอกกล่าวชม แถมแขวะมาถึงไทยว่า “ ไทยมีพิษอยู่ทั่วตัว ...ฯลฯ...” ก็เห็นจะจริงดังคำตรัสของพระองค์นะครับ
อะแซหวุ่นกี้เห็นว่ากรุงธนบุรีเข้มแข็งเพราะมีกำลังอันเข้มแข็งทางเหนือให้การสนับสนุนค้ำจุนอยู่ หากเข้าตียึดหัวเมืองฝ่ายเหนือได้หมดแล้ว กรุงธนบุรีก็ไม่รอดมือไปได้ จึงขออนุญาตพระเจ้าอังวะยกทัพใหญ่เข้าตีหัวเมืองฝ่ายเหนือโดยมุ่งตรงพิษณุโลกเป็นเป้าหมายสำคัญ สมเด็จพระเจ้าตากสินจะทรงรับมือศึกใหญ่นี้อย่างไร อ่านต่อวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี่ผึ้งไทย ๑๓ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- คำทำนายอะแซหวุ่นกี้ -
“อะแซหวุ่นกี้”เข้าตีดะ ตากเลยละสุโขทัยไม่ตกหล่น ล้อมพิษณุโลกแล้วตีวน สู้กันจนอุตลุดสุดฝีมือ
เจ้าพระยาจักรีฝีมือแกร่ง ขุนพลแห่งพม่ายอมน้อมนับถือ กล่าวทำนายว่าจะเรืองระบือ ต่อไปคือแน่ชัดกษัตริย์ไทย |
อภิปราย ขยายความ...........................
เมื่อวันวานนี้ได้บอกกล่าวเล่าความถึงตอนที่ พระเจ้าอังวะจัดงานฉลองยอดฉัตรพระมหาเจดีย์เกศธาตุ (ชเวดากอง) ให้มีการชกมวย และนำนายขนมต้มเชลยชาวไทยที่เป็นนักมวยฝีมือดีของไทย ขึ้นชกกับนักมวยพม่ามอญ แล้วผลปรากฏว่านายขนมต้มชนะน็อกรวด ๑๐ คนกว่า ทรงตบพระอุระตรัสชมเชยแล้วเสด็จกลับอังวะ โปรดให้อะแซหวุ่นกี้จัดทัพใหญ่ยกเข้าตีไทยทางภาคเหนือตอนล่างหรือภาคกลางตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพิษณุโลกของเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เรื่องราวจะเป็นอย่างไร วันนี้อ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อไปครับ
 * “ทางเมืองเหนือนั้น กองทัพโปสุพลา โปมะยุง่วน ยกจากเชียงแสนเข้าประชิดเมืองเชียงใหม่ ครั้นกองทัพเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกขึ้นไปถึง ทัพพม่าก็เลิกถอยไป ขณะที่เจ้าพระยาพี่น้องทั้งสองจะยกทัพติดตามไปตีเชียงแสนก็พอดีได้รับหนังสือแจ้งว่ามีกองทัพใหญ่พม่ายกมาทางเมืองตาก เจ้าพระยาทั้งสองจึงรีบยกทัพกลับมาถึงกลางทางเหนือเมืองสุโขทัย แล้วหยุดพักอยู่ที่วัดปากน้ำในเขตเมืองสวรรคโลก กองทัพอะแซหวุ่นกี้ยกมาติดเมืองสวรรคโลกแล้วจับกรมการเมืองได้สองคน อะแซหวุ่นกี้ให้ถามว่า พระยาเสือ เจ้าเมืองพิษณุโลกอยู่หรือไม่ กรมการเมืองตอบว่า ไม่อยู่ ไปเมืองเชียงใหม่ อะแซหวุ่นกี้จึงว่า “เจ้าของเขาไม่อยู่ อย่าเพ่อไปเหยียบเมืองพิษณุโลกเขาเลย“ จึงให้กองทัพหน้ายกลงมาตั้งค่าย ณ บ้านกงธานี (คือเมืองสุโขทัยธานีปัจจุบัน)
(“พระยาเสือ” ที่อะแซหวุ่นกี้เรียก หมายถึง เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ที่เรียกว่าพระยาเสือนั้น ด้วยว่าเจ้าพระยาสุรสีห์นั้นดูจะรบแบบเหี้ยมหาญดุดันจนเป็นที่ขยาดของทหารพม่า ผู้คนจึงตั้งฉายาให้ว่า “พระยาเสือ”)
 เจ้าพระยาทั้งสองทราบดังนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์ จึงปรึกษาเจ้าพระยาจักรี ว่าควรจะยกไปตีพม่าดีหรือไม่ เจ้าพระยาจักรีว่า อย่าไปตีเลย พม่าคงจะยกไปตีเมืองเรา เรากลับไปจัดแจงบ้านเมืองไว้รับข้าศึกดีกว่า แต่เจ้าพระยาสุรสีห์ว่าจะขอไปตีดูกำลังข้าศึก เจ้าพระยาจักรีก็ว่าเจ้าจะไปตีก็ไปเถิด ข้าจะไปจัดแจงบ้านเมืองไว้ท่า ว่าแล้วก็ยกเข้าเมืองพิษณุโลกจัดแจงป้องกันเมือง กวาดต้อนครอบครัวเข้าไว้ในเมือง แล้วให้กองพระยาสุโขทัย พระยาอักษรวงศ์ พระยาพิชัยสงคราม ยกไปรับทัพพม่า ณ บ้านกงธานี
 เจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปตั้งค่าย ณ บ้านไกรป่าแฝก พม่าทราบดังนั้นก็ยกทัพมาล้อมไว้ แล้วขนค่ายตับมาเป็นอันมากตั้งค่ายล้อม เปิดช่องไว้แต่ด้านจะลงแม่น้ำ เจ้าพระยาสุรสีห์ตั้งค่ายอยู่สามวันเห็นทัพพม่ามากเหลือกำลังจะต่อรบ ก็ถอยทัพมาทางด้านที่เปิดไว้ รีบมาเข้าเมือง กองทัพอะแซหวุ่นกี้ยกเข้าตีเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย กองทัพไทยที่ยกมาตั้งรับใต้บ้านกงธานีแตกพ่าย แล้วจัดทัพย่อยแยกย้ายไปตีเมืองพิชัย ทัพใหญ่ยกเข้าถึงเมืองพระพิษณุโลกในเดือนอ้ายข้างขึ้น ให้ตั้งค่ายรายล้อมอยู่ห่างเมืองทั้งสองฟาก เจ้าพระยาทั้งสองก็เกณฑ์พลทหารขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินปราการรอบเมือง ป้องกันเมืองเป็นสามารถ ให้ทำสะพานเรือกข้ามแม่น้ำกลางเมืองสามแห่ง
 อะแซหวุ่นกี้ขึ้นขี่ม้ากั้นร่มระย้าออกเลียบหน้าค่าย มีพลทหารถือปืนนกสับแห่หน้าสามพัน ทหารถือทวนตามหลังพันหนึ่ง เจ้าพระยาสุรสีห์ยกพลทหารออกจากเมืองเข้าโจมตีทัพพม่า พม่าก็ต่อรบ ทั้งสองฝ่ายรบกันถึงตะลุมบอน ทัพไทยต้านทานเหลือกำลังก็ถอยเข้าเมือง วันรุ่งขึ้น อะแซหวุ่นกี้ก็ยกพลออกเลียบค่ายเหมือนวันก่อน เจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นดูบนเชิงเทินแล้วสั่งให้ทหารออกโจมตีก็พ่ายกลับเข้าเมืองอีก เจ้าพระยาจักรี จึงว่า
“ฝีมือทหารเจ้าเป็นแต่ทัพหัวเมือง ซึ่งจะต่อรบกับฝีมือทัพเสนาบดีนั้นไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะออกตีเอง”
 วันรุ่งขึ้นเป็นคำรบสาม อะแซหวุ่นกี้ยกออกเลียบค่ายอีก เจ้าพระยาจักรีก็ยกพลทหารออกจากเมืองเข้าโจมตีทัพอะแซหวุ่นกี้แตกถอยกลับเข้าค่าย และอะแซหวุ่นกี้ก็ยกออกเลียบค่ายอย่างนั้นทุกวัน เจ้าพระยาจักรีก็ยกพลออกโจมตีทุกวัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะถึงเก้าวันสิบวัน อะแซหวุ่นกี้จึงให้ล่ามร้องบอกว่า “เพลาพรุ่งนี้เราอย่ารบกันเลย ให้เจ้าพระยาจักรีแม่ทัพออกมา เราจะขอดูตัว”
 ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เจ้าพระยาจักรีจึงขี่ม้ากั้นสัปทนยกพลทหารออกไปยืนม้าให้อะแซหวุ่นกี้ดูตัว อะแซหวุ่นกี้จึงให้ล่ามถามถึงอายุว่าเท่าใด บอกไปว่าอายุได้สามสิบเศษ จึงถามถึงอายุอะแซหวุ่นกี้บ้าง ล่ามบอกว่า อายุได้เจ็ดสิบสองปี แล้วอะแซหวุ่นกี้ก็พิจารณาดูรูปลักษณะเจ้าพระยาจักรี แล้วสรรเสริญว่า “รูปก็งามฝีมือก็เข้มแข็ง สู้รบเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” แล้วให้เอาเครื่องม้าทองสำรับหนึ่ง กับสักลาดพับหนึ่ง ดินสอแก้วสองก้อน มาให้เจ้าพระยาจักรี แล้วว่าจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง เราจะตีเอาเมืองพิษณุโลกให้จงได้ และในเพลาวันนั้น ไทยกับพม่าก็เข้าไปกินข้าวในค่าย มิได้ทำอันตรายแก่กัน แล้วต่างคนก็กลับไปค่ายไปเมือง
 เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ก็บอกลงมากราบทูล ณ กรุงธนบุรีว่า ทัพพม่ายกมาติดเมืองพระพิษณุโลก แต่ ณ เดือนยี่ข้างขึ้นนั้นแล้ว"
*ท่านผู้อ่านครับ ความตอนนี้มีนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า อะแซหวุ่นกี้ใช้จิตวิทยาในการสงคราม โดยทำนายว่าเจ้าพระยาจักรีจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นการยุแหย่ให้เกิดความแตกแยกระหว่างเจ้าพระยาจักรีกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน เท็จจริงอย่างไรก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองนะครับ
อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่า ดูตัวเจ้าพระยาจักรีแล้ว สำทับว่าจงรักษาเมืองพิษณุโลกให้ดีเราจะตีหักเอาให้จงได้ เป็นการแสดงความมั่นใจว่าต้องได้เมืองพิษณุโลกเป็นแน่ เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง)กับเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) จะจัดการป้องกันเมืองอย่างไร ได้หรือไม่ ติดตามอ่านต่อวันพรุ่งนี้นะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพืธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๔ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ยกทัพหลวงขึ้นไปรบพม่า -
สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพหลวง ด้วยเป็นห่วงสองแควรับศึกใหญ่ เสด็จโดยชลมารคกรากกรำไป ถึงตอนใต้พิษณุโลกยกขึ้นพลัน
ตั้งค่ายรบเรียงรายกระจายทั่ว ให้ตื่นตัวตีพม่าอย่าย่อยั่น บางค่ายรบอุตลุดพัลวัน จนตั้งมั่นคงพอพร้อมต่อตี |
อภิปราย ขยายความ......................................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวความถึงตอนที่ที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพใหญ่มาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย โดยเข้ามาทางเมืองตากแล้วยึดเมืองสวรรคโลก สุโขทัย และเข้าล้อมเมืองพระพิษณุโลก รบกับเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ผลัดกันแพ้และชนะถึงเก้าครั้งสิบครั้ง ในที่สุดอะแซหวุ่นกี้ประกาศพักรบ ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีแล้วกล่าวคำทำนายว่า “ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” จากนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากันต่อไปครับ
 “สมเด็จพระเจ้าตากสิน ดำรัสให้เกณฑ์กองทัพทั้งทางบกทางเรือ พร้อมด้วยช้างม้าสรรพาวุธครบครัน พลฉกรรจ์ลำเครื่องจีนไทยเป็นคนหมื่นสองพันสองร้อยเจ็ดสิบคน แล้วดำรัสถามพม่าตัวนายที่ยอมจำนนขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหมดจากค่ายบ้านนางแก้วนั้นว่า จะให้ไปทำสงครามกับพม่าที่ยกมาใหม่นั้นจะไปหรือไม่ งุยอคุงหวุ่น อุตมสิงหจอจัวและนายทัพพม่าทั้งปวงตอบเหมือนกันว่า “หากโปรดให้ไปรบกับข้าศึกอื่น จะขออาสาไปทำสงครามกว่าจะสิ้นชีวิต แต่จะให้ไปรบกับพม่าพวกเดียวกันนั้นเห็นเหลือสติปัญญา จะไปดูหน้าพวกกันกระไรได้ มีความละอายนักจนใจอยู่แล้ว”
 เมื่อทรงทราบคำกราบบังคมทูลดังนั้นจึงดำรัสว่า มันยังไม่ภักดีแก่เราโดยแท้ ยังนับถือเจ้านายมันอยู่ และเราจะยกไปทำการสงคราม ผู้คนอยู่รักษาบ้านเมืองน้อย พวกมันมาก จะแหกคุกออกกระทำจลาจลแก่บ้านเมืองข้างหลัง จะเอาไว้มิได้ ดำรัสให้เอาไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดทอง (วัดสุวรรณฯ ปัจจุบัน) คลองบางกอกน้อยทั้งสิ้น พร้อมกับให้ประหารแม่ทัพพวกอ้ายเรือนพระฝางทั้งสี่คนที่จำคุกไว้นั้นด้วย จากนั้นโปรดให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์) ไปอยู่รักษาเมืองเพชรบุรี ป้องกันด่านทางข้างตะวันตก ให้หมื่นศักดิ์บริบาลลงเรือเร็วขึ้นไปสืบราชการศึก ณ เมืองพระพิษณุโลก
 * ณ วันอังคาร แรม ๑๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ (พ.ศ. ๒๓๑๘) สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จลงเรือพระที่นั่งกราบยาวสิบสามวา ยาตรานาวาทัพหลวงจากกรุงธนบุรีไปโดยทางชลมารค หยุดประทับแรม ณ พลับพลาหน้าฉนวนน้ำหน้าพระราชวังหลวงกรุงเก่า หมื่นศักดิ์บริบาลซึ่งขึ้นไปสืบราชการศึก ณ พิษณุโลกนั้นกลับลงมากราบบังคมทูลว่า ทัพพระยาสุโขทัย พระยาอักษรวงศ์เมืองสวรรคโลก พระยาพิชัยสงคราม ที่ไปตั้งค่ายรบพม่า ณ บ้านกงธานีนั้นได้เลิกทัพถอยลงมาแล้ว จึงให้เร่งยกทัพเรือขึ้นไป ครั้นเสด็จขึ้นไปถึงเมืองนครสวรรค์จึงดำรัสให้พระยาราชาเศรษฐีคุมกองจีนสามพันตั้งค่ายรักษาอยู่ที่นั้น
 ณ วันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ กองทัพหลวงเสด็จถึงค่ายปากน้ำพิงตะวันออกเสด็จขึ้นประทับ ณ พลับพลาในค่าย แล้วดำรัสให้กองพระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปตั้ง ณ บ้านบางทรายเป็นหลายค่าย รายขึ้นไปตามริมน้ำ ให้กองเจ้าพระยาอินทรอภัยยกขึ้นไปตั้งค่าย ณ บ้านท่าโรง ให้กองพระยาราชภักดียกไปตั้งค่าย ณ บ้านกระดาษ ให้กองเจ้าหมื่นเสมอใจราชยกไปตั้งค่าย ณ วัดจุฬามณี และให้ตระเวนบรรจบถึงกัน ให้กองพระยานครสวรรค์ยกไปตั้งค่ายรายโอบค่ายพม่าขึ้นไปแต่วัดจันทร์จนถึงเมืองพระพิษณุโลก ให้ชักปีกกาตลอดถึงกันทุก ๆ ค่าย แล้วให้พระศรีไกรลาสคุมไพร่พลห้าร้อยไปทำทางหลวง ณ ปากน้ำพิงขึ้นไปจนถึงเมืองพระพิษณุโลก
 ณ วันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ หลวงดำเกิงรณภพไปสืบข่าวราชการมากราบทูลว่า ทัพพม่ายกลงมาฟากตะวันตกเข้าตีค่ายพระยาราชภักดี ณ บ้านกระดาษ ทำอาการประหนึ่งจะเข้าตั้งค่ายประชิดแล้วเลาะล่วงค่ายเจ้าพระยาอินทรอภัยลงมาจนถึงค่ายพระยาราชสุภาวดี ณ บ้านบางทราย ครั้นเพลาค่ำก็เลิกถอยไป ทรงทราบดังนั้นจึงดำรัสให้พระยาวิจิตรนาวี หลวงดำเกิงรณภพ หลวงรักษาโยธา หลวงภักดีสงคราม คุมเอาปืนใหญ่รางเกวียนสามสิบสี่บอกลากขึ้นไปใส่ค่ายบางทราย ครั้นเพลาค่ำทัพพม่ายกมาตั้งค่ายประชิดลงหน้าค่ายเจ้าหมื่นเสมอใจราช ณ วัดจุฬามณีสามค่าย ตำรวจไปสืบราชการมากราบทูล จึงดำรัสให้พระยาธรรมไตรโลก พระยารัตนพิมล พระยาชลบุรี คุมพลทหารอยู่รักษาค่ายหลวง ณ ปากน้ำพิงฟากตะวันออก
 ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ จึงเสด็จยกพยุหยาตราทัพหลวงขึ้นไปประทับ ณ ค่ายมั่นวัดบางทรายฝั่งตะวันออก ค่ำวันนั้นทัพพม่ายกเข้าตีค่ายเจ้าพระยาอินทรอภัย ณ บ้านท่าโรงฟากตะวันตก ได้รบกันเป็นสามารถ ตำรวจไปสืบราชการนำความมากราบทูล จึงให้หลวงดำเกิงรณภพยกเอาพลเกณฑ์หัดสองร้อยลงเรือข้ามน้ำไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัย ทัพพม่าก็เลิกถอยไป วันรุ่งขึ้นจึงลงเรือพระที่นั่งข้ามไปทอดพระเนตรค่ายพระโหราธิบดีฟากตะวันตก เห็นผิดกับพระราชดำริ ตั้งอยู่แต่ริมน้ำเอาต้นไม้ใหญ่ไว้นอกค่าย แม้นพม่าเข้ามาแฝงต้นไม้ยิงก็จะได้ ขึ้นบนต้นไม้ยิงปรำลงมาในค่ายก็จะเสียท่วงทีแก่ข้าศึก จึงดำรัสสั่งให้รื้อค่ายเก่าเสียแล้วตั้งใหม่ ให้โอบต้นไม้ใหญ่ไว้ในค่ายกว้างออกไปกว่าค่ายเก่า
 ในวันเดียวกันนั้นพระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) ยกกองมอญขึ้นไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่าเหนือเมืองพระพิษณุโลกฟากตะวันออก พม่ายกออกตีได้รบกันเป็นสามารถ พวกกองมอญยิงปืนตับต้องพม่าล้มตายลำบากไปเป็นอันมากแล้วถอยทัพเข้าค่าย กองรามัญจึงตั้งค่ายลงได้
* ไม่ทรงโหดเหี้ยมเกินไปนักหรอกนะครับ ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสั่งประหารเชลยศึกพม่าที่จับมาจากค่ายบ้านนางแก้ว เพราะตรัสถามแล้วว่าจะร่วมรบพม่าที่เมืองเหนือด้วยหรือไม่ พวกเขาก็ตอบตามความเป็นจริง หากไม่ประหารก็จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติดังที่มีพระราชดำริ ทรงทำถูกต้องดีแล้ว หลังจากนั้นเสด็จพยุหยาตราโดยชลมารค ถึงบ้านปากพิงใต้เมืองพิษณุโลก ทรงยกพลขึ้นบกตั้งค่ายรายขึ้นเป็นหลายค่าย พม่าก็ยกเข้าโจมตี มีการรบกันประปราย แต่ก็ดุเดือดทุกครั้ง เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ตามอ่านวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขั้ผึ้งไทย ๑๕ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ขุดอุโมงค์เข้ารบกัน -
พม่าไทยขุดอุโมงค์โยงทางรบ ครั้นเดินพบใต้ดินไม่ผินหนี เข้าแทงฟันกันตุ้บทิ่มทุบตี ตายเป็นผีมากมายอยู่ใต้ดิน
รบใต้ดินบนดินไม่สิ้นสุด อุตลุดชุลมุนสะท้านถิ่น พระเจ้าตากสั่งก้องป้องธรณินทร์ ทุกคนยินดีพร้อมรบยอมตาย |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวเล่าเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงยกยกทัพหลวงโดยทางเรือขึ้นไปรบพม่าที่กำลังเข้าโจมตีเมืองพิษณุโลก ทรงยกทัพไปถึงบ้านปากพิงใต้เมืองพิษณุโลกก็ยกพลขึ้นบก ตรัสให้ตั้งค่ายรายเรียงตามลำน้ำน่าน พม่ายกกองกำลังเข้าตีค่ายที่ตั้งเสร็จและไม่เสร็จหลายค่าย ไทยสู้รบอย่างดุเดือดทุกค่าย พม่าก็ล่าถอยไป วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อไปครับ
 ฝ่ายในเมืองพระพิษณุโลกนั้น เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ก็ยกพลทหารออกตั้งค่ายประชิดค่ายพม่านอกเมืองฟากตะวันออก พม่ายกออกรบชิงเอาค่ายได้ เจ้าพระยาสุรสีห์ขับพลทหารหนุนเข้าไป ฟาดฟันทหารพม่าตีเอาค่ายคืนได้ พม่าล้มตายและลำบากไปเป็นอันมาก
 แต่บรรดาค่ายพม่าซึ่งตั้งค่ายรายประชิดกันอยู่นั้น พม่าขุดอุโมงค์เดินใต้ดินเข้ามารบทุกค่าย ฝ่ายข้างทหารไทยก็ขุดอุโมงค์ออกไปจากค่ายทุก ๆ ค่าย และอุโมงค์ทะลุถึงกัน ได้รบกันกับพม่าในอุโมงค์ ฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ให้ทหารตัดศีรษะพม่ามาถวายเนือง ๆ จึงพระราชทานปืนใหญ่รางเกวียนยี่สิบบอกให้ลากขึ้นไป ณ ค่ายประชิด ให้ยิงทลายค่ายพม่า
ขณะนั้น พระยานครสวรรค์แต่งคนไปลาดตระเวน จับได้ไทยเชลยพม่าสองคนให้การว่า อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาครั้งนี้มีกำลังพลสามหมื่นห้าพัน ทัพหลังคนห้าพันตั้งอยู่บ้านกงธานี อะแซหวุ่นกี้และแมงแยยางูผู้น้อง กับ กะละโบ่ และเจ้าเมืองตองอู ถือพลสามหมื่นยกมาติดเมืองพระพิษณุโลก บัดนี้นายทัพพม่าทำการขัดสนนัก เห็นอาการจะเลิกถอยไป พระยานครสวรรค์จึงบอกส่งไทยเชลยสองคนกับคำให้การมาถวาย ณ ค่ายหลวง
 ณ วันอังคาร แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ กลางคืนเวลาประมาณสี่ทุ่ม สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพหลวงขึ้นไป ณ ค่ายมั่นใกล้วัดจันทร์ ดำรัสให้กองพระยายมราชและพระยานครราชสิมา พระยาพิชัยสงคราม ยกไปช่วยพระยานครสวรรค์ ซึ่งตั้งค่ายประชิดโอบค่ายพม่า ณ วัดจันทร์นั้น ครั้นเพลาสิบเอ็ดทุ่ม กองทัพไทยก็จุดปืนใหญ่ยิงทลายค่ายพม่า แล้วยกออกปล้นทุกหน้าค่ายพม่า พวกพม่าก็ยกหนุนกันออกมารบจนเพลารุ่ง นายทัพทั้งปวงจะหักเอาค่ายพม่ามิได้ก็ถอยกลับเข้าค่าย
 วันพุธ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ จึงดำรัสปรึกษาท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทัพหลวงจะตั้งมั่นอยู่ที่นี่ เห็นราชการจะเนิ่นช้า จะถอยลงไปตั้งอยู่ ณ ค่ายท่าโรง แล้วจะเกณฑ์กองทัพยกไปทางฟากตะวันตกให้เข้าตั้งค่ายประชิดโอบหลังค่ายพม่าไว้ และท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นด้วยกับพระราชดำริ ครั้นเพลาสี่ทุ่มจึงเสด็จถอยทัพหลวงลงไปตั้งอยู่ ณ ค่ายท่าโรง วันรุ่งขึ้นจึงให้ข้าหลวงไปหากองทัพพระยานครสวรรค์ที่ค่ายวัดจันทร์ และกองพระโหราธิบดีกับกองมอญพญากลางเมือง ณ ค่ายบางทราย ให้ยกลงมา ณ ค่ายหลวง
 ดำรัสให้พระยามหามนเทียร เป็นแม่ทัพถือพลห้าพัน ให้กองพระยานครสวรรค์เป็นทัพหน้า หลวงดำเกิงรณภพ หลวงรักษ์โยธา คุมพลทหารกองใน กองนอก กองเกณฑ์หัด สามพันสี่ร้อยเป็นกองหนุน ยกไปตั้งค่ายประชิดติดค่ายพม่า แล้วดำรัสให้พระราชสงครามลงไปเอาปืนพระยาราชปักษี ปืนฉัตรชัย ณ กรุงธนบุรี บรรทุกเรือขึ้นมาให้มาก”
 * ท่านผู้อ่านครับ การรบกับพม่าที่ยกมาตีเมืองพระพิษณุโลกเป็นการรบที่ดุเดือดมากที่สุด รบกันถึงขนาดที่พม่าและไทยลงทุนลงแรงขุดอุโมงค์เดินทัพใต้ดินเข้ารบกัน เป็นการรบทั้งบนดินและใต้ดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย เส้นทางเดินทัพและสถานที่ตั้งค่ายทัพพม่าทัพไทยนั้น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้อย่างชัดเจน สมรภูมิย่อย ๆ ในการรบเริ่มตั้งแต่บ้านไกร ป่าแฝก บ้านกง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ทางเบื้องทิศตะวันตกเมืองพิษณุโลก
บ้านปากพิง หรือปากน้ำพิง ท่าโรง บางทราย บ้านกระดาษ วัดจุฬามณี วัดจันทร์ สมรภูมิเหล่านี้อยู่ด้านใต้เมืองพระพิษณุโลก ส่วนที่กองทัพมอญยกไปตั้งทางเหนือเมืองพระพิษณุโลกนั้น เห็นจะเป็นบริเวณประตูมอญ ด้านเหนือวัดใหญ่ในปัจจุบัน
 อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพเฒ่าชาวพม่าหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องตีเอาเมืองพระพิษณุโลกให้จงได้ แต่ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพหลวงขึ้นมาช่วยอย่างนี้แล้ว ความปรารถนาของอะแซหวุ่นกี้จะสำเร็จหรือไม่ ต้องติดตามดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อไปยามค่ำของวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พิษณุโลกขาดเสบียง -
“กองทัพเดินด้วยท้อง”ถูกต้องมาก เมื่ออดอยากท้องกิ่วหิวกระหาย ไร้แรงรบปิ่มว่าชีวาวาย ล้วนสิ้นลายเสือสิงห์หมดยิ่งยง
กองทัพเมืองสองแฅวร่อแร่แล้ว ทนแขม่วท้องสู้สุดแรงหลง ขาดเสบียงเลี้ยงท้องที่พร่องลง คาดว่าคงไม่นานเมืองพานพัง |
อภิปราย ขยายความ......................
เมื่อวันวานนี้ได้กล่าวถึงตอนที่อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าแห่งอังวะยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพหลวงจากกรุงธนบุรีโดยทางชลมารคขึ้นไปช่วย ทรงตั้งค่ายหลวงที่บ้านปากพิง รุกขึ้นไปถึงบางทรายแล้วถอยกลับลงมาปักหลักที่ท่าโรง มีพระราชดำรัสให้พระราชสงครามลงไปเอาปืนพระยาราชปักษี ปืนฉัตรชัย จากกรุงธนบุรีขึ้นมายิงพม่า การศึกระหว่างพม่ากับไทยที่พิษณุโลก พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้อย่างละเอียด ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่คนไทยรุ่นเรานี้ควรรับรู้วีรกรรมของคนไทยที่ต่อสู้ข้าศึกศัตรูปกป้องผืนแผ่นดินไทยไว้ให้พวกเรา ว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ดังนั้นต่อไปนี้ผมจะยกข้อความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาแสดงทั้งหมด โดยไม่ตัดคำและความเลย ดังนี้ครับ
 “ฝ่ายนายกองทัพหน้าพม่า เข้าไปแจ้งข้อราชการแก่อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพว่า ไทยมีฝีมือเข้มแข็งนัก จะรบเอาชัยชำนะโดยเร็วเห็นจะไม่ได้ แล้วทัพหลวงก็ยกขึ้นมาช่วยรี้พลเป็นอันมาก อะแซหวุ่นกี้จึงให้ม้าใช้ไปสั่งปัญญีตวงซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านกงธานี ให้นายทัพคุมพล ๓,๐๐๐ ยกลงมา ณ เมืองกำแพงเพชร แล้วให้เดินทัพลงไป ณ เมืองนครสวรรค์ แซงลงไปเมืองอุทัยธานี ถ้าได้ทีให้วกหลังตัดลำเลียงกองทัพไทยจะได้พะว้าพะวังระวังทั้งหน้าหลังหย่อนกำลังลง และทัพอีกสองพันนั้นให้ยกหนุนมาตั้งค่ายใหญ่ใกล้เมืองพระพิษณุโลกฟากตะวันออก
 ครั้น ณ วันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ จึงพระยาสุโขทัยซึ่งตั้งซุ่มคอยสอดแนมสืบราชการ ณ ทัพพม่าบ้านกงธานีนั้น บอกลงมากราบทูลว่าพม่าตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านกงธานีห้าค่าย บัดนี้ยกกันข้ามน้ำไปฟากตะวันตกกองหนึ่ง ยกหนุนมาเมืองพระพิษณุโลกกองหนึ่ง ครั้นทรงทราบจึงดำรัสว่า เกลือกพม่าจะวกหลังตีเสบียง ให้กองพระยาราชภักดีกับพระยาพิพัฒโกษายกลงไปช่วยราชการพระยาราชาเศรษฐี ซึ่งตั้งค่าย ณ เมืองนครสวรรค์ แล้วให้กองพระยาธรรมายกหนุนขึ้นไปช่วยพระยามหามนเทียรและพระยานครสวรรค์ ซึ่งไปตั้งค่ายประชิดโอบหลังค่ายพม่า ณ วัดจันทร์ฟากตะวันตก แล้วให้หลวงภักดีสงครามและพระยาเจ่งกับกรมการเมืองชัยนาท คุมพลไทยมอญห้าร้อยเศษยกขึ้นไปตั้งอยู่ ณ บ้านดอกไม้แขวงเมืองกำแพงเพชร คอยดูท่วงทีพม่าซึ่งยกมาแต่บ้านกงธานีนั้นจะไปแห่งใด ถ้าเห็นได้ทีจึงให้ออกโจมตี ถ้าไม่ได้ทีก็ให้ลาดถอยมา
 ฝ่ายในเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เกณฑ์พลทหารออกตั้งค่ายนอกเมืองฟากตะวันตก ตั้งค่ายประชิดค่ายพม่าซึ่งล้อมเมืองนั้น ครั้นเพลาค่ำในวันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ จึงเจ้าพระยาสุรสีห์ให้เอาไม้มาทำคบเอาผ้าชุบน้ำมันยางจุดเพลิงในกระบอกปืนใหญ่ ยิงไปเผาค่ายพม่าไหม้ขึ้นค่ายหนึ่ง หอรบไหม้ทำลายลงสองหอ พม่าออกมาดับไฟยิงตายและลำบากไปเป็นอันมาก แต่เสบียงอาหารในเมืองขัดสนนัก ด้วยจะกวาดเข้าเมืองหาทันไม่ จึงบอกลงไป ณ ทัพหลวงขอพระราชทานเสบียง ก็โปรดให้กองทัพคุมลำเลียงขึ้นไปส่ง พม่าก็ออกตีตัดลำเลียงกลางทางไปส่งหาถึงไม่
 ครั้งหลังจึงโปรดให้กองลำเลียงขนเอาขึ้นไปส่งอีก ให้กองพระยานครราชสิมายกไปช่วยป้องกันลำเลียง แล้วให้เจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพลงมาคอยรับ แต่กะละโบ่แม่กองหน้าพม่านั้นเข้มแข็ง ยกทัพมาสกัดตีกองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์กับทัพพระยานครราชสิมาหาเข้าถึงกันได้ไม่ ทัพเมืองพิษณุโลกก็ถอยกลับเข้าเมือง ทัพเมืองนครราชสิมาก็พากองลำเลียงถอยกลับมาค่ายหลวง และข้าวในเมืองพิษณุโลกก็เปลืองลงทุกวัน ๆ แจกจ่ายรี้พลก็หาพออิ่มไม่ ไพร่พลก็ถอยกำลังอิดโรยลง
ฝ่ายข้างกองทัพพม่าก็ขัดเสบียงอาหารลงเหมือนกัน แต่อยู่ภายนอกที่ทำเลกว้าง เที่ยวหาบุก กลอย และรากกระดาษปนกับอาหารกินค่อยเนิ่นช้าวันไป ไม่สู้ขัดสนนักเหมือนในเมือง
 ครั้น ณ วันศุกร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ จึงขุนพัศดีถือหนังสือบอกขึ้นมากราบทูลว่า พม่าเมืองมฤตยกกองทัพเข้ามาตีเมืองกุย เมืองปราณ ต้านทานมิได้ จึงถอยเข้ามาตั้งอยู่ ณ เมืองชะอำและทัพพม่าเลิกกลับไป บัดนั้นพระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์) ให้แต่งพลทหารไปขัดทัพอยู่ที่ช่องแคบด่านเมืองเพชรบุรี จึงดำรัสให้กองพระเจ้าหลานเธอเจ้าประทุมไพจิตรยกลงมารักษากรุงธนบุรีระวังราชการศึกข้างฝ่ายใต้
 ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งยกลงมา ณ เมืองกำแพงเพชร มายังมิทันถึง จึงกองทัพข้าหลวงไทยมอญห้าร้อยก็ยกออกโจมตีที่กลางทาง ทัพพม่ามิทันรู้ตัวก็แตกฉาน ทัพพวกข้าหลวงเก็บได้ศัสตราวุธต่าง ๆ แล้วลาดถอยมา จึงบอกส่งสิ่งของเครื่องศัสตราวุธลงมาถวาย จึงดำรัสสั่งให้พระสุนทรสมบัติกับหมื่นศรีสหเทพ คุมเอาเสื้อผ้าไปพระราชทานขุนนางไทยมอญซึ่งล่าลงมา ณ บ้านร้านดอกไม้นั้น”
 ** สถานการณ์คับขันเข้าขั้นวิกฤติแล้วครับ คำกล่าวที่ว่า “กองทัพเดินได้ด้วยท้อง” แสดงความเป็นจริงให้ปรากฏแล้ว เสบียงอาหารในเมืองพิษณุโลกขาดแคลน เพราะพม่ายกทัพมาล้อมเมืองรวดเร็วจนไม่ทันขนเสบียงอาหารมาสะสมไว้ได้ในเมืองได้ รบกันนานวันเข้า อาหารสำหรับทหารก็ขาดแคลนลง เมื่อทหารอดอยากกำลังวังชาก็โรยราลง เจ้าพระยาสองพี่น้องร้องขอเสบียงจากกองทัพหลวง สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงรีบจัดส่งไปให้ ครั้งแรกถูกกองกำลังพม่าดักปล้นจนหมดสิ้น ทรงส่งครั้งที่ ๒ ตรัสให้เจ้าพระยาสุรสีห์ยกกำลังออกมารับ ก็ถูกพม่าออกโจมตีจนกองเสบียงต้องล่าถอยกลับค่ายหลวง เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ต้องล่าถอยเข้าเมืองพิษณุโลก
 ทางฝ่ายกองทัพอะแซหวุ่นกี้นั้นก็ขาดแคลนเสบียงอาหารเช่นกัน แต่ยังดีที่อยู่นอกเมือง สามารถไปเที่ยวขุดหาหัวกลอยหัวมันตามป่ามากินกันได้บ้าง จึงได้เปรียบกองทัพไทยเมืองพิษณุโลกมาก พร้อมกันนั้น อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าผู้เชี่ยวชาญการศึกสงคราม ยังสั่งให้กองทัพหลังที่ตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านกง บ้านธานี ใกล้เมืองสุโขทัยนั้น ยกกำลังลงไปทางกำแพงเพชร ให้เลยลงไปนครสวรรค์ อุทัยธานี คอยดักปล้นกองลำเลียงเสบียงกรัง อย่าให้ส่งขึ้นมาเลี้ยงกองทัพหลวงของพระเจ้าตากสินได้
 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงรู้เชิงกลศึก จึงตรัสสั่งให้กองกำลังของไทยแยกย้ายกันไปก้าวสกัดตัดตีกองกำลังของอะแซหวุ่นกี้ที่เมืองกำแพงเพชรส่วนหนึ่ง ยกลงไปช่วยป้องกันเมืองนครสวรรค์อีกส่วนหนึ่ง กองกำลังพม่ายกไปทางกำแพงเพชรยังไม่ทันตั้งค่ายก็ถูกไทยโจมตีแตกกระเจิงไป แล้วกองกำลังไทยก็ปักหลักมั่นคอยคุมเชิงพม่า อยู่ที่บ้านลานดอกไม้ใกล้เมืองกำแพงเพชรนั้น
ในยามนั้นกองทัพน้อยพม่าก็ได้ยกจากเมืองมะริดเข้าตีไทยที่กุยบุรี และปราณบุรี กรมการเมืองต่อสู้ต้านทานมิได้ก็ล่าถอยมาตั้งหลักอยู่ที่เมืองชะอำ พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์) จึงแต่งกองกำลังให้ลงไปขัดทัพอยู่ที่ช่องแคบด่านเมืองเพชรบุรี ให้กองพระเจ้าหลานเธอเจ้าประทุมไพจิตรยกลงมารักษากรุงธนบุรี เฝ้าระวังราชการศึกข้างฝ่ายใต้ สมเด็จพระเจ้าตากสินจะทรงแก้ไขสถานการณ์วิกฤตินี้อย่างไร ตามไปอ่านต่อวันพรุ่งนี้นะครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๗ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทัพหลวงถอยตั้งหลัก -
พม่าโหมโรมรันไม่ครั่นคร้าม ไทยสู้ตามแรงที่พอมีหวัง พระเจ้าตากสินทำเต็มกำลัง เสด็จยังค่ายทหารบัญชารบ
ตรัสปลุกใจให้ทหารอาจหาญสู้ ค่อยเรียนรู้กลศึกลึกให้จบ ทรงสั่งการต้านรุกทุกทางครบ แผนสยบพม่าทรงบรรจงวาง |
อภิปราย ขยายความ.........................................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาวางให้อ่าน เป็นเรื่องราวของการรบระหว่างไทย-พม่าในสมรภูมรบรอบ ๆ เมืองพิษณุโลก กองทัพฝ่ายเมืองพิษณุโลกของเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ขาดเสบียงอาหารอย่างหนัก สถานการณ์อยูในขั้นวิกฤติแล้ว วันนี้มาอ่านพระราชพงศาวดารฉบับเดิมต่อครับ
 ฝ่ายทัพพม่าก็ยกลงมาตั้งค่าย ณ บ้านโนนศาลาสองค่าย บ้านถลกบาตรค่ายหนึ่ง บ้านหลวงค่ายหนึ่ง ในแขวงเมืองกำแพงเพชร แล้วยกแยกลงไปทางเมืองอุทัยธานีกองหนึ่ง เข้าเผาบ้านอุทัยธานีเสีย ครั้นถึง ณ วันเสาร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ขุนยกกระบัตรเมืองชัยนาทไปสืบราชการทัพพม่าขึ้นมากราบทูลว่า พม่าตั้งค่ายอยู่ ณ แขวงเมืองกำแพงเพชรสี่ด้าน ยกไปเมืองอุทัยธานีกองหนึ่งเผาบ้านเมืองเสีย แล้วจะไปทางใดอีกมิได้แจ้ง จึงดำรัสให้ขุนอินทรเดชะเป็นแม่กอง หลวงปลัดเมืองอุทัยธานี กับหลวงสรวิชิตนายด่านเป็นกองหน้า หม่อมเศรษฐกุมารเป็นกองหลวง ให้หม่อมอนุรุทธเทวาเป็นจางวาง บังคับทั้งสามกอง คนพันหนึ่งยกลงไปป้องกันเสบียงและปืนใหญ่ ซึ่งบรรทุกเรือขึ้นมานั้น อย่าให้เป็นอันตรายกลางทาง ถ้ามีราชการศึก ณ เมืองนครสวรรค์ให้แบ่งกองอาจารย์ไปช่วยบ้าง ให้แบ่งลงมาตั้ง ณ บ้านคุ้งสำเภาบ้าง แล้วให้กองพระโหราธิบดีและหลวงรักษ์มนเทียรยกลงไปตั้งค่ายอยู่ ณ โคกสลุด ให้กองพระยานครชัยศรีไปตั้งค่าย ณ โพธิ์ประทับช้าง ป้องกันลำเลียงจะได้ไปมาสะดวก
 ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๓ แรม ๑๓ ค่ำ จึงดำรัสให้ข้าหลวงไปหาเจ้าพระยาจักรี ณ เมืองพระพิษณุโลกลงมาเฝ้า ณ ค่ายบ้านท่าโรง เจ้าพระยาจักรีป่วยลงมาไม่ได้ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ลงมาเฝ้า จึงดำรัสปรึกษาโดยพระราชดำริ จะใคร่ผ่อนทัพลงไปตั้ง ณ เมืองนครสวรรค์ป้องกันเสบียงไว้ และราชการในเมืองพระพิษณุโลกนั้นให้เจ้าพระยาจักรีกับเจ้าพระยาสุรสีห์จงรับรองป้องกันรักษา และเจ้าพระยาสุรสีห์กราบถวายบังคมลากลับไปเมือง
 ในวันนั้น ทัพพม่ายกออกมาจากค่ายเข้าตีกองพระยานครสวรรค์ ซึ่งเดินค่ายขึ้นไปถึงบ้านบางส้มป่อยตั้งลงยังมิทันแล้ว ได้รบกันเป็นสามารถ จับพม่าได้คนหนึ่ง พม่าถูกปืนตายและลำบากลากกันไปเป็นอันมาก ถอยไปเข้าค่าย พระยานครสวรรค์จึงให้หมื่นศรีสหเทพถือหนังสือบอกส่งพม่าลงมาถวาย แล้วกราบบังคมทูลถวายว่า บัดนี้พม่าขัดสนด้วยข้าวและเกลือ เกลือนั้นหนักสองบาทซื้อกันเป็นเงินบาทหนึ่ง ครั้น ณ วันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๒ ค่ำ พระยารัตนพิมลซึ่งอยู่รักษาค่ายปากน้ำพิงบอกมากราบทูลว่า แต่งคนไปสอดแนมถึงวังสองสลึง เห็นพม่ายกมาประมาณสองร้อย ครั้นเพลาบ่ายพม่าเผาป่าขึ้นใกล้ปากน้ำพิงเข้าไปสามคุ้ง จึงดำรัสให้หลวงวิสุทธโยธามาตย์ หลวงราชโยธาเทพ คุมเอาปืนใหญ่รางเกวียนแปดบอกลงเรือข้ามไป ณ ค่ายปากน้ำพิง ฟากตะวันตก
 ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทขึ้นไปทางฟากตะวันออก แต่ค่ายบ้านท่าโรงจนถึงค่ายพระยานครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านแขก ฟากตะวันตกนั้น เสด็จทรงพระเก้าอี้อยู่ที่กลางหาดทราย จึงพระยาธรรมาธิบดี พระยานครสวรรค์ ลงว่ายน้ำข้ามมาเฝ้ากราบทูลว่าพม่าตั้งค่ายประชิดสี่ค่าย แล้วปักกรุยจะตั้งค่ายโอบลงมา จึงดำรัสว่ามันทำลวงดอก อย่ากลัวมัน ให้ตั้งค่ายรายเคียงออกไป ถ้ามันตั้งรายตามไป ให้ตั้งรายแผ่กันไปจงมาก ให้คนรักษาอยู่แต่ค่ายละห้าร้อยคน แล้วอย่าคิดกลัวแตกกลัวเสีย มันจะตีค่ายไหนให้ตีเข้า
 “อันธรรมดาเป็นชายชาติทหารแล้ว จงมีน้ำใจองอาจและอย่ากลัวตาย ตั้งใจอาสาพระรัตนตรัย และพระมหากษัตริย์ ด้วยเดชะผลกตัญญูนั้นจะช่วยอภิบาลบำรุงรักษา ก็จะหาอันตรายมิได้ ถ้าใครย่อท้อต่อการสงครามให้ประหารชีวิตเสีย ศึกจึงจะแก่กล้าขึ้นเอาชัยชำนะได้”
 แล้วให้ยกเอากองพระยาสีหราชเดโชและกองหมื่นทิพเสนามาเข้ากองพระยานครสวรรค์ ยกกองเกณฑ์หัด กองทหารกองอาจารย์มาไว้ในกองหลวง แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับยังค่ายบ้านท่าโรง จึงให้ข้าหลวงขึ้นไปเมืองพิษณุโลกหาเจ้าพระยาจักรีมาเฝ้า พอเจ้าพระยาจักรีหายป่วยแล้วก็ลงมาเฝ้า ณ ค่ายหลวงท่าโรง ครั้นได้ทรงฟังเสียงปืนใหญ่น้อย ณ ปากน้ำพิงหนาขึ้น จึงเสด็จสั่งเจ้าพระยาจักรีให้จัดแจงพลทหารรักษาค่ายท่าโรง เจ้าพระยาจักรีเกณฑ์กองพระยาเทพอรชุน และพระพิชิตณรงค์ให้อยู่รักษา แล้วกลับขึ้นไปเมืองพระพิษณุโลก ครั้นค่ำเพลาสามยามก็เสด็จยกทัพหลวงลงมา ณ ปากน้ำพิง……….
* ท่านผู้อ่านครับ ได้อ่านเรื่องราวการรบระหว่างไทย-พม่าในสมรภูมิหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาแล้ว ท่านมีความรู้สึกรักชาติ รักและหวงแหนแผ่นดินไทยเพิ่มขึ้นไหมครับ พิษณุโลกกำลังขาดเสบียง สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชดำริผ่อนกำลังถอยทัพลงมาปักหลักทางใต้ เมืองพิษณุโลกจะสูญเสียให้แก่อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าแห่งพม่าหรือไม่ วันพรุ่งนี้มาเปิดอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๘ เมมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่าใกล้ประกาศชัยชนะ -
หลายค่ายไทยไพรีโจมตีแตก นายกองแหวกวงผ่านการขัดขวาง หนีข้าศึกสิ้นคิดหลงทิศทาง เป็นตัวอย่างไม่ดีที่ควรตาย
พระเจ้าตากสินสั่งประหารชีวิต ประกาศิตจอมทัพคือกฎหมาย ทหารที่ขี้ขลาดผิดชาติชาย รบแล้วพ่ายซ้ำซากเป็นหลักลอย
พม่ารุกบุกทะลุทะลวงทะลัก เป็นศึกหนักทัพสองไทยต้องถอย พระเจ้าตากสินสั่งทัพทยอย ผ่อนค่อยค่อยสู้พรางอย่างไว้เชิง |
อภิปราย ขยายความ ........................
เมื่อวันวานได้กล่าวถึงเรื่องการรบระหว่างไทย-พม่าในสมรภูมิเมืองพระพิษณุโลก สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพหลวงขึ้นช่วยรบ มีการย้ายค่ายหลวงเป็นหลายครั้ง และครั้งล่าสุดทรงย้ายค่ายหลวงจากบ้านท่าโรงกลับลงไปตั้ง ณ ปากน้ำพิง อันเป็นที่ตั้งค่ายหลวงครั้งแรก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อไปครับ
 “ครั้นเพลาสิบเอ็ดทุ่ม ทัพพม่ายกมาขุดสนามเพลาะเข้าตีค่ายพระยาธรรมไตรโลก พระยารัตนพิมล ณ คลองกระพวง ยิงปืนระดมรบกันเป็นสามารถ รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๔ ค่ำ จึงเสด็จข้ามสะพานเรือกไปฟากตะวันตก ดำรัสให้กองพระยาสุโขทัยยกหนุนออกตั้งค่ายชักปีกกาขุดคลองเดินถึงกัน ให้หลวงดำเกิงรณภพคุมพลเกณฑ์หัดและกองอาจารย์เก่าใหม่ไปเข้ากองพระยาสุโขทัย ให้กองหลวงรักษโยธา หลวงภักดีสงคราม ยกไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่า ณ ปากคลองกระพวง ให้กองหลวงเสนาภักดีกองปืนแก้วจินดาออกตีวกหลัง
 ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๖ ค่ำ เพลาเช้า พระยาสุโขทัยและนายทัพนายกองทั้งปวงก็ยกออกพร้อมกันตีกระหนาบหน้าหลังค่ายพม่า พม่ายกออกมารบ รบกันเป็นสามารถถึงอาวุธสั้น ล้มตายลงทั้งสองฝ่าย ขุนอาสาศรเพลิงถูกปืนพม่าตาย ครั้นวันอาทิตย์ เดือน ๔ ขึ้น ๗ ค่ำ จึงดำรัสให้ข้าหลวงไปหากองเจ้าพระยาอินทรอภัยและกองมอญ พระยากลางเมือง ยกลงมา ณ ปากน้ำพิง ในทันใดนั้นหลวงเสนาภักดีกองปืนแก้วจินดา มากราบทูลว่า ได้ตีวกหลังพม่าเข้าไป พม่าขุดสนามเพลาะวงล้อมไว้สามด้าน กองอาจารย์ถอยเสีย มิได้ช่วยแก้ ข้าพระพุทธเจ้าให้ขุดสนามเพลาะรบอยู่คืนหนึ่ง ต่อรุ่งขึ้นพระยาสุโขทัยจึงตีเข้าไปแก้ออกมาได้
 ครั้นได้ทรงฟัง จึงดำรัสให้เอาตัวอาจารย์ทอง เอาตัวนายดีนายหมวดกองอาจารย์ไปประหารชีวิตเสีย และเลกนั้นพระราชทานให้ขุนรามณรงค์คุมทำราชการสืบไป ครั้นเพลาบ่ายเสด็จไปทอดพระเนตรค่ายที่รบคลองกระพวง แต่ค่ายมั่นออกไประยะทางยี่สิบสองเส้นให้ตั้งค่ายขุดคลองเดินตามปีกกาให้ถึงกัน ขณะนั้นดำรัสภาคโทษพระสุธรรมาจารย์ พระวิสารสุธรรมเจ้ากรมกองอาจารย์ แล้วให้ทำราชการแก้ตัวตั้งค่ายประชิดค่ายพม่า กับกองทหารกองเกณฑ์หัดสืบไป ในวันนั้นเวลาบ่ายห้าโมงเศษพม่าออกปล้นค่ายกองทัพไทย ได้รบกันเป็นสามารถ หลวงดำเกิงรณภพให้ยิงปืนใหญ่น้อยต้องพม่าตายและลำบากมาก
 อนึ่ง ขุนหาญ ทนายเลือกกองนอกรักษาค่าย ให้เพลิงตกลงในถังดินดำติดขึ้นไหม้ คนตายหลายคน และตัวขุนหาญนั้นก็ย่อท้อต่อการศึก จึงดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย แล้วให้ข้าหลวงไปหาพระยายมราชซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ วัดจันทร์ ลงมาเฝ้า ตรัสสั่งให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์บังคับทั้งสิบทัพซึ่งตั้งรับทัพพม่า ณ คลองกระพวงให้กล้าขึ้น
 * ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ กลางคืนประมาณยามเศษ อะแซหวุ่นกี้ ให้กะละโบ่ยกทัพมาข้ามแม่น้ำฟากตะวันออก เข้าปล้นค่ายกรมแสงในคน ๒๑๔ คน ตั้งค่าย ณ วัดพริกห้าค่าย ได้รบกันเป็นสามารถ พม่าแหกเอาค่ายได้ แตกทั้งห้าค่าย นายทัพนายกองและไพร่พลหนีกระจัดพลัดพรายกันไป จึงพระยาเทพอรชุน พระพิชิตณรงค์ ซึ่งรักษาค่ายท่าโรงบอกส่งคนซึ่งแตกลงมาแต่ค่ายวัดพริกทั้งนายไพร่หลายคนลงมาถวาย จึงดำรัสให้ประหารชีวิตหมื่นทิพหนึ่ง ไพร่สิบสามคน เป็นคนสิบสี่คน ตัดศีรษะเสียบไว้ ณ หน้าประตูค่ายปากน้ำพิง แล้วตรัสสั่งว่า บรรดานายไพร่ซึ่งแตกพม่ามานั้น ได้ตัวมาเมื่อใดให้ฆ่าเสียให้สิ้น แล้วให้ข้าหลวงไปหากองพระโหราธิบดี กองหลวงรักษ์มนเทียร ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ โคกสลุด และกองพระยานครชัยศรี ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ โพธิประทับช้างนั้น ให้ยกขึ้นมาช่วยราชการทัพหลวง ณ ปากน้ำพิง
 ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๒ ค่ำ จึงพระยานครสวรรค์บอกลงมากราบทูลว่า ทัพพม่าตั้งค่ายโอบลงมาถึงริมแม่น้ำแล้วยกข้ามไปตีค่ายวัดพริกฟากตะวันออกแตก เห็นพม่าจะวกหลัง จะขอพระราชทานลาดทัพข้ามมาตั้งค่ายรับอยู่ฟากตะวันออก จึงดำรัสให้กองมอญพระยากลางเมือง และกองพระโหราธิบดี และกองพระยาเทพอรชุน กองพระยาพิชิตณรงค์ ซึ่งตั้งอยู่ค่ายท่าโรง เข้ากองพระยายมราช ให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปตีทัพพม่า ซึ่งเข้าตั้งอยู่ ณ ค่ายวัดพริกฟากตะวันออกนั้น และให้กองหลวงรักษามนเทียรไปอยู่รักษาค่ายประชิด แทนพระยากลางเมือง ณ ปากน้ำพิงฟากตะวันตก
 ฝ่ายพระยายมราชยกกองทัพไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่า ณ วัดพริก พม่ายกกองแหกค่ายพระยายมราชหักเอาค่ายได้ ในทันใดนั้นพระยายมราชขับพลทหารเข้าตีพม่าแตกชิงเอาค่ายคืนได้ พม่าถอยไปเข้าค่ายวัดพริกตั้งรบกันอยู่ ขณะนั้นอะแซหวุ่นกี้ให้แมงแยยางูผู้น้องยกทัพใหญ่ลงมาตั้งค่ายโอบหลังค่ายหลวง ณ ปากน้ำพิงฟากตะวันออกเป็นหลายค่าย ได้ต่อรบกันเป็นสามารถ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเห็นศึกหนักเหลือกำลัง ถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ จึงให้ลาดทัพหลวงถอยมาตั้งมั่น ณ บางข้าวตอก ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้เร่งให้ตะแคงมรหน่อง ปัญญีแยข่องจอ และเจ้าเมืองตองอู นายทัพนายกองทั้งปวง ทำการติดเมืองพระพิษณุโลกกวดขันขึ้น
 * ฝ่ายข้างในเมืองก็ขาดเสบียง ตวงข้าวแจกทหารแต่มื้อละฝาเขนง ไพร่พลอิดโรยนักถอยกำลังลง เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เห็นเหลือกำลังที่จะตั้งมั่นรักษาเมืองไว้ได้ ด้วยสิ้นเสบียงอาหารขัดสนนัก จึงบอกลงมากราบทูล ณ ค่ายหลวงแต่ยังเสด็จอยู่ ณ ปากน้ำพิง ว่าในเมืองสิ้นเสบียง จะขอพระราชทานล่าทัพออกจากเมือง ก็โปรดทรงพระอนุญาต
 เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ จึงสั่งให้นายทัพนายกองซึ่งออกไปตั้งค่ายประชิดรับพม่าอยู่นอกเมืองทั้งสองฟากนั้น เลิกถอยเข้าเมืองสิ้น พม่าก็เข้าตั้งค่ายไทยประชิดใกล้เมืองให้ทำบันไดจะพาดกำแพงเตรียมการจะปีนปล้นเอาเมือง พลทหารซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินระดมยิงปืนใหญ่น้อยออกไปดังห่าฝน พม่าจะปีนปล้นเอาเมืองมิได้ ต่างยิงปืนตอบโต้กันอยู่ทั้งสองฝ่าย”
 ** ท่านผู้อ่านครับ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพยายามต่อตีพม่าเป็นสามารถแล้ว แต่พม่าแข็งแกร่งเหลือเกิน ค่ายไทยถูกตีแตกเป็นหลายค่าย พระเจ้าตากสินทรงใช้อาญาทัพประหารชีวิตนายกองที่แตกจากค่ายหนีพม่ามาเสียหลายคน แม้กระนั้นก็ยังแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไม่ได้ อะแซหวุ่นกี้สั่งระดมกำลังโจมตีหนัก จนพระเจ้าตากสินต้องย้ายทัพหลวงถอยร่นลงไปเรื่อย ๆ
พร้อมกันนั้น อะแซหวุ่นกี้ก็กำชับให้กำลังพลของตนระดมตีพิษณุโลกให้แตกจงได้ ทหารในเมืองพิษณุโลกขาดเสบียงอาหารจนหมดกำลังสู้รบแล้ว เจ้าพระยาสองพี่น้องจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลขอทิ้งเมืองพิษณุโลกเพื่อรักษากำลังของตนไว้ก่อน ทรงโปรดฯ อนุญาตแล้วเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ จะพากำลังพลอันอิดโรยของตนตีหักพม่าหนีออกไปจากเมืองพิษณุโลกได้อย่างไร เช้าพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เสียพิษณุโลกแก่พม่า -
แล้วสองเจ้าพระยาพาทหาร ทลายด่านค่ายพม่าถลันเถลิง หักค่ายแหกตีเตลิดแล้วเปิดเปิง จ้านกระเจิงไปเขตเพชรบูรณ์ |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้ยกความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาให้อ่าน ถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินซึ่งยกทัพหลวงจากกรุงธนบุบุรีขึ้นไปรบพม่าที่มาตีเมืองพิษณุโลก กองทัพทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด ฝ่ายไทยเสียเปรียบ เพราะในเมืองพิษณุโลกขาดเสบียงอาหาร ค่ายที่พระเจ้าจากสินตั้งเรียงรายรบกับพม่า ถูกตีแตกเป็นหลายค่าย อะแซหวุ่นกี้โหมเข้าตีเมืองพิษณุโลกอย่างหนัก เพราะขาดเสบียงอาหาร ไพร่พลของเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ในเมืองพิษณุโลกต่างอิดโรย เจ้าพระยาสองพี่น้องเห็นว่าจะต้านทานกำลังทัพอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้แน่ จึงทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าตากสิน ยอมทิ้งเมืองออกไปตั้งหลักก่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงอนุญาต แล้วพร้อมกันนั้นก็ทรงสั่งถอยทัพหลวง ลงไปทางใต้อย่างช้า ๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร อ่านพระราชพงศาวดารต่อไปครับ
 “ครั้นถึง ณ วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เจ้าพระยาทั้งสองจึงให้เจ้าหน้าที่ระดมยิงปืนใหญ่น้อยหนาขึ้นกว่าทุกวัน เสียงปืนสนั่นไปมิได้ขาดตั้งแต่เช้าจนค่ำ แล้วให้เอาปี่พาทย์ขึ้นตีบนเชิงเทินรอบเมือง ลวงให้พม่าเข้าใจว่าตระเตรียมตั้งต่อสู้อยู่ในเมืองให้นานวัน ครั้นเพลาประมาณยามเศษ เจ้าพระยาทั้งสองก็จัดทหารเป็นสามกอง กองหน้ากองหนึ่ง กองกลางให้คุมครอบครัวกองหนึ่ง กองหลังรั้งท้ายกองหนึ่ง แล้วยกกองทัพและครอบครัวทั้งปวงเปิดประตูเมืองข้างด้านฟากตะวันออก ให้พลทหารกองหน้ารบฝ่าออกไป เข้าหักค่ายซึ่งตั้งล้อม
 พม่าในค่ายต่อรบยิงปืนใหญ่น้อยออกมา พลทหารไทยก็หนุนเนื่องกันเข้าไปแหกค่ายพม่าเข้าไปได้ ได้รบกันถึงอาวุธสั้นฟันแทงกันเป็นตะลุมบอน พม่าแตกเปิดทางให้ เจ้าพระยาทั้งสองก็รีบเดินทัพไปทางบ้านมุงดอนชมพู และครอบครัวทั้งปวงนั้นก็แตกกระจัดพลัดพรายตามกองทัพไปได้บ้าง พม่ากวาดไปได้บ้าง ที่หนีลงมาหาทัพหลวง ณ บางข้าวตอกได้บ้าง พม่าก็ติดตามกองทัพไป และกองทัพซึ่งรั้งหลังก็รอสกัดต่อรบต้านทานที่กลางทางเป็นสามารถ พม่าก็ถอยกลับไปเมือง เจ้าพระยาทั้งสองก็เร่งเดินทัพไปถึงเมืองเพชรบูรณ์ หยุดพักอยู่ที่นั้น”
 * เหตุผลที่เจ้าพระยาทั้งสองตีค่ายพม่าหักออกทางด้านทิศตะวันออกเมืองพิษณุโลก ไม่ตีหักออกทางด้านทิศใต้แล้วลงไปรวมกับกองทัพหลวงของพระเจ้าตากสิน ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ทางทิศใต้เมืองพิษณุโลกนั้น มีค่ายพม่าตั้งอยู่อย่างหนาแน่นล้อมตีเมืองพิษณุโลกพร้อมกับตีต่อต้านกองทัพหลวงของพระเจ้าตากสินอยู่ ส่วนทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทิศทางที่ค่ายพม่าเปราะบางที่สุดจึงตีหักออกทิศทางนั้น ครั้นตีค่ายพม่าแตกแล้วก็พากำลังหนีไปทางวังทอง มีครัวส่วนหนึ่งหนีลงไปยังค่ายหลวง ณ บางข้าวตอก เจ้าพระยาทั้งสองนำพากำลังที่เหลือทั้งหมดเดินทางไปทางบ้านมุงชมพู (ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครอง อ.เนินมะปราง) แล้วเลยไปถึงเมืองเพชรบูรณ์ แล้วปักหลักอยู่ที่นั่น เพื่อรอโอกาสจะ “เอาคืน” ต่อไป
 ** “ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้แจ้งว่าทัพไทยแหกหนีออกจากเมืองแล้ว ก็ขับพลทหารเข้าในเมือง ให้จุดเพลิงเผาบ้านเรือนและอารามใหญ่น้อยทุกตำบล แสงเพลิงสว่างดังกลางวัน ให้ไล่จับผู้คนและครอบครัวซึ่งยังตกค้างอยู่ในเมืองหนีออกไม่ทันนั้น และเก็บเอาทรัพย์สินและเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ แล้วตั้งอยู่ในเมือง อะแซหวุ่นกี้จึงออกประกาศแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ไทยบัดนี้ฝีมือเข้มแข็งนัก ไม่เหมือนไทยแต่ก่อน และเมืองพระพิษณุโลกเสียครั้งนี้ใช่จะแพ้เพราะฝีมือทแกล้วทหารนั้นหามิได้ เพราะเขาอดข้าวขาดเสบียงอาหารจึงเสียเมือง และซึ่งจะมารบเมืองไทยสืบไปภายหน้านั้น แม่ทัพมีสติปัญญาและฝีมือแต่เพียงเสมอเราและต่ำกว่าเรานั้น อย่ามาทำสงครามตีเมืองไทยเลย จะเอาชัยชำนะเขามิได้ แม้นดีกว่าเราจึงจะมาทำศึกกับไทยได้ชัยชำนะ
 พอข้างกรุงอังวะได้ม้าใช้ถือหนังสือลงมาถึงอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพว่า พระเจ้ามังระทิวงคต บัดนี้จิงกูจาราชบุตรพระชนม์ยี่สิบห้าปีได้เสวยราชสมบัติ แล้วฆ่ามังโปอนาวิงต่อ ซึ่งเป็นอานั้นเสีย มีรับสั่งให้หากองทัพกลับไปกรุงอังวะ อะแซหวุ่นกี้ได้แจ้งเหตุดังนั้น ก็ให้เลิกทัพจากเมืองพระพิษณุโลก กวาดครอบครัวเดินทัพทางเมืองสุโขทัยไปลงบ้านระแหงเมืองตาก”
 * ท่านผู้อ่านครับ ในที่สุดเมืองพระพิษณุโลกก็เสียให้แก่พม่า หลังจากที่เจ้าพระยาสองพี่น้องพากำลังตีหักค่ายพม่าหนีออกจากเมืองไป อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าก็ขับพลเข้าเมือง ไล่จับทุกคนที่หลงเหลืออยู่ในเมือง พร้อมกับให้จุดเพลิงเผาผลาญบ้านเรือน วัดวาอารามใหญ่น้อยทุกตำบล เก็บกวาดทรัพย์สินและศัสตราวุธนานาไปจนสิ้น แล้วตั้งกองทัพอยู่ในเมืองจัดการฉลองชัยชนะตามประเพณีของผู้ชนะ น่าสนใจคำประกาศของอะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าแห่งพม่าที่กล่าวกลางกองกำลังของตนที่ว่า......
 “ ไทยบัดนี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก ไม่เหมือนไทยแต่ก่อน และเมืองพระพิษณุโลกเสียครั้งนี้มิใช่จะแพ้เพราะฝีมือทแกล้วทหารนั้นหามิได้ เพราะเขาอดข้าวขาดเสบียงอาหารจึงเสียเมือง และซึ่งจะมารบเมืองไทยสืบไปภายหน้านั้น แม่ทัพมีสติปัญญาและฝีมือแต่เพียงเสมอเราและต่ำกว่าเรานั้น อย่ามาทำสงครามตีเมืองไทยเลย จะเอาชัยชำนะเขามิได้ แม้นดีกว่าเราจึงจะมาทำศึกกับไทยได้ชัยชำนะ”
คำนี้น่าจะมาจากคำกล่าวที่ว่า “กองทัพเดินได้ด้วยท้อง” ทหารเก่งกาจขนาดไหนถ้าขาดเสบียงอาหารเสียแล้วก็ไปไม่รอด เป็นสัจธรรมแท้นะครับ
เมื่อยึดเมืองพิษณุโลกได้แล้ว ไม่ทราบว่าใจอะแซหวุ่นกี้คิดจะยกเข้าตีกองทัพหลวงของพระเจ้าตากสินหรือไม่ พอดีทางกรุงอังวะผลัดแผ่นดินใหม่ พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่มีคำสั่งให้หากองทัพอะแซหวุ่นกี้กลับไป การรบในสมรภูมิเมืองฝ่ายเหนือจึงสิ้นสุดไปด้วย
แต่การศึกกับพม่ายังไม่จบลงง่าย ๆ ดอกนะครับ วันพรุ่งนี้มาอ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|