บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ยกทัพกลับกรุงธนบุรี -
พักฟื้นพลจนแข็งแรงได้ที่ ยกกลับตีพม่าไปให้สิ้นสูญ พม่ายังหลงเหลือเป็นเชื้อมูล คืออากูลสงครามตามล้างพลัน
พระเจ้าตากสินทรงยินร้าย เพราะเสียหายไม่น้อยรอยแค้นนั่น สั่งกวาดล้างเศษริปูอย่างรู้ทัน อย่าให้มันตกค้างแผ่นดินไทย
ทรงถอยทัพกลับกรุงบำรุงราษฎร์ ขุนศึกขลาดประหารสิ้นหาเลี้ยงไม่ ทราบพม่าเหลือมี ณ ที่ใด สั่งรีบไปไล่ล่าฆ่าทันที |
อภิปราย ขยายความ..................
เมื่อวันวานนี้ได้ให้ท่านอ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาถึงตอนที่ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ขอพระราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าตากสินพากองทัพและครอบครัวหนีออกจากเมืองพระพิษณุโลก เดินทัพไปหยุดพักอยู่ที่เพชรบูรณ์ ขณะนั้นทางประเทศพม่าเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยพระเจ้ามังระสวรรคต พระโอรสขึ้นครองแผ่นดินแทนแล้วเรียกหาให้กองทัพอะแซหวุ่นกี้กลับไปอังวะ สงครามไทยพม่าจึงสงบระงับไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป อ่านพระราชพงศาวดารดารต่อไปนะครับ
 “ฝ่ายกองทัพเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งไปตั้งอยู่ ณ เมืองเพชรบูรณ์นั้น ได้เสบียงอาหารเลี้ยงไพร่พลบริบูรณ์แล้วก็บอกลงมากราบทูลว่าจะขอยกติดตามตีทัพพม่าซึ่งเลิกถอยไป แล้วยกกองทัพกลับมาทางเมืองสระบุรีขึ้นทางป่าพระพุทธบาท ยกติดตามทัพพม่าไปทางเมืองสุโขทัย ขณะนั้นท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งตั้งค่ายรับพม่าอยู่ในที่ต่าง ๆ ก็บอกลงไปกราบทูลว่าพม่าได้เมืองพระพิษณุโลกแล้วบัดนี้เลิกทัพกลับไป
 สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระโทมนัสน้อยพระทัยแก่ข้าศึกนัก ดำรัสให้หาหลวงศรสำแดงเข้ามาถามหน้าพระที่นั่งว่า จะให้คุมเลกทหารเกณฑ์หัดไปตามรบพม่าจะได้หรือมิได้ หลวงศรสำแดงก้มหน้านิ่งเสียไม่กราบทูลประการใด ก็ทรงพระโกรธดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย แล้วดำรัสให้พระยาพิชัย (ทองดี) ยกกลับไปบ้านเมือง ให้พระยาพิชัยสงครามไปด้วย จัดแจงไพร่พลพร้อมแล้วให้ยกไปก้าวสกัดติดตามตีพม่าจงได้ แล้วให้กองพระยาเทพอรชุน พระยารัตนพิมล พระยานครชัยศรี พระยาทุกขราษฎร์เมืองพระพิษณุโลก หลวงรักษโยธา หลวงอัคเนศร เป็นกองหน้า ให้พระยาสุรบดินทรเจ้าเมืองกำแพงเพชรเป็นแม่ทัพ ยกไปติดตามตีพม่าทางเมืองตาก ให้พระยาธิเบศบดีคุมกองอาสาจาม ยกไปติดตามพม่าทางเมืองสุโขทัย
 ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ ปีวอก อัฐศก จึงพระราชสงครามนำเอาหนังสือมหาโสภิต อธิการวัดใหม่ เขียนใส่ใบตาลไปถวาย เป็นเรื่องความพุทธทำนายว่ามีในคัมภีร์พระธาตุวงศ์ข้อความว่า “ตระกูลเสนาบดีจะได้เป็นกษัตริย์สี่พระองค์ เสวยราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยา และพระองค์ที่สุดนั้น พม่าจะยกมาย่ำยีพระนครเสียแก่พม่า แล้วจะมีบุรุษพ่อค้าเกวียนจะได้เป็นพระยาครองเมืองทิศใต้ชายทะเลชื่อเมืองบางกอก พระยาองค์นั้นจะได้สร้างเมืองเป็นราชธานีขึ้นได้เจ็ดปี ในที่สุดเจ็ดปีนั้นพม่าจะยกมาพยายามกระทำสงครามอยู่สามปี ในพุทธศักราชล่วงได้ ๒๓๒๐ ปี จุลศักราช ๑๑๓๙ ปี พระนครบางกอกจะเสียแก่พม่าข้าศึก ให้เสด็จขึ้นไปอยู่ ณ เมืองละโว้คือเมืองลพบุรี อันเป็นที่ชุมนุมพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ท่ามกลางแผ่นดินไทย ข้าศึกศัตรูจะทำร้ายมิได้เลย”
 ครั้นทรงอ่านแล้วจึงดำรัสว่า ซึ่งจะละเมืองบางกอกเสียนั้นมิได้ แต่ปากสมณชีพราหมณ์ว่าแล้ว จำจะทำตาม จะไปอยู่เมืองลพบุรีสักเจ็ดวันพอเป็นเหตุ ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ ได้ข่าวว่าพม่าข้างทางเมืองอุทัยธานียกแยกขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์จึงดำรัสให้พระยาพลเทพ หลวงเนาวโชติ เจ้าหมื่นเสมอใจราช ยกกองทัพขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์ ถ้าพม่ายกไปพอจะต่อรบได้ก็ให้สู้รบต้านทานไว้ ถ้าเหลือกำลังจะผ่อนครอบครัวเสบียงอาหารลงไปกรุง แล้วให้กองพระยานครสวรรค์ พระยาสวรรคโลก ยกไปติดตามพม่าทางเมืองกำแพงเพชรอีกทัพหนึ่ง และให้กองพระยายมราชยกลงมาอยู่รักษาค่ายหลวง ณ ปากคลองบางข้าวตอก แต่ทัพหลวงเสด็จแรมอยู่คอยรับครัวซึ่งแตกลงมาแต่เมืองพระพิษณุโลกอยู่สิบเอ็ดเวร
 ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๖ แรม ๑๔ ค่ำ จึงเสด็จยาตราทัพหลวงทางชลมารค หยุดประทับแรม ณ ค่ายมั่นเมืองนครสวรรค์ จึงดำรัสให้ประหารชีวิตหลวงชาติสุรินทร์ซึ่งหนีตาทัพลงมาแต่กองพระยาธรรมไตรโลกนั้นเสีย แล้วให้แจกกฎหมายประกาศไว้สำหรับทัพทุกทัพทุกกองว่า ถ้าไพร่ตามนายมิทันให้ฆ่าเสีย ถ้าข้าราชการตามเสด็จมิทันให้ลงพระราชอาชญาถึงสิ้นชีวิต ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑ ค่ำ จึงเสด็จทางชลมารคล่องมาประทับแรม ณ พลับพลาค่ายมั่นบางแขม จึงหลวงวังเมืองนครสวรรค์ไปสืบราชการมากราบทูลว่า เห็นพม่าตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรประมาณสองพันเศษ ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๗ ขึ้น ๕ ค่ำ จึงหมื่นชำนิคชสารมากราบทูลว่าพม่าเผาเมืองพระพิษณุโลกเสียสิ้น ยังเหลือแต่วัดมหาธาตุ จึงดำรัสให้กองพระยายมราชยกไปทางแม่น้ำโพฟากตะวันตก ให้กองทัพพระยาราชสุภาวดียกไปทางฟากตะวันออก ให้พระยานครสวรรค์ยกขึ้นไปบรรจบกัน ณ วังพระธาตุ ข้ามพร้อมกันทีเดียวไปตามตีทัพพม่า ณ เมืองกำแพงเพชร ไปพร้อมกันตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านโคน ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ จึงเสด็จทัพหลวงกลับขึ้นไปประทับแรม ณ พลับพลาค่ายฟากตะวันออก เหนือปากน้ำขลุม ให้ประหารชีวิตขุนสุนทรนุรัตน หมื่นสนั่นกับบ่าวคนหนึ่งซึ่งหนีตามทัพ ตัดศีรษะเสียบไว้ ณ หาดทรายหน้าค่ายหลวง
 ขณะนั้นหลวงวังไปสืบราชการ ณ บ้านสามเรือนมากราบทูลว่า พม่ายกลงไปประมาณพันเศษ จึงดำรัสให้ข้าหลวงไปหากองพระยานครสวรรค์ให้ถอยทัพลงมาจากค่ายบ้านโคนมาเข้าในกองทัพหลวง จึงพระยาสุรบดินทรซึ่งยกไปตามพม่าบอกลงมากราบทูลว่า พม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรนั้นยกเลิกไปทางตะวันตกสิ้นแล้ว ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๗ ขึ้น ๑๒ ค่ำ จึงเสด็จถอยทัพหลวงลงมาประทับร้อน ณ เมืองนครสวรรค์ จึงชาวด่านเมืองอุทัยธานีบอกลงมากราบทูลว่า ทัพพม่ายกผ่านลงมาประมาณพันเศษ เผาค่ายที่ด่านนั้นเสีย แทงหลวงตาลำบากอยู่องค์หนึ่งแล้วยกไปทางนารี จึงดำรัสให้หลวงเสนาภักดีกองแก้วจินดายกติดตามไป ถ้าทันเข้าตีให้แตกฉาน แล้วให้ยกตามไปจนถึงเมืองชัยโยค ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีวอก อัฐศก จึงเสด็จยาตราทัพหลวงมาทางชลมารค กลับยังกรุงธนบุรีมหานคร”
 * ท่านผู้อ่านครับ เจ้าพระยาจักรีกับเจ้าพระยาสุรสีห์ที่ทิ้งเมืองพิษณุโลกพากองกำลังหนีไปปักหลักที่เพชรบูรณ์นั้น เมื่อสะสมเสบียงอาหาร เลี้ยงดูทแกล้วทหารจนมีกำลังแข็งแรงดีแล้ว จึงมีหนังสือกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ขอยกกำลังไล่ล่าพม่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินไทยให้สิ้น แล้วยกกำลังออกไล่ล่าพม่าทันที
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเสียพระทัยและน้อยพระทัยที่พ่ายแก่พม่า ดำรัสสั่งให้กองกำลังของพระองค์ไล่ล่าพม่าที่ยังตกค้างอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วถอยทัพกลับคืนกรุงธนบุรี
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านพระราชพงศาวดารฯกันอีกนะครับ
เต็ม อภินันท์ ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย ๒๑ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : เนิน จำราย, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, กร กรวิชญ์, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เก็บกวาดขยะสงคราม -
เหลือควันหลงสงครามสยาม-พม่า ทางฝ่ายไทยไล่ล่าพม่าหนี จากกำแพงฯลงไปอุทัยธานี ไทยตามตีตอเนื่องถึงเมืองสุพรรณ
ถึงหน้านาทำนาเลิกราทัพ รอตั้งรับศึกใหม่อย่างไม่ยั่น ทรงสั่งปราบเสีกเสี้ยนเลี่ยนหล้าพลัน แล้วจึงหันหลังกลับคืนนคร |
อภิปราย ขยายความ...............
เมื่อวันวานนี้ผมได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาให้อ่านกัน จบตอนที่ หลังจากเสียพิษณุโลกให้แก่พม่าแล้ว เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) กับเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) พักฟื้นกำลังพล สะสมเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ จนกองทัพมีความแข็งแกร่งขึ้นแล้วจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ขอนำกำลังไล่กวาดล้างกองกำลังพม่าที่ยังหลงเหลืออยู่บนผืนแผ่นดินไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินดำรัสให้กองกำลังของพระองค์เข้าช่วยกองทัพเจ้าพระยาสองพี่น้องกวาดล้างพม่าให้หมดไปจากแผ่นดินไทย แล้วยกทัพหลวงกลับกรุงธนบุรี ความจะเป็นอย่างไร อ่านพระราชพงศาวดารต่อไปครับ
 “ฝ่ายกองทัพพระยายมราช พระยาราชสุภาวดี ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านโคนนั้น ครั้นแจ้งว่าทัพพม่า ณ เมืองกำแพงเพชรเลิกไปแล้ว แล้วได้แจ้งว่าทัพพม่ากองหนึ่งยกลงไปทางเมืองอุทัยธานี จึงยกกองทัพผ่านลงมาทางด่านเขาปูนและด่านสลักพระ พบกองทัพพม่าได้รบกันเป็นสามารถ และทัพพม่ากองหนึ่งกลับยกแยกเข้ามาตั้งอยู่ ณ เมืองนครสวรรค์ คอยรับกองทัพพม่าซึ่งไปหาเสบียงอาหาร ณ แขวงเมืองเพชรบูรณ์
 ครั้น ณ วันอังคาร เดือน ๗ แรม ๒ ค่ำ จึงพระยายมราช พระยาราชสุภาวดี บอกข้อราชการลงมากราบทูล ณ กรุงธนบุรี สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสให้ข้าหลวงไปหาพระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักณษ์) เข้ามาจากเมืองเพชรบุรี แล้วดำรัสให้พระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ (พระองค์เจ้าจุ้ย) ถือพลพันหนึ่งยกทัพเรือหนุนขึ้นไป
 ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๗ แรม ๔ ค่ำ จึงเสด็จยาตรานาวาทัพหลวงจากกรุงธนบุรีโดยทางชลมารค ขึ้นไปประทับพลับพลาค่ายเมืองชัยนาทบุรีฟากตะวันออก แล้วโปรดให้พระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์กลับลงมารักษากรุงธนบุรี จึงพระยายมราช พระยาราชสุภาวดี บอกลงมากราบทูลว่าตั้งค่ายประชิดรบทัพพม่า ณ ด่านเมืองอุทัยธานีนั้น ขัดสนด้วยเสบียงอาหารนัก บัดนี้ล่าทัพลงมาตั้งอยู่ ณ ดอนไก่เถื่อน
 ฝ่ายกองหม่อมอนุรุธเทวาและหลวงเสนาภักดีกองแก้วจินดา บอกมากราบทูลว่า ได้ยกติดตามพม่าไปทางเมืองอุทัยธานี พบพม่ากองหนึ่งยกลงมาทางแขวงเมืองสรรคบุรี ได้รบกัน ณ บ้านเดิมบางนางบวชเป็นสามารถ ทัพพม่าแตกหนีลงไปทางแขวงเมืองสุพรรณบุรี จึงดำรัสว่าพม่ามิได้ตามลงมาติดพันแล้วเป็นเทศกาลจะได้ทำนา ให้มีตราหากองทัพเมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองอุทัยธานี ลงมายังค่ายหลวง ณ เมืองชัยนาทบุรีให้สิ้น
 แล้วให้มีตราไปถึงพระยายมราช พระยาราชสุภาวดี ซึ่งตั้งทัพอยู่ ณ ดอนไก่เถื่อน กับให้กองมอญพระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) ยกเติมไปอีกกองหนึ่งเป็นสามทัพ ให้ยกไปทางเมืองสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองราชบุรี ถ้าพบทัพพม่าให้ตีจงแตก ถ้าปะครัวเร้นซ่อนอยู่ในป่าก็ให้กวาดต้อนลงไป ณ กรุง แล้วดำรัสให้กองพระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม กรมขุนรามภูเบศ (พระเจ้าหลานเธอบุญจันทร์) และเจ้าพระยามหาเสนา ให้เร่งยกขึ้นไปตีพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนครสวรรค์
 ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ จึงเสด็จยกทัพหลวงหนุนขึ้นไปแล้วเสด็จกลับในวันนั้น มาลงเรือพระที่นั่ง ณ สรรพยา ล่องลงมาประทับแรม ณ บ้านงิ้ว ถึง ณ วันพุธ เดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำ จึงเสด็จยาตรานาวาทัพหลวงกลับยังกรุงธนบุรี”
* ท่านผู้อ่านครับ อ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่ผมยกมาวางให้อ่านแล้ว ทุกท่านคงจะเห็นแจ้งประจักษ์ถึงงานกู้ชาติของคนไทย ภายใต้การนำของสมเด็จพระเจ้าตากสินแล้วนะครับ ว่าแสนลำบากยากแค้นเพียงใด
แม้อะแซหวุ่นกี้เลิกทัพกลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีกองทัพย่อย ๆ ของพม่าอีกหลายกองที่พระเจ้าตากสินจะต้องกำจัดกวาดล้างให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย บรรดาขุนนางนายทหารทั้งแม่ทัพนายกองและพลทหารยังต้องเหน็ดเหนื่อยในการไล่ล่าทหารพม่าจนไม่มีเวลาพักผ่อน
เมืองพิษณุโลกถูกพม่าเผาราบพนาสูร หลงเหลือเพียงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดใหญ่ อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศาสดา ใครจะบูรณะเมืองนี้ขึ้นมาให้คงสภาพเดิมได้อย่างไรหรือไม่ ดูความกันต่อไปในวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทรงสั่งทำนาสะสมเสบียง -
ครั้นไล่ขับจับพม่าเหลือล่าถอย เหลือเล็กน้อยล้าหลังกำลังอ่อน พระเจ้าตากสินห่วงปวงนิกร จะเดือดร้อนทั่วเมืองเรื่องข้าวปลา
เรียกกองทัพกลับกรุงบำรุงราษฎร์ ทำนุศาสน์ทุกแง่แก้ปัญหา ให้กองทัพจับงานการทำนา สั่งสมอาหารเผดียงเสบียงกรัง |
อภิปราย ขยายความ.....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาวางให้อ่านกันถึงเรื่องราวของการรบระหว่างพม่าผู้รุกราน กับไทยผู้ป้องกันรักษาผืนแผ่นดินไทยในบริเวณหัวเมืองฝ่ายเหนือ อันมีเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลาง แม้อะแซหวุ่นกี้ขุนพลเฒ่าของพม่าผู้เก่งกาจจะถอยทัพกลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีกองทัพย่อย ๆ ของพม่าหลงเหลืออยู่ให้สมเด็จพระเจ้าตากสินต้องขับไล่ให้หมดไปจากผืนแผ่นดินไทย ศึกระหว่างไทย-พม่าจึงยังไม่สิ้น วันนี้มาอ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากันต่อไปครับ
 “ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ด่านเมืองอุทัยธานีนั้น ขัดสนด้วยเสบียงอาหารนักก็เลิกกลับไป แต่ที่เมืองนครสวรรค์นั้น พม่าตั้งอยู่ประมาณแปดร้อยเก้าร้อย คอยท่าพม่าซึ่งไปหาข้าว ณ แขวงเมืองเพชรบูรณ์ ยังหาเลิกไปไม่ และกองทัพพระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักณษ์) กรมขุนรามภูเบศ (พระเจ้าหลานเธอบุญจันทร์) และเจ้าพระยามหาเสนาก็ยกเข้าตี ตั้งค่ายรบติดพันกันอยู่ จึงบอกลงมาให้กราบทูล ณ กรุงธนบุรี
 ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน ๙ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีวอก อัฐศก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จยกพยุหโยธานาวาทัพหลวงพร้อมด้วยพลทหารสิบเอ็ดกองจากกรุงธนบรีไปทางชลมารค เสด็จไปประทับ ณ พลับพลาค่ายเมืองชัยนาทบุรี พอกองทัพพระเจ้าหลานเธอตีทัพพม่าแตกหนีไปทางเมืองกำแพงเพชร จึงบอกลงมากราบทูล ณ เมืองชัยนาทบุรี
 ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๒ ค่ำ จึงดำรัสให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศ กับพระยาอินทรอภัย อยู่รักษาเมืองนครสวรรค์ แล้วเสด็จทัพหลวงไปทางชลมารคถึงเมืองตาก และพม่าซึ่งแตกไปอยู่ในป่าดงนั้น กองทัพทั้งปวงจับมาถวายสามร้อยสามสิบเศษ จึงดำรัสให้กองทัพทั้งปวงติดตามพม่าไปจนปลายด่านเมืองตาก
 ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ จึงเสด็จถอยทัพหลวงกลับมาถึงบ้านระแหง ทอดพระเนตรเห็นต้นข้าวซึ่งพม่าทำนาไว้ สั่งให้ถอนเสีย ครั้นวันจันทร์ เดือน ๙ แรม ๑๓ ค่ำ เสด็จถึงกรุงธนบุรีแล้ว ทรงพระวิตกถึงสมณะซึ่งขับต้อนลงมาแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือ จึงให้เผดียงสมเด็จพระสังฆราชว่า ถ้าพระสงฆ์อนุจรอารามใดขัดสนอาหาร ก็ให้มาเบิกเอาข้าวในฉางหลวงไปถวาย แล้วทรงพระราชศรัทธาถวายสมณบริขารแก่พระสงฆ์อาคันตุกะทั้งปวงเป็นอันมาก และให้เลิกคนซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินพระนครเสีย ให้ไปทำไร่นาหากินตามภูมิลำเนา
 ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๑๐ ขึ้นค่ำ ๑ พระยาราชภักดีและพระยาพลเทพขึ้นไปตามหาพม่าทางเมืองเพชรบูรณ์นั้น พบพม่าที่บ้านนายมได้รบกัน ตีทัพพม่าแตกหนีไปทางเมืองอุทัยธานี จับเป็นได้เก้าคน บอกส่งลงมาถวาย จึงโปรดให้มีตราไปถึงพระยาราชภักดีให้ยกไปติดตามพม่าซึ่งแตกหนีไปนั้น แต่กองพระยาพลเทพให้ยกกลับมา ณ กรุง
 ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๐ ค่ำ กองพระยายมราช พระยาราชสุภาวดี พระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) ยกติดตามพม่าไปทางด่านสุพรรณบุรีได้ตามตีพม่าไปจนถึงด่านแม่ลำเมา จับเป็นได้เจ็ดคน บอกส่งลงมาถวาย
 ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ จึงกองเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) และกองพระยาธิเบศบดี ซึ่งยกไปตามพม่าทางเมืองสุโขทัยนั้น จับเป็นได้สิบแปดคน กับทั้งเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก บอกส่งลงมาถวาย
 ครั้น ณ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๑ ค่ำ จึงพระยานครสวรรค์ พระยาพิชัย (ทองดี) ซึ่งยกติดตามพม่าไปทางด่านเมืองตาก จับเป็นได้สี่สิบเก้าคนบอกส่งลงมาถวาย และกองพระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม และเจ้าพระยามหาเสนา บอกส่งพม่าแต่แควเมืองกำแพงเพชรสิบเอ็ดคนลงมาถวาย
 จากนั้นจึงดำรัสให้มีตราหากองทัพทั้งปวงกลับลงมายังพระนครพร้อมกัน แล้วโปรดให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ พระยาธรรมมา คุมไพร่พลทั้งปวงไปตั้งทำนา ณ ทะเลตมฟากตะวันออกกรุงธนบุรี และทุ่งบางกะปิ สามเสน ให้พระยายมราช พระยาราชสุภาวดี คุมไพร่พลทั้งปวงตั้งทำนา ณ ทะเลตมฟากตะวันตก และกระทุ่มแบน หนองบัว แขวงเมืองนครชัยศรี
 อนึ่ง ในเดือน ๑๐ นั้น กะปิตัน(กัปตันเรือ)เหล็กอังกฤษเจ้าเมืองเกาะหมาก ส่งปืนนกสับเข้ามาถวายพันสี่ร้อยบอก กับสิ่งของเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ
ถึง ณ วันจันทร์ เดือน ๑๐ แรม ๑๒ ค่ำ ปีวอก อัฐศก เพลาบ่ายสี่โมง นางพระยาช้างเผือกล้ม จึงดำรัสให้เอาศพไปฝัง ณ วัดสามเพ็ง ที่ฝังศพเจ้าพระยาปราบไตรจักรแต่ก่อนนั้น ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๓ ค่ำ ข้าหลวงและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชบอกเข้ามาว่า เจ้านราสุริยวงศ์ผู้ครองเมืองนั้นถึงพิราลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดให้เจ้านคร ฯ(หนู) กลับคืนออกไปครองเมืองนครศรีธรรมราชดังเก่า พระราชทานเครื่องยศและราชูปโภคเป็นอันมาก”
 * ท่านผู้อ่านครับ พม่านี่เป็นนักสู้จริง ๆ นะครับ ทัพใหญ่ยกกลับไปแล้ว กองกำลังย่อย ๆ ยังหลงเหลืออยู่ แทนที่จะรีบล่าถอยกลับไป พวกเขายังตั้งกองกำลังต่อสู่ไทยอยู่อีกหลายแห่ง พระเจ้าตากสินต้องเวลาเวลาไล่ล่าอยู่เป็นนานทีเดียว
เราได้ความรู้อีกอย่างหนึ่งว่า สมัยนั้นช่วงเวลาการทำนาของไทยคือ เดือน ๙ เดือน ๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเรียกกองทัพกลับกรุงแล้วมอบหมายให้เจ้าพระยาจักรี และแม่ทัพต่าง ๆ รับหน้าที่ในการนำกำลังทหารทำนารอบ ๆ กรุงธนบุรีหลายแห่ง ทุ่งสามเสน ทุ่งบากะปิ เป็นทุ่งนาที่สำคัญในเวลานั้น
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไมย ๒๓ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พม่ายกมาอีกแล้ว -
สงบศึกสงครามเนาความสุข แล้วกลับลุกขึ้นรบกันอีกตั้ง “จิงกูจา”ส่งทัพมาประดัง ด้วยมุ่งหวังยึดเชียงใหม่เอาไว้ครอง
“อำมลอกหวุ่น”ขุนทัพขับพลพร้อม มารายล้อมเชียงใหม่อย่างผยอง เจ้าเมืองหนีลงใต้ไม่ลำพอง ทำเรื่องร้องขอเมตตาลงมากรุง
|
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำเนื้อความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามากางให้อ่านกัน ถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินสั่งไล่ล่าพม่าที่หลงเหลืออยู่จนถึงฤดูการทำนาแล้ว จึงทรงเรียกกองทัพกลับกรุงแล้วมอบหมายให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และแม่ทัพนายกองคนอื่น ๆ ร่วมกันทำนาข้าว สะสมเสบียงไว้ และในเวลานั้นกัปตันชาวอังกฤษที่เกาะหมาก(ปีนัง)ได้ส่งปืนนกสับ ๑,๔๐๐ กระบอก พร้อมเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวาย และเจ้านราสุริยวงศ์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชถึงแก่พิราลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านครคนเก่ากลับลงไปครองนครศรีธรรมราชดังเดิม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรอีก อ่านกันต่อไปครับ
 “ฝ่ายกองพระยาราชภักดียกติดตามพม่าไปทางด่านเมืองอุทัยธานี พอฝนตกหนักน้ำนองท่วมป่า จะติดตามไปลำบากนักจึงถอยทัพกลับลงมา แล้วบอกลงมากราบทูล ณ กรุงฯ ว่าพม่ายกหนีไปโดยเร็วยกติดตามไม่ทัน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบในหนังสือบอกก็ทรงพระพิโรธ จึงให้ตำรวจลงเรือเร็วรีบขึ้นไปหากองทัพพระยาราชภักดีกลับลงมายังพระนคร แล้วดำรัสให้ปรึกษาโทษพระยาราชภักดี และนายทัพนายกองทั้งสิบนาย ซึ่งเป็นลูกกองนั้น ว่าเกียจคร้านย่อท้อต่อราชการศึก ให้ประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น
 พระยาราชภักดีจึงกราบทูลว่า ราชการครั้งนี้โทษผิดแต่ข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียว ด้วยข้าพระพุทธเจ้าเป็นนายทัพ เมื่อและมิไปแล้ว นายทัพนายกองทั้งปวงอยู่ในบังคับก็ต้องตามบัญชาถอยมาด้วยกันทั้งสิ้น จะรับพระราชอาชญาตายแต่ตัวข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียว และนายทัพนายกองทั้งนั้น ขอพระราชทานชีวิตไว้ให้ทำราชการแก้ตัวสืบไปภายหน้า จึงดำรัสว่า นายทัพนายกองทั้งปวงไม่ทัดทานกัน ลงใจพร้อมกันทั้งสิ้น ครั้นจะไว้ชีวิตก็จะเป็นเยี่ยงอย่างกันต่อไป จงตายเสียด้วยกันทั้งสิ้นเถิด แล้วดำรัสให้เอาตัวพระยาราชภักดี และขุนนางมีชื่อทั้งสิบนายซึ่งเป็นลูกกองนั้นไปประหารชีวิตเสียสิ้น”
 * ท่านผู้อ่านครับ อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาถึงตรงนี้ ก็เบาใจแล้ว เพราะกองกำลังพม่าที่หลงเหลือยู่ถูกจับตัวได้บ้าง หนีรอดไปได้บ้าง จนเชื่อได้ว่าไม่มีหลงเหลืออยู่บนผืนแผ่นดินไทยในหัวเมืองฝ่ายเหนือและภาคตะวันตกของไทยอีก เราเห็นความเด็ดขาดของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ทรงให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองและไพร่พลที่ล่าหนีพม่าบ้าง หนีทัพบ้าง แม้กระทั่งแม่ทัพระดับผู้ใหญ่อย่างพระยาราชภักดี ที่ไล่ล่าพม่าทางเมืองอุทัยธานี ติดตามไปไม่ทันเพราะเกิดฝนตกหนัก น้ำป่าบ่านอง จึงถอยทัพกลับมา ก็ยังถูกลงพระราชอาชญาถึงขั้นให้ประหารชีวิต แม้จะยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่พระองค์ก็ไม่ทรงยินยอม ท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่าพระเจ้าตากสินทรงโหดร้ายเกินไป แต่ถ้ายอมรับความจริงที่ว่าในสถานการณ์รบทัพจับศึกจะต้องมีความเด็ดขาด โหดเหี้ยมทารุณ ไม่อย่างนั้นการรบจะไม่ประสบชัยชนะ อย่างนี้แล้วก็ไม่อาจถือได้ว่าพระเจ้าตากสินทรงเหี้ยมโหดเกินไปนัก ในเมื่อขับไล่พม่าออกไปได้หมดแล้ว การศึกระหว่างไทยกับพม่าจะสิ้นสุดลงแล้วหรือยัง ? ยังไม่ไม่สิ้นสุดหรอกครับ ขอให้ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อไปดังนี้ครับ
 “ฝ่ายข้างกรุงรัตนบุระอังวะ พระเจ้ามังระสวรรคต อยู่ในราชสมบัติสิบสามปี จิงกูจาราชบุตรได้ครองราชสมบัติสืบไปในปีวอก อัฐศก ครั้นกองทัพอะแซหวุ่นกี้ยกกลับไปถึงจึงเข้าเฝ้าทูลแถลงการณ์ซึ่งไปตีหัวเมืองไทยฝ่ายเหนือใต้ทั้งสิ้น พระเจ้าจิงกูจาก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่อะแซหวุ่นกี้และนายทัพนายกองทั้งปวงโดยสมควรแก่ความชอบ
 ครั้นอยู่มาแชลงจาผู้น้องพระเจ้าจิงกูจา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองแชลงอยู่ก่อนนั้น คิดกับอะตวนหวุ่นอำมาตย์ เป็นกบฏต่อพระเจ้าจิงกูจา พระเจ้าจิงกูจาให้จับแชลงจากับอะตวนหวุ่นอำมาตย์ประหารชีวิตเสีย ยังแต่อาว์สามคน คือ บังแวงตแคงปดุงหนึ่ง มังจูตแคงปคานหนึ่ง มังโพเชียงตแคงแปงตแลหนึ่ง มิได้เลี้ยงเป็นเจ้า ให้แยกบ้านกันอยู่คนละบ้านไกลเมืองอังวะ
 แล้วพระเจ้าจิงกูจาให้อำมลอกหวุ่น และต่อหวุ่น กับพระยาอู่รามัญ ถือพล ๖,๐๐๐ ยกไปตีเมืองเชียงใหม่อีก เข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ พระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ต่อรบพม่าเหลือกำลังก็ทิ้งเมืองเสีย พาครอบครัวอพยพเลิกหนีลงมาอยู่เมืองสวรรคโลก แล้วบอกลงมา ณ กรุงธนบุรี กราบทูลพระกรุณาให้ทราบ”
 ** ท่านผู้อ่านครับ พระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ที่หนีพม่าลงไปอยู่เมืองสวรรคโลก (คือเชลียง-ศรีสัชนาลัย-เชียงชื่น) ผู้นี้ คือ พระยาจ่าบ้านที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตั้งให้เป็นพระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ เพราะท่านเป็นหัวหน้าคนสำคัญของชาวเชียงใหม่ที่ต่อสู้กับพม่าด้วยลูกล่อลูกชนอันแพรวพราว โดยร่วมมือกับเจ้าเจ็ดตนแห่งนครลำปาง อันมีพระยากาวิละเป็นหัวหน้า “ชักศึก” จากเมืองใต้ขึ้นไปช่วยจนปราบปรามพม่าได้สำเร็จ และต่อมาถูกพระเจ้าตากสินจำคุกเพราะฆ่าอุปราชก้อนแก้ว ดังปรากฏความในตำนานเมืองเหนือที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ๆ พม่ายกมาตีเชียงใหม่ได้อีกครั้ง แล้วเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เกิดวุ่นวายในแผ่นดินญวน -
พักเรื่องราวพม่าไว้ไม่กล่าวด่วน มาดูญวนทั่วแดนที่แสนยุ่ง แย่งอำนาจเป็นใหญ่ให้นังนุง เกิดรบพุ่งอื้อฉาวทั้งเจ้า,โจร
“ผู้ชนะเป็นเจ้า”กล่าวไม่ผิด ผู้พิชิตเหี้ยมโหดรบโลดโผน จากโจรามาจากถิ่นดินเลนโคลน ปล้นเมืองโอนตำแหน่งเจ้าแต่งตน |
อภิปราย ขยายความ.........................
เมื่อวันวานนี้ได้ให้อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ถึงเรื่องราวการกวาดล้างกองกำลังพม่าที่หลงเหลืออยู่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือจนสิ้น เหตุการณ์ทางพม่าเปลี่ยนไปเมื่อพระเจ้ามังระสวรรคต จิงกูจาราชบุตรได้ครองราชย์แล้วให้อำมลอกหวุ่น และ ต่อหวุ่น กับพระยาอู่รามัญ นำกำลัง ๖,๐๐๐ ยกมาตีเชียงใหม่ พระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ทิ้งเมืองเสีย พาครอบครัวหนีลงมาอยู่เมืองสวรรคโลกแล้วบอกลงมากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้พักเรื่องราวทางเชียงใหม่ไว้ แล้วกล่าวถึงเรื่องราวทางเขมร-ญวน เป็นเรื่องยาว ผมขออนุญาตไม่นำมากางให้ท่านกันทั้งหมดนะครับ แต่จะขอเก็บความสำคัญมาบอกเล่าดังต่อไปนี้
“กล่าวฝ่ายข้างแผ่นดินเมืองญวนนั้น องเหียวหูเบือง เจ้าเมืองเว้ ได้ทำสงครามกับเมืองตังเกี๋ยติดพันกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำหรับองเหียวหูเบืองนี้มีบุตรชายห้าคน ชื่อ องดิกมู ๑ องคางเบือง ๑ องเทิงกวาง ๑ องเชียงชุน ๑ องทาง ๑ องดิกมูนั้นมีบุตรชายชื่อ องหวางตน องคางเบืองมีบุตรชายสามคนชื่อ องยาบา ๑ องเชียงสือ ๑ องหมัน ๑
ทั้งองดิกมู และองคางเบือง ได้ถึงแก่กรรมก่อนองเหียวหูเบืองบิดาของตน ต่อมาองเหียวหูเบืองจึงถึงแก่พิราลัย จากนั้นองกวักภอขุนนางผู้ใหญ่บิดาเลี้ยงขององเทิงกวาง ได้ครองเมืองเว้โดยที่ขุนนางและราษฎรไม่เต็มใจ
ในยามนั้นอ้ายหยากผู้เป็นโจรป่าอยู่ ณ แดนเมืองกุยเยิน ได้พูดจาเกลี้ยกล่อมผู้คนว่า จะตีเอาเมืองเว้ให้ได้ แล้วจะจับองเทิงกวาง องกวักภอ ฆ่าเสีย แล้วจะยกองหวางตนบุตรองดิกมูขึ้นครองเมืองเว้ ผู้คนทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เชื่อถือ พากันสมัครเข้าเป็นพวกพ้องจำนวนมาก
อ้ายหยากนั้นมีน้องชายสองคนคือ อ้ายบาย ๑ อ้ายดาม ๑ เมื่อได้สั่งสมผู้คนจนมีกำลังมากพอแล้วก็ยกเข้าตีเมืองเว้ทันที ทางฝ่ายองกลิงเกียมมหาอุปราชเมืองตังเกี๋ย ได้ทราบข่าวว่าอ้ายหยากจะยกทัพไปตีเมืองเว้ จึงแต่งให้องกวักเหลาเป็นแม่ทัพยกกำลังมาตีเมืองเว้ด้วย
กองทัพอ้ายหยากตีด้านหนึ่ง ทัพองกวักเหลาตีอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายองเทิงกวางกับองกวักภอแต่งกองทัพออกสู้รบก็พ่ายแพ้ เมื่อเห็นว่าเหลือกำลังจะสู้รบก็ทิ้งเมืองเสีย พาองเชียงชุน องยาบา องเชียงสือ องหมัน หนีลงเรือแล่นหนีมาทางทะเลมาอยู่ ณ เมืองไซ่ง่อน
กองทัพอ้ายหยากและกองทัพเมืองตังเกี๋ยจึงได้เมืองเว้ อ้ายหยากจับองหวางตนบุตรองดิกมูได้ แต่มิได้ตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเว้ตามที่เคยพูดไว้ หากแต่พาตัวไปไว้เมืองกุยเยิน ส่วนองกวักเหลาแม่ทัพเมืองตังเกี๋ยจับองทางได้แล้วให้จำจองไว้ เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของสิ้นแล้วคุมตัวองทางเลิกทัพกลับไปเมืองตังเกี๋ย
ฝ่ายว่าองหวางตนที่ถูกพาตัวไปอยู่เมืองกุยเยินนั้น คิดเกรงว่าอ้ายหยากจะฆ่าตนเสีย จึงหลบหนีลงเรือแล่นมาอยู่ ณ เมืองไซ่ง่อนกับองเทิงกวาง องเทิงกวางจึงคิดอ่านกับญาติและขุนนางทั้งปวงจะยกองหวางตนขึ้นเป็นเจ้า แล้วคิดจัดแจงกองทัพจะยกไปตีอ้ายหยาก ณ เมืองกุยเยิน แต่ยังมิทันที่จะยกไป อ้ายหยากได้รู้ข่าวก็รีบยกทัพมาปล้นตีเมืองไซ่ง่อนแตก จับองเทิงกวางกับองหวางตนได้แล้วให้ประหารชีวิตเสีย องยาบา องหมัน หนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า อ้ายหยากก็ให้ทหารไปติดตามจับได้แล้วให้ประหารเสีย
องเชียงสือนั้นหนีได้แล้วก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ในป่า ณ ตำบลหนึ่ง ส่วนองเชียงชุนนั้นหลบหนีมาอาศัยพระยาราชาเศรษฐีญวนอยู่ ณ เมืองพุทไธมาศ อ้ายหยากก็ยกกองทัพตามมาตีเมืองพุทไธมาศแตก พระยาราชาเศรษฐีญวนกับองเชียงชุน พาสมัครพรรคพวกลงเรือหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระกรุณารับไว้ และพระราชทานบ้านเรือนให้อาศัยในพระนครฟากตะวันออก
ฝ่ายองเชียงสือนั้นตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนได้ไพร่พลเป็นอันมากแล้วก็ยกทัพเข้าตีอ้ายหยาก ยึดเมืองไซ่ง่อนคืนได้ อ้ายหยากถอยทัพไปตั้งซ่องสุมรี้พลอยู่ ณ เมืองกุยเยิน เปลี่ยนชื่อตนเองเป็น องไก่เซิน อ้ายบายก็เปลี่ยนชื่อตนเป็น องติงเวือง อ้ายดามนั้นเปลี่ยนชื่อตนเป็นองลองเญือง แล้วไปเป็นเจ้าเมืองเว้
ขุนนางทั้งปวงในเมืองไซ่ง่อนได้ปรึกษาหารือกันแล้วเห็นพ้องต้องกันให้ยกองเชียงสือ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน ตั้งซ่องสุมไพร่พลเตรียมทำสงครามกับองไก่เซิน (อ้ายหยาก) ต่อไป
องเชียงชุนซึ่งหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงรับชุบเลี้ยงไว้นั้น คิดการจะหนีกลับคืนไปเมืองญวน ครั้นพระเจ้าตากสินทรงทราบดังนั้น ก็ทรงเห็นว่าเขามิได้มีจิตสวามิภักดิ์ จึงให้จับตัวองเชียงชุนพร้อมบุตรภรรยาและสมัครพรรคพวกประหารชีวิตเสียด้วยกันทั้งสิ้น”
* ท่านผู้อ่านครับ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้พักเรื่องที่พม่ายกมาตีเมืองเชียงใหม่ไว้ แล้วมากล่าวเรื่องทางเมืองญวนอย่างละเอียดลออ รายนามคนพม่าในพระราชพงศาวดาร ผมว่าอ่านออกเสียงยากแล้ว มาเจอนามคนญวนในพระราชพงศาวดาร อ่านยากกว่านามคนพม่าเสียอีกนะครับ การที่ท่านนำเรื่องญวนมากล่าวโดยละเอียดเป็น ”พงศาวดารญวน” ก็เพื่อจะท้าวความให้ทราบที่มาของเจ้าแผ่นดินญวนพระองค์หนึ่ง ที่หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทรงชุบเลี้ยงไว้แล้วภายหลังกลับไปกอบกู้แผ่นดินญวน ตั้งประเทศขึ้นมา เป็นคู่แข่งกับสยามตราบเท่าวันนี้
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้ผมจะเก็บความมาบอกเล่าให้อ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทรงบำเพ็ญพระกรรมฐาน -
ครั้นพระเจ้าตากสินสิ้นการศึก ธ ทรงฝึกกรรมฐานการกุศล บำรุงวัดศรัทธาล้ำหน้าชน ทรงหวังผลภิญโญโพธิญาณ
ทรงศีลทั้งภาวนาไม่ละเว้น จึงโดดเด่นทางพระกรรมฐาน สามารถสอนสั่งสงฆ์องค์อาจารย์ ให้รู้การปฏิบัติวิปัสสนา
|
อภิปราย ขยายความ...............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาวางกางให้อ่าน เป็นเรื่องราวความวุ่นวายในประเทศอันนัมหรือเวียดนาม โดยตังเกี๋ยได้ยกทัพมาตีเมืองเว้ของญวน และรบติดพันกันเป็นเวลายาวนานยังไม่รู้แพ้ชนะ ต่อมาเจ้าแผ่นดินญวนสิ้นพระชนม์ลง เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ขึ้น และมีขุนโจรส้องสุมกำลังใหญ่โตขึ้นแล้วยกเข้าชิงเมืองเว้ได้ ตั้งตนเป็นเจ้าแผ่นดิน ฝ่ายราชวงศ์เดิมก็ตั้งกองกำลังต่อสู้ มีการรบกันวุ่นวายและในที่สุด องเชียงสือราชวงศ์คนสำคัญก็ได้รับการยอมรับยกย่องให้เป็นเจ้าแผ่นดิน ปกครองญวนทางตอนใต้อยู่ ณ เมืองไซ่ง่อน ตั้งกองกำลังจะไปรบกลุ่มโจรที่ตั้งตนเป็นเจ้าครองแผ่นดิน ณ เมืองกุยเยิน อยู่ทางเหนือของญวน ความทั้งหมดนั้นพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานำมาท้าวความเพื่อจะกล่าวถึงเรื่องราวของญวนที่เกี่ยวของกับไทยต่อไป วันนี้มาอ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ฉบับเดิมกันต่อนะครับ
 “ในเดือน ๑๒ นั้น เจ้าพระยาพิชัยราชาผู้เป็นเจ้าพระยาสวรรคโลกลงมารับราชการอยู่ ณ กรุงธนบุรีนั้น แต่งผู้เฒ่าผู้แก่เข้าไปขอน้องสาวเจ้าจอมฉิมพระสนมเอก บุตรีเจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งเข้ามาอยู่ในพระราชวัง ว่าจะเอามาเลี้ยงเป็นภรรยา สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ ดำรัสว่า มันทำบังอาจจะมาเป็นคู่เขยน้อยเขยใหญ่กับกูผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน” แล้วดำรัสให้เอาตัวเจ้าพระยาพิชัยราชาไปประหารชีวิตเสีย ตัดศีรษะเสียบประจานไว้ที่ริมประตูข้างฉนวนลงพระตำหนักแพ อย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่างสืบไป
ครั้นถึง ณ วันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระราชศรัทธาเสด็จไปทรงพระเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถวัดบางยี่เรือใต้ แล้วทรงพระราชอุทิศถวายเรือโขมดยาปิดทองทองทึบลำหนึ่ง หลังคาบัลลังก์ดาดสีสักหลาดเหลืองคนพายสิบคน พระราชทานเงินตราคนละสองตำลึง และผ้าขาว ให้บวชเป็นปะขาวไว้สำหรับพระอาราม แล้วทรงถวายหีบปิดทองคู่หนึ่งสำหรับใส่พระไตรปิฎกและวิธีอุปเทศพระกรรมฐาน แล้วทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า เดชะผลทานบูชานี้ขอจงยังพระลักขณะพระปีติทั้งห้า จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดนั้น ขอจงบังเกิดภิญโญภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่ง ขอจงเป็นปัจจัยแก่ปรมาภิเษกสมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า แล้วให้เชิญหีบพระไตรปิฎกลงตั้งในบัลลังก์เรือศรีนั้น ให้เกณฑ์เรือข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารพลเรือน และเรือราษฎรแห่เรือพระไตรปิฎกขึ้นไปตามแม่น้ำถึงบางยี่ขัน แล้วแห่กลับคืนเข้าไป ณ วัดบางยี่เรือ เชิญหีบพระไตรปิฎกขึ้นประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถดังเก่า แล้วให้พระราชาคณะและเสนาบดีกำกับกัน เอาเงินตราสิบชั่งไปเที่ยวแจกคนโซทั่วทั้งในและนอกกรุงธนบุรีทั้งสิ้น
ถึง ณ วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๕ ค่ำ ทรงให้เชิญพระโกศพระอัฐิพระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์ ลงเรือบัลลังก์ มีเรือแห่เป็นกระบวนไปแต่พระตำหนักแพแห่เข้าไป ณ วัดบางยี่เรือใต้ เชิญพระโกศขึ้นสู่พระเมรุ นิมนต์พระสงฆ์หมื่นรูปสดับปกรณ์ แล้วทรงถวายไทยทานเป็นอันมาก ครั้นครบสามวันแล้วเชิญพระโกศลงเรือแห่กลับเข้าพระราชวัง จากนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสมาทานอุโบสถศีล แล้วทรงเจริญพระกรรมฐานภาวนา เสด็จประทับแรมอยู่ ณ วัดบางยี่เรือใต้ห้าเวร ให้เกณฑ์ข้าราชการปลูกกุฎีร้อยยี่สิบหลัง ให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธปฏิมากร และพระอุโบสถ พระวิหาร พระเจดีย์ ให้บริบูรณ์ขึ้นทั้งพระอาราม ที่คูรอบพระอุโบสถนั้นให้ชำระแผ้วถางและขุดให้กว้างไปกว่าเก่า ให้ปลูกบัวหลวงในคูนั้นโดยรอบ จากนั้นให้นิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระมาอยู่ ณ กุฎีที่ปลูกถวาย แล้วเกณฑ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทให้ปรนนิบัติทุก ๆ พระองค์ และทรงเสด็จไปถวายพระราชโอวาทแก่พระสงฆ์ โดยอธิบายซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญได้ ให้ต้องด้วยวิธีพระสมถกรรมฐานภาวนา จะได้บอกกล่าวกุลบุตรเจริญในปฏิบัติศาสนาสืบไป แล้วทรงสถาปนาพระอุโบสถและการเปรียญเสนาสนกุฎี ณ วัดหงส์สำเร็จบริบูรณ์
 ครั้น ณ วันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ กลางคืนเพลาสองยาม มีเสือเข้ามากินชาวเขมรซึ่งเฝ้าสวนหลังวัดบางยี่เรือ จึงพระราชดำรัสให้พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ และเจ้าพระยาจักรี พระยายมราช กับข้าหลวงทั้งปวงออกไปจับเสือ ให้วางยาเบื่อ เสือกินแล้วเมาล้มลงนอนอยู่ จึงให้คนเข้าไปแทงเสือนั้นตาย
ณ วันจันทร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ เพลาบ่ายสามโมงเศษ บังเกิดลมพายุใหญ่ ฝนห่าใหญ่ตก ลูกเห็บตกเป็นอันมาก โรงปืนแถวฉนวนน้ำประจำท่าหักพังทลายลง และเหย้าเรือนในพระนครหักทำลายประมาณร้อยหลัง”
 * ท่านผู้อ่านครับ ในระยะเวลาหลังจากทำสงครามใหญ่กับพม่าแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมิได้ออกรบทัพจับศึกหนักเหมือนเดิม หากแต่จะทรงหันเข้าสู่วัด ปฏิบัติพระกรรมฐาน บำเพ็ญพระราชกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ (วัดบางยี่เรือที่กล่าวในพระราชพงศาวดารซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งนั้น คือวัดอินทาราม แขวงบางยี่เรือในปัจจุบัน)
ส่วนเรื่องที่พม่ายกทัพมาล้อมเมืองเชียงใหม่แล้ว เจ้าเมืองหนีลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลกนั้น พระราชพงศาวดารยังมิได้กล่าวถึงว่า ทางฝ่ายไทยจะทำอย่างไรกับพม่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป วันพรุ่งนี้จะนำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาเปิดวางให้อ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ตั้งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก -
เจ้าพระยาจักรีมีความชอบ หลังปราบปลอบกล่อมเกณฑ์เขมรป่า เมืองตะลุง,สุรินทร์ถิ่นไกลตา สังขะ,ขุขันธ์อาณาโขงนั้น
นางรอง,อัตปือ,จำปาศักดิ์ อาณาจักรเอกเทศไร้เขตคั่น ปราบแล้วรวบรวมเข้าสยามพลัน จึงเขตขัณฑสีมายิ่งกว้างไกล
พระเจ้าตากสินยินดียิ่ง ทรงมอบสิ่งสำคัญอั้นยิ่งใหญ่ “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก”ไท ที่อวยให้รู้กันแต่นั้นมา
ส่วนพระองค์ทรงพระกรรมฐาน จนเกิดการสำคัญผิดปริศนา ลักษณะพระกายคล้ายศาสดา จึงให้หารูปลักษณะเคียง |
อภิปราย ขยายความ................
เจ้าพระยาสองพี่น้องยกกำลังแหกค่ายพม่าเมืองพิษณุโลกไปตั้งหลักที่เพชรบูรณ์ พักฟื้นกำลังพลและสะสมเสบียงได้แล้วนำกำลังกลับช่วยพระเจ้าตากสินกวาดล้างพม่าจนสิ้นไป ในขณะที่ทางเมืองญวนเกิดรบชิงอำนาจกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงฝักใฝ่ในด้านการพระศาสนา ประพฤติปฏิบัติธรรมด้านสมถวิปัสสนาภาวนาอย่างเคร่งครัดนั้น วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากันต่อไปครับ
 “ ณ วันศุกร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้หล่อปืนพระพิรุณ ที่สวนมังคุด ในเดือนนั้นกรมการเมืองนครราชสีมาบอกลงมาว่า พระยานางรองคบคิดกันกับเจ้าโอ้ เจ้าอิน และอุปฮาดเมืองจำปาศักดิ์ กระทำการกำเริบเป็นกบฏ จึงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพไปเมืองนครราชสีมา แล้วให้กองหน้ายกไปจับตัวพระยานางรองมาได้ พิจารณาเห็นเป็นความจริงว่าคิดกบฏจึงให้ประหารชีวิตเสีย แต่เจ้าโอ้ เจ้าอิน กับอุปฮาดนั้นยังตั้งซ่องสุมอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ มีไพร่พลทั้งลาวทั้งข่ามากประมาณหมื่นเศษ จึงบอกข้อราชการลงมากราบทูล
 ครั้นทรงทราบจึงให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) คุมทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง ยกขึ้นไปเข้าบรรจบกองทัพเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองนครราชสีมา จากนั้นเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ จึงยกทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์ เมืองโขง เมืองอัตปือ ได้ทั้งสามเมือง จับตัวเจ้าโอ้ เจ้าอิน และอุปฮาดได้แล้วให้ประหารชีวิตเสีย แล้วตั้งเกลี้ยกล่อมได้เขมรป่าดง เมืองตะลุง เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ เมืองขุขันธ์ มาเข้าสวามิภักดิ์ทั้งสี่เมือง ไพร่พลประมาณสามหมื่นเศษ จึงบอกข้อราชการมากราบทูล สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ดำรัสให้มีตราหากองทัพกลับยังกรุงธนบุรี
 เจ้าพระยาทั้งสองเลิกทัพกลับมาถึงพระนครในเดือน ๖ ปีระกานพศก ศักราช ๑๑๓๙ (พ.ศ. ๒๓๒๐) จึงทรงพระกรุณาโปรดปูนบำเหน็จเจ้าพระยาจักรี ตั้งให้เป็น “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหิมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศราชสุริยวงศ์ องค์อัครบาทมุลลิกากร บวรรัตนบรินายก ณ กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา” แล้วพระราชทานพานทอง เครื่องยศเหมือนอย่างเจ้าต่างกรม ใหญ่ยิ่งกว่าท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง
วันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา นพศก สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนั่งเข้าสมาธิให้โต๊ะแขกดู ประมาณห้าบาทออกจากที่ทรงนั่งแล้วตรัสถามโต๊ะแขกว่า เห็นเป็นประการใดบ้าง โต๊ะแขกกราบทูลว่า ซึ่งทรงนั่งสมาธิอย่างนี้ อาจารย์ซึ่งได้เล่าเรียนมาแต่ก่อนจะได้เห็นเสมอพระองค์ดังนี้หามิได้ เ พลาเช้าของวันพุธแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง เข้ามาถวายบาลีวิธี ซึ่งเข้านั่งภาวนาพระสมาธิกรรมฐาน และโต๊ะฤทธิ์ โต๊ะทอง โต๊ะนก แขกสามคนก็เอาหนังสือแขกซึ่งนั่งรักษาสมาธิจิตเข้ามาอ่านถวาย
 ในวันเดียวกันนั้นก็มีหนังสือบอกเมืองนครศรีธรรมราชส่งมากราบทูลว่า เมืองตานีแข็งเมืองอยู่มิได้มาอ่อนน้อม ถึงปีหน้าเจ้านครจะยกทัพออกไปตี จึงมีพระราชดำรัสว่ามีราชการศึกพม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ พระยาเชียงใหม่เลิกครัวอพยพลงมาตั้งอยู่ที่เมืองสวรรคโลก ยังมิได้ทันจัดกองทัพขึ้นไปตีทัพพม่าที่เชียงใหม่ พม่าเลิกทัพกลับไปเองโดยเร็ว ด้วยมีข่าวลือมาว่ามีศึกกระแซยกมาตีเมืองอังวะ ทั้งทัพฮ่อก็ยกมาด้วย จะตีเป็นศึกกระหนาบ เราคิดจะให้ราชทูตออกไปแจ้งราชกิจแก่พระเจ้ากรุงปักกิ่ง ว่าจะยกกองทัพขึ้นไปช่วยตีเมืองด้วย ราชการสงครามยังติดพันกันมากอยู่ ให้เจ้านครรอทัพไว้ก่อนอย่าเพ่อยกไปตีเมืองแขกก่อนเลย ต่อเมื่อใดราชการข้างกรุงธนบุรีสงบแล้วจึงจะให้มีตรากำหนดการออกไปให้กองทัพเมืองนครศรีธรรมราชยกไปตีเมืองตานีเมื่อนั้น
มีดำรัสดังนั้นแล้วก็ทรงประภาษถึงเรื่องกรรมฐานกับพระราชาคณะว่า พระนาภีของพระองค์นั้นแข็งไป กระแหมบมิเข้า ผิดกับสามัญสัตว์โลกทั้งปวงเป็นอัศจรรย์ แล้วดำรัสถามพระราชาคณะด้วยพระรูปและลักขณะว่า ทรงส่องพระฉายดูเห็นพระกายเป็นปริมณฑลฉะนี้จะต้องพระบาลีประการใดบ้าง พระราชาคณะถวายพระพรว่า พระบาลีพระพุทธลักขณะสมเด็จพระสัพพัญญูมีพระกายเป็นปริมณฑล เหมือนดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร มิได้สูงต่ำยาวสั้น และพระกายซึ่งสูงนั้นวัดเท่ากับวาของพระองค์ อนึ่ง มีมังสะที่หนานั้นเจ็ดแห่ง คือหลังพระหัตถ์ซ้ายขวาและหลังพระบาทซ้ายขวา พระองสาทั้งสองซ้ายขวา กับลำพระศอ เป็นเจ็ดแห่งด้วยกัน ทรงทราบดังนั้นจึงสั่งให้ช่างหล่อ ๆ พระพุทธรูปให้ต้องด้วยพระพุทธลักขณะพร้อมบริบูรณ์ทุกประการ
ให้สมเด็จพระสังฆราชเอาพระบาลีพระพุทธลักขณะออกมาบรรยายให้ช่างทำ สมเด็จพระสังฆราชแปลพระบาลีพระพุทธลักขณะถวายว่า “พระทวัดดึงสมหาบุรุษลักขณะใหญ่นั้นสามสิบสองประการคือ พระลักขณะอย่างนั้น ๆ และพระอสีตยานุพยัญชนะ พระลักขณะน้อยนั้นสิบแปดประการ คืออย่างนั้น ๆ” จึงทรงส่องพระฉายทอดพระเนตรดูพระลักขณะในพระองค์ สอบกับพระบาลีเห็นต้องพระพุทธลักขณะคือ พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์ประการหนึ่ง มีเส้นพระอุณาโลมอยู่ที่หว่างพระขนงประการหนึ่ง พระอุทรเวียนเป็นทักขิณาวัฏประการหนึ่ง พื้นพระปฤษฎางค์เสมอประการหนึ่ง และพระมังสะที่หนานั้นพร้อมทั้งเจ็ดแห่งประการหนึ่ง พระปรางอิ่มบมิได้บกพร่องประการหนึ่ง จากนั้นให้สมเด็จพระสังฆราชอ่านพระบาลีสอบกับพระลักขณะในพระองค์ไปทุก ๆ พระลักขณะ ก็ต้องด้วยพระพุทธลักขณะทั้งสามสิบสองประการ สิ่งที่ไม่ต้องก็ตรัสบอกว่าไม่ต้อง”
 * ท่านผู้อ่านครับ หลังจากทรงกรากกรำศึกสงครามมาอย่างหนัก สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงหันเข้าวัดปฏิบัติพระ กรรมฐานอย่างจริงจัง ทรงเคร่งครัดจนเครียดถึงขนาดคิดว่า พระกายของพระองค์มีส่วนเหมือนหรือคล้ายพระกายของพระพุทธองค์ ตรัสให้สมเด็จพระสังฆราชนำพระบาลีจากพระไตรปิฎกมาตรวจสอบเทียบกับพระกายของพระองค์ และนี่น่าจะเป็นที่มาของพระอาการที่ว่ากันว่าพระองค์มีพระสติฟั่นเฟือน จริงหรือไม่อย่างไร พรุ่งนี้มาอ่านความกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกฝีนิพนธ์ไท ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระวอขอพึ่งโพธิสมภาร -
กล่าวถึง“พระวอ”อุปฮาดล้านช้าง หนีมาสร้างเมืองใหม่แล้วบ่ายเบี่ยง ไม่ขึ้นต่อล้านช้างอย่างลำเอียง ให้นามเวียงใหม่ว่า“จำปานคร”
เจ้าล้านช้างยกทัพมาปราบแรก ถูกตีแตกกลับไปมือไม้อ่อน “พระวอ”ขอพม่าช่วยกลัวม้วยมรณ์ กลับถูกซ้อนกลศึกอันลึกล้ำ
ล้านช้างพาพม่ามาตีปล้น เกินทานทนทัพพม่ามาเหยียบย่ำ ทิ้ง“จำปานคร”ไว้ให้จดจำ ถอยลงต่ำถึงตอน“ดอนมดแดง”
แล้วจึงตั้งเมืองใหม่ในที่นั้น ส่งเครื่องบรรณาการให้ไร้เล่ห์แฝง ขอพึ่งโพธิสมภารอันร้อนแรง เป็นข้าแห่งธนบุรีกรุงศรีไทย |
อภิปราย ขยายความ..................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มาวางเปิดกางให้อ่านถึงตอนที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงหมกมุ่นในการปฏิบัติพระกรรมฐานจนได้ฌาน และเกิดความเข้าพระทัยว่า พระกายของพระองค์มีบางสิ่งบางอย่างหลาย ๆ อย่างเหมือนพระวรกายของพระพุทธองค์ จึงให้สมเด็จพระสังฆราชนำพระบาลีในพระไตรปิฎกซึ่งว่าด้วยลักษณะพระวรกายของพระพุทธองค์มาอ่านเปรียบเทียบกับพระกายของพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชทรงอ่านพระบาลีแล้วแปลความที่ว่าด้วย พระลักษณะมหาบุรุษสามสิบสองประการ (ทวัตตึงสมหาบุรุษลักษณะ) และลักษณะอื่น ๆ มาประกอบ วันนี้มาอ่านความในพระราชพงศาวดารฉบับเดิมกันต่อไปครับ
“ในขณะที่ทรงให้ตรวจสอบพระลักษณะของพระองค์ว่าจะมีสิ่งใดต้องตามพระพุทธลักษณะบ้างหรือไม่นั้น พระมหาอำมาตย์ทูลเบิกพระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ลงมาเฝ้า พระองค์ดำรัสว่า “พม่ามันเลิกทัพไป มันมีศึกอยู่แล้ว พระยาวิเชียรปราการจะพาครอบครัวกลับไปเมืองเชียงใหม่ก็ไปเถิด”
ตรัสว่าราชการเพียงเท่านั้นก็ทรงหันกลับมาให้หลวงวิจิตรนฤมลปั้นพระพุทธรูปให้ต้องด้วยพระพุทธลักษณะปางสมาธิพระองค์หนึ่ง ยืนพระองค์หนึ่ง จะให้ช่างหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ แล้วให้นิมนต์พระเทพกระวีให้ออกไปกรุงกัมพูชา ให้พระพรหมมุนีออกไปเมืองนครศรีธรรมราช ค้นพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคนำเข้ามาเป็นฉบับสร้างไว้ในกรุงธนบุรี
พระอาลักษณ์ได้กราบถวายบังคมลาออกบวช และเมื่อบวชแล้วทรงพระกรุณาตั้งให้เป็น พระรัตนมุนี โดยแปลงนามเดิมว่า “แก้ว” นั้นมาเป็นชื่อสมณศักดิ์ จากนั้นทรงแสดงความอัศจรรย์ในการทำนายทายทักให้ปรากฏแก่คนทั่วไป โดยสั่งให้ปลัดวังไปหาแม่ค้าในตลาดบกและชาวเรือมาเฝ้าแล้วตรัสทำนายว่า “หญิงคนนั้นกับสามีคนนั้นจะอยู่ด้วยกันยืด ผัวเมียคู่นั้นจะอยู่ด้วยกันไม่ยืด หญิงคนนั้นราคะกล้ายินดีในกามคุณมาก หญิงคนนั้นราคะเบาบางรักแต่ทรัพย์สิน หญิงคนนั้นใจบาป หญิงคนนั้นใจบุญพอใจทำการกุศล” ทรงทายแม่ค้าทุก ๆ คน
* ศักราช ๑๑๔๐ ปีจอ สัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๓๒๑) พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม ซึ่งออกไปรักษาเมืองเพชรบุรี กับพระยาทุกขราษฎร์กรมการเมืองและพระกุย พระปราณ บอกส่งคนบ่าวข้อราชการซึ่งลามุลนายออกไปหากินและหนีออกไปทั้งครอบครัวก็มีเป็นอันมาก ส่งเข้ามายังกรุงธนบุรี ทรงพระกรุณาให้ส่งให้แก่เจ้าหมู่มุลนายทั้งปวงตามหมู่ตามกรรม
ในปีเดียวกันนั้น มีเรื่องทางกรุงศรีสัตนาคนหุต โดยพระวอซึ่งเป็นอุปฮาดอยู่ก่อนมีความพิโรธขัดเคืองกับเจ้าล้านช้าง จึงพาสมัครพรรคพวกออกจากเมืองมาตั้งอยู่หนองบัวลำภู ซ่องสุมผู้คนได้มากจึงสร้างขึ้นเป็นเมืองตั้งค่ายเสาไม้แก่น ให้ชื่อเมืองจำปานครขวางกาบแก้วบัวบาน แล้วแข็งเมืองต่อพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
ทางกรุงศรีสัตนาคนหุตจึงแต่งกองทัพยกมาตี พระวอก็ต่อรบตีทัพล้านช้างแตกกลับไป แล้วก็แต่งขุนนางนำเครื่องบรรณาการขึ้นไปเมืองอังวะ ขอกองทัพพม่ายกลงมาตีกรุงศรีสัตนาคนหุต พระเจ้าอังวะให้แมงละแงเป็นแม่ทัพถือพลสี่พัน ยกมาตีกรุงศรีสัตนาคนหุต ยกทัพมาถึงกลางทางพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทรงทราบ จึงให้ท้าวเพี้ย (ตำแหน่งหนึ่งของขุนนางลาว) นำเครื่องบรรณาการไปให้แม่ทัพพม่า ขอขึ้นกับกรุงอังวะ แล้วให้กองทัพไปตีพระวอ ณ เมืองหนองบัวลำภู โดยนำกองทัพพม่ามาพักที่ศรีสัตนาคนหุต จัดการต้อนรับเป็นอันดี จากนั้นจึงจัดพลสมทบกองทัพพม่า ให้แมงละแงเป็นแม่ทัพยกกำลังพม่าลาวไปตีเมืองหนองบัวลำภู พระวอออกต่อสู้เห็นเหลือกำลังก็ทิ้งเมืองเสีย พาครอบครัวอพยพแตกหนีไปตั้งอยู่ตำบลดอนมดแดงเหนือเมืองจำปาศักดิ์ แล้วแต่งท้าวเพี้ยถือศุภอักษรและเครื่องบรรณาการมาถึงพระยานครราชสีมา ขอเป็นเมืองขึ้นขอบขัณฑสีมากรุงธนบุรี เอาพระเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นที่พึ่งพำนักสืบไป พระยานครราชสีมาจึงบอกส่งทูตและศุภอักษรเครื่องราชบรรณาการลงมายังกรุงธนบุรี จึงพระราชทานสิ่งของตอบแทนไปแก่พระวอ และโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ดอนมดแดงนั้น”
* ท่านผู้อ่านครับ หลังจากที่ทรงกรำศึกมาอย่างหนักจนมีพระทัยเหี้ยมเกรียมแล้ว นึกไม่ถึงว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินจะกลับมามีพระทัยฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาถึงขนาดที่จะเปรียบเทียบพระองค์ให้เป็นเช่นพระพุทธเจ้า จนไม่มีพระทัยที่จะคิดการศึกเหมือนแต่ก่อนมา ในขณะที่พระเจ้าตากสินกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวในพระพุทธศาสนาอยู่นั้น เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองหลายเรื่องเช่น มหาอำมาตย์นำพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่เข้าเฝ้า พระองค์ก็ตรัสให้พาครอบครัวกลับไปครองเชียงใหม่ตามเดิม
ทรงตรัสให้พระเถระองค์หนึ่งไปกัมพูชา องค์หนึ่งไปนครศรีธรรมราช เพื่อค้นต้นฉบับคัมภีร์วิสุทธิมรรคมาทำเป็นฉบับสร้างของกรุงธนบุรี แล้วยังแสดงความอัศจรรย์ทางการทำนายทายทักลักษณะบุคคล โดยการนำแม่ค้าในตลาดบกและน้ำมาให้ทรงทำนายว่าจะดีร้ายประการใด นัยว่าการทำนายของพระองค์นั้นถูกต้องเป็นส่วนมากทีเดียว
มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ พระวอ อุปฮาดแห่งศรีสัตนาคนหุต เกิดความขัดแย้งแตกหักกับพระเจ้ากรุงศรีสัตนาฯ จึงพาครัวและบริวารหนีมาสร้างเมืองใหม่ที่หนองบัวลำภู ให้ชื่อเมืองใหม่ว่า “จำปานครขวางกาบแก้วบัวบาน” พระเจ้าล้านช้างยกทัพมาปราบแต่พ่ายแพ้กลับไป พระวอเกรงว่าพระเจ้าล้านช้างจะยกมาตีอีก จึงส่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ ขอเป็นเมืองขึ้น ให้พม่ายกทัพมาช่วยตีกรุงศรีสัตนาฯ พระเจ้าล้านช้างทรงทราบ จึงจัดส่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา พม่าเข้าด้วยกับเจ้าล้านช้างจึงแปรทัพเข้าตีจำปานคร พระวอหนีลงไปถึงบ้านดอนมดแดง และตั้งเมืองขึ้นใหม่ ณ ที่นั้น แล้วส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงธนบุรี ทรงพระราชทานสิ่งของให้ แล้วให้พระวอตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่นั้น (ต่อมาคือ อุบลราชธานี) โดยมีได้สนพระทัยมากนัก
ด้วยเหตุนี้กระมังนักประวัติศาสตร์ ไทยส่วนมากจึงเชื่อกันว่า พระองค์ทรงเสียพระสติไปในที่สุด เรื่องราวของพระองค์จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้ามาอ่านพระราชพงศาวดารฉบับนี้กันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุานขี้ผึ้งไทย ๒๘ เมษายน ๒๕๖๒ ขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ยกทัพไทยไปตีล้านช้าง -
พระเจ้าล้านช้างล้ำลุอำนาจ ช่างบังอาจอวดเก่งหาเกรงไม่ ตีเมืองดอนมดแดงแล่งแตกไป ครั้นจับได้“พระวอ”ก็ฆ่าพลัน
พระเจ้าตากสินทรงพระพิโรธ จึงได้โปรดจัดทัพใหญ่เร่งผายผัน ยกไปตีล้านช้างพังเวียงจันทน์ อย่าให้ทันที่พม่ามาแทรกแซง
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เร่งผนึกกำลังเต็มความเข้มแขง อีกเจ้าพระสุรสีห์ที่ร้อนแรง ทั้งสองแบ่งหน้าที่เข้าตีลาว |
อภิปราย ขยายความ........................
เมื่อวันวานนี้เก็บความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาบอกเล่าถึงตอนที่ พระวออุปราชกรุงศรีสัตนาคนหุต บาดหมางกับพระเจ้าล้านช้างจึงพาพรรคพวกหนีมาสร้างเมืองใหม่ที่หนองบัวลำภูให้ชื่อเมืองว่า จำปานครขวางกาบแก้วบัวบาน พระเจ้าล้านช้างยกทัพมาปราบ พระวอจึงขอกำลังจากพม่ามาช่วย แต่พระเจ้าล้านช้างดักต้อนทัพพม่าเข้าเป็นพรรคพวกแล้วร่วมกันตีเมืองจำปานครแตก พระวอพาครัวหนีไปตั้งหลักที่ดอนมดแดง แล้วขอเป็นข้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ดอนมดแดงนั้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร มาดูความในพระราชพงศาวดารกันต่อไปครับ
 “กองทัพพม่าตีเมืองหนองบัวลำภูได้แล้วก็เลิกทัพกลับไปล้านช้าง พระเจ้าล้านช้างให้บำเหน็จรางวัลแก่แมงละแงแม่ทัพพม่า และเครื่องราชบรรณาการส่งขึ้นไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ แล้วขอเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงอังวะด้วย ครั้นแมงละแงยกทัพกลับกรุงอังวะแล้ว พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ทราบว่าพระวอไปตั้งอยู่ ณ ดอนมดแดง จึงแต่งให้พระยาสุโภเป็นนายทัพยกพลไปตีเมืองดอนมดแดง พระยาสุโภตีเมืองดอนมดแดงแตกและจับตัวพระวอได้ให้ประหารชีวิตเสีย แล้วยกทัพกลับล้านช้าง
 ยามนั้นท้าวก่ำบุตรพระวอและท้าวเพี้ยทั้งปวง ได้มีหนังสือบอกถึงพระยานครราชสีมาให้ทราบว่ากองทัพล้านช้างยกมาตีเมืองดอนมดแดงแตกและฆ่าพระวอเสียแล้ว พวกตนมีกำลังน้อยสู้รบตอบโต้มิได้ จะขอกองทัพกรุงธนบุรียกไปตีเมืองล้านช้างแก้แค้น
 ครั้นพระยานครราชสีมาบอกลงมากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ ดำรัสว่า “พระวอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาเมืองเรา และพระเจ้าล้านช้างมิได้ยำเกรง กระทำบังอาจมาตีบ้านเมืองและฆ่าพระวอเสียฉะนี้ ควรเราจะยกกองทัพไปตีเมืองล้านช้างให้ยับเยินตอบแทนแก้แค้นให้จงได้”
 * ครั้นถึงเดือนอ้าย ปีจอ สัมฤทธิศก จึงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพ กับเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) และท้าวพระยามุขมนตรีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งในกรุงและหัวเมือง นำพลทหาร ๒๐,๐๐๐ มีช้างม้าเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสร็จ ยกไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต
 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกพลไปตั้งชุมนุมทัพ ณ เมืองนครราชสีมา ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพลงไปกัมพูชา สั่งให้เกณฑ์พลเมืองเขมร ๑๐,๐๐๐ ต่อเรือรบเรื่อไล่ให้มาก ๆ และให้ขุดคลองอ้อมเขาลีผียกทัพเรือขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง ไปบรรจบกับทัพบกพร้อมกัน ณ เมืองล้านช้าง เจ้าพระยาสุรสีห์รับคำสั่งแล้วรีบเร่งดำเนินการตามบัญชาทันที
 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แม่ทัพใหญ่ยกทัพจากเมืองนครราชสีมา เดินทัพถึงเมืองล้านช้าง ให้กองหน้าล่วงไปตีหัวเมืองรายทางได้หลายตำบล ฝ่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ เมื่อต่อเรือรบเสร็จแล้วก็เกณฑ์พลลาวเขมรทั้งปวงขุดคลองอ้อมเขาลีผีซึ่งตั้งขวางแม่น้ำอยู่นั้น แล้วยกทัพเรือขึ้นตามคลองขุดถึงเมืองจำปาศักดิ์ เข้าตีเมืองนครพนมและหนองคายซึ่งขึ้นแก่ล้านช้างได้ทั้งสองเมือง
 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ทราบข่าวกองทัพไทยยกมาตีเมือง จึงแต่งแสนท้าวพระยาลาวทั้งปวง ยกออกต่อรบต้านทานเป็นหลายทัพหลายตำบล ได้รบกันเป็นสามารถ พลทหารลาวสู้รบต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีไปหลายครั้งหลายแห่ง
 ขณะนั้นพระเจ้าร่มขาว เจ้าเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นอริอยู่กับพระเจ้าล้านช้าง ด้วยพระเจ้าล้านช้างเคยไปเอากองทัพพม่ามาตีเมืองหลวงพระบาง เมื่อทราบว่ากองทัพไทยยกมาตีล้านช้างก็มีความยินดีนัก รีบแต่งขุนนางให้ยกกองทัพลงมาช่วยตีเมืองล้านช้าง พร้อมกับบอกลงมาขอเป็นเมืองขึ้นกรุงธนบุรีด้วย
 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงให้กองพระยาเพชรบูรณ์กำกับทัพเมืองหลวงพระบางเข้าตีทางด้านเหนือเมือง แล้วยกทัพใหญ่ไปตีเมืองพะโคและเวียงคุก ตั้งค่ายล้อมไว้ทั้งสองเมือง เจ้าเมืองขับพลทหารออกมาต่อรบเป็นสามารถจึงเข้าหักเอาเมืองยังมิได้”
 * ท่านผู้อ่านครับ อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาถึงตรงนี้แล้วได้ความรู้ใหม่ ๆ หลายเรื่องนะครับ พระเจ้าล้านช้างแห่งนครเวียงจันทน์ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาในพระเจ้ากรุงอังวะ ข้ามสยามประเทศไปโดยมิได้เกรงสมเด็จพระเจ้าตากสินเลย เมื่อได้พม่าหนุนหลังแล้วยิ่งเหิมเกริม สั่งให้พระยาสุโภนำกองทัพไปตีเมืองดอนมดแดง (อุบลราชธานี) จับตัวพระวอได้แล้วประหารเสียทันที ทั้งที่รู้อยู่ว่าพระวอเป็นข้าของพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ก็หาได้ยำเกรงสยามไม่
 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกรุงธนบุรี รับพระราชบัญชายกทัพไปตีเมืองล้านช้าง โดยยกไปตั้งต้นที่นครราชสีมา แล้วแยกเป็นสองทัพ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เจ้าพระยาผู้น้องยกลงไปกัมพูชา รวบรวมกำลังพลเขมรเข้าสมทบแล้วยกขึ้นตีล้านช้าง เจ้าพระยาสุรสีห์ต่อเรือรบได้จำนวนมากตามต้องการแล้วยกขึ้นตามลำน้ำโขง ถึงแก่งลีผีซึ่งเป็นโขดเขาหินตั้งกั้นกลางลำน้ำโขงอยู่ เดินเรือข้ามไม่ได้ จึงสั่งให้ขุดคลองอ้อมแก่งลีผี ยกกองทัพขึ้นไปจนได้ แล้วผ่านจำปาศักดิ์ขึ้นไปตีเมืองนครพนมและหนองคายได้ทั้ง ๒ เมือง จึงได้ความรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเมืองนคร พนมกับหนองคายยุคสมัยนั้นขึ้นอยู่กับอาณาจักรล้านช้าง
 พระเจ้าร่มขาวแห่งเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นอริแก่พระเจ้าล้านช้าง ทราบว่าสยามยกมาตีล้านช้าง จึงให้ขุนนางแต่งบรรณาการลงมาขอเป็นเมืองขึ้นกรุงธนบุรี และยกกำลังลงมาช่วยไทยตีเมืองล้านช้างด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงให้กองกำลังจากหลวงพระบางเข้ากับกองทัพพระยาเพชรบูรณ์ ตีนครเวียงจันทน์ทางทิศเหนือ เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าตีทางทิศใต้ ส่วนแม่ทัพใหญ่ยกเข้าตีทางด้านทิศตะวันตก
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจะตีล้านช้างได้สำเร็จอย่างไร พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระแก้วมรกตกลับไทย -
ไทย,ลาวรบสี่เดือนเศษจึงเสร็จศึก เจ้าลาวนึกท้อแท้ยอมแพ้อ้าว ทิ้งเวียงจันทน์ทันทีมิอยู่ยาว ยอมเป็นจ้าวไร้บัลลังก์จะนั่งครอง |
อภิปราย ขยายความ...................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาเปิดกางวางให้อ่านกันถึงตอนที่ หลังจากเจ้านครเวียงจันทน์ล้านช้างยกกำลังมาตีเมืองดอนมดแดง (อุบราชธานี) แล้วจับตัวพระวอประหารชีวิตเสีย สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระพิโรธ โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปตีล้านช้าง ขณะที่กองทัพไทยเข้าล้อมนครเวียงจันทน์นั้น เจ้าเมืองหลวงพระบางได้ส่งกำลังลงมาขอวามิภักดิ์และอาสาเข้าตีนครเวียงจันทน์ด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอ่านกันต่อครับ
 “ฝ่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เมื่อตีเมืองหนองคายได้แล้วก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองนี้ สั่งให้ตัดศีรษะลาวชาวเมืองเสียเป็นอันมาก แล้วให้เอาศีรษะเหล่านั้นใส่ลงในเรือ ให้หญิงลาวพายเรือนั้นขึ้นไปร้องขายศีรษะลาวที่หน้าเมืองพะโค ชาวเมืองเห็นดังนั้นก็มีใจย่อท้อต่อการรบ ทัพไทยจึงเข้าหักเอาเมืองพะโคและเวียงคุกได้ทั้งสองเมือง
 จากนั้นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงให้ยกทัพใหญ่เข้าตีเมืองพานพร้าว ซึ่งตั้งอยู่ฟากฝั่งตะวันตกตรงหน้าเมืองล้านช้าง ชาวเมืองออกต่อรบเป็นสามารถแต่ก็ต้านทานไม่ไหว ทหารไทยพากันปีนเข้าปล้นเอาเมืองได้แล้วฆ่าลาวตายเป็นอันมาก เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกสั่งให้ทัพเรือรับกองทัพทั้งปวงข้ามไปฟากตะวันออกพร้อมกัน แล้วเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองล้านช้างไว้
 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตเกณฑ์พลทหารขึ้นประจำการรักษาหน้าที่เชิงเทินรอบเมือง ป้องกันเมืองเป็นสามารถ ให้เจ้านันทเสนราชบุตรขี่ช้างพลายคำเพียงอกสูงหกศอกสามนิ้ว คุมพลทหารออกจากเมืองเข้าตีกองทัพไทยที่ตั้งค่ายล้อมด้านข้างท้ายเมืองนั้น พลทหารไทยยกออกตีทัพเจ้านันทเสนแตกพ่ายกลับเข้าเมืองพลลาวล้มตายเป็นอันมาก กองทัพไทยกับลาวรบกันอยู่นานถึงสี่เดือนเศษ พระเจ้าศรีสัตนาคนหุตเห็นเหลือกำลังจะต่อรบต้านทานทัพไทยมิได้ ก็ทิ้งเมืองเสีย พาเจ้าอินทร์เจ้าพรหมราชบุตรและข้าหลวงคนสนิทลอบลงเรือหนีไป ณ เมืองคำเกิดอันเป็นเมืองขึ้นแก่ล้านช้าง
 กองทัพไทยเข้าเมืองได้แล้วจับตัวอุปฮาด เจ้านันทเสน และราชบุตร บุตรีกับวงศานุวงศ์ชะแม่สนมกำนัลและขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง กับทรัพย์สิ่งสิน เครื่องสรรพศัสตราวุธปืนใหญ่น้อยเป็นอันมาก เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกให้กวาดขนเข้ามาไว้ ณ เมืองพานพร้าว (ศรีเชียงใหม่) ฟากตะวันตกกับทั้งครอบครัวชาวเมืองทั้งปวง
 ในบรรดาทรัพย์สิ่งสินเหล่านั้นมีปูชนียวัตถุสำคัญสิ่งหนึ่งคือ พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต และพระบาง ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารในพระราชวังพระเจ้าล้านช้าง เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกให้อัญเชิญออกจากพระวิหารลงข้ามฟากมาประดิษฐาน ณ เมืองพานพร้าว (ศรีเชียงใหม่) ด้วย ให้สร้างพระอารามขึ้นใหม่ที่เมืองนี้ แล้วก็แต่งให้ไทยลาวไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองลาวทั้งปวงฝ่ายตะวันออกได้สิ้น แล้วบอกลงมากราบทูลให้ทรงทราบข้อราชการซึ่งตีกรุงศรีสัตนาคนหุตได้สำเร็จ และได้องค์พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตกับพระบางด้วย
 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบความในหนังสือบอกจากเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกดังกล่าว ดำรัสให้มีตราหากองทัพกลับพระนครทันที เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงจัดแจงบ้านเมืองโดยตั้งให้พระยาสุโภขุนนางเมืองล้านช้างอยู่รั้งเมือง แล้วกวาดครอบครัวลาวชาวเมืองกับทั้งพระราชบุตรธิดาวงศานุวงศ์และขุนนางท้าวเพี้ยทั้งปวง พร้อมทรัพย์สิ่งของเครื่องศัสตราวุธช้างม้าเป็นอันมาก พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก้วมรกตกับพระบางเลิกทัพกลับกรุงธนบุรีโดยพระราชกำหนด
 กองทัพเดินทางกลับถึงเมืองสระบุรีในเดือนยี่ ปีกุน เอกศก ศักราช ๑๑๔๑ (พ.ศ. ๒๓๒๒) จึงบอกลงมากราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมีพระราชดำรัสให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะทั้งปวง ขึ้นไปรับพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตถึงเมืองสระบุรี แล้วให้แต่งเรือชัยกิ่งขึ้นไปรับพระพุทธรูปด้วย ครั้นอัญเชิญพระพุทธรูปมาถึงตำบลบางธรณี จึงเสด็จพระราชดำเนินโดยทางชลมารคขึ้นไปรับ จัดขบวนนาวาพยุหะแห่ลงมาตราบถึงพระนคร ทรงให้ปลูกโรงรับเสด็จพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตและพระบาง อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ โรงข้างพระอุโบสถวัดแจ้งภายในพระราชวัง ตั้งเครื่องสักการบูชามโหฬาราธิการโดยยิ่ง แล้วมีงานมหรสพถวายพุทธสมโภชครบสามวัน พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งปวงโดยสมควรแก่ความชอบในราชการสงครามนั้น”
 * ท่านผู้อ่านครับ พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตองค์นี้คือองค์เดียวกันกับที่ผมเคยกล่าวมาแล้วในตอนต้น ๆ ว่า สร้างขึ้นที่เมืองพันพานซึ่งอยู่ในท้องที่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน เคยประดิษฐานอยู่ ณ เมืองไชยา แล้วย้ายไปเมืองนครศรีธรรมราช ต่อไปอยู่ที่นครวัดในกัมพูชา แล้วมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา – กำแพงเพชร - เชียงราย –นครลำปาง -เชียงใหม่ แล้วสุดท้ายไปอยู่ที่หลวงพระบาง แล้วงมาประดิษฐาน ณ ศรีสัตนาคนหุต หรือนครเวียงจันทน์ จนถึงวันที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ ในที่สุดพระแก้วมรกตก็กลับสู่แผ่นดินไทย
 เมืองและสถานที่ซึ่งกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารตอนนี้คือ ลีผี นั้น ได้แก่เขื่อนหรือแก่งลีผี กั้นแม่น้ำโขงอยู่ตอนใต้นครจำปาศักดิ์ ในพระราชพงศาวดารนี้กล่าวว่าเป็นภูเขากั้นลำน้ำโขง เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เกณฑ์เขมรลาวให้ช่วยกันขุดทำลายภูเขา เพื่อให้กองทัพเรือเดินทางขึ้นสู่ล้านช้างได้เมืองพานพร้าวที่อยู่ตรงกันข้ามกับนครเวียงจันทน์ ซึ่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยึดเป็นที่พักทัพก่อนและหลังยึดนครเวียงจันทน์นั้น ปัจจุบันคืออำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เมืองนี้ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวล้านนาที่อพยพไปจากเมืองพร้าว-เชียงใหม่
เมื่อ ยึดล้านช้างได้แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หั่นขี้ผึ้งไทย ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- มหาดากรุงเก่าเป็นกบฏ -
เกิดกบฏหลวงชีที่กรุงเก่า “มหาดา”อยากเป็นเจ้าศาสน์เศร้าหมอง พระเจ้าตากสินสั่งสึกจำจอง พร้อมพวกพ้องถูกประหารหมดทันที
|
อภิปราย ขยายความ....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาวาง เปิดกางให้อ่านกันถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพยกไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง (หรือเวียงจันทน์ในปัจจุบัน) สาเหตุสำคัญก็เพราะเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตยกทัพมาตีเมืองดอนมดแดงและฆ่าอุปฮาดซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปทางบก เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เกณฑ์พลทหารเขมรยกไปทางน้ำ ในที่สุดก็ยึดกรุงศรีสัตนาคนหุตได้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตและพระบางจากล้านช้างมากรุงธนบุรี เรื่องราวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาจะเป็นอย่างไร เชิญอ่านกันต่อไปครับ
 “ในปีกุน จุลศักราช ๑๑๔๑ (พ.ศ. ๒๓๒๒) นั้น มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นที่กรุงเก่า กล่าวคือ พระมหาดา วัดพระรามกรุงเก่า ไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ โกหกหลอกลวง แจกน้ำมนต์แก่ประชาชน มีผู้คนเคารพนับถือศรัทธาเข้าเป็นพรรคพวกมาก จึงคิดกำเริบเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่งตั้งชาวชนบทเป็นขุนนางทุกตำแหน่ง ขาดเพียงตำแหน่งที่พระยายมราชเท่านั้น ผู้รักษากรุงเก่าจึงบอกลงมากราบทูลให้ทรงทราบ
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบแล้วจึงให้ข้าหลวงขึ้นไปจับตัวพระมหาดากับพรรคพวกทั้งหมด เอาตัวลงมากรุงธนบุรี ให้พระมหาดาผลัดผ้าเหลืองเป็นผ้าขาวแล้วลงพระราชอาชญาเฆี่ยนทั้งพวกจำครบไว้ ทรงสอบสวนได้ความแน่ชัดว่ามหาดาคิดมิชอบ แต่งตั้งขุนนางทุกตำแหน่งเว้นไว้แต่ตำแหน่งพระยายมราชเท่านั้น
ขณะนั้นพระยายมราชแขกเป็นโทษต้องพระราชอาชญาอยู่ในเรือนจำ จึงดำรัสว่า ที่พระยายมราชของมันยังมิได้ตั้งขาดอยู่ ให้เอาพระยายมราชของเราไปใส่ให้มันจงครบตำแหน่งขุนนาง แล้วให้เอาพระยายมราชและอ้ายดากบฏกับทั้งสมัครพรรคพวกทั้งปวงซึ่งแต่งตั้งเป็นขุนนางนั้น ไปประหารชีวิตเสียที่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ตัดศีรษะเสียบไว้ทั้งสิ้น
 ศักราช ๑๑๔๒ ทรงพระกรุณาให้พระยาคำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมาลงมารับราชการ ณ กรุงธนบุรี แล้วโปรดให้หลวงนายฤทธิ์ หลานเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นพระยาสุริยอภัย ขึ้นไปครองเมืองนครราชสีมาแทน ให้นายจ่าเรศ น้องชายพระยาสุริยอภัย เป็นพระสุริยอภัยปลัดเมือง ให้นายเล่ห์อาวุธ น้องชายคนเล็กของพระยาสุริยอภัย เป็นหลวงนายฤทธิ์ รับราชการสืบไป
วันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีเดียวกันนั้น มีโจทก์มาฟ้องหลายคนว่า พระพิพลธรรมวัดโพธารามล่วงปาราชิกข้ออทินนาทาน พระธรรมโคดม พระอภัยสารทวัดหงส์ พระพรหมมุนีวัดบางยี่เรือ ล่วงปาราชิกข้อเมถุนกับศิษย์ทาง เว็จมรรค จึงดำรัสให้พระยาพระเสด็จชำระความ เมื่อได้ความเป็นสัตย์แล้วจึงให้สึกเสียทั้งหมด แต่พระธรรมโคดม กับ พระอภัยสารท นั้น กลับเข้าบวชเข้าเป็นเถร สำหรับนายอินพิมลธรรมนั้นโปรดตั้งให้เป็น หลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังฆการีขวา นายอินทรพรหมมุนี เป็นหลวงธรรมาธิบดี เจ้ากรมสังฆการีซ้าย พระราชทานภรรยาหลวงราชมนตรีผู้ถึงแก่กรรมให้เป็นภรรยาทั้งสองคน แล้วโปรดให้พระธรรมเจดีย์วัดนาค เลื่อนเป็นพระพิมลธรรมมาอยู่ครองวัดโพธารามสืบไป โปรดให้พระญาณสมโพธิวัดสลัก เลื่อนเป็นพระธรรมเจดีย์
วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเครื่องใหญ่แล้วส่องพระฉายทอดพระเนตรเห็นพระเกศาเหนือพระกรรณเบื้องซ้ายเหลือยู่เส้นหนึ่ง ทรงพระพิโรธเจ้าพนักงานชาวพระภูษามาลาซึ่งทรงเครื่องนั้นว่า แกล้งทำประจานพระองค์เล่น ดำรัสถามพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ว่า โทษคนเหล่านี้จะเป็นประการใด กรมขุนอินทรพิทักษ์กราบทูลว่า เห็นจะไม่พิจารณาดูทั่ว พระเกศาจึงเหลือหลงอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งจะแกล้งทำประจานพระองค์เล่นนั้นเห็นจะไม่เป็น ๆ แท้
ฟังดังนั้นก็ทรงพระโกรธพระเจ้าลูกเธอเป็นกำลัง ดำรัสว่า มันเข้ากับผู้ผิดกล่าวแก้กัน แกล้งให้เขากระทำประจานพ่อดูเล่นได้ไม่เจ็บแค้นด้วย จึงให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ร้อยทีแล้วจำไว้ ให้เอาตัวชาวภูษามาลาซึ่งทรงเครื่องทั้งสองคน กับทั้งพระยาอุทัยธรรมจางวาง ว่าไม่ดูแลตรวจตรากำกับเอาไปประหารชีวิตเสียทั้งสามคน
ต่อมาอีก ๖ วันก็ดำรัสให้รื้อตำหนักพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์แล้วริบเครื่องยศ ให้ถอดเสียจากยศ ครั้นนานมาทรงหายพระโกรธแล้วจึงโปรดให้พ้นโทษ พระราชทานเครื่องยศให้คงยศดังเก่า”
* อ่านพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ได้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในวงการสงฆ์ไทยหลายประการ เริ่มแต่พระมหาดาแห่งกรุงเก่า เป็นเกจิอาจารย์หลอกลวงชาวบ้าน กำเริบเสิบสานถึงกับเป็นกบฏต่อแผ่นดิน บังอาจแต่งตั้งชาวบ้านดำรงตำแหน่งขุนนางต่าง ๆ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบ จึงตรัสให้ไปเอาตัวลงมา ให้ผลัดผ้าเหลืองเป็นผ้าขาวแล้วทรงให้เฆี่ยนจำครบไว้ ต่อมาจึงสั่งประหารชีวิต ตัวศีร์ษะเสียบประจานที่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ นี่เรื่องหนึ่ง
ทรงแต่งตั้งหลานเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นพระยาสุริยอภัยขึ้นไปครองเมืองนครราชสีมา แทนพระยาคำแหงพระราม ที่ทรงเรียกเข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี และในเวลานั้นมีโจทก์มาฟ้องว่า พระพิมลธรรมวัดโพธารามต้องอาบัติปาราชิกข้ออทินนาทาน พระธรรมโคดม พระอภัยสารทวัดหงส์ พระพรหมมุนีวัดบางยี่เรือต้องอาบัติปาราชิก โดยเสพสังวาสทางทวารหนักของศิษย์ ตรัสให้ชำระความแล้วเป็นความจริงตามโจทก์ จึงให้สึกเสียทั้งหมด
พระธรรมโคดมกับพระอภัยสารท กลับบวชเข้าเป็นเถร คือนุ่งขาวห่มขาว รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ต่อไป ส่วนนายอิน อดีตพระพิมลธรรมนั้น ทรงตั้งให้เป็นหลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังฆการีขวา นายอิน อดีตพระพรหมบุรีนั้น ตั้งให้เป็นหลวงธรรมาธิบดี เจ้ากรมสังฆการีซ้าย และยังพระราชทานหญิงหม้าย ๒ นาง อดีตภรรยาหลวงราชมนตรี ให้เป็นภรรยาทั้งสองคน
เรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่คือ นายภูษามาลา ตัดพระเกศาพระเจ้าตากสินไม่เรียบร้อย มีเส้นพระเกศาหลงเหลืออยู่เส้นเดียว ทรงพระพิโรธจนถึงกับให้ประหารเสียทั้งสามคน เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ทรงเริ่มมีพระอาการฟั่นเฟือนไปแล้ว
พรุ่งนี้มาอ่านความต่อไปครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทรงมี “สัญญาวิปลาส” -
เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในเขมร จึงทรงเกณฑ์กองทัพอย่างเร็วรี่ ยกไปปราบกลุ่มกบฏอย่าเหลือมี เขมรดีเลี้ยงไว้ไม่ฆ่าฟัน
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แม่ทัพคึกฤทธิ์เดชวิเศษสรรพ์ “เจ้าฟ้าทะละหะมู”คนรู้ทัน จึงหวาดหวั่นพาครัวตัวหนีไป
ฝ่ายกรุงธนบุรีมีเรื่องมาก พระเจ้าตากสินคิดผิดยิ่งใหญ่ ด้วยสัญญาวิปลาสเป็นราชภัย สำคัญในตนว่า “โสดาบัน” |
อภิปราย ขยายความ.............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มาวางกางให้อ่านกันถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเครื่องแล้วส่องกระจก ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาเหนือพระกรรณเบื้องซ้าย ๑ เส้น ทรงพระพิโรธว่าพนักงานภูษามาลาแกล้งทำประจานพระองค์ ทรงสั่งให้ประหารชีวิตเสีย เรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอ่านกันต่อไปครับ
 “ในปีชวด ศักราช ๑๑๔๒ นั้น เกิดการจลาจลขึ้นในประเทศกัมพูชา ต้นเหตุคือ เจ้าฟ้าทะละหะ(มู) กับพระยากลาโหม(ชู) พระยาเดโช(แทน) พระยาแสนท้องฟ้า(พาง) สี่คนคบคิดกันเป็นกบฏ คุมสมัครพรรคพวกเข้าจับนักองค์รามาธิบดี (นักองค์นนท์) เจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองพุทไธเพชรนั้นฆ่าเสีย แล้วไปรับเอาราชบุตรธิดานักพระองค์ตน ผู้เป็นพระอุทัยราชาซึ่งถึงพิราลัยแล้วนั้น มาจากเมืองบาพนม เป็นชายสอง คือ พระองค์เอง พระองค์มิน เป็นหญิงสองคือ พระองค์อี พระองค์เภา เชิญมาไว้ ณ เมืองพุทไธเพชร แล้วเจ้าฟ้าทลหะก็ตั้งตัวเป็นเจ้าฟ้ามหาอุปราช พระยากลาโหมเป็นสมเด็จเจ้าพระยา พระยาเดโชเป็นพระองค์พระยา พระยาแสนท้องฟ้าเป็นพระยาจักรี
นั่งเมืองรักษาเจ้าสี่องค์ว่าราชการแผ่นดิน
 พระยายมราชและพระยาเขมรทั้งปวงซึ่งเป็นข้านักพระองค์รามาธิบดี (นักองค์นนท์) จึงพากันหนีเข้ามา ณ เมืองปัตบอง (พระตะบอง) แล้วบอกข้อราชการที่บ้านเมืองเกิดการจลาจลนั้นมายังกรุงธนบุรี
 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบดังนั้นจึงดำรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เป็นแม่ทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ กับพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาเก่าเป็นเกียกกายกองหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้งหกทัพเป็นพล ๑๐,๐๐๐ ยกไปตีเมืองพุทไธเพชร จับเจ้าฟ้าทลหะและขุนนางพรรคพวกซึ่งเป็นกบฏนั้นฆ่าเสียให้สิ้น ปราบแผ่นดินให้ราบคาบ แล้วให้พระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์อยู่ครองกรุงกัมพูชาสืบไป
 เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกน้อมรับพระบัญชาแล้วยกทัพขึ้นไปทางเมืองนครราชสีมา และเดินทัพต่อไปกัมพูชา กองทัพใหญ่ไปตั้ง ณ เมืองเสียมราบ ให้กองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปทางเมืองพระตะบองฟากทะเลสาบข้างตะวันตก เอากองทัพเขมรพระยายมราชและพระยาเขมรทั้งปวงยกออกไปตีเมืองพุทไธเพชร ทัพพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงครามยกหนุนออกไป และให้ทัพพระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศและพระยาธรรมายกไปทางฟากทะเลสาบฝ่ายตะวันตก ตั้งอยู่ ณ เมืองกำพงสวาย
 ฝ่ายกบฏกัมพูชา คือ เจ้าฟ้าทลหะผู้ตั้งตัวเป็นเจ้าฟ้ามหาอุปราช พระยากลาโหมผู้ตั้งตัวเป็นสมเด็จเจ้าพระยา พอรู้ว่ากองทัพไทยยกมาตีกัมพูชาก็ตกใจกลัวมิได้ตั้งอยู่สู้รบ พาครอบครัวหนีลงไปอยู่ ณ เมืองพนมเปญ แล้วบอกขอกองทัพญวนเมืองไซ่ง่อนมาช่วย ทัพญวนยกมาเมืองพนมเปญพร้อม ๆ กับที่ทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปถึงพนมเปญเช่นกัน แล้วต่างก็ตั้งค่ายรอกันอยู่โดยที่ยังมิได้รบกัน กองทัพพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ก็ยกหนุเข้าไปตั้งอยู่ที่เมืองพุทไธเพชร
ขณะที่กองทัพไทยยกไปตีกัมพูชาและทัพหน้ากำลังประจันหน้าทัพญวนนั้น ทางกรุงธนบุรีก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เหตุเพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนั่งพระกรรมฐานเสียพระสติ พระจริตก็ฟั่นเฟือนไป ฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรก็แปรปรวนวิปริตมิได้ปกติเหมือนแต่ก่อน ปีศักราช ๑๑๔๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๒๔ นั้น ทรงให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไปเมืองจีนเหมือนแต่ก่อนมา โดยในปีนี้โปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วย ครั้นส่งทูตานุทูตออกไปแล้ว ถึง ณ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จออก ณ โรงพระแก้ว ให้ประชุมพระราชาคณะพร้อมกันแล้วดำรัสถามพระราชาคณะว่า “พระสงฆ์บุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด” เหตุที่ทรงดำรัสถามเช่นนั้นก็เพราะในยามนั้นทรงมีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส สำคัญพระองค์ว่าได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว พระราชาคณะที่มีสันดานโลเลมิได้ถือมั่นในพระบาลีบรมพุทโธวาท และเกรงพระราชอาชญาประกอบกับเป็นคนประจบประแจง จึงประสมประสานเจรจาให้ชอบพระราชอัธยาศัยพากันถวายพระพรว่า “สงฆ์บุถุชนควรจะไหว้นบคฤหัสถ์ซึ่งเป็นโสดาบันนั้นได้”
* ท่านผู้อ่านครับ ถึงตรงนี้เป็นความสำคัญที่นักประวัติศาสตร์ไทยส่วนมากฝังความเชื่อลงในความรู้ของคนไทยยุคหลัง ๆ ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเสียพระสติจนสร้างความวุ่นวายให้เกิดแก่พุทธจักรและราชอาณาจักร แล้วที่สุดก็ทรงถูกสำเร็จโทษ ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาและฉบับอื่น ๆ กล่าวตรงกัน มีรายละเอียดอย่างไร อ่านกันต่อไปในวันพรุ่งนี้ครับ
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, กลอน123, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ชลนา ทิชากร, เนิน จำราย, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระสติฟั่นเฟือน -
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงวิปลาส สำคัญพลาดผิดหลักปักไม่มั่น คิดว่าเป็น“อริยะ”คุณอนันต์ สงฆ์ทั่วกันกราบไหว้ไม่ผิดธรรม
พระสังฆราชตรัสค้านทรงพิโรธ สั่งลงโทษถอดถอนทิ้งตกต่ำ เฆี่ยนตีพระหลายร้อยพลอยรับกรรม เกิดระส่ำสับสนกลางสงฆ์ไทย |
อภิปราย ขยายความ.......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาวาง เปิดกางให้อ่านถึงตอนที่ เกิดความวุ่นวายขึ้นในเขมร โดยเจ้าฟ้าทะละหะ(มู)กับพวกเป็นกบฏ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) เป็นแม่ทัพยกไปปราบ และในขณะที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกำลังดำเนินการปราบเขมรอยู่นั้น ทางกรุงธนบุรีก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินบำเพ็ญพระกรรมฐานจนเสียพระสติไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ดูความในพระราชพงศาวดารกันต่อไปครับ
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงถามพระเถรานุเถระในที่ประชุมว่า พระภิกษุปุถุชนจะกราบไหว้คฤหัตถ์ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลได้หรือไม่ พระเถระที่ประจบประแจงในที่ประชุมนั้นมี พระพุทธโฆษาจารย์วัดบางหว้าใหญ่ พระโพธิวงศ์ พระรัตนมุนีวัดหงส์ เป็นต้น พากันถวายพระพรว่า “สงฆ์บุถุชนควรจะไหว้นบคฤหัสถ์ซึ่งเป็นโสดานั้นได้” แต่มีพระภิกษุที่ยึดมั่นในพระพุทธพจน์ คือ สมเด็จพระสังฆราชวัดบางว้าใหญ่ พระพุฒาจารย์วัดบางหว้าน้อย พระพิมลธรรมวัดโพธาราม ๓ องค์นี้พากันถวายพระพรว่า “ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ถึงเป็นบุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์และจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะนบไหว้คฤหัสถ์อันเป็นพระโสดาบันนั้นก็บมิควร”
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ ตรัสว่าเสียงข้างมากกล่าวว่าควร แต่สามองค์นี้กลับกล่าวไม่ควร เป็นการกล่าวผิดพระบาลี แล้วดำรัสให้พระโพธิวงศ์ กับ พระพุทธโฆษาจารย์ เอาตัวสมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ พระพิมลธรรม กับพระฐานานุกรมของพระเถระทั้งสามพร้อมด้วยพระเปรียญศิษยานุศิย์ทั้งหมดไปลงทัณฑ์ ณ วัดหงส์ พระราชาคณะนั้นให้ตีหลังองค์ละร้อยที พระฐานานุกรมและพระเปรียญให้ตีหลังองค์ละห้าสิบที ปรากฏว่ามีพระภิกษุซึ่งอยู่ในศีลสัตย์ว่าพระภิกษุบุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันนั้นทั้งสามอารามรวมแล้วมีถึงห้าร้อยองค์ล้วนถูกลงทัณฑ์ตีหลังทั้งสิ้น เมื่อตีหลังครบแล้วก็ให้ทั้งหมดไปขนอาจมและชำระเว็จกุฎีทั้งหมดในวัดหงส์ และให้ถอดสมณะฐานันดรศักดิ์ลงเป็นอนุจรทั้งสิ้น
จากนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินก็ทรงตั้งให้พระโพธิวงศ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช พระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระวันรัตน มหาภัยพิบัติจึงบังเกิดแก่พระพุทธศาสนาควรจะสังเวชยิ่งนัก บรรดาชนที่เป็นสัมมาทิฐิถือมั่นในพระรัตนตรัยทั้งหลายล้วนสลดจิตคิดสงสารพระพุทธศาสนาและพระภิกษุสงฆ์ผู้บริสุทธิ บางคนถึงกับขอรับโทษแทนให้ตีหลังตนเองก็มี ยามนั้นเสียงร่ำไห้จึงระงมไปทั้งเมือง บรรดาพระภิกษุมิจฉาทิฐิอลัชชีที่ว่าพระภิกษุบุถุชนกราบไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้นั้น ก็เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมหมอบกรานเหมือนอย่างข้าราชการฆราวาส สมเด็จพระเจ้าตากสินดำรัสให้คุมตัวพระเถระทั้งสามองค์ที่ถูกถอดนั้นไว้ที่วัดหงส์อย่าให้กลับไปวัดเดิมของตนได้
ตรัสให้พระญาณไตรโลกวัดเลียบไปอยู่ครองวัดโพธาราม แล้วตรัสให้พระรัตนมุนีขนานพระนามของพระองค์เสียใหม่ พระรัตนมุนีจึงขนานพระนามให้ต้องพระอัธยาศัยว่า “สมเด็จพระสยามยอดโยคาวจร บวรพุทธางกูร อดูลยขัตติยราช ว งศ์ ดำรงพิภพกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน” ทรงชื่นชอบพระนามใหม่นี้เป็นอย่างมาก
ท่านผู้อ่านครับ ผมดูความตรงนี้ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลแล้วก็เห็นตรงกัน แม้ในฉบับอื่น ๆ ก็ได้สาระสำคัญตรงกัน มีคำที่ควรขยายความตรงนี้คือคำว่า พระโสดาบัน หรือเรียกสั้นว่า โสดา คำนี้เป็นชื่อของพระอริยบุคคลชั้นต้น ซึ่งแปลว่า “ผู้ไปจากกิเลส” คือสามารถตัดกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว ๓ ข้อ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนแล้วยึดถือมั่นอยู่ในวัตถุบุคคล ตัวตนเราเขา ๑ วิจิกิจฉาความสงสัยในพระรัตนตรัย ๑ สีลัพพตปรามาส ความยึดถือมั่นในศีลพรต คือถือตาม ๆ กันมาอย่างงมงาย เช่นว่าคนรักษาศีลแล้วจะมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลสิ่งที่ตนปรารถนาได้ ๑ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันจะต้องละกิเลสเบื้องต่ำ ๓ ข้อนี้ได้
กิเลส ๓ ข้อนี้มีชื่อเรียกว่า สังโยชน์ แปลว่า สิ่งที่ผูกมัดรัดรึงจิตใจสัตว์ให้ติดให้ข้องอยู่ในชาติภพ เป็นความรู้สึกที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
พระอริยะเจ้าในพุทธศาสนานี้มี ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอนาคามี ๑ พระอรหันต์ ๑ พระโสดาบันเป็นจำพวกแรก ท่านแปลตามศัพท์ว่า ผู้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน หมายความว่าผู้ที่บรรลุ หรือ สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วจะเกิดอีกเพียง ๑ ครั้ง (เอกพีชี) ๓ ครั้ง (โกลังโกละ) และ ๗ ครั้ง (สัตตักขัตตุปรมะ) ก็จะบรรลุพระอรหันต์ได้นิพพานไปเลย พวกนี้จะไม่มีโอกาสตายไปเกิดในนรกหรือในอบายภูมิเป็นอันขาด ดังนั้นผู้ที่บรรลุหรือสำเร็จพระโสดาบันจึงถือว่าเป็นพระอริยะ แปลว่าผู้ประเสริฐ (ผู้ไปจากกิเลสเพียงดังว่าข้าศึก) สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงบำเพ็ญพระกรรมฐานจนกรรมฐานแตก มีสติฟั่นเฟือน เข้าพระทัยว่าพระองค์บรรลุหรือสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว และเห็นว่าพระภิกษุที่เป็นปุถุชน คือผู้มีกิเลสหนาแน่นจะต้องเคารพนบไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้
** ท่านผู้อ่านครับเรื่องนี้ยังไม่สิ้นกระแสความ พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ชาวกรุงเก่าเป็นกบฏ -
ในยามนั้นบ้านเมืองมีเรื่องวุ่น พวก“เจ้าขุน”ช่างประจบต่างเป็นใหญ่ เพ็ดทูลฟ้องใส่ความเอาตามใจ แม้เจ้าจอมข้างในไม่เว้นทัณฑ์
ข้าราชการซื่อสัตย์ประชาราษฎร์ เดือดร้อนขาดที่พึ่งจึงโศกศัลย์ ชาวกรุงเก่ามีนาม“บุนนาก”นั้น ทนอดกลั้นมิได้ยอมตายดี
พาชาวบ้านปล้นจวนเจ้าเมืองหมด เป็นกบฏตั้งใจสู้ไม่หนี ได้กำลัง “พระยาสรรค์บุรี” ยกเข้าตีกรุงธนอย่างมั่นใจ |
อภิปราย ขยายความ......................
เมื่อวันวานนี้ได้นำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบางตอนมาวางให้อ่าน และแทรกความเห็นลงไปเพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงชื่นชอบพระนามใหม่ที่พระรัตนมุนีขนานพระนามให้ใหม่ว่า “สมเด็จพระสยามยอดโยคาวจร บวรพุทธางกูร อดูลยขัตติยราชวงศ์ ดำรงพิภพกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานี บุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน” แต่ยังมิได้ทรงประกาศใช้ เพราะทรงมีพระสติฟั่นเฟือนเสียก่อน วันนี้มาดูความกันต่อไปครับ
* คำว่าหินเพศ แปลว่าเพศที่ต่ำทราม คำถวายพระพรของสมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และ พระพิมลธรรม นั้นถูกต้องตามพระพุทธพจน์แล้ว เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว พระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ แม้กิเลสจะเบาบางและถึงหมดกิเลสแล้ว หากครองเพศเป็นฆราวาสหรือคฤหัสถ์ ก็ถือว่ามีเพศต่ำ ส่วนปุถุชนผู้ยังมีกิเลสหนา แต่ถ้าครองเพศเป็นพระภิกษุนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์รักษาศีลบริสุทธิ์ ก็ถือว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศสูงกว่าฆราวาส บุคคลที่อยู่ในเพศสูงจึงไม่ควรเคารพนบไหวผู้ที่อยู่ในเพศต่ำได้
ในสมัยพุทธกาลนั้นปรากฏว่า มีผู้สำเร็จพระอรหันต์แต่ยังมิได้ถือเพศเป็นพระภิกษุ ท่านถูกโคขวิดตายถึงอนุปาทิเสสนิพพานในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์ไม่อาจครองเพศฆราวาสได้เกิน ๗ วัน เพราะเพศฆราวาสเป็นหินเพศ คือเพศต่ำ (เลว) พระอรหันต์ฆราวาสจึงต้องนิพพานภายในเวลา ๗ วัน โดยไม่อาจอยู่นานเกินกว่านั้นได้ ส่วนพระอริยบุคคล อีก ๓ จำพวกนั้นอยู่ในเพศฆราวาสได้จนกว่าจะวายชนม์ เช่น อนาถปิณฑิกเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น
 ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัถเลขา และพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับหมอบรัดเลกล่าวตรงกันว่า ในยามนั้นบ้านเมืองเกิดจลาจลเดือดร้อนทั้งฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร เหล่าคนพาลมีอำนาจทำเรื่องฟ้องร้องให้คนดีเดือดร้อน ด้วยพระเจ้าแผ่นดินมิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ผู้ที่ถูกใส่ความก็ถูกลงโทษนานาประการ ไม่เว้นแม้กระทั้งเจ้าจอมข้างใน ถูกกล่าวโทษว่าลักเงินเหรียญในพระคลังในจนถูกลงพระราชอาชญาให้โบยและจำไว้เป็นอันมาก ผู้ที่ถูกลงโทษหนักที่สุดคือเจ้าจอมโนรีชาวคลังถูกย่างเพลิงจนตาย พันศรี พันลา มีอำนาจมากเพราะได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จึงกดขี่ข่มเหงข้าราชการและอาณาประชาราษฎรให้เดือดร้อนไปทั่วทั้งในพระนครและหัวเมือง ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
“ครั้น ณ วันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือนอ้าย มีผู้เป็นโจทก์มาฟ้องพระราชาเศรษฐีญวนว่าคิดจะหนีไปเมืองพุทไธมาศ จึงดำรัสให้จับตัวพระยาราชาเศรษฐีญวนกับญวนพรรคพวก ให้ประหารชีวิตเสียสามสิบเอ็ดคนด้วยกัน
ครั้น ณ วันพุธ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๒ ให้ประหารชีวิตคนโทษเก้าคน ครั้น ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ให้ประหารชีวิตจีนลูกค้าแปดคน”
 เพราะเหตุที่บ้านเมืองเป็นจลาจลเดือดร้อนวุ่นวายไปทุกหย่อมหญ้า ดังนั้นในแรมเดือน ๔ ปีฉลู ตรีศกนั้น นายบุนนาก นายบ้านแม่ลา แขวงกรุงเก่า กับขุนสุระ ร่วมคิดกันว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่เป็นธรรม กระทำข่มเหงเบียดเบียนประชาราษฎรด้วยการเร่งเอาทรัพย์สิน เมื่อแผ่นดินเป็นทุจริตดังนี้จะละไว้มิชอบ ควรที่เราจะชักชวนประชาชนทั้งปวงยกลงไปตีกรุงธนบุรี จับเจ้าแผ่นดินอาสัตย์สำเร็จโทษเสีย แล้วจะถวายราชสมบัติเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ให้ครอบครองต่อไป การจลาจลจึงจะสงบราบคาบ แผ่นดินจะอยู่เย็นเป็นสุข
 เมื่อคบคิดกันดังนั้นจึงซ่องสุมผู้คน มีชาวชนบทเห็นด้วยกับความคิดสมัครเข้าเป็นพรรคพวกด้วยเป็นอันมาก นายบุนนากกับขุนสุระจึงยกพวกเข้าเมืองในเวลากลางคืน ปล้นจวนพระพิชิตณรงค์ผู้รักษากรุงเก่าซึ่งกำลังตั้งกองเร่งรัดเก็บเงินชาวเมืองอยู่นั้น เมื่อจับตัวผู้รักษากรุงเก่าได้แล้วก็ฆ่าเสีย กรมการซึ่งหนีรอดได้นั้นก็รีบลงมากรุงธนบุรี นำความขึ้นกราบทูลว่า เกิดพวกเหล่าร้ายเข้ามาฆ่าผู้รักษากรุงและกรมการเสียแล้ว
 ขณะนั้นพระยาสรรค์บุรีลงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงดำรัสให้พระยาสรรค์ขึ้นไปกรุงเก่า แล้วเร่งจับตัวคนร้ายให้จงได้ แต่ปรากฏว่าเมื่อพระยาสรรค์บุรีขึ้นไปถึงกรุงเก่าแล้ว กลับไปเข้าด้วยกับนายบุนนากและขุนสุระเสีย นายบุนนากกับขุนสุระจึงมอบให้พระยาสรรค์บุรีเป็นนายทัพ ยกกำลังลงมาตีกรุงธนบุรี โดยให้พวกพลทหารใส่มงคลแดงทั้งสิ้น
 ณ วันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ ปีฉลู ตรีศก กองทัพพระยาสรรค์บุรีลงมาถึงพระนคร เพลาค่ำสิบทุ่มก็ให้ทหารโห่ร้องยกเข้าล้อมกำแพงพระราชวังไว้รอบ ตัวพระยาสรรค์บุรีนั้นตั้งกองอยู่ริมคุกฟากเหนือคลองนครบาล ที่บ้านพวกกรมการเมือง”
* นายบุนนาก กำนันบ้านแม่ลา แขวงกรุงเก่า ทนดูพระเจ้าตากสินบริหารบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายมิได้ จึงปลุกปั่นขาวบ้านเป็นกบฏ ร่วมกับขุนสุระ เข้าปล้นจวนเมืองอยุธยา จับตัวเจ้าฆ่าเสีย พระเจ้าตากสินทรงทราบจึงตรัสให้พระยาสรรค์บุรีนำกำลังไปปราบ พระยาสรรค์บุรีกลับถูกนายบุนนากเกลี้ยกล่อมให้เป็นพวกเดียวกัน แล้วให้เป็นนายทัพยกกองกำลังกลับเข้าตีกรุงธนบุรี
ผลจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึผึ้งไทย ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระเจ้าตากสินขอบวช -
ฝ่ายกบฏล้อมวังไว้ทั้งสิ้น เจ้าแผ่นดินสั่งสู้อยู่หวั่นไหว ตลอดคืนยิงกันสนั่นไป ทรงเห็นไม่อาจต้านทานริปู
จึงนิมนต์พระสงฆ์ให้ออกหน้า เจรจายอมแพ้ไม่ขอสู้ สละราชสมบัติเปิดประตู ขอเป็นผู้ทรงพรตปลดปล่อยตน
บวชในโบสถ์วัดแจ้งไม่แสร้งบวช แต่น่าปวดใจแทนที่ถูกปล้น จับสึกจำตรวนขังประทังทน ไม่รู้ผลเบื้องหน้าประการใด |
อภิปราย ขยายความ..................
เมื่อวันวานนี้ได้เก็บความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาบอกเล่าให้ฟังถึงตอนที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงบำเพ็ญพระกรรมฐานจนมีพระสติฟั่นเฟือน (กรรมฐานแตก) เกิดความเดือดร้อนทั้งฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร จนนายบุนนาก นายบ้าน(กำนัน)แม่ลา แขวงกรุงเก่ากับขุนสุระคบคิดกันเป็นกบฏซ่องสุมผู้คนแล้วเข้าปล้นจวนเจ้าเมือง จับตัวผู้รักษากรุงเก่าได้แล้วฆ่าเสีย สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตั้งให้พระยาสรรค์บุรีขึ้นไปปราบกบฏ แต่พระยาสรรค์บุรีกลับไปเข้ากับกบฏแล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ายกกำลังลงมาล้อมพระราชวังกรุงธนบุรีไว้ วันนี้มาดูเรื่องราวกันต่อไปครับ
 “สมเด็จพระเจ้าตากสินทราบว่าพระยาสรรค์บุรีไปเข้ากับพวกกบฏแล้วยกกำลังมาล้อมพระราชวังดังนั้น จึงสั่งข้าราชการซึ่งนอนเวรประจำซองอยู่นั้นเกณฑ์กันขึ้นประจำหน้าที่เชิงเทินรอบพระราชวัง ทั้งสองฝ่ายยิงปืนโต้ตอบต่อรบกันจนรุ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่าฝ่ายตนเสียบเปรียบหาทางเอาชนะมิได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงให้นิมนต์พระสังฆราช พระวันรัตน และพระรัตนมุนีเข้ามา แล้วให้ออกไปเจรจาความเมืองกับพระยาสรรค์บุรี รับสารภาพผิดยอมแพ้โดยมีเงื่อนไขต่อรองว่า ขอชีวิตพระองค์ไว้แล้วจะออกบรรพชา พระยาสรรค์บุรีก็ยอมรับข้อเสนอนั้น
 เพลาค่ำยามเศษของวันนั้นพระเจ้าตากสินก็ออกทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดแจ้งภายในพระราชวัง พระยาสรรค์บุรีจึงจัดพลทหารให้ไปตั้งล้อมพระอุโบสถวัดแจ้งไว้อย่างแน่นหนาเพื่อมิให้พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงผนวชนั้นหนีไปได้ แล้วให้จับพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงครามและวงศานุวงศ์ทั้งปวงมาจำไว้ในพระราชวัง
 รุ่งขึ้นวันจันทร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๔ อันเป็นวันจ่ายตรุษไทย พระยาสรรค์บุรีกับหลวงเทพผู้น้องจึงเข้าพระราชวัง สู่ท้องพระโรงแล้วว่าราชการแผ่นดิน ให้ถอดนักโทษข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในและราษฎรซึ่งอยู่ในเรือนจำทั้งหมดออกมา คนทั้งหลายที่ต้องโทษเมื่อพ้นโทษจำจองออกมาแล้ว พากันโกรธแค้นพวกโจทก์ที่กล่าวหาใส่ความตนจนได้รับโทษคุมขัง จึงเที่ยวไล่จับพวกโจทก์ มีพันศรี พันลา เป็นต้น เมื่อจับได้แล้วก็ฆ่าฟันจนสมความแค้น พวกโจทก์ก็พากันหลบหนีไปเที่ยวซุ่มซ่อนในวัดบ้าง ในบ้านบ้าง ที่หนีรอดไปได้นั้นมีจำนวนน้อย ที่ถูกฆ่าตายนั้นมีจำนวนมาก ยามนั้นจึงเกิดฆ่าฟันกันทุกแห่งทุกตำบลทั่วทั้งเมือง
 พระยาสุริยอภัย (หลานชายเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) ผู้ครองเมืองนครราชสีมาได้ทราบข่าวแผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นจลาจล จึงแจ้งเหตุไปยังเมืองเสียมราบรายงานให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ทราบ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงสั่งให้พระยาสุริยอภัยรีบยกกองทัพลงไปกรุงธนบุรีก่อน โดยตนจะยกทัพใหญ่ตามลงมาภายหลัง พระยาสุริยอภัยจึงมอบหมายให้พระอภัยสุริยาปลัดเมืองผู้น้องอยู่รักษาเมืองนครราชสีมาแล้วยกกองทัพลงมากรุงธนบุรี กองทัพพระยาสุริยอภัยยกลงมาถึงกรุงธน บุรี ณ วันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นเวลาที่พระยาสรรค์บุรีได้เข้านั่งเมืองอยู่แล้ว
 ครั้นพระยาสรรค์ทราบว่าพระยาสุริยอภัยยกทัพมาถึงจึงให้ไปเชิญเข้ามาปรึกษาราชการ ณ ท้องพระโรงในพระราชวัง ชี้แจงเหตุการจลาจลให้ทราบตั้งแต่ต้นจนจบ ตรงที่เข้ายึดพระราชวังแล้วพระเจ้าตากสินทรงผนวช แล้วกล่าวยืนยันว่าได้จัดแจงบ้านเมืองเตรียมพร้อมไว้เพื่อถวายแด่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ครอบครองแผ่นดินสืบไป พระยาสุริยอภัยกับพระยาสรรค์ปรึกษาเห็นพ้องกันให้สึกพระเจ้าตากออกมาแล้วพันธนาไว้ด้วยเครื่องสังขลิกพันธ์ (เครื่องจองจำ,โซ่ตรวน) แล้วพระยาสุริยอภัยก็ไปตั้งกองทัพอยู่ ณ บ้านเดิม คือที่บ้านปูนเหนือสวนมังคุด
ภายหลังพระยาสรรค์บุรีกลับคิดจะเอาราชสมบัติเสียเอง ได้คบคิดกันกับพระยามหาเสนา พระยารามัญวงศ์ (จักรีมอญ) เอาเงินตราในท้องพระคลังออกมาแจกจ่ายข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในและทหารเป็นอันมาก ในบรรดาขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็แตกออกเป็นสองฝ่าย พวกที่ได้รับแจกเงินส่วนมากก็เข้ากับฝ่ายพระยาสรรค์ พวกที่นับถือบุญญาบารมีเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมิยอมรับเงินจากพระยาสรรค์ก็เข้ากับพระยาสุริยอภัย
 ณ วันอังคารแรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ พระยาสรรค์กับเจ้าพระยามหาเสนา และพระยารามัญวงศ์ ร่วมคิดกันให้ถอดกรมขุนอนุรักษ์สงคราม (พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์) จากเวรจำ แล้วตั้งให้เป็นนายทัพยกกำลังไปบ้านพระยาสุริยอภัยในเพลาพลบค่ำ ตั้งค่ายวางคนรายโอบลงมาวัดบางหว้า เพลายามสามก็จุดเพลิงขึ้น ณ บ้านปูน แล้วยกเข้าโจมตีบ้านพระยาสุริยอภัย พระยาสุริยอภัยก็มิได้สะดุ้งตกใจกลัว สั่งให้ไพร่พลออกต่อรบ ได้ยิงปืนโต้ตอบกันทั้งสองฝ่าย
 ครั้นเห็นเพลิงลุกลลามเข้ามาใกล้บ้านแล้ว พระยาสุริยอภัยจึงอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญศีลทานการกุศลสิ่งใด ๆ ก็ตั้งใจปรารถนาพระโพธิญาณสิ่งเดียว เดชะอำนาจความสัตย์นี้ขอจงยังพระพายให้พัดกลับขึ้นไป อย่าให้เพลิงไหม้มาถึงบ้านเรือนข้าพเจ้าเลย” พอขาดคำอธิษฐานลมก็บันดาลพัดกลับขึ้นไป เพลิงจึงไหม้อยู่แต่ภายนอกไม่ลามเข้าไปถึงบ้านพระยาสุริยอภัย ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่จนรุ่งแจ้งได้เห็นเห็นตัวกันและรบกันต่อจนถึงห้าโมงเช้า ทัพกรมขุนอนุรักษ์สงครามจึงแตกพ่ายหนีไปข้ามคลองบางกอกน้อย พระยาสุริยอภัยให้พลทหารตามจับตัวกรมขุนอนุรักษ์สงครามมาได้แล้วให้จำครบไว้และสืบเอาพวกเพื่อนได้อีกเป็นอันมาก
 ครั้งนั้นกองรามัญก็แตกกันออกเป็นสองพวก ที่มาเข้ากับพระยาสุริยอภัยนั้นคือ กองพระยาพระราม พระยาเจ่ง ที่เข้ากับพระยาสรรค์คือ พระยารามัญวงศ์ กับกองพระยากลางเมือง เมื่อพระยาสรรค์ทราบว่ากรมขุนอนุรักษ์สงครามพ่ายแพ้และถูกจับตัวได้แล้วก็คิดเกรงกลัวย่อท้อมิอาจยกออกไปรบอีก รักษาตัวอยู่แต่ในพระราชวังเท่านั้น พระยาสุริยอภัยก็ให้ตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ บ้านปูนอันเป็นบ้านของตน แล้วจัดแจงพลทหารตั้งรายกองทัพลงมาจนถึงคลองนครบาล”
 * ท่านผู้อ่านครับ สถานการณ์บ้านเมืองไทยในช่วงนี้วิกฤติอีกแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านฝ่ายกบฏที่มีพระยาสรรค์บุรีเป็นหัวหน้าได้ ทรงยอมแพ้แต่โดยดี แล้วขอบวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดแจ้ง (อรุณราชวราราม) พระยาสรรค์ไม่ไว้วางใจ จัดกองกำลังล้อมวัดไว้อย่างแน่นหนา แล้วจับตัวกรมขุนอนุรักษ์สงครามพร้อมบรมวงศ์จำจองไว้ ปล่อยนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำออกมา อดีตนักโทษเหล่านั้นก็ตามล่าล้างแค้นบรรดาโจทก์ที่กล่าวโทษให้ตนติดตะราง วุ่นวายไปทั้งเมืองทีเดียว
 พระยาสุริยอภัย รายงานเหตุการณ์ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบแล้ว รีบยกกำลงลงมาจากนครราชสิมา พระยาสรรค์เชิญเข้าร่วมปรึกษาราชการแล้วจับพระเจ้าตากสินให้ลาสมณะเพศแล้วจำตรวนไว้
จากนั้นกำเริบเสิบสานใคร่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง จึงปลดปล่อยกรมขุนอนุรักษ์สงครามจากที่คุมขังให้ยกกำลังเข้าโจมตีบ้านพระยาสุริยอภัยที่ตั้งเป็นกองทัพอยู่ ด้วยบุญญาบารมีของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กองกำลังของฝ่ายพระยาสรรค์จึงมิอาจทำอะไรพระยาสุริยอภัยได้
แผ่นดินสยามว่างพระเจ้าแผ่นดินปกครองบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่งแล้ว เหตุการณ์จะเป็นอย่าไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านกันใหม่นะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|