กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
If you squeeze my lizard I'll put my snake on you I'm a romantic adventure And I'm a reptile too
But it don't make no difference 'Cos I ain't gonna be, easy, easy The only time I'm gonna be easy's when I'm Killed by death Killed by death Killed by death Killed by death
ลูกแม่ดีที่สุดหยุดโลกได้ แม้สอนไว้รวยล้นคนยกย่อง ล้านคนงกตกยากปากเรียกร้อง เอาเงินทองซื้อสั่งทั้งแผ่นดิน
เอาเฮอะแกแค่คิดก็ผิดหนัก แม่ก็รักผิดทางเข้าข้างสิ้น หลอกรวมพลคนเกด้วยเล่ห์ลิ้น อย่าหมายหมิ่นวางเขิ่องเรื่องมิควร
ฟันต่อฟันขั้นนี้ถึงทีสู้ หากคิดบู๊ต่อตีจะมีสวน ไม่ยอมง่ายพ่ายต่อพวกก่อกวน สนองทวนห้ำหั่นจนวันตาย
เลือกคนดีที่รักอีกสักหน ไม่เอาคนชี้ชักแบ่งฝักฝ่าย เลือกคนกลางวางท่าไม่ขวาซ้าย เลือกลุงชายป้าหญิงที่จริงใจ [/color][/size][/font]
รายนามผู้เยี่ยมชม : นักเลงกลอน, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, เนิน จำราย, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, รพีกาญจน์, กรกช, Mr.music, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, น้ำหนาว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
“ระบำพม่า-มอญ” นี้ ใช้ประกอบการแสดงละครเรื่อง “ราชาธิราช” ตอน “กระทำสัตย์” เพื่อหย่าศึก (อ้างอิงพงศาวดารมอญในสงครามสี่สิบปี) ระหว่างพระเจ้าราชาธิราชแห่งอาณาจักรหงสาวดีของมอญ กับพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องแห่งอาณาจักรอังวะของพม่า ที่รบพุ่งกันมายาวนานต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจนอ่อนแรงลงไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
สองฝ่ายฟากอยากสงบหรือรบฆ่า ชาวประชาเลือกเอาทั้งเก่าใหม่ จงเลือกดูรู้ทันมันหลอกใช้ หรือหลงใหลวาทะคนระยำ
มองเห็นง่ายขายฝันมันโกหก ไอ้ตลกคนรู้ดูแล้วขำ คนโกงคดหมดไปไม่วนซ้ำ เจ็บแล้วจำมั่นคงหรือสงคราม
ใครที่ไม่ชอบระบำไทยยังไงก็ไม่ชอบ เอาน่าต่อไปอาจไม่มีให้ชมง่ายๆ นี่เป็นระบำที่มี2ลีลาอย่างน่าทึ่ง
นักแสดงใช้ผู้หญิงล้วน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกแต่งกายแบบพม่า ร่ายรำด้วยท่าและทำนองเพลงพม่า บรรเลงดนตรีเพียงอย่างเดียวจังหวะจะค่อนข้างเร็วสนุกสนาน กลุ่มที่สองแต่งกายอย่างมอญ ร่ายรำด้วยท่าและทำนองเพลงมอญ มีเนื้อร้องภาษามอญด้วย จังหวะค่อนข้างเนิบช้านุ่มนวล
รายนามผู้เยี่ยมชม : กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, เนิน จำราย, Black Sword, นักเลงกลอน, ฟองเมฆ, รพีกาญจน์, ลมหนาว ในสายหมอก, กรกช, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, Mr.music, ชลนา ทิชากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
เป็นชาวบ้านผ่านศึกจึงฝึกฝน บอกไม่ทนหน้าไหนอย่าได้หยาม บางระจันยันศึกบันทึกนาม ที่เขตคามเมืองสิงห์ทั้งหญิงชาย
ฟันดาบคล่องสองมือคือศิลป์ศาสตร์ ทั้งเก่งกาจใครท้าจงอย่าหมาย ดูสวยงามความนั้นอันตราย พิสูจน์ลายดาบคู่กู้เมืองไทย
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, กรกช, Mr.music, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
นาฎศิลป์ไทย ได้ดี มีนโยบาย
ิิศิลปกรรมธรรมหรูช่วยชูเชิด ดังระเบิดนักศิลป์แผ่นดินไหว ชื่อระบำรำฟ้อนกระฉ่อนไป ชวนคนไกลบ้านเกิดกลับเถิดแก๊
หญิงนักเเหล่แม่น้อยหอยทองคำ ได้กอบกำเงินถุงถังตุงแน่ นักร้องหล่อป.ประยุกต์วันศุกร์แล ไม่วอแวเอาเฮอะไม่เบ๊อะเบืํอก
แล้วบอกซ้ำทำแน่แหย่ทุกหน แซะว่าคนหน้าใหม่ต้องใส่เกือก ทั้งตับเถาเอาซึ้งจึงเป็นเทือก เอ้าเฮ้เลือกคนใหม่ยุให้รำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
พี่มาร้อง น้องมารำตำสาก
เรือม แปลว่า “รำ” ลู้ด แปลว่า “กระโดดหรือเต้น” อันเร แปลว่า “สาก” ฉะนั้นคำว่า เรือมอันเร หรือ ลู้ดอันเร แปลว่า “รำสาก” หรือ “เต้นสาก”
วันเพิ่งวนพ้นผ่านท่านกางขา ไม่อายหน้าสะใจเอาให้หนำ ปากกระพือถือสากลากมาตำ เอ้าตอกย้ำคำหลอกบทบอกมา
กกล.ย่อเองกางเกงลิง ใส่แล้วนิ่งไม่อายไม่ขายผ้า ปิดสะดือมือใหม่เขาให้มา ใครมีนาฉันนี้มีกางเกง
เงียบสนิทมิดชิดเอ๊ะผิดหรือ บอกว่าซื่อมั่นคงยังตรงเผง เฉยคือยอมพร้อมแพ้แก่นักเลง กฏกางเกงไม่กลัวตำซั่วจัง
พอเถอะ กลอนพาลาก กลัวมากไป
รายนามผู้เยี่ยมชม : ก้าง ปลาทู, เนิน จำราย, Mr.music, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, รพีกาญจน์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
ผู้แสดงจะแต่งกายตามแบบชนชาติไทยเผ่าต่างๆเริ่มด้วยชาวไทยในภาคกลาง ไทยลานนา ไทยใหญ่ ไทยลานช้าง ไทยสิบสองจุไท และไทยอาหม การแสดงจะรำออกมาทีละเผ่า นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติเป็นผู้แต่งทำนองเพลง นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
ไทยหลายเผ่าเก่าแก่มาแต่ก่อน ว่าก็นอนเลี้ยงลูกก็ปลูกฝัง ให้รวมอยู่อู่น้ำอย่าทำพัง จะเลือกนั่งเลือกนอนคิดก่อนเดิน
หรืออยากฝืนยืนกลุ่มชุมนุมก่อน จะหัวร้อนอ่อนเยาว์หรือเขลาเขิน เป็นประสงค์ตรงใจอย่าให้เกิน จะดำเนินฟังเพลงเขาบันเลงรอ
ทั้งไทยใหญ่ใกล้บ้านไทยลานไหน ไทยน้อยไปแพ้ฟากไทยมากหนอ โอ๋ไทยหนึ่งกึ่งเหงาไทยเฝ้าท้อ โอละพ่อเอ๊ะไงไหนผู้นำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
ประวัติฟ้อนผาง เป็นศิลปะการฟ้อนที่มีมาแต่โบราณ เป็นการฟ้อนเพื่อบูชาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ลีลาการฟ้อนดำเนินไปตามจังหวะของการตีกลองสะบัดชัย มือทั้งสองจะถือประทีปหรือผางผะตี้บ แต่เดิมใช้ผู้ชายแสดง ต่อมานายเจริญ จันทร์เพื่อน ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ ดำริให้คณะครูอาจารย์หมวดวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองเป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำให้เหมาะสมกับผู้หญิงแสดง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากนายมานพ ยาระณะ ศิลปินพื้นบ้านเป็นผู้ถ่ายทอดท่าฟ้อนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่ารำโดยมีนายปรีชา งามระเบียบอาจารย์ 2 ระดับ 7รักษาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่(ฝ่ายกิจกรรม) เป็นผู้ควบคุมการประดิษฐ์ท่ารำ ทำนองเพลง ที่ใช้ประกอบการแสดงชุดฟ้อนผางให้ชื่อว่า “เพลงฟ้อนผาง” แต่งโดยนายรักเกียรติ ปัญญายศ อาจารย์ 3 ระดับ 8 หมวดวิชาเครื่องสายไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เครดิต by https://sites.google.com/site/naiyarinnoey/fxn-phangงามใดเท่าเล่าอ้างช่างงามคม ฟ้าสร้างสมหรือไรได้งามขำ ยักเอวอ่อนกรเกลาเจ้างามล้ำ งามระบำพริ้วอายชวนหมายตา กายใจเธอเสนอมอบตอบคุณชาติ ผ่องสอาดแนบสนิทจิตเสน่หา ตามครรลองสนองส่งองคฺ์ราชา ตระการฟ้าเริงสนานพิมานแดน ถวายบูฃามหาบุรุษพุทธองค์ ศรัทธาคงพุทธธรรมกรรมเป็นแก่น กราบสมมุติพุทธิสงฆ์จิตปลงแปน เริงรำแทนพุทธิจิตคิดวิไล ไม้ใช่ไทยจะงามได้เช่นนี้หรือ รักไทยจริงเรัย [/color][/size][/font]
รายนามผู้เยี่ยมชม : น้ำหนาว, เนิน จำราย, กร กรวิชญ์, ชลนา ทิชากร, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, รพีกาญจน์, Black Sword, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
อยู่ที่ไหนจงมา รัดด้ายไชยยา มาคล้องผ้าแพรกระเจา
ไม่รู้สิ ฟังแล้วเศร้า เทใจให้ ใจเหลือน้อย
ผู้ครองบ้านผ่านเมืองเบื้องฃ้ายขวา เย้อเถิดมายอพาขวัญอย่าหวั่นไหว คล้องเอวมัดรัดผ้าว่าอย่างไทย ท่านจากไกลขวัญบ้านจะรานร้าว
ยามฝนพรำฉ่ำโปรยท่านโกยเสียง ขวัญอย่าเลี่ยงร้อนแล้งอย่าแข่งหนาว ขวัญอยากครองลองสู้อยู่ยีนยาว ข้าน้อยกล่าวเอ่ยเอื้อนมาเยือนเฮา
ข้อยแดนไกลไพรเขาลำเนาป่า เก็บน้ำตากลั้นไว้ว่าไม่เหงา มาแล้วไปไม่ว่าอย่าแค่เว้า ขวัญแต่เก่าขวัญคล้อยน้อยใจนัก
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, นักเลงกลอน, กร กรวิชญ์, เนิน จำราย, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, Black Sword, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
Oh my darling My darling My heart breaks as you take your long journey
ออดอ้อนพร่ำคำหวานขานคะขา สวรรค์มอบมาคือเธอผู้เลอศักดิ์ โอบอุ่นเอื้อเยื่อใยด้วยใจภักดิ์ สุดที่รักยิ่งฝันฉันมีเธอ
วันเราสองปองรักมักสั้นกว่า เปรียบคุณค่าทรงจำล้ำเสมอ คิดถึงคราวหนาวอุ่นกรุ่นอายเพ้อ ดุจได้เจอของขวัญที่ฉันรอ
ค่ำคืนจากพรากกันฉันและเธอ น้ำตาเอ่อตลอดกาลยาวนานหนอ หวังพบกันสวรรค์ส่งเธอจงรอ ยามใดท้อเพียงฝันวันของเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
เสียงแว่วดังกังวาลขานข้างหู มายืนอยู่โดดเดี่ยวคืนเปลี่ยวเหงา คล้ายสำเนียงเสียงร้องน้องเคยเย้า หรือเพียงเงาลางเลือนใต้เดือนเพ็ญ
สัมผัสเพียงเสียงเจ้าเงาอดีต เคล้าเสียงหรีดแสงผ่องพอมองเห็น เดือนงามล้ำค่ำคืนนี้ ชื่นเย็น หวนนึกเป็นรักเก่าเฝ้าชมจันทร์
[/color][/size]
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, Black Sword, เนิน จำราย, ชลนา ทิชากร, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
 ไทยบางเหล่าเขลาวอกใจออกห่าง เที่ยวแอบอ้างเปรียบเปรยอย่างเย้ยหยัน ไม่หมอบกราบซาบซึ้งจังฝรั่งเย่อมัน รอถึงวันเมื่อไรไปทีเทิ๊ด
ไทยคือแดนแพนแผ่มาแต่เก่า เปรียบรากเหง้าตอนต่อก่อกำเนิด ทำท่าเห็นเป็นฝรั่งระวังเฮิ๊ร์ท เมินคอนเสิร์ตแต่ก่อนเราฟัอนเล็บ
งามประณีตกรีดขยายกรายวงจีบ เกรงเธอบีบนื้วหยิกจิกให้เจ็บ แผลบาดคอหมอฝรั่งยังไม่เย็บ เหลือแนวเหน็บนิดหน่อยเป็นรอยช้ำ
วัฒนธรรมกรรมเกี่ยวยึดเหนี่ยวใจ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่าเขากล่าวพร่ำ สืบรอยไทยไว้หนอขอบอกย้ำ เตือนใจจำรากมีจึงดีพอ
[/color][/size][/font]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
รักน้อง ต้องมาขอ นะจร๊าาา คอยมาโดน
รักแลัวไยไม่มาสัตยาเก้อ จีบให้เพัอคำหลอกบอกมาขอ มือแขนชายป่ายปัดเคยรัดคอ พ่อก็รอภูมิใจชุดใหม่เตรียม
สาวหิงห้อยน้อยแสงแห้งคาแคร่ หรือคนแก่ถั่งแงะแซะจอบเสียม กว่าถั่วสุกคลุกเสร็จเม็ดไหม้เกรียม อ้ายอย่าเหนียมจูบปากอยากสิ่งใด
สองแขนอ้าท้าอ้ายหมายสัจจะ มาเถิดมะอ้ายมายกนาให้ อนาคตหมดตัวทั้งหัวใจ เริ่มกันใหม่อภัยรักหนักเป็นเบา
/font]
รายนามผู้เยี่ยมชม : น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, Black Sword, เนิน จำราย, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
ฟ้อนล่องน่าน เพิ่งได้เคยเห็น เห็นแล้ว รักเลย
พญาปูคา ผู้สร้างเมืองปัวและได้สถาปนาตัวเองขึ้นครองเมืองปัว เรียกว่า วรนคร (อำเภอปัว จังหวัดน่านในปัจจุบัน) ต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนมีราชบุตร คือ พญาก่านเมือง ขุนนุ่น ขุนฟอง พญาปูคาจึงได้เรียกราชบุตรมาปรึกษาหารือพร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย โดยดำริที่จะย้ายเมืองลงมาตั้งใหม่ทางทิศใต้ของวรณคร ราชบุตรและเสนาอำมาตย์ได้ให้คำปรึกษาหารือเห็นพ้องในการย้ายเมืองลงมาตั้ง ณ ที่ดอยภูเพียง (พระธาตุแช่แห้ง อำเภอเมือง จังหวัดน่านในปัจจุบัน)เมื่อประชุมกันแล้วก็ได้ไปตัดไม้ในป่ามาทำเป็นแพซุง สำหรับเป็นพาหนะบรรทุกสิ่งของในการเดินทางล่องตามลำแม่น้ำน่าน (สมัยนั้นการเดินทางบกคงใจลำบากเพราะไม่มีถนนหนทางอย่างปัจจุบัน)ในการเดินทาง ได้จัดเป็นขบวรต่างๆ ถึง 7 ขบวรคือ
ขบวรที่ 1 เป็นที่ประทับของพญาก๋านเมือง กับข้าราชการบริวาร พร้อมทั้งพระบรมธาตุเจ้าที่นำลงมาบรรจุ ณ พระธาตุแช่แห้ง ขบวรที่ 2 เป็นขบวรข้าราชการน้อยใหญ่และเสนาอำมาตย์ ขบวรที่ 3 เป็นคณะพระสงฆ์องค์เจ้า และสมณชีพราหมณ์ ขบวรที่ 4 เป็นพวกขุนนาง ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ท่านท้าว หัวเมือง ขบวรที่ 5 เป็นพวกดนตรี มีการประโคมและมโหรีต่างๆ ขบวรที่ 6 เป็นพวกประชาชน พลเมือง ขบวรที่ 7 เป็นขบวรของพวกกลอง พวกฆ้องและผู้คนปนเปกัน ร้องรำทำเพลงสนุกสนานในขบวนนี้มีหญิงม่ายเจ้าปัญญาผู้หนึ่ง ซึ่งมีศิลปไหวพริบปฎิภาณอันดีเยี่ยมในการขับกล่อม ร้องรำทำเพลง นางจึงได้ว่าทำนองเพลง “ซอ” บรรยาย ร่ำรำพัน บรรยายถึงการโยกย้ายครั้งนี้ โดยบรรยาย ตั้งแต่ต้นตลอดลำน้ำ ลำห้วย ป่าไม้ พันธุ์ไม้นานาชนิด ชมธรรมชาติอันงดงามของสองฟากฝั่งลำน้ำน่านตลอดทางที่ผ่าน บรรลุถึงที่จะตั้งเมืองใหม่ และได้สร้างบ้านแป๋งเมืองลง ณ ดอยภูเพียง (พระธาตุแช่แห้งปัจจุบัน) “ซอล่องน่าน” ก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีทำนองซอล่องน่านนี้อยู่
ที่มา : ส่งสการดอทคอม credit http://www.nan2day.com/talk/index.php?topic=2530.0
ซอ คือการขับร้อง
เก่ง งาม ถึงเพียงนี้หนอคนไทย
ล่องแพคล้อยลอยลำแม่น้ำน่าน ราชบริพารตามส่งพระองค์เจ้า โยกย้ายสู่'ภูเพียง'เวียงลำเนา ลุ่มหลุบเขาเรือแพแห่หากัน
เมฆฟูฝอยลอยปลิวเป็นทิวสาย เขาทอดรายสูงลิ่วเป็นทิวสัน แควน้ำไหลไพรชุ่มชอุ่มพรรณ แควน้ำหลั่นเลี้ยวลดทดเข้านา
อารยธรรมกรรมแต่งแสวงหน เกิดกลุ่มชนก่อแหล่งแสวงหา ร่วมประชันขันแต่งแข่งปัญญา ร่วมประชาสืบทบประสบการณ์
สร้างงานศิลป์ผินมองย้อนช่างอ่อนไหว เลิศวิไลงามฟ้อนช่างอ่อนหวาน มาเมืองนี้มีฝันสวรรค์บันดาล มาเมืองน่านเหลียวหลังปังสาวงาม
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, Black Sword, เนิน จำราย, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, ชลนา ทิชากร, ปิ่นมุก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
ประวัติศาสตร์
น่าน มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเรียกในพงศาวดารว่า นันทบุรี เมืองน่านในอดีตเป็นนครรัฐเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำสาขาในหุบเขาทางตะวันออกของภาคเหนือ
ลืมฟ้อนผางบางครั้งใจยังแหน ลืมฟ้อนแพนเผลอไผลมิได้หยาม น่านอยู่เหย้าเฒ่านานผ่านเยี่ยมยาม ใจสุดห้ามเท่านานผ่านเยี่ยมเยือน
ใจหนึ่งน้อยร้อยรักจักหมายมั่น ใจหนึ่งนั้นมอบสมัครจักหมายเหมือน อยู่เคียงร้อยถ้อยคำย้ำใจเตือน อยู่เคึยงเรือนเอ่ยให้ย้ำใจตน
พบคนใหม่ใจสนุกทั่วทุกแห่ง เห็นสีแสงแยงยั่วทั่วทุกหน ชีวิตใคร่ใจสัมพันธ์ทุกชั้นชน ชีวิตคนหลงใหลคนใกล้ตัว
รักนี่เอ๋ยเคยหลงส่งยิ้มหยอก คิดไม่ออกแกล้งหงิมส่งยิ้มยั่ว ปลื้มเมืองปายย้ายยักชักไม่ชัวร์ ปลืัมเมืองปัวถิ่นย่านน่านนะแก๊
คนหลายใจใครหนอ อ๋อถามผิด คนหลายจิตพูดใหม่มิใช่แถ มาเมืองน่านพานน้องร้อง ฮันแน้ สบตาแค่ฉับพลันร้อง ฮันนี้
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กลอน123
|
Permalink: Re: กลอนนั้นสักวันเถอะ
ละอองหมอกหยอกผาถลากอด ลมเสียดสอดภูคาซ่าหวีดหวี ละอองเมฆเสกฟ้า มหานที ลมเสียดสีหนาวกายอุ่นภายใน
หนาวเมืองไหนไม่คุ้นอุ่นไอรัก แรกรู้จักเหมือนว่าพาหลงใหล หนาวเมืองน่านสมานอุ่นคุ้นเยื่อใย แรกรู้ใจเผลออยู่ไม่รู้ตัว
ใต้แสงดาววาววิบ กระซิบรัก เอ่ยถามทักน้องเจ้าพอเย้ายั่ว ใต้แสงเดือนเลื่อนไล้ไหวระรัว เอ่ยถามทั่วสนิทน้องปองชิดเชย
คลายความหนาวสาวใดมีใจบ้าง ฟังพี่อ้างรักผายที่ชายเผย คลายความแหนงแคลงข้องนะน้อ...งเฮย ฟังพี่เอ่ยฝากรักอย่าหักร้าว
ภูคาเสียดเรียดฟ้าคว้าดอกดวง ขมพูพวงท้าทายปลายลมหนาว ภูคาสูงจูงใจใคร่คว้าดาว ชมพูพราวเสียบผมชื่นชมน้อง
/font]
รายนามผู้เยี่ยมชม : ปิ่นมุก, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, Black Sword, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ก้าง ปลาทู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|