
ขอบคุณรูปภาพจาก Internet ผลงานของ อ. ประเทือง เอมเจริญญ่า
สายัณห์หนึ่งในวสันตฤดู ฝนหายพรายเมฆขาวสะอาด สุมทุมพุ่มไม้เขียวชะอุ่มลออสดใส ดวงตะวันยอแสงรุ้งลงกินน้ำ เบื้องหลังภูเขาสูงลมโชยแมกไม้ยูงยางสลัดน้ำฝนลงแพรวพราย เป็นชนบทเปล่าเปลี่ยวห่างไกลจากตัวเมือง
หญิงชราร่างหง่อม อาศัยกระท่อมเก่า ๆ กลางไร่ร้าง นางมีผมเหมือนสีหมอกดอกเลา ใบหน้านั้นย่นและแห้งเหี่ยว เว้นแต่แววตายังวาวแต่ก็ราวกะเวลาโพล้เพล้ อายุขัยแปดสิบเศษ หลังนั้นค่อมลงมากแล้ว
นางอยู่ในวัยของ ญ่า ไร้ญาติขาดมิตร เก็บผักหักฟืนขายเลี้ยงชีพมาช้านาน เวลานี้ร่างกายผ่ายผอมลง และเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ อดมื้อกินมื้อ อยู่มาวันหนึ่ง เพิ่งหายไข้ อยากจะกินข้าวกะแกงเลียงยอดผักหญ้า จึงออกจากกระท่อมเที่ยวเก็บผัก เห็นยอดตำลึงไหว ๆ ฉะอ้อนกระแสลม พอจะเอื้อมเด็ดเถาตำลึงหนึ่งร้องว่า
ญ่าเก็บฉันก่อนเถอะ เถานั้นเป็นน้องสาว รอไว้พรุ่งนี้ บางทีเธออาจจะมีเรื่องสนทนาปราศรัยกะญ่าบ้างก็ได้ นางให้พิศวงงงงวยเป็นที่สุด แต่ก็แข็งใจตอบไปว่า แน่แท้หรอกเจ้า ฝูงคนทั้งแผ่นดินนั้นมีพรุ่งนี้ แต่เฉพาะญ่าแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายเสมอ ไม่แน่นอนนักพอไก่ขันล่วงสามยามปลาย ญ่าอาจจะสิ้นลมก็ได้ เกือบตายมาหลายหนแล้ว วันนี้จึงอยากจะขอกินแกงเลียงให้ชื่นใจสักหน่อยเถอะ
ยอดกระถินถามนางบ้างว่า ญ่ามีข้าวสารหรือเปล่า เออ พอมีบ้างซื้อไว้สี่ห้าทะนานหลายวันแล้ว เหลืออยู่สักทะนานกว่า ๆ แต่ข้าวเป็นมอดต้องเก็บมอดทิ้ง กะว่าจะได้หุงก็ตอนเข้าไต้เข้าไฟ โพล้เพล้นี่แหละ
พอหญิงชราพูดขาดคำ มะละกอสุกงอมเหลืองอร่าม ร้องบอกเสียงสั่นเครือว่า ญ่าเอาผลอันสุกงอมของฉันไปกินก่อนเถอะ นางยังไม่วายพิศวง กล่าวขอบอกขอบใจในพืชพันธุ์เหล่านั้นเป็นล้นพ้น
มะละกอบอกซ้ำว่า ญ่าเอาผลของฉันไปกินก่อนเถอะ แรงโอสถบางอย่างจะล้างลำไส้ของญ่าให้สะอาด แล้วให้ญ่าทำใจให้สบาย ลืมวิตกกังวลจนสิ้นเชิง รื่นอารมณ์ชมชื่นในแสงรุ้งตะวันทั้งเจ็ดสี ตื่นแต่เช้าหายใจอากาศสดบริสุทธิ์ไว้ต้อนรับอุษาเทพเจ้า อ่อนไท้จะประทานประกายปีติทิพย์มาให้ญ่า จะยืดอายุขัยออกไปอีก ญ่าจะมีวันพรุ่งนี้สืบเนื่องไปตามแรงปรารถนาของหัวใจ
นางถามว่า ทำไม ต้นไม้จึงพูดได้เล่า วันก่อน ๆ ก็เห็นนิ่งเป็นใบ้อยู่ทั้งสิ้นหรือชะรอยเจ้าจะมีน้ำใจ ซ่อนเร้นอยู่อย่างลี้ลับลึกซึ้งดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตาธรรมกว้างขวางหนักหนา ทำให้ญ่าดีอกดีใจจนเกิดปีติเป็นแรงทิพย์มีกำลังวังชาสดชื่นขึ้น
บัดดลนั้น พฤกษชาติในไร่เปรย ๆ ประสานเสียงขึ้นพร้อมกันว่า ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ แต่อุปนิสัยใจคออันคับแคบตระหนี่ถี่เหนียวของมนุษย์ มิได้มีอิทธิพลเหนือเราเลย เราไม่เอาอย่างจริต มารยาสาไถย
ของมนุษย์เป็นอันขาด เว้นจากญ่าแล้วเราก็มิได้พูดด้วย เราเห็นญ่าถูกทอดทิ้ง ขาดน้ำใจจากสังคมมนุษย์ จึงสุดที่จะสมเพชเวทนาอดวาจาไว้มิได้
ที่จริง เทพเจ้า ก็ได้ประทานดวงวิญญาณแก่สรรพสิ่งทั้งหลาย แต่เรารักจะเป็นใบ้ ถึงจะมีภาษาก็เสมือนหามีไม่ ซึ่งบางครั้งเราก็สนทนากันบ้าง แต่ภาษานั้น ลี้ลับลึกซึ้งจนเกินหูสามัญมนุษย์จะล่วงรู้ถึง ครั้งแรกเราหลงว่าญ่าจะสิ้นลมในคืนนี้ แต่โชคดีเหลือเกินที่รู้ว่า ญ่าเกิดแรงยินดีมีปีติเป็นทิพย์เท่ากับยาอายุวัฒนะ ทำให้ญ่ายืดอายุขัยออกไปอีกนานทีเดียว นางนิ่งฟังวังเวงใจ ทันใดยอดผักบุ้งในสระหลังกระท่อมพูดขึ้นบ้างว่า
ญ่าจ๋า ฉันจะแตกยอดให้ญ่าเก็บไปขายที่ตลาดทุก ๆ วัน ภายหน้าผู้คนจะมากมายขึ้น ฉันจะมีราคาแพงขึ้นบ้างละ แล้วญ่าช่วยตีฆ้องร้องป่าวไปด้วยว่า ผักบุ้งเป็นโอสถวิเศษ กินแล้วช่วยให้สายตาดีขึ้นมากด้วย
หญิงชราตื้นตันใจ จนน้ำตาพร่าพรายลงอาบแก้ม ก้มกราบกับแผ่นดิน ขอบใจในบุญคุณพระแม่ธรณี และผักหญ้าพฤกษชาติเป็นล้นพ้น แล้วออกปากว่า ญ่าให้รู้สึกเกรงอกเกรงใจเต็มที
เวลาเก็บเจ้าไปขายนั้นนะ เจ้าไม่เจ็บปวดบ้างเลยหรือ ยอดผักบุ้งไหว ๆ หัวเราะแล้วตอบว่า เทพเจ้าเท่านั้นที่มีน้ำพระทัยประเสริฐเลิศล้ำ ญ่าคิดหรือว่าถ้าเทพเจ้าสร้างประสาทมาในผักหญ้านานาพันธุ์ไม้ไว้รู้สึก แผ่นดินนี้จะระงมไปด้วยเสียงคร่ำครวญ บาดเจ็บ สาหัส จากผลการกระทำของมนุษย์ทุกคืนวัน ที่ฉันพูดได้ รู้สึกระลึกได้ เหตุด้วยแรงจากดวงวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์
โชคดีมาก ต้นไม้ทั้งหลายไม่มีประสาทไว้รู้สึกเจ็บปวด ถ้าสู้ความทุกข์ระทมขมขื่นไม่ได้ก็ตายไปเลย ขอให้ญ่าเก็บฉันไปขายเถอะ ฉันยินดีจะงอกงามขึ้นใหม่เสมอ
หลังจากวันนั้น ผักบุ้งในสระก็ทอดยอดงดงาม หญิงชราเก็บไปขายที่ตลาดพอได้เงินซื้อข้าวซื้อกับกิน ครองชีวิตในกระท่อมเก่า ๆ จากบางตับผุขาดจนเห็นแสงดาวระยับย้อยมาตามช่องโหว่นั้น ดาวไถก็คล้อยฟ้าไปแล้ว กบเขียดร้องเสียงใสเป็นเวลาดึกสงัด
ขณะนี้หญิงชราล้มเจ็บป่วย เป็นมาเลเรียมาหลายวันแล้วพิษไข้ขึ้นสูง ให้หูอื้อ ตาลาย ละเมอเพ้อเจ้อ อากาศแปรปรวน อบอ้าว เมฆสีหม่นหมองมาบดบังจันทร์ กระแสลมเริ่มพัดจนรุนแรงจัดขึ้นเป็นวายุกล้า หวั่นไหวไกวเมือง หมู่ไม้เสมือนชิงช้ากลางสายฝน สายฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วฟาดเปรี้ยงสนั่นลั่นโลก หญิงชราตกใจสลบไปร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำฝน ล่วงไปหลายนาฬิกาฝนก็ซาหาย ฟ้าจวนสางแสงเงินแสงทอง เสียงโประดก นกหกร้องร่าเริงอยู่แจ้ว ๆ
นางฟื้นขึ้นแล้ว พิษไข้กลับย้อนซ้ำอีก อนิจจา ละเมอเพ้อสิ้นสติ หลงใหลลงเก็บผักบุ้ง ยอดผักบุ้งร้องบอกว่า ญ่าอย่าลงมา ๆ มีงูร้ายอยู่ริมสระ มันกำลังร่านคู่ประสมพันธุ์กัน แต่นางไม่ได้ยินเสียงอันหวังดีนั้น ดุ่มเดินลงไป
บังเอิญ ถึงคราวเคราะห์ร้าย เหยียบปลายหางงูเห่าฉกรรจ์ งูตกใจฉกกัดเอาเต็มที่ ฝังสองเขี้ยวพิษไว้เต็มแรง นางรู้สึกเสียวปลาบที่หลังเท้า ก็เอามือลูบคลำ งูกัดซ้ำเข้าที่มือจึงรู้สึกตัวว่าถูกงูกัด ก็พลันตกใจสิ้นสติ เป็นลมล้มลงขอบสระนั้น มินานนักฤทธิ์อันร้ายแรงของอสรพิษ ก็ทวนกระแสโลหิตในวัยชราอันมีกำลังต้านทานน้อยเหลือเกินเร่งฝ่ากระแสโลหิตเข้าสู่ห้องหัวใจ ดับแรงเต้นของชีพจรให้วอดวายลง หญิงชราก็สิ้นลม แต่ตานั้นลืมโพลงราวจะเป็นห่วงถึงผักหญ้าพฤกษาลดามาลย์ เสมือนมิตรสหายอันยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้ เสี้ยวจันทร์เจ้าข้างแรมทอแสงหรุบหรู่ลับทิวไม้ไปแล้ว ฟ้าสาง สายฝนก็หายนานอากาศสงบยะเยือกเย็นลง จนวิเวกวังเวง น้ำค้างเผาะ ๆ บนใบไม้ เหลือแต่ดาวดวงหนึ่งระยับระย้าอยู่ในห้วงสวรรค์อันบริสุทธิ์
ถ้าแม้ใครมีหูทิพย์ ก็จะได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากพฤกษาลดามาลย์ในไร่นั้น ยอดผักบุ้ง มะละกอ กระถิน และเถาตำลึงก็ครวญคร่ำร่ำไห้
ดอกไม้เล็ก ๆ เสียงสั่นว่า พี่พฤกษชาติทั้งหลายเอย ฉันเสียใจ หมายมั่นไว้ว่าจะบานแย้มดอกสีม่วงใสในเช้านี้ ถ้าญ่าได้เห็นสีอันสวยสดงดงาม จะทำให้บรรเทาความเจ็บป่วยลงบ้าง น่าเสียดายเหลือเกิน ตำลึงว่าดูเถอะนั่น ฝูงมดคันไฟกำลังรุมแทะกินลูกตาดำ ๆ ของญ่า มันรุมกินกันเป็นกลุ่ม ๆ จนเป็นก้อน ไม่กี่วันอสุภซากนั้นจะเน่าพอง แร้งกาจะมาจิกกิน กระดูกจะเรี่ยรายกลิ้งกระจายกลางทรายดิน นึกน่าสมเพชเวทนานักหนาแล้ว
ขาดคำรำพึงรำพัน เถาตำลึงก็ซ้ำร่ำไห้ สะอึกสะอื้นจนเกิดน้ำตาขึ้นกลางเกษรของดอกสีขาวนวลละออง น้ำนั้นละลายปนกับน้ำค้าง หยดหยาดระรินลงราวกับกระแสทุกข์โศกาดูร หลั่งไหลไว้อาลัยหญิงชราผู้ลาโลก จากลับแล้วชั่วนิจนิรันดร
อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ กวีนิพนธ์ ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๔๐))