Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา >> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม >> - อานามสยามยุทธ -
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 12   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: - อานามสยามยุทธ -  (อ่าน 134146 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #15 เมื่อ: 26, มีนาคม, 2563, 10:43:10 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

พระยาราชสุภาวดี (สิงห์)
(ต่อมาเลื่อนเป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชา)
รับบทโดย วัชรชัย สุนทรศิริ   ในละคร "ข้าบดินทร์"


<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>                   .

- อานามสยามยุทธ ๑๖ -

ห้าทัพไทยรุมตีลาวที่อยู่
ค่ายหนองบัวลำภูสู้ขังขึง
แล้วแตกดับยับเยินเกินปักตรึง
นับเป็นหนึ่งค่ายลาวถูกทำลาย

ให้ “นเรศร์โยธี,เสนีบริรักษ์”
ยกทัพพรักพร้อมเข้าตีเป้าหมาย
“ทุ่งส้มป่อย”ขุมเคียงตั้งเรียงราย
ทั้งไพร่นายลาวแกร่งแรงพลัง


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เ รียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  ห้ากองทัพน้อยของไทยเข้ารุมตีค่ายหนองบัวลำภูแตก  จับตัวแม่ทัพลาวคนเก่งที่ชื่อพระยานรินทร์ได้  กรมพระราชวังบวรฯ ชื่นชอบฝีมือใคร่จะชุบเลี้ยง  แต่เขาไม่ยอมสวามิภักดิ์สมัครใจที่จะตาย  กรมพระราชวังบวรฯจึงตรัสให้ประหารเสีย  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ

           “ครั้นแม่ทัพนายกองฝ่ายไทยตีค่ายลาวที่หนองบัวลำภูแตกหมดแล้ว  จึ่งเดินทัพขึ้นไปหมายจะยกเข้าตีค่ายลาวที่ทุ่งส้มป่อย  ห่างกับค่ายเขาสารประมาณ ๑๕๐ เส้นเศษ



          ขณะนั้นกรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้กรมหมื่นนเรศร์โยธี ๑   กรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ ๑   สองพระองค์นี้เป็นแม่ทัพหลวงกองหน้า  คุมพลทหาร ๓,๐๐๐ คน

          โปรดให้พระยาเสน่หาภูธร  กับ  พระยาวิสูตรโกษา  คุมพลทหาร ๑,๐๐๐ เป็นแม่ทัพหน้าของกรมหมื่นทั้งสอง  ยกขึ้นไปตีค่ายลาวที่ค่ายส้มป่อย

          แล้วโปรดให้พระองค์เจ้าขุนเณร  คงคุมพลพม่าทวายเป็นแม่ทัพนายกองโจรอย่างเดิม

          แต่โปรดให้พระณรงค์สงครามจางวางส่วยทองเมืองนครราชสีมา  คุมกรมการและพลทหารเมืองนครราชสีมา ๕๐๐ เข้าสมทบกับทัพพม่าทวายด้วย  รวมเป็นคน ๑,๐๐๐ เศษ  เป็นกองโจรเดินก้าวสกัดเล็ดลอดไปตามชายป่า  คอยตีกองลำเลียงลาวเวียงจันทน์ซึ่งจะยกมาส่งเสบียงอาหารกันที่ค่ายส้มป่อย  อย่าให้ส่งถึงกันได้เลยเป็นอันขาด


          ครั้นได้พระฤกษ์แล้ว  ฝ่ายกรมหมื่นแม่ทัพหน้าทั้งสองพระองค์  และพระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งหลายพร้อมกัน  กราบถวายบังคมลายกกองทัพรอนแรมไปใกล้ค่ายลาวซึ่งตั้งอยู่ ณ ทุ่งส้มป่อย  ครั้นกองทัพทั้งหลายถึงค่ายลาวพร้อมกันแล้ว  กรมหมื่นแม่ทัพทั้งสองพระองค์จึงมีรับสั่งให้กองทัพหน้า ๕ กอง  ซึ่งยกล่วงหน้าขึ้นมาก่อน  ให้ยกเข้าตั้งค่ายประชิดไว้หลายด้าน  และให้มีค่ายสีขุกรุกเผือก  ค่ายทุบทู  ค่ายปิหลั่น  และทำบันไดหกพาดดอกไม้เพลิง ไฟพะเนียงดวงพลุ  ไว้จะได้ปล้นค่ายพร้อมเสร็จ


          ฝ่ายเชียงขวากับเจ้าหน่อคำ  ซึ่งเป็นแม่ทัพรักษาค่ายทุ่งส้มป่อยนั้น  ได้ทราบว่ากองทัพไทยยกขึ้นมามาก  จึงให้พลทหารลาวยกออกจากค่ายเป็นกระบวนใหญ่ไปตีค่ายที่ประชิด  ไทยกับลาวได้สู้รบกันเป็นสามารถ  พลลาวจะตีค่ายไทยก็ไม่ได้  จึงล่าถอยทัพกลับเข้าค่าย  แต่ไทยกับลาวรบกันอยู่หลายเวลาก็ไม่แพ้ชนะแก่กัน

          ฝ่ายเจ้าหน่อคำแม่ทัพใหญ่ที่ค่ายทุ่งส้มป่อย  จึงคิดกับเชียงขวาว่า จะต้องจัดทัพใหญ่ไปตีค่ายประชิดไทยให้แตกเสียโดยเร็ว  กำลังศึกไทยจึงจะหย่อนลง  แต่จะต้องจัดทัพลาวแยกออกเป็น ๕ กอง  จึงจะได้ชัยชนะแก่ไทย

          คิดแล้วดังนั้น  ก็จัดให้กองแก้วเป็นแม่กองคุมพลทหาร ๔,๐๐๐  ให้กองคำเป็นแม่กองคุมพลทหาร ๔,๐๐๐  รวมสองกองเป็น ๘,๐๐๐  ให้ยกออกไปตีค่ายประชิดไทยให้แตกแต่ในสามเวลา
          ให้พระยาแสนหาญเป็นแม่กองคุมพลทหารฉกรรจ์ ๔,๐๐๐ คน  ให้พระยาน่านมือเหล็กเป็นแม่กองคุมพลทหาร ๔,๐๐๐  รวมสองกองนี้เป็นพล ๘,๐๐๐  ให้ยกไปเป็นกองอาทมาต  ซุ่มทัพอยู่ในป่าสองฟากทาง  ให้คอยสกัดตีกองทัพไทยที่จะยกมาช่วยกันอย่าให้มาถึงกันได้
          แล้วให้พระยาเสือหาญเป็นแม่กองคุมพลทหาร ๒,๐๐๐ ยกไปรักษาหนองน้ำตามทางไว้  อย่าให้กองทัพไทยยกมาอาศัยน้ำที่ในหนองและในบึง  สระลำธารที่ใดได้เป็นอันขาด
          ให้ท้าวมหาวงศ์กับท้าวพรหมพักตร์  เป็นแม่กองคุมทหาร ๑,๐๐๐  ให้ยกไปตัดต้นไม้สะทางที่ไทยจะมาให้ช้าลง  ตัดเถาไม้เบื่อเมาไปไว้ในบึงบ่อห้วยหนองคลองบาง ตามทางกองทัพใหญ่ของไทยจะยกขึ้นมาคราวหลัง  อย่าให้อาศัยน้ำตามทางได้เลย  กับให้เก็บเอาศพโคกระบือแลคนที่ตาย  บรรทุกเกวียนบรรทุกต่างไปไว้ในบึงบ่อหนองห้วยคลองทุกตำบล  ตลอดทางที่ไทยจะขึ้นมาทางทุ่งส้มป่อยนั้นจงทุกทาง  เป็นท่าทางกีดกั้นนั้นไว้ด้วย
          อนึ่ง ใช้ให้พระยาไชยสงครามกับเพี้ยสุวรรณและท้าวหมี  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คุมพลทหาร ๒,๐๐๐ รักษาค่ายทุ่งส้มป่อย  แต่เจ้าหน่อคำกับเชียงขวาจะยกกองทัพใหญ่ออกไปตีค่ายประชิดไทยให้แตกเสียให้จงได้  จะได้ตัดกำลังข้าศึกไทยให้เบาบางหย่อนลงมากหากสู้ไม่ได้

          ครั้นได้ฤกษ์แล้วเจ้าหน่อคำขึ้นม้าสีจันทน์ผูกเบาะอานเครื่องทองคำพร้อม  มือถือหอกเบาบางใหญ่  ยกออกจกค่ายใหญ่นำหน้าทหารตรงไปตีค่ายประชิดไทย


          ฝ่ายกองทัพไทยนั้น  พระยาเสน่หาภูธรและพระยาวิสูตรโกษา  แม่ทัพหน้าทั้งสองจึงยกพลทหารออกต้านทาน  ต่อรบสัปะยุทธยิงแทงฟันกันเป็นสามารถ  ยังไม่แพ้ชนะแก่กันทั้งสองฝ่าย  ฝ่ายไทยมีไพร่พลน้อยกว่าลาวมาก  แต่อุตส่าห์รับรองป้องกันค่ายประชิดไว้ได้  แต่เหลือกำลังที่จะต่อสู้กลางแปลง เพราะรี้พลน้อยกลัวจะเสียท่วงทีแก่ข้าศึก  จึงล่าทัพถอยเข้าค่ายปีกกาปิดประตูค่ายรักษามั่นไว้  แต่ได้ยิงปืนใหญ่โต้ตอบกับลาวอยู่ในค่ายไม่หยุดหย่อน

          ฝ่ายลาวเห็นได้ทีที่ไทยหนีเข้าค่าย  ลาวจึงยกกองทัพไล่ติดตามเข้าไปใกล้ค่ายไทย  ลาวไล่พลทหารตั้งเป็นปีกกาล้อมค่ายไทยไว้ทั้งสี่ด้าน  แต่พอพ้นทางปืนใหญ่ยิงไม่ถึง  ฝ่ายไทยยิงปืนใหญ่น้อยออกจากค่ายไม่ถึงข้าศึกลาว  ลาวเร่งจัดการขุดอุโมงค์ดินบังปืนใหญ่  จะเข้าตีค่ายไทยที่ล้อมไว้ให้แตกจงได้  ฝ่ายไทยในค่ายก็รักษาค่ายมั่นอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน  เพราะเป็นการจวนตัวไม่รู้ที่จะทำประการใดได้

          ครั้งนั้น  ค่ายพระยาเสน่หาภูธร พระยาวิสูตรโกษาเกือบจะแตกเสียแก่ข้าศึกลาวอยู่แล้ว  พอกรมหมื่นนเรศร์โยธี  กรมหมื่นเสนีบริรักษ์  แม่ทัพใหญ่ได้ทราบข่าวที่กองม้าเร็วคอยเหตุมากราบทูลนั้นแล้วก็ทรงพระวิตก  เกรงเกลือกว่าไทยจะทำการรักษาค่ายไว้ไม่ได้  ก็จะเสียค่ายหน้าแก่ข้าศึกลาวครั้งนี้ เหมือนเสียค่ายหลวงด้วย  เพราะค่ายหลวงนั้นอยู่ใกล้ชิดค่ายหน้า


          เพราะฉะนั้นกรมหมื่นทั้งสองพระองค์จึงรีบเร่งยกกองทัพขึ้นไปโดยเร็ว  ปรารถนาจะช่วยทัพหน้าให้ทันท่วงทีที่ข้าศึกมาล้อมนั้น  จึงไม่ทันได้ทรงระวังข้างทางที่เสด็จขึ้นไป  แต่พอทัพกรมหมื่นทั้งสองพระองค์เสด็จถึงกลางทางในป่าดงตะเคียน  ฝ่ายกองทัพพระยาแสนหาญกับพระยาน่านมือเหล็ก  แม่ทัพนายกองซุ่มของลาว  ซึ่งคุมพลทหาร ๘,๐๐๐ มาตั้งซุ่มอยู่ในทางดงตะเคียนนั้น  ครั้นเห็นได้ทีก็ยกพลเข้าโจมตีกองทัพกรมหมื่นทั้งสองพระองค์   ทั้งสองพระองค์ได้ต่อสู้รบกับลาวที่กลางทางป่าเป็นสามารถ  ถึงตลุมบอนฟันแทงกันด้วยอาวุธสั้น  ทั้งสองฝ่ายจะยิงปืนใหญ่น้อยก็หาทันไม่  เพราะเป็นเวลาจวนตัว  แต่พลทหารไทยน้อยกว่าพลทหารลาว  พลทหารลาวจึงได้ไสทัพช้างพรายยกเข้าล้อมกองทัพไทยไว้ได้โดยรอบ  พลทหารลาวไสช้างงาเข้าบุกบั่นฟันแทงพลทหารไทยล้มตายมาก  ขณะนั้นลาวจะทำอันตรายแก่กรมหมื่นทั้งสองพระองค์ไม่ได้  เป็นแต่ล้อมไว้ที่กลางแปลง........”

          * อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกหวาดเสียวมากนะครับ  ฝ่ายไทยทำลังเสียเปรียบ  เพราะมีกำลังรบน้อยกว่าลาว  ค่ายประชิดถูกล้อมโจมตีใกล้จะแตกแล้ว  กรมหมื่นสองพี่น้องผู้เป็นแม่ทัพรีบเร่งยกไปช่วย  ก็ถูกกองทัพซุ่มของพระยาแสนหาญกับพระยาน่านมือเหล็ก  ที่มีกำลังมากกว่าล้อมรุมโจมตีพลทหารล้มตายลงมาก  แม่ทัพถูกช้างล้อมอยู่กลางแปลง  เห็นทีว่าจะไม่รอด  จะมีปาฏิหาริย์อันใดมาช่วยหรือไม่  พรุ่งนี้มาอ่านต่อกันนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๓๑ มกราคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..

บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #16 เมื่อ: 27, มีนาคม, 2563, 10:51:32 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๗ -

กำลังพลลาวมากกว่าไทยพร้อม
ยกเข้าล้อมค่ายไทยถอยหงายหลัง
รุมแม่ทัพหน้าไทยที่ไม่ระวัง
จึงเหมือนถูกกักขังอยู่กลางทัพ

“กรมหมื่นนเรศร์โยธี”นิ่ง
ไม่เกรงกริ่งไพรีที่พร้อมสรรพ
ทรงขี่ช้างนั่งภาวนานับ
“คาบ”สำหรับคาถาอาคมดี

“ตวาดป่าหิมพานต์”สามคาบครบ
ทรงสยบการบุกทุกหน้าที่
ปืนธนูยิงมาเหมือนวารี
ไหลหลีกหนีห่างหายไกลพระองค์

ช้างพัง,พลายไสชนก็ย่นย่อ
หอกดาบขออึ้งคิดพิศวง
ไม่ตีรันฟันแทงแรงลดลง
กลางป่าดงเงียบซบสงบงัน


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ผมได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมหมื่นนเรศร์โยธี  กรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์  แม่ทัพหน้าสองพี่น้องทราบว่าค่ายประชิดของพระองค์ถูกกองทัพลาวโจมตีจนถอยร่นเข้าตั้งรับอยู่ในค่าย  กำลังจะถูกเจ้าหน่อคำตีแตกอยู่รอมล่อแล้ว  ก็ร้อนพระทัยรีบยกพลจากกองทัพหลวงไปหมายช่วย  ไม่ทันระวังสองข้างทาง  จึงถูกทัพซุ่มของลาวที่มีกำลังพลมากกว่ายกเข้าโจมตี  พลไทยถูกทัพช้างของลาวบุกบั่นฆ่าฟันล้มตายลงเป็นอันมาก  แล้วทัพช้างของลาวก็เข้ารุมล้อมแม่ทัพสองพี่น้องอยู่กลางป่า วันนี้อ่านต่อครับ

           “กรมหมื่นทั้งสองนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นลาวไสช้างเข้ามาล้อมรอบพระองค์  พระองค์ท่านจะได้ครั่นคร้ามขามกลัวข้าศึกลาวนั้นหามิได้เลย  ทรงนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังพับในที่ล้อมกลางแปลงข้าศึก  ตรัสว่าเกลียดแต่น้ำลายที่ปลายงวงช้างเท่านั้น  ขณะนั้นลาวได้ไสช้างงาเข้ามาล้อมจนใกล้  จึงตรัสตวาดให้ช้างถอยหลังออกไปห่างพระองค์  ช้างข้าศึกเหล่านั้นก็ถอยหลังออกไปห่างพระองค์ท่านตามรับสั่ง

           (แต่ลาวหาได้ยิงปืนไฟหน้าไม้มาไม่เลย  จะเป็นด้วยเหตุอะไรหาทราบไม่  เห็นจะเป็นด้วยพระองค์ท่านมีศิลปาคมอุดมพระเวท  เห็นเป็นที่ประจักษ์มหัศจรรย์แก่ตามหาชนในกองทัพไทยลาวครั้งนั้นเป็นอันมากยิ่งนัก)


          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรซึ่งเป็นแม่ทัพนายกองโจร  ยกกองทัพพม่าทวายไปซุ่มคอยตีกองลำเลียงลาวอยู่ในป่าหลังค่ายทุ่งส้มป่อย  ขณะนั้นพลลาวในค่ายทุ่งส้มป่อยออกเที่ยวหาเผือกมันกิน ๗ คน  กองทัพไทยม้าเร็วเข้าล้อมจับได้ทั้ง ๗ คนมาถามได้ความว่า

           “เจ้าหน่อคำเป็นแม่ทัพใหญ่คุมพลทหาร ๑,๘๐๐ ยกไปตีกองทัพไทย  และให้ท้าวเพี้ยคุมพลทหาร ๑,๐๐๐ อยู่รักษาค่าย  แล้วเจ้าหน่อคำจัดการระวังรักษาทางป่าและหนองน้ำลำธารเป็นสามารถ”

          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรได้ทราบดังนั้นก็ตกพระทัย  เกรงว่าพลลาวมากมายนักจะยกไปตีไทย  ไทยมีพลน้อยจะเสียท่วงทีแก่ข้าศึกลาว  พระองค์เจ้าขุนเณรมีความวิตกนัก  จึงดำริหาอุบายที่จะไปช่วยแก้กองทัพไทย  ฝ่ายกองหน้าที่ถูกล้อมนั้นจะทำเป็นประการใดดี  แต่ทรงพระดำริอยู่ช้านานจึงคิดขึ้นได้เป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง  จึงเรียกลาว ๗ คนที่จับมาได้นั้นมาตรัสว่า


           “กูจับมึงทั้ง ๗ คนนี้ได้  โทษมึงถึงตายทั้งสิ้น  แต่กูจะไม่ฆ่า  จะยกโทษให้พ้นความตายทั้ง ๗ คน  แต่จะยึดพวกมึงไว้ ๖ คนก่อน  แล้วจะให้พวกไทยแต่งตัวเหมือนลาวปลอมหาบคอนแทนพวกมึงทั้ง ๖ คน   รวมเป็น ๗ คนทั้งพวกมึงคนหนึ่ง   จะให้พวกมึงพาพวกคนไทย ๖ คนเข้าไปในค่ายลาวในเวลาวันนี้  อย่าให้ลาวในค่ายรู้เหตุการณ์ได้  ถ้าสำเร็จการประสงค์ของกูแล้ว  กูจะปูนบำเหน็จให้มึงถึงขนาดกับความชอบของมึง  มึงจะรับอาสาทำการตามกูสั่งนี้ได้หรือไม่ได้ให้ว่ามา”

          ฝ่ายลาว ๗ คนต่างคนก็กราบลงแล้วทูลว่า    “ซึ่งท่านให้ชีวิตพวกข้าพเจ้า ๗ คนไว้ครั้งนี้นั้น  พระเดชพระคุณหาที่สุดที่แล้วมิได้  พวกข้าพเจ้าทั้ง ๗ คนพร้อมใจกัน  จะขอรับอาสาปฏิบัติทำตามถ้อยคำท่านนั้นทุกประการ”


          พระองค์เจ้าขุนเณรจึงตรัสกับพระณรงค์สงคราม  ให้เป็นแม่กองอาทมาตทะลวงฟันคุมพลทหาร ๕๐๐  ถืออาวุธสั้นและมีคบเพลิงสำหรับตัวทุกคนจะได้เผาค่ายลาว  ให้ยกไปซุ่มอยู่ตามชายป่า  ห่างค่ายลาวประมาณ ๔๐ เส้น หรือ ๕๐ เส้นพอควรแก่การให้ทันท่วงที   ถ้าเห็นลาวพาไทย ๖ คนเข้าไปในค่าย  เผาค่ายเจ้าหน่อคำได้แล้ว  ให้พระณรงค์สงครามยกกองทัพอาทมาตรีบเร่งต้อนพลโห่ร้องกระหน่ำสำทับหนุนเนื่องเข้าไปหักค่ายให้พังลง  แล้วไฟเผาค่ายลาวให้ไหม้สว่างขึ้น  พลทหารลาวเจ้าหน่อคำก็จะตกใจพะว้าพะวังทั้งข้างหน้าข้างหลัง  ก็จะถอยทัพล่าไปเอง  ไทยที่อยู่ในที่ล้อมก็จะออกได้แล้วจะได้เป็นทัพกระหนาบด้วย  พระองค์เจ้าขุนเณรจึงตรัสสั่งไทย ๖ คนที่แต่งตัวเป็นลาวนั้นว่า     “ถ้าเข้าในค่ายลาวได้  ให้ไล่ฆ่าฟันลาวในค่ายคลุกคลีตีลาวไปอย่าให้ลาวทันตั้งตัว  หาอาวุธไว้ให้นำคบเพลิงเผาค่ายลาวขึ้นด้วย”

          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรคุมพลทหารอาทมาต ๕๐๐ คนถืออาวุธสั้นยาวครบทุกคน  ยกไปซุ่มแอบอยู่ตามชายป่าข้างทิศใต้  ห่างค่ายลาวข้าศึกทุ่งส้มป่อยประมาณ ๕๐ เส้น


          ฝ่ายไทย ๖ คนกับลาว ๑ คน เป็น ๗ คน  แต่งเป็นลาวหาบคอนพากันเดินไปถึงประตูค่ายเจ้าหน่อคำ  เป็นเวลาเย็นจวนจะค่ำเห็นนายประตูค่ายกำลังรับประทานอาหารอยู่  จึงชักดาบออกฟันนายประตูตายพร้อมกัน ๔ คน  แล้วจึงวิ่งเข้าค่ายได้ก็ไล่ฟันลาวไปจนถึงกลางค่าย  บ้างก็นำคบเพลิงเผาค่ายขึ้นเป็นหลายแห่ง  พลทหารลาวในค่ายจะจับไม่ถนัดเพราะแต่งกายเป็นลาวเหมือนกัน  ต่างคนต่างตกใจหารู้ว่าเหตุมาแต่ทางไหนไม่  บ้างเข้าดับไฟ  บ้างไล่ติดตามค้นหาผู้ร้ายภายในค่ายเป็นอลหม่าน


          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรและพระณรงค์สงครามทั้งสองกองที่ซุ่มอยู่นั้น  ครั้นเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นที่ค่ายลาว  จึงยกพลทหารโห่ร้องเดินตามกันหนุนเนื่องเข้าไปตีค่ายลาวพร้อมกัน  พลทหารไทยพังค่ายเข้าไปในค่ายได้ไล่ฆ่าฟันลาวตายเป็นกอง ๆ  ช้างงาในค่ายลาวซึ่งตกมันอยู่นั้น  ครั้นเห็นแสงไฟสว่างก็ตกใจแตกปลอกออกไล่แทงผู้คนล้มตาย  แล้วแล่นเข้าป่าไปในค่ำวันนั้น

          พระยาไชยสงคราม, ท้าวสุวรรณ, ท้าวหมี, สามนายคุมพลทหาร ๑,๐๐๐ อยู่รักษาค่ายที่ทุ่งส้มป่อย  เห็นเชิงศึกไทยกระชั้นตีเข้ามาในค่ายได้โดยเร็วดังนั้นก็ตกใจ  จะรวบรวมทหารให้เป็นหมวดเป็นกองออกต่อสู้ก็ไม่ได้  ด้วยรี้พลแตกตื่นตกใจมากจะกดไว้ไม่อยู่  จึงปล่อยให้แตกแหกค่ายหนีไปซ่อนกายในป่าทั้งนายไพร่ได้บ้าง  ที่ตายก็มาก  ที่เหลือตายก็มี


          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรตีค่ายทุ่งส้มป่อยแตกแล้ว  ได้ช้างพลายพังระวางเพรียว ๒๐ ช้าง   ม้า ๑๐๐ ม้า   โคต่างเกวียนกระบือเป็นอันมาก  กับเครื่องสรรพาวุธใหญ่น้อยกระสุนดินดำพร้อมด้วย  ได้ลาวเชลยฉกรรจ์ ๒๐๐ ทั้งที่ทุพลภาพป่วยไข้ด้วย ๑๐๐ เศษ   พระองค์เจ้าขุนเณรมีรับสั่งให้พระณรงค์สงครามคุมพลไทย ๘๐๐ อยู่รักษาค่ายเดิม ให้รักษาลาวเชลยไว้ด้วย  แล้วพระองค์เจ้าขุนเณรคุมพลทหารอาทมาต ๕๐๐  รีบรุดเร่งยกลงมาช่วยทัพไทยกองหน้าซึ่งถูกลาวล้อมไว้

          ฝ่ายเจ้าหน่อคำแม่ทัพใหญ่ฝ่ายลาว  เห็นแสงไฟไหม้ค่ายของตนขึ้นข้างหลังก็ตกใจ  รู้ว่าค่ายของตนเป็นอันตรายเสียแก่ข้าศึกไทยแล้ว  ด้วยว่ามาหลงล้อมไทยอยู่ทางนี้  จึงเสียค่ายข้างโน้น  เจ้าหน่อคำก็เลิกการล้อมไทย  ถอยหนีล่าทัพกลับมาตั้งรั้งทัพอยู่”.........

          * ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วนะครับท่านานผู้อ่าน  เสด็จในกรม กรมหมื่นนเรศร์โยธี  ประทับนั่งนิ่งกลางวงล้อมของข้าศึก  เหมือนบริกรรมภาวนาคาถาอาคม  นัยว่าภาวนาคาถาชื่อ  “ตวาดป่าหิมพานต์”  สะกดทัพช้างและพลปืนธนูให้นิ่งงันอยู่  ไม่เข้าทำอันตรายพระองค์  จนกระทั้งเกิด  “ปาฏิหาริย์”  ขึ้นในที่สุด


          ปาฏิหาริย์เกิดจาก พระองค์เจ้าขุนเณร  แม่ทัพกองโจรนี้เอง
          ท่านผู้นี้เคยมีผลงานยอดเยี่ยมในสงคราม ๙ ทัพ คลิก     ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพกองโจร  ปล้นพม่า  ทำให้พม่าพ่ายแพ้มาแล้ว  ครั้งนี้พระองค์ได้รับความไว้วางใจให้เป็นแม่ทัพกองโจรอีกครั้ง  ประวัติของพระองค์ไม่ค่อยชัดแจ้งนัก  นัยว่าทรงเป็นโอรสของพระอินทรรักษา(เสม) ภัสดาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระยาเทพสุดาวดี  ประสูติแต่มารดาสามัญชนที่เป็นอนุภรรยาของพระอินทรรักษา (เสม)  สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรีที่  “พระองค์เจ้า”  ศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์ครั้งนี้  พระองค์เจ้าขุนเณรแสดงความสามารถในการเป็นกองโจรได้ยอดเยี่ยมยิ่ง

          พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กลอน123, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #17 เมื่อ: 28, มีนาคม, 2563, 10:49:27 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๘ -

เจ้าหน่อคำรู้แน่ว่าแพ้แล้ว
จึงเลือกแนวหนีตายไปผลุนผลัน
ไทยไล่ตามต้อนตรลบรบติดพัน
กลางอารัญลาวตายศพก่ายกอง

เจ้าอนุรู้แน่แพ้ทุกค่าย
รีบหนีตายทิ้งลาวไม่ปกป้อง
ปล่อยเวียงจันทน์ว่างผู้อยู่ปกครอง
พาครัวล่องลงใต้ไปพึ่งญวน


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ผมได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  พระองค์เจ้าขุนเณรนายทัพกองโจรคิดอุบายลอบโจมตี แล้วเผาค่ายลาวทุ่งส้มป่อยพินาศไปในพริบตา  เจ้าหน่อคำรู้ว่าค่ายใหญ่ลาวเสียแก่ข้าศึกแล้วก็เลิกล้อมค่ายไทยล่าถอยไป  วันนี้มาอ่านกันต่อไปครับ


           “ขณะนั้นกรมหมื่นนเรศร์โยธี  กรมหมื่นเสนีบริรักษ์  ทั้งสองพระองค์ที่อยู่ในที่ล้อมลาว  ทอดพระเนตรเห็นกองทัพลาวที่ล้อมนั้นล่าถอยไป  จึงเข้าพระทัยชัดว่า  ชะรอยจะมีกองทัพไทยผู้ใดไปจุดไฟเผาค่ายลาว  ลาวจึงได้ล่าถอยไป  จึงตรัสสั่งให้นายทัพนายกองไทย  เร่งรีบยกติดตามตีทัพลาวเจ้าหน่อคำที่ล่าถอยหนีไปนั้นให้เต็มมือ


          ฝ่ายเจ้าหน่อคำล่าถอยหนีมาพลาง  เดินทัพรุดหนีมาทางในป่า  ก็พอมาปะทะกองทัพพระองค์เจาขุนเณรยกมาเป็นทัพกระหนาบหลังเจ้าหน่อคำ  เจ้าหน่อคำกระทำศึกดุจดังฟองสกุณปักษาชาติอันถูกพายุพัด  มาประดิษฐานตั้งกลิ้งกลอกอยู่ริมก้อนศิลาที่เป็นแง่อันแหลม


          ฝ่ายพระองค์เจ้าขุนเณรต้อนพลทหาร  ให้โห่ร้องทะลวงฟันยิงแย่งแทงด้วยหอกและหลาว  พลหนุนเนื่องกันเข้าโจมตีเป็นทัพกระหนาบ  สะกัดหลังทัพลาวไว้  และฆ่าฟันลาวตายเป็นอันมาก  ฝ่ายเจ้าหน่อคำเห็นเชิงศึกไทยหลักแหลมนักเหลือกำลัง  จะตั้งสู้ต่อหาได้ไม่  จึงพาทหารที่ร่วมใจ ๒๐๐ คนเศษฝ่าออกจากที่ล้อมได้  หนีไปในป่าดงหลายวัน  ถึงค่ายช่องเขาสาร  แต่ว่าต้องถูกอาวุธมีบาดแผลเจ็บป่วยไปด้วยหาตายไม่  ขณะนั้นไพร่พลลาวแตกฉานซ่านเซ็นหนีเร้นไปทั่วป่า  จะควบคุมกันเข้าก็ไม่ได้  ด้วยนายทัพนายกองจะบังคับปกครองมิได้แล้ว

          ฝ่ายกองทัพไทยทั้งหลายไล่พิฆาตฆ่าฟันแทงลาวล้มตายเป็นอันมาก  ศพลาวตายซ้อนซับกันเต็มทั้งป่า  (ดุจดังป่าช้าในคราวอหิวาตกโรค  ชวนที่จะสังเวชยิ่งหนัก  ที่จับลาวเป็น ๆ มาได้ก็มาก  แต่หาปรากฏว่าเท่าไรไม่  เพราะไม่ได้รับรายงานรบกันในเวลานั้น)

          นายทัพนายกองไทยเก็บได้เครื่องศาสตราวุธต่าง ๆ ไว้ได้ทุกอย่าง  จับได้ช้างใหญ่ได้ขนาดพลาย ๔๙ เชือก  ช้างพัง ๔๑ เชือก  ช้างเล็กไม่ถึงขนาดรวมทั้งพลายพังด้วยเป็น ๑๗๔ เชือก  ม้า ๓๔๖ ม้า  โคกระบือ ๖๐๐  เสบียงอาหารพร้อมบริบูรณ์  เจ้าหน่อคำแม่ทัพใหญ่หนีไปกับทหารร่วมใจ ๒๐๐ เศษ  ไปถึงค่ายเขาสาร  ทหารไทยหาจับได้ไม่


          ฝ่ายกรมหมื่นแม่ทัพทั้งสองพระองค์  จึงตรัสสั่งนายทัพนายกองให้เก็บรวบรวมเครื่องสรรพาวุธ  เสบียงอาหารบำรุงช้างม้าไพร่พลทั้งปวงไว้ให้บริบูรณ์เป็นปรกติที่ค่ายทุ่งส้มป่อยเสร็จแล้ว  จึงมีรับสั่งให้นายทัพนายกองจัดแจงตั้งค่ายใหญ่  ไว้รับเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ แล้วทรงแต่งหนังสือบอกข้อราชการศึก ซึ่งมีชัยชนะแก่ลาวฉบับหนึ่ง  โปรดให้หลวงเดชอัศดรกับหลวงไกรสินธพ สองนายคุมทหารม้า ๔๐ ม้า  ถือหนังสือบอกลงมาทูลเกล้าฯ ถวายกรมพระราชวังบวรฯ ที่ค่ายหลวงตำบลที่น้ำเขิน


          ขุนนางผู้ใหญ่นำหนังสือบอกขึ้นกราบบังคมทูลกรมพระราชวังบวร  กรมพระราชวังบวรได้ทรงทราบสิ้นข้อความแล้ว  จึงมีพระราชบัณฑูรดำรัสสรรเสริญสติปัญญา  และความคิดกล้าหาญของพระองค์เจ้าขุนเณรว่า

           “เขาได้เคยกระทำการศึกสงครามชำนิชำนาญมาแต่ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  แต่ครั้งท่านเสด็จไปตีพม่าที่เขาชะงุ้มราชบุรี  ครั้งนั้นเจ้าขุนเณรเขาได้เป็นนายทัพกองโจรไปตีกองลำเลียงพม่า  เขาเคยมีชัยชนะมาแล้ว”

          แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยานรานุกิจมนตรี  จัดแจงตระเตรียมกองทัพให้พร้อมเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา  จะยกทัพหลวงขึ้นไปยังค่ายลาวที่ทุ่งส้มป่อย

          ครั้นได้พระฤกษ์ดีแล้ว  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงพระคชาธารพังโกสุม  ผูกเครื่องมั่นกระโจมทองสี่หน้า  พร้อมด้วยราชบริวารแห่นำตามเสด็จโดยสถลมารค  เสด็จพระราชดำเนินประทับรอนแรมขึ้นไปถึงค่ายทุ่งส้มป่อย  ประทับที่พลับพลาชัยในค่ายหลวงซึ่งกองหน้าแต่งไว้รับเสด็จ


          ขณะนั้น  กรมหมื่นนเรศร์โยธี  กรมหมื่นเสนีบริรักษ์  พระองค์เจ้าขุนเณร  และพระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งหลายพร้อมกัน  ไปเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการศึกเสร็จสิ้นทุกประการ  และทูลถวายศาสตราวุธช้างม้า  กับลาวเชลยที่เหลือตายจับเป็นมาได้นั้น

          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ตรัสเรียกพระองค์ขุนเณรให้เข้ามาเฝ้าในที่ใกล้  จึงพระราชทานพระแสงดาบฝักทองคำองค์หนึ่ง  แก่พระองค์เจ้าขุนเณรเป็นรางวัล


          ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายกแม่ทัพฝ่ายเหนือยกกองทัพขึ้นไปถึงเมืองหล่มสัก  พอกองทัพพระยาเพชรพิชัย  พระยาไกรโกษา  ก็มาถึงเมืองหล่มสักพร้อมกัน  จึงช่วยกันระดมตีทัพเจ้าราชวงศ์แตกหนีไป  เจ้าราชวงศ์พาพระสุริยวงศาธิบดีเมืองหล่มสักหนีไปด้วย  เดินไปหาเจ้าอนุผู้เป็นประธานาธิบดีที่ค่ายเขาสาร


          ฝ่ายเจ้าอนุตั้งอยู่ที่ช่องเขาสารทราบการว่า  ค่ายหนองบัวลำภู และค่ายทุ่งส้มป่อย และค่ายทุ่งล้ำพี้ แตกเสียแก่ทัพไทยทัพไทยแล้วทั้งสามตำบล  จึงคิดว่า

           “เห็นจะสู้รบแก่กองทัพไทยไม่ได้  จะต้องทิ้งค่ายที่ช่องเขาสารที่สำคัญนี้เสียจึงจะได้  จำเป็นต้องคิดพาชีวิตรอดดีกว่าอยู่สู้รบกับไทย”

          คิดดังนั้นแล้วจึงทำเป็นกลอุบายว่า  เราจะไปจัดการบ้านเมืองต่อไป  จึงให้พระยาสุโภกับชานนท์ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่รักษาค่ายที่ช่องเขาสาร


          เจ้าอนุแกล้งพูดปดกับนายทัพนายกองว่า  จะขึ้นไปจัดการที่เมืองเวียงจันทน์รับทัพไทย  เจ้าอนุก็รีบขึ้นไปถึงเมืองเวียงจันทน์  แล้วเก็บทรัพย์สิ่งของที่สำคัญควรจะเก็บไปได้  กับพาบุตรภรรยาญาติวงศ์ลงบรรทุกเรือใหญ่  จะหนีไปเขตแดนเมืองญวนให้พ้นภัย  บุตรที่ไปด้วยนั้นคือ  เจ้าราชวงศ์ ๑   เจ้าสุทธิสาร ๑   เจ้าไชยสาร ๑   เจ้าเสือ ๑   เจ้าเถื่อน ๑   เจ้าเหม็น ๑   เจ้าช้าง ๑   เจ้าอึ่งคำ ๑   เจ้าขัติยะ ๑   เจ้าพุทธชาด ๑  เจ้าอิศรพงศ์ ๑   เจ้าเต้ ๑   เจ้าหนูจีน ๑   เจ้าสุวรรณ ๑   รวมบุตรใหญ่ ๑๔ คน    และบุตรหญิงอีกมากไม่ปรากฏชื่อ   กับบุตรน้อย ๆ อีกหลายคน   กับหม่อมห้ามแหนแสนกำนัลที่สำคัญก็พาไปมาก  กับบุตรเจ้าอุปราชอีก ๕ คน  ชื่อเจ้าเอย ๑   เจ้าอาย ๑   เจ้าอัง ๑   เจ้าปาน ๑   เจ้าพรหม ๑   กับมารดาเจ้าอุปราชด้วยคน ๑   และญาติที่ชิดสนิทพาไปบ้าง  กับขุนนางที่ไว้ใจพาไปบ้าง


          และเจ้าอนุสั่งให้จับทหารและขุนนางไทยชื่อ  พระอนุชิตพิทักษ์ (บัว)   ซึ่งเป็นน้องเจ้าพระยาอภัยภูธร ๑   กับพวกไทยที่เป็นมหาดเล็กและนายงานนายช่างหลายคน  กับพระสงฆ์ไทยหลายรูป  ให้พาไปฆ่าเสียสิ้นทั้งนั้นบรรดาไทย


          เมื่อเดือนหก  แรมหกค่ำ  เจ้าอนุลงเรือล่องตามลำน้ำไปขึ้นที่ท่าเมืองมหาไชยกองแก้ว  แล้วเดินบกขึ้นช้างบ้าง  ม้าบ้าง  เดินเท้าบ้าง  ไปอาศัยอยู่ที่เมืองล่าน้ำ  ญวนเรียกว่าเมืองแง่อาน  ซึ่งเป็นเขตแดนหัวเมืองขึ้นของญวน.....”


          * เป็นอันว่ากองทัพไทยตีค่ายลาวที่หนองบัวลำภูแตกยับไป ๓ ค่ายแล้ว  ยังเหลือค่ายใหญ่ที่ช่องเขาสาร  อันเป็นเสมือนประตูสู่เมืองเวียงจันทน์อีกค่ายเดียว     แต่เจ้าอนุเจ้าของค่ายหลวงช่องเขาสารออกอุบายหนี  โดยตั้งให้พระยาสุโภกับชานนท์อยู่รักษาค่าย  ตนเองกลับไปเวียงจันทน์แล้วขนทรัพย์สมบัติ เมีย ลูก และญาติสนิทหนีไปอยู่เมืองแง่อานของญวน


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว / เจ้าอนุเวียงจันทน์ / จักรพรรดิมินห์ มาง       

          นี่เป็นการหนีไปพึ่งญวนครั้งที่ ๑ ของเจ้าอนุ   และก็เป็นชนวนเหตุให้ไทยรบลาวติดพันไปถึงรบกับญวนต่อไป...

          พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #18 เมื่อ: 29, มีนาคม, 2563, 10:26:10 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๙ -

พระยาสุโภแม่ทัพลาวช่องเขาสาร
สมัครมานทัพใหญ่ได้ครบถ้วน
ยกจากเขาสารเฮไม่เรรวน
สั่งทุกส่วนทัพลาวเข้าตีไทย

ค่ายส้มป่อยใกล้แตกตายน้ำตื้น
กรมหมื่นสองพี่น้องช่วยแก้ได้
กรมพระราชวังบวรฯไว
สั่งยกไปช่องเขาสารในทันที


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ผมได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่   เจ้าอนุแอบพาครัวหนีกองทัพลาว  ทิ้งเวียงจันทน์ไปอาศัยอยู่เมืองล่าน้ำ หรือ แง่อาน  หมายพึ่งบารมีญวน  วันนี้มาอ่านกันต่อไปครับ

           “ฝ่ายพระยาสุโภกับชานนท์หาทราบว่าเจ้านายของตนหนีไปแล้วไม่  ได้ทราบแต่ว่ากองทัพไทยยกมาตีค่ายหนองบัวลำภู  และทุ่งล้ำพี้  และทุ่งส้มป่อย  แตกทั้งสามตำบลแล้ว  บัดนี้ไทยมาตั้งทัพอยู่ที่ทุ่งส้มป่อย  จึงมีหนังสือไปถึงพระยาเชียงสาและกองคำ  และเพี้ยสุรินทร์  ให้ยกทัพใหญ่มาสมทบกันช่วยตีค่ายไทยที่ทุ่งส้มป่อยให้แตกให้จงได้

          ฝ่ายพระยาเชียงสาได้ทราบหนังสือดังนั้นแล้ว  ก็นัดหมายกองทัพทั้งสามทัพพร้อมกันแล้ว  จึงยกทัพใหญ่มาล้อมค่ายไทยที่ทุ่งส้มป่อยทั้งสามทัพ  ตามสัญญาพระยาสุโภ  พระยาสุโภก็ยกกองทัพใหญ่ไปช่วยระดมตีกองทัพไทยด้วย


          กองทัพไทยซึ่งตั้งอยู่ที่นั้น  เห็นทัพลาวยกมามากก็ไม่อาจจะออกรบกลางแปลง  รักษาค่ายมั่นไว้  ทัพลาวจะเข้าตีหักค่ายไทยก็ไม่ได้  ลาวจึงตั้งล้อมไทยไว้ถึง ๗ วันจนเสบียงอาหารหมด  กองทัพไทยอยู่ในที่ล้อมครั้งนี้ ๗ วันเกือบจะเสียทีแก่ลาวอยู่แล้ว  พอกองทัพกรมหมื่นนเรศร์โยธีขึ้นไปทันท่วงที  เมื่อวันศุกร์ เดือนหก แรมค่ำหนึ่ง  มีพลทหารติดตามท่านไปแต่ ๑๐๐ คนเศษเท่านั้น  เพราะรีบเร่งด่วนขึ้นไปโดยเร็ว  เมื่อได้ทรงทราบว่าทัพลาวยกมาล้อมพระยาจ่าแสนยากร  พระยากลาโหมราชเสนา  เจ้าพระยามหาโยธารามัญ  ล้อมไว้โดยแน่นหนา  ท่านมิได้รอท่าคอยกองทัพหนุน  รับสั่งให้ยกเข้าโจมตีแต่ลำพังคนร้อยหนึ่งเท่านั้นก็จะได้

          ลาวเห็นว่าไทยมีพลทหารน้อยนัก  ลาวก็หันหน้าเข้าล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน  ลาวกับไทยได้รบกันถึงอาวุธสั้นเป็นตะลุมบอน  แต่กรมหมื่นนเรศร์โยธีมีอาจารย์ไปด้วยสี่คน  อาจารย์ทั้งสี่กระทำวิชาให้พวกลาวข้าศึกเห็นว่าเป็นคนอยู่บนต้นไม้มากนักทุกต้น  ต้นไม้ก็เห็นเป็นหอรบไปหมด  มีคนอยู่บนหอรบหลายหมื่นหลายพัน  พวกลาวตั้งใจยิงปืนขึ้นไปบนต้นไม้ดั่งห่าฝนอย่างเดียว  ไม่ได้ยิงปืนไฟต่ำลงมาข้างล่างเลย  แล้วอาจารย์ทั้งสี่นำใบมะขามมาเสก  แล้วโปรยไปเป็นตัวต่อแตนต่อยพวกลาวเจ็บปวดสาหัสยิ่งนักหนา

           (เพราะฉะนั้น  หม่อมเจ้าบุตรหลาน  และพวกข้าไทในกรมของท่านที่ได้ตามเสด็จไปอยู่ในที่ล้อมนั้น  ไม่ได้เป็นอันตรายเลยแต่สักคนหนึ่ง  ความข้อนี้ผู้ที่ได้ไปทัพครั้งนั้น  ได้รู้เห็นเป็นพยานด้วยมากมาย  แต่บัดนี้คนเหล่านั้นล้มตายหายจากไปมากเกือบหมดแล้ว  หาพยานยาก  แต่ว่ายังมีบุตรหลานของพวกกองทัพคราวนั้น  ได้รับความเล่าต่อ ๆ มาก็มีบ้าง  ท่านผู้ได้อ่านได้ฟังต่อภายหลังจะเชื่อก็ตาม  จะไม่เชื่อก็ตามเถิด  เหมือนพงศาวดารครั้งกรุงเก่าแผ่นดินพระนารายณ์  มีพระยารามเดโชหายตัวได้  พม่าจับตัวได้แล้วแก้ตัวออกมาได้  เพราะมีวิชาทางยกเมฆกระฉายหรืออื่น ๆ ด้วย  การนี้เมื่อไม่เชื่อครั้งนี้ การครั้งโน้นก็ไม่เชื่อเหมือนกัน  เพราะการมหัศจรรย์มีน้อยนัก  จึงไม่ใคร่มีผู้เชื่อลงเนื้อเห็นด้วย)


          ขณะลาวล้อมกรมหมื่นนเรศร์โยธีอยู่นั้น  พอกองทัพกรมหมื่นเสนีบริรักษ์พระอนุชาคุมกองทัพใหญ่ขึ้นไปทัน  จึงได้ขับพลทหารให้เข้าช่วยกันรบตีลาวแตกเป็นช่องออกไปได้  แต่พอให้กรมหมื่นนเรศร์โยธีออกจากที่ล้อมได้

          ฝ่ายกองทัพพระยาจ่าแสนยากร  พระยากลาโหมราชเสนา  เจ้าพระยามหาโยธา  ซึ่งอยู่ในค่ายที่ทุ่งส้มป่อย  ได้ยินสียงปืนยิงรบกันแน่นหนาอื้ออึงดังนั้น  แลเห็นลาวซึ่งล้อมอยู่ทำกิริยาป่วนปั่นระส่ำระสาย  ก็เข้าใจว่ามีกองทัพไทยยกมาช่วยเป็นมั่นคง  พวกทหารเหล่านั้นก็มีน้ำใจกล้าหาญองอาจ  พร้อมใจกันช่วยตีลาวหักออกมาจากที่ล้อมได้  แล้วก็เข้าบรรจบกันกับกองทัพข้างนอกได้  เมื่อ ณ วันอาทิตย์เดือนหกแรมสามค่ำ  ขณะนั้นกองทัพลาวจะต้านทานมิได้  แตกกระจัดกระจายจะคุมกันเข้าไม่ได้  ก็แพ้พ่ายเปิดช่องให้ทัพไทยที่ล้อมไว้นั้นออกได้สิ้น  ฝ่ายกองทัพกรมหมื่นนเรศร์โยธี  กรมหมื่นเสนีบริรักษ์  และทัพพระย่าแสนยากร  พระยากลาโหมราชเสนา  พระณรงค์วิชัย  เจ้าพระยามหาโยธา  พร้อมกันทุกทัพทุกกองยกเข้าช่วยระดมตี  ไล่ฆ่าฟันกองทัพลาวล้มตายลงเป็นอันมาก  พวกลาวเห็นเหลือกำลังที่จะตั้งต่อสู้กับไทยไม่ได้  ลาวทั้งนายไพร่ก็ล่าทัพทิ้งค่ายที่ทุ่งส้มป่อยเสียทั้งสิ้น  ถอยทัพล่าหนีไปเข้าค่ายเขาสารได้บ้าง  ที่ตายก็มาก  ที่ไทยจับได้เป็นไปก็มาก


          ฝ่ายแม่ทัพนายกองไทย  ได้มีชัยชนะแก่ข้าศึกลาวที่ตำบลทุ่งส้มป่อยอีกครั้งหนึ่ง  เป็นสองครั้งทั้งครั้งก่อนนั้น

          ครั้งนี้  กรมหมื่นทั้งสองกรมรับสั่งให้เจ้าพระยามหาโยธาคุมกองรามัญอยู่รักษาค่ายลาวที่ทุ่งส้มป่อยไว้ให้ดี
          แล้วโปรดให้พระยาพรหมยกกระบัตรเมืองนครราชสีมา  คุมพลทหาร ๔๐๐ เป็นนายทัพนายกองลาดตระเวนที่หนึ่ง
          ให้พระยาประสิทธิ์คชลักษณ์จางวางกรมช้าง  กองนอกเมืองนครราชสีมา  คุมพลทหาร ๕๐๐  มีช้างสำหรับในกอง ๒๐๐ ช้าง เป็นแม่กองตระเวนที่สอง   รวมพลทหารทั้งสองกองพลพันหนึ่ง  จึงโปรดให้ลาดตระเวนรักษาด่านทางข้างทุ่งนาคราช  ป้องกันรักษาทางไม่ให้ลาวเวียงจันทน์และทางอื่นยกมาบรรจบกับค่ายที่เขาสารได้เลยเป็นอันขาด


          ครั้งนั้น กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้พระองค์เจ้าขุนเณรคงเป็นกองโจร  รีบยกไปซุ่มพลอยู่ต้นทางเวียงจันทน์ที่จะเข้ามาเขาสาร  ให้คอยสกัดตีกองลำเลียงลาวเวียงจันทน์อย่าให้มาส่งถึงกันได้

          แล้วโปรดให้ทัพพระยาเสนาภูเบศร์กองหนึ่ง   โปรดให้ทัพพระยาพิชัยบุรินทรากองหนึ่ง    โปรดให้ทัพพระยาณรงค์วิชัยกองหนึ่ง    โปรดให้ทัพพระยาวิสูตรโกษากองหนึ่ง     ทั้ง ๔ กองนี้คุมพลทหารกองละ ๑,๐๐๐    เป็นทัพหน้าที่หนึ่งยกไปตีค่ายเขาสารช่องแคบด้านตะวันตก
          โปรดให้ทัพพระยากลาโหมราชเสนากองหนึ่ง    โปรดให้ทัพพระยาจ่าแสนยากรกองหนึ่ง    โปรดให้ทัพพระวิเศษสงครามฝรั่งแม่นปืนใหญ่กองหนึ่ง   คุมทหาปืนใหญ่    ยกไปเข้ากองทัพพระยาจ่าแสนยากร  เป็นทัพทำลายค่าย  รวม ๓ ทัพพลทหาร ๓,๐๐๐    ยกเข้าตีค่ายเขาสารด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
          โปรดให้กองทัพพระยาศาสตราฤทธิรงค์กองหนึ่ง    ให้ทัพหลวงดำเกิงรณภพกองหนึ่ง    หลวงวุธทธสาระชาญกองหนึ่ง    โปรดให้พระยาอภัยศรเพลิงกองหนึ่ง    พระจินดาจักรรัตน์กองหนึ่ง       ทั้ง ๔ กองนี้คุมพลกองละ ๕๐๐   ยกเข้าตีค่ายลาวที่เขาสารทางด้านใต้
          โปรดให้พระยาสุริรทราชเสนี  กับพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา  ทั้งสองกองนี้คุมพลทหารกองละ ๓๐๐    ยกไปคอยตีกองทัพลาวซึ่งจะมาอาศัยตักน้ำกินในลำธารป่าดงทึบ  ให้รักษาลำธารทั้งปวงไว้ให้มั่นคง  อย่าให้เสียลำธารน้ำแก่ลาวได้เลยสักแห่งหนึ่ง



          ฝ่ายแม่ทัพนายกองทั้งหลายพร้อมกันกราบถวายบังคมลายกกองทัพไปตามรับสั่งในวันนั้น  ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันที่สอง  กรมพระราชวังบวรฯ โปรดให้กรมหมื่นทั้งสองพระองค์  คุมพลทหาร ๓,๐๐๐ เป็นแม่ทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์แทนพระองค์    โปรดให้บังคับบัญชากองทัพทั้งสิ้น  ให้ยกหนุนกองทัพทั้งหลายขึ้นไปตีค่ายเขาสารตามราชการ

          แล้วโปรดให้พระยาราชโยธา  กับพระยามหาอำมาตย์  คุมพลทหารกองละ ๑,๕๐๐ เป็นกองผู้ช่วยทัพทั้งหลาย  ถ้าเห็นทัพผู้ใดหย่อนกำลังรี้พลลงเมื่อใด  ให้ช่วยอุดหนุนกองนั้นให้ทันท่วงทีแก่ราชการ.......”

          * เสด็จในกรม  กรมหมื่นนเรศร์โยธีพระองค์นี้ทรง  “เล่นของขึ้น”   ครั้งก่อนเห็นท่านใช้วิชาอาคมตวาดฝูงช้างในกองทัพลาวถอยไป  พลทหารปืนธนูยืนจังงังไปครั้งหนึ่งแล้ว  มาครั้งนี้ทรงนำทหาร ๑๐๐   สู้กับทหารลาวเป็นหมื่นคน    ตรัสให้อาจารย์ทั้ง ๔ ใช้วิชาอาคมลวงตาทหารลาวให้ใช้ปืนยิงต้นไม้ แทนที่ตจะยิงพระองค์ท่านกับพลทหาร  มิหนำยังเสกใบมะขามเป็นตัวต่อแตน  บินไล่ต่อยทหารลาวในกองทัพเจ็บป่วยไปตาม ๆ กันอีก  ไม่เชื่อได้หรือครับ

          แม้เจ้าอนุจะทิ้งกองทัพหนีจากเวียงจันทน์ไปแล้ว  แต่กองทัพลาวยังไม่รู้เรื่องเลย  จึงยกเข้ารบกับไทยจนแพ้พ่ายล้มตายเป็นอันมาก  ตอนนี้เหลือค่ายหลวงที่ถูกเจ้าอนุทิ้งไว้ตรงช่องแคบเขาสารเพียงค่ายเดียว  กรมพระราชวังบวรฯ แม่ทัพใหญ่ของไทยทรงดำริเผด็จศึกให้เสร็จสิ้นไป  จึงโปรดให้นายทัพนายกองยกกำลังเข้าตีค่ายเขาสารทุกทิศทุกทาง  ค่ายใหญ่ของลาวจะรอดเงื้อมมือกองทัพไทยหรือไม่  พรุ่งนี้ตื่นมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #19 เมื่อ: 30, มีนาคม, 2563, 10:10:06 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๐ -

กองทัพใหญ่ไทยเคลื่อนสะเทือนป่า
ทั้งทัพหน้าทัพหลวงล่วงวิถี
ถึงค่ายลาวเขาสารไร้ต้านตี
ด้วยลาวมีกังวลกลอุบาย

ไทยตั้งทัพมั่นลงแล้วสงสัย
ลาวทำไมนิ่งงันไม่สั่นส่าย
จึงปรึกษาหาทางทั้งไพร่นาย
แล้วกระจายกำลังรบสยบลาว


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ผมได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ  เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง)  มาให้อ่านกันถึงตอนที่ กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรตรัสสั่งกองทัพต่าง ๆ ยกเข้าล้อมตีค่ายลาวที่ช่องเขาสาร  โดยทรงวางกำลังเข้าตีและกำลังสกัดทางเดินทัพลาวทุกทางอย่างรัดกุม  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ


           “ครั้นรุ่งขึ้นวันที่สาม  กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชดำรัสสั่งพระยาเสน่หาภูธร  ให้คุมพลทหาร ๑,๐๐๐ รักษาค่ายหลวงที่ทุ่งส้มป่อย  ถ้ามีราชการแปลกประหลาดจรมาประการใด  ให้คิดราชการกับเจ้าพระยามหาโยธา
          แล้วโปรดให้พระยาประสิทธิศาสตรา กับหลวงฤทธิรงค์  หลวงทรงศักดาวุธ  สามนาย  คุมพลทหารเกณฑ์หัดอย่างใหม่ ๘๐๐ เป็นกองเสือป่าแมวเซายกไปช่วยทัพหน้า
          แล้วโปรดให้หลวงฤทธิ์สำแดง  คุมพลทหารฝรั่งปืนใหญ่ ๓๐๐ เป็นกองอาทมาตไปกับทัพหลวง
          แล้วโปรดให้หลวงผ่านพิภพกับหลวงจักรวาลเป็นทัพม้า  คุมทหารม้ากองละ ๑๐๐   มีพลม้าประจำหลังม้าทั้งสองกองร้อย  เป็นกองคอยเหตุ  และจะได้เดินหนังสือบอกข้อราชการศึกหนักเบาให้ทราบทั่วทุกทัพทุกกอง
          โปรดให้พระยาประกฤษณุรักษ์คุมพลทหารช้าง ๑๕๐    กับพระยาเพธราชาคุมพลทหารช้าง ๑๕๐    รวมช้างสองกอง ๓๐๐   ยกไปตีค่ายเขาสาร  พร้อมด้วยทัพกรมหมื่นทั้งสองพระองค์


          ครั้นได้มหาพิชัยฤกษ์  กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จทรงพระคชาธารพลายปราบไตรจักร  เสด็จพระราชดำเนินยกพยุหแสนยากรทัพหลวง  พร้อมพลช้างม้าพลเดินเท้าเป็นกระบวนพยุหยาตราตามรัฐยาสถลมารค  ประทับร้อนแล้วยกหนุนทัพหน้าทั้งปวงขึ้นไป  ตั้งค่ายหลวงใกล้ค่ายลาวเขาสาร  ห่างประมาณ ๒๕๐ เส้น   บรรดานายทัพนายกองหน้าทั้งหลายตั้งค่ายประชิดห่างค่ายลาวที่เขาสารประมาณ ๕๐ เส้นบ้าง   ๗๐ เส้นบ้าง    ๑๐๐ เส้นบ้าง   อย่างที่ใกล้ ๓๐ เส้น  


          แต่ค่ายกรมหมื่นทั้งสองพระองค์นั้น  ทรงตั้งค่ายอย่างกวางเหลียวหลัง  ตั้งหนุนค่ายกองหน้าห่างประมาณ ๓๐ เส้น  แล้วโปรดให้ตั้งค่ายหลวงลงใหม่ ห่างค่ายกรมหมื่นทั้งสอง  ออกมา ๗๐ เส้น เป็นค่ายชัย   แต่ทัพหลวงค่ายเดิมที่ตั้งแต่ก่อนห่างมากประมาณ ๒๕๐ เส้นนั้น   โปรดให้เจ้าพระยาพระพิษณุโลกซึ่งมาล่าช้า  พอมาถึงจึงโปรดให้คุมพลทหารเมืองพระพิษณุโลกอยู่รักษาค่ายหลวงเดิม  เพราะค่ายหลวงที่ตั้งที่ตั้งแต่เดิมนั้น  มีหนองน้ำอยู่ในค่าย  จึงต้องรักษาไว้ให้มั่นคง  เป็นที่พักพลทหารเจ็บป่วย (โรงพยาบาลทหาร)


          ฝ่ายแม่ทัพนายกองลาวที่ค่ายเขาสารนั้น  จัดการตกแต่งหอรบค่ายคูขวากหนาม  ป้องกันรักษาค่ายให้มั่นคง  แล้วเกณฑ์กองทัพลาวหัวเมืองขึ้นมาสมทบมากมายหลายพัน  ให้พลทหารลาวเหล่านั้น  ขึ้นประจำรักษาหน้าทุกค่ายใหญ่น้อยโดยสามารถแข็งแรงนัก  ฝ่ายพระยาสุโภและชานนท์แม่ทัพใหญ่ได้ปรึกษาขุนนางลาวท้าวเพี้ย  นายทัพนายกองทั้งหลายว่า

           “บัดนี้กองทัพฝ่ายไทยยกมาตั้งค่ายประชิดคราวนี้  เห็นเชิงศึกเข้มแข็งกล้าหาญนัก  ตั้งค่ายเป็นวงพาดีถึงสามชั้น  ทั้งทัพหลวงก็ยกมาตั้งค่ายหนุนทัพหน้าทั้งปวงอยู่ด้วย  อาการเชิงศึกไทยครั้งนี้ดูท่วงทีชอบกล  เราจะคิดเป็นประการใด?  จึงจะได้ชัยชนะแก่ไทยได้”

          แสนท้าวพระยาลาวท้าวเพี้ยจึงพูดตอบว่า  “การทั้งนี้ก็สุดแท้ความคิดท่านผู้เป็นแม่ทัพใหญ่  จะบัญชามาประการใดพวกนายทัพนายกองทั้งหลายนี้  ก็จะปฏิบัติตามสั่งโดยสมควรแก่การศึก”

          ฝ่ายพระยาสุโภและชานนท์  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บัญชาการทัพนั้นจึงพูดขึ้นในท่ามกลางประชุมว่า

           “เราคิดว่าไทยยกทัพมาคราวนี้  เป็นการเร่งรุดรีบด่วนมาโดยเร็ว  อีกประการหนึ่งเล่า  ไทยยกขึ้นมาทางนี้ก็เป็นทางลำบากแก่ไพร่พลมาก  เพราะเป็นทางข้ามเขาและทางป่าไกลนัก  จะได้เสบียงอาหารบรรทุกโคต่างและช้างม้าขึ้นมามากน้อยสักเท่าใด  ก็พอจะคิดได้ไม่ผิดมากนัก  เราประมาณดูรี้พลในกองทัพไทย  กับเสบียงอาหารที่บรรทุกช้างและโคต่างมานั้น  จะทำการสักสามเดือนก็ไม่พอเลี้ยงกันเต็ม  ว่าช้าเดือนเศษจะหมดสิ้นเสบียงอาหารลง  กำลังกองทัพไทยก็จะหย่อนลงมาก  จะทำอะไรแก่เราได้เล่า  เพราะหมดเสบียงแล้ว  กับที่ไทยจะขึ้นมาส่งเสบียงอีกนั้นก็ไม่ได้  ด้วยเราแต่งกองทัพอันสำคัญไปตั้งจุกช่องกักด่าน  คอยตีกองลำเลียงไทยที่จะมาเพิ่มเติมกันนั้นก็ไม่ได้  อีกประการหนึ่งเวลานี้เล่า  กำลังไทยรื่นเริงหน้าทัพเพราะมีชัยชนะแก่ลาวมาหลายครั้ง  กำลังศึกยังกล้าหาญอยู่นักหนา  เราจะเข้าต่อสู้เวลานี้ยังไม่ได้  เราคิดว่าช่วยกันให้แข็งแรง  รักษาค่ายตั้งมั่นไว้สักเดือนเศษหรือครึ่งเดือน  แต่พอให้กองทัพไทยขาดเสบียงอาหารลงเมื่อใด  เราจึงจะได้ยกกองทัพออกโจมตี  จะมีชัยชนะแก่ไทยโดยง่าย”

          ฝ่ายแสนท้าวพระยาลาวก็เห็นชอบพร้อมกัน  ตามถ้อยคำและความคิดพระยาสุโภและชานนท์ทุกประการ  จึงได้ช่วยกันรักษาค่ายโดยมั่นคง


          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ มีรับสั่งให้มหาดเล็กขึ้นไปเชิญกรมหมื่นทั้งสองพระองค์ลงมาเฝ้าที่พลับพลาชัยในค่ายหลวง  แล้วทรงตรัสปรึกษาว่า

           “แต่กองทัพไทยยกขึ้นมาตั้งค่ายประชิดที่เขาสารช่องแคบช้านานถึงหกเจ็ดวันแล้ว  ไม่เห็นลาวจัดกองทัพออกมาตีเรา  ตามธรรมเนียมศึกใหญ่  ลาวนิ่งอยู่แต่ในค่ายหลายวันแล้ว  ดีร้ายลาวจะคิดกลอุบายสักอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น”

          กรมหมื่นทั้งสองพระองค์จึงกราบทูลว่า     “ถ้าจะนิ่งช้าอยู่  เห็นจะต้องด้วยอุบายลาวตามพระราชกระแสรับสั่ง  ขอพระราชทานพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม  มีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งพระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งหลาย   ให้ตระเตรียมการเข้าปล้นค่ายลาวให้แตกในสามวัน  ถ้าเนิ่นช้าพ้นไปสามวันก็เห็นว่าจะต้องถูกกลอุบายลาวเป็นแน่แท้  ไม่ควรจะนิ่งไว้ให้ช้าจนลาวคิดกลอุบายได้สำเร็จ”

          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ทรงเห็นชอบด้วยความคิดกรมหมื่นทั้งสองพระองค์แล้ว  จึงมีพระราชดำรัสให้หาเจ้าพระยา และพระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งปวง  ให้มาเฝ้าพร้อมกันในค่ายหลวง   จึงทรงจัดการทัพซึ่งจะยกเข้าปล้นค่ายลาวเจ้าอนุที่เขาสารนั้น


          - พร้อมโปรดให้กองทัพพระยาจ่าแสนยากร กับพระยามหาอำมาตย์  คุมพลทหาร ๑๕,๐๐ กองหนึ่ง
            ให้พระยากลาโหมราชเสนา กับพระยาศรีสรราช คุมทหาร ๑,๕๐๐ กองหนึ่ง    ทั้งสองกองนี้  เป็นทัพเอกยกเข้าปล้นค่ายพระยาสุโภ
          - โปรดให้พระยาราชโยธา กับพระยาเสนาภูเบศร์   คุมพลทหาร ๑,๕๐๐ กองหนึ่ง
            ให้พระยาบริรักษ์ราชา กับพระยาอัษฎาเรืองเดช  คุมพลทหาร ๑,๕๐๐ กองหนึ่ง    ทัพสองกองนี้เป็นทัพโทเข้าปล้นค่ายชานนท์
          - โปรดให้กองพระยาณรงค์วิชัย กับพระยาสุนทรสงครามสุพรรณบุรี  คุมพลทหาร ๑,๐๐๐  เป็นกองหนุนทัพเอก
          - โปรดให้พระยาอภัยสงครามกับพระยาพิชิตสงคราม  คุมพลทหาร ๑,๐๐๐  เป็นกองหนุนทัพโท
          - โปรดให้พระพิชัยสุรินทรา กับพระยานครา  พระยาพิพิธภักดี  คุมพลทหาร ๑,๐๐๐ เป็นกองเสริม   ถ้าเห็นว่าทัพใดล่าหย่อน  ก็จะได้ช่วยหนุนทัพนั้นบ้าง
          - โปรดให้พระยาสุรินทรราชเสนีคุมพลทหาร ๑,๐๐๐   โปรดให้พระยาสุเรนทรราชเสนาคุมพลทหาร ๑,๐๐๐    โปรดให้พระยาพิบูลย์สมบัติคุมพลทหาร ๑,๐๐๐    โปรดให้พระยาอร่ามมณเฑียรคุมพลทหาร ๑,๐๐๐    โปรดให้พระยาพิจิตรคุมพลทหาร ๑,๐๐๐    โปรดให้พระยานครสวรรค์คุมพลทหาร ๑,๐๐๐    ทั้ง ๖ กองนี้  โปรดให้ยกเข้าปล้นค่ายพระยามือไฟและพระยามือเหล็กและค่ายเชียงใต้และค่ายเชียงเหนือ  หรือค่ายเพี้ยท้าวพระยาลาว  ซึ่งได้ตั้งเป็นค่ายละเมาะติด ๆ ต่อ ๆ กันตามชายป่าเชิงเขาสารทุก ๆ ค่ายให้แตกพร้อมกัน


          แล้วโปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทัพอีก ๘ กองคือ  กรมอาสาญี่ปุ่น  และกรมอาสาวิเศษ กรมอาสาใหม่  กรมอาสาหกเหล่า  และกรมกองแก้วจินดา  กรมพันทนายเลือก  รวม ๘ กอง   มีพระยา, พระ, หลวง  เป็นนายทัพนายกอง   คุมพลทหารกองละ ๓๐๐ บ้าง  ๔๐๐ บ้าง   ยกระดมเข้าตีค่ายปีกกาลาวทุก ๆ ค่าย
          โปรดให้พระยาประกฤษณุรักษ์  กับพระยาพุทธราชาแม่กองข้างในกรุง  พระยาประสิทธิ์คชลักษณ์แม่กองข้างกองนอกเมืองนครราชสีมา  รวม ๓ นายคุมพลช้าง ๒๐๐ ยกไปทลายค่ายลาวที่เขาสาร  แต่ให้อยู่ในบังคับบัญชาพระยาจ่าแสนยากรและพระยากลาโหมราชเสนา
          แล้วโปรดให้หม่อมเจ้ากำภูฉัตรในเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา  เป็นแม่ทัพม้าคุมพลทหารม้า ๕๐๐   เป็นจเรทัพกองตราตราทัพทั้งหลาย
          แล้วโปรดให้พระวิชิตรณรงค์ข้าหลวงเดิมคุมพลทหาร ๕๐๐   ยกไปตั้งค่ายสกัดปิดต้นทางข้างเมืองเวียงจันทน์ไว้  อย่าให้ลาวไปมาหากันได้  ให้ตั้งค่ายปิดทางที่ตำบลทุ่งแค  ลาวชาวเวียงจันทน์เรียกว่า   ทุ่งคับแค......”

          * เฮ้อ....อ่านการจัดกองทัพกว่าจะเสร็จก็เหนื่อยเลย  ยกไปอ่านต่อกันวันพรุ่งนี้เถิดครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #20 เมื่อ: 31, มีนาคม, 2563, 10:21:01 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๑ -

ดำรัสสั่งวางแผนรบแน่นหนา
ได้เวลายกฮือโห่อื้อฉาว
เข้าตีค่ายเขาสารกันเกรียวกราว
พลไทยห้าวหาญฮึกข้าศึกกระเจิง

ค่ายเขาสารแตกยับแม่ทัพหนี
ไทยตามตีถึงเวียงจันทน์ถลันเหลิง
ยึดเมืองหลวงลาวไว้ได้สิ้นเชิง
อนุเริดเปิดเปิงไปก่อนแล้ว


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ผมได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ  เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงตรัสปรึกษากรมหมื่นสองพี่น้อง  เมื่อเห็นลาวไม่ยกออกรบ  ทุกพระองค์ทรงเห็นพ้องกันว่าลาวคงกำลังคิดวางกลอุบายอะไรอยู่  ควรเร่งยกเข้าตีค่ายเขาสารทันทีอย่าให้ลาวตั้งตัวได้  กรมพระราชวังบวรฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพนายกองยกพลเข้าตีค่ายลาวทุกทิศทุกทางโดยพร้อมเพรียงกัน......   วันนี้มาอ่านกันต่อครับ

           “ครั้นทรงจัดแจงแบ่งกองทัพปันหน้าที่ให้นายทัพนายกองทั้งหลายพร้อมเสร็จแล้ว  จึงมีพระราชกำหนดว่า


           “วันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์  ฤกษ์ดีในเวลาสิบนาฬิกา  ให้พระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งปวง  พร้อมใจกันยกทัพจู่โจมโถมเข้าหักค่ายปล้นค่ายลาว  ซึ่งตั้งอยู่ตามเขาสารช่องแคบให้แตกจงได้แต่ในวันเดียว  ผู้ใดล่าทัพถอยออกมา จะลงพระราชอาชญานายทัพนายกองที่ล่าออกมานั้น  โดยอย่างฉกรรจ์ตามบทกฎหมายพระอัยการศึก”


          ฝ่ายนายทัพนายกองทั้งหลาย  กราบถวายบังคมลาออกมาจากค่ายหลวง  และตระเตรียมการยุทธนาไว้พร้อมเสร็จตามตำราพิชัยสงคราม  ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์  ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องยามสิบนาฬิกา  ฝ่ายนายทัพทั้งปวงยกพลทหารโห่ร้องยกกองทัพเข้าปล้นค่ายลาวที่เขาสารทุก ๆ ค่าย

          ฝ่ายพระยาสุโภแลชานนท์แม่ทัพใหญ่เร่งให้พลทหารรับรองป้องกันเป็นสามารถ  ยิงปืนไฟ ปืนยา หน้าไม้ ออกมาดังห่าฝน  ไพร่พลกองทัพไทยตายลงมาก  ขณะนั้นทัพช้างฝ่ายลาวยกมาช่วยป้องกันค่ายหาทันท่วงทีไม่


          ฝ่ายทัพช้างยกเข้าทลายค่าย  พลทหารไทยมิได้ย่อท้อถอย  ยกหนุนเนื่องกันเข้าไป  ได้ทำลายล้างค่ายฟันค่ายปีนค่ายเย่อค่าย  บ้างก็ถอนขวากหนามทิ้ง  วิ่งเข้าค่ายได้ไล่แทงฟันลาวล้มตายเป็นอันมาก

          ฝ่ายพลลาวตกใจวิ่งแตกตื่นปะทะกันเป็นอลหม่าน  บ้างเหยียบกันตายก็มีที่ไม่ตายก็มาก  ที่แหกค่ายหนีไปได้บ้าง  แต่พระยาสุโภ แลชานนท์ เชียงใต้ นายทัพทั้งสามนั้น  พาพลทหารที่ร่วมใจกัน ๒๐๐ เศษ  ถืออาวุธสั้นสองมือฟันฝ่ากองทัพไทยแหกค่ายหนีไปได้ทั้งสามคน


          กองทัพไทยตีปล้นค่ายเขาสารได้ครั้งนั้น  พลลาวตายประมาณสองส่วน  ที่หนีเล็ดลอดไปได้ประมาณส่วนหนึ่ง  ที่กองทัพไทยจับเป็นได้ประมาณส่วนหนึ่ง   จับได้ช้างพลายพังระวางเพรียว ๒๖๗ ช้าง    ม้า ๕๔๘ ม้า    โคต่าง ๑,๔๐๐    เก็บได้เครื่องสรรพาวุธยุทธภัณฑ์  กระสุนดินดำ  และเสบียงอาหารพร้อมบริบูรณ์  ได้พระพุทธรูปทองคำในค่ายองค์หนึ่ง  ทองหนักเจ็ดตำลึงสองบาท  เป็นทองคำเนื้อเจ็ด สองขาพระเนตรฝังพลอยนิลทั้งสองข้าง ระหว่างพระอุณาโลมฝังพลอยทับทิมหลังเบี้ย  เท่าเมล็ดข้าวโพด  นั่งขัดสมาธิเพชร หน้าตักสามนิ้วสามกระเบียด (เห็นจะเป็นพระชัยวัฒนะพระชนมพรรษาของเจ้าอนุ)


          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ทรงกรำศึกกับลาวมีชัยชนะแก่ข้าศึกลาว  ตีได้ค่ายเขาสารแล้ว  จึงทรงแต่งหนังสือบอกข้อราชการซึ่งมีชัยชนะแก่ข้าศึกลาวและกิจราชการทั้งปวงในความที่ทรงดำรินั้นด้วยรวมลงในฉบับหนึ่ง  โปรดให้หลวงนายมหาใจภักดิ์ถือพลม้า ๑๕๐ ม้า  เชิญพระอักษรและหนังสือบอกลงมากราบบังคมทูลพระกรุณา ณ กรุงเทพฯ

          ครั้นรุ่งขึ้นอีกแปดวัน  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยานคราคุมพลทหารไทยห้าร้อย  ไล่ต้อนคุมครัวลาวเชลยที่ฉกรรจ์กับช้างดีม้าดีด้วย  ลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเป็นพระราชบรรณาการล่วงหน้ามาพลางก่อน


          ครั้นทรงจัดการที่ค่ายเขาสารเรียบร้อยเป็นปรกติแล้ว  โปรดให้เจ้าพระยาพระพิษณุโลกเป็นผู้คุมกองทัพหลังอยู่รักษาค่ายที่เขาสาร  ด้วยจะเสด็จพระราชดำเนินข้ามเขาสารต่อไปให้ถึงเมืองเวียงจันทน์  ฝ่ายนายทัพนายกองจึงจัดกระบวนทัพเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารค  เหมือนอย่างที่เสด็จพระราชดำเนินขึ้นมาจากค่ายทุ่งส้มป่อยนั้นทุกประการ  ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ทรงเครื่องสำหรับขัตติยราชรณยุทธเสร็จ  เสด็จขึ้นประทับอยู่บนเกยชัยคอยพระฤกษ์

          ฝ่ายกองทัพไทยซึ่งยกไปเป็นทัพหน้า ตีค่ายเขาสารแตกแล้วทุกตำบล  ทัพหน้ายกไปตามตีลาวที่แตกหนีไปบนเขาสารนั้น  กวาดต้อนจับได้ลาวมาเป็นอันมาก  บ้างก็ข้ามเขาสารลงไปตามที่เชิงเขาด้านตะวันออก  ถึงพื้นดินราบที่ตำบลนั้นชื่อพรานพร้าว  อยู่ริมฝั่งโขงตรงหน้าเมืองเวียงจันทน์ตรงข้ามกองทัพหน้า  ฝ่ายไทยไม่เห็นลาวตั้งค่ายรับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโขง  จึงได้มากราบทูลกรมหมื่นทั้งสองพระองค์  


          กรมหมื่นทั้งสองพระองค์รับสั่งให้นายทัพนายกองไปเที่ยวเก็บเรือใหญ่น้อยของลาวที่ทิ้งไว้ตามฝั่งและบ้านร้างได้มาหลายสิบลำ  จึงให้พลทหารไทยลงเรือ แล้วเสด็จลงเรือข้ามไปยังเมืองเวียงจันทน์  เสด็จเข้าไปประทับอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ก่อนทัพทั้งปวง  จึงทรงเก็บได้สรรพสิ่งของทองเงินเพชรพลอย  และเครื่องอัญมณีต่าง ๆ เป็นอันมาก  ซึ่งเป็นวัตถุของเจ้าอนุและญาติวงศานุวงศ์และแสนท้าว, พระยาลาว, ท้าวเพี้ย  ที่หนีไป  เก็บไม่ทันเหลืออยู่นั้นเป็นอันมาก  แล้วรับสั่งให้พลทหารไปตามจับช้างดีม้าดี ๆ ที่แตกฉานซ่านเซ็นอยู่ในเมืองแลนอกเมืองเวียงจันทน์  จับได้ช้างพลายพังระวางเพรียว ๑๔๖ ช้าง   ม้า ๔๔๐ ม้า   และโคกระบือพันเศษ   เครื่องสรรพาวุธยุทธภัณฑ์เป็นอันมาก พร้อมทั้งกระสุนดินดำด้วย  แล้วมีรับสั่งพระยาสุนทรสงครามผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณบุรี  ให้คุมไพร่พล ๑,๐๐๐ เศษ  ยกไปตั้งค่ายหลวงรับเสด็จพระพระราชวังบวรฯ ที่ตำบลพรานพร้าว  ริมฝั่งแม่น้ำโขง แปดค่าย  เพราะรี้พลที่ตามเสด็จพระราชดำเนินมานั้น  มากมายหลายพันคน

          ครั้งนั้น  พระณรงค์สงครามขึ้นม้าข้ามเขาสารกลับมายังค่ายหลวง  จึงเข้าเฝ้าหน้าเกยชัยเมื่อกำลังเสด็จประทับอยู่ที่นั้น  พระณรงค์สงครามกราบทูลว่า


           “กองทัพกรมหมื่นทั้งสองยกข้ามเขาสารลงไปถึงฝั่งพรานพร้าว  ไม่เห็นมีทัพลาวตั้งรับที่นั้น  จึงเสด็จลงเรือข้ามแม่น้ำโขงเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้โดยสะดวก  ในเมืองก็ไม่มีทัพลาวตั้งรับรบสู้รักษาเมืองเลย  พบแต่ครอบครัวลาวที่ชราแก่เฒ่าและป่วยไข้  กับที่ไม่สมัครใจไปด้วยเจ้าอนุก็มี  ได้ไต่ถามได้ความว่า  เจ้าอนุพาครอบครัวบุตรภรรยาญาติอพยพหนีไปอยู่เมืองญวนสองวันแล้ว  ไทยกองหน้าจึงเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้”


          * ก็เป็นอันว่าสงครามไทย-ลาว ยกแรกนี้  ทัพไทยสยบทัพลาวได้อย่างง่ายดาย  เพราะแม่ทัพใหญ่ฝ่ายลาว (เจ้าอนุ) ไม่คิดสู้  ตอนนี้ยึดกรุงเวียงจันทน์ได้โดยละม่อมแล้ว  ต่อไปจะจัดการกับลาวอย่างไร  อ่านต่อวันพรุ่งนี้เถิดครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #21 เมื่อ: 02, เมษายน, 2563, 10:33:43 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๒ -

กรมพะราชวังบวรเจ้า
ทรงข้ามเขาสารพลันผ่านเถื่อนแถว
ถึงพรานพร้าวริมโขงโล่งเนินแนว
ไร้วี่แววอริราชชาติศัตรู

ประทับนิ่งทอดพระเนตรนครใหญ่
มิข้ามไปเที่ยวเห็นความเป็นอยู่
ด้วยเคืองแค้นแน่นพระทัยไม่อยากดู
ตรัสสั่งหมู่พลเผดียงเผาเวียงจันทน์


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมหมื่นสองพี่น้องแม่ทัพหน้าไล่ตามตีทัพลาวข้ามเขาสารไปถึงพรานพร้าว  แล้วข้ามโขงไปในเมืองเวียงจันทน์ที่ว่างกองทัพลาว  เพราะเจ้าอนุพาครัวหนีไปแล้ว  จึงเก็บสรรพสิ่งของมีค่านานาที่พวกเจ้าอนุนำไปไม่หมด  เหลืออยู่จำนวนไม่น้อย  ให้พลเที่ยวตามจับช้างม้าวัวควาย  และอาวุธยุทธภัณฑ์ได้เป็นอันมาก  พระณรงค์สงครามขึ้นขี่ม้าจากพรานพร้าว  ข้ามเขาสารกลับเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ  ทูลความทุกสิ่งทุกประการให้ทรงทราบ..... วันนี้มาอ่านกันต่อครับ


           “ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงทราบข้อความตามพระณรงค์สงครามกราบทูลดังนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า     “ได้ข่าวศึกดังนี้ก็เป็นฤกษ์ดีอยู่แล้ว  ให้ลั่นฆ้องชัยดำเนินพลทหารยกข้ามเขาสารไปยังฝั่งแม่น้ำโขงเถิด”      โหรลั่นฆ้องชัยถวายพระฤกษ์เจ้าพนักงายิงปืนจ่ารงค์ขึ้นสามนัดเป็นสัญญา  พลทหาม้ากองหน้าดำเนินธงตรีธุชนำหน้ากระบวนไปก่อน  พลแสนเสนางคนิกรเดินทัพเป็นลำดับกันไปตามสถลมารค  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงช้างพระที่นั่งพังโกสุมเป็นพระคชาธาร  ผูกเครื่องมั่นกระโจมทองสี่หน้าหลังคาสี  พร้อมด้วยเสนีสี่ท้าวช้างจัตุรงคบาท  ยกพยุหะยาตราไปครั้งนั้น  มีช้างดั้งกันค้ำค่ายวงพังคาแซกแซง  ตามมหาคชพยุหะสงครามพร้อมเสร็จ  เสด็จพระราชดำเนินเป็นทัพหลวงจากค่ายเขาสารครั้งนั้น  สนั่นนฤนาทบันลือลั่นด้วยสรรพสำเนียงเสียงพลช้างพลม้าพลเดินเท้า  สะท้านสะเทือนท้องปัตพี  เสด็จประทับร้อนที่สิงขรเชิงผา  พักพลพอเข้าที่เสวยในที่นั้นเสร็จ  ก็เสด็จพระราชดำเนินต่อไปเป็นลำดับ  แล้วประทับที่พลับพลาชัยในค่ายใหญ่  ซึ่งกองหน้าแต่งตั้งไว้รับเสด็จที่ตำบลพรานพร้าวริมฝั่งแม่น้ำโขง


          ครั้งนั้นมิได้เสด็จไปทอดพระเนตรในเมืองเวียงจันทน์ด้วยกริ้วกราดเจ้าอนุมากนัก  แล้วมีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้พลทหารลงเรือข้ามฟากไปในเมืองเวียงจันทน์  ให้ตัดต้นไม้ที่มีผลสำหรับรับประทานได้นั้น  ตัดโค่นเสียสิ้น  แล้วให้ถ่ายเสบียงอาหารออกจากเมืองเวียงจันทน์  ขนมาไว้ในค่ายพรานพร้าวจนสิ้นเชิง  แล้วโปรดให้นำไฟเผาเมืองเวียงจันทน์เสียด้วย  แล้วโปรดให้พลทหารไปรื้ออิฐกำแพงเมืองเวียงจันทน์เสียรอบเมือง  เว้นไว้แต่วัดเท่านั้น

          ฝ่ายกองทัพเมืองเชียงใหม่  เมืองแพร่  เมืองน่าน  เมืองหลวงพระบาง  รวมรี้พล ๔ เมืองเป็นพลทหารถึง ๓๐,๐๐๐  ยกมาตามท้องตราที่เกณฑ์ขึ้นไปแต่ก่อน  มาถึงเมืองเวียงจันทน์พร้อมกันทั้ง ๔ เมือง  นายทัพนายกองทั้ง ๔ เมืองนั้นก็เข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ที่ค่ายพรานพร้าว


          ฝ่ายเจ้าอุปราชเมืองเวียงจันทน์นั้น  เมื่อตั้งอยู่ ณ เมืองยโสธร  กลัวพระยาราชสุภาวดีจะยกมาตีครอบครัวของเจ้าอุปราช  เจ้าอุปราชก็ยกหนีมาตั้งอยู่ที่เมืองหนองหาร  เพื่อจะระวังรักษาครอบครัว  ครั้นได้ทราบว่าเจ้าอนุหนีไปเมืองญวนแล้ว  บัดนี้ทัพหลวงก็มาตั้งอยู่ที่ตำบลพรานพร้าวแล้ว  เจ้าอุปราชจึงได้ยกมาที่พรานพร้าว  ขอต่อแม่ทัพไทยว่าจะมาสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว

          นายทัพไทยนำความขึ้นกราบบังคมทูลได้ทรงทราบแล้ว  โปรดให้เจ้าอุปราชเข้าเฝ้าที่หน้าพลับพลาชัยในค่ายหลวง  เจ้าอุปราชกราบบังคมทูลว่า   “เดิมเจ้าอนุจะเป็นขบถนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าได้พูดจาโต้ตอบทัดทานห้ามปรามหลายครั้ง  เจ้าอนุก็ไม่เชื่อฟัง  กลับโกรธพาลคิดจะฆ่าข้าพระพุทธเจ้าเสียอีก  ข้าพระพุทธเจ้ากลัวความตายก็ต้องยอมเข้าเป็นพวกขบถด้วย  พอให้พ้นภัยไปคราวหนึ่ง  เนื้อความข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้พูดกับพระสุริยะภักดี (ป้อม)  พระสุริยะภักดีได้แจ้งอยู่ในใจทุกประการแล้ว

          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ก็ทรงเห็นความจริงของเจ้าอุปราชด้วย  จึงโปรดให้ขุนนางผู้ใหญ่นำเจ้าอุปราชไปถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเสร็จแล้ว  ไม่ให้มีโทษ  โปรดให้ไปเกลี้ยกล่อมพวกลาวที่หนีไปอยู่ในป่าดงนั้นมารวบรวมไว้ในค่ายไทยโดยมาก


          ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูธร  พระยาเพชรพิชัย  พระยาไกรโกษา  ตีค่ายเจ้าราชวงศ์ที่เมืองหล่มสักแตกได้แล้ว  จึงได้ทราบข่าวว่าทัพหลวงก็ตีค่ายแตกทุก ๆ ตำบล  แล้วก็เสด็จไปประทับอยู่ที่ค่ายพรานพร้าว  จึงได้พร้อมใจกันทั้งสามพระยา  ยกตามเสด็จขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ใกล้พรานพร้าวรักษาค่ายหลวงด้วย  แล้วก็เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการที่ตีเจ้าราชวงศ์ในเมืองหล่มสักแตกหนีไปแล้วทุกประการ


          ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ มีจดหมายรับสั่งมาถึงกรมหมื่นสุรินทรรักษ์และกรมหมื่นรักษ์รณเรศร์ฉบับหนึ่ง  ให้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ใจความว่าดังนี้

           “ราชการซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้มาตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งนี้นั้น  ครั้นมาถึงตีได้เมืองเวียงจันทน์แล้ว  พิเคราะห์ดูการงานค่ายคูประตูหอรบที่พวกลาวตั้งรับรองตามทางตลอดมานั้น  เป็นท่าทางมั่นคงแข็งแรง  ทั้งลาวจัดแจงบ้านเมืองไว้รับรองสู้รบก็ดูเข้มแข็งเต็มทีที่จะเสียเปรียบมันมากนัก  และกำลังไพร่พลทแกล้วทหารของลาวก็เต็มใจสู้รบแทบจะทุกคน  เพราะลาวรักครอบครัวบ้านเมืองของลาว  และช้าง  ม้า  โค  กระบือ  ซึ่งเป็นพาหนะก็บริบูรณ์มาก  กับเสบียงอาหารหรือก็มีพร้อมเพรียง  ทางใกล้ไม่ต้องบรรทุกโคต่างช้างม้าส่งกันเช่นเราก็หาไม่  เป็นการได้เปรียบเราทุกประตู  เราได้เปรียบลาวอยู่สองอย่าง  คือลาวรีบด่วนหนีเสียเมื่อกำลังรี้พลยังไม่บริบูรณ์อย่างหนึ่ง  กับลาวหนีหรือลาวแตกที่ใด  ลาวไม่เผาเสบียงอาหารตามรายทางเสียเลยอย่างหนึ่ง  เหตุสองประการนี้จึงว่าไทยได้เปรียบลาวอยู่สองอย่างเท่านั้น  เมื่อนายทัพนายกองทแกล้วทหารไพร่พลฝ่ายไทยได้ทำการศึกสงครามฉลองพระเดชพระคุณครั้งนี้โดยเต็มกำลังและความคิดและฝีมือทุกคนอยู่แล้ว  แต่ว่าหาได้ด้วยความคิดและฝีมือแม่ทัพนายกองทแกล้วทหารไม่  ได้ด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวฝ่ายเดียว  ถ้าหากว่าจะละราชการคราวนี้ทำต่อปีหน้าแล้ว  คงจะได้ความลำบากยากแค้นแก่ไพร่พลยิ่งนัก  นี่เดชะพระบารมีเป็นมหามหัศจรรย์จึงได้ตีเวียงจันทน์ได้โดยง่ายโดยเร็ว  เพราะบุญบารมีเป็นที่ยิ่ง


          อนึ่ง กองทัพลาวพุงดำ ๕ หัวเมือง  ที่มีท้องตราไปเกณฑ์ให้ยกมาช่วยตีเมืองเวียงจันทน์นั้น  และทัพเมืองหลวงพระบางอีกเมืองหนึ่ง  เป็น ๖ เมืองด้วยกัน  ถ้าทัพไทยไม่ได้เมืองเวียงจันทน์  ก็หามีทัพเมืองใดมาถึงเมืองเวียงจันทน์ไม่  มีแต่จะคอยเก็บครอบครัว  ช้าง  ม้า  โค  กระบือ  อยู่ริมเขตแดนคอยท่วงทีไหวพริบ  ทำเป็นสองเงื่อนอยู่ทุกเมือง  แต่บัดนี้กองทัพลาวพุงดำและหลวงพระบางมาถึงเมืองเวียงจันทน์พร้อมกันหมดแล้ว  ได้ใช้สอยเป็นปกติบ้าง  แต่ว่าต้องขู่ต้องปลอบบ้าง  แต่พอเป็นกำลังได้  กับพิเคราะห์ดูน้ำใจแม่ทัพนายกองลาวทั้ง ๗ หัวเมืองอยู่  ยังไม่รู้ว่าจะปรวนแปรไปอย่างไรบ้าง
          แต่เมืองหลวงพระบางนั้นอ่อนน้อมเรียบร้อยราบคาบ
          แต่เมืองน่านนั้นเดิมมาถึงก็มีกิริยาไหวอยู่กว่าทุกเมือง  ตั้งทัพอยู่ห่างไกลเป็นที่ไม่ไว้ใจแก่ไทย  แต่เดี๋ยวนี้ค่อยเรียบร้อยลงบ้าง  ได้ไปมาหาสู่อยู่เสมอพูดจาค่อยฟังได้
          แต่เมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูนสองเมืองนี้   มีความกระด้างกระเดื่องในที  เมื่อเรียกตัวมาถามก็พูดว่า  สุดแล้วแต่เมืองนครลำปางจะทำอย่างไร ก็จะทำตามอย่างทั้งสองเมือง
          แต่เมืองแพร่นั้นก็เรียบร้อยแต่เดิมมาแล้ว  เดี๋ยวนี้พระยานครลำปางได้พูดจาชักโยงให้เมืองลาวพุงดำเหล่านั้นเป็นปรกติดีเรียบร้อยแล้วทุกทัพทุกกอง  แต่บรรดาแม่ทัพนายกองลาวพุงดำทุกเมือง  ได้มาสมัครสมานปรองดองคิดราชการต่อไป  การที่จะส่งครอบครัวเมืองเวียงจันทน์และจะรับตามเจ้าอนุให้ได้.......”

          * ข้อความในหนังสือกราบบังคมทูลฯ ฉบับนี้ยังยาวมาก  นำมาให้อ่านกันแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน  ข้อความที่กราบบังคมทูลเป็นเรื่องน่าเรียนรู้ไม่น้อยเลย  อย่างเช่นเรื่องกองทัพที่เกณฑ์จากหัวเมืองฝ่ายเหนือ (ลาวพุงดำ)  โดยเมืองน่าน  ลำพูน  เชียงใหม่ นั้น  กระด้างกระเดื่องต่อแม่ทัพใหญ่ไทย (กรมพระราชวังบวรฯ) ในแต่แรกที่ยกมาถึง  จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปกครองบังบัญชา

          เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ  พรุ่งนี้มาอ่านข้อความที่กรมพระราชวังบวรฯ กราบบังคมทูลข้อราชการศึกสงครามต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกันนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต

- หมายเหตุ (โดยผู้โพสต์) -

          “ลาวพุงดำ”  คือคำเรียกกลุ่มคนที่ผู้ชายนิยมสักลายจากขาเลยขึ้นไปถึงพุง ทำให้มองเห็นส่วนพุงเป็นสีดำเพราะลายสัก  เช่น ล้านนา เชียงใหม่ ลำพูน
          “ลาวพุงขาว”  เป็นคำเรียกกลุ่มคนที่ผู้ชายทำการสักขาตั้งแต่ใต้เข่าหรือเหนือเข่าขึ้นไปถึงต้นขาหรือขาส่วนบน แต่ไม่สักเลยขึ้นมาถึงพุงหรือเอว จึงยังคงมองเห็นผิวส่วนพุงเป็นเนื้อขาวอยู่เพราะไม่มีรอยสัก เช่น ล้านช้าง หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์




รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, กลอน123, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, น้ำหนาว, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #22 เมื่อ: 04, เมษายน, 2563, 10:19:29 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๓ -

กรมพะราชวังบวรเจ้า
ทรงข้ามเขาสารพลันผ่านเถื่อนแถว
ถึงพรานพร้าวริมโขงโล่งเนินแนว
ไร้วี่แววอริราชชาติศัตรู

ประทับนิ่งทอดพระเนตรนครใหญ่
มิข้ามไปเที่ยวเห็นความเป็นอยู่
ด้วยเคืองแค้นแน่นพระทัยไม่อยากดู
ตรัสสั่งหมู่พลเผดียงเผาเวียงจันทน์


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงมีหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานราชการศึกสงครามกับลาว  มีรายละเอียดดังที่ได้อ่านกันไปตอนหนึ่งแล้ว  ความยังไม่จบ  วันนี้มาอ่านความในใบบอก  หรือหนังสือกราบบังคมทูลฉบับนั้นกันต่ออีกตอนหนึ่งครับ

           “อนึ่ง  พระยานครลำปางคนนี้มีอัธยาศัยซื่อสัตย์สุจริตดีมาก  สมควรที่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมชุบเลี้ยงให้ใหญ่โตได้  ด้วยเห็นจะเป็นราชการยืดยาวต่อไปในพระราชอาณาเขมร


          อนึ่ง  จดหมายข้อราชการที่ทรงพระราชดำริ  ซึ่งโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้พระยาพิไชยวารี (โต) เชิญขึ้นมาส่งให้ที่ค่ายตำบลมองสองแต่ครั้งก่อนนั้น  ก็ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมทุกประการแล้ว  แต่จะตั้งใจอุตส่าห์ทำให้ได้อย่างพระราชดำริบ้าง  คงจะไม่ได้เต็มดังพระราชดำริบ้าง  พระราชอาชญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม  การซึ่งจะจัดการบ้านเมืองลาวหัวเมืองประเทศราชฝ่ายทางตะวันออกในครั้งนี้ให้เต็มดังพระราชดำรินั้น  เป็นการเปี่ยมสติปัญญาเต็มที  เป็นที่ยากเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่แล้ว  ถ้าจะคิดรบคิดตีบ้านเมืองอื่น ๆ อย่างเช่นเมืองเวียงจันทน์นี้  มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสักสองเมืองสามเมือง  เห็นจะง่ายกว่าที่จะจัดการบ้านเมืองเวียงจันทน์ครั้งนี้  ไม่ให้เป็นที่ขาดทุนรอนพระราชทรัพย์ของหลวงนั้นเป็นการยากสุดสติปัญญาแล้ว  ทำได้แต่จะต้องผ่อนปรนไปตามกาลตามสมัย  ถึงจะตีบ้านเมืองเปล่านี้ได้  จะได้ครอบครัวมากสักเท่าใด ๆ ก็คงไม่มีกำไรหรือเสมอตัวก็ไม่ได้  เพราะมารบมาตีแก่บ้านเมืองไพร่พลในอาณาเขตของเราเองทั้งสิ้น  หัวเมืองเหล่านี้ก็เป็นที่กันดารขัดสนยากจนทั้งนั้น  ตีได้ก็ไม่พอกับโสหุ้ยทัพ  ทำได้แค่เพียงรักษาเกียรติยศเขตแดนไว้  ไม่ให้นานาประเทศล่วงมาหมิ่นประมาทดูถูกดูแคลนได้ก็พอดีอยู่แล้ ว กับจะคิดได้อีกอย่างหนึ่ง  ถ่ายครอบเทครัวพาคนลงไปไว้ตามหัวเมืองที่ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ ให้มากพอเป็นกำลังแก่พระนคร  จะได้ให้รับใช้รับเกณฑ์ราชการกรุงบ้าง  คิดได้แต่เพียงเท่านี้เป็นอย่างเอกอยู่แล้ว  พ้นกว่านี้จะคิดไม่ได้คิดไปไม่ถึง  พระราชอาชญาเป็นล้นกล้าล้นกระหม่อม

          อนึ่ง  หัวเมืองลาวฝ่ายริมหัวเมืองเขมรป่าดงนั้น ๆ เล่า  เจ้าเมืองและบุตรหลานญาติเชื้อสายเจ้านาย  ก็ล้มตายขาดสูญเชื้อสายไปมาก  ท้าวเพี้ยผู้ใหญ่ผู้น้อยก็หนีหายล้มตายเป็นอันมากเหมือนกัน  แต่ไพร่พลเมืองตามหัวเมืองเหล่านั้นเล่า  ถ้าจะคิดศิริดูเมืองหนึ่งก็จะได้ไพร่พลกึ่งหนึ่งบ้าง  ไม่ถึงกึ่งบ้าง  เพราะถูกรบล้มตายหนีหายไปในทิศต่าง ๆ บ้าง  ถ้ามีราชการเกี่ยวข้องในหัวเมืองเหล่านั้นแล้ว  จะใช้คนไปมาถึงกันและกัน  ระยะทางก็ห่างไกล  กว่าจะได้รู้ราชการก็ช้านานนัก  เกือบจะเสียการ  บางทีเสียการไปแล้วจึงรู้การเมื่อกาลล่วงไปแล้ว  ถ้าเป็นฤดูฝนจะใช้คนเดินไปมาหากันก็ไม่ใคร่จะได้  ขัดด้วยการหลายอย่าง  เป็นการที่มีความขัดข้องดังนี้  ซึ่งจะทำให้ราชการเร็วตามความประสงค์ไม่ใคร่จะได้


          อนึ่ง  ได้มีท้องตราพระราชสีห์วังหน้าบังคับบัญชาทอดธุระมอบราชการไปให้พระยาราชสุภาวดีประจำอยู่แรมปี  ให้จัดการบ้านเมืองให้ได้ราชการบ้าง  ให้จัดแจงบ้านเมืองจำปาศักดิ์และเมืองลาวต่าง ๆ เมืองเขมรป่าดงให้ราบคาบเรียบร้อย  ตามท้องตราพระราชสีห์วังหลวงที่โปรดเกล้าฯ มานั้นบ้าง

          อนึ่ง  ทางเมืองหล่มสัก  ทางเมืองหล่มเลยเหล่านั้นเล่า  จะให้พระยาเพชรพิชัยและพระยาสมบัติธิบาลสองนายเป็นผู้ไปจัดการบ้านเมืองลาวแถวเหล่านั้นให้เรียบร้อยดี  แต่จะให้กลับไปเมืองหล่มเลยในฤดูฝนนี้  ก็เห็นว่าทางกลางป่ามีความเจ็บไข้ร้ายแรงนัก  จึงให้รอไว้ต่อตกแล้งสักหน่อยจึงจะให้ไปจัดการบ้านเมืองหล่มเลย  ก็พอจะทันการได้  เห็นจะหาเป็นไรไม่


          แต่ราชการข้างเมืองเวียงจันทน์นั้นเล่า  เมื่อเจ้าอนุหนีออกไปจากเมืองเวียงจันทน์นั้น  วันเดียวกันกับกองทัพไทยฝ่ายหน้าตีค่ายลาวที่ทุ่งส้มป่อยแตก  กว่ากองทัพไทยจะยกขึ้นไปถึงค่ายลาวเขาสาร  ยกเข้าปล้นตีลาวแตกก็หลายวัน  จึงได้ยกข้ามเขาสารต่อไปถึงเมืองเวียงจันทน์  เมืองเวียงจันทน์กับเขาสารระยะทางห่างกันห้าวัน  ถ้าคิดแต่วันที่เจ้าอนุหนีไปจากเมืองเวียงจันทน์ในวันพร้อมกับกองทัพไทยตีค่ายทุ่งส้มป่อยได้  เป็นหลายวันสักเจ็ดวันแปดวัน  เจ้าอนุจึงหนีห่างไกลไปจากเมืองเวียงจันทน์ได้ถนัด  เหตุนี้นายทัพนายกองไทยจึงตามจับเจ้าอนุไม่ทันท่วงที  ซึ่งเจ้าอนุข้าศึกตัวสำคัญหนีไปได้  พระราชอาชญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมตกอยู่กับแม่ทัพหลวงและนายทัพนายกองทั้งสิ้น  แล้วแต่จะทรงกระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  ถึงได้เมืองเวียงจันทน์ครั้งนี้นับว่าได้แต่เปลือกเมืองเปล่า  สิ่งของครอบครัวไปเมืองเวียงจันทน์เจ้าอนุเก็บไปทั้งสิ้น  เพราะไปเรือ  จึงบรรทุกของดีไปได้มาก  เครื่องศาสตราวุธที่ในเมืองนั้น  สืบทราบว่าเจ้าอนุทิ้งน้ำเสียหมด  ทั้งพระพุทธรูปที่สำคัญ ๆ ก็ทิ้งน้ำเสียบ้าง  แต่กำลังสืบเสาะตามค้นหาอยู่ทุกแห่งทั้งในน้ำและบนบกด้วย  ยังหาอยู่  ถ้าได้เมื่อใดจึงจะมีใบบอกมาครั้งหลัง


          บัดนี้ครอบครัวลาวก็ยังกำลังปะปนกันอยู่กับครอบครัวเมืองนครราชสีมา  เมืองสระบุรี  เมืองหล่มสัก  และหัวเมืองลาวตามลำแม่น้ำโขง  และเมืองเขมรป่าดงตะวันออกด้วย  ซึ่งจะเลือกคัดแต่ครัวเวียงจันทน์โดยเร็วนั้นหาได้ไม่  เพราะปะปนอยู่กับเมืองเหล่านั้นหาความผิดมิได้  จะต้องเลือกแต่ครัวเวียงจันทน์แท้ ๆ  

          อีกประการหนึ่งครัวเวียงจันทน์ที่หนีไปอยู่ในป่า  ถ้ากองทัพกรุงยกไปติดตามน้อยตัว  ครัวมากกว่าก็จะต่อสู้แข็งแรง  ถ้าทัพกรุงยกไปติดตามโดยมาก  พวกครัวน้อยก็จะหนีเข้าป่าไปเสีย  บางทีได้มาบ้างแต่คนแก่ชราหนีไปไม่พ้น  บางทีนายทัพนายกองไทยที่เข้มแข็ง  ไปกวาดต้อนครัวลาวมาได้ ๓๐๐ คนบ้าง ๒๐๐ คนบ้าง  จะเลือกคนที่ฉกรรจ์แต่สักเก้าคนสิบคนก็ไม่ใคร่จะได้  ถ้าพวกกองทัพลาวพุงดำยกไปเกลี้ยกล่อมในป่า  ถึงไปน้อยก็ได้ครอบครัวเวียงจันทน์มามาก  ด้วยเป็นลาวเหมือนกันครัวหาต่อสู้รบไม่  มาเลือกคนฉกรรจ์ก็ได้มาก

          ครั้นจะคิดให้ตั้งเมืองเวียงจันทน์ไว้ให้เป็นที่เกลี้ยกล่อมครอบครัวก่อน  ก็หาผู้ใดที่จะอยู่ดูแลรักษาบ้านเมืองเป็นที่ไว้ใจได้ก็ไม่มีเลย  ครั้นจะให้พวกเมืองหลวงพระบางอยู่รักษา  แต่กำลังหลวงพระบางเมืองเดียวก็ไม่ได้  เพราะยังไม่ได้ตัวเจ้าอนุ  เจ้าปาสัก  เจ้าราชวงศ์  เจ้าสุทธิสาร  เจ้าโถง  ซึ่งเป็นคนแข็งแรงในการศึกมาก  เห็นว่าแต่กำลังหลวงพระบางเมืองเดียวจะรับพวกอ้ายเหล่าร้ายไม่ได้
 

          ครั้นจะให้กองทัพไทยอยู่ช่วยเกลี้ยกล่อมครัวลาว  ครัวลาวก็ไม่ไว้ใจแก่ไทยเลย  เพราะเหตุนี้จึงมีคำสั่งให้ทำลายล้างเมืองเวียงจันทน์ให้สิ้นเชิง  จะได้เป็นการสิ้นอาลัยของอ้ายพวกเหล่าร้าย  ที่จะหมายมาตั้งบ้านเมืองนครลำปางบ้าง  เมืองนครเชียงใหม่บ้าง  เมืองนครลำพูนบ้าง  เมืองแพร่บ้าง  แต่ไปทางเมืองหลวงพระบางนั้นเป็นอันมาก  ไปถึงบ้านเมืองเหล่านั้นแล้ว  ก็มีบ้างที่ตกเรี่ยเสียหายอยู่ตามทางเมืองนั้น ๆ ก็มีบ้าง  ที่ไปไกลถึงเขตแดนเมืองญวนนั้นก็มีเห็นจะสูญ  แต่ที่ตกไปถึงลาวพุงดำที่ว่ามาข้างบนนั้น  ครั้นจะชำระเรียกครอบครัวเวียงจันทน์คืนกลับมา  ก็เห็นจะต้องกดขี่หัวเมืองลาวพุงดำเหล่านั้นให้ถึงขนาดจงหนัก  จึงจะได้ครัวคืนมา  ถ้าทำดังนั้นหัวเมืองลาวพุงดำซึ่งเป็นเขตแดนพระราชอาณาจักรกรุงเทพฯ ก็จะช้ำชอก  ได้รับความเดือดร้อนเสียใจมากนัก  แต่จะต้องคิดผันผ่อนปลอบโยนโดยดี  ควรได้คืนมาบ้างก็จะได้  ถ้าไม่ได้ก็แล้วไป  นึกว่าฝากไว้บ้านเมืองของเราเอง  ดีกว่าจะไปทางเมืองญวนและทางเมืองจีนฮ่อนั้นจะสูญเสียเปล่า ๆ  ไม่มีประโยชน์อันใด....”

          * ให้อ่านใบบอกหนังสือกราบบังคมทูลข้อราชการศึกสงครามเวียงจันทน์จบไปอีกตอนหนึ่ง  พรุ่งนี้อ่านตอนที่ยังเหลืออยู่ต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, กลอน123, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #23 เมื่อ: 05, เมษายน, 2563, 10:28:28 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๔ -

กรมพะราชวังบวรเจ้า
ทรงข้ามเขาสารพลันผ่านเถื่อนแถว
ถึงพรานพร้าวริมโขงโล่งเนินแนว
ไร้วี่แววอริราชชาติศัตรู

ประทับนิ่งทอดพระเนตรนครใหญ่
มิข้ามไปเที่ยวเห็นความเป็นอยู่
ด้วยเคืองแค้นแน่นพระทัยไม่อยากดู
ตรัสสั่งหมู่พลเผดียงเผาเวียงจันทน์


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงมีหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานราชการศึกสงครามกับลาว  มีรายละเอียดดังที่ได้อ่านกันไปสองตอนแล้ว  แต่ความยังไม่จบ  วันนี้มาอ่านความในใบบอก  หรือหนังสือกราบบังคมทูลฉบับนั้นกันต่ออีกตอนหนึ่งดังต่อไปนี้ครับ


           “อนึ่ง  คิดประมาณพลเมืองเวียงจันทน์  และหัวเมืองขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์  คิดแต่ที่ฉกรรจ์สักแปดหมื่นเศษหรือแสนเศษเหล่านั้น  ถ้าบ้านเมืองเวียงจันทน์เป็นปรกติดีอยู่  ถ้าจะกะเกณฑ์รี้พลลาวเป็นกองทัพใหญ่ให้ลงไปกรุงเทพฯ  หรือจะเกณฑ์ไปที่ไหน ๆ  คงจะได้รี้พลแต่เพียงแปดพันเก้าพัน  หรือหมื่นหนึ่ง  ถ้าจะกดขี่ให้ได้มากก็เพียงสองสามสี่หมื่นเท่านั้นเป็นเต็มว่าได้มากเต็มที่  เพราะคนจากบ้านจากเมืองไปไกล  เจ้าอุปราชเป็นคนเกียดกันหวงแหนไพร่พลอยู่ด้วย  แต่กำลังกองทัพไทยจะเร่งรัดกวาดต้อนครอบครัวเวียงจันทน์  คนลาวที่ฉกรรจ์ให้ได้หมื่นหนึ่ง  จนถึงเดือนห้าปีหน้าก็ไม่สำเร็จ  ถึงมาทว่าจะได้ครัวเวียงจันทน์ในระหว่างปีนี้  จะต้อนครัวลงไปกรุงเทพฯ ก็ยังไม่สะดวก  เพราะด้วยจะไปทางเมืองนครราชสีมา  เมืองนครราชสีมายังยับเยินป่นปี้มาก  ขัดเสบียงอาหารมาแต่ปีกลายแล้ว  ปีนี้ก็ไม่ได้ทำไร่ทำนา  จะหาอะไรมาเลี้ยงครัวเล่า  จะรีบเดินครัวเวียงจันทน์ลงไปให้สิ้นเชิงในฤดูนี้ไม่ได้  ขัดสนด้วยเสบียงอาหารจะไม่พอเลี้ยงครัวลาว  ครั้นจะรออยู่แรมปีจนฤดูแล้งหน้า  จึงจะต้อนครัวลาวลงไป  ก็เห็นว่าข้าวเปลือกตามหัวเมืองรายทางก็จวนจะหมดอยู๋แล้ว  จะไม่พอเลี้ยงครัวลาว  แต่กองทัพไทยที่จะยกลงไปกรุงเทพฯ จะรับพระราชทานก็จะไม่พอจ่ายทั่วทุกทัพทุกกอง  กำลังราชการก็จะหย่อนลงมาก  เพราะเกียติยศแผนดินก็จะเสียไป  หัวเมืองประเทศราชก็จะเห็นกำลังกรุงเทพฯ เสียด้วย  ก็จะหมิ่นประมาทพระราชอำนาจแผ่นดินไทยได้ต่าง ๆ นานา  เพราะข้าวปลาอาหารไม่พอเพียงเลี้ยงผู้คนในกองทัพไทย


          อนึ่ง  ทุกวันนี้ที่กองทัพกรุงและหัวเมืองซึ่งมารับราชการอยู่พร้อมกันนั้น  อดอยากเจ็บไข้ล้มตายก็มาก  ถึงเช่นนั้นกองทัพไทยเราเห็นใจกันครั้งนี้  ว่ารักใคร่กันมากตามความอดอยาก  ก็มานะสะทะ  คิดการที่จะให้เป็นพระเกียรติยศแก่บ้านเมืองไทย  และคิดที่จะฉลองพระเดชพระคุณกวาดต้อนคนฉกรรจ์เวียงจันทน์ลงไปทูลเกล้าทูลกระหม่อม  ถวายให้ได้สักหมื่นเศษก่อนในต้นฤดูฝนนี้ให้จงได้  แต่ครัวที่ตกอยู่ตามหัวเมืองเขมรป่าดงนั้น  เสมือนหนึ่งฝากไว้ให้เลี้ยงไปก่อน  ต่อฤดูแล้งหน้าจึงจะคิดคืนมาให้ได้บ้าง  นอกจากจำนวนหมื่นที่ส่งลงไปครั้งนี้  เหตุทั้งนี้จึงได้พูดกับหัวเมืองลาวพุงดำและพระบางที่ยกทัพมาล่าไม่ทันราชการทั้ง ๖ เมืองนั้น  ปรับโทษหัวเมืองทั้งหกว่า  มาตีเวียงจันทน์ไม่ทันทัพหลวง  มีความผิดมาก  ตกอยู่ในระหว่างเป็นกองทัพ  มีโทษตามบทกฎหมายพระอัยการศึก


          ฝ่ายพระยานครลำปาง,  พระยาน่าน,  พระยาแพร่,  พระยาอุปราชเชียงใหม่,  พระยาอุปราชลำพูน,  เจ้าอุปราชหลวงพระบาง  และแสนท้าวพระยาลาวนายทัพนายกองทั้ง ๖ เมือง  เข้าชื่อกันทำเรื่องราวสารภาพรับผิดถวายแม่ทัพหลวง  ขอพระราชทานทำการฉลองพระเดชพระคุณแก้ตัวต่อไป  รับอาสาจะติดตามจับตัวเจ้าอนุ  และเจ้าปาศักดิ์  เจ้าราชวงศ์  เจ้าสุทธิสาร  เจ้าโถง  เจ้าหน่อคำ  และบุตรภรรยาญาติเจ้าอนุ  มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้ได้  ถึงมาทว่าจะมิได้ตัวกบฏเหล่าร้ายเหล่านี้กลับมาตั้งที่บ้านเมืองให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไปได้  หัวเมืองทั้งหกจะคิดกวาดต้อนครอบครัวลาวเวียงจันทน์ส่งลงไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  จะให้ได้สักสองสามหมื่นแต่พื้นที่เป็นคนฉกรรจ์  รวมทั้งครอบครัวเข้าด้วย  คงให้สักเจ็ดหมื่นแปดหมื่นเหล่านั้น  จะทูลขอแต่กองทัพไทยและและข้าราชการผู้ใหญ่ไว้สัก ๒ คน  พลทหารสักพันหนึ่งหรือห้าร้อยคน  พอจะได้ตัดสินว่ากล่าวหัวเมืองอย่าให้วิวาทกันได้
          แต่กองทัพพระยานครลำปาง  พระยาน่าน  พระยาแพร่  พระยาอุปราชลำพูน  พระยาอุปราชเชียงใหม่  เจ้าอุปราชหลวงพระบาง  รวมไพร่พลทั้ง ๖ หัวเมือง  เป็นคน ๑๔,๐๑๑  คน  ที่จะอยู่แรมปีจัดครัวเวียงจันทน์ส่งไปกรุงเทพฯ กว่าจะสำเร็จราชการ  ขอเชิญเสด็จทัพหลวงกลับกรุงเทพฯ แต่จะขอส่งครัวเวียงจันทน์ให้ทันทัพหลวงกลับนี้สักสวนหนึ่ง  จะขอค้างไว้ส่งต่อฤดูแล้งหน้าสองส่วน (หมดข้อความสารภาพหัวเมืองลาวพุงดำ ๕ เมือง  ลาวพุงขาว ๑ เมือง  รวมเป็น ๖ หัวเมืองด้วยกันเท่านี้)

          อนึ่ง  ทัพหลวงขึ้นมาพร้อมด้วยญาติวงศานุวงศ์พระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทั้งปวงนั้น  พร้อมกันตั้งใจทำราชการฉลองพระเดชพระคุณครั้งนี้มิได้คิดแก่เหนื่อยยากลำบากเลย  คิดจะอยู่ค้างปีต่อไปอีกให้สำเร็จการงานที่เมืองลาวนี้ให้สิ้นเชิง  แต่ว่าหัวเมืองลาวทั้งหกเขาขอให้กลับ  จึงได้บอกลงมายังกรุงเทพฯ

          อนึ่ง  ครัวและฉกรรจ์ที่นายทัพนายกองจับได้บ้าง  และครัวฉกรรจ์ที่หัวเมืองทั้งหกจะส่งลงไปบ้าง  รวมกันเป็นครัวมากอยู่เกือบหมื่นคน  แต่เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า  เสบียงอาหารตามหัวเมืองไทยรายทางที่จะเดินครัวลาวลงไปนั้น  พาลอยู่ข้างจะหวุดหวิดไม่พอเลี้ยงครัว  กองทัพกรุงที่จะลงไปครั้งนี้ก็จะไม่ได้รับพระราชทานเป็นกำลังราชการลงไป


          บัดนี้ขอพระราชทานได้ทรงมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  ให้มีข้าหลวงผู้ใหญ่อีกสักสี่ห้านาย  มาถ่ายเสบียงอาหารที่กรุงเทพฯ จ่ายเสบียงเลี้ยงครัวตามรายทาง  ตั้งแต่เมืองสระบุรี  ตลอดขึ้นไปถึงเมืองชัยบาดาล  เมืองเพชรบูรณ์และเมืองนครราชสีมาด้วย  แต่ทางเหนือนั้นได้มีตราสั่งไปถึงเมืองพิชัย  เมืองพิจิตร  เมืองสวรรคโลก  และเมืองเหนือนั้น  ให้ส่งเสบียงมาเลี้ยงหัวเมืองทั้งหกที่อยู่รับราชการที่เมืองเวียงจันทน์ด้วย  แต่ทางเมืองเหนือนั้นเห็นทีจะส่งขึ้นไปยาก  เพราะทางไกล  ที่ทางใกล้ก็ข้าวปลาอาหารหมดสิ้น  เพราะรับราชการมาช้านานแล้ว  และไม่ได้ทำไร่นา  จึงขัดสนข้าวปลาอาหาร

          อนึ่ง  ถ้าราชการตีอ้ายพระยาเชียงสา  และเมืองสกลนครเป็นประการใด  เป็นที่ไว้วางใจแก่แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ได้แล้ว  เห็นว่าข้าศึกเบาบางลงบ้าง  ควรทัพหลวงจะกลับได้ก็จะกลับลงมาจากเมืองเวียงจันทน์  จะได้ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพฯ แต่ ณ เดือนแปดกลางเดือน  อยู่ที่เมืองเวียงจันทน์เป็นการห่างไกลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  จึงมิได้กราบบังคมทูลพระกรุณาชี้แจงให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  กรมหมื่นสุรินทรรักษ์  กรมหมื่นรักษ์รณเรศร์  อยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นการใกล้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ขอให้ท่านทั้งสองกราบบังคมทูลพระกรุณา  ให้ทรงทราบการที่ห่างไกลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โดยอย่างที่ชี้แจงมานี้

          อนึ่ง  ได้ทำราชการครั้งนี้คงคิดไม่ให้เสียราชการ  เมื่อไรได้ลงไปเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท  จึงจะกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อพระโอษฐ์ด้วยข้อราชการที่สำคัญให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ

          อนึ่ง  บาญชีรายครอบครัวกับสิ่งของซึ่งได้ไว้ในคราวศึกเวียงจันทน์  ในใบบอกและหางว่าวที่ลงมาในท้ายใบบอกครั้งนี้  จะถือเป็นแน่ยังไม่ได้  ด้วยเป็นการประมาณ  ยังไม่ได้ตรวจตราสอบสวนลงเป็นแน่ได้  เพราะยังกำลังให้ชำระสืบสวนเก็บรวบรวมต่อไปยังมีมาก  ถ้าได้ครอบครัวและคนฉกรรจ์  หรือสิ่งของอีกภายหลังมากน้อยเท่าใด  จึงจะทำบาญชีเป็นแน่ทั้งเก่าใหม่  ส่งลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้สิ้นเชิง  จะไม่ปิดบังแบ่งไว้เป็นของในพระราชวังบวรฯ เลย  ถ้าลงมาถึงกรุงเทพฯ จึงจะกราบบังคมทูลพระกรุณา  ขอรับพระราชทานเป็นส่วนแบ่งปันบ้าง  แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  พระราชทานให้ได้เท่าใดก็จะได้แต่เท่านั้น......”

          * อ่านความในใบบอกตอนนี้แล้วรู้สึกอย่างไรครับ  ดูเหมือนจะได้ความรู้เพิ่มเติมเข้ามาอีกว่า  เมืองเลยหรือจังหวัดเลยในปัจจุบันนี้  สมัยก่อนมาถึงรัชกาลที่ ๓  มีนามว่า  “หล่มเลย”  เป็นคู่กับเมือง  หล่มสัก  เรียกกันสั้น ๆ ว่า  “เมืองหล่มเมืองเลย”

          การกวาดต้อนครัวเชลยก็นับว่ายากแล้ว  แต่การนำครัวเชลยเดินทางเข้ากรุงนี้ยุ่งยากมากกว่านักเชียว ที่ สำคัญคือเสบียงอาหารที่จะเลี้ยงดูเชลยเหล่านั้น  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงคิดได้รอบคอบมาก

          ความในใบบอก  ยังไม่จบ  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่ออีกตอนหนึ่งนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, กลอน123, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #24 เมื่อ: 06, เมษายน, 2563, 11:15:18 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๕ -

กรมพะราชวังบวรเจ้า
ทรงข้ามเขาสารพลันผ่านเถื่อนแถว
ถึงพรานพร้าวริมโขงโล่งเนินแนว
ไร้วี่แววอริราชชาติศัตรู

ประทับนิ่งทอดพระเนตรนครใหญ่
มิข้ามไปเที่ยวเห็นความเป็นอยู่
ด้วยเคืองแค้นแน่นพระทัยไม่อยากดู
ตรัสสั่งหมู่พลเผดียงเผาเวียงจันทน์


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงมีหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานราชการศึกสงครามกับลาว  มีรายละเอียดดังที่ได้อ่านกันไปสองตอนแล้ว  แต่ความยังไม่จบ  วันนี้มาอ่านความในใบบอก  หรือหนังสือกราบบังคมทูลฉบับนั้นกันต่อจนจบ  แล้วอ่านเรื่องราวต่อไปครับ


           “อนึ่ง  ช้างพลายพังที่ตีได้ตามค่ายรายทางของลาวนั้น  เลือกแบ่งแต่ที่รูปร่างงามดี ๑๑๐ ช้าง  บรรทุกดินดำ  ให้หลวงนายศักดิ์ นายเวรมหาดเล็ก กับจมื่นทิพเสนา  คุมลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายทั้งคนทั้งช้างก่อน  ให้กรมหมื่นรักษ์รณเรศร์รับช้างและคนปรนปรือไว้ใช้ราชการไปพลางก่อน  ถ้าได้ลงไปครั้งนี้จะหาช้างพลายพัง  ลงไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีก  จะได้ไว้ใช้ราชการสำหรับแผ่นดินด้วย  คงจะให้ได้ลงไปครั้งนี้อีก ๑,๒๐๐ ช้าง  หรือ ๑,๓๐๐ ช้างเป็นแน่  แต่ม้านั้นยังเที่ยวเก็บหาได้น้อยนัก  เพราะจะหาม้าที่ดีที่งามให้ได้มากด้วย  หายังไม่ได้มาก  แต่คงจะหาม้าลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายไว้ใช้ราชการสำหรับแผ่นดินให้ได้สัก ๕,๐๐๐ ม้า  คงจะหาทั้งช้างทั้งม้าให้ได้สิ่งละหลายร้อยหลายพัน  แต่เดี๋ยวนี้จะกำหนดว่ามากแลน้อยยังไม่ได้  เพราะกำลังตามหาอยู่  เพราะไพร่พลเมืองลาวพาช้างและม้าที่ดี ๆ ไปซ่อนเสียที่ในบ้านป่า  ที่ไกลตามหายาก

          อนึ่ง  ปืนใหญ่ที่ได้มาตามค่ายลาวที่ในเวียงจันทน์นั้น  ครั้นจะบรรทุกลงมากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้  เพราะช้างทนไม่ไหวด้วยทางไกล  ครั้นคิดจะทำตะเข้ไม้ชักลากลงมา  ก็เป็นฤดูฝนตก  ทางลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นโคลนลากมาไม่ได้  ครั้นจะค้างไว้ตามหัวเมืองลาวก็ไม่ไว้ใจแก่ราชการ  เพราะเป็นเครื่องอาวุธใหญ่อยู่ด้วย  ปืนใหญ่เหล่านั้นรูปร่างจะหางามสักกระบอกเดียวก็ไม่มี  รูปร่างคล้ายกับเทียนเข้าพรรษา  เป็นปืนหลักทุกบอกไม่มีล้อที่จะลากได้  ดูเร่อร่าน่าเกลียดนัก  พระราชทานพระบรมราชานุญาต  ให้ย่อยเนื้อทองสัมฤทธิ์บ้าง  ทองเหลืองบ้าง  บรรทุกช้างลงไปกรุงเทพฯ  แล้วจึงจะคิดหล่อปืนใหญ่ใช้เป็นรูปงาม ๆ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใช้แทนที่ทำลายเสียนั้น  กำหนดจะได้เดินครอบครัวลงมาอีกตามหลังหลวงนายศักดิ์ลงมา  จะจัดให้เดินเนื่อง ๆ กันจนสิ้นฤดูฝนนี้


          อนึ่ง  นายทัพนายกองไทยที่ทำราชการศึกครั้งนี้  ที่ดีก็มีบ้างแต่น้อยตัว  ที่ชั่วก็มีบ้าง  ถ้าแม้นจะลงโทษนายทัพนายกองของเรามีตามอาชญาศึกแล้ว  ก็เห็นว่าจะเปลืองคนนัก  จะไม่มีคนใช้สอยพอกับราชการทางไกล  ต้องอดเอาเบาสู้ไปตามทางกันดาร  การนั้นก็หากสำเร็จไปได้คราวหนึ่ง  ไม่เสื่อมเสียพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวของเรา  ก็เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมนายทัพนายกองอยู่ทุกคน  จึงทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ ได้ชัยชนะแก่ข้าศึกลาว มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายได้

          จดหมายข้อราชการฉบับนี้  ขอให้ท่านกรมหมื่นสุรินทรรักษ์และกรมหมื่นรักษ์รณเรศร์  ทั้งสองพระองค์นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายที่ลับ ๆ  ให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ควรมิควร  พระราชอาชญาเป็นล้นกระหม่อม  สุดแล้วแต่จะทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  ขอเดชะ”

           (จดหมายใบบอกกรมพระราชวังบวรฯ ฉบับนี้ไม่ได้ตัดรอน  กล่าวไว้เต็มตามต้นฉบับเดิม  เพราะจะให้ท่านทั้งหลายฟังสำนวนท่านโบราณ  เป็นขนบธรรมเนียมราชการต่อไปภายหน้า)


พระแทรกคำ (พระแซ่คำ) : วัดคฤหบดี

          * บัญชีหางว่าว ในหางว่าวท้ายรับสั่งมีความว่าดังนี้

          “พระพุทธรูปสำหรับบ้านเมืองเวียงจันทน์นั้นคือพระบาง  หายไป  สืบได้ข่าวแต่เพียงว่า  พวกข้าพระโยมสงฆ์หามพาไปจากวัด  จะพาไปทิ้งน้ำหรือฝังดินก็สืบถามยังหาได้ความแน่นอนลงไป  ถ้าจะว่าเจ้าอนุพาไป  ก็เห็นจะพาไปไม่ได้แน่  แต่จะอยู่ไหนยังสืบไม่ได้ความเลย  ได้แต่พระเสิม ๑   พระใส ๑   พระสุก ๑   พระแซ่คำ ๑   พระแก่นจันทน์ ๑   กับได้พระเงินหล่อบ้าง  พระเงินบุบ้าง ๔ องค์  แต่เป็นองค์ใหญ่ ๆ รวมกันเป็น ๙ องค์  พระใน ๙ องค์นี้จะนำลงไปกรุงเทพฯ ได้แต่พระแซ่คำพระองค์เดียว  เพราะย่อมพอแก่จะบรรทุกช้างไปได้  แต่พระอีกแปดองค์นั้นใหญ่นักหนารับไปไม่ได้  จะต้องบรรจุพระเจดีย์เสียดีกว่าไว้ให้เป็นเหยื่อแก่พวกอันธพาล


พระพุทธรูปปางฉันสมอ : วัดอัปสรสวรรค์

           ได้พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในพระแซ่คำร้อยพระองค์  กับได้พระพุทธรูปทองคำ เป็นพระพุทธเจ้าฉันผลสมอ  หน้าตักยี่สิบนิ้วพระองค์หนึ่ง  เป็นพระบุทองคำหาใช้พระหล่อไม่
           ได้พระนากสวาดิ์หน้าตักสิบนิ้วพระองค์ ๑  เนื้อนากหนักสิบเจ็ดชั่ง
           ได้พระนากสวาดิ์หน้าตักแปดนิ้วพระองค์หนึ่ง  เนื้อนากหนักสิบสามชั่งสิบตำลึง  แต่พระพุทธรูปนากสวาดิ์ทั้งสองพระองค์นั้น  เห็นจะแก้ไขพระรูปพระพักตร์ให้ดีได้  จึงจะส่งลงไปกรุงเทพฯ
           กับได้พระพุทธรูปนาคปรกทำด้วยศิลาดีกระบือ  หน้าตักห้านิ้วพระองค์หนึ่ง  ก็จะส่งลงไปกรุงเทพฯ ด้วย


พระเจดีย์ธาตุดำ (พระเจดีย์ปราบเวียงจันทน์)
ต. พานพร้าว อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย

           แต่พระพุทธรูปที่ใหญ่โตและชำรุดหนัก  จะส่งลงไปกรุงเทพฯ มิได้นั้น  จะให้บรรจุไว้ในพระเจดีย์  ซึ่งจะก่อใหม่ที่ค่ายหลวงพรานพร้าว  ที่เหนือวัดซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงทรงสร้างไว้เมื่อเสด็จขึ้นมาตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งแผ่นดินกรุงธนบุรีนั้น  ครั้งนี้ได้ก่อพระเจดีย์ฐานไว้ให้ต่อเนื่องพระเกียรติยศสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงต่อไป (คือ  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
           พระเจดีย์ครั้งนี้ฐานกว้างห้าวา  พระองค์พระเจดีย์สูงตลอดยอดแปดวาสองศอก  ที่ได้ทรงบรรจุพระพุทธรูปไว้ให้เป็นที่สักการบูชาแก่เทพามนุษย์  อิฐซึ่งจะได้ก่อพระเจดีย์นั้น  ให้เกณฑ์ไพร่พลในกองทัพไทย  ทำอิฐเสมอคนละสองแผ่น  ก่อแล้วโปรดให้นำแผ่นศิลามาจารึกพระนามพระเจดีย์ว่า  “พระเจดีย์ปราบเวียงจันทน์”  และจดหมายเรื่องราวที่เจ้าอนุกระทำความชั่วต่อแผ่นดินนั้น  จารึกไว้ในแผ่นศิลาให้ปรากฏแก่ประเทศราชลาวอยู่ชั่วฟ้าดิน  อย่าให้หัวเมืองประเทศราชทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างเจ้าอนุผู้เป็นต้นคิดประทุษร้ายเป็นขบถต่อไป”


          ครั้นทรงจดหมายใบบอกนี้แล้ว  จึงโปรดให้จมื่นมหาสนิทหัวหมื่นมหาดเล็ก  กับพระอินทราธิบาลที่เจ้ากรมพระตำรวจวังหน้า  ทั้งสองนายนี้เชิญจดหมายใบบอกลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ

          ครั้งนั้นโปรดให้พระราชวรินทร์  เจ้ากรมพระตำรวจในพระราชวังหลวง  ซึ่งเชิญสิ่งของเครื่องเสวยมาแต่เมืองจีนขึ้นไปพระราชทานนั้น  โปรดให้กลับลงมากับตำรวจในวังหน้าที่เชิญใบบอกมานั้นพร้อมกัน”

          * ความในจดหมายใบบอก  ทำให้เราได้รู้เบื้องหลัง  รายละเอียดในการศึกสงครามระหว่างไทยกับลาวเวียงจันทน์ได้มากขึ้นทุกแง่ทุกมุมเลยนะครับ  ทั้งหมดนี้เป็นเพียงยกแรกของการรบ  ฝ่ายเจ้าอนุถูกตีทัพแตกกระจาย  แต่ยังไม่พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง  ถ้าเป็นนักมวย  ยกนี้เจ้าอนุถูกเตะถูกต่อยล้มลงไปให้กรรมการนับ  แต่นับยังไม่ถึง ๑๐  เขาลุกขึ้นพร้อมที่จะสู้ต่อไปอีก  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อให้รู้ว่าเจ้าอนุจะกลับมาสู้รบกับไทยอย่างไรต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, น้ำหนาว, ปิ่นมุก, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #25 เมื่อ: 08, เมษายน, 2563, 10:58:48 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) (ก่อนเลื่อนเป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชา)
รับบทโดย วัชรชัย สุนทรศิริ   ในละคร "ข้าบดินทร์"

- อานามสยามยุทธ ๒๖ -

ตรัสกำชับทัพไทยเที่ยวไล่ล่า
“อ้ายเชียงสา”หนีตายไปคับขัน
สวามิภักดิ์“พระยาสิงห์”เมื่อทางตัน
ในยามนั้นแผ่นดินสิ้นค่ายลาว

เหลือเจ้าราชบุตรจำปาศักดิ์
ไม่นานนักพลเมืองแค้นเคืองฉาว
ก่อกบฏลดเลี้ยวไล่เกรียวกราว
จึงเป็นคราว“พระยาสิงห์”ชิงความดี


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ มีหนังสือเป็นใบบอกกราบบังคมทูลฯ ข้อราชการทัพตั้งแต่ต้นจนจบ  ที่ยึดได้เวียงจันทน์  และแสดงบัญชีหางว่าวเป็นทรัพย์สินสิ่งของที่ยึดได้  ส่งลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  วันนี้มาอ่านบันทึกของท่านพระยาบดินทรเดชา (สิง) กันต่อไปครับ


           “ครั้งหนึ่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงทราบว่า  อ้ายพระยาเชียงสาแม่ทัพลาวนั้น  ยังตั้งค่ายแข็งแรงอยู่ที่ตำบลบ้านโพ้นเชียงทอง  ยังหามาสวามิภักดิ์ไม่  จึงมีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้พระยาไกรโกษาเป็นแม่ทัพคุมพลทหารสำหรับทัพที่ยกมาแต่เมืองหล่มสักนั้น  ให้ยกไปตีอ้ายพระยาเชียงสา  พระยาเชียงสาสู้รบกันกับพระยาไกรโกษา  พระยาไกรโกษาแตกหนีมา  เสียรี้พลมาก  เสียนายทัพนายกองไทยก็มาก

          กรมพระราชวังบวรฯ ทรงขัดเคืองพระยาไกรโกษา  จึงโปรดให้ขุนนางผู้ใหญ่นายทัพนายกองปรึกษาโทษพระยาไกรโกษา  พระยา, พระ, หลวง  ที่นายทัพนายกองพร้อมกันปรึกษาด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม  ตามพระราชกฤษฎีกาอัยการศึก  เห็นว่าพระยาไกรโกษามีความผิดมาก  ขอพระราชทานให้ประหารชีวิตเสีย  อย่าให้นายทัพนายกองดูเยี่ยงอย่างต่อไป

          ครั้นทรงทราบคำปรึกษาดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า    “พระยาไกรโกษานี้เป็นคนเก่า  มีความชอบมาแต่ครั้งไปตีเจ้าราชวงศ์ที่เมืองหล่มสักครั้งหนึ่ง  ขอให้ยกโทษประหารชีวิตเสียเถิด  ให้แต่จำตรวนถอดออกจากที่พระยาไกรโกษา  ไม่ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แม่ทัพ  ให้จำตรวนไว้ในทัพหลวง”  (พระยาไกรโกษาต้องรับพระราชอาชญาจำตรวนแล้วถอดออกจากที่ฐานานุศักดิ์แล้ว  จะได้เป็นอีกหรือไม่ได้เป็นฉันใด  หาปรากฏในจดหมายเหตุไม่)


          แล้วโปรดให้พระยาเพชรพิไชย  กับพระยาเกษตรรักษา  พระยาบริรักษ์ราชา  พระยาอัษฎาเรืองเดช  เป็นแม่ทัพนายกองคุมพลทหารพันหนึ่งยกไปตีอ้ายพระยาเชียงสาให้แตกให้จงได้  พระยาทั้ง ๔ ยกทัพไปพบค่ายอ้ายพระยาเชียงสาตั้งอยู่ที่บ้านโพ้นเชียงทอง


          กองทัพพระยาเกษตรรักษาเป็นกองหน้า  ตีกองทัพหน้าของอ้ายพระยาเชียงสาแตกกระจัดกระจายไป  นายแผลงไพรินทร์นายเวรตำรวจวังหน้าเป็นนายม้า  ถือปืนสั้นหลังม้ายิงไปถูกอ้ายท้าวโสมนายทัพหน้าของอ้ายพระยาเชียงสานั้นถูกปืนตายในที่รบ  แม่ทัพไทยให้ตัดศีรษะอ้ายท้าวโสมมาเสียบหอก  ออกเดินนำหน้าทัพตีเข้าไปอีก  อ้ายลาวนายทัพและไพร่พลเห็นศีรษะท้าวโสมดังนั้นก็ตกใจกลัว  พากันแตกตื่นย่นถอยหลังไปหมด  พระยาเกษตรก็ขับพลทหารไล่ตีพักเดียว  ทัพอ้ายพระยาเชียงสาก็แตกถอยไปทางเมืองพงข้างเหนือ


          ฝ่ายกองทัพไทยพระยาเพชรพิไชย  และพระยาอัษฎาเรืองเดช  พระยาบริรักษ์ราชา  ก็ตามตีอ้ายพระยาเชียงสาเข้าไปถึงชายป่าเมืองพง  ครั้งนั้นอ้ายพระยากองคำคุมทหารมาตั้งอยู่ที่เมืองพง  จึงยกทัพมาช่วยแก้อ้ายพระยาเชียงสา  อ้ายกองคำยกพลทหารมาสกัดหลังทัพพระยาเพชรพิไชยเข้าไปตามชายป่า  พวกไทยไม่ทันรู้ตัวว่าลาวยกมาข้างหลัง  ครั้นเห็นเข้ามาใกล้ก็ระส่ำระสายหันหน้าจะหนี  จวนจะเสียทีเกือบจะแตกอยู่แล้ว

          ฝ่ายพระยาเพชรพิไชยเห็นดังนั้น  จึงสั่งให้บุตรหลานญาติช่วยกันต้อนคนให้กลับหน้ามารบกับลาวจนถึงอาวุธสั้นเป็นการตะลุมบอน  พออ้ายกองคำแม่ทัพลาวตายในที่รบศพก็ได้มาด้วย  ทัพอ้ายลาวทั้งสิ้นก็แตกเข้าป่าไปหมดทุกทัพทุกกอง  พอเป็นเวลาจวนค่ำ  ทัพไทยจึงมิได้ไล่ติดตามไป  กลัวจะเสียทีอ้ายลาว  สงสัยว่าอ้ายลาวทำกลอุบายแตกหนีล่อใจไทยให้ตามตีไปในเวลาค่ำ  เพราะฉะนั้นทัพไทยจึงมิได้ตามตีไปในป่าเมื่อเวลาค่ำ


          ทัพไทยตั้งมั่นอยู่ที่นั้นคืนหนึ่ง  พอรุ่งเช้าขึ้น  ทัพไทยได้ยกติดตามอ้ายพระยาเชียงสาไป  แต่พอเวลาสองโมงทันอ้ายพระยาเชียงสาที่ห้วยหลวงในป่า  กองทัพไทยได้รบกันกับพวกลาวอีกครั้งหนึ่งถึงตะลุมบอน  ก็เสียพระอินทรเดช น้องพระยาเพชรพิไชย  ถูกปืนลาวตายในที่รบ  กับพระยากำแพงเพชร และพระหฤทัย  ถูกปืนในที่รบแต่หาตายไม่  ทัพไทยตีทัพอ้ายพระยาเชียงสาแตกกระจัดกระจายหนีไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง  แต่ทัพลาวรีบหนีไปโดยเร็ว  ทัพไทยตามไปไม่ทันก็ตั้งทัพอยู่ที่ริมห้วยหนองหลวง  เพื่อจะรวบรวมรี้พลที่ระส่ำระสาย


          ครั้งนั้นอ้ายพระยาเชียงสาแตกหนีกองทัพไทยไปในป่า  พระยาเชียงสาพาทหารที่ติดตามไปด้วยนั้นเดินเลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง  ลงไปถึงเมืองยโสธร  พอพบกองทัพใหญ่พระยาราชสุภาวดี (สิง) ที่ตั้งสังกัดขวางทางอยู่  อ้ายพระยาเชียงสาไม่รู้ที่จะหนีไปข้างไหนได้  ครั้นจะต่อสู้รบก็มีทหารน้อยตัวนักสู้ไม่ได้  อ้ายพระยาเชียงสาก็ทิ้งเครื่องศาสตราวุธ  ยอมยกให้ทหารพระยาราชสุภาวดีเสียหมด  แล้วก็เข้าหาพระยาราชสุภาวดีโดยดี ขอสวามิภักดิ์พอให้รอดชีวิต

          ฝ่ายพระยาเพชรพิไชยรวบรวมไพร่พลได้หมดแล้ว  ก็ให้พระยาเกษตรรักษายกเป็นทัพหน้า  ติดตามพระยาเชียงสาต่อไป  พระยาเกษตรรักษานายทัพหน้ายกไปถึงฝั่งแม่น้ำโขงใกล้เมืองยโสธร  จึงได้ทราบข่าวมาจากกองตระเวนด่านพระยาราชสุภาวดีว่า  พระยาเชียงสาเข้าหาพระยาราชสุภาวดีโดยดีแล้ว  พระยาเกษตรรักษา  และพระยาเพชรพิไชย  และพระยานายทัพนายกองทั้งหลายยกทัพกลับมายังค่ายหลวงที่พรานพร้าว  กราบทูลข้อราชการที่ได้ไปตีอ้ายพระยาเสียงสานั้นทุกประการแล้ว


          ฝ่ายพระยาราชสุภาวดี (สิง) ตั้งทัพอยู่ที่เมืองยโสธร  คิดจะยกทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์  แต่พอเดินทัพมากลางทางได้ข่าวตามชาวป่าว่า  เจ้าราชบุตรเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์นั้น  ยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองศรีษะเกษ  ครั้นพระยาราชสุภาวดีแจ้งเหตุการณ์ดังนั้นแล้ว  จึงยกทัพมาตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ใกล้เมืองอุบลราชธานี

          ฝ่ายเจ้าราชบุตรได้ทราบข่าวได้ศึก พระยาราชสุภาวดียกทัพใหญ่มาตั้งอยู่ที่ใกล้เมืองอุบล  เจ้าราชบุตรจึงยกทัพมาตั้งค่ายรับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี  จึงให้เจ้าปาน  เจ้าสุวรรณ ผู้น้อง  คุมกองทัพตั้งค่ายสังกัดหลังอยู่ที่เมืองยโสธร  พระยาราชสุภาวดียกทัพกลับไปตีค่ายเจ้าปาน เจ้าสุวรรณ ที่เมืองยโสธรเวลาเดียว  ทัพเจ้าปานเจ้าสุวรรณก็แตกกระจัดกระจาย หนีไปได้บ้างนายทัพนายกองไทยจับเป็นนายทัพนายกองลาวหลายสิบคนไพร่พลได้มาก ที่ต่อสู้ตายเสียก็มาก  แล้วพระยาราชสุภาวดีก็ยกทัพขึ้นไปตีเมืองอุบลราชธานี  ฝ่ายลาวในเมืองอุบลรราชธานีพร้อมใจกันเป็นขบถคุมกันหลายพวก  ได้ไล่ฆ่าฟันกองทัพเจ้าราชบุตรเป็นอลหม่านขึ้นในเมืองอุบลราชธานี


          ฝ่ายเจ้าราชบุตรเห็นชาวเมืองอุบลราชธานีกลับเป็นขบถขึ้นพร้อมกันทั้งเมืองดังนั้น  จึงพากองทัพของตนหนีออกจากเมืองอุบลราชธานี  ตรงไปเมืองนครจำปาศักดิ์  ซึ่งเป็นบ้านเมืองเดิมของตนเคยอยู่  ฝ่ายครอบครัวเมืองต่าง ๆ ที่เจ้าราชบุตรกวาดต้อนพาไปไว้ในเมืองจำปาศักดิ์นั้น  ก็กำเริบเป็นศัตรูขึ้นด้วย  ชวนกันนำไฟจุดเผาบ้านเรือนราษฎรในเมือง  ไฟไหม้ขึ้นเป็นหลายสิบหลัง  และไหม้ต่อ ๆ ไปเป็นอันมาก  แล้วพวกครัวต่าง ๆ ก็พากันออกนอกเมืองจำปาศักดิ์ หมายจะต่อสู้กับเจ้าราชบุตรก็มีบ้าง  ที่หนีไปก็มีบ้าง


          ฝ่ายเจ้าราชบุตรเห็นชาวเมืองคุมกันเป็นขบถเกิดจลาจลขึ้นดังนั้น  จะเข้าเมืองก็ไม่ได้  จึงรวบรวมบ่าวไพร่คนใช้ที่สนิทได้ประมาณสามสิบสี่สิบคน  แล้วพากันลงเรือข้ามฟากแม่น้ำโขง  หมายใจว่าจะเดินบกหนีไปแดนเมืองญวนให้รอดชีวิต


          ฝ่ายทัพพระยาราชสุภาวดี (สิง) เข้าตั้งอยู่ในเมืองนครจำปาศักดิ์ได้แล้ว  จึงมีคำประกาศแก่ไพร่พลเมืองลาวว่า      “ถ้าใครตามจับตัวเจ้าราชบุตรได้  จะให้รางวัลคนละห้าชั่ง”      พวกลาวที่ถูกความเดือดร้อนข่มขี่ของเจ้าราชบุตรนั้น  ก็พากันข้ามฟากไปตามจับตัวเจ้าราชบุตร, เจ้าปาน, เจ้าสุวรรณ  และพรรคพวกมาส่งให้พระยาราชสุภาวดี  พระยาราชสุภาวดีให้เงินเป็นรางวัลคนละห้าชั่ง  เป็นเงินยี่สิบห้าชั่ง  แล้วจำเจ้าราชบุตร ๑   เจ้าปาน ๑   เจ้าสุวรรณ ๑   ไว้ทั้งสามคน  แล้วพระยาราชสุภาวดีได้ทราบว่า  ทัพหลวงเสด็จมาตั้งทัพอยู่ที่ตำบลพรานพร้าว  จวนจะเสด็จกลับลงไปกรุงเทพฯ ในเร็ว ๆ นี้


          พระยาราชสุภาวดีให้พระจักราคุมกองทัพ ๑,๕๐๐ อยู่รักษาค่ายที่เมืองจำปาศักดิ์  จัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อย  ฝ่ายพระยาราชสุภาวดีก็ยกทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองนครพนม  เพื่อจะจัดการบ้านเมืองบำรุงไพร่พลเมืองให้สมบูรณ์  จะได้เป็นกำลังแก่ราชการศึกต่อไป.....”

          * วันนี้ปล่อยให้อ่านเรื่องราวยาวสะใจ  เพราะกำลังสนุกเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว  พระยาสิงห์ ราชสุภาวดี  เริ่มแสดงศักยภาพของตนเองให้ปรากฏแล้ว  เรื่องราวของท่านจะเป็นอย่างไรต่อไป  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, ก้าง ปลาทู, ลมหนาว ในสายหมอก, เฒ่าธุลี, ปลายฝน คนงาม, กลอน123

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #26 เมื่อ: 10, เมษายน, 2563, 09:01:14 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

พระยาราชสุภาวดี (สิงห์)
รับบทโดย วัชรชัย สุนทรศิริ   ในละคร "ข้าบดินทร์"

- อานามสยามยุทธ ๒๗ -

แม่ทัพญวนโอหังทั้งสามหาว
อ้างว่าลาวเป็นของญวนล้วนบัดสี
สั่งไทยถอยทัพไปในทันที
เลิกไล่ตีลาวผองคนของญวน

“พระยาราชสุภาวดี”นิ่ง
อ่านแล้วทิ้งจดหมายไม่ไต่สวน
สั่งคนเฝ้านครพนมตามสมควร
ตนเองด่วนเดินไกลไปพรานพร้าว


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  พระยาราชสุภาวดียกกำลังเข้ายึดเมืองยโสธร  อุบลราชธานี  และนครจำปาศักดิ์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว  เพราะชาวบ้านชาวเมืองก่อการขบถต่อเจ้าราชบุตรผู้ปกครองนครจำปาศักดิ์  แล้วประกาศให้ประชาชนตามจับเจ้าราชบุตรและพวก  หากใครจับได้จะให้รางวัลคนละห้าชั่ง

          ชาวลาวพากันออกเที่ยวค้นหาและจับตัวเจ้าราชบุตร  เจ้าปาน  เจ้าสุวรรณ  และพวกมาได้ทั้งหมด  พระยาราชสุภาวดีตั้งผู้รักษานครจำปาศักดิ์แล้วยกไปตั้งทัพที่เมืองนครพนม  วันนี้มาอ่านความกันต่อไปครับ


           “ขณะนั้นแม่ทัพญวนชื่อ  องสัดตะคุมเตียนยิม  ซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าขององกีนเลือก  แม่ทัพใหญ่ฝ่ายญวนทางบกนั้น  องสัดตะคุมเตียนยิมถือหนังสือของแม่ทัพญวนมาฉบับหนึ่ง  บอกแก่ขุนประสิทธิ์นายด่านทางบกฝ่ายไทยว่า     “เราถือหนังสือนี้จะไปให้พระยาราชสุภาวดีแม่ทัพไทย”     ขุนประสิทธิ์นายด่านกับลาวชาวด่านจึงพาองสัดตะคุมเตียนยิมถือหนังสือมาให้พระยาราชสุภาวดีที่ค่ายเมืองนครพนม  ได้สั่งให้ล่ามแปลหนังสือญวนออกใจความว่า


           “เมืองเวียงจันทน์กับกรุงศรีอยุธยาไทย  ก็เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันสนิทสนมมาช้านาน  เปรียบเหมือนริมฝีปากกับฟัน  ไม่มีเหตุอันใดที่ได้มัวหมองกันเลย  เหตุไฉนไทยจึงยกกองทัพขึ้นมาทำลายรื้อบ้านเมืองเวียงจันทน์เสีย  ทำให้ไพร่บ้านพลเมืองได้รับความเดือดร้อนแตกหนีไป  จากบ้านเมืองที่เคยอยู่อาศัยเป็นสุขมาช้านาน

          อนึ่ง  เมืองเวียงจันทน์ก็เป็นเขตแดนของกรุงเวียดนามด้วย  บัดนี้แม่ทัพไทยได้เข้ามาในเขตแดนญวนแล้ว  หาควรกับเมืองไมตรีกันไม่  บัดนี้องกีนเลือกแม่ทัพใหญ่ฝ่ายญวน  ให้ข้าพเจ้าชื่อ องสัดตะคุมเตียนยิม แม่ทัพหน้าคุมกองทัพบกมา ๒๐,๐๐๐ เศษ  มาตั้งอยู่ที่เมืองตำกอง  ใช้ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่านแจ้งความว่า  ให้ท่านยกกองทัพไทยกลับไปอยู่ในเขตแดนของไทย  ไทยกวาดต้อนพาครอบครัวพลเมืองในเขตแดนญวนไปไว้มากน้อยเท่าใด  ขอให้ท่านส่งกลับคืนมายังเขตแดนญวนให้สิ้นเชิง  ทางไมตรีไทยกับญวนจะรอบคอบยืนยาวเสมอต้นเสมอปลายต่อไป  ถ้าท่านไม่ฟังคำของข้าพเจ้าแล้ว  ฝ่ายข้าพเจ้าก็ไม่ละกันคงได้เห็นฝีมือกันเป็นแน่  ถ้าองกีนเลือกแม่ทัพใหญ่ยกลงมาถึงเมื่อใดแล้ว  ก็จะไม่ฟังกันเป็นแน่  แต่หญ้าต้นหนึ่งก็จะไม่ให้เหลือไว้ในแผ่นดิน  บอกมาทั้งนี้เป็นความเมตตาแก่แม่ทัพด้วยกัน  ให้ทำตามที่บอกมานี้จึงจะชอบด้วยราชการ”   (หนังสือญวนฉบับนี้กล่าวไว้หมดจด  ไม่ได้ตัดรอน  เพราะจะให้ท่านผู้อ่านฟังสำนวนญวน)


          ฝ่ายพระยาราชสุภาวดีได้ทราบความตามในหนังสือญวนดังนั้นแล้ว  หาได้มีหนังสือโต้ประการใดไม่  เพราะจะรีบเดินทางไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ที่ค่ายหลวงพรานพร้าว  ด้วยจวนจะเสด็จกลับกรุงเทพฯ อยู่แล้ว  เป็นแต่สั่งให้ขุนประสิทธิ์นายด่านพาตัวญวนที่ถือหนังสือมานั้น  กลับไปส่งให้พ้นเขตแดนของไทย  บอกญวนให้รีบไปในเขตแดนของญวน  ไทยไม่รับรอง  และไม่ให้ญวนอยู่ด้วย


           พระยาราชสุภาวดีสั่งให้พระยาราชรองเมืองคุมพลทหาร ๕๐๐ อยู่รักษาค่ายที่เมืองนครพนมและค่ายเมืองยโสธรด้วย
           ให้พระยาอินทรสงครามรามัญจางวางกองนอก  คุมพลทหารรามัญ ๓๐๐ เป็นกองลาดตระเวนบก  รักษาด่านทางเมืองยโสธรและเมืองนครพนม
           ให้พระยาวิเศษสงครามภักดี จางวางทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่คุมพลทหาร ๒๐๐ ยกล่วงหน้าไปทำทางตั้งทำเนียบรับที่พรานพร้าว
           แล้วสั่งพระยา,  พระ,  หลวง,  นายทัพนายกองให้ตระเตรียมจัดพลทหารไว้ให้พร้อม  รุ่งขึ้นจะยกไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ที่พรานพร้าว


           ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าสามโมง  พระยาราชสุภาวดีขึ้นช้างพังเกษรผูกกูบกระโจมสองหน้าหลังคาคาดผ้าดาวกระจาย  มีทหารสี่เท้าช้างอย่างแม่ทัพใหญ่  พร้อมด้วยช้างนำตามเป็นอันมาก  ดำเนินทัพโดยทางสถลมารค  หยุดร้อนแรมไปหลายวัน  ก็บรรลุถึงท่าซ่มริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้บ้านพรานพร้าว  พระยาราชสุภาวดีหยุดพักในค่ายรั้วทึบที่ท่าซ่ม  ซี่งพระยาวิเศษสงครามทำไว้รับนั้น  แล้วพระยาวิเศษสงครามมาแจ้งความแก่พระยาราชสุภาวดีว่า      “ได้สร้างทำเนียบ ๙ หลังตีรั้วทึบท่าซ่มห่างค่ายหลวง ๖๐ เส้น  ครั้นจะตั้งใกล้ก็กลัวว่ารี้พลที่มากจะไปละเล้าละลุมในค่ายหลวงหาบังควรไม่”

           พระยาราชสุภาวดีพักอยู่ที่ทำเนียบคืน ๑    ครั้งรุ่งเช้าจึงขึ้นแคร่คานหามมีทหารสะพายดาบเดินนำหน้า ๒๐๐  ทหารถือปืนเดินตามทางป่าไปทาง ๖๐ เส้นเศษถึงค่ายหลวง  สั่งให้ทหารหน้าหลังหยุดพักห่างค่ายหลวงทั้งสิ้น  พระยาราชสุภาวดีลงจากแคร่เดินเข้าไปเฝ้าหน้าพลับพลาชัยในค่ายหลวง  กราบทูลข้อราชการศึกเสร็จสิ้นทุกประการ  แล้วก็นำต้นหนังสือของญวนและคำแปลจากหนังสือญวนที่มาให้ในระหว่างศึกนั้น  ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  แล้วพาพระยาเชียงสาลาวซึ่งแตกหนีทัพพระยาเพชรพิไชยเข้ามาสวามิภักดิ์นั้น  เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่หน้าพลับพลาชัยในค่ายหลวง


          พระยาราชสุภาวดีกราบบังคมทูลว่า        “เจ้าราชบุตรสู้รบกับกองทัพข้าพระพุทธเจ้า  ข้าพระพุทธเจ้าจับเจ้าราชบุตรขังกรงลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายด้วย”        กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งให้พระพรหมสุรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจ กับหลวงนายเสน่ห์รักษานายเวรมหาดเล็ก  ได้ให้คุมพลทหารกรุงเทพฯ ๑๖๐ คน  คุมตัวเจ้าราชบุตร ๑   เจ้าปาน ๑   เจ้าสุวรรณ ๑   กับเจ้าหญิงซึ่งเป็นภรรยาเจ้าราชบุตร ๑ คน  ชื่อเจ้าบัณฐร  และครอบครัวเจ้าราชบุตรที่จับได้นี้ ๔๖ คนนั้น  ให้คุมลงไปส่งยังกรุงเทพฯ  แต่พระยาเชียงสานั้นโปรดให้อยู่รับราชการในกองทัพพระยาราชสุภาวดี  ช่วยคิดราชการทางหัวเมืองลาว  ถ้าเสร็จราชการจะชุบเลี้ยงให้ถึงขนาดแก่ความชอบ  แล้วมีรับสั่งให้พระยาราชสุภาวดีอยู่จัดการบ้านเมืองลาว  และเมืองเขมรป่าดงให้เรียบร้อย   และกวาดต้อนครอบครัวส่งลงไปกรุงเทพฯ    สิ้นราชการแล้วเมื่อใดก็ให้กลับลงไป  แจ้งข้อราชการศึกสงครามยังกรุงเทพฯ


           ครั้งนั้นมีพระราชดำรัสตรัสสรรเสริญสติปัญญาความคิดและฝีมือพระยาราชสุภาวดีว่า        “มิเสียทีที่เกิดมาในวงศ์ตระกูลเสนาบดี  เป็นชายนายทหาร  ทำราชการการสงครามครั้งนี้มีชื่อเสียงดีโด่งดังปรากฏไปในนานาประเทศทั่วทิศานุทิศ  ความดีความเจริญของท่านจะปรากฏในจดหมายเหตุของพวกนักปราชญ์ราชบัณฑิต  อยู่ชั่วกัลปาวสานไม่เสื่อมทราม”        แล้วตรัสเล่าการศึกสงครามให้พระยาราชสุภาวดีฟัง  ตั้งแต่ตีค่ายทุ่งล้ำพี้  และทุ่งหนองบัวลำภู  ทุ่งส้มป่อย  และที่เขาสารช่องแคบทั้งสี่ตำบล  ทรงเล่าจนเจ้าอุปราชเวียงจันทน์เข้ามาสวามิภักดิ์เสร็จสิ้นทุกประการ.....”

           * คิดว่าทุกท่านที่อ่านจดหมายข้อความยะโสโอหังข่มขู่คุกคาม  จากแม่ทัพญวนมาถึงแม่ทัพไทยแล้ว  คงเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับผมแหละนะครับ  เก็บความรู้สึกอันไม่ดีไม่งามนั้นไว้ในใจก็แล้วกัน  วันนี้ให้อ่านแค่นี้ก่อน  พรุ่งนี้ค่อยมาอ่านกันต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : ปิ่นมุก, Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, กลอน123

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #27 เมื่อ: 11, เมษายน, 2563, 11:22:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๘ -

กรมพระราชวังบวรฯ ประทับ
ปรึกษากับบรรดาทหารห้าว
ปรารภเรื่องเวียงจันทน์นั้นยืดยาว
หลายเจ้าลาวแปรพักตร์สิ้นภักดี

เจ้าอนุจิ้มก้องญวนร้องสิทธิ์
สำแดงฤทธิ์ข่มขู่หลู่ศักดิ์ศรี
สยามต้องตรึกตราหาวิธี
ศึกจะมียืดยาวทั้งลาวญวน


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน “อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่ พระยาราชสุภาวดี (สิง) แม่ทัพไทยฝ่ายตะวันออกเข้าเฝ้ากรมกระราชวังบวรฯ ณ ค่ายหลวงพรานพร้าว  กราบบังคมทูลถวายรายงานราชการศึกแล้ว  เบิกตัวพระเชียงสาเข้าเฝ้าถวายบังคม  และนำตัวเจ้าราชบุตรแห่งนครจำปาศักดิ์ พร้อมพวกที่พ่ายสงครามถูกจับตัวมาได้นั้นน้อมเกล้าฯ ถวาย  กรมพระราชวังบวรฯ ตรัสให้พระพรหมสุรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจและคณะคุมตัวเจ้าราชบุตรและพวกลงกรุงเทพฯ  ส่วนพระยาเชียงสานั้นโปรดให้อยู่กับพระยาราชสุภาวดี  ช่วยคิดราชการทางหัวเมืองลาวต่อไป  วันนี้มาอ่านความกันต่อครับ

           “ขณะนั้นมีพระราชดำรัสปรึกษาราชการเมืองเวียงจันทน์แก่พระยาราชสุภาวดี  ว่า


           “อันแผ่นดินมาลาว์ประเทศขอบเขตลาวเวียงจันทน์นั้น  ถ้าผู้ใดได้เป็นอธิบดีใหญ่ในเมืองเวียงจันทน์แล้ว  จิตก็มักจะเป็นพาลสันดานทุจริตคิดประทุษ ร้ายเป็นขบถต่อกรุงเทพฯ มาหลายครั้งแล้ว  ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าตากกรุงธนบุรีครั้งหนึ่ง  และในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงสองครั้ง (พระพุทธเจ้าหลวงนั้นคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า)  และในแผ่นดินพระบรมโกศนั้น  เว้นว่างการศึกกับเวียงจันทน์  เพราะเหตุว่าเมืองหลวงพระบางมีอริร้าวฉานกับเวียงจันทน์  เวียงจันทน์ไม่อาจทำการกำเริบเป็นขบถได้  เพราะเวลานั้น  เจ้าเวียงจันทน์ยังไม่มีอำนาจใหญ่โตเหมือนอนุเดี๋ยวนี้ (แผ่นดินในพระบรมโกศนั้น  คือแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้า)


          ครั้นกาลเป็นลำดับมาถึงแผ่นดินล้นเกล้าล้นกระหม่อมในปัจจุบันนี้ (คือแผ่นดินพระนั่งเกล้า) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าอนุเป็นอธิบดีครอบบ้านครองเมืองเวียงจันทน์  ทรงมอบพระราชดำริพระราชประสงค์ให้เจ้าอนุบังคับบัญชาว่ากล่าวหัวเมืองลาวฝ่ายทางตะวันออกทั้งสิ้นตลอดถึงเขตแดนญวน  เจ้าอนุได้เป็นผู้ต่างพระเนตรพระกรรณสิทธิ์ขาดในราชการเมืองลาวทางตะวันออก  เจ้าอนุจึงมีศักดาอานุภาพอำนาจเฟื่องฟุ้ง  เป็นที่ยำเยงเกรงกลัวของหัวเมืองลาวต่าง ๆ ที่ใกล้และไกลในทิศตะวันออก  เพราะพระบารมีล้นเกล้าล้นกระหม่อม ปกเกล้าปกกระหม่อมเจ้าอนุ  เจ้าอนุจึงมีศุภอักษรลงมากราบบังคมทูลพระกรุณาว่า  เมืองเวียงจันทน์กับหัวเมืองขึ้น ราษฎรพลเมืองต้องอาศัยไปมาค้าขายที่เมืองญวน  จึงได้เกลือและของใช้ของรับประทานมาเป็นกำลังแก่พลเมืองลาว  เพราะว่าญวนอยู่ใกล้กับลาว  จะไปมาค้าขายง่ายกว่าทางกรุงเทพฯ  เพราะฉะนั้นเจ้าอนุจะขอรับพระราชทานแต่งขุนนางลาว  ให้เป็นทูตขึ้นไปจิ้มก้องส่งเครื่องบรรณาการที่เมืองเว้ (คือเมืองหลวงของญวน)  สามปีครั้งหนึ่ง  เพื่อจะให้พลเมืองลาวไปมาค้าขายกับญวนได้สะดวก


          ฝ่ายล้นเกล้าล้นกระหม่อมก็ทรงพระราชดำริพร้อมด้วยเสนาบดี  เห็นว่าเป็นการค้าขายเจริญแก่ราษฎรพลเมืองลาวนั้นจริงอยู่  จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาต  ยอมให้เจ้าอนุแต่งทูตลาวไปจิ้มก้องญวนสามปีครั้งหนึ่งตามความคิดเจ้าอนุเถิด  เหตุดังนี้ญวนจึงถือว่าเวียงจันทน์เป็นเขตแดนของญวนด้วย  ญวนจึงได้มีหนังสือพูดจาหมิ่นประมาทไทย  เพราะเจ้าอนุก่อเหตุทำให้เกียรติยศไทยเสียไป  ภายหลังเจ้าอนุมีจิตคิดกำเริบเติบใหญ่  ตั้งใจเป็นขบถต่อกรุงเทพฯโดยความทรยศของมันดังนี้  พวกเราทั้งหลายจึงต้องมาทำศึกสงครามเคี่ยวเข็ญแรมเดือนแรมปีกับลาวนี้  จนอ้ายลาวพ่ายแพ้ราบคาบไปสิ้น  ฝ่ายไทยก็มีชัยชนะครั้งนี้  ควรที่นายทัพนายกองจะต้องช่วยกันคิดอ่านการงานให้รอบคอบ  ที่จะรักษาขอบขัณฑเสมาอาณาจักรสยามให้มั่นคงถาวรชั่วบุตรหลาน


          แต่การข้างหน้าต่อไปนั้น เราก็คิดไม่ให้มีผู้ครอบครองบ้านเมืองเวียงจันทน์อีกต่อไป  คิดจะทำลายล้างบ้านเมืองเสียให้หมด  ให้เป็นดังป่า  ไม่ให้กลับเป็นราชธานีใหญ่สืบไปได้  แต่จะต้องนำความเห็นที่เราคิดดังนี้ลงไป  มีชี้แจงกราบบังคมทูลพระกรุณา ให้ทรงทราบได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสียก่อน  เราจึงจะทำการนี้ได้โดยถนัดดี  ด้วยแผ่นดินเป็นที่ของท่าน  ท่านเป็นพระมหากษัตริย์  เราเป็นแต่ผู้ช่วยราชการ  ไม่อาจหาญจะทำการใหญ่โตให้เกินแก่อำนาจผู้ใหญ่ได้”

          ฝ่ายพระยาราชสุภาวดี  เจ้าพระยาอภัยภูธร  เจ้าพระยาพระพิษณุโลก  และเจ้าพระยานครราชสีมา  และเจ้าพระยามหาโยธา  และพระยาเพชรบูรณ์  ขุนนางผู้ใหญ่เฝ้าอยู่ที่นั้น  พร้อมอยู่ด้วยกัน พระยา, พระ, หลวง, นายทัพ, นายกอง, ทั้งหลายกราบบังทูลว่า    “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นชอบด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมพร้อมกัน  ตามพระราชกระแสรับสั่งนั้นทุกอย่างทุกประการแล้ว”


          กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชดำรัสสั่งให้พระยาเพชรบูรณ์เข้ากองทัพพระยาราชสุภาวดี  ให้อยู่จัดการบ้านเมืองลาวส่งเสบียงอาหารให้พระยาราชสุภาวดี  เพราะเมืองเพชรบูรณ์บริบูรณ์ด้วยอาหาร
          โปรดให้พระยาเพชรพิไชยกับพระยาสมบัติธิบาล  ยกไปจัดการบ้านเมืองหล่มเลย  ให้กลับไปเมืองหล่มเลยในฤดูฝนนี้  พระยาเพชรพิไชยกราบถวายบังคมลายกไปเมืองหล่มสัก  พระยาสมบัติธิบาลยกไปเมืองเลย
          โปรดให้พระยาเกษตรรักษายกพลทหารไปถ่ายเสบียงอาหาร  ไปส่งพระยาราชสุภาวดีให้ใช้ราชการตลอดปี  พระยาเกษตรรักษาได้ถ่ายเสบียงอาหารที่ค่ายหลวงลำเลียงลงเรือรบลาวเก่า ๆ บรรทุกไปส่งที่ค่ายพระยาราชสุภาวดี


          ครั้งนั้นพระธัญญาภิบาล หลวงโภชนารักษ์คุมเรือข้าวเปลือกนำไปส่งที่เมืองนครพนม เรือกระทบตอไม้ใหญ่ล่มแตกเสียสี่ลำเป็นข้าวหลายร้อยเกวียน  ทรงทราบแล้วจึงโปรดให้จมื่นอินทรเสนาปลัดกรมพระตำรวจ  นำเรือเร็วลงไปลงพระราชอาชญาเฆี่ยนหลังพระธัญญาภิบาลกับหลวงโภชนารักษ์  คนละห้าสิบที  ให้คงราชการถ่ายลำเลียงต่อไป

          โปรดให้พระยาเพชรบูรณ์ขนปืนนกสับคาบศิลา ๑,๕๐๐ กระบอกกับกระสุนดินดำ  ส่งไปพระราชทานเพิ่มเติมให้อีกในกองทัพพระยาราชสุภาวดี  พระยาเพชรบูรณ์กราบทูลว่า    “ช้างที่จะบรรทุกปืนไปส่งนั้นยังไม่มาถึงพรานพร้าว”    รับสั่งว่า    “บรรทุกเรือก็ได้”    พระยาเพชรบูรณ์กราบทูลว่า    “ทางเรือหลักตอมากในแม่น้ำโขง  เกรงเรือจะล่มลงจะเสียของหลวง  ด้วยเป็นเครื่องอาวุธหาใช้ยาก  ไม่เหมือนข้าวเปลือกพอหาเพิ่มเติมในราชการได้”    รับสั่งว่า    “พระยาเพชรบูรณ์ขัดคำสั่งจะให้ลงพระราชอาชญาก็ได้   แต่เห็นว่าเป็นคนเก่าผู้เฒ่าจึงให้ภาคทัณฑ์ไว้ครั้ง ๑”

          แล้วโปรดให้หลวงชาติเสนีคุมปืนคาบศิลาบรรทุกลงเรือไปส่งให้พระยาราชสุภาวดี  ครั้งนั้นเรือใหญ่พระธัญญาภิบาลนำไปบรรทุกข้าวเปลือกเสียหมด  มีแต่เรือเล็กอยู่หลายลำ  แต่รั่วมาก  เลือกได้เรือเล็กสองลำบรรทุกปืนไปลำละ ๑๐๐ กระบอก  ลงไปตามลำแม่น้ำโขง  ก็ถูกตอล่มลงลำหนึ่ง  ลำหนึ่งลงไปถึงเมืองนครพนม  คราวนี้ทรงทราบว่าเรือล่มสมกับคำพระยาเพชรบูรณ์กราบทูลทุกประการ  จึงหายกริ้วพระยาเพชรบูรณ์และพลอยไม่โกรธหลวงชาติเสนีที่นำเรือบรรทุกปืนไปล่มเสียลำหนึ่ง  เสียปืน ๑๐๐ กระบอกและดินดำด้วยหลายสิบถังจมน้ำเสีย  ดำได้แต่ปืน


          ครั้งนี้โปรดเกล้าให้พระยาประกฤษณุรักษ์ไปตามช้างที่ค่ายเขาสารมายังพรานพร้าว  ให้พระยาเพชรบูรณ์บรรทุกปืน ๑,๓๐๐ กระบอก  กับดินดำและกระสุนปืนไปสั่งที่ค่ายพระยาราชสุภาวดี  ปืนและกระสุนดินดำก็ถึงค่ายพระยาราชสุภาวดีโดยสะดวกไม่เสียหาย  (เพราะพระยาเพชรบูรณ์ที่ชำนิชำนาญทางแม่น้ำโขงและทางป่าด้วย)

          ครั้งนั้น  เจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายกแม่ทัพไปตีหล่มสักได้แล้วยกมาตั้งค่ายอยู่ที่พรานพร้าว  ป่วยหลายวันก็ถึงอสัญกรรม  กรมพระราชวังบวรฯ จึงมีรับสั่งให้บุตรหลานญาติที่ตามขึ้นไป  ให้นำศพลงมากรุงเทพฯ  พระราชทานช้างและโคต่างให้เป็นพาหนะพอสมควรกับพวกพ้องบ่าวข้าที่จะนำศพกลับลงไปกรุงเทพฯ

          กองทัพไทยที่ขึ้นไปเมืองเวียงจันทน์ครั้งนั้น  ไพร่พลตายด้วยศาสตราวุธข้าศึกนั้นน้อย  ตายด้วยไข้โรคป่วง  และตายด้วยไข้ป่าไข้พิษ  ไทยตายด้วยอดอยาก  สามอย่างนั้นมากกว่ารบกันตายด้วยเครื่องศาสตราวุธ...”

          พักไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกันนะ  วันพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, ฟองเมฆ, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #28 เมื่อ: 12, เมษายน, 2563, 10:37:19 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๒๙ -

กรมพระราชวังบวรฯกลับ
ทรงพักทัพโคราชไม่รีบด่วน
สั่งซ่อมแซมคูกำแพงแต่งที่ควร
ให้ทุกส่วนที่ถูกเผาเข้ารูปรอย

แล้วกลับกรุงเข้าเฝ้าเจ้าอยู่หัว
กราบทูลทั่วที่ทรงทำไม่ท้อถอย
จึงโปรดเกล้าฯเลื่อนยศทั้งใหญ่น้อย
“พระยาสิงห์”สวมสร้อย “เจ้าพระยา”


          อภิปราย ขยายความ........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน“อานามสยามยุทธ”ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ  เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง)  มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ทรงจัดการบ้านเมืองเวียงจันทน์และเมืองบริวาร  มอบหน้าที่พระยาราชสุภาวดี (สิง) อยู่จัดการบ้านเมืองแทนพระองค์  ให้กองทัพพระยาเพชรบูรณ์เข้ารวมกับพระยาราชสุภาวดี  และให้ขนเสบียงอาหาร  อาวุธยุทโธปกรณ์จากทัพหลวงไปใส่ไว้ในกองทัพพระยาราชสุภาวดี  วันนี้มาดูความต่อไปครับ


           “อนึ่ง  ทัพพระยาราชนิกูลและพระยารามคำแหง  พระยาราชวังเมือง  พระยาจันทบุรี  ซึ่งยกขึ้นไปทางเมืองเขมรป่าดงละทางตะวันออกนั้น  ไม่ได้ต่อสู้รบด้วยข้าศึกลาวเลย  เพราะไม่ได้มีใบบอกข่าวราชการมายังแม่ทัพหลวงให้ทราบบ้าง (กับไม่ได้ยินข่าวลือว่าแม่ทัพทั้ง ๔ คนนั้น  จะได้ราชการสิ่งใดในการศึกสงครามนั้นก็ไม่มี  มีแต่ไปตั้งทัพยับยั้งอยู่ที่ปลายเขตแดน เขมร, ญวน กับลาวต่อกันทางเขาหลวงลีผีเป็นที่พรมแดนญวน, เขมร  กับไทยต่อกันเท่านั้น  ตั้งอยู่ตำบลนี้เป็นที่ห่างเหินเกินกับที่จะต่อรบกับข้าศึกลาว  ต้องกับคำโบราณว่า  “อยู่สุดเสียงปืนอายุยืนกว่าพัน”  เป็นจะเป็นเช่นนั้นบ้างดอกกระมัง)

           ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรดำรัสสั่งพระยาเสน่หาภูธรให้มีบัตรหมายบอก พระยา, พระ, หลวง, นายทัพนายกองทัพทั้งหลาย  ให้ตระเตรียมพลทหารไว้ให้สรรพ  อีกแปดวันจะเสด็จพระราชดำเนินยกกองทัพหลวงกลับลงไปยังกรุงเทพฯ  ตามท้องตราซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรีเชิญขึ้นมาหากองทัพกลับนั้น


           ครั้น ณ วันพฤหัสบดีเดือนแปดขึ้นเก้าค่ำ  เวลาประจุสมัยจวนจะใกล้ ๆ อรุณรุ่งสว่าง  ได้มหาศุภมงคลนักขัตฤกษ์แล้ว  ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ ทรงเครื่องศิริราชปิลันทนาอะลังการสรรพาภรณ์บวรวิภูษิต  วิจิตรด้วยเครื่องอนันตะราโชปโภคสำหรับพระขัติยะราชรณยุทธพร้อมเสร็จ  เสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งพังเทพยลิลา  สูงห้าศอกคืบหกนิ้ว  ผูกเครื่องมั่นมีพระที่นั่งกระโจมทองสี่หน้าหลังคาหักทองขวางยอดเกี้ยว เป็นพระคชาธาร  และพังมณีนพรัตน์สูงห้าศอกคืบสี่นิ้ว เป็นพระคชาธารพระที่นั่งรอง  ผูกเครื่องมั่นมีพระที่นั่งวอช่อฟ้าหลังคาสี  พระที่นั่งทรงนั้นหลวงอินทรคชลักษณ์เป็นหมอ  ขุนคชศักดิ์บริบาลเป็นควาญ  เป็นข้าหลวงเดิมทั้งสองนาย  พร้อมด้วยจัตุรงค์คชบาท  ราชบริพารทวยหาญแห่นำตามเสด็จพร้อมพรั่ง  ทั้งช้างดั้งช้างกันอนันตะคชพยุหยาตรา  สรรพด้วยพหลพลพยุหโยธาหาญ  ราชบริพารตามกระบวนบวรมหาพิชัยสงครามพร้อมเสร็จ  เสด็จพระราชดำเนินเป็นทัพหลวง  ล่วงมัคทุเรศนิคมเขตมาลาว์มหาสถลมารค  ประทับร้อนแรมมาจากค่ายพรานพร้าวยี่สิบสองเวน  บรรลุถึงเมืองนครราชสีมาในเวลาบ่ายสองโมง ณ วันพุธเดือนแปดแรมสิบสี่ค่ำ  จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับแรม  อยู่บนพลับพลาไชยในค่ายเก่าคืนหนึ่ง


           รุ่งขึ้น ณ วันพฤหัสบดีเดือนแปดแรมสิบห้าค่ำ  โปรดเกล้าฯ พระราชทานอาหาร  สิ่งของเงินตรา  เสื้อผ้าแก่ไพร่บ้านพลเมืองนครราชสีมาที่อดอยากเป็นอันมาก  แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายทัพนายกองทั้งหลายคุมพลทหาร  แบ่งหน้าที่กันไปซ่อมแซม  ก่อกำแพงเมืองนครราชสีมาที่ปรักหักพัง  ที่เจ้าอนุสั่งให้ทำลายรื้อเสียด้านหนึ่งนั้น  โปรดให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ให้เหมือนดังเก่า  แต่คูเก่ารอบนอกกำแพงเมืองนครราชสีมานั้นตื้นดอนมากแล้ว  จึงโปรดให้กองทัพแบ่งหน้าที่กันขุดมูลดินเก่าขึ้น  ให้ลึกกว้างกว่าเก่ารอบกำแพงแล้ว  จึงดำรัสสั่งพระยาอร่ามมณเฑียรให้อยู่ที่เมืองนครราชสีมา  เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์พระอารามพระอุโบสถวิหารการบุญเปรียญเสนาสนะ  ที่ปรักหักพังทั้งสองพระอารามในกำแพงเมืองนครราชสีมา  ที่ชำรุดมาช้านานให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ให้งดงามบริบูรณ์ไว้ในพระศาสนา  จะได้เป็นพระเกียรติยศแผ่นดินสยามต่อไปภายหน้าด้วย

           พระยาอร่ามมณเฑียรเลือกนายช่างไว้ ๓๐ คน   กับไพร่พลในกองทัพกรุงขอไว้ ๕๐ คน  รวมเป็น ๘๐ คน  แล้วเกณฑ์คนที่เมืองนครราชสีมาอีก ๒๐๐ คน  ให้ทำอิฐเผาปูนและตัดไม้ทำการงานในพระอารามทั้งสองตามรับสั่งนั้น


           กรมพระราชวังบวรฯ ประทับอยู่ในค่ายนอกเมืองนครราชสีมานั้นหกวัน  จึงเจ้าพระยานครราชสีมามากราบบังคมทูลเชิญเสด็จ  ให้เข้าไปทอดพระเนตรในเมืองนครราชสีมา  จึงเสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานผูกแปด  มีกระบวนแห่นำตามเสด็จไปเป็นอันมาก  เสด็จไปทอดพระเนตรในเมืองนครราชสีมาหลายแห่ง  ทอดพระเนตรพระอารามทั้งสองที่ทรงปฏิสังขรณ์ด้วย  ทอดพระเนตรทั่วแล้ววันหนึ่ง  จึงเสด็จกลับออกมาประทับอยู่ในค่ายอีกวันหนึ่ง  จึงเสด็จกรีธาทัพหลวงจากเมืองนครราชสีมา  ลงมาทางดงพระยาไฟ  ตัดทางมาลงยังท่าราบแขวงเมืองสระบุรี  ประทับที่พลับพลาท่าราบสี่วัน  แต่พอนายทัพนายกองที่ตามเสด็จพระราชดำเนินมาพร้อมกันแล้ว  จึงเสด็จประทับในเรือพระที่นั่งบัลลังก์ศรีชื่อกาพย์สุวรรณมาลา  พร้อมด้วยเรือขบวนดั้งกันแห่นำตามเสด็จมาถึงกรุงเทพฯ ณ วันจันทร์เดือนเก้า  แรมสามค่ำ  เวลาบ่ายสามโมง   ในเวลาวันนั้นกรมพระราชวังบวรฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินลงไปเฝ้าในพระราชวังหลวง  กราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยข้อราชการศึกเสร็จทุกประการ  แล้วกราบทูลสรรเสริญยกย่องความชอบพระยาราชสุภาวดี (สิง)ว่า     “ใจกล้าหาญในการศึกสงครามและฝีมือก็เข้มแข็งองอาจสามารถ  ทั้งสติปัญญาก็หลักแหลมพร้อมด้วย  จะหาผู้ใดเสมอมิได้ในทุกวันนี้”


           พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบดังนี้  จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งพระศรีสหเทพ  ให้มีท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปยังกองทัพเมืองเวียงจันทน์  ให้ประกาศความชอบในพระยาราชสุภาวดี  ให้เลื่อนยศขึ้นเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่  พระราชทานพานหมากทองคำ  คนโทน้ำทองคำ  และเครื่องยศอย่างเสนาบดีผู้ใหญ่ส่งขึ้นไปพระราชทาน
           โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศพระสุริยะภักดี (ป้อม) เป็น พระราชวรินทร์  แล้วพระราชทานสิ่งของดี ๆ หลายอย่างขึ้นไปให้พระราชวรินทร์ (ป้อม) สำหรับให้เจ้าอุปราชเวียงจันทน์  เป็นการแทนคุณเจ้าอุปราช  ที่เขาช่วยแก้ไขมีหนังสือมาถึงเจ้าอนุให้ลงไปกรุงเทพฯ ได้
           แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศพระณรงค์สงครามจางวางส่วยทองเมืองนครราชสีมา  เป็นพระยาณรงค์สงคราม  พระราชทานถาดหมากทองคำ  คนโทน้ำทองคำ เป็นเครื่องยศ


           โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาเทพ เจ้ากรมพระตำรวจ ๑    หลวงศรีเสนากรมมหาดไทย ๑    ขุนมหาสิทธิโวหารกรมพระอาลักษณ์ ๑    เชิญท้องตราตั้งเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิง)   และพระราชวรินทร์ (ป้อม)   พระยาณรงค์สงคราม (มี)  กับเครื่องยศขึ้นไปพระราชทานที่ค่ายเมืองเวียงจันทน์  ที่ตำบลพรานพร้าวนั้นพร้อมกันทั้ง ๓ คนตามบรรดาศักดิ์...”

           * อย่างนี้คำสมัยใหม่เรียกว่า  “กรรมติดจรวด”  นะครับ  พระยาราชสุภาวดี (สิง)   พระสุริยะภักดี (ป้อม)   พระณรงค์สงคราม (มี)   ใช้ความรู้ความสามารถทำกรรมดี  เป็นความดีความชอบแก่ราชการศึกสงคราม  กรรมดีที่ทำได้ผลทันที  โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศตำแหน่งให้  พระยาราชสุภาวดี เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ที่สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี    พระสุริยะภักดี (ป้อม) เลื่อนขึ้นเป็นพระราชวรินทร์   และ   พระณรงค์สงคราม เสนาธิการกองทัพเมืองนครราชสีมา (ตำแหน่งที่ผมคิดตั้งเอง)  เลื่อนขึ้นเป็นพระยาที่ พระยาณรงค์สงคราม  เป็นการแต่งตั้งยศศักดิ์กันในกลางสนามรบเลยทีเดียว

           เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, ปิ่นมุก, ฟองเมฆ, เฒ่าธุลี, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #29 เมื่อ: 13, เมษายน, 2563, 11:10:38 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

(ซ้าย) เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ภายหลังคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์
รับบทโดย วิวัฒน์ ผสมทรัพย์ ในละคร “ข้าบดินทร์”
(ขวา) ภาพสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)

- อานามสยามยุทธ ๓๐ -

สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าสยาม
ตอบเวียดนามรวบรัดตัดปัญหา
เจ้าอนุเป็นขบถหมดเมตตา
จึงไล่ล่าทั่วลาวหนีเข้าญวน

“เจ้าพระยาราชสุภาวดี”
ไม่รอรีอยู่ลาวเร่งกลับด่วน
นำพระบาง,อุปราชร่วมขบวน
ทุกสิ่งล้วนทูนเกล้าฯ เจ้าแผ่นดิน


           อภิปราย ขยายความ........................

           เมื่อวันวานนี้ได้นำความใน“ อานามสยามยุทธ” ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียบเรียงตามบันทึกในราชการสงครามของท่านเจ้าพระบดินทรเดชา (สิง) มาให้อ่านกันถึงตอนที่  กรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพกลับคืนพระนคร  เข้าเฝ้าถวายบังคมกราบทูลข้อราชการศึกสงครามกับลาวจนได้ชัยชนะทุกประการ  แล้วตรัสสรรเสริญพระยาราชสุภาวดีว่าเป็นคนดีมีฝีมือและสติปัญญา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบทุกประการแล้ว  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เลื่อนให้พระยาราชสุภาวดี (สิง)  เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี   ให้พระสุริยะภักดี (ป้อม) ขึ้นเป็นพระราชวรินทร  และ  ให้พระณรงค์สงคราม (มี) จางวางส่วยทองเมืองนครราชสีมา  เป็นพระยาณรงค์สงคราม  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ


            “พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังมีหนังสือบอกเรื่องเจ้าอนุเมืองเวียงจันทน์เป็นขบถต่อกรุงเทพฯ    บอกไปถึงองเล่โปเสนาบดีที่กรุงเว้ฝ่ายญวนฉบับหนึ่ง  ให้ส่งทางเมืองเขมร  เขมรส่งต่อ ๆ ไปจนถึงเมืองไซ่ง่อน  ซึ่งเป็นหัวเมืองเอกของญวน

           ใจความในหนังสือนั้นตัดเนื้อความแต่สั้น ๆ  พอรู้การว่า  เจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถต่อกรุงเทพฯ  กรุงเทพฯต้องยกกองทัพใหญ่ขึ้นไปปราบปราม  การจลาจลสงบราบคาบไปสิ้นแล้ว  แต่บัดนี้เจ้าอนุผู้ทำความผิดคิดมิชอบ  สู้กองทัพไทยไม่ได้  ก็หนีไปอาศัยอยู่ในหัวเมืองซึ่งเป็นเขตแดนของญวน  ผู้ครองฝ่ายไทยจะให้กองทัพยกเข้าไปติดตามจับเจ้าอนุในเขตแดนญวนนั้น  ก็เกรงว่าจะเสียทางพระราชไมตรี  จึงได้สั่งให้กองทัพไทยรั้งรอไว้แต่ที่เขตแดนของไทยซึ่งติดต่อที่พรมแดนกับญวนก่อน  จึงได้บอกให้องเล่โปเสนาบดีฝ่ายญวนทราบ  เสนาบดีฝ่ายญวนทราบแล้ว  ขอให้นำข้อความในหนังสือฉบับนี้ขึ้นกราบทูลเจ้าเวียดนามให้ทรงทราบด้วยเทอญ (ตัดเนื้อความยาวว่าแต่สั้น ๆ เป็นแต่ใจความ)


           ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิง) ว่าที่สมุหนายกนั้น  ได้ตั้งพักพลทหารอยู่ที่ค่ายท่าซ่ม  ใกล้พรานพร้าว   ก็จัดการบ้านเมืองลาวเรียบร้อยปกติ  จึงสั่งให้พระราชวรินทร (ป้อม) ไปกวาดต้อนครอบครัวมาไว้ที่บ้านพรานพร้าวได้มากแล้ว  จึงได้แบ่งลาวไว้ให้อยู่เป็นพลเมืองเวียงจันทน์บ้างพอสมควร  ให้เพี้ยเมืองเวียงจันทน์อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ต่อไป  ครอบครัวที่เหลือนั้นเป็นอันมาก  จึงให้นายทัพนายกองกวาดต้อนลงมากรุงเทพฯ  ให้เดินครัวเป็นลำดับเนื่อง ๆ ลงมาหลายทางหลายสาย


พระบาง

           เจ้าพระยาราชสุภาวดีสืบติดตามหาพระบางได้ที่ในถ้ำเขาแก้ว  ซึ่งข้าพระพาไปซ่อนไว้นั้น  ตามมาได้แล้ว  จึงเชิญพระบางขึ้นช้าง  พาเจ้าอุปราชเวียงจันทน์กับพระยาเชียงสาลงมากรุงเทพฯ  ให้พระราชวรินทร (ป้อม) เป็นแม่ทัพหน้ายกลงมาทางดงพระยาไฟ     ให้พระยาเพชรบูรณ์ต้อนครัวลงไปทางเมืองเพชรบูรณ์ส่งยังกรุงเทพฯ     ให้พระยาณรงค์สงครามเป็นนายทัพหลวง  ต้อนครัวมาพร้อมกัน

           ถึงกรุงเทพฯ เมื่อเดือนสามปีกุน นพศกจุลศักราช ๑๑๘๙ ปี  เข้าเฝ้าพระกรุณาในท้องพระโรง  จึงมีพระบรมราชโองการตรัสว่า


            “เจ้าอนุก็ยังจับตัวหาได้ไม่  มันจะกลับมาตั้งบ้านเมืองอีกต่อไปประการใดก็ไม่แจ้ง  เมืองเวียงจันทน์นี้เคยเป็นขบถมาสองครั้งแล้ว  ครั้งนี้ไม่ควรที่จะเอาไว้ให้เป็นบ้านเมืองอยู่สืบต่อพืชพันธุ์ขบถเลย  ซึ่งเจ้าพระยาราชสุภาวดีคิดนั้น  หาถูกกับความดำริเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไม่  ซึ่งเจ้าพระยาราชสุภาวดีคิดจัดแจงแต่งบ้านเมืองเวียงจันทน์เสียให้สิ้นเชิง  และกวาดต้อนครอบครัวลงมาในบ้านเมืองเราให้หมด  จงทำเมืองเวียงจันทน์เป็นป่าไป  ไม่ให้เป็นบ้านเมือง”


วัดจักรวรรดิราชาวาส

           แต่พระบางนั้นให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิง) นำไปทำพระวิหารไว้ที่ในวัดจักรวรรดิ (คือวัดสามปลื้ม)  เป็นวัดของพระยาอภัยราชา (ปิ่น)  ซึ่งเป็นบิดาเจ้าพระยาราชสุภาวดี

           แต่เจ้าอุปราชเมืองเวียงจันทน์นั้น  โปรดเกล้าฯ ให้ยกครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเจ้าอนุที่บางยี่ขัน กรุงเทพฯ

           ทรงขัดเคืองเจ้าพระยาราชสุภาวดีมากนัก  ที่ไม่ทำลายล้างเมืองเวียงจันทน์ให้สาบสูญเสียสิ้น  กลับมาคิดตั้งแต่งขึ้นให้เป็นบ้านเมืองต่อไป  ไม่โปรดเพราะเหตุฉะนั้น   จึงไม่โปรดตั้งให้เป็นเจ้าพระยาจักรี  ให้เป็นแต่เจ้าพระยาราชสุภาวดี  ว่าที่สมุหนายกอยู่ก่อน


           ครั้น ณ เดือนเจ็ดปีชวด สัมฤทธิศกนั้น  เจ้าพระยาราชสุภาวดีกราบถวายบังคมลายกทัพไปเมืองเวียงจันทน์อีก  ตามพระราชดำริให้ทำลายล้างเมืองเวียงจันทน์เป็นป่า  ได้เดินกองทัพขึ้นทางดงพระยาไฟ  พักพลที่เมืองนครราชสีมา  ขอช้างม้าไปเป็นพาหนะ  และนำท้องตราให้เจ้าพระยานครราชสีมาดู  จะได้รู้ว่าเกณฑ์ผู้คนช้างม้าโคต่างเท่าใดตามหัวเมืองรายทางด้วย  ให้เจ้าพระยานครราชสีมาเป็นผู้ช่วยในข้อราชการที่จะต้องการต่อไปภายหน้า  

           ครั้งนั้น  เจ้าพระยานครราชสีมาป่วย  จึงให้พระยาทุกขราษฎร์ ๑    พระยาประสิทธิ์คชลักษณ์จางวางกรมช้างกองนอก ๑    พระยาพรหมยกกระบัตรเมืองนครราชสีมา ๑    พระณรงค์สงครามจางวางส่วยทอง ๑    พระมหาดไทย ๑    พระศุภมาตรา ๑    กับพระนรินทรารักษ์ ๑    กับพระ,หลวง, ขุน, หมื่น  กรมการเมืองนครราชสีมา  คุมพลทหารเดินเท้าและช้างม้าตามท้องตราที่เกณฑ์ขึ้นมานั้น  ให้ยกไปในกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดีครั้งนี้ด้วย  แต่เจ้าพระยานครราชสีมานั้นก็พูดว่า    “ถ้าหายป่วยจึงจะยกตามขึ้นไปต่อภายหลัง  จึงให้พระยาพรหมยกกระบัตรคุมพลถ่ายเสบียงอาหารไปส่งนั้นด้วย”


           ฝ่ายกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดี  และทัพพระยานายทัพนายกองทั้งหลาย  พร้อมกันยกออกจากเมืองนครราชสีมา  ขึ้นไปถึงภูเขียวเมื่อเดือนแปดบูรพาสาธ  พักทัพที่นั้น  เกณฑ์พลทหารทั้งเสบียงอาหารได้พร้อมแล้ว  จึงยกขึ้นไปถึงหนองบัวลำภู  ตั้งค่ายพักพลอยู่ที่นั้นพอสมควร     เจ้าพระยาราชสุภาวดี แต่งให้พระยาราชรองเมือง ๑   พระยาพิชัยสงคราม ๑   พระยาทุกขราษฎร์เมืองนครราชสีมา ๑   หลวงสุเรนทรวิชิต ๑   สี่นายนี้เป็นแม่ทัพนายกองคุมไพร่พล ๑,๐๐๐  เป็นทัพหน้ายกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่พรานพร้าวที่ค่ายหลวงเก่า  เพื่อจะได้ตรวจตราราชการเมืองเวียงจันทน์

           ฝ่ายพระยาราชรองเมือง  พระยาพิชัยสงคราม  สั่งให้หมื่นเทพภักดีคุมไพร่ ๑๐ คนลงเรือเล็กข้ามฟากไปในเมืองเวียงจันทน์  ให้ไปหาตัวเพี้ยเมืองจันทน์กับท้าวเพี้ยน่า  มาปรึกษาราชการที่ ณ ค่ายพรานพร้าว

          สักครู่หนึ่งไพร่ที่ไปด้วยกับหมื่นเทพภักดีกลับมาสามคนแจ้งความว่า    “ลาวในเมืองเวียงจันทน์จับหมื่นเทพภักดีกับไพร่ไว้ ๗ คน   อีก ๓ คนนี้ยังมีอยู่ที่ในเรือ  เห็นพวกลาวในเมืองเวียงจันทน์เป็นอันมากถือเครื่องศาสตราวุธครบมือกัน  บ้างเดินบ้างวิ่งสับสนวุนวายป่วนปั่นกันอยู่มาก  เมื่ออาการประหลาดดังนั้นแล้ว  จึงถอยเรือข้ามฟากกลับมาทั้งสามคน”


           ฝ่ายท่านพระยาราชรองเมืองแม่ทัพได้ทราบเหตุการณ์ดังนั้นแล้ว  จึงแบ่งไพร่พลทหารในกองทัพ ๕๐๐ คน  ให้พระยาพิชัยสงครามกับพระยาทุกขราษฎร์  และหลวงสุเรนทรวิชิต  เป็นนายทัพนายกองคุมไพร่ลงเรือเก่าที่หน้าค่ายหลวง ข้ามฟากไปสืบข่าวราชการในเมืองเวียงจันทน์
          ครั้นพระยาพิชัยสงคราม  พระยาทุกขราษฎร์  หลวงสุเรนทรวิชิต  ข้ามฟากถึงฝั่ง  ยกเข้าไปตั้งอยู่ที่วัดกลางในเมืองเวียงจันทน์  ฝ่ายเพี้ยเมืองจันทน์ผู้รักษาเมืองเวียงจันทน์นั้น  จึงนำข้าวปลาอาหารมาต้อนรับคำนับพระยาพิชัยสงคราม  แล้วแจ้งความว่า หมื่นเทพภักดีกับไพร่ไทย ๗ คนมาถึงในบ้านเมือง  เป็นความยินดีต้อนรับจับมือถือแขนพาไปเลี้ยงดูตามธรรมเนียม  ข้าหลวงมาถึงบ้านเมือง  หาได้จับกุมทำอะไรไม่  แต่คนที่อยู่ในเรือหาขึ้นไม่  กลับไปเสียโดยเร็ว  แล้วจึงพาหมื่นเทพภักดีกับไพร่ไทย ๗ คนมาหาพระยาพิชัยสงคราม
          พระยาพิชัยสงครามถามหมื่นเทพภักดี  หมื่นเทพภักดีก็รับว่า    “จริงดุจคำเพี้ยเมืองจันทน์ว่านั้นทุกประการ  แต่ข้อที่พวกลาวในเมืองเวียงจันทน์ถือเครื่องศาสตาวุธมากวิ่งวุ่นวายนั้น  หมื่นเทพภักดีรับว่ามีจริง”   ถามลาว ลาวแก้ว่า   “เมื่อเห็นคนมากับเรือแต่ไกล  ไม่รู้ว่าไทยหรือพวกใด  จึงได้ตระเตรียมอาวุธไว้เพื่อเป็นการรักษาบ้านเมือง  ตามคำสั่งเจ้าพระยาราชสุภาวดี”

            (เมื่อพิเคราะห์การนี้ดูก็เห็นว่า  แต่เดิมนั้นลาวเห็นไทยมาน้อย  ก็จะคิดทำร้ายจริง  ครั้นเห็นกองทัพไทยที่อยู่ฝั่งพรานพร้าวมา  จึงไม่ทำร้ายแก่ไทยเจ็ดคน  แปดทั้งนายนั้น  ลาวกลับประจบประแจงนำความดีมากลบความร้ายเสีย)

           * ศึกไทย-ลาวยกสองเริ่มขึ้นแล้ว  เรื่องราวจะทวีความดุเดือดเข้มข้นมากขึ้น  เพราะมีญวนเข้ามาร่วมวงยุทธนาการด้วย  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.


<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>


เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, กลอน123, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ปิ่นมุก, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 12   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.498 วินาที กับ 345 คำสั่ง
กำลังโหลด...