การส่งรับสัมผัส ท้ายวรรค ๒ ส่งสัมผัสไปยัง ท้ายวรรค ๓ และ ๕
ท้ายวรรค ๔ ส่งสัมผัสไปยัง ท้ายวรรค ๗ ดังมีโคลงบอกลักษณะสัมผัสโคลงดังนี้..
๑ ให้ปลายบาทเอกนั้น มาฟัด
ที่ห้าบทสองวัจน์ ชอบพร้อง
บทสามดุจเดียวทัด ในที่ เบญจนา
ปลายแห่งบทสองต้อง ที่ห้าบทหลัง
การส่ง รับสัมผัสระหว่างบท คำท้ายบทแรก ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓
ของวรรคแรกบทต่อไป เมื่อตั้งใจให้โคลงต่อเชื่อมกันโดยมีร้อยสัมผัส แต่ผู้ที่แต่งโคลง
ต่อกันไปหลายบทโดยไม่ส่ง – รับสัมผัสกันก็มี ทั้งนี้มิได้ถือเป็นสิ่งผิดเช่นกลอน
คำสร้อยจะเติมเมื่อความยังไม่สมบูรณ์ หรือไม่เติมก็ได้เมื่อได้ความสมบูรณ์แล้ว
คำมักลงท้ายคำเดิมตามโบราณ เช่น คำที่ใช้ในลักษณะบอกกล่าวมี ... พ่อ, ... แม่, ... พี่, เช่น นาแม่ , แลพ่อ ฯ
คำที่ใช้ในลักษณะว่าต้องเป็นดังนั้น มี ... นา, ... นอ, ... เนอ, ...ฮา, คำที่มีลักษณะ เรียกร้อง ...เอย,
คำที่มีลักษณะ เชิงคำถาม ...ฤๅ, ลักษณะหมายว่าต้องเป็นเช่นนั้น ...แล , ...แฮ,
คำที่มีลักษณะบอกว่า เป็นทำนองเดียวกัน ...ก็ดี, คำที่มีลักษณะอยากให้คล้อยตาม ...เฮย,
นอกนี้ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ใช้กันไม่มากเช่น อา, ฮือ, ฮอ ฯ
โคลงมีข้อจำกัดจำนวนคำ และข้อจำกัดของเสียงที่มิอาจให้จัดจ้านอย่างกลอนได้
จึงจำต้องเลือกสรรคำอย่างละเมียดพิถีพิถัน เพื่อให้เกิดรสแห่งคำและความอันซาบซึ้ง
ได้ดีภายในข้อจำกัดดังกล่าว ดังโคลงในหนังสือสามกรุง ของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
๑ โคลงดีดีด้วยรจ นานัย ไฉนนอ
ต้องจิตติดหฤทัย เทิดถ้วน
ไพเราะรศคำไพ เพราะรศ ความเฮย
สองรศพจนล้วน พิทยล้ำจำรูญ
ด้วยข้อจำกัดของคำ และเสียงดังกล่าวแล้ว ผู้ที่จะอ่านโคลงให้ได้รส ดั่งผู้แต่งมุ่งหมาย
ทั้งได้ความซาบซึ้งตรึงใจไปพร้อมกันนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจความหมายของคำได้ลึกซึ้งเช่นกัน
เพราะโคลงอาจไม่สะดวกในการที่จะอารัมภบท และขยายความได้เช่นดั่งกลอน