Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 64753 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #195 เมื่อ: 27, สิงหาคม, 2568, 04:52:32 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๔) ๕๑.นิวาปสูตร

   ๒๖.สงฆ์ดลลุล่วงแล้ว.........................."สัญญา เวทยิตฯ"
สงฆ์ยิ่งปัญญามา...................................เก่งพร้อม
ตัดกิเลสหมดนา.....................................มารบาป มิเห็น
สงฆ์ชื่นภาษิตน้อม..................................พุทธ์เจ้าเทิดแฉ ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. ๕. นิวาปสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/pbqOJ0EDLf52ntLAb

เชตว์นาราม = เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี สร้างถวาย
กามคุณ ๕= คือ สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้เกิดความกำหนัดยินดี มี ๕ อย่าง ได้แก่ (๑) รูปารมณ์ - สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา เช่น รูปภาพ, สีสัน, แสงสว่าง (๒) สัททารมณ์ - สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เช่น เสียงดนตรี, เสียงพูด (๓) คันธารมณ์ - สิ่งที่ได้กลิ่น เช่น กลิ่นหอมของดอกไม้, กลิ่นอาหาร (๔) รสารมณ์ - สิ่งที่ได้ลิ้มรส (๕) โผฏฐัพพารมณ์ - สิ่งที่ได้สัมผัสทางกาย เช่น ความอ่อนนุ่มของผ้า, ความเย็นของน้ำ, ความอบอุ่นของแสงแดด
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
(๑) รูปฌาน = ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ คือ
(๑.๑) ปฐมฌาน - ฌานที่ ๑ ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๒) ทุติยฌาน - ฌานที่ ๒ ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๓) ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา (๑.๔) จตุตถฌาน - ฌานที่ ๔ ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา
(๒) อรูปฌาน = ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ได้แก่
(๒.๑) อากาสานัญจายตนะ - มีความว่างเปล่าคืออากาสไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ (๒.๒) วิญญาณัญจายตนะ - มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์ (๒.๓) อากิญจัญญายตนะ - การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น (๒.๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ - จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี
สัญญาเวทยิตนิโรธ = หรือ นิโรธสมาบัติ เป็นสมาธิขั้นสูงสุดที่ดับสัญญาและเวทนา ซึ่งเป็นสมาบัติที่ผู้ปฏิบัติธรรมพึงมุ่งหวังที่จะเข้าถึง เพื่อความสงบและหลุดพ้นจากกิเลส
ทำมารให้ตาบอด = หมายถึงภิกษุนั้นมิได้ทำลายนัยน์ตาของมาร แต่จิตของภิกษุผู้เข้าถึงฌานที่เป็นบาทของวิปัสสนา อาศัยอารมณ์นี้เป็นไป (เกิดดับ) เหตุนั้น มารจึงไม่สามารถมองเห็นร่างคือญาณของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนานั้นด้วยมังสจักษุของตนได้
รูปสัญญา = คือ สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์ จะดับใน อากาสนญจายตนฌาณ เมื่อภิกษุล่วงรูปสัญญาทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน เพราะคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด  จึงดับรูปสัญญาได้
ปฏิฆสัญญา = คือ เมื่อความไม่พอใจ (ปฏิฆะ) เกิดขึ้นแล้วมีการจดจำ ความไม่พอใจนั้น ก็จะกลายเป็นปฏิฆสัญญา
นานัตตสัญญา = หมายถึงผู้ที่ได้สงบแห่งจิตที่เป็นกุศลจิตประการต่างๆ ที่เป็นสัญญาที่เกิดร่วมกับกุศลจิตต่างๆ กัน


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #196 เมื่อ: 12, กันยายน, 2568, 03:22:24 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๕๒.ปาสราสิสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยบ่วงดักสัตว์)

มุทิงคนาทฉันท์ ๑๔/ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘

    ๑.พระพุทธเจ้าประทับดั้น......................ณ เชตะวันวนาราม
แสดงพระธรรม ณ บ้านพราหมณ์..............สิ"รัมมะฯ"แก่คณาสงฆ์

    ๒.                                                           พุทธ์องค์บรรจง
ประชุมแจงตรง........................................มีกิจสองเอย
เรื่องพูดฟังชัด.........................................."กถาวัตถุ"เผย
อริยะนิ่งเชย.............................................สมาบัติฌาน

    ๓.พระพุทธองค์ซิทรงตรัส.....................แสดงสิชัดเจาะสองพาน
ประเสริฐและไม่ประเสริฐขาน...................มนุษย์ก็หลงและวนไกล

    ๔.                                                            ไม่เลิศเป็นใด
ธรรมดาคนไว...........................................มีเกิดอยู่เดิม
ยังหาสิ่งเกิด.............................................เลิศกว่ามาเสริม
สิ่งนั้นหาเติม.............................................หลากหลายสิ่งเลย

    ๕.ซิธรรมดาก็มี"แก่"...............................ลุ"ไข้"ซิแน่จะ"ตาย"เผย
กุเศร้าและหมองก็ครองเอ่ย........................เสาะหาและเพิ่มตลอดครัน

    ๖.                                                             หากถามใดกัน
สิ่ง"เกิด"ที่ยัน.............................................เป็นธรรมดา
ลูก,เมีย,หมา,ทอง.......................................ตรองปกติหนา
"อุปธิ"เรียกพา...........................................พัวพันหลงแล

    ๗.อะไรเจาะพร่ำวะสิ่งที่.........................."ชรา"จะมีซิจริงแฉ
สิป่วยลุตายและเศร้าแน่.............................ก็ลูกและเมีย..คะคล้ายกัน

    ๘.                                                             แสวงเลิศครัน
บางคนทราบพลัน......................................มีเกิดธรรมดา
รู้โทษสิ่งนี้.................................................ชี้สิ่งต้องหา
นิพพานจะพา............................................มิเกิดอีกเลย

    ๙.ซิคนเจาะรู้วะตนไซร้...........................ชราและไข้จะตายเอย
เจาะโศกและหมองกะโทษเผย...................จะหาสิสิ่งขจัดวาย

    ๑๐.                                                           นิพพานจะกราย
พระธรรมยิ่งคลาย......................................ธรรมอื่นมิพาน
จะสุขเกษม................................................เปรมปรีดิ์สำราญ
กิเลสหมดขาน...........................................เลิกเกิดเวียนวน

    ๑๑.พระพุทธเจ้าซิตรัสโร่........................สมัยเจาะโพธิสัตว์ยล
มิได้สิตรัสรู้ดล...........................................ก็ยังแสวงสกลหนา

    ๑๒.                                                           มีเกิดธรรมดา
ก็ยังจะหา..................................................สิ่งเกิดอยู่แล
มี"แก่,ตาย,เศร้า..".......................................ยังเนาควานแฉ
หาสิ่งนั้นแว................................................เฝ้าครอบเฝ้าครอง

    ๑๓.พระพุทธเจ้าสิเล่าว่า..........................พระองค์ตริหนาวะ"เกิด"ปอง
เจาะธรรมดาไฉนต้อง.................................ปะสิ่งกุธรรมดาเผย

    ๑๔.                                                            ทางที่ดีเอย
รู้โทษแล้วเอ่ย.............................................จงหานิพพาน
เป็นธรรมยิ่งล้ำ............................................หาธรรมเทียมทาน
จะปลอดภัยฉาน.........................................ไม่"เกิด"อีกเลย

    ๑๕.ชราและตายรึโศก,หมอง....................ก็เหมือนซิตรองกะโทษเอ่ย
เหมาะควรเสาะธรรมเกษมเผย.....................มิ"เกิด"ผจญลุนิพพาน

    ๑๖.                                                           ต่อเมื่อบวชกราน
มั่นกุศลชาญ..............................................มุ่งสงบเอย
เสด็จสำนัก.................................................ปัก"อาฬาร"เผย
เรียนธรรมครบเอ่ย....................................."อากิญจัญฯ "แล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #197 เมื่อ: 13, กันยายน, 2568, 08:35:17 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

    ๑๗.พระองค์ตริธรรมมิคลายชัด............ลิหน่ายสงัดซิตรงแน่
มิใช่จะตรัสรู้แฉ.......................................ก็ฌานเจาะสุขประชันครา

    ๑๘.                                                           จึงลาครูมา
สู่"อุทกฯ"หนา..........................................ขอเรียนธรรมเลย
จบ"เนวสัญฯ"แน่ว....................................ยังแผ่วอยู่เผย
ไกลตรัสรู้เอย..........................................จำต้องลาไป

    ๑๙.พระองค์แสวงสิทางเลิศ..................กุศลประเสริฐลุเร็วไกล
ลุแคว้นมคธเลาะที่ใกล้.............................นทีและรื่นสงบฉาย

    ๒๐.                                                           "อุรุเวฯ"กราย
บ้านคนเรียงราย.......................................เหมาะบิณฑ์,บำเพ็ญ
พิจารณ์เกิด,แก่........................................ป่วยแน่ตายเข็ญ
โศก,เศร้าหมองเน้น..................................ลุ"ญาณทัสส์ฯ"ครัน

    ๒๑.เพราะญาณฯอุบัติสกนธ์ล้น.............วิมุตติพ้นนะเร็วพลัน
และนี่ซิชาติเจาะท้ายงัน............................ผละภพสิใหม่มิเกิดเลย

    ๒๒.                                                            ตรัสบอกสงฆ์เอย
ธรรมนี้ลึกเผย..........................................เห็นรู้ยากแล
เฉพาะบัณฑิต..........................................พิศจึงรู้แฉ
ชน"อาลัย"แล้...........................................เพลินอยู่ยากไกล

    ๒๓."อิทัปฯ,ปฏิจจะฯ"เหตุธรรม...............จะเกิดประจำและอาศัย
ลุเรียงเจาะเนื่องและผูกไว้.........................สภาพพระธรรมซิยากเห็น

    ๒๔.                                                            อิทัปปัจฯเด่น
เพราะสิ่งนี้เป็น..........................................สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด..........................................สิ่งนี้เพริดปรี่
สิ่งนี้ดับชี้..................................................สิ่งนี้ดับแล

    ๒๕.ปฏิจจะฯธรรมจะอาศัย.....................อุบัติคระไลพะพร้อมแว
และสืบเจาะเหตุประชิดแฉ........................."อวิชชะ"มีกุสังขาร

    ๒๖.                                                            เพราะ"อุปาทาน"
เหตุยึด"ภพ"พาน.......................................จึงก่อมีเอย
ภพเป็นปัจจัย............................................ไซร้"ชาติ,เกิด"เสย
มี"ชาติ,แก่"เคย..........................................ตาย,โศกครวญตาม

    ๒๗.พระพุทธเจ้าตริธรรมยาก..................กิเลสฉะพรากลิ"อยาก"กาม
นิโรธลุดับนิราวาณ.....................................ผิชนมิซึ้งจะเหนื่อยสอน

    ๒๘.                                                              พุทธ์องค์คิดทอน
ไม่ประกาศจร.............................................พระศาสนาไกล
ผู้มีโกรธอยู่................................................ชูราคะไว
ถูกครอบงำใจ.............................................ยากจะรู้เอย

    ๒๙.เพราะทวนกระแสลุธรรมโข................นิกรเจาะโมหะหุ้มเอ่ย
จะรู้และเห็นมิได้เลย....................................พระองค์ริไม่แสดงธรรม

    ๓๐.                                                               "สหัมบ์ดีฯ"คิดนำ
โลกฉิบหายหนำ..........................................ไม่ทรงสอนชน
สหัมบ์ดีพรหมมา..........................................อาราธ์นาดล
ผู้กิเลสยล...................................................น้อยอยู่ยังมี

    ๓๑.จะเปรียบกะตาซิฝุ่นโลด.....................ลุน้อยเพราะโกรธมิมากชี้
มิปิดกะปัญญะเห็นรี่.....................................พระธรรมประเสริฐลุนิพพาน

    ๓๒.                                                               โปรดสอนสัตว์ชาญ
ให้ฟังธรรมฉาน............................................เขามิ"เสื่อมลง
รู้ธรรมทั่วถึง................................................พึงตามพระองค์
ลุธรรมประสงค์............................................ศาสนาเจริญ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #198 เมื่อ: 13, กันยายน, 2568, 02:21:15 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

    ๓๓.สหัมฯก็ทูล ณ กาลก่อน..................พระธรรมสิทอนสะอาดเดิน
ริผู้เจาะมัวเปรอะเปื้อนเยิน........................มคธปะครูสิหกทำ

    ๓๔.                                                           ขอทรงเปิดนำ
อมฤตธรรม.............................................ให้ฟังธรรมเอย
พุทธ์องค์บริสุทธิ์......................................รุดตรัสรู้เผย
มีตาเยี่ยมเชย...........................................มองชนกว้างไกล

    ๓๕.พระองค์ซิอยู่ ณ ปราสาท................จะสูงและยาตรเจาะธรรมไว
นิกรลุทุกข์เลาะเกิดไซร้............................ชราจะงำตลอดกาล

    ๓๖.                                                            ผู้ทรงเพียรงงาน
"ผู้ชนะ"เหล่ามาร......................................."ผู้นำหมู่"พา
จูงสัตว์พ้น"เกิด"........................................สิ่งเชิดร้ายหนา
"ผู้ไร้หนี้"พร่า............................................"กามฉันทะ"แล

    ๓๗.พระองค์ลุยืนตระเวณนำ..................แสดงพระธรรมกะสัตว์แล้
และสัตว์จะพึงประจักษ์แฉ.........................พระพุทธะรับอะราธนา

    ๓๘.                                                            พุทธ์องค์เมตตา
ตรวจทั่วโลกา...........................................อินทรีย์สัตว์เอย
กิเลส,ความเพียร.......................................เชียรปัญญาเผย
มีน้อย,มากเอ่ย..........................................สอนง่าย,ยากครา

    ๓๙.เพราะพุทธจักษุเห็นชี้.......................มนุษย์ซิมีเหมาะไหมนา
กิเลสซิทราม,ลุศรัทธา................................สมาธิ์ระดับสิแค่ไหน

    ๔๐.                                                             ทรงเปรียบคนไว
บัวสี่เหล่าไซร้............................................."ในน้ำ,ปริ่ม"แล
พ้นน้ำ,และสี่...............................................ชี้มีโรคแฉ
ไร้โอกาสแผ่...............................................สูงเหนือน้ำเอย

    ๔๑.พระองค์ลุเปรียบมนุษย์สี่...................อุบลซิชี้เจาะสี่เอ่ย
โฉลกกะบรรลุธรรมเกย..............................เจาะสี่มิมีเพราะโชคราน

    ๔๒.                                                              "อุคฯ"พ้นน้ำพาน
ดุจบัวพร้อมบาน.........................................ในวันนี้แล
ลุธรรมมิช้า.................................................พาสัมฤทธิ์แฉ
"วิปฯ"ปริ่มน้ำแล้..........................................บานรุ่งขึ้นตาม

    ๔๓.ก็"เนยยะ"บัวซิจมน้ำ...........................จะบานซิย้ำ ณ วันสาม
"ปทาฯ"ปะโรคลิหมดผลาม...........................ก็แค่กะภัตรสิเต่า,ปลา

    ๔๔.                                                               พุทธ์เจ้าตรวจมา
"หมื่นโลกธาตุ"หนา......................................ดุจกอบัวเอย
ทราบกิเลสคน.............................................ล้นมาก,น้อยเผย
อุคฯลุธรรมเชย............................................พลันมีเท่าใด

    ๔๕.พระองค์ตริควรเจาะ"อาฬาร"...............ฉลาดเหมาะพานลุธรรมไว
ตะเทพลุทูลวะสิ้นไกล...................................ก็พลาดลุมรรคสิฉับพลัน

    ๔๖.                                                                พิศอุทกฯครัน
ฉลาดฟังธรรมสรร........................................ลุมรรคง่ายแล
เทพทูลว่าท่าน..............................................ผ่านกาลละแฉ
จึงเสื่อมคุณแท้.............................................จากนิพพานเอย
 
    ๔๗.พระพุทธองค์ริเทศน์ปัก......................."พระปัญจวัคฯ"คุณาเอ่ย
ซิจักษุทิพย์ลุป่าเผย......................................"อิสิปะฯ"ไปแนะธรรมใส

    ๔๘.                                                                 เสด็จพาราณฯไกล
พบนักบวชไซร้.............................................."อุปกะ"ถามคำ
ท่านกายผุดผ่อง............................................ตรองบวชกระทำ
อุทิศใครนำ...................................................นามใดศาสดา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ฝาตุ่ม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #199 เมื่อ: 14, กันยายน, 2568, 11:19:59 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

    ๔๙.ตริชอบพระธรรมอะไรพาน............พระองค์ลุกรานสิห้าหนา
เจาะ"ครอบและงำพระธรรม"นา...............กะภูมิซิสามเจาะ"กาม"เอย

    ๕๐.                                                          ภูมิรูป,อรูปเอ่ย
รู้ธรรมสี่เผย...........................................กามภูมิ,รูปแล
อรูปภูมิรุด..............................................โลกุตตระแฉ
เป็นธรรมยิ่งแท้.......................................ของอริยะนา

    ๕๑.มิทรงเปรอะเปื้อนกะธรรมสาม........อรูปและกามเลาะรูปหนา
ละธรรมกิเลส ณ สามครา........................และตรัสรู้สิตนเผง

    ๕๒.                                                           กล่าวใครครูเอง
ไม่มีครูเพ่ง...............................................ไร้เทพเหนือเอย
ทรงเป็นอรหันต์หนา.................................ฝ่าตรัสรู้เผย
แต่ผู้เดียวเอย...........................................เป็นศาสดาแล

    ๕๓.พระศาสดาซิเปี่ยมคุณ....................เจาะด้วยอดุลย์สิเปรียบแน่
ก็มีลุแค่ซิหนึ่งแท้......................................กิเลสลิหมดสงบใส

    ๕๔.                                                           มุ่งกาสีไกล
แผ่ศาสนาไว............................................พ้นความมืดมน
อุปกะกล่าวกราน......................................ขานพระพุทธฯดล
"พระชินะ"ผล...........................................ผู้ชนะยล

    ๕๕.พระพุทธเจ้าซิตรัสชน.....................กิเลสผจญสลัดรน
ก็บ่งซิชำนะ"ชั่ว"ดล...................................เสมือนพระองค์ซินั่นแฉ

    ๕๖.                                                            อุปกะกล่าวแล
ธรรมเยี่ยงนี้แล้.........................................ตามพระองค์ไป
ก็ชนะชั่วลา..............................................เหมาะหนา"ชินะ"ไข
เป็นอย่างนั้นไว.........................................โคลงศีรษะจากจร

    ๕๗.พระองค์ซิเล่าลุป่ามา.......................อิสิปฯเจาะหาซิมุ่งสอน
ก็ปัญจวัคฯเจาะเห็นก่อน............................รินัดมิต้อนและรับเผย

    ๕๘.                                                             พระโคดมเอย
ผู้คลายเพียรเอ่ย.......................................ผู้มักมากแล
พวกเรามิไหว้.............................................ไม่รับบาตรแฉ
จัดอาสนะแล้.............................................หากอยากนั่งครา

    ๕๙.เสด็จลุปัญจวัคฯชัด..........................สิลืมกุนัดกระทำหนา
ริเร่งซิรับกะบาตรมา...................................เสาะน้ำซิชำระบาทเผย

    ๖๐.                                                             ทรงเล่าเขาเปรย
เรียกพระองค์เอ่ย......................................."อาวุโส"แล
ทรงแย้งคำนั้น............................................ครันมิควรแท้
เพราะทรงเป็นแล้........................................อรหันต์ไกล

    ๖๑.สดับพระธรรมซิรู้มา..........................ฤดีซิหนาเจาะตั้งใจ
ประพฤติซิตามประโยชน์ไข........................ลุธรรมประเสริฐมิ"เกิด"แฉ

    ๖๒.                                                              ปัญจวัคฯทูลแล
คราทรงทำแล้............................................ทุกขกิริยา
ก็มิเสร็จกิจ.................................................ชิดธรรมเลิศหนา
เลิกแล้วจะหา..............................................สำเร็จแต่ใด

    ๖๓.พระองค์ซิตรัสมิคร้านแล....................มิ"อยาก"ซิแล้ลุมากไป
ตะเป็นอร์หันต์และรู้ไข.................................สดับจะสอนพระธรรมเอย

    ๖๔.                                                               ทำตามสอนเคย
ลุพระธรรมเลย............................................ด้วยปัญญายง
ทรงตรัสชวนฟัง...........................................ครั้งหนึ่ง,สองตรง
ครั้งสามก็บ่ง................................................รับคำตอบเดียว


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ฝาตุ่ม, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #200 เมื่อ: 14, กันยายน, 2568, 04:02:30 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

    ๖๕.วะปัญจวัคฯมิเชื่อบ่ง.......................ไฉนพระองค์ลุญาณเปรียว
ซิเหนือกวะธรรมมนุษย์เจียว.....................มิมีสิทางจะเป็นหนำ

    ๖๖.                                                           ตรัสถามถ้อยคำ
ทรงกล่าวนี้ย้ำ..........................................เคยยินหรือไร
ปัญจวัคฯยืนยัน........................................ครันมิเคยได้
ยินมาก่อนไกล.........................................ปัญจวัคฯจึงยอม

    ๖๗.พระพุทธฯจะสอนกะสองสงฆ์..........และสามก็ตรงเลาะบิณฑ์พร้อม
สิ"หก"ก็ฉันซิรวมน้อม...............................ผิสอนกะสามก็สองบิณฑ์

    ๖๘.                                                           ทรงสอนปัญจ์ฯยิน
บอกโทษสิ่งยิน........................................มี"เกิด"ธรรมดา
เร่งหานิพพาน..........................................ประหาร"เกิด"หนา
สู่แดนเกษมครา.......................................จิตพ้นผูกพัน

    ๖๙.ก็ความเสมือน"ชรา,ไข้"...................และ"ตาย"ประลัยกะ"โศก"หวั่น
และ"หมอง"ประจักษ์ซิโทษพลัน................กะตนก็หาซินิพพาน

    ๗๐.                                                           ไร้แก่,ป่วยราน
ไม่มีโศกผลาญ........................................หมองมลานไกล
ปัญจ์วัคคีย์เห็น........................................เด่นญาณทัสส์ไข
นี้ชาติท้ายไซร้.........................................ภพใหม่มิมี

    ๗๑.พระพุทธเจ้าซิพร่ำลุ้น.....................ลิกามคุณสิห้านี้
ผิสงฆ์มิเห็นวะโทษชี้.................................พินาศและมารเจาะครอบงำ

    ๗๒.                                                           "เนื้อ"ติดบ่วงทำ
ย่อมแหลกลาญหนำ.................................ตกเป็นทาสพราน
สงฆ์หลงมัวกาม.......................................เป็นตามนี้ผลาญ
สงฆ์มิหลงลาม.........................................ฉลาดเห็นโทษเอย

    ๗๓.และสงฆ์สลัดเพราะปัญญา.............ลุ"ปัจจะฯ"หนาผละมารเอ่ย
พินาศมิมีมิเสื่อมเผย.................................ขยันผดุงเจาะถึงญาณ

    ๗๔.                                                           เหมือนเนื้อป่ากราน
ย่อมวางใจนาน........................................มิพบพรานเลย
สงฆ์ก็เช่นกัน...........................................ครันปฐมฌานเผย
สงบ,สุขเอย.............................................มารมิเห็นแล

    ๗๕.ผิถึงซิฌานลุที่สอง..........................หทัยจะครองสิหนึ่งแน่
จะปีติ,สุขและผ่องแท้................................สภาวะมารมิเห็นหนา

    ๗๖.                                                            ถึงตติย์ฌานครา
มีอุเบกขา.................................................สัมป์ชัญญะแล
สติ,เป็นสุข...............................................ชุก"นามกาย"แฉ
อย่างอื่นตัดแล้.........................................แต่หนึ่ง,สองฌาน

    ๗๗.พระสงฆ์ละทุกข์ละสุขลี้..................ลุฌานสิสี่ประเสริฐกราน
สะอาดอุเบกขะเฉยพาน............................สภาวะมารมิเห็นเลย

    ๗๘.                                                            สงฆ์ลุต่อเอย
"อากาสาฯ"เปรย.......................................จดอากาศแล
หาสิ้นสุดไม่..............................................ไซร้ตัด"จำ"แฉ
ทิ้งเคือง,คิดแล้..........................................มารมิเห็นพาน

    ๗๙.พระสงฆ์ลุ"ฌานซิหก"นา...................จรดละหนาก็วิญญาณ
มิมีจะสุดเจาะว่างกราน...............................สิการกระทบมิมีเผย

    ๘๐.                                                             "วิญญานัญฯ"เปรย
อายต์นะเฉย..............................................ใน-นอกหยุดแล
วิญญาณ,แจ้งรู้..........................................ชูมิเกิดแฉ
สภาวะแล้..................................................มารตาบอดนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #201 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:18:21 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

    ๘๑.พระสงฆ์ลุ"เจ็ด,อะกิญจัญฯ"............มิมีประชันอะไรหนา
เจาะนามธรรมสิสี่หล้า..............................มิเที่ยงเกาะทุกข์และไร้ตน

    ๘๒.                                                           เวทนา,รู้ดล
สัญญา,จำล้น...........................................สังขาร,ปรุงเอย
วิญญาณ,รู้คือ..........................................ชื่อนามธรรมเอ่ย
สภาวะเชย...............................................มารมิเห็นแล

    ๘๓.พระสงฆ์ลุ"เนวสัญญาฯ"..................ระลึกซิหนามิมีแฉ
จะว่า"มิมีก็ไม่"แช......................................"จะมีก็ไม่"เจาะจริงใด

    ๘๔.                                                            เนวสัญญาไกล
จิตละเอียดไซร้........................................คล้ายไร้สัญญา
สัญญา,จำมี.............................................อาจชี้ไร้หนา
สภาพเกิดนา............................................มารตาบอดราน

    ๘๕.พระสงฆ์ลุ"เวทนิโรธฯ"เทิด...............เพราะปัญญะเลิศกิเลสผลาญ
ลิ"เวทนา"ลิ"จำ"กราน................................สงบซิแทบมิหายใจ

    ๘๖.                                                            เวทยิทฯ,เก้าไกล
การพักผ่อนไซร้........................................อริยะครัน
เฉพาะอนาคาฯ..........................................กล้าอรหันต์
สภาพนี้ยัน................................................มารมิเห็นเลย

    ๘๗.พระพุทธเจ้าซิตรัสชัด......................ลุฌานละตัดกิเลสเผย
เจาะข้ามและพ้นกะโลกเอย........................เพราะเดินสิคนละทางแฉ

    ๘๘.                                                             มารมิเห็นแล
มิติดบ่วงแล้...............................................อยู่ไกลบ่วงมาร
สงฆ์ฟังภาษิต............................................ชิดทรงสอนชาญ
ต่างชื่นชมกราน.........................................ถ้อยพระองค์เอย ฯ|ะ
   
แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. ๖. ปาสราสิสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/LGXOpem4mxgzWSc8m

เชตวันฯ = เชตวนาราม วัดที่ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี สร้างถวาย
รัมมะฯ = รัมมกพราหมณ์  คือชื่อพราหมณ์ ที่มีอาศรม พระภิกษุจะเข้าไปประชุมสนทนาธรรมกัน
การสนทนาธรรม = หมายถึงสนทนาเรื่องกถาวัตถุ ๑๐
การเป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยะ =  หมายถึงการเข้าฌานสมาบัติ
ฌานหมายถึงสมาธิขั้นสูงที่จิตสงบแน่วแน่ และสมาบัติหมายถึงการเข้าถึงฌานนั้นๆ หรือการเข้าถึงความสงบของจิตในระดับฌานนั้นๆ 
กถาวัตถุ ๑๐ = หมายถึง เรื่องที่ควรพูด เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุ ได้แก่
(๑) อัปปิจฉกถา = เรื่องความมักน้อย ถ้อยคำที่ชักชวนให้มีความปรารถนาน้อย (๒) สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อหรือปรนปรือ (๓) ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ (๔) อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลี ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ (๕) วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร (๖) สีลกถา เรื่องศีล ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล (๗) สมาธิกถา เรื่องสมาธิ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น (๘) ปัญญากถา เรื่องปัญญา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา (๙) วิมุตติกถา เรื่องวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์ (๑๐) วิมุตติญาณทัสสนกถา เรื่องความรู้ความเห็นในวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจ และเข้าใจเรื่องความรู้ ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์
อุปธิ = กิเลส, ความพัวพัน,ติดวนเวียนเกิด-ตาย ในที่นี้หมายถึงกามคุณ ๕ ประการ (คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ)
อาฬารฯ = สำนักของ อาฬารดาบส กาลามโคตร
อากิญจัญฯ = อากิญจัญญายตนสมาบัติ
อุทกฯ = สำนักของ อุทกดาบส รามบุตร
เนวสัญฯ =  เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
(๑) รูปฌาน = ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ คือ
(๑.๑) ปฐมฌาน - ฌานที่ ๑ ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๒) ทุติยฌาน - ฌานที่ ๒ ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๓) ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา (๑.๔) จตุตถฌาน - ฌานที่ ๔ ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #202 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 01:51:21 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

(๒) อรูปฌาน = ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ได้แก่
(๒.๑) อากาสานัญจายตนะ - มีความว่างเปล่าคืออากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อาจเรียกว่า ฌาน ๕ (๒.๒) วิญญาณัญจายตนะ - มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์ อาจเรียกว่า ฌาน ๖ (๒.๓) อากิญจัญญายตนะ หรือฌาน ๗ คือ - การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น (๒.๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือฌาน ๘ คือ - จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี
สัญญาเวทยิตนิโรธ = หรือ นิโรธสมาบัติ (หรือฌาน ๙)เป็นสมาธิขั้นสูงสุดที่ดับสัญญาและเวทนา ซึ่งเป็นสมาบัติที่ผู้ปฏิบัติธรรมพึงมุ่งหวังที่จะเข้าถึง เพื่อความสงบและหลุดพ้นจากกิเลส
อุรุเวฯ = ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ที่ประทับ ก่อนจะตรัสรู้
ญาณทัสส์ฯ = ญาณทัสสนะ การเห็น กล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือเห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุดหมายถึงวิปัสสนาญาณ
ตัวอย่างญาณทัสสนะ = ในพระพุทธศาสนา ดังนี้
(๑) วิปัสสนาญาณ - ญาณที่เกิดจากการเห็นความจริงของสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (๒) ทิพพจักขุญาณ - ญาณที่ทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ไกล หรือสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ (๓) มรรคญาณ - ญาณที่ทำให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล (ผู้บรรลุธรรม) (๔) ผลญาณ - ญาณที่เกิดขึ้นหลังจากที่บรรลุธรรมแล้ว (๕) ปัจจเวกขณญาณ - ญาณที่พิจารณาทบทวนธรรมที่ได้บรรลุแล้ว (๖) สัพพัญญุตญาณ - ญาณที่ทำให้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
อาลัย = หมายถึง กามคุณ ๕ ที่สัตว์พัวพัน ยินดี เพลิดเพลิน  เป็นชื่อเรียกกิเลส ๒ อย่าง คือ (๑) กามคุณ ๕ และ (๒) ตัณหาวิจริต ๑๐๘
ตัณหาวิจริต = ความเป็นไป หรือการออกเที่ยวแสดงตัวของตัณหา (ความทะยานอยาก, ความร่านรน) ตัณหาวิจริต ๑๐๘ จัด ๒ ชุด ดังนี้
(ก) ตัณหาวิจริต ๑๘ อันอาศัยเบญจขันธ์ภายใน = เมื่อมีความถือว่า “เรามี” จึงมีความถือว่า : เราเป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างอื่น เราไม่เป็นอยู่ เราพึงเป็นอย่างนี้ เราพึงเป็นอย่างนั้น เราพึงเป็นอย่างอื่น ฯลฯ
(ข) ตัณหาวิจริต ๑๘ อันอาศัยเบญจขันธ์ภายนอก = เมื่อมีความถือว่า “เรามีด้วยเบญจขันธ์นี้” จึงมีความถือว่า : เราเป็นอย่างนี้ด้วยเบญจขันธ์นี้ เราเป็นอย่างนั้น ด้วยเบญจขันธ์นี้ เราเป็นอย่างอื่นด้วยเบญจขันธ์นี้ ฯลฯ
ตัณหาวิจริต ๑๘ สองชุดนี้ รวมเป็น ๓๖ x กาล ๓ (ปัจจุบัน อดีต อนาคต) = ๑๐๘
อีกอย่างหนึ่ง ตัณหา ๓ (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) x ตัณหา ๖ (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์) = ๑๘
       x ภายในและภายนอก = ๓๖
       x กาล ๓ = ๑๐๘
อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ =  คือ ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย, กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย ตามกฎที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี; เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ”
ปฏิจจสมุปบาท = การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม เพราะมีปัจจัย ๑๒ เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
(๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
อวิชชา คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือ อวิชชา ๘
อวิชชา ๘ ~ ความไม่รู้แจ้ง, ไม่รู้จริง
(๑.๑) ไม่รู้ทุกข์ (๑.๒)ไม่รู้ในทุกขสมุทัย (๑.๓) ไม่รู้ในทุกนิโรธ (๑.๔) ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (๑.๕) ไม่รู้ในส่วนอดีต (๑.๖) ไม่รู้ส่วนอนาคต (๑.๗) ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต (๑.๘) ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา
(๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
สังขาร สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๓ หรือ อภิสังขาร 3
สังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งการกระทำ, สัญเจตนา หรือเจตนาที่แต่งกรรม
(๒.๑) กายสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย (๒.๒) วจีสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา ได้แก่ วจีสัญเจตนา คือ ความจงใจทางวาจา (๒.๓) จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #203 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:52:56 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๘/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

อภิสังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม ได้แก่ (๒.๑) ปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร (๒.๒) อปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย (๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
(๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ คือ
(๓.๑) จักขุวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางตา รู้รูปด้วยตา, เห็น (๓.๒) โสตวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู, ได้ยิน (๓.๓) ฆานวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก, ได้กลิ่น (๓.๔) ชิวหาวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือ รู้รสด้วยลิ้น, รู้รส (๓.๕) กายวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือ รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้สึกสัมผัส (๓.๖) มโนวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, รู้ความนึกคิด
(๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี
นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๕) เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
คือ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส ๖
สัมผัส ๖ หรือ ผัสสะ ๖ = ความกระทบ, ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ
(๖.๑) จักขุสัมผัส ~ ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ (๖.๒) โสตสัมผัส ~ ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ
(๖.๓) ฆานสัมผัส ~ ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ (๖.๔) ชิวหาสัมผัส ~ ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ (๖.๕) กายสัมผัส ~ ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ (๖.๖) มโนสัมผัส ~ ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ
(๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
คือ ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา (๗.๒) โสตสัมผัสสชา เวทนา ~เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู (๗.๓) ฆานสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น (๗.๕) กายสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย (๗.๖) มโนสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ
(๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
คือ ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
คือ ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
อุปาทาน ๔ = ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
(๙.๑) กามุปาทาน ~ ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๙.๒) ทิฏฐุปาทาน ~ ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ (๙.๓) สีลัพพตุปาทาน ~ ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล (๙.๔) อัตตวาทุปาทาน ~ ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย
(๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
คือ ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓
ภพ ๓ = ภาวะชีวิตของสัตว์, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์
(๑๐.๑) กามภพ ~ ภพที่เป็นกามาวจร, ภพของสัตว์ผู้ยังเสวยกามคุณคืออารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ อบาย ๔  มนุษยโลก และกามาวจรสวรรค์ทั้ง ๖ (๑๐.๒) รูปภพ ~ ภพที่เป็นรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖ (๑๐.๓) อรูปภพ ~ ภพที่เป็นอรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ได้แก่ อรูปพรหม ๔
(๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
คือ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
(๑๒) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
คือ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
ทั้ง ๑๒ ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ)
อภิสังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม ได้แก่ (๒.๑) ปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร (๒.๒) อปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย (๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
(๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ คือ
(๓.๑) จักขุวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางตา รู้รูปด้วยตา, เห็น (๓.๒) โสตวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู, ได้ยิน (๓.๓) ฆานวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก, ได้กลิ่น (๓.๔) ชิวหาวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือ รู้รสด้วยลิ้น, รู้รส (๓.๕) กายวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือ รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้สึกสัมผัส (๓.๖) มโนวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, รู้ความนึกคิด
(๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี
นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๕) เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
คือ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส ๖
สัมผัส ๖ หรือ ผัสสะ ๖ = ความกระทบ, ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ
(๖.๑) จักขุสัมผัส ~ ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ (๖.๒) โสตสัมผัส ~ ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ
(๖.๓) ฆานสัมผัส ~ ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ (๖.๔) ชิวหาสัมผัส ~ ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ (๖.๕) กายสัมผัส ~ ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ (๖.๖) มโนสัมผัส ~ ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ
(๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
คือ ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา (๗.๒) โสตสัมผัสสชา เวทนา ~เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู (๗.๓) ฆานสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น (๗.๕) กายสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย (๗.๖) มโนสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ
(๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
คือ ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
คือ ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
อุปาทาน ๔ = ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
(๙.๑) กามุปาทาน ~ ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๙.๒) ทิฏฐุปาทาน ~ ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ (๙.๓) สีลัพพตุปาทาน ~ ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล (๙.๔) อัตตวาทุปาทาน ~ ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย
(๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
คือ ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓
ภพ ๓ = ภาวะชีวิตของสัตว์, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์
(๑๐.๑) กามภพ ~ ภพที่เป็นกามาวจร, ภพของสัตว์ผู้ยังเสวยกามคุณคืออารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ อบาย ๔  มนุษยโลก และกามาวจรสวรรค์ทั้ง ๖ (๑๐.๒) รูปภพ ~ ภพที่เป็นรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖ (๑๐.๓) อรูปภพ ~ ภพที่เป็นอรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ได้แก่ อรูปพรหม ๔
(๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
คือ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
(๑๒) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
คือ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
ทั้ง ๑๒ ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5162
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 768



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #204 เมื่อ: วันนี้ เวลา 02:07:40 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๙/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร

พาทวนกระแส =  ในที่นี้หมายถึง อนิจฺจํ(ไม่เที่ยง) ทุกฺขํ(เป็นทุกข์) อนตฺตา(เป็นอนัตตา) อสุภํ(ไม่งาม)
ทวนกระแสแห่งธรรม = มีความเที่ยง เป็นต้น ในพระวินัยปิฎกหมายถึงพาเข้าถึงนิพพาน
ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย = หมายถึงมีธุลีคือราคะ โทสะ โมหะเบาบางคือเล็กน้อย ปิดบังดวงตาคือปัญญา
เหตุการณ์นี้เป็นที่มาแห่งพิธีอาราธนาพระสงฆ์แสดงธรรม
คนที่มีมลทิน = ในที่นี้หมายถึงครูทั้ง ๖ ในแคว้นมคธ
ครูทั้งหก" หรือ "ปริพาชกทั้งหก" พวกเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ซึ่งรวมถึงพระราชาด้วย ครูทั้งหกมีดังนี้:
(๑) ปูรณกัสสปะ ~ เป็นผู้นับถือลัทธิที่เรียกว่า "อกิริยวาทะ" ซึ่งเชื่อว่าการกระทำไม่มีผล (๒) มัคคลิโคสาล ~ เป็นผู้นำลัทธิอเจลกะ (นุ่งลมห่มฟ้า) และเชื่อเรื่องโชคชะตา (๓) อชิตเกสกัมพล ~ เป็นผู้เชื่อเรื่องความตายและการดับสูญ (๔) ปกุธกัจจายนะ ~ เป็นผู้เชื่อเรื่องทฤษฎีธาตุทั้ง ๖ (๕) สัญชัยเวลัฏฐบุตร ~ เป็นผู้เชื่อเรื่องความไม่แน่นอนและการปฏิเสธ (๖) นิครนถนาฏบุตร ~ เป็นผู้นำลัทธิเชน
คำสอนของครูทั้งหกมีความแตกต่างกัน และเป็นที่ถกเถียงกันในสมัยพุทธกาล
ผู้ชนะสงคราม=  หมายถึงชนะเทวบุตรมาร มัจจุมาร และกิเลสมาร
ผู้นำหมู่ = หมายถึงสามารถนำสัตว์ข้ามที่กันดารคือชาติ(ความเกิด) และสามารถเป็นผู้นำของหมู่สัตว์คือเวไนยสัตว์
ผู้ไม่มีหนี้ = หมายถึงไม่มีหนี้คือกามฉันทะ
พุทธจักษุ = หมายถึง
(๑) อินทริยปโรปริยัตติญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและความหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่
(๒) อาสยานุสยญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้อัธยาศัย ความมุ่งหมาย สภาพจิตที่นอนเนื่องอยู่
บัวสี่เหล่า = แยกเป็นบัวจมอยู่ในน้ำ บัวอยู่เสมอน้ำ บัวพ้นน้ำ ๓ เหล่านี้ อรรถกถาได้กล่าวถึงบัวเหล่าที่ ๔ คือ บัวที่มีโรคยังไม่พ้นน้ำเป็นอาหารของปลาและเต่า
บุคคล ๔ เหล่า = คือ
(๑) อุคฆฏิตัญญู ~ เป็นเหมือนบัวพ้นน้ำที่พอต้องแสงอาทิตย์แล้วก็บานในวันนี้
(๒) วิปจิตัญญู ~ เป็นเหมือนบัวอยู่เสมอน้ำที่จะบานในวันรุ่งขึ้น
(๓) เนยยะ ~ เป็นเหมือนบัวจมอยู่ในน้ำที่จะขึ้นมาบานในวันที่ ๓
(๔) ปทปรมะ ~เปรียบเหมือนบัวที่มีโรคยังไม่พ้นน้ำไม่มีโอกาสขึ้นมาบาน เป็นอาหารของปลาและเต่า
 พระผู้มีพระภาค = ทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุอันเป็นเหมือนกออุบลเป็นต้น ได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงว่า
~ หมู่ประชาผู้มีธุลีในดวงตาเบาบางมีประมาณเท่านี้
~ หมู่ประชาผู้มีธุลีในดวงตามากมีประมาณเท่านี้ และ
~ ในหมู่ประชาทั้ง ๒ นั้น อุคฆฏิตัญญูบุคคลมีประมาณเท่านี้
โลกธาตุ = คือ โอกาสโลกที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ เรียกสมมติว่า จักรวาลหลายจักรวาล เป็นต้น สำหรับโลกธาตุมีหลายขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล, โลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล, โลกธาตุอย่างใหญ่มีแสนโกฏฏิจักวาล, ซึ่งสิ่งที่ประมาณไม่ได้ โอกาสโลก ที่อยู่ของหมู่สัตว์ ก็หาประมาณไม่ได้ หาที่สุดได้ยากยิ่ง
ในโลกธาตุแต่ละขนาด ประกอบด้วยหลายๆ จักรวาล ซึ่งจักรวาลหนึ่ง นั้น ประกอบด้วย พระจันทร์ ๑ พระอาทิตย์ ๑ อบายภูมิ ๔ ภูมิมนุษย์ ๑ สววรรค์ ชั้นจาตุมหาราชิกา ๑ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๑ สวรรค์ชั้นยามา ๑ สวรรค์ชั้นดุสิต ๑ สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ๑ สวรรค์ชั้นปรินิมมิตวสวัตตี ๑ และ พรหมโลกชั้นต่างๆ ทั้งรูปพรหมภูมิ และ อรูปพรหมภูมิ
มีความเสื่อมจากคุณอันยิ่งใหญ่ =  หมายถึงมีความเสื่อมมาก เพราะเสื่อมจากมรรคและผลที่จะพึงบรรลุ คือ อาฬารดาบส ตายไปเกิดในอากิญจัญญายตนภพ ส่วนอุทกดาบส ตายไปเกิดใน เนวสัญญานาสัญญายตนภพ ซึ่งถ้าได้ฟังธรรมมีโอกาสจะลุนิพพานฉับพลัน ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ในภพดังกล่าวอีกเนิ่นนาน
พระปัญจวัคคีย์ = คือ กลุ่มนักบวชในศาสนาพุทธในฐานะภิกษุชุดแรกที่เข้ามาบวชเป็นสาวก มีทั้งหมด ๕ รูป ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน = คือ สถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า สารนาถ ในประเทศอินเดีย สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญเพราะเป็นที่ที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" โปรดพระปัญจวัคคีย์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.709 วินาที กับ 105 คำสั่ง
กำลังโหลด...