Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 14 15 [16]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 71807 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #225 เมื่อ: 12, ตุลาคม, 2568, 03:29:23 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๔) ๕๕.มหาสาโรปมสูตร

(๓) เปลือกพรหมจรรย์
กุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์
~ เขามีลาภสักการะสรรเสริญ แต่ไม่ยินดี ไม่ประมาท.. และไม่ยกตนข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะ
~ เขาถึงพร้อมด้วยศีล ยินดีในศีล ไม่ประมาทในศีล... และไม่ยกตนข่มผู้อื่นด้วยศีล
~ เขาถึงพร้อมด้วยสมาธิ แต่เขายกตนข่มผู้อื่นว่าเรามีจิตตั้งมั่น (ภิกษุอื่นจิตไม่ตั้งมั่น)
~ เขามัวเมา ถึงความประมาทแห่งสมาธินั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์
~ เหมือนบุรุษต้องการแก่นไม้ เมื่อพบต้นไม้ใหญ่มีแก่น กลับละเลยแก่น จึงถากเอาเปลือกไป
~ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอาเปลือกแห่งพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่เปลือกนั้น
(๔) กระพี้พรหมจรรย์
กุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์
~ เขามีลาภสักการะสรรเสริญ แต่ไม่ยินดี ไม่ประมาท.. และไม่ยกตนข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะ
~ เขาถึงพร้อมด้วยศีล ยินดีในศีล ไม่ประมาทในศีล... และไม่ยกตนข่มผู้อื่นด้วยศีล
~ เขาถึงพร้อมด้วยสมาธิ แต่ไม่ยกตนข่มผู้อื่นว่าเราถึงพร้อมด้วยสมาธิ เรามีจิตตั้งมั่น
~ เขายังญาณทัสสนะให้สำเร็จ เขามีความยินดี ว่าเรารู้เราเห็นอยู่ แต่เขาจึงยกตนข่มผู้อื่น
~ เขามัวเมา ถึงความประมาท เพราะญาณทัสสนะนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์
~ เหมือนบุรุษต้องการแก่นไม้ เมื่อพบต้นไม้มีแก่น กลับละเลย จึงถากเอากระพี้ไป สำคัญว่าแก่น
~ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ได้ถือเอากระพี้ แห่งพรหมจรรย์ และถึงที่สุดแค่กระพี้นั้นแล
(๕) แก่นพรหมจรรย์
กุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์
~ เขามีลาภสักการะสรรเสริญ แต่ไม่ยินดี ไม่ประมาท.. และไม่ยกตนข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะ
~ เขาถึงพร้อมด้วยศีล ยินดีในศีล ไม่ประมาทในศีล... และไม่ยกตนข่มผู้อื่นด้วยศีล
~ เขาถึงพร้อมด้วยสมาธิ แต่ไม่ยกตนข่มผู้อื่นว่าเราถึงพร้อมด้วยสมาธิ เรามีจิตตั้งมั่น
~ เขายังญาณทัสสนะให้สำเร็จ เขามีความยินดี ว่าเรารู้เราเห็นอยู่ แต่เขาไม่ยกตนข่มผู้อื่น
~ เขาย่อมไม่มัวเมา ไม่ถึงความประมาท เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังสมยวิโมกข์ให้สำเร็จ
~ ข้อที่ภิกษุนั้นจะพึงเสื่อมจาก สมยวิมุติ (ทำความหลุดพ้นให้สำเร็จ) เป็นฐานะที่จะมีได้
ญาณทัสสนะ = คือ ความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นความจริงของสภาวธรรมต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง ญาณทัสสนะ ในที่นี้หมายถึงอภิญญา ๕ ประการ คือ (๑) อิทธิวิธิ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ (๒) ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์ (๓) เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้กำหนดใจคนอื่นได้ (๔) ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ (๕) ทิพพจักขุ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์
สมยวิโมกข์ = คือกาล คือสมัย ที่พ้นจากกิเลส หรือ เข้าถึงการหลุดพ้น)
อสมยวิมุติ = คือความหลุดพ้นที่ไม่กลับกำเริบ หมายถึงโลกุตตรธรรม ๙ คือ อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน ๑
เจโตวิมุตติ = คือ ความหลุดพ้นแห่งจิต ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ


รายนามผู้เยี่ยมชม : เฒ่าธุลี, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #226 เมื่อ: 13, ตุลาคม, 2568, 08:32:32 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๕๖.มหาตัณหาสังขยสูตร (สูตรว่าด้วยความสิ้นไปแห่งตัณหา สูตรใหญ่)

นาคาคะนองฝนฉันท์ ๒๖/กาพย์ทัณฑิกา

   ๑.ผจงน้อมประณตคุณ........................ซิอดุลย์พระพุทธ์ฯครัน
ทรงตรัสรู้ลุอรหันต์.................................แนะสอนชนลิทุกข์ผลาญ

    ๒.คราหนึ่งพุทธ์เจ้า.......พัก"เชตวันฯ"เหย้า......มีภิกษุกราน
"สาติบุตร"เน้น....มีเห็นผิดพาน....ว่ารู้ทั่วผ่าน....พุทธ์องค์สอนแล

   ๓.พระสงฆ์หลายสิยินมา.......................วทะสาติฯกล่าวแล้
วิญญาณจะท่องเสาะจรแน่......................พระสงฆ์เตือนมิควรเอ่ย

    ๔.พุทธ์เจ้ามิกล่าว......เช่นนี้เลยพราว......เพราะวิญญาณเคย
อาศัยปัจจัย....จึงได้เกิดเผย....ปราศปัจจัยเกย....มิเกิดขึ้นแล

    ๕.ตะไซร้สาติฯยืนยัน..........................คติดั้นซิชั่วแท้
แม้ให้ลิทิฏฐิมละแล้.................................พระสงฆ์ทูลพระพุทธ์องค์

    ๖.พุทธ์เจ้าตรัสเร้า......สาติบุตรเฝ้า......ตรัสถามประจง
วิญญาณเป็นใด....ทูลไซร้สภาพบ่ง....พูด,รู้ได้คง.....รับวิบากกรรมเอย

    ๗.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสฉาย.....................ปริยายเอนกเอ่ย
วิญญาณจะเกิดก็เพราะเหมาะเกย............ซิปัจจัยประจักษ์ขาน

    ๘.สาติฯกล่าวนี้.......ตู่ตถาคตชี้.......ฝังตนเองพาน
จะพบสิ่งไซร้....มิใช่บุญขาน....เพราะทิฏฐิกราน....ไร้ประโยชน์ตรง

    ๙.เจาะ"โมฆาบุรุษฯ"ดล.........................นิรผลซิมรรคบ่ง
พุทธ์เจ้าสิถามกะพหุสงฆ์..........................วะเรืองธรรมเจริญไหม

    ๑๐.เหล่าสงฆ์ทูลเอ่ย.......เป็นมิได้เลย.......ธรรมจะรุ่งไกล
สาติฯก้มหน้า....มิกล้ากล่าวใด.....นั่งนิ่งละอายใจ....หมดปฏิภาณ

    ๑๑.พระพุทธ์เจ้าแนะสอนไว้...................คติไซร้กะวิญญาณ
ด้วยจักขุวิญญ์ฯจะริสคราญ.......................ก็ด้วยตาและรูปาฯ

    ๑๒."โสตวิญญาณ".......เกิดด้วย"หู"สาน......"สัททารมณ์"นา
"ฆานวิญญาณ"ไซร้....อาศัย"จมูก"หนา...."คันธารมณ์"พา....ฆานวิญญ์ฯเกิดชม

    ๑๓.เพราะ"ชิววิญญ์ฯ"อุบัติริน..................หิตะ"ลิ้น,รสารมณ์"
"กายวิญญ์ฯ"สิ"กาย"เจาะปะทะบ่ม...............กะโผฏฐัพพะรมณ์แฉลุ

    ๑๔.ทรงสอนว่า"ไฟ"......ติดเพราะเชื้อใด......เรียกชื่อเชื้อแล
ไฟติดเพราะไม้....เรียกไฟไม้แล้....ติดในป่าแท้....เรียกไฟป่าเอย

    ๑๕.ก็วิญญาณคะคล้ายชัด......................ลุอุบัติเพราะใดเอ่ย
เรียกชื่อสิตามเจาะเฉพาะเลย......................ตริกล่าวแล้วฉะนั้นหนา

    ๑๖.พุทธ์องค์ตรัสเรื่อง......ขันธ์ห้ากระเดื่อง......เกิดแล้วหรือครา
ขันธ์เกิดด้วยภัตร....เห็นชัดหรือพา....ภิกษุตอบว่า.....เป็นเช่นนั้นแล

    ๑๗.พระสงฆ์คิดวะขันธ์ห้า........................มละหนาเพราะภัตรแน่
สงสัยวะขันธ์จะนิรแท้..................................รึมีอยู่ซิอย่างไหน

    ๑๘.สงฆ์แคลงขันธ์พาน.......เกิดเพราะอาหาร.......มีจริงหรือไร
ขันธ์ห้าดับเพราะ....เจาะภัตรดับไซร้....รู้เกิด-ดับไว....คลายสงสัยเลย

    ๑๙.พระพุทธองค์สิตรัสบ่ง.......................ผิวะสงฆ์ซิยึดเอย
กับทิฏฐิว่าจะสุจิเผย....................................วะของเราเหมาะปัดไส

    ๒๐.หากสงฆ์มิติด.......ไม่ยึดถือชิด.......เป็นของเราไว
ทิฏฐิบริสุทธิ์....พึงรุดธรรมไซร้.....เหมาะสลัดได้....สงฆ์กล่าวจริงแล

    ๒๑.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสภัตร......................จตุชัดประโยชน์แน่
อาหารเหมาะชีพและหิตะแฉ........................แสวงภพจะเกิดหนา

      ๒๒.อาหารสี่ชนิด......"กวฬิงกาฯ"ชิด......คือคำข้าวนา
"ผัสสาหาร"นำ....การสัมผัสจ้า...."มโนสัญเจตน์ฯ"อ้า....ความจงใจเอย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #227 เมื่อ: 13, ตุลาคม, 2568, 03:01:14 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

    ๒๓.เพราะ"วิญญาฯ"สิอาหาร................จตุกรานอะไรเอ่ย
ต้นเหตุซิเกิดลุเจาะเฉลย.........................อะไรแดนซิเกิดแฉ

    ๒๔.อาหารสี่นี้......"อยาก"ต้นเหตุชี้......"อยาก"เหตุเกิดแล
"อยาก"ที่เกิดแก่น...."อยาก"แดนเกิดแท้....อยาก ตัณหาแน่....เป็นมูลรากนา

    ๒๕.เพราะ"อยาก"มีสิเวท์นา..................ภวกล้าซิเหตุหนา
เป็นที่อุบัติและศยะมา..............................และเวท์นาเจาะจากไหน

    ๒๖.เวทนา,รู้สึก......มีผัสสะตรึก......เป็นต้นเหตุไว
ผัสสะ,สัมผัส....ชัดเหตุเกิดไกล....เป็นที่เกิดไซร้.....เป็นแดนเกิดเอย

    ๒๗."กระทบ,ผัสสะ"มีอา-.......................ยตนาทวารเอ่ย
ตา,หู,จมูก..สิภวเผย.................................ลุถิ่นเกิดอุบัตินา

    ๒๘.สฬายตนะ.......มี"นามรูป"ปะ.......ต้นเหตุเกิดมา
"นามรูป"แลชี้....มี"วิญญาณ"หนา....เป็นถิ่นเกิดกล้า....เป็นที่เกิดแล

    ๒๙.ก็วิญญาณเจาะสังขาร....................พหุผ่านกะปรุงแน่
ต้นเหตุอุบัติลุหิตะแฉ...............................ซิแดนเกิดและเหตุเอย

    ๓๐.สังขารทั้งหลาย.......มี"อวิชชา"กราย.......ไม่รู้จริงเลย
อริยสัจจ์เด่น....เป็นต้นเหตุเผย.....ถิ่นเกิดนำเคย....สังขารเกิดไกล

    ๓๑.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสความ..................พหุผลามกะปัจจัย
มี"ชาติ"อุบัติลุชิระไซร้..............................มฤตตามซิแน่นอน

    ๓๒."ภพ"เป็นปัจจัย.......ชาติ,เกิดมีไว......สัตว์จำต้องจร
"อุปาทาน"ครัน....พลันปัจจัยป้อน....มี"ภพ"สลอน....ผูกสัตว์อยู่นา

    ๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพาน.................อุปะทานลุมีหนา
กล่าวเวทนาก็หิตะกล้า..............................ลุตัณหาเจาะ"อยาก"พาน

    ๓๔."ผัสสะ"ปัจจัย......กระทบแล้วไซร้......เวทนา,รู้กราน
"สฬายตนะ"หนุน....จุน"ตา"ทำงาน....ช่วยผัสสะสาน....กระทบรู้แล

    ๓๕.และ"นามรูป"สิก่อหนา......................ก็"สฬายะฯ"เกิดแน่
"วิญญาณ"สิหนุนริภวแล้............................ตริ"นามรูป"เจาะเกิดเผย

    ๓๖.เพราะมีสังขาร......เป็นปัจจัยกราน......วิญญาณเกิดเอ่ย
"อวิชชา"เด่น....เป็นปัจจัยเผย....เกิดสังขารเปรย.....ปรุงชั่ว-ดีพาน

    ๓๗.สิข้อความพระพุทธ์องค์...................วทะบ่งซิแล้วขาน
ทรงถามพระสงฆ์จะริพิจารณ์....................จะใช่หรือมิใช่แฉ

    ๓๘.เหล่าภิกษุบ่ง.......เห็นตามพระองค์.......ทรงตรัสเสริมแล
เมื่อสิ่งนี้มี....นี้จึงมีแน่....สิ่งนี้เกิดแล้....นี้จึงเกิดกราน

    ๓๙."อวิชชา"สิปัจจัย..............................ภวไซร้เจาะสังขาร
สังขารก็เหตุจะลุประสาน..........................กะวิญญาณอุบัติเผย

    ๔๐."วิญญาณ"ปัจจัย.......นามรูปเกิดได้.......คราใกล้ตายเอย
นามรูปก่อหนา....สฬายะฯเกย.....ด้วยกาย,ใจเอ่ย....ตา,หู..ก่องาน

    ๔๑."สฬายาตะฯ"ก่อชัด..........................ภว"ผัสสะ"เกิดขาน
แล้วผัสสะรี่เจาะนิรมาณ.............................ริ"รู้,เวทนา"คลี่

    ๔๒."เวทนา"ปัจจัย......."ตัณหา"มีได้......"อยาก"เกิดขึ้นมี
ตัณหา,อยากพา....อุปาทานชี้....ได้มากแล้วปรี่....ยึดติดมากนา

    ๔๓.อุปาทานสิปัจจัย...............................ภวไซร้ซิ"ภพ"มา
มีภพก็"ชาติ"จะประลุหนา............................เพราะยึดแล้วก็"ชาติ"ตาม

    ๔๔.ชาติเป็นปัจจัย......เมื่อเกิดแล้วไซร้......ชรา,ตายลาม
เศร้าโศก,คร่ำครวญ....ผวนโทมนัสผลาม....ทุกข์กาย,ใจขาม....คับแค้นมีไกล

    ๔๕.กระบวนการสิดับเหตุ.........................ก็ประเภทซิปัจจัย
มรรคคือวิราคะมละไว.................................."อวิชชา"มิเหลือสาน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #228 เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 09:35:18 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

    ๔๖.เพราะสังขารดับ......วิญญาณจึงลับ......ด้วยเลิก"ปรุง"พาน
วิญญาณดับวูบ....นามรูปตามราน....เพราะจิตดับผลาญ....นามรูปดับแล

    ๔๗.เพราะนามรูปสิดับหนา...............ก็"สฬายะฯ"ดับแน่
ตา,หู,จมูก..มรณะแล้...........................ลิตัวผัสสะดับเอย

    ๔๘.เพราะ"ผัสสะ"ดับ......เวทนาจึงลับ......ไร้กระทบเลย
"เวทนา"ดับพา....ตัณหาดับเผย....เพราะ"รู้"ไร้เปรย...."อยาก"ก็ดับแล

    ๔๙.เพราะตัณหาสิดับลง...................ก็"อุปาฯ"ละดับแน่
คราเมื่ออุปาฯเจาะมละแฉ.....................มลาน"ภพ"ซิดับหนา

    ๕๐.เพราะ"ภพ"ดับลง......"ชาติ"ดับตามบ่ง......สภาพภพสิ้นพา
เพราะ"ชาติ"ดับวาย....ชรา,ตาย..ไม่มา....เพราะไม่เกิดหล้า....สภาพสิ้นกาล

    ๕๑.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสความ..............ภณะตามซิดับราน
ทรงถามพระสงฆ์จะตริวิจารณ์...............พระสงฆ์ยืนลุตามลี

    ๕๒.พระพุทธองค์ตรัส.......เหตุดับถูกชัด......เห็นพ้องกันดี
เมื่อไร้สิ่งนี้....สิ่งชี้ไม่มี....สิ่งนี้ดับรี่....สิ่งนี้ดับตาม

    ๕๓.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสคง...................วจะบ่งกะสงฆ์ความ
ชำนาญซิแล้วริประลุลาม........................ระลึกขันธ์และธาตุแฉ

    ๕๔.ทั้งในอดีตหนา......อนาคตหน้า......ปัจจุบันแล
เรามีแล้วฤา....หรือมิมีแล้....เป็นอะไรแท้....ต่อไปเป็นใด

    ๕๕.พระสงฆ์รู้และเห็นยาตร.................ภณศาสดาไย
เป็นครูแนะสอนรินยะไซร้........................จะเคารพพระศาสด์ฯหรือ

    ๕๖.สงฆ์หลายรู้กล้า......พระสมณะว่า......อย่างนี้แน่ครือ
สงฆ์จะยกหนา....ศาสดาอื่นฤา....เชื่อวัตรอื่นถือ.....เป็นแก่นสารใด

    ๕๗.พระสงฆ์รู้และทราบข่าว.................ก็จะกล่าวซิแน่วไซร้
พุทธ์เจ้าสิตรัสก็วทะไกล..........................ลุถูกต้องจะทรงนำ

    ๕๘.ชี้พระสงฆ์เดิน.......ลุทางเผชิญ.......พระนิพพานล้ำ
ธรรมนี้พฤติแล้ว....รู้แน่วชัดนำ....ด้วยตนถลำ....ไร้กำหนดกาล

    ๕๙.ประณตน้อมสิกับตน.......................นฤชนเจาะตนพาน
เห็นชัดซิตนเจาะเฉพาะขาน......................และน้อมตนประพฤติเอย

    ๖๐.พุทธ์เจ้าแนะสอน.......เกิดในครรภ์จร.......ปัจจัยสามเอย
"แม่มีระดู"...."พ่อคู่แม่เชย"....."คันธัพพะ"เกย....วิญญาณเกิดรอ

    ๖๑.และมารดาเจาะตั้งครรภ์..................ประลุสรรค์ก็คลอดจ่อ
แม่เลี้ยงกุมารกษิระพอ..............................เจริญยิ่งซิอินทรีย์

    ๖๒.กุมารเติบโต.......ด้วยกามคุณโข......ตา,หู,จมูก..มี
จิต"กามาวะฯ"....สติไม่มั่นชี้....ไร้"เจโตฯ"คลี่....ไร้ปัญญาแล

    ๖๓.กุมารมีกิเลสพูน...............................บริบูรณ์รตีแล้
ลุเวทนาเจาะสุขะแฉ..................................ก็"อยาก"เกิดและยึดพา

    ๖๔.เกิดอุปาทาน......"ภพ"จึงมีพาน......ก่อ"ชาติ"ตามมา
เกิดเป็นปัจจัย....ไซร้"แก่,ตาย"ฝ่า....โศก,ครวญ,ทุกข์กล้า....โทมนัสลามครัน

    ๖๕.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสบ่ง.......................ก็พระองค์อุบัติพลัน
ทรงตรัสรู้ลุอรหันต์....................................ซิถูกตรงลุ"วิชชา"

    ๖๖.แจ้งอริยสัจจ์สี่......รู้แจ้งโลกรี่......ฝึกสอนเยื่ยมนา
เป็นศาสดา....เทวามนุษย์หนา....รู้ทั่วโลกหล้า.....โลกเทพ,พรหม,มาร

    ๖๗.และพุทธ์องค์พระคุณป้อน.................นยสอนมนุษย์ชาญ
พร้อมเทพจะแจ้งลุนิรวาณ...........................ลุตามติดพระองค์หนา

    ๖๘.ทรงแจงธรรมงาม.......เบื้องต้น,กลางขาม.......ความงามสุดพา
ประกาศพรหม์จรรย์....ครันสะอาดนา....ชนฟังธรรมกล้า....เกิดศรัทธาเอย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #229 เมื่อ: 14, ตุลาคม, 2568, 03:15:48 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

    ๖๙.นิกรเกิดตระหนักชัด..................คฤหัสถ์ประจักษ์เอ่ย
ครองเรือนสิยากจะประลุเผย...............มิสามารถประพฤติตน

    ๗๐.การบวชเรียนรุด........พรหม์จรรย์บริสุทธิ์........ลุธรรมง่ายดล
เลิกครองเรือนชวด....โกนหนวด,ผมยล....กาสาว์พัตรท้น....รักษาศีลมา

    ๗๑.ณ คราบวชก็ถึงพร้อม................วตะน้อมกะสิกขา
พฤติตนละอายมิภิทะหนา....................มุเกื้อสรรพสัตว์เอย

    ๗๒.เป็นคนสะอาด.......เว้นลักทรัพย์ขาด.......รับแต่ของเอย
เฉพาะเขาให้....พอใจของเอ่ย....ไม่หวังอื่นเลย....เอาที่ให้แล

    ๗๓.ประพฤติพรหมจรรย์ไซร้............นิรใกล้ริเสพแท้
"เมถุนฯ"ซิร้ายเจาะกิจะแฉ....................มนุษย์บ้านประเวณี

    ๗๔.เว้นพูดเท็จใด.......ไม่หลอกลวงใคร......พูดสัจจะมี
เว้นพูดส่อเสียด....ให้เกลียดกันชี้....สร้างสามัคคี....พูดสร้างสรรค์นา

    ๗๕.ละเว้นพูดสิหยาบไซร้................วจะไพเราะรื่นหนา
เพ้อเจ้อละเสียริภณะกล้า....................ประโยชน์ยิ่งและอิงธรรม

    ๗๖.เว้นตัด"พืชคาม"......ห้ามทำลายลาม......พืชงอกได้นำ
"ภูตคาม"ต้นไม้....ไซร้เว้นตัดหนำ....ทลายพ้นดินทำ....จะอาบัติเอย

    ๗๗.พระสงฆ์"ฉัน"สิมื้อเดียว..............นิรเหลียววิกาลเอ่ย
หลังเที่ยงเจาะถึงสุริยะเผย..................และกลางคืนมิ"ฉัน"แฉ

    ๗๘.ไม่ดูฟ้อนรำ......การขับร้องนำ......การละเล่นแล
เว้นจากแต่งกาย....ฉายประทินแล้....ด้วยดอกไม้แน่....มีกลิ่นหอมนา

    ๗๙.สิที่นอนเจาะสูงใหญ่...................อนะไซร้มินอนหนา
ทอง,เงินมิรับลิหิตะคว้า.........................เพราะป้องยึดและติดสิน

    ๘๐.เว้นขาดรับกริบ......ธัญญาหารดิบ......ธัญชาติเจ็ดกิน
สาลี,ข้าวเปลือก....เลือกข้าวเหนียวชิน....ข้าวฟ่าง,เดือยสิ้น....สะอาดศีลมี

    ๘๑.ละเนื้อดิบเพราะป้องจาก..............ภวพรากซิบาปชี้
ห้ามรับสตรีและดรุณี.............................จะป้องกันกะกล่าวหา

    ๘๒.เว้นทาสหญิง-ชาย.......อีกทั้งสัตว์หลาย......แพะ,แกะ,ไก่มา
สุกร,โค,ช้าง....ห่างจากม้า,ลา....ไม่รับสวน,นา....เรื่องสื่อสารใด

    ๘๓.ละเว้นซื้อและขายดล....................จะละพ้นซิลวงไกล
สินบนมิรับจะประลุไหน...........................ลิเว้นฆ่าและปล้นเผย

    ๘๔.สงฆ์สันโดษแล......เพียงจีวรแล้......แค่บิณฑ์อิ่มเอย
สงฆ์ประกอบแท้....แน่อริยศีลเผย....สุขไร้โทษเอ่ย....จิตบริสุทธิ์แล

    ๘๕.พระสงฆ์เห็นสิรูปชัด......................ปฏิบัติจะถึงแน่
สำรวมซิ"ตา"มิเลาะเกาะแฉ......................เจาะห่างบาปอภิชฌา

    ๘๖.ฟังเสียงทางหู......จมูกดมกลิ่นพรู......ลิ้มรสด้วยนา
ถูกต้องโผฏฐัพพ์ฯ....จับถูกกายหนา....ธรรมารมณ์กล้า.....ไม่ยินดีไย

    ๘๗.สิรู้ธรรมะรมณ์บ่ง..........................นิรส่งรตีใส
ไร้เคืองหทัยริสติไว.................................ซิจิตมั่นสราญเผย

    ๘๘.สงฆ์รู้สึกตัว.......การก้าวไปรัว.......ถอยกลับ,เหลียวเอย
การคู้เข้าแล....แฉเหยียดออกเกย...."สังฆาติ"เชย...."ฉัน",บาตร,จีวร

    ๘๙.ริดื่ม,เคี้ยวสิลิ้มลอง........................ยุรปองซิยืน,นอน
หลับ,ตื่นและนั่งริวจะย้อน........................ลุมูตร,คูถรึได้มี

    ๙๐.จิตสะอาดครัน......."อริยศีลขันธ์".......สำรวมศีลดี
ในทวารหก....ปรกฆ่า,ลักชี้....."อินทรีย์สังฯ"นี้....สำรวมทวาร

    ๙๑.พระสงฆ์ตัดนิวรณ์ไกล...................หฤทัยเจาะเศร้าขาน
เหตุปัญญะด้อยลิพละพาน.......................สงัดกามลิบาปเอย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #230 เมื่อ: 15, ตุลาคม, 2568, 09:12:57 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

    ๙๒.ลุปฐมฌาน.......วิตก,วิจาร.......ปีติสุขเชย
ทุติย์ฌาน,สอง....จิตครองหนึ่งเอย....ตรึก,ตรองดับเลย....ปีติ,สุขคง

    ๙๓.พระสงฆ์ครันเจริญกราน.............ตติย์ฌานนะเอยบ่ง
ด้วยปีติจางริสติส่ง...............................อุเบกขาเจาะสุขเผย

    ๙๔.สงฆ์ลุฌานสี่.......จตุตถฯชี้......ละทุกข์,สุขเอ่ย
โทมนัส,โสมนัส....ตัดหมดแล้วเคย....สติสะอาดเชย....อุเบกขาครอง

    ๙๕.ละดับทุกข์ ณ คราพิศ.................เจาะพินิจซิ"ตา"ตรอง
เห็นรูปสิรู้มิรติผอง................................รึชังรูปมิพอใจ

    ๙๖.สงฆ์มีสติมั่น......จิตล้ำเลิศสรร......"เจโตวิมุตต์ฯไว
"ปัญญาวิมุตติ"....แจ้งรุดละไม....ดับกิเลสไส....ไร้อกุศลธรรม

    ๙๗.พระสงฆ์พลันละยินดี...................มิเจาะรี่กะร้ายนำ
รู้"เวทนา"ผิสุขะล้ำ.................................รึทุกข์,ไร้ซิทั้งสอง

    ๙๘.สงฆ์มิเพลินหนา......ไม่ติดเวทนา......เวทนาดับปอง
อุปาทานดับ....ลับตามมิครอง....แล้วภพดับจอง....ชาติดับต่อตาม

    ๙๙.เพราะชาติดับชราคว้า..................มรณาเจาะโศกลาม
คร่ำครวญและไห้ลุทุขะผลาม.................พะพร้อมโทมนัสซา

    ๑๐๐.แค้น,อุปายาส......ดับลงพิฆาต......ทุกข์ทั้งผองพา
ดับสิ้นลงพลัน....ครันกองทุกข์ล่า....ถอยดับหมดหนา....ด้วยเหตุนี้แล

    ๑๐๑.พระพุทธ์เจ้าริตรัสเหตุ................ธุวเดชซิพ้นแน่
"ตัณหาสิสังขยะวิฯ"แฉ...........................ก็เทศ์นาลุหลุดพ้น

    ๑๐๒.ทรงขอให้จำ.......สาติฯสงฆ์นำ......ตัณหามากยล
เมื่อทรงกล่าวจบ....สงฆ์นบชื่นท้น....ภาษิตง่ายด้น....ต่างชื่นชมเอย ฯ|ะ
   
แสงประภัสสร

มจร.๘.มหาตัณหาสังขยสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=38

เชตวันฯ= วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชต นอกเมืองสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อมาด้วยเงินมากถึง ๑๘ โกฏิ วัดแห่งนี้นับว่าเป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง ๑๙ พรรษา เป็นสถานที่เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย
สาติบุตร = คือ ภิกษุชื่อสาติเกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามกเห็นเกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น
โมฆาบุรุษ = โมฆบุรุษ คือบุคคลที่ว่างเปล่า ไม่มีแก่นสาร ว่างเปล่าจากอะไร (๑) ว่างเปล่าจากกุศลธรรมในขณะนั้นคือขณะนั้นเป็นอกุศลที่มีกำลัง เป็นโมฆบุรุษใน ขณะนั้น (๒) ว่างเปล่าจากความเห็นถูกคือเป็นผู้มีความเห็นผิด เป็นโมฆบุรุษ (๓) ว่างเปล่าเพราะไม่มีอุปนิสัยที่จะได้บรรลุมรรคผลในชาตินั้น (๔) ว่างเปล่าแม้จะมีอุปนิสัยจะได้บรรลุในชาตินั้นและท้ายที่สุดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลจึงว่างเปล่าจากการบรรลุในขณะนั้น ขณะนั้นก็ชื่อว่าเป็นโมฆบุรุษ
ปฏิจจสมุปบาท : กระบวนการเกิด = ดังนี้
(๑) อาหาร ๔ ชนิด = อะไรบ้าง
(๑.๑) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว) หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง (๑.๒) ผัสสาหาร - อาหารคือการสัมผัส (๑.๓) มโนสัญเจตนาหาร - อาหารคือความจงใจ (๑.๔) วิญญาณาหาร - อาหารคือวิญญาณ
~ อาหาร ๔ ชนิด มีอะไรเป็นต้นเหตุ, มีอะไรเป็นเหตุเกิด, มีอะไรเป็นที่เกิด, มีอะไรเป็นแดนเกิด
อาหาร ๔ ชนิด = มีตัณหาเป็นต้นเหตุ; มีตัณหาเป็นเหตุเกิด; มีตัณหาเป็นที่เกิด; มีตัณหาเป็นแดนเกิด
(๒) ตัณหา = มีเวทนาเป็นต้นเหตุ; มีเวทนาเป็นเหตุเกิด; มีเวทนาเป็นที่เกิด; มีเวทนาเป็นแดนเกิด
(๓) เวทนา = มีผัสสะเป็นต้นเหตุ; มีผัสสะเป็นเหตุเกิด; มีผัสสะเป็นที่เกิด; มีผัสสะเป็นแดนเกิด
(๔) ผัสสะ = มีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ; มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด; มีสฬายตนะเป็นที่เกิด; มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #231 เมื่อ: 15, ตุลาคม, 2568, 02:21:47 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

~ สฬายตนะ -- อายตนะภายในทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จะทำงานร่วมกับ อายตนะภายนอก ๖ ซึ่งได้แก่ รูป (สิ่งเห็น) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจรับรู้) เมื่ออายตนะภายในและภายนอกกระทบกัน ก็จะเกิดการรับรู้และความรู้สึกขึ้น สฬายตนะ มีความสำคัญในหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหลักธรรมที่แสดงถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ โดยระบุว่า "เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ" และ "เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ" นั่นหมายความว่า การมีอยู่ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุให้เกิดการรับรู้ (ผัสสะ) และนำไปสู่การเกิดสุข ทุกข์ และความยึดติดในที่สุด
(๕) สฬายตนะ = มีนามรูป เป็นต้นเหตุ; มีนามรูปเป็นเหตุเกิด; มีนามรูปเป็นที่เกิด; มีนามรูปเป็นแดนเกิด
(๖) นามรูป= มีวิญญาณเป็นต้นเหตุ; มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด; มีวิญญาณเป็นที่เกิด; มีวิญญาณเป็นแดนเกิด
(๗) วิญญาณ = มีสังขารเป็นต้นเหตุ; มีสังขารเป็นเหตุเกิด; มีสังขารเป็นที่เกิด; มีสังขารเป็นแดนเกิด
(๘) สังขารทั้งหลาย = มี อวิชชาเป็นต้นเหตุ; มีอวิชชาเป็นเหตุเกิด; มีอวิชชาเป็นที่เกิด; มีอวิชชาเป็นแดนเกิด
องค์ประกอบ  ของปฏิจจสมุปบาท = ได้แก่
(๑) เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขารจึงมี
~ อวิชชา : ความไม่รู้ในอริยสัจจ์ ๔
(๒) เพราะสังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
~สังขาร : การปรุงแต่งทางกาย วาจา ใจ
(๓) เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
~วิญญาณ : ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้ตามอายตนะ
(๔) เพราะนามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
~ นามรูป : กายและใจ - รูปธรรมและนามธรรม
(๕) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
~ สฬายตนะ : คือ อายตนะทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
(๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
~ผัสสะ : การกระทบกันของอายตนะ, อารมณ์, และวิญญาณ
(๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
~ เวทนา : ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ
(๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
~ ตัณหา : ความทะยานอยากใคร่ได้
(๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
~อุปาทาน : การยึดติดถือมั่น
(๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
~ ภพ : ความเป็นอยู่ ภาวะชีวิตหรือสภาพชีวิต
(๑๑) เพราะชาติชรามรณะ เป็นปัจจัย มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) จึงมี
~ ชาติ : การเกิด การปรากฏขึ้นของขันธ์ทั้งหลายที่ยึดถือเป็นตัวตน
~ ชรามรณะ : ความแก่และความตาย, ความเสื่อมและการแตกสลายของขันธ์
ตามผังลำดับการเกิด :
อวิชชา ---> สังขาร ---> วิญญาณ ---> นามรูป ---> สฬายตนะ ---> ผัสสะ ----> เวทนา ---> ตัณหา ---> อุปาทาน ---> ภพ ---> ชาติ ---> ชรา มรณะ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
พระพุทธเจ้ากล่าวข้อความว่า =
(๑) ที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมี’
(๒) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’
(๓)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’
(๔) “เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’
(๕)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’
(๖)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’
(๗)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’
(๘)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี’
(๙)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี'
(๑๐)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’
(๑๑)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี’
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า =  “ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เธอทั้งหลายกล่าวอย่างนั้น แม้เราก็กล่าวอย่างนั้น เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, คือ
(๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
(๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
(๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
(๕) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
(๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
(๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
(๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
(๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
(๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
(๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #232 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:12:18 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

ปฏิจจสมุปบาท : กระบวนการดับ
(๑) เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ สังขารจึงดับ
~ วิราคะ ในที่นี้หมายถึงมรรค
(๒) เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
(๓) เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
(๔) เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
(๕) เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
(๖) เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
(๗) เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
(๘) เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
(๙) เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
(๑๐) เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
(๑๑) เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
พระพุทธเจ้ากล่าวถึงความดับ = ดังนี้
(๑) ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ’
(๒) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะภพดับ ชาติจึงดับ’
(๓) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ’
(๔)“ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ’
(๕) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ’
(๖) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ’
(๗) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ’
(๘) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ’
(๙) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ’
(๑๐) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ’
(๑๑) “ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า ‘เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ’
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย = ข้อที่กล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เธอทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับ, สิ่งนี้จึงดับ คือ
(๑) เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ (๒) เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ (๓) เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ (๔)เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ (๕) เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ (๖) เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ (๗) เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ (๘) เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ (๙) เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ (๑๐) เพราะภพดับ ชาติจึงดับ (๑๑) เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
พระธรรมคุณ
(๑)“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้จะพึงกลับระลึกถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ในอดีตกาลว่า
‘ในอดีตกาลยาวนาน เราได้มีแล้วหรือ, หรือมิได้มีแล้วหนอ, เราได้เป็นอะไรมาหนอ, เราได้เป็นอย่างไรมาหนอ, เราได้เป็นอะไรแล้วจึงมาเป็นอะไรอีกหนอ’ บ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า
(๒)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้จะพึงกลับระลึกถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะในอนาคตว่า
‘ในอนาคตกาลยาวนาน เราจักมีหรือ, หรือจักไม่มีหนอ, เราจักเป็นอะไรหนอ, เราจักเป็นอย่างไรหนอ, เราจักเป็นอะไรแล้วไปเป็นอะไรอีกหนอ’ บ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
~กลับระลึกถึง =การแล่นไปตามอำนาจตัณหาและทิฏฐิด้วยอำนาจวิจิกิจฉา ที่ทรงมุ่งจะตรัสถามว่าเมื่อรู้เห็นถึงปัจจัยแห่งการเกิดครบองค์ ๑๒ แล้ว มีความสงสัยอยู่อีกหรือ
(๓)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จะพึงมีความสงสัยภายในตนปรารภปัจจุบันกาลในบัดนี้ว่า
‘เราเป็นอยู่หรือ, หรือไม่เป็นอยู่หนอ, เราเป็นอะไรหนอ, เราเป็นอย่างไรหนอ, สัตว์นี้มาจากไหนหนอ, และเขาจักไปไหนกันหนอ’ บ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
(๔)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระศาสดาเป็นครูของเราทั้งหลาย, เราทั้งหลายต้องกล่าวอย่างนี้ด้วยความเคารพต่อพระศาสดา’ บ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
(๕)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณะตรัสอย่างนี้และเราทั้งหลายผู้ชื่อว่าเป็นสมณะ ก็กล่าวอย่างนี้’ บ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
(๖)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จะพึงยกย่องศาสดาอื่นบ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
(๗)“เธอทั้งหลายเมื่อรู้เห็นอย่างนี้จะพึงเชื่อถือข้อวัตร การตื่นลัทธิ และการถือมงคลของพวกสมณพราหมณ์ปุถุชน โดยเชื่อว่าเป็นแก่นสารบ้างหรือไม่”
“ข้อนี้ไม่เป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
~ข้อวัตร ในที่นี้หมายถึงวัตรเป็นถคนใบ้ วัตรเยี่ยงช้าง วัตรเยี่ยงม้า วัตรเยี่ยงโค เป็นต้น
~การตื่นลัทธิ หมายถึงความยึดมั่นความเห็นของตนว่า “นี้จริง อย่างอื่นไม่จริง”
~การถือมงคล หมายถึงการยึดถือรูปหรือเสียง เป็นต้นว่าเป็นมงคล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #233 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 04:08:39 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๘/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร


(๘)“สิ่งใดที่เธอทั้งหลายรู้เอง เห็นเอง ทราบเองแล้ว เธอทั้งหลายจะพึงกล่าวถึงเฉพาะสิ่งนั้นมิใช่หรือ”
“เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
(๙)“ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เรานำเธอทั้งหลายเข้าไป (ถึงนิพพาน) แล้วด้วยธรรมนี้ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้ตนเพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า
‘ภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง, ไม่ประกอบด้วยกาล, ควรเรียกให้มาดู, ควรน้อมเข้ามาในตน, อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน’ เราจึงกล่าวไว้อย่างนี้”
องค์ประกอบแห่งการเกิดในครรภ์ = คือ
(๑) ภิกษุทั้งหลาย เพราะปัจจัย ๓ ประการประชุมพร้อมกัน การถือ
กำเนิดในครรภ์จึงมีได้
ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และคันธัพพยังไม่ปรากฏ การถือกำเนิดในครรภ์ก็ยังมีไม่ได้
แต่เมื่อใด มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู และคันธัพพะก็ปรากฏ เมื่อนั้น เพราะปัจจัย ๓ ประการประชุมพร้อมกันอย่างนี้ การถือกำเนิดในครรภ์จึงมีได้
~คันธัพพะ ในที่นี้หมายถึงสัตว์ผู้จะมาเกิดในครรภ์นั้น (ปฏิสนธิวิญญาณ)
(๒) มารดาย่อมรักษาทารกในครรภ์นั้น ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง จึงคลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความกังวลใจมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ซึ่งเกิดแล้วด้วยโลหิตของตนด้วยความห่วงใยมาก
~ น้ำนมของมารดานับเป็นโลหิตในอริยวินัย
(๓) กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเล่นด้วยเครื่องเล่นสำหรับกุมาร คือไถเล็กๆ ตีไม้หึ่ง หกคะเมน เล่นกังหัน ตวงทราย รถเล็ก ธนูเล็ก
(๔) ภิกษุทั้งหลาย กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย อิ่มเอิบ พร้อมพรั่ง บำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ ประการ คือ
(๔.๑) รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด (๔.๒) เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู (๔.๓) กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก (๔.๔) รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น (๔.๕) โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
(๕) กุมารนั้นเห็นรูปทางตาแล้วกำหนัด ในรูปที่น่ารัก ขัดเคืองในรูปที่ไม่น่ารัก เป็นผู้มีสติในกายไม่ตั้งมั่น และมีจิตเป็นกามาวจรอยู่ ไม่รู้ชัดถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งบาปอกุศลธรรมตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ตาม, ทุกข์ก็ตาม, มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม, ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึงติดใจเวทนานั้น เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินก็เกิดขึ้น ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลาย เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี
~กำหนัด ในที่นี้หมายถึงให้เกิดราคะขึ้น
~จิตเป็นกามาวจร ในที่นี้หมายถึงจิตฝ่ายอกุศล
~ความยินดี (อนุโรธะ) หมายถึงราคะ ความยินร้าย (วิโรธะ) หมายถึงโทสะ
~เพลิดเพลิน หมายถึงมีตัณหาทะยานอยาก บ่นถึง หมายถึงพร่ำเพ้อว่า “สุขหนอๆ”
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น = ย่อมมีได้อย่างนี้
(๑) ฟังเสียงทางหู (๒) ดมกลิ่นทางจมูก (๓) ลิ้มรสทางลิ้น (๔) ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย (๕) รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจ แล้วกำหนัดในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่ไม่น่ารัก
~ย่อมเป็นผู้มีสติในกายไม่ตั้งมั่น และมีจิตเป็นกามาวจรอยู่ ไม่รู้ชัดถึง
เจโตวิมุตติ, ปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งบาปอกุศลธรรมตามความเป็นจริง
~เขาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินก็เกิดขึ้น ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลาย เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี; เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี; เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #234 เมื่อ: วันนี้ เวลา 01:48:45 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๙/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

พระพุทธคุณ = มีดังนี้
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ; เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก; เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม; เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย; เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค; ตถาคตนั้นรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก; และสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ด้วยตนเองแล้ว จึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม; แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด; ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน; คหบดี บุตรคหบดี หรืออนุชน(คนผู้เกิดภายหลัง)ในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ฟังธรรมนั้นแล้วได้ศรัทธาในตถาคต เมื่อมีศรัทธาแล้วย่อมตระหนักว่า ‘การอยู่ครองเรือนเป็นเรื่องอึดอัด เป็นทางแห่งธุลี การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง; การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด มิใช่ทำได้ง่าย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต’
ต่อมา เขาละทิ้งกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ และเครือญาติน้อยใหญ่ โกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
สิกขาและสาชีพของภิกษุ
(๒) เขาเมื่อบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพเสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย คือ
(๒.๑) ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่
(๒.๒) ละเว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่
(๒.๓) ละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรม อันเป็นกิจของชาวบ้าน
~เมถุนธรรม หมายถึงการร่วมประเวณี การร่วมสังวาส กล่าวคือการเสพอสัทธรรมอันเป็นประเวณีของชาวบ้านมีน้ำเป็นที่สุด เป็นกิจที่จะต้องทำในที่ลับ เป็นการกระทำของคนที่เป็นคู่ๆ
(๒.๔) ละเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่คำสัตย์ ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลก
(๒.๕) ละเว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือ ฟังความจากฝ่ายนี้แล้วไม่ไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังความฝ่ายโน้นแล้วไม่มาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น สมานคนที่แตกกัน ส่งเสริมคนที่ปรองดองกัน ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินต่อผู้ที่สามัคคีกัน พูดแต่ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี
(๒.๖) ละเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ คือ พูดแต่คำไม่มีโทษ ไพเราะ น่ารัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ
(๒.๗) ละเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดถูกเวลา พูดแต่คำจริง พูดอิงประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ เหมาะแก่เวลา
(๒.๘) เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม
~พืชคาม หมายถึงพืชพันธุ์จำพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก
~ภูตคาม หมายถึงของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่นกระชาย, เกิดจากต้น เช่น โพ, เกิดจากตา เช่น อ้อย, เกิดจากยอด เช่น ผักชี, เกิดจากเมล็ด เช่น ข้าว
(๒.๙) ฉันมื้อเดียว ไม่ฉันตอนกลางคืน เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล
~ฉันในเวลาวิกาล คือ เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเรื่อง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึงผิดเวลาที่กำหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึงเวลาอรุณขึ้น
(๒.๑๐) เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล
(๒.๑๑) เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ของหอม และเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่งการแต่งตัว (๒.๑๒) เว้นขาดจากที่นอนสูงใหญ่ (๒.๑๓) เว้นขาดจากการรับทองและเงิน (๒.๑๔) เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ
~ธัญญาหารดิบ ในที่นี้หมายถึงธัญชาติ ๗ ชนิด คือ ข้าวสาลี;  ข้าวเปลือก; ข้าวเหนียว; ข้าวละมาน; ข้าวฟ่าง; ลูกเดือย; หญ้ากับแก้
(๒.๑๕) เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ (๒.๑๖) เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี (๒.๑๗) เว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย (๒.๑๘) เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ (๒.๑๙) เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (๒.๒๐) เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา (๒.๒๑) เว้นขาดจากการรับเรือกสวน ไร่นา และที่ดิน (๒.๒๒) เว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร (๒.๒๓) เว้นขาดจากการซื้อการขาย (๒.๒๔) เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม และด้วยเครื่องตวงวัด (๒.๒๕) เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง (๒.๒๖) เว้นขาดจากการตัด(อวัยวะ) การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้น และการขู่กรรโชก


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5470
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 830



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #235 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:44:26 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๑๐/๑๑) : ๕๖. มหาตัณหาสังขยสูตร

ภิกษุนั้นเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรพอคุ้มร่างกาย และบิณฑบาตพออิ่มท้อง จะไป ณ ที่ใดๆ ก็ไปได้ทันที เหมือนนกมีปีกจะบินไป ณ ที่ใดๆ ก็มีแต่ปีกของมันเป็นภาระบินไป แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรพอคุ้มร่างกายและบิณฑบาตพออิ่มท้อง จะไป ณ ที่ใดๆ ก็ไปได้ทันที
การทำจิตให้บริสุทธิ์ = มีดังนี้
(๑) ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยสีลขันธ์นี้แล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน
ภิกษุนั้นเห็นรูปทางตาแล้ว ไม่รวบถือ ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบัติเพื่อความสำรวมจักขุนทรีย์ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จึงรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
ฟังเสียงทางหู ..., ดมกลิ่นทางจมูก ...,ลิ้มรสทางลิ้น ...,ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ...,รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว ไม่รวบถือ ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบัติเพื่อความสำรวมมนินทรีย์ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้วก็จะเป็นเหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้ จึงรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์
ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยอินทรียสังวร ย่อมเสวยสุขอันไม่ระคนกับกิเลสในภายใน ภิกษุนั้นทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง การทำจิตให้บริสุทธิ์
ภิกษุนั้นประกอบด้วยอริยสีลขันธ์ อริยอินทรียสังวรและอริยสติสัมปชัญญะนี้ แล้วพักอยู่ ณ เสนาสนะเงียบสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าทึบ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น)ในโลก มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา ละพยาบาทและความมุ่งร้าย มีจิตไม่พยาบาท มุ่งประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากพยาบาทและความมุ่งร้าย ละถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) ปราศจากถีนมิทธะ กำหนดแสงสว่างมีสติสัมปชัญญะอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ(ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ) เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) ข้ามวิจิกิจฉาได้แล้ว ไม่มีวิจิกิจฉาในกุศลธรรมอยู่ชำระจิตให้บริสุทธิ์จลากวิจิกิจฉา
~ อริยสีลขันธ์ คือ สังรวมแห่งศีลอันประเสริฐ เป็นการปฏิบัติตามหลักศีลที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ประสบภัยในภายใน ได้เสวยสุขที่ปราศจากโทษ โดยเน้นที่การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และการเพ่งพิจารณาในโทษของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความสำรวมในทวารทั้ง ๖ และมีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
~ อินทรียสังวร = ความสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง โผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, ความระวังไม่ให้กิเลสครอบงำใจในเวลารับรู้อารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๖
ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตและเป็นเหตุทำปัญญาให้อ่อนกำลังได้แล้ว สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่; เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่; บรรลุตติยฌาน, บรรลุจตุตถฌานอยู่ ตามลำดับ
~นิวรณ์ ๕ = คือ เครื่องทำจิตเศร้าหมอง
(๑) กามฉันทะ = ความพอใจในกาม, ความลุ่มหลง, ความรักใคร่ ความต้องการทางเพศ การติดใจ ความปรารถนา (๒) ถีนมิทธะ = ความง่วงเหงาหดหู่, ความเกียจคร้าน, ท้อแท้ เศร้าซึม, หมดหวัง เสียใจ หมดอาลัย (๓) อุทธัจจะกุกกุจจะ = ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, วิตกกังวล ระแวง กลัว ความคิดซัดส่ายตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่
(๔) วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย, ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ เป็นต้น
~ปฐมยาม = ปฐมฌาน คือ ฌานลำดับที่ ๑ เป็นสภาวะของจิตที่สงบและรวมเป็นหนึ่งเดียว (เอกัคคตา) มีองค์ประกอบ ๕ อย่าง ได้แก่ วิตก (การตรึกนึก) วิจาร (การตรอง) ปีติ (ความอิ่มใจ) สุข (ความสุขใจ) และเอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว)
~ทุติยฌาน = (ฌานที่ ๒) คือสภาวะการเข้าฌานที่จิตสงบลงจากการคิดปรุงแต่ง (วิตกวิจาร) จากปฐมฌาน เกิดเป็นอารมณ์ที่ตั้งมั่นแน่วแน่ขึ้นอย่างแรงกล้า โดยมีองค์ประกอบคือ"ปีติ" (ความอิ่มเอิบใจ) และ "สุข" (ความสบายใจ) พร้อมกับ "เอกัคคตา" (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว)
บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 14 15 [16]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.257 วินาที กับ 111 คำสั่ง
กำลังโหลด...