(ต่อหน้า ๒/๔) ประมวลธรรม : ๕๘. จูฬอัสสปุรสูตร
๑๗.สงฆ์ยังสิมีลุ"กรุณา"..........................."มุทิตา,อุเบกฯ"กระจาย
ยิ่งใหญ่มหัคคตะจะฉาย...............................นิรขอบและเขตจะขวาง
๑๘.พลางมิเบียนมุ่งร้าย............................เหมือนนที ใสเย็น
สะอาดรื่นรมย์ดี...........................................ไม่ร้อน
ชนจากทิศใดลี............................................อาบดื่ม หายรน
เหมือนบวชเรียนธรรมป้อน...........................สงบพร้อมภายใน
๑๙.พุทธ์องค์แนะบวชเจาะ"กรุณา"............"มุทิตา,อุเบกฯ"หทัย
เมตตาสงัด"สมณะ"ใส..................................ภณะเรียกซิถูกเหมาะเผย
๒๐.กุลบุตรเชยบวชไซร้...........................ทุกตระกูล เหมือนกัน
"กษัตริย์,พราหมณ์,แพศย์"พูน.......................เด่นพร้อม
วรรณะ"ศูทร"พิบูลย์.....................................มิต่าง
พฤติเยี่ยงสมณะน้อม...................................ถูกต้องตามแผน
๒๑.กุล์บุตรเลาะจากจตุตระกูล.................ภวพูนซิบรรลุแก่น
"เจโตวิมุตติฯ"มหะแดน.................................ประลุ"ปัญญ์วิมุตติฯ"แฉ
๒๒.ปัญญาฯแลเปี่ยมท้น...........................ตัดปลง อาสวะ
อาสวะฆ่าหมดลง..........................................จบแล้ว
จึงเรียกเสร็จประสงค์....................................หมายมุ่ง
ทรงตรัสครบสงฆ์แจ้ว....................................ชื่นช้อยธรรมหนา
แสงประภัสสร
มจร. ๑๐. จูฬอัสสปุรสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://share.google/VVcDg1DUMtzrcMmgSอัสสปุระฯ = อัสสปุรนิคมของพระราชกุมารชาวอังคะ ในแคว้นอังคะ
[ก] การบวชเหมือนมีดสองคม
ภิกษุทั้งหลาย ควรสำเหนียกอย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่า = เป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติสมควรแก่สมณะ เป็น
อย่างไร คือ
(๑) ภิกษุ มีอภิชฌามาก ยังละอภิชฌา (ความโลภ)ไม่ได้
(๒) มีจิตพยาบาท ยังละพยาบาทไม่ได้
(๓) เป็นผู้มักโกรธ ยังละความมักโกรธไม่ได้
(๔) มีความผูกโกรธ ยังละความผูกโกรธไม่ได้
(๕) มีความลบหลู่ ยังละความลบหลู่ไม่ได้
(๖) มีความตีเสมอ ยังละความตีเสมอไม่ได้
(๗) มีความริษยา ยังละความริษยาไม่ได้
(๘) มีความตระหนี่ ยังละความตระหนี่ไม่ได้
(๙) มีความโอ้อวด ยังละความโอ้อวดไม่ได้
(๑๐) มีมารยา ยังละมารยาไม่ได้
(๑๑) มีความปรารถนาที่เป็นบาป ยังละความปรารถนาที่เป็นบาปไม่ได้
(๑๒) มีความเห็นผิด ยังละความเห็นผิดไม่ได้
เพราะยังละกิเลสที่เป็นมลทินของสมณะ เป็นโทษของสมณะ เป็นดุจน้ำฝาดของสมณะ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดในอบาย และมีวิบากที่จะพึงเสวยในทุคติเหล่านี้ไม่ได้
เราจึงกล่าวว่า ‘ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ’
ภิกษุทั้งหลาย อุปมาเหมือนอาวุธที่ชื่อ มตชะ มีคม ๒ ข้าง ทั้งชุบและลับดีแล้ว สอดไว้ในฝัก แม้ฉันใด เรากล่าวว่าบรรพชาของภิกษุนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น
~มตชะ = อาวุธ ที่ทำจากผงตะไบเหล็กกล้าซึ่งช่างเหล็กคลุกเนื้อให้นกกระเรียนกินแล้วถ่าย ไม่ได้ ตายเองหรือฆ่าให้ตาย แล้วนำผงนั้นมาล้างน้ำ คลุกเนื้อให้นกกระเรียนอื่นๆ กินอีกทำอย่างนี้จนครบ ๗ ครั้ง ชื่อว่า มตชะ เพราะเกิดจากนกที่ตายแล้ว อาวุธนั้นเป็นอาวุธคมกล้ายิ่งนัก
[ข] มิใช่สมณะด้วยเครื่องแบบและวัตร มี ๑๐ อย่าง
(๑) เราไม่กล่าวว่าผู้นุ่งห่มผ้าซ้อน มีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการนุ่งห่มผ้าซ้อน
~ผ้าซ้อน = ในที่นี้แปลจากคำว่า สังฆาฏิ หมายถึงผ้าที่ใช้ผ้าเก่าฉีกเป็นชิ้นๆ เย็บซ้อนกันใช้เป็นผ้านุ่งและห่ม เป็นข้อวัตรของลัทธินอกศาสนา มิได้หมายถึงสังฆาฏิที่เป็นเครื่องบริขารของภิกษุในธรรมวินัยนี้
(๒) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ถือเพศเปลือยกายมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการเปลือยกาย
(๓) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้หมักหมมด้วยธุลีมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการหมักหมมด้วยธุลี
(๔) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้อาบน้ำมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการลงอาบน้ำ
(๕) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้อยู่โคนไม้เป็นวัตรมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการอยู่โคนไม้เป็นวัตร