Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 15 16 [17]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 89919 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #240 เมื่อ: 30, พฤศจิกายน, 2568, 04:59:18 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร

อัสสปุรนิคม = แหล่งชุมชน ของพระราชกุมารชาวอังคะ ในแคว้นอังคะ
ธรรม = หมายถึงไตรลักษณ์ คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา แต่ในที่นี้ทรงมุ่งแสดงหิริและโอตตัปปะ
สมณะ = ผู้สงบกิเลส หรือ ผู้สงบระงับจากบาป โดยเฉพาะหมายถึง ภิกษุในพระพุทธศาสนา และยังอาจหมายถึง ผู้บำเพ็ญพรตหรือผู้แสวงหา
ประโยชน์จากความเป็นสมณะ = มีหลายนัย ดังนี้
~อริยมรรคมีองค์ ๘ บ้าง
~หมายถึงความสิ้นราคะ, ความสิ้นโทสะ, และความสิ้นโมหะบ้าง
สมณะ = พึงประพฤติตน มิให้เสื่อมจากความเป็น สมณะ ดังนี้
(๑) หิริ โอตัปปะ
(๑.๑) หิริ - ละอายบาป ความรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาป ห้ามใจไม่ให้วิ่งไปหาความชั่ว
(๑.๒) โอตตัปปะ - เกรงกลัวบาป ความกลัวว่าทำบาปไปแล้วจะได้รับผลเสีย หรือมีความทุกข์ทรมานจากการกระทำนั้น
(๒) กายสมาจารบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่ใช้ฝ่ามือ ก้อนดินท่อนไม้ หรือศัสตราทุบตีเบียดเบียนผู้อื่น หรือไม่เงื้อมือหรือท่อนไม้ไล่กาที่กำลังดื่มน้ำในหม้อน้ำ หรือจิกกินข้าวสุกในบาตร
(๓) วจีสมาจารบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่พูดเท็จ, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่กล่าวดูหมิ่นใครๆ, หรือไม่กล่าวถากถางเยาะเย้ยภิกษุใดๆ
(๔) มโนสมาจารบริสุทธิ์  = หมายถึงภิกษุไม่มีอภิชฌา ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความเห็นผิด ไม่ยินดีทองและเงิน หรือไม่ตรึกถึงกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
(๕) อาชีวะบริสุทธิ์ = หมายถึงภิกษุไม่เลี้ยงชีพด้วยกรรมที่ไม่สมควร เช่น การรักษาไข้ การให้น้ำมันทาเท้า การหุงน้ำมัน พูดเลียบเคียงขอผู้อื่น หรือการสะสมปัญจโครส มีเนยใส เป็นต้น
(๖) สำรวมอินทรีย์ ๖ = ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ ถ้าไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำ ผู้สำรวมอินทรีย์ ๖ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน
(๗) รู้จักประมาณในโภชนะ = ภิกษุควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จักพิจารณากินอาหาร ไม่ใช่เพื่อความมัวเมา แต่เพียงเพื่อกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป เพื่อบำบัดความหิว เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ โดยอุบายนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสียได้ และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ และการอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา
(๘) ตื่นบำเพ็ญเพียร = คือ ภิกษุควรมีความเพียรในธรรมเป็นเครื่องตื่นอย่างต่อเนื่อง จักชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมอันเป็นเครื่องขัดขวางด้วยการเดินจงกรม และการนั่งตลอดวัน การนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี สำเร็จการนอนดุจราชสีห์โดยตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ด้วยการเดินจงกรม, การนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
(๙) เจริญสติสัมปชัญญะ = ภิกษุควรสำเหนียกว่า จักเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ทำความรู้สึกตัวในทุกอิริยาบถ เช่น การก้าวไป การครองสังฆาฏิ บาตร และ จีวร การฉัน เป็นต้น
(๑๐) การละนิวรณ์ ๕ = คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้พักอยู่ ณ เงียบสงัด กลับจากบิณฑบาตรภายหลังฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
(๑๐.๑) ละอภิชฌา - ความเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา
(๑๐.๒) ละความมุ่งร้ายคือพยาบาท มีจิตไม่พยาบาท มุ่งประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความมุ่งร้ายคือพยาบาท
(๑๐.๓) ละ ถีนมิทธะ - ความหดหู่และความเซื่องซึม ปราศจากถีนมิทธะ กำหนดแสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ
(๑๐.๔) ละอุทธัจจกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ
(๑๐.๕) ละวิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย ข้ามวิจิกิจฉาได้แล้ว ไม่มีวิจิกิจฉาในกุศลธรรมอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา
อุปมาฌาน ๔ = คือ เปรียบเทียบการบรรลุฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นภาวะที่จิตมีความสงบแน่วแน่ จิตใจเป็นกลาง (อุเบกขา) และมีสติที่บริสุทธิ์ โดยมีอุปมาว่า "ชายที่นั่งคลุมตัวด้วยผ้าขาวตลอดทั้งตัว" ซึ่งไม่มีส่วนใดที่ผ้าขาวไม่คลุม
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก
ฌาน ๔ = คือ
(๑) ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก), วิจาร (ตรอง), ปีติ, สุข, เอกัคคตา (ใจเป็นหนึ่งเดียว)
~ฌาน ๑ ทรงอุปมาปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เปรียบเหมือนโรยผงถูกตัว ลงในขันสำริด แล้วพรม น้ำหมัก ไว้ ครั้นเวลาเย็น ก้อนผงออกยางเข้ากัน ซึมทั่วกายไม่ไหลหยด
(๒) ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา
~ฌาน ๒ ทรงอุปมาปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เปรียบเหมือนห้วงนํ้าอันลึก มีน้ำอันพลุ่ง ไม่มีปากทาง น้ำเข้าทางทิศต่างๆ และฝนก็ไม่ตกเพิ่มน้ำให้แก่ห้วงน้ำนั้นตลอดกาล ท่อน้ำเย็นพลุ่งขึ้นจากห้วงน้ำ ประพรมกายทำให้ชุ่ม


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #241 เมื่อ: 01, ธันวาคม, 2568, 07:55:44 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๕) ประมวลธรรม : ๕๗. มหาอัสสปุรสูตร

(๓) ตติยฌาน มีองค์ ๒  คือ สุข, เอกัคคตา
~ฌาน ๓ ทรงอุปมาผู้อยู่อุเบกขาด้วยสุขที่หาปิติมิได้ เปรียบเหมือนดอกบัว ๓ เหล่า ที่แช่น้ำเย็นตั้งแต่ ยอดจนถึงราก
~นามกาย = ที่ประชุมแห่งนามธรรม หรือกองแห่งเจตสิก หรือ หมายถึงนามขันธ์หมดทั้ง ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือ ทั้งจิต และเจตสิก
(๔) จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
~ฌาน ๔ ทรงอุปมาสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เปรียบเหมือนชายที่นั่งคลุมด้วยผ้าขาว ตลอดทั้งตัว ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกคลุม
อุปมาวิชชา ๓ = คือ การเปรียบเทียบว่า การได้วิชชาเหล่านี้เปรียบเหมือนบุรุษที่ออกจากบ้านของตนไปสู่บ้านอื่นแล้วสามารถระลึกถึงบ้านเดิมของตนได้อย่างชัดเจน
วิชชา ๓ (ญาณ ๓) ได้แก่
(๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ระลึกชาติ, รู้ชาติในอดีต, รู้ภพในอดีต จะระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
(๒) จุตูปปาตญาณ = รู้การจุติ การอุบัติ รู้ภพใหม่ ด้วยทิพย์จักษุ การอุบัติของสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วย ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม
(๓) อาสวักขยญาณ = รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นภพ
จิตโน้มไปเพื่ออาสวักขญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์, นี้ทุกขสมุทัย, นี้ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
อาสวะ = กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่าง มี ๓ อย่าง คือ
(๑) กามาสวะ อาสวะ คือกาม (๒) ภวาสวะ อาสวะ คือภพ (๓) อวิชชาสวะ อาสวะ คืออวิชชา
สมัญญาต่างๆ ของสงฆ์ = ชื่อเรียกที่ยกย่อง ได้แก่
(๑) บุคคลชื่อว่า ภิกษุ = เพราะทำลายธรรม ๗ ประการได้ คือ
(๑.๑) สักกายทิฏฐิ - เห็นว่าร่างกายที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น "เรา" หรือ "ตัวตน" ของตน (๑.๒) วิจิกิจฉา - ความลังเล, สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย (๑.๓) สีลัพพตปรามาส -   ความยึดมั่นถือมั่นในศีลและพรตที่ผิด (๑.๔) ราคะ - มีความพอใจในกามคุณ (๑.๕) โทสะ (๑.๖) โมหะ ความหลง เขลา (๑.๗) มานะ - ความถือตนว่าดีเด่น
(๒) สมณะ = ชื่อว่าสมณะ เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นระงับ ธรรม ๗ ประการได้แล้ว
(๓) พราหมณ์ = ชื่อว่าพราหมณ์ เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นลอยได้แล้ว
(๔) นหาตกะ = นหาตกะ เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นล้าง ธรรม ๗ ประการแล้ว
(๕) เวทคู = เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นรู้แจ้ง ธรรม ๗ ประการแล้ว
(๖) โสตติยะ = เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีทุกข์เป็นวิบาก, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลชื่อว่าโสตติยะ เพราะธรรม ๗ ประการร้อยรัดไม่ได้
(๗) อริยะ = เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นทำลาย ธรรม ๗ ประการได้แล้ว
(๘) อรหันต์ = เป็นอย่างไร
คือ บาปอกุศลธรรม ที่ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง นำไปเกิดในภพใหม่ มีความกระวนกระวาย, มีวิบากเป็นทุกข์, ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลนั้นห่างไกลจาก ธรรม ๗ ประการแล้ว


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #242 เมื่อ: 01, ธันวาคม, 2568, 02:26:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๕๘. จูฬอัสสปุรสูตร (ว่าด้วยเหตุการณ์ใน อัสสปุระนิคม สูตรเล็ก : การบวชเหมือนมีดสองคม)

วสันตวงศ์ฉันท์ ๑๕/โคลงสี่สุภาพ

    ๑.นบน้อมพระพุทธะอรหันต์................ประลุดั้นพระสัจจธรรม
ความจริงประเสริฐอริยะหนำ..................จตุสัจจ์ลิทุกข์มลาน

    ๒.พานศาสดาพุทธ์เจ้า........................เมตตา มากผอง
ทรงสั่งสอนกรุณา...................................ราษฎร์หล้า
พฤติธรรมหมั่นเพียรพา...........................ทุกข์ห่าง
หมายมุ่งนิพพานคว้า................................"ชาติ"ไร้ภพสูญ

    ๓.ทรงพัก ณ "อัสสปุระฯ"ชี้...................ก็บุรี ณ "อังคะ"พูน
ตรัสแจงเจาะคำ"สมณะ"กูล......................นฤชนซิเพรียกและขาน

    ๔.สงฆ์ควรกรานพฤติแท้.......................ปฏิญญา เจริญธรรม
ของที่รับบิณฑ์มา.....................................ค่าล้น
มีผลต่อชนหนา........................................บุญเฟื่อง อานิสงส์
บวชไม่เป็นหมันพ้น...................................รุ่งก้าวในธรรม

    ๕.พุทธ์เจ้าสิตรัสสมณะไซร้...................ชระไร้กิเลสถลำ
สิบสองก็"โลภะ"ตะกละล้ำ.........................ภว"ริษยา,พิฆาต"

    ๖."ผูกโกรธ"ยาตร"ตระหนี่"แท้................"ตีเสมอ อวดตัว"
"ลบหลู่,มารยา"เจอ....................................ยิ่งท้น
หวังบาปก่อพะเรอ......................................"เห็นผิด ทิฏฐิ"
สงฆ์ไป่ละหนีพ้น........................................ไม่พร้อง"สมณะ"แล

    ๗.มลทินกิเลสลุภวโทษ...........................จะกระโดดอบายซิแน่
เหมือนมีดสิชื่อ"มตชะ"แล้...........................ทวิด้านเจาะคมนะเผย

    ๘.ทรงเปรียบเปรยบวชไซร้.....................มลทิน มิละ
เหมือนอยู่แอบในชิน...................................ซ่อนแท้
ประพฤติไม่ผลิน.........................................สมณะ ของจริง
การบวชอุปมาแล้........................................ด่างพร้อยมัวหนา

    ๙.การดูพิจารณ์สมณะเด่น......................นิรเห็นเพราะวัตรและผ้า
สิบอย่างก็"เปลือย"จะนิรหนา.......................พหุ"ผ้าซิเย็บและซ้อน"

    ๑๐.คนจรนำ"ฝุ่นแต้ม".............................."ตามตัว, แหงนคอ"
"ลงอาบนที"ระรัว.........................................สะอาดแสร้ง
"โคนพฤกษ์"นั่งสลัว....................................."บริโภค ตามกาล"
คงอยู่"สถานแจ้ง"........................................ท่องแล้มนต์เผย

    ๑๑.ทำผมขมวดดุจะชฎา..........................นิรหนาสมาณะเอ่ย
ทั้งผองสิไป่สมณะเปรย................................วตะพุทธศาสนา

    ๑๒.หากพากันห่มซ้อน..............................กิเลสครัน สิบสอง
มิตัดลง"โลภ"พลัน........................................เพียบแล้
"โกรธ,อาฆาต,อวด"กัน.................................."ลบหลู่ มารยา"
"ตระหนี่,ริษยา"แม้........................................."บาปพร้อม"มิหนี

    ๑๓.ทรงตรัสทวาทศะกิเลส........................พละเดชผิตัดทวี
ผ้าซ้อนจะใส่ตะขณะที่..................................ศิศุเกิดกุมารซิครัน

    ๑๔.พลันพุทธ์องค์กล่าวชี้..........................เคยเห็น ขมวดผม
ยังก่อกิเลสเข็ญ............................................อยู่พร้อม
"โลภ,โกรธ,ฆาต,อวด"เป็น.............................."ตระหนี่, ริษยา"
ทรงกล่าวขมวดผมค้อม.................................คลาดแคล้วสมณะเผย

    ๑๕.พุทธ์องค์แนะเป็น"สมณะ"ครอง............อนะผองกิเลสเฉลย
สิบสองทวาทศะลิเอ่ย.....................................มละ"โลภะ,โกรธ"..ประหาร

    ๑๖.สงฆ์กรานคิดหลุดพ้น..........................บาปไกล
"ปราโมทย์,ปีติ"ไว.........................................จิตช้อย
"กายสงบส่งสุขใจ".......................................ฤดีมั่น เมตตา
จึงแผ่ทุกทิศน้อย..........................................ใหญ่กว้างขยาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #243 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 08:23:14 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๔) ประมวลธรรม : ๕๘. จูฬอัสสปุรสูตร

    ๑๗.สงฆ์ยังสิมีลุ"กรุณา"..........................."มุทิตา,อุเบกฯ"กระจาย
ยิ่งใหญ่มหัคคตะจะฉาย...............................นิรขอบและเขตจะขวาง

    ๑๘.พลางมิเบียนมุ่งร้าย............................เหมือนนที ใสเย็น
สะอาดรื่นรมย์ดี...........................................ไม่ร้อน
ชนจากทิศใดลี............................................อาบดื่ม หายรน
เหมือนบวชเรียนธรรมป้อน...........................สงบพร้อมภายใน

    ๑๙.พุทธ์องค์แนะบวชเจาะ"กรุณา"............"มุทิตา,อุเบกฯ"หทัย
เมตตาสงัด"สมณะ"ใส..................................ภณะเรียกซิถูกเหมาะเผย

    ๒๐.กุลบุตรเชยบวชไซร้...........................ทุกตระกูล เหมือนกัน
"กษัตริย์,พราหมณ์,แพศย์"พูน.......................เด่นพร้อม
วรรณะ"ศูทร"พิบูลย์.....................................มิต่าง
พฤติเยี่ยงสมณะน้อม...................................ถูกต้องตามแผน

    ๒๑.กุล์บุตรเลาะจากจตุตระกูล.................ภวพูนซิบรรลุแก่น
"เจโตวิมุตติฯ"มหะแดน.................................ประลุ"ปัญญ์วิมุตติฯ"แฉ

    ๒๒.ปัญญาฯแลเปี่ยมท้น...........................ตัดปลง อาสวะ
อาสวะฆ่าหมดลง..........................................จบแล้ว
จึงเรียกเสร็จประสงค์....................................หมายมุ่ง
ทรงตรัสครบสงฆ์แจ้ว....................................ชื่นช้อยธรรมหนา

แสงประภัสสร

มจร. ๑๐. จูฬอัสสปุรสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/VVcDg1DUMtzrcMmgS

อัสสปุระฯ = อัสสปุรนิคมของพระราชกุมารชาวอังคะ ในแคว้นอังคะ
[ก] การบวชเหมือนมีดสองคม
ภิกษุทั้งหลาย ควรสำเหนียกอย่างนี้แล       
ภิกษุชื่อว่า = เป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติสมควรแก่สมณะ เป็น
อย่างไร คือ
(๑) ภิกษุ มีอภิชฌามาก ยังละอภิชฌา (ความโลภ)ไม่ได้
(๒) มีจิตพยาบาท ยังละพยาบาทไม่ได้
(๓) เป็นผู้มักโกรธ ยังละความมักโกรธไม่ได้
(๔) มีความผูกโกรธ ยังละความผูกโกรธไม่ได้
(๕) มีความลบหลู่ ยังละความลบหลู่ไม่ได้
(๖) มีความตีเสมอ ยังละความตีเสมอไม่ได้
(๗) มีความริษยา ยังละความริษยาไม่ได้
(๘) มีความตระหนี่ ยังละความตระหนี่ไม่ได้
(๙) มีความโอ้อวด ยังละความโอ้อวดไม่ได้
(๑๐) มีมารยา ยังละมารยาไม่ได้
(๑๑) มีความปรารถนาที่เป็นบาป ยังละความปรารถนาที่เป็นบาปไม่ได้
(๑๒) มีความเห็นผิด ยังละความเห็นผิดไม่ได้
เพราะยังละกิเลสที่เป็นมลทินของสมณะ เป็นโทษของสมณะ เป็นดุจน้ำฝาดของสมณะ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดในอบาย และมีวิบากที่จะพึงเสวยในทุคติเหล่านี้ไม่ได้
เราจึงกล่าวว่า ‘ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ’
ภิกษุทั้งหลาย อุปมาเหมือนอาวุธที่ชื่อ มตชะ มีคม ๒ ข้าง ทั้งชุบและลับดีแล้ว สอดไว้ในฝัก แม้ฉันใด เรากล่าวว่าบรรพชาของภิกษุนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น
~มตชะ = อาวุธ ที่ทำจากผงตะไบเหล็กกล้าซึ่งช่างเหล็กคลุกเนื้อให้นกกระเรียนกินแล้วถ่าย ไม่ได้ ตายเองหรือฆ่าให้ตาย แล้วนำผงนั้นมาล้างน้ำ คลุกเนื้อให้นกกระเรียนอื่นๆ กินอีกทำอย่างนี้จนครบ ๗ ครั้ง ชื่อว่า มตชะ เพราะเกิดจากนกที่ตายแล้ว อาวุธนั้นเป็นอาวุธคมกล้ายิ่งนัก
[ข] มิใช่สมณะด้วยเครื่องแบบและวัตร มี ๑๐ อย่าง
(๑) เราไม่กล่าวว่าผู้นุ่งห่มผ้าซ้อน มีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการนุ่งห่มผ้าซ้อน
~ผ้าซ้อน = ในที่นี้แปลจากคำว่า สังฆาฏิ หมายถึงผ้าที่ใช้ผ้าเก่าฉีกเป็นชิ้นๆ เย็บซ้อนกันใช้เป็นผ้านุ่งและห่ม เป็นข้อวัตรของลัทธินอกศาสนา มิได้หมายถึงสังฆาฏิที่เป็นเครื่องบริขารของภิกษุในธรรมวินัยนี้
(๒) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ถือเพศเปลือยกายมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการเปลือยกาย
(๓) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้หมักหมมด้วยธุลีมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการหมักหมมด้วยธุลี
(๔) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้อาบน้ำมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการลงอาบน้ำ
(๕) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้อยู่โคนไม้เป็นวัตรมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการอยู่โคนไม้เป็นวัตร


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #244 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:10:19 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๔) ประมวลธรรม : ๕๘. จูฬอัสสปุรสูตร

(๖) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้อยู่ในที่แจ้งเป็นวัตรมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร
(๗) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ยืนแหงนหน้ามีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการยืนแหงนหน้า
(๘) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้บริโภคภัตตามวาระมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการบริโภคภัตตามวาระ
(๙) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ท่องมนตร์มีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการท่องมนตร์
(๑๐) เราไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ขมวดผมมีความเป็นสมณะ ด้วยอาการเพียงการขมวดผม
ทั้ง ๑๐ ข้อเป็น สมณะภายนอกพุทธศาสนา ไม่ใช่สมณะในพุทธศาสนา
~หากบุคคลนุ่งห่มผ้าซ้อน มีอภิชฌามาก จะพึงละอภิชฌาได้ด้วยอาการเพียงการนุ่งห่มผ้าซ้อน
~มีจิตพยาบาท จะพึงละพยาบาทได้
~มีความมักโกรธ จะพึงละความมักโกรธได้
~มีความผูกโกรธ จะพึงละความผูกโกรธได้
~มีความลบหลู่ จะพึงละความลบหลู่ได้
~มีความตีเสมอ จะพึงละความตีเสมอได้
~มีความริษยา จะพึงละความริษยาได้
~มีความตระหนี่ จะพึงละความตระหนี่ได้
~มีความโอ้อวดจะพึงละความโอ้อวดได้
~มีมารยา จะพึงละมารยาได้
~มีความปรารถนาที่เป็นบาป จะพึงละความปรารถนาที่เป็นบาปได้
~มีความเห็นผิด จะพึงละความเห็นผิดได้
ด้วยอาการเพียงการนุ่งห่มผ้าซ้อนไซร้ = มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตก็จะพึงให้บุคคลนั้นนุ่งห่มผ้าซ้อนตั้งแต่เกิดทีเดียว
ภิกษุทั้งหลาย = เพราะเราเห็นบุคคลบางคนในโลกนี้
~แม้นุ่งห่มผ้าซ้อนอยู่ยังมีอภิชฌามาก; มีจิตพยาบาท; มีความมักโกรธ; มีความผูกโกรธ" มีความลบหลู่; มีความตีเสมอ; มีความริษยา; มีความตระหนี่; มีความโอ้อวด; มีมารยา; มีความปรารถนาที่เป็นบาป; มีความเห็นผิด; ฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวว่าบุคคลที่นุ่งห่มผ้าซ้อน มีความเป็นสมณะด้วยอาการเพียงนุ่งห่มผ้าซ้อน
~หากบุคคลถือเพศเปลือยกาย ฯลฯ
~หากบุคคลหมักหมมด้วยธุลี ...ฯลฯ
~หากบุคคลอาบน้ำ ...ฯลฯ
~หากบุคคลอยู่โคนไม้ ...ฯลฯ
~หากบุคคลอยู่ในที่แจ้ง ...ฯลฯ
~หากบุคคลยืนแหงนหน้า ...ฯลฯ
~หากบุคคลบริโภคภัตตามวาระ ...ฯลฯ
~หากบุคคลท่องมนตร์ ...ฯลฯ
~หากบุคคลขมวดผม มีอภิชฌามาก จะพึงละอภิชฌาได้ด้วยอาการเพียงการขมวดผม
มีจิตพยาบาท จะพึงละพยาบาทได้; มีความมักโกรธ จะพึงละความมักโกรธได้; มีความผูกโกรธ จะพึงละความผูกโกรธได้; มีความลบหลู่ จะพึงละความลบหลู่ได้; มีความตีเสมอ จะพึงละความตีเสมอได้; มีความริษยา จะพึงละความริษยาได้; มีความตระหนี่ จะพึงละความตระหนี่ได้; มีความโอ้อวด จะพึงละความโอ้อวดได้; มีมารยา จะพึงละมารยาได้; มีความปรารถนาที่เป็นบาป จะพึงละความปรารถนาที่เป็นบาปได้; มีความเห็นผิด จะพึงละความเห็นผิดได้; ด้วยอาการเพียงการขมวดผมไซร้ มิตรอำมาตย์, ญาติสาโลหิตก็จะพึงให้บุคคลนั้นขมวดผมตั้งแต่เกิดทีเดียว
ภิกษุทั้งหลาย = เพราะเราเห็นบุคคลบางคนในโลกนี้แม้ขมวดผมอยู่ ก็ยังมี อภิชฌามาก, มีจิตพยาบาท, มีความมักโกรธ, มีความผูกโกรธ, มีความลบหลู่, มีความตีเสมอ, มีความริษยา, มีความตระหนี่, มีความโอ้อวด, มีมารยา, มีความปรารถนาที่เป็นบาป, มีความเห็นผิด, ฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวว่าบุคคลผู้ขมวดผมมี ความเป็นสมณะด้วยอาการเพียงการขมวดผม


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, เฒ่าธุลี, ข้าวหอม, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5944
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 923



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #245 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:15:46 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๔) ประมวลธรรม : ๕๘. จูฬอัสสปุรสูตร

[ค] ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ = เป็นอย่างไร
(๑) ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งมีอภิชฌามากก็ละอภิชฌาได้
(๒) มีจิตพยาบาทก็ละพยาบาทได้
(๓) มีความมักโกรธก็ละความมักโกรธได้
(๔) มีความผูกโกรธก็ละความผูกโกรธได้
(๕) มีความลบหลู่ก็ละความลบหลู่ได้
(๖) มีความตีเสมอก็ละความตีเสมอได้
(๗) มีความริษยาก็ละความริษยาได้
(๘) มีความตระหนี่ก็ละความตระหนี่ได้
(๙) มีความโอ้อวดก็ละความโอ้อวดได้
(๑๐) มีมารยาก็ละมารยาได้
(๑๑) มีความปรารถนาที่เป็นบาปก็ละความปรารถนาที่เป็นบาปได้
(๑๒) มีความเห็นผิดก็ละความเห็นผิดได้
ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นตนบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากบาปอกุศลธรรมทั้งปวงนี้
~เมื่อเธอพิจารณาเห็นตนบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากบาปอกุศลธรรมทั้งปวงนี้ ความปราโมทย์จึงเกิด
~เมื่อมีความปราโมทย์ ปีติจึงเกิด ~เมื่อใจมีปีติ กายจึงสงบ
~เมื่อมีกายสงบเธอ จึงเสวยสุข ~เมื่อเธอมีสุข จิตจึงตั้งมั่น
~เธอมีเมตตาจิตแผ่ไปตลอดทิศที่ ๑ ... ทิศที่ ๒ ... ทิศที่ ๓ ... ทิศที่ ๔ ...ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถานด้วยเมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ, ไม่มีขอบเขต, ไม่มีเวร, ไม่มีความเบียดเบียน
~มีกรุณาจิต ...ฯลฯ
~มีมุทิตาจิต ...ฯลฯ
~มีอุเบกขาจิตแผ่ไปตลอดทิศที่ ๑ ... ทิศที่ ๒ ... ทิศที่ ๓... ทิศที่ ๔ ... ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ, ไม่มีขอบเขต,ไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ภิกษุทั้งหลาย สระโบกขรณี มีน้ำใสบริสุทธิ์ เย็นสะอาด มีท่าดี น่ารื่นรมย์
~ถ้าบุรุษมาจากทิศตะวันออก ถูกความร้อนแผดเผา ร้อน ลำบาก กระหาย อยากดื่มน้ำ เขามาถึงสระโบกขรณีนั้นแล้วก็บรรเทาความอยากดื่มน้ำ และความกระวนกระวายเพราะความร้อนได้
~ถ้าบุรุษมาจากทิศตะวันตก ...ฯลฯ
~ถ้าบุรุษมาจากทิศเหนือ ...ฯลฯ
~ถ้าบุรุษมาจากทิศใต้ ...ฯลฯ
ถ้าบุรุษจะมาจากที่ไหนๆ ก็ตามถูกความร้อนแผดเผา ร้อน ลำบาก กระหาย อยากดื่มน้ำ เขามาถึงสระโบกขรณีนั้นแล้ว ก็บรรเทาความอยากดื่มน้ำและความกระวนกระวายเพราละความร้อนได้ แม้ฉันใด
~ ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลกษัตริย์มาบวชเป็นบรรพชิต เธอมาถึงธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้วเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอย่างนั้น ย่อมได้ความสงบระงับในภายใน เรากล่าวว่า ‘เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ’ เพราะความสงบระงับในภายในนั้น
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลพราหมณ์ ...ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลแพศย์ ...ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลศูทร ...ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลไหนๆ ก็ตามมาบวชเป็นบรรพชิต เธอมาถึงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอย่างนั้น ได้ความสงบระงับในภายใน เรากล่าวว่า ‘เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่สมควรแก่สมณะ’ เพราะความสงบระงับในภายในนั้น
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลกษัตริย์มาบวชเป็นบรรพชิต เธอทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ, ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน กุลบุตรนี้ชื่อว่าสมณะ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป’
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลพราหมณ์ ..ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลแพศย์ ..ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลศูทร ..ฯลฯ
~ถ้ากุลบุตรออกจากตระกูลไหนๆ ก็ตาม มาบวชเป็นบรรพชิต เธอทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน กุลบุตรนี้ชื่อว่าสมณะ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ฉันนั้นเหมือนกันแล”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 15 16 [17]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.178 วินาที กับ 80 คำสั่ง
กำลังโหลด...