Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 16 17 [18]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 93993 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5999
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 936



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #255 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:45:22 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

   ๔๙.ผลสี่อุบัติเพราะละกิเลส.............ลุพิเศษซิมรรคคณา
"โสตติผลฯ"เสาะสกทาฯ.....................มุ"อนาฯ,อรหัตตผล"

   ๕๐.ดล"สุญญตาฯว่างแล้..................สูญหนา อารมณ์
พินิจนามรูปครา..................................เที่ยงไร้
จิตเลิกยึดเลยซา................................โลภ,โกรธ ราคะ
วิมุตต์เจโตไซร้...................................จึ่งพ้นเกิดเฉวียน

   ๕๑."เจโตวิมุตติอนิมิตฯ"...................จะมิติดซิภาพเสถียร
ธรรมมีเจาะ"เตรสะ"เหมาะเรียน...........มุวิปัสสนาเฉลียว

   ๕๒."อรูป"เปรียวมีสี่แท้......................ฌานมี อารมณ์
ภพ"อรูปพรหม"คงทวี...........................รูปไร้
จด"อากาศ"ฌานลี...............................มิสุด ขอบเขต
กำหนด"วิญญาณ"ไซร้.........................ไม่สิ้นไพศาล

   ๕๓."อากิญฯ"สิฌานนิรอะไร...............ประลุไซร้อะรมณ์มลาน
จึงมั่นลิอาสวะละผลาญ........................นิรวาณลุหมายประสงค์

   ๕๔.คง"เนวสัญฯ"สภาพแล้.................สัญญา มี,มิมี
มิกล่าวเรียกใดหนา..............................ถูกต้อง
วางจิตมั่นในสมาธิ์................................เป็นหนึ่ง
ธรรมอยู่เป็นสุขพร้อง...........................ยิ่งแล้วพระสงฆ์

   ๕๕.ธรรมมีสิ"อรรถ"ผิดุจะเหมือน........ภวเตือนซิต่างประจง
เหตุ"อรรถ,พยัญชนะ"จะบ่ง...................จะมิคล้ายก็มีซิหนา

    ๕๖.เหตุพาหลายจุ่งพร้อม.................."อัปปมา- เจโตฯ"
มีเมตตาทุกทิศพา..................................แผ่หล้า
"การุณ,มุทิตา".......................................อุเบกขา ทุกทิศ
เป็นมหัคค์ตะกล้า...................................ทั่วแคว้นเขตแดน

    ๕๗."อากิญวิมุตติฯ"เจาะริเป็น..............ภวเด่นอะไรซิแผน
อากิญฯลุจดเจาะนิรแทน........................ประลุฌานประเสริฐซิแฉ

    ๕๘.แล"สุญญาฯ"จิตพ้น......................ยึดตน
ทุกสิ่งมิมียล...........................................ว่างแท้
จิตจึงไม่ยึดตน.......................................เลิกมั่น หมดผอง
จึงห่างกิเลสแล้.......................................สงบพร้อมสุขใส

    ๕๙."เจโตวิมุตติอนิมิต"........................ภวกิจซิเป็นอะไร
สงฆ์ได้ลุด้วยมิมนะไซร้...........................กะนิมิตสิครองเฉลย

    ๖๐.เปรย"อนิมิตฯ"จิตพ้น.....................ภาพหาย
เพราะไม่นึกคิดกราย...............................ภาพแล้
จิตวางปล่อยภาพวาย..............................จึงสงบ เพราะสมาธิ์
พลอยดับเวทนาแท้..................................หลุดพ้นมิเชือน

    ๖๑.อาศัยสิเหตุพหุจะนำ......................กะพระธรรมลุ"อรรถ"เสมือน
หรือ"พยัญชนะ"เจาะเกลี่อน.....................ประลุพูดซิต่างคระไล

    ๖๒.ไวอาศัยเหตุแล้..............................ธรรมมี อรรถเดียว
พลางต่าง"คำวจี"......................................แค่นั้น
ธรรมอันลุ่มลึกทวี.....................................พูดเปลี่ยน สอนคน
มักเกี่ยว"ปัญญา"ดั้น.................................แม่นผู้ฟังสรรค์

    ๖๓.ตอบว่าสิ"ราคะ,มทะ"โผล่.................และเจาะ"โทสะ"ด้วยประจัญ
ผู้ตัดกิเลสพระอรหันต์...............................มละทิ้งลิสิ้นมิเหลือ

    ๖๔.ครัน"ตาล"เบือโค่นล้ม......................ถอนตอ รากราญ
เหลือแต่ผืนดินคลอ...................................เกิดไร้
กิเลสไป่เหลือหรอ.....................................จึงก่อ เจโตฯ
พลันไม่กำเริบไซร้.....................................หลุดพ้นสุขี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5999
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 936



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #256 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:15:33 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร


   ๖๕."เจโตวิมุตติ"มิเจาะรุด....................ก็พระพุทธะกล่าวพจี
เหนือ"อัปปมาฯลุหินะปรี่.........................ผิวะจ่อลุพรหมวิหาร

    ๖๖.พาน"อัปปมาฯ"เปี่ยมท้น................พรหมแล
"กรุณ"เยี่ยม"เมตตา"แฉ..........................โลกหล้า
"ยินดี"ยิ่งมิแปร.......................................ใจว่าง อุเบกขา
กำเริบอาจมีกล้า.....................................โกรธย้ำ,โลภ,หลง

    ๖๗."เจโตวิมุตติฯ"ลิกิเลส......................ก็ประเภทซิโลภพะวง
โกรธ,หลงลิหมดหทยะปลง......................ดุจะ"ตาล"ทลายและผลาญ

    ๖๘.ชาญ"เจโตฯ"ก่อไซร้.......................เลิศเหนือ "อากิญฯ"
เพราะว่างกิเลสเครือ................................นิมิตคล้อย
โลภ,หลง,โกรธ"มิเจือ...............................ปนต่อ อีกเลย
มิเกิดอีกเลยช้อย.....................................หลุดพ้นถาวร

    ๖๙."เจโตวิมุตติ"มหะกิจ........................"อนิมิตฯ"ซิด้อยและทอน
เจโตฯสิเหนือเพราะนิรคลอน....................มละ"ราคะ,โทสะ,หลง

    ๗๐."สารีฯ"คงกล่าวแล้ว........................."อรรถธรรม" เดียวกัน
สอนต่างปัญญานำ....................................เก่งรู้
"พระะมหาโกฏฐิฯจำ..................................ชมชื่น
ภาษิต"สารีฯ"กู้..........................................แจ่มแจ้งจริงหนา ฯ|ะ

แสงประภัสสร

มจร. ๓. มหาเวทัลลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/BYwVP8yuyu6LlrrIc

เชตวันฯ= วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชต นอกเมืองสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อถวาย ด้วยเงินมากถึง ๑๘ โกฏิ วัดแห่งนี้นับว่าเป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง ๑๙ พรรษา เป็นสถานที่เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย
พระมหาโกฏฐิกเถระ = เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ ได้แก่
(๑) อัตถปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในอรรถ (๒) ธัมมปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในธรรม (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
พระสาริบุตร = พระอัครสาวกเบื้องขวา ของพระโคดมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศด้วยปัญญา
[ก] ปัญญากับวิญญาณ
พระมหาโกฏฐิกะ ถามคำถามกับพระสารีบุตร หลายเรื่องว่า
(๑) เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม'
ตอบว่า -> บุคคลไม่รู้ชัด เหตุนั้นจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม’ ไม่รู้ชัดอะไร คือ ไม่รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ ตามความเป็นจริง
~คำว่า เพราะเหตุไรหนอแล แปลจากคำว่า “กิตฺตาวตา นุ โข” เป็นคำถามหาเหตุ แท้จริงการถามนั้นมี ๕ อย่าง คือ (๑.๑) อทิฏฐโชตนาปุจฉา - การถามให้แสดงเรื่องที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน (๑.๒) ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา - การถามให้ชี้แจงเรื่องที่เคยทราบมาแล้ว เพื่อเทียบกันดูกับเรื่องที่ตนรู้มา (๑.๓) วิมติเฉทนาปุจฉา - การถามเพื่อให้คลายความสงสัย (๑.๔) อนุมติปุจฉา - การถามเพื่อให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม (๑.๕) กเถตุกามยตาปุจฉา - การถามเพื่อมุ่งจะกล่าวชี้แจงต่อ เป็นลักษณะของการถามเอง ตอบเอง
ในที่นี้พระมหาโกฏฐิกะ ถามในลักษณะของทิฏฐสังสันทนาปุจฉา
(๒) บุคคลที่เรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา  เพราะเหตุไรหนอแลจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’
ตอบว่า -> บุคคลรู้ชัด เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’ บุคคลรู้ชัดอะไร คือ รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’
(๓) สภาวะที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า
‘วิญญาณ”
ตอบว่า -> สภาวะรู้แจ้ง เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘วิญญาณ’ สภาวะรู้แจ้งอะไร คือ รู้แจ้งสุขบ้าง รู้แจ้งทุกข์บ้าง รู้แจ้ง อทุกขมสุขบ้าง
(๔) ข้อถามมี ๓ นัย
(๔.๑) "ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน หรือแยกกัน และสามารถแยกแยะ บัญญัติหน้าที่ต่างกันได้หรือไม่” หรือ
(๔.๒) “ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น เหตุนั้นธรรม ๒ ประการนี้ จึงรวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้” หรือ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5999
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 936



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #257 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:05:48 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

(๕.๓) “ท่านผู้มีอายุ ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกันบ้างหรือไม่”
ตอบว่า -> ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน แต่ปัญญาควรเจริญ ทำให้เกิดมี, วิญญาณ ควรกำหนดรู้ นี้เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้”
~ปัญญา = ในที่นี้หมายถึงมัคคปัญญา (ปัญญาในอริยมรรค)
~ วิญญาณ = ในที่นี้หมายถึงวิปัสสนาวิญญาณ
[ข] เวทนา สัญญา และวิญญาณ
(๖) สภาวะที่เรียกว่า ‘เวทนา  เพราะเหตุไรหนอแลจึงเรียกว่า ‘เวทนา”
ตอบว่า -> สภาวะเสวยอารมณ์ เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘เวทนา’ ~ สภาวะเสวยอารมณ์อะไร คือ เสวยอารมณ์สุขบ้าง, เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง, เสวยอารมณ์อทุกขมสุขบ้าง
(๗) “สภาวะที่เรียกว่า ‘สัญญา เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า ‘สัญญา”
ตอบว่า ->“สภาวะกำหนดหมาย เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘สัญญา’
~ สภาวะกำหนดหมายอะไร คือ กำหนดหมายสีเขียวบ้าง, กำหนดหมายสีเหลืองบ้าง, กำหนดหมายสีแดงบ้าง, กำหนดหมายสีขาวบ้าง, เหตุนั้น สภาวะกำหนดหมาย จึงเรียกว่า ‘สัญญา”
(๘) “เวทนา สัญญา และวิญญาณ ๓ ประการนี้ รวมกัน หรือแยกกัน และสามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้หรือไม่”
ตอบว่า -> “เวทนา สัญญา และวิญญาณ ๓ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้ เพราะเวทนาเสวยอารมณ์สิ่งใด สัญญาก็กำหนดหมายสิ่งนั้น; สัญญากำหนดหมายสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น เหตุนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงรวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้”
(๙) “ พระโยคาวจรผู้มีมโนวิญญาณอันบริสุทธิ์ สละแล้วจากอินทรีย์ ๕ จะพึงรู้อะไร”
~ อินทรีย์ ๕ = คือ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์  ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ (ตา หู จมูกลิ้นกาย)
ตอบว่า -> “พระโยคาวจรผู้มีมโนวิญญาณอันบริสุทธิ์สละแล้วจากอินทรีย์ ๕ พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’; พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’; พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า ‘ไม่มีอะไร”
~ มโนวิญญาณ ในที่นี้หมายถึงจิตในฌานที่ ๔ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ
~ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า ‘ไม่มีอะไร” (หมายถึงพระโยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรอาศัยมโนวิญญาณ กล่าวคือรูปาวจรฌานจิตในฌานที่ ๔ เป็นพื้นฐาน จึงจะสามารถบำเพ็ญให้อรูปาวจรสมาบัติที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิดขึ้นได้; สามารถให้อรูปาวจรสมาบัติอื่นเกิดขึ้นต่อมาตามลำดับ
(๑๐) “พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมที่ตนจะพึงรู้ด้วยอะไร”
ตอบว่า -> “พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมที่ตนจะพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ”
(๑๑) “ปัญญามีไว้เพื่ออะไร”
ตอบว่า ->“ปัญญามีไว้เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการกำหนดรู้ และเพื่อการละ”
~ ปัญญาจักษุ ในที่นี้หมายถึงสมาธิปัญญา, และวิปัสสนาปัญญา
~ สมาธิปัญญา ทำหน้าที่กำจัดโมหะ
~ วิปัสสนาปัญญา ทำหน้าที่พิจารณาไตรลักษณ์เป็นอารมณ์
[ค] ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ
(๑๒) ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมีเท่าไร”
ตอบว่า -> ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการ
(๑๒.๑)  ปรโตโฆสะ - การได้สดับจากบุคคลอื่น
~ ปรโตโฆสะ ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมเป็นที่สบายเหมาะสมแก่ตน เช่นพระสารีบุตรเถระได้ฟังธรรมจาก พระอัสสชิเถระว่า ‘ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ...’
(๑๒.๒) โยนิโสมนสิการ - การมนสิการโดยแยบคาย
ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการนี้แล”
(๑๓)“สัมมาทิฏฐิ - ซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรมเท่าไรสนับสนุน”
ตอบว่า ->“สัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรม ๕ ประการสนับสนุน คือ
~ สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง อรหัตตมัคคสัมมาทิฏฐิ
(๑๓.๑) มีศีล - สนับสนุน
~ ศีล ในที่นี้หมายถึงปาริสุทธิศีล ๔ เพราะปาริสุทธิศีล ๔ เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค
(๑๓.๒) มีสุตะ - สนับสนุน
~ สุตะ ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ มีความหมายเท่ากับปรโตโฆสะ
(๑๓.๓) มีสากัจฉา - สนับสนุน
~ สากัจฉา หมายถึงการปรับกัมมัฏฐานให้เกิดความเหมาะสม
(๑๓.๔) มีสมถะ - สนับสนุน
~ สมถะ หมายถึงสมาบัติที่เป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนา
(๑๓.๕) มีวิปัสสนา - สนับสนุน
 ~ วิปัสสนา หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ คือ
(๑๓.๕.๑) อนิจจานุปัสสนา - การเห็นว่าไม่เที่ยง
(๑๓.๕.๒) ทุกขานุปัสสนา - ความเห็นว่าเป็นทุกข์
(๑๓.๕.๓) อนัตตานุปัสสนา - ความเห็นว่าไม่เป็นตัวตน
(๑๓.๕.๔) นิพพิทานุปัสสนา - ความเห็นด้วยความเบื่อหน่าย
(๑๓.๕.๕) วิราคานุปัสสนา - ความเห็นในการปราศจากราคะ
(๑๓.๕.๖) นิโรธานุปัสสนา - ความเห็นในการดับทุกข์
(๑๓.๕.๗) ปฏินิสสัคคานุปัสสนา - ความเห็นในการสละทิ้ง


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5999
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 936



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #258 เมื่อ: วันนี้ เวลา 03:02:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

[ง] ภพและฌาน
(๑๔) ภพมีเท่าไร
ตอบว่า -> ภพมี ๓ คือ กามภพ; รูปภพ; อรูปภพ”
(๑๕)“การเกิดในภพใหม่ต่อไป มีได้อย่างไร”
ตอบว่า ->“เพราะความยินดียิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกีดกั้น; มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันไว้ การเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้อย่างนี้”
(๑๖) “การเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีได้อย่างไร”
ตอบว่า ->“เพราะอวิชชาสิ้นไป เพราะวิชชาเกิดขึ้น และเพราะตัณหาดับไป การเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ไม่มีได้อย่างนี้”
(๑๗) ปฐมฌาน เป็นอย่างไร
ตอบว่า ->“ภิกษุในพระธรๆรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ฌานนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘ปฐมฌาน'
(๑๘)“ปฐมฌานมีองค์เท่าไร" ตอบว่า ->“ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ ภิกษุผู้เข้าปฐมฌานย่อมมี วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข และ เอกัคคตา (จิตเป็นหนึ่งเดียว)
(๑๙) “ปฐมฌาน ละองค์เท่าไร ประกอบด้วยองค์เท่าไร”
ตอบว่า ->“ปฐมฌาน ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เข้าปฐมฌาน
~ละองค์ ๕ คือ
(๑๙.๑) ละกามฉันทะ (๑๙.๒) ละพยาบาท (๑๙.๓) ละถีนมิทธะ (๑๙.๔) ละอุทธัจจกุกกุจจะ (๑๙.๕) ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ย่อมมี
~ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา
[จ] อินทรีย์ ๕
(๒๐) อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ (๑) จักขุนทรีย์ (๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์ มีอารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้มีอารมณ์ต่างกัน, มีที่เที่ยวไปต่างกัน, ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน, จะมีอะไรเป็นที่อาศัย และธรรมอะไรรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์ ๕ ประการนั้น”
ตอบว่า ->“อินทรีย์ ๕ ประการ มีใจเป็นที่อาศัยและใจย่อมรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์เหล่านั้น”
(๒๑) อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ (๑) จักขุนทรีย์ (๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ อาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า -> "อินทรีย์ ๕ อาศัยอายุดำรงอยู่”
~อายุ ในที่นี้หมายถึงรูปชีวิตินทรีย์
(๒๒) “อายุ อาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า -> “อายุอาศัยไออุ่น - ดำรงอยู่”
~ ไออุ่น = เตโชธาตุที่เกิดจากกรรม
(๒๓) “ไออุ่นอาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า-> “ไออุ่น อาศัย อายุดำรงอยู่”
(๒๔) พระมหาโกฏฐิกเถระ กล่าว
“ผมรู้ทั่วถึงภาษิตของท่านพระสารีบุตรในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า ‘อายุอาศัยไออุ่นดำรงอยู่ และไออุ่นอาศัยอายุดำรงอยู่’ แต่ผมจะพึงเข้าใจความแห่งภาษิตนี้ได้อย่างไร”
ตอบว่า -> “ถ้าเช่นนั้น ผมจักอุปมาให้ท่านฟัง เพราะวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ย่อมทราบ ความแห่งภาษิตได้ด้วยอุปมา เมื่อประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่; แสงสว่างอาศัยเปลวไฟจึงปรากฏ; เปลวไฟก็อาศัยแสงสว่างจึงปรากฏอยู่แม้ฉันใด อายุอาศัยไออุ่นดำรงอยู่; ไออุ่นก็อาศัยอายุดำรงอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน”
(๒๕) อายุสังขาร กับเวทนียธรรม เป็นอันเดียวกัน หรือต่างกัน”
~อายุสังขาร = อายุนั่นเอง
~เวทนียธรรม หมายถึงเวทนาธรรม
ตอบว่า ->“ อายุสังขาร กับ เวทนียธรรม ไม่เป็นอันเดียวกัน (ถ้า) อายุสังขาร กับ เวทนียธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ไม่พึงปรากฏ แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมต่างกัน ฉะนั้นการออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงปรากฏ”
~ สัญญาเวทยิตนิโรธ = สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา
(๒๖) “เมื่อธรรมเท่าไรละกายนี้ไป กายนี้จึงถูกทอดทิ้งนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา”
ตอบว่า ->“เมื่อธรรม ๓ ประการ คือ (๑) อายุ (๒) ไออุ่น (๓) วิญญาณ ละกายนี้ไป กายนี้จึงถูกทอดทิ้ง นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา”
~ วิญญาณ หมายถึงจิต
(๒๗) “สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกันอย่างไร”
ตอบว่า ->“สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร ดับระงับไปมีอายุหมดสิ้นไป ไม่มีไออุ่น มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขารดับ ระงับไป แต่อายุยังไม่หมดสิ้น ยังมีไออุ่นมีอินทรีย์ผ่องใส
~ กายสังขาร คือ ลมหายใจเข้าออก ~ วจีสังขาร คือวิตก วิจาร  ~ จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 16 17 [18]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.182 วินาที กับ 37 คำสั่ง
กำลังโหลด...