(ต่อหน้า ๔/๘) ประมวลธรรม : ๖๑. จูฬเวทัลลสูตร
๔๙.ศรัทธา"วิสาฯ"ถามไซร้.....................ก็ภวใดซิคู่"นิพฯ"ฉาน
"ธัมม์นาฯ"แถลงท่านผ่าน...........................เจาะจรลีสิไกลปัญหา
๕๐.ธัมม์นาฯมิอาจชี้...............................นิพพาน หมายสุด
ขอจุ่งทูลถามกราน....................................เพื่อรู้
พุทธ์องค์ตอบใดขาน.................................จำแม่น คำตอบ
เขาจึ่งขอบคุณจู้........................................เร่งเฝ้าพุทธ์องค์
๕๑.คราพุทธเจ้าทราบหนา.....................ขณะ"วิสาขะฯ"เล่าความบ่ง
ทรงตรัสวะ"ธัมม์นาฯ"คง............................ลุพหุปัญญะในธรรมแฉ
๕๒.แลเป็นตถาคตไซร้...........................ตอบเหมือน ธัมม์นาฯ
คำตอบเดียวกันเตือน.................................แน่แล้ว
ขอจงตรึกมิเชือน.......................................จำมั่น
"วิสาฯ"ชื่นภาษิตแผ้ว..................................พุทธ์เจ้าเชียวหนา ฯ|ะ
แสงประภัสสร
มจร. ๔. จูฬเวทัลลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://share.google/8ORWXwzTaKv7eqNBCพระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน = คือ สถานที่สำหรับพระราชทานเหยื่อแก่กระแต อยู่ในเขตกรุงราชคฤห์
วิสาขะ= อุบาสกชื่อ วิสาขะ เคยเป็นสามี ของ ธัมมทินนาเถรี ก่อนออกบวช
ธัมม์นาฯ = ธัมมทินนาภิกษุณี เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นธรรมกถึก
วิสาขะอุบาสก = ถามคำถาม ต่อ ธัมมทินนาภิกษุณี เกี่ยวกับคำที่พระพุทธเจ้ากล่าว มีอะไรบ้าง
(๑) สักกายะ = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า คือ อุปาทานขันธ์ ๕ คือ กองอันเป็นอารมณ์แห่งความถือมั่น ได้แก่
(๑.๑) รูปูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือรูป
(๑.๒) เวทนูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือเวทนา
(๑.๓) สัญญูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือสัญญา
(๑.๔) สังขารูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือสังขาร
(๑.๕) วิญญาณูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ
(๒) สักกายสมุทัย = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความกำหนัด; มีปกติให้เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
~ ตัณหา ๓ = ความทะยานอยาก
(๒.๑) กามตัณหา - ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า (๒.๒) ภวตัณหา - ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้ จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ (๒.๓) วิภวตัณหา - ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
(๓) สักกายนิโรธ = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = ความดับตัณหาไม่เหลือด้วยวิราคะ; ความสละ; ความสละคืน; ความพ้น; ความไม่อาลัยในตัณหานั้น
~ วิราคะ = คือ ความคลายกำหนัด, ความไม่ติดพัน เป็นอิสระ
(๔) สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบ (๔.๒) สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ (๔.๓) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ (๔.๔) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ (๔.๕) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ (๔.๖) สัมมาวายามะ - พยายามชอบ (๔.๗.) สัมมาสติ - ระลึกชอบ (๔.๘) สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตมั่นชอบ
(๕) อุปาทาน กับ อุปาทานขันธ์ ๕ = เป็นอันเดียวกัน หรือต่างกัน
-> ตอบว่า = อุปาทาน กับ อุปาทานขันธ์ ๕ ทั้งไม่เป็นอันเดียวกัน ทั้งไม่ต่างกัน
~ อุปาทาน ๔ = คือ
(๕.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม
(๕.๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิ คือ ความเห็น
(๕.๓) สีลัพพัตตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลพรต
(๕.๔) อัตตวาทุปาทาน - ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา
~ เพราะฉะนั้น อุปาทานขันธ์ ๕ จึงกว้างกว่า อุปาทาน ๔ เพราะ อุปาทาน ๔ คือ โลภะเจตสิกและทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ อุปาทานขันธ์ ๕ (คือ เป็นส่วนของสังขารขันธ์)
~ กล่าวโดยสรุป อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นสภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของการยึดถือ ส่วนอุปาทาน ๔ เป็นสภาพธรรมที่เป็นตัวยึดถือ ยึดมั่นด้วยกิเลสคือ โลภะ และทิฏฐิ