Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 16 17 [18]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 116345 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #255 เมื่อ: 08, ธันวาคม, 2568, 09:45:22 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

   ๔๙.ผลสี่อุบัติเพราะละกิเลส.............ลุพิเศษซิมรรคคณา
"โสตติผลฯ"เสาะสกทาฯ.....................มุ"อนาฯ,อรหัตตผล"

   ๕๐.ดล"สุญญตาฯว่างแล้..................สูญหนา อารมณ์
พินิจนามรูปครา..................................เที่ยงไร้
จิตเลิกยึดเลยซา................................โลภ,โกรธ ราคะ
วิมุตต์เจโตไซร้...................................จึ่งพ้นเกิดเฉวียน

   ๕๑."เจโตวิมุตติอนิมิตฯ"...................จะมิติดซิภาพเสถียร
ธรรมมีเจาะ"เตรสะ"เหมาะเรียน...........มุวิปัสสนาเฉลียว

   ๕๒."อรูป"เปรียวมีสี่แท้......................ฌานมี อารมณ์
ภพ"อรูปพรหม"คงทวี...........................รูปไร้
จด"อากาศ"ฌานลี...............................มิสุด ขอบเขต
กำหนด"วิญญาณ"ไซร้.........................ไม่สิ้นไพศาล

   ๕๓."อากิญฯ"สิฌานนิรอะไร...............ประลุไซร้อะรมณ์มลาน
จึงมั่นลิอาสวะละผลาญ........................นิรวาณลุหมายประสงค์

   ๕๔.คง"เนวสัญฯ"สภาพแล้.................สัญญา มี,มิมี
มิกล่าวเรียกใดหนา..............................ถูกต้อง
วางจิตมั่นในสมาธิ์................................เป็นหนึ่ง
ธรรมอยู่เป็นสุขพร้อง...........................ยิ่งแล้วพระสงฆ์

   ๕๕.ธรรมมีสิ"อรรถ"ผิดุจะเหมือน........ภวเตือนซิต่างประจง
เหตุ"อรรถ,พยัญชนะ"จะบ่ง...................จะมิคล้ายก็มีซิหนา

    ๕๖.เหตุพาหลายจุ่งพร้อม.................."อัปปมา- เจโตฯ"
มีเมตตาทุกทิศพา..................................แผ่หล้า
"การุณ,มุทิตา".......................................อุเบกขา ทุกทิศ
เป็นมหัคค์ตะกล้า...................................ทั่วแคว้นเขตแดน

    ๕๗."อากิญวิมุตติฯ"เจาะริเป็น..............ภวเด่นอะไรซิแผน
อากิญฯลุจดเจาะนิรแทน........................ประลุฌานประเสริฐซิแฉ

    ๕๘.แล"สุญญาฯ"จิตพ้น......................ยึดตน
ทุกสิ่งมิมียล...........................................ว่างแท้
จิตจึงไม่ยึดตน.......................................เลิกมั่น หมดผอง
จึงห่างกิเลสแล้.......................................สงบพร้อมสุขใส

    ๕๙."เจโตวิมุตติอนิมิต"........................ภวกิจซิเป็นอะไร
สงฆ์ได้ลุด้วยมิมนะไซร้...........................กะนิมิตสิครองเฉลย

    ๖๐.เปรย"อนิมิตฯ"จิตพ้น.....................ภาพหาย
เพราะไม่นึกคิดกราย...............................ภาพแล้
จิตวางปล่อยภาพวาย..............................จึงสงบ เพราะสมาธิ์
พลอยดับเวทนาแท้..................................หลุดพ้นมิเชือน

    ๖๑.อาศัยสิเหตุพหุจะนำ......................กะพระธรรมลุ"อรรถ"เสมือน
หรือ"พยัญชนะ"เจาะเกลี่อน.....................ประลุพูดซิต่างคระไล

    ๖๒.ไวอาศัยเหตุแล้..............................ธรรมมี อรรถเดียว
พลางต่าง"คำวจี"......................................แค่นั้น
ธรรมอันลุ่มลึกทวี.....................................พูดเปลี่ยน สอนคน
มักเกี่ยว"ปัญญา"ดั้น.................................แม่นผู้ฟังสรรค์

    ๖๓.ตอบว่าสิ"ราคะ,มทะ"โผล่.................และเจาะ"โทสะ"ด้วยประจัญ
ผู้ตัดกิเลสพระอรหันต์...............................มละทิ้งลิสิ้นมิเหลือ

    ๖๔.ครัน"ตาล"เบือโค่นล้ม......................ถอนตอ รากราญ
เหลือแต่ผืนดินคลอ...................................เกิดไร้
กิเลสไป่เหลือหรอ.....................................จึงก่อ เจโตฯ
พลันไม่กำเริบไซร้.....................................หลุดพ้นสุขี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #256 เมื่อ: 08, ธันวาคม, 2568, 07:15:33 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร


   ๖๕."เจโตวิมุตติ"มิเจาะรุด....................ก็พระพุทธะกล่าวพจี
เหนือ"อัปปมาฯลุหินะปรี่.........................ผิวะจ่อลุพรหมวิหาร

    ๖๖.พาน"อัปปมาฯ"เปี่ยมท้น................พรหมแล
"กรุณ"เยี่ยม"เมตตา"แฉ..........................โลกหล้า
"ยินดี"ยิ่งมิแปร.......................................ใจว่าง อุเบกขา
กำเริบอาจมีกล้า.....................................โกรธย้ำ,โลภ,หลง

    ๖๗."เจโตวิมุตติฯ"ลิกิเลส......................ก็ประเภทซิโลภพะวง
โกรธ,หลงลิหมดหทยะปลง......................ดุจะ"ตาล"ทลายและผลาญ

    ๖๘.ชาญ"เจโตฯ"ก่อไซร้.......................เลิศเหนือ "อากิญฯ"
เพราะว่างกิเลสเครือ................................นิมิตคล้อย
โลภ,หลง,โกรธ"มิเจือ...............................ปนต่อ อีกเลย
มิเกิดอีกเลยช้อย.....................................หลุดพ้นถาวร

    ๖๙."เจโตวิมุตติ"มหะกิจ........................"อนิมิตฯ"ซิด้อยและทอน
เจโตฯสิเหนือเพราะนิรคลอน....................มละ"ราคะ,โทสะ,หลง

    ๗๐."สารีฯ"คงกล่าวแล้ว........................."อรรถธรรม" เดียวกัน
สอนต่างปัญญานำ....................................เก่งรู้
"พระะมหาโกฏฐิฯจำ..................................ชมชื่น
ภาษิต"สารีฯ"กู้..........................................แจ่มแจ้งจริงหนา ฯ|ะ

แสงประภัสสร

มจร. ๓. มหาเวทัลลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/BYwVP8yuyu6LlrrIc

เชตวันฯ= วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชต นอกเมืองสาวัตถี ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้อถวาย ด้วยเงินมากถึง ๑๘ โกฏิ วัดแห่งนี้นับว่าเป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง ๑๙ พรรษา เป็นสถานที่เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย
พระมหาโกฏฐิกเถระ = เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ ได้แก่
(๑) อัตถปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในอรรถ (๒) ธัมมปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในธรรม (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา - ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
พระสาริบุตร = พระอัครสาวกเบื้องขวา ของพระโคดมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศด้วยปัญญา
[ก] ปัญญากับวิญญาณ
พระมหาโกฏฐิกะ ถามคำถามกับพระสารีบุตร หลายเรื่องว่า
(๑) เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม'
ตอบว่า -> บุคคลไม่รู้ชัด เหตุนั้นจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญาทราม’ ไม่รู้ชัดอะไร คือ ไม่รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ ตามความเป็นจริง
~คำว่า เพราะเหตุไรหนอแล แปลจากคำว่า “กิตฺตาวตา นุ โข” เป็นคำถามหาเหตุ แท้จริงการถามนั้นมี ๕ อย่าง คือ (๑.๑) อทิฏฐโชตนาปุจฉา - การถามให้แสดงเรื่องที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน (๑.๒) ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา - การถามให้ชี้แจงเรื่องที่เคยทราบมาแล้ว เพื่อเทียบกันดูกับเรื่องที่ตนรู้มา (๑.๓) วิมติเฉทนาปุจฉา - การถามเพื่อให้คลายความสงสัย (๑.๔) อนุมติปุจฉา - การถามเพื่อให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม (๑.๕) กเถตุกามยตาปุจฉา - การถามเพื่อมุ่งจะกล่าวชี้แจงต่อ เป็นลักษณะของการถามเอง ตอบเอง
ในที่นี้พระมหาโกฏฐิกะ ถามในลักษณะของทิฏฐสังสันทนาปุจฉา
(๒) บุคคลที่เรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา  เพราะเหตุไรหนอแลจึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’
ตอบว่า -> บุคคลรู้ชัด เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘ผู้มีปัญญา’ บุคคลรู้ชัดอะไร คือ รู้ชัดว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’
(๓) สภาวะที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า
‘วิญญาณ”
ตอบว่า -> สภาวะรู้แจ้ง เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘วิญญาณ’ สภาวะรู้แจ้งอะไร คือ รู้แจ้งสุขบ้าง รู้แจ้งทุกข์บ้าง รู้แจ้ง อทุกขมสุขบ้าง
(๔) ข้อถามมี ๓ นัย
(๔.๑) "ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน หรือแยกกัน และสามารถแยกแยะ บัญญัติหน้าที่ต่างกันได้หรือไม่” หรือ
(๔.๒) “ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น เหตุนั้นธรรม ๒ ประการนี้ จึงรวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้” หรือ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #257 เมื่อ: 09, ธันวาคม, 2568, 09:05:48 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

(๕.๓) “ท่านผู้มีอายุ ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกันบ้างหรือไม่”
ตอบว่า -> ปัญญาและวิญญาณ ๒ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน แต่ปัญญาควรเจริญ ทำให้เกิดมี, วิญญาณ ควรกำหนดรู้ นี้เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้”
~ปัญญา = ในที่นี้หมายถึงมัคคปัญญา (ปัญญาในอริยมรรค)
~ วิญญาณ = ในที่นี้หมายถึงวิปัสสนาวิญญาณ
[ข] เวทนา สัญญา และวิญญาณ
(๖) สภาวะที่เรียกว่า ‘เวทนา  เพราะเหตุไรหนอแลจึงเรียกว่า ‘เวทนา”
ตอบว่า -> สภาวะเสวยอารมณ์ เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘เวทนา’ ~ สภาวะเสวยอารมณ์อะไร คือ เสวยอารมณ์สุขบ้าง, เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง, เสวยอารมณ์อทุกขมสุขบ้าง
(๗) “สภาวะที่เรียกว่า ‘สัญญา เพราะเหตุไรหนอแล จึงเรียกว่า ‘สัญญา”
ตอบว่า ->“สภาวะกำหนดหมาย เหตุนั้น จึงเรียกว่า ‘สัญญา’
~ สภาวะกำหนดหมายอะไร คือ กำหนดหมายสีเขียวบ้าง, กำหนดหมายสีเหลืองบ้าง, กำหนดหมายสีแดงบ้าง, กำหนดหมายสีขาวบ้าง, เหตุนั้น สภาวะกำหนดหมาย จึงเรียกว่า ‘สัญญา”
(๘) “เวทนา สัญญา และวิญญาณ ๓ ประการนี้ รวมกัน หรือแยกกัน และสามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้หรือไม่”
ตอบว่า -> “เวทนา สัญญา และวิญญาณ ๓ ประการนี้ รวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้ เพราะเวทนาเสวยอารมณ์สิ่งใด สัญญาก็กำหนดหมายสิ่งนั้น; สัญญากำหนดหมายสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น เหตุนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงรวมกัน ไม่แยกกัน และไม่สามารถแยกแยะบัญญัติหน้าที่ต่างกันได้”
(๙) “ พระโยคาวจรผู้มีมโนวิญญาณอันบริสุทธิ์ สละแล้วจากอินทรีย์ ๕ จะพึงรู้อะไร”
~ อินทรีย์ ๕ = คือ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์  ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ (ตา หู จมูกลิ้นกาย)
ตอบว่า -> “พระโยคาวจรผู้มีมโนวิญญาณอันบริสุทธิ์สละแล้วจากอินทรีย์ ๕ พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’; พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’; พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า ‘ไม่มีอะไร”
~ มโนวิญญาณ ในที่นี้หมายถึงจิตในฌานที่ ๔ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ
~ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า ‘ไม่มีอะไร” (หมายถึงพระโยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรอาศัยมโนวิญญาณ กล่าวคือรูปาวจรฌานจิตในฌานที่ ๔ เป็นพื้นฐาน จึงจะสามารถบำเพ็ญให้อรูปาวจรสมาบัติที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิดขึ้นได้; สามารถให้อรูปาวจรสมาบัติอื่นเกิดขึ้นต่อมาตามลำดับ
(๑๐) “พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมที่ตนจะพึงรู้ด้วยอะไร”
ตอบว่า -> “พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมที่ตนจะพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ”
(๑๑) “ปัญญามีไว้เพื่ออะไร”
ตอบว่า ->“ปัญญามีไว้เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการกำหนดรู้ และเพื่อการละ”
~ ปัญญาจักษุ ในที่นี้หมายถึงสมาธิปัญญา, และวิปัสสนาปัญญา
~ สมาธิปัญญา ทำหน้าที่กำจัดโมหะ
~ วิปัสสนาปัญญา ทำหน้าที่พิจารณาไตรลักษณ์เป็นอารมณ์
[ค] ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ
(๑๒) ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมีเท่าไร”
ตอบว่า -> ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการ
(๑๒.๑)  ปรโตโฆสะ - การได้สดับจากบุคคลอื่น
~ ปรโตโฆสะ ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมเป็นที่สบายเหมาะสมแก่ตน เช่นพระสารีบุตรเถระได้ฟังธรรมจาก พระอัสสชิเถระว่า ‘ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ...’
(๑๒.๒) โยนิโสมนสิการ - การมนสิการโดยแยบคาย
ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการนี้แล”
(๑๓)“สัมมาทิฏฐิ - ซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรมเท่าไรสนับสนุน”
ตอบว่า ->“สัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรม ๕ ประการสนับสนุน คือ
~ สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง อรหัตตมัคคสัมมาทิฏฐิ
(๑๓.๑) มีศีล - สนับสนุน
~ ศีล ในที่นี้หมายถึงปาริสุทธิศีล ๔ เพราะปาริสุทธิศีล ๔ เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค
(๑๓.๒) มีสุตะ - สนับสนุน
~ สุตะ ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ มีความหมายเท่ากับปรโตโฆสะ
(๑๓.๓) มีสากัจฉา - สนับสนุน
~ สากัจฉา หมายถึงการปรับกัมมัฏฐานให้เกิดความเหมาะสม
(๑๓.๔) มีสมถะ - สนับสนุน
~ สมถะ หมายถึงสมาบัติที่เป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนา
(๑๓.๕) มีวิปัสสนา - สนับสนุน
 ~ วิปัสสนา หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ คือ
(๑๓.๕.๑) อนิจจานุปัสสนา - การเห็นว่าไม่เที่ยง
(๑๓.๕.๒) ทุกขานุปัสสนา - ความเห็นว่าเป็นทุกข์
(๑๓.๕.๓) อนัตตานุปัสสนา - ความเห็นว่าไม่เป็นตัวตน
(๑๓.๕.๔) นิพพิทานุปัสสนา - ความเห็นด้วยความเบื่อหน่าย
(๑๓.๕.๕) วิราคานุปัสสนา - ความเห็นในการปราศจากราคะ
(๑๓.๕.๖) นิโรธานุปัสสนา - ความเห็นในการดับทุกข์
(๑๓.๕.๗) ปฏินิสสัคคานุปัสสนา - ความเห็นในการสละทิ้ง


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #258 เมื่อ: 09, ธันวาคม, 2568, 03:02:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

[ง] ภพและฌาน
(๑๔) ภพมีเท่าไร
ตอบว่า -> ภพมี ๓ คือ กามภพ; รูปภพ; อรูปภพ”
(๑๕)“การเกิดในภพใหม่ต่อไป มีได้อย่างไร”
ตอบว่า ->“เพราะความยินดียิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกีดกั้น; มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันไว้ การเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้อย่างนี้”
(๑๖) “การเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีได้อย่างไร”
ตอบว่า ->“เพราะอวิชชาสิ้นไป เพราะวิชชาเกิดขึ้น และเพราะตัณหาดับไป การเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ไม่มีได้อย่างนี้”
(๑๗) ปฐมฌาน เป็นอย่างไร
ตอบว่า ->“ภิกษุในพระธรๆรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ฌานนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘ปฐมฌาน'
(๑๘)“ปฐมฌานมีองค์เท่าไร" ตอบว่า ->“ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ ภิกษุผู้เข้าปฐมฌานย่อมมี วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข และ เอกัคคตา (จิตเป็นหนึ่งเดียว)
(๑๙) “ปฐมฌาน ละองค์เท่าไร ประกอบด้วยองค์เท่าไร”
ตอบว่า ->“ปฐมฌาน ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เข้าปฐมฌาน
~ละองค์ ๕ คือ
(๑๙.๑) ละกามฉันทะ (๑๙.๒) ละพยาบาท (๑๙.๓) ละถีนมิทธะ (๑๙.๔) ละอุทธัจจกุกกุจจะ (๑๙.๕) ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ย่อมมี
~ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา
[จ] อินทรีย์ ๕
(๒๐) อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ (๑) จักขุนทรีย์ (๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์ มีอารมณ์ต่างกัน มีที่เที่ยวไปต่างกัน ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้มีอารมณ์ต่างกัน, มีที่เที่ยวไปต่างกัน, ไม่รับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของกันและกัน, จะมีอะไรเป็นที่อาศัย และธรรมอะไรรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์ ๕ ประการนั้น”
ตอบว่า ->“อินทรีย์ ๕ ประการ มีใจเป็นที่อาศัยและใจย่อมรับรู้อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปแห่งอินทรีย์เหล่านั้น”
(๒๑) อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ (๑) จักขุนทรีย์ (๒) โสตินทรีย์ (๓) ฆานินทรีย์ (๔) ชิวหินทรีย์ (๕) กายินทรีย์
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ อาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า -> "อินทรีย์ ๕ อาศัยอายุดำรงอยู่”
~อายุ ในที่นี้หมายถึงรูปชีวิตินทรีย์
(๒๒) “อายุ อาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า -> “อายุอาศัยไออุ่น - ดำรงอยู่”
~ ไออุ่น = เตโชธาตุที่เกิดจากกรรม
(๒๓) “ไออุ่นอาศัยอะไรดำรงอยู่”
ตอบว่า-> “ไออุ่น อาศัย อายุดำรงอยู่”
(๒๔) พระมหาโกฏฐิกเถระ กล่าว
“ผมรู้ทั่วถึงภาษิตของท่านพระสารีบุตรในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า ‘อายุอาศัยไออุ่นดำรงอยู่ และไออุ่นอาศัยอายุดำรงอยู่’ แต่ผมจะพึงเข้าใจความแห่งภาษิตนี้ได้อย่างไร”
ตอบว่า -> “ถ้าเช่นนั้น ผมจักอุปมาให้ท่านฟัง เพราะวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ย่อมทราบ ความแห่งภาษิตได้ด้วยอุปมา เมื่อประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่; แสงสว่างอาศัยเปลวไฟจึงปรากฏ; เปลวไฟก็อาศัยแสงสว่างจึงปรากฏอยู่แม้ฉันใด อายุอาศัยไออุ่นดำรงอยู่; ไออุ่นก็อาศัยอายุดำรงอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน”
(๒๕) อายุสังขาร กับเวทนียธรรม เป็นอันเดียวกัน หรือต่างกัน”
~อายุสังขาร = อายุนั่นเอง
~เวทนียธรรม หมายถึงเวทนาธรรม
ตอบว่า ->“ อายุสังขาร กับ เวทนียธรรม ไม่เป็นอันเดียวกัน (ถ้า) อายุสังขาร กับ เวทนียธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ไม่พึงปรากฏ แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมต่างกัน ฉะนั้นการออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงปรากฏ”
~ สัญญาเวทยิตนิโรธ = สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา
(๒๖) “เมื่อธรรมเท่าไรละกายนี้ไป กายนี้จึงถูกทอดทิ้งนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา”
ตอบว่า ->“เมื่อธรรม ๓ ประการ คือ (๑) อายุ (๒) ไออุ่น (๓) วิญญาณ ละกายนี้ไป กายนี้จึงถูกทอดทิ้ง นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา”
~ วิญญาณ หมายถึงจิต
(๒๗) “สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกันอย่างไร”
ตอบว่า ->“สัตว์ผู้ตายคือทำกาละไปแล้วมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร ดับระงับไปมีอายุหมดสิ้นไป ไม่มีไออุ่น มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขารดับ ระงับไป แต่อายุยังไม่หมดสิ้น ยังมีไออุ่นมีอินทรีย์ผ่องใส
~ กายสังขาร คือ ลมหายใจเข้าออก ~ วจีสังขาร คือวิตก วิจาร  ~ จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #259 เมื่อ: 10, ธันวาคม, 2568, 11:36:18 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๘/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

[จ] ปัจจัยแห่งเจโตวิมุตติ (เจโตวิมุตติ= ความหลุดพ้นเพราะสมาธิ )
(๒๘) “ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขมีเท่าไร”
ตอบว่า -> "ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขมี ๔ ประการคือ
(๒๘.๑) เพราะละสุขได้ (๒๘.๒) เพราะละทุกข์ได้ (๒๘.๓) เพราะโสมนัสดับไปก่อน (๒๘.๔) เพราะโทมนัสดับไปก่อนแล้ว ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้จึงบรรลุจตุตถฌาน ซึ่งไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่
(๒๙) “ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต มีเท่าไร”
~ นิมิต = หมายถึงการออกจากนิโรธสมาบัติด้วยผลสมาบัติซึ่งเป็นผลเกิดจากวิปัสสนา
ตอบว่า ->“ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิตมี ๒ ประการ คือ
(๒๙.๑) การไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง (ไม่ใส่ใจนิมิต)
~ นิมิตทั้งปวง = หมายถึงอารมณ์มีรูปเป็นต้น
(๒๙.๒) การมนสิการถึงนิพพานธาตุ ซึ่งไม่มีนิมิต
~ หมายถึงการมนสิการถึงธรรมที่เกิดร่วมกับผลสมาบัติ
(๓๐)“ปัจจัยแห่งการตั้งอยู่แห่งเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต มีเท่าไร”
ตอบว่า ->“ปัจจัยแห่งการตั้งอยู่แห่งเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิตมี ๓ ประการ คือ
(๓๐.๑)ไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง
(๓๐.๒) มนสิการถึงนิพพานธาตุ ซึ่งไม่มีนิมิต
(๓๐.๓) อภิสังขาร ในเบื้องต้น
~อภิสังขาร = เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม หมายถึงการกำหนดระยะเวลาอยู่ในสมาธิ
(๓๑) “ปัจจัยแห่งการออกจากเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต มีเท่าไร”
ตอบว่า ->“ปัจจัยแห่งการออกจากเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิตมี ๒ ประการ คือ
(๓๑.๑) การมนสิการถึงนิมิตทั้งปวง
(๓๑.๒) การไม่มนสิการถึงนิพพานธาตุ ซึ่งไม่มีนิมิต
(๓๒) ธรรมเหล่านี้ ๔ อย่าง คือ อัปปมาณาเจโตวิมุตติ; อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ; สุญญตาเจโตวิมุตติ; และ อนิมิตตาเจโตวิมุตติ มีอรรถะและพยัญชนะต่างกัน; หรือเหมือนกัน
ตอบว่า ->
(๓๒.๑) อัปปมาณาเจโตวิมุตติ = เจโตวิมุตติอันไม่มีประมาณ ได้แก่ ธรรม ๑๒ ประการ คือ พรหมวิหาร ๔ มรรค ๔ ผล ๔
~ อัปปมาณะ = เพราะแผ่ไปหาประมาณมิได้ ธรรมที่เหลือชื่อว่าอัปปมาณะ เพราะไม่มีกิเลสเป็นเครื่องวัด
~ พรหมวิหาร ๔ = ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ มีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ ได้แก่
เมตตา - ความรัก ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข; กรุณา - ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์; มุทิตา - ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข; อุเบกขา - ความวางใจเป็นกลาง ให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
~ มรรค ๔ = ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด ได้แก่
(๓๒.๑.๑) โสดาปัตติมรรค - มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพานทีแรก ทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เพราะเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
(๓๒.๑.๒) สกทาคามิมรรค - มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี เป็นเหตุ เพราะละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น กับทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง
(๓๒.๑.๓) อนาคามิมรรค - มรรคทำให้ถึงความเป็นพระอนาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ๕ ข้อแรก
(๓๒.๑.๔) อรหัตตมรรค - มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐
~ สังโยชน์ ๑๐ = กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับวัฏฏทุกข์
๑) สักกายทิฏฐิ - ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น
๒) วิจิกิจฉา - ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ
๓) สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงายเห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร
๔) กามราคะ - ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ
๕) ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
๖) รูปราคะ - ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ
๗) อรูปราคะ - ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ
๘) มานะ - ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
๙) อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน
๑๐) อวิชชา - ความไม่รู้จริงใน อริยสัจ ๔


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #260 เมื่อ: 10, ธันวาคม, 2568, 02:27:06 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๙/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

~ ผล ๔ = ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค, ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้นๆ ได้แก่
๑) โสดาปัตติผล - ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย
๒) สกทาคามิผล - ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย
๓) อนาคามิผล - ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย
๔) อรหัตตผล - ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย
(๓๒.๒) อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ = เจโตวิมุตติ อันมีความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ได้แก่ ธรรม ๙ ประการ คือ อากิญจัญญายตนะ ๑ มรรค ๔ ผล ๔
~ อากิญจัญญายตนะ ชื่อว่าอากิญจัญญะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลเป็นอารมณ์ มรรคและผล
~ ชื่อว่าอากิญจัญญะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวล คือกิเลสเครื่องย่ำยีและกิเลสเครื่องผูก
(๓๒.๓) สุญญตาเจโตวิมุตติ = เจโตวิมุตติอันมีความสูญเป็นอารมณ์ ได้แก่ ความหลุดพ้นโดยว่างจากราคะ โทสะ โมหะ เพราะพิจารณานามรูปโดยความเป็นอนัตตา
(๓๒.๔) อนิมิตตาเจโตวิมุตติ = เจโตวิมุติอันไม่มีนิมิตได้แก่ ธรรม ๑๓ ประการ คือ วิปัสสนา ๑ อรูป ๔ มรรค ๔ ผล ๔
~ วิปัสสนา = ฝึกอบรมปัญญาโดยพิจารณาสังขาร คือ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแยกออกเป็นขันธ์ กำหนดด้วยไตรลักษณ์ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
~อรูป ๔ = ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ คืออรูปฌาน, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม ได้แก่
(๓๒.๔.๑) อากาสานัญจายตนะ - ฌานอันกำหนดอากาศคือช่องว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้
(๓๒.๔.๒) วิญญาณัญจายตนะ - ฌานอันกำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้
(๓๒.๔.๓) อากิญจัญญายตนะ - ฌานอันกำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้
(๓๒.๔.๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ - ฌานอันเข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้
 (๓๓) “เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน เหตุนั้นมีอยู่
~อนึ่ง เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เหตุนั้นมีอยู่”
~“เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน `เหตุนั้นเป็นอย่างไร
ตอบว่า -> ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้มี อัปปมาณาเจโตวิมุตติ คือ
(๓๓.๑)"เมตตาจิต"แผ่ไปตลอดทิศที่ ๑ ... ทิศที่ ๒ ...ทิศที่ ๓ ... ทิศที่ ๔ ... ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก
ทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตาจิต อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
(๓๓.๒) มีกรุณาจิต ..ฯลฯ
(๓๓.๓) มีมุทิตาจิต...ฯลฯ
(๓๓.๔) มีอุเบกขาจิตแผ่ไตลอดทิศที่ ๑ ... ทิศที่ ๒ ... ทิศที่ ๓ ... ทิศที่ ๔ ...ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน
ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
นี้เรียกว่า ‘อัปปมาณาเจโตวิมุตติ’
(๓๔) อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ เป็นอย่างไร
ตอบว่า -> เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุอากิญจัญญายตนฌานอยู่โดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ นี้เรียกว่า ‘อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ’
(๓๕) สุญญตาเจโตวิมุตติ เป็นอย่างไร
ตอบว่า -> คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นว่า ‘สิ่งนี้ว่างจากตนบ้าง จากสิ่งที่เนื่องด้วยตนบ้าง’ นี้เรียกว่า ‘สุญญตาเจโตวิมุตติ’
(๓๖) อนิมิตตาเจโตวิมุตติ เป็นอย่างไร
ตอบว่า -> คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้บรรลุอนิมิตตาเจโตสมาธิ เพราะไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวงอยู่
(๓๗) ~เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันเหตุนั้น เป็นอย่างนี้แล
       ~ เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เหตุนั้น เป็นอย่างไร
ตอบว่า -> คือ ราคะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องวัด; โทสะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องวัด; โมหะชื่อว่า กิเลสเป็นเครื่องวัด; กิเลสเหล่านั้นภิกษุผู้ขีณาสพละได้เด็ดขาดแล้ว; ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว; เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #261 เมื่อ: 11, ธันวาคม, 2568, 07:46:11 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๑๐/๑๐) ประมวลธรรม : ๖๐. มหาเวทัลลสูตร

~เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘เลิศกว่าอัปปมาณาเจโตวิมุตติที่มีอยู่’
~เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้น ว่างจากราคะ, ว่างจากโทสะ, ว่าง
จากโมหะ, ราคะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องกังวล, โทสะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องกังวล, โมหะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องกังวล กิเลสเหล่านั้นภิกษุผู้ขีณาสพละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี
เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
~ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้มี อัปปมาณาเจโตวิมุตตโมหะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องกังวล; กิเลสเหล่านั้นภิกษุผู้ขีณาสพละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
~ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘เลิศกว่าอากิญจัญญาเจโตวิมุตติที่มีอยู่’
~ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้น ว่างจากราคะ; ว่างจากโทสะ; ว่างจากโมหะ; ราคะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องทำนิมิต; โทสะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องทำนิมิต; โมหะชื่อว่ากิเลสเป็นเครื่องทำนิมิต; กิเลสเหล่านั้นภิกษุผู้ขีณาสพละได้เด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
~ ท่านผู้มีอายุ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘เลิศกว่าอนิมิตตาเจโตวิมุตติที่มีอยู่’
~ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบนั้น ว่างจากราคะ; ว่างจากโทสะ; ว่างจากโมหะ
~เพราะอาศัยเหตุใด ธรรมเหล่านี้จึงมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เหตุนั้น เป็นอย่างนี้แล”
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวภาษิตนี้แล้ว ท่านพระมหาโกฏฐิกะมีใจยินดีชื่นชมภาษิตของท่านพระสารีบุตร ดังนี้แล
มหาเวทัลลสูตรที่ ๓ จบ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #262 เมื่อ: 28, ธันวาคม, 2568, 08:39:13 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๖๑. จูฬเวทัลลสูตร (ว่าด้วยการสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปัญญา สูตรเล็ก)

พิบูลรัชนีฉันท์ ๑๔/โคลงสี่สุภาพ

    ๑.กราบพุทธโคดมครัน..........................พระอรหันต์พระสัมพุทธ์เจ้า
ผู้ตรัสรู้เองเพรา.........................................อริยสัจลิดับทุกข์ผลาญ

    ๒.เป็นอาจารย์เทศน์ชี้.............................เมตตา
ทรงสั่งสอนเราหนา.....................................แจ่มรู้
ชนหลายทราบธรรมพา...............................ตามแน่ว
จึงล่วงอรหันต์จู้..........................................สุดสิ้น"เกิด"หนา

    ๓.คราหนึ่งพระพุทธ์เจ้ายั้ง.......................ลุศยะยัง"กลันทกฯ"นา
มีภิกษุณี"ธัมม์นาฯ".....................................และคณะสงฆ์เกาะตามพุทธ์องค์

    ๔.วิสาขะตรงมุ่งพร้อง.............................ธัมม์นาฯ สอบถาม
ธรรมที่พุทธ์องค์ครา...................................กล่าวไว้
"สักกายะ"ความหนา...................................หมายว่า อะไร
คำตอบ"อุปาฯ"ไซร้.....................................ยึดชี้เบญจขันธ์

    ๕.ห้าอย่าง"อุปาทาน"เหตุ........................อภินิเวสก็ยึดถือมั่น
"รูป,เวทนา,สัญญ์ฯ"ครัน..............................และภว"สังขะ,วิญญาณ"ไข

    ๖."สักสมุทัยฯ"แน่แท้..............................ก็คือ ตัณหา
ความอยากกามสามถือ..............................เปี่ยมท้น
"กามคุณ"ยิ่งมากลือ...................................หวังมุ่ง "ภพ"นา
"วิภพ"มิมีดั้น..............................................เพ่งสิ้นภพเผย

    ๗."สักกายนิโรธ"คือดับ...........................มุสละลับซิ"ตัณหา"เอย
ตัดทิ้งละกำหนัดเสย..................................ริผละ"วิราคะ"ไม่ติดผาย

    ๘."สักกายนิโรธ"แล้................................คือทาง ดับทุกข์
มรรคแปดคลายทุกข์ถาง...........................หมดแผ้ว
"สัมมาทิฏฐิ"วาง........................................."สังกัปปะ"
"วาจาชอบ,กระทำ"แกล้ว............................"ชีพช้อย",เพียร..ไข

    ๙.ที่ตั้ง"อุปาทานขันธ์"............................ปะดุจะดั้น"อุปาทาน"ไหม
ไม่เป็นสิอันเดียวไซร้..................................ตะก็จะต่างซิเล็กน้อยหนา

    ๑๐.คราอุปาขันธ์ฯซึ่งกว้าง......................เหนือเผย อุปาทาน
อุปาฯสี่ธรรมยึดเอย....................................แน่นแฟ้น
กิเลส,โลภ,ทิฏฐิเกย....................................ในกลุ่ม สังขารขันธ์
ครันแต่สังขารฯแจ้น...................................หนึ่งแล้อุปาขันธ์ฯ

    ๑๑."สักทิฏฐิฯ"ยึดมั่นตน..........................เพราะภวผลอะไรบ่างครัน
ผู้พลาดสดับธรรมสรร.................................มินิรพานอรีย์สงฆ์สอน

    ๑๒.มิจรพบคลาดแคล้ว...........................บุรุษเลอ คุณธรรม
จึงพลาดคำแนะเออ.....................................ไม่รู้
ยึดขันธ์อ้ตตาเผลอ.....................................คิดว่า เป็นตน
คิดร่างกายตนจู้..........................................เด่นแท้ของตน

    ๑๓."สักทิฏฐิฯ"ไม่มีคลี่..............................ประลุวิธีซิอย่างไรยล
คือผู้สดับธรรมท้น.......................................อริยะสงฆ์แนะสั่งสอนหนา

    ๑๔.คราพบบุรุษล้ำ...................................พฤติธรรม มุเรียน
มิคิดเบญจขันธ์หนำ.....................................เร่งห้า
มิเป็นอัตตานำ.............................................ยึดว่า ของตน
คิดถูกสักทิฏฐ์ฯล้า.......................................ไม่พร้อมเกิดเผย

    ๑๕.ทางดับลิทุกข์ตรงนัก..........................อริยะมรรคซิแปดถูกเอย
"สัมทิฏฐิฯเห็นชอบ"เชย................................มนุตริ"สัมมะสังกัปป์ฯ"หนา

    ๑๖."สัมมาวาฯ"กล่าวพร้อง........................."กัมมันฯ ทำชอบ"
"อาชีวะฯชีพ"ครัน.........................................ถูกแล้ว
"วายามะฯเพียร"พลัน...................................."สติตรึก ระลึกชอบ"
"สมาธิ์มั่นชอบ"จิตแผ้ว..................................มรรคนี้กิเลสผลาญ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #263 เมื่อ: 29, ธันวาคม, 2568, 08:20:50 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๘) ประมวลธรรม : ๖๑. จูฬเวทัลลสูตร

    ๑๗.มรรคอัฏฐะเป็นธรรมตั้ง....................ลุภว"สังขต์ธรรม"ปรุงพาน
ไม่เป็น"อสังข์ธรรม"กราน...........................เจาะอนะ"ปัจจยา"ปรุงแต่ง

    ๑๘. แจงพุทธ์องค์จัดชี้...........................มรรคผอง ณ ขันธ์สาม
ศีล,สมาธิ์,ปัญญ์ฯครอง...............................ต่างแล้
"วจี,ทำชอบ,ชีพ"ตรอง................................สีลกลุ่ม พฤติวจี
ประพฤติกาย,ใจแท้...................................จุ่งพร้อมดีงาม

    ๑๙."วายา,สตีสัมมาฯ".............................และปะสมาธิจัดลงตาม
ในกลุ่มสมาธิ์ขันธ์ผลาม..............................ลุฐิติปราศกิเลสเร็วหนา

    ๒๐.สัมมาทิฏฐ์ฯเพ่งช้อย.........................สัมมา-สังกัปป์
"เห็น,คิดชอบ"สองหนา...............................เลิศค้ำ
ทรงรวมจัดคงมา........................................ณ กลุ่ม ปัญญาขันธ์
นำสู่ญาณสูงล้ำ.........................................วิมุติพ้นสังสาร

    ๒๑.ใดเป็นสมาธิ์ตอบว่า..........................หทยะหนาอะรมณ์"หนึ่ง"พาน
ภาพใดสมาธิ์สืบขาน..................................ก็สติปัฏฐ์ฯนะอำนวยเอย

    ๒๒.เปรยธรรมใดช่วยแท้........................สมาธิ์ไว
"สัมมัปปทาน"ไข........................................เร่งย้ำ
เพียรละบาปรานไกล..................................กรรมชั่ว มิทำ
เพียรก่อกรรมดีซ้ำ.....................................เพิ่มขึ้นอีกหนา

    ๒๓.การเสพสมาธิ์ทำเพลิน......................ภวเจริญซิมากขึ้นนา
เสพเกิดสิจิตเดียวพา..................................เจาะอกุศล,กุศลได้ฉาน

    ๒๔.สังขารปรุงแต่งแท้............................เท่าใด มีสาม
กายก่อลมหายใจ.......................................ออกเข้า
วาจามั่นพูดไว............................................วิตก วิจาร
จิตมุ่งปรุงเกิดเร้า.......................................ระลึกรู้เวทนา

    ๒๕."สัญญานิโรธฯ"ใดเอย......................ภณะเฉลยวะสงฆ์นิ่งพา
ไม่คิดจะต้องเข้าหนา.................................ก็ภวฝึกจะนำเข้าแฉ

    ๒๖.แลสงฆ์ครามุ่งเข้า............................สัญญาฯ ธรรมดับ
วจี,พูดดับแรกพา.......................................ก่อนแท้
กายปรุงแต่งตามมา...................................จึงดับ
และ"จิตต์สังขาร"แล้..................................ดับพร้อมหลังนา

    ๒๗.การออกผละ"สัญญาเวฯ"..................ก็มิตริเตร่จะออกเลยพา
ด้วยออกสิพลันเลยหนา..............................ก็ภวธรรมซิบ่มนำเผย

    ๒๘.สงฆ์เอยครันออกลี้............................สัญญาฯ
แรกจิตปรุงเกิดมา.......................................ก่อนพร้อม
ตามกายแต่งปรุงพา....................................ตามเกิด
วจีพูดหลังสุดด้อม......................................กลับฟื้นสภาพเดิม

    ๒๙.สงฆ์ออกผละ"สัญญาฯ"ชัด................จะปะทะ"ผัสสะ"สามอย่างเติม
"ไร้ภาพ"เจาะ"สุญญ์ตา"เจิม........................."นิรสถานและที่ตั้ง"แฉ

    ๓๐.แลสงฆ์พึงออกแล้..............................สัญญา- เวทยิตะ
จิตมุ่งตรงสงบนา.........................................วิเวกน้อม
จิตโอนสู่สงัดหนา........................................ถึงวิเวก
ใจผ่องใสประณีตพร้อม...............................ระดับพ้นโลกหนา

    ๓๑.ด้วยเวทนาแบ่งสาม............................"ลุสุขะ"ลามซิ"กาย,ใจ"นา
กาย,ใจระทมทุกข์กล้า................................."มิสุขะหรือ,มิทุกข์,กลาง"เฉย

    ๓๒.เปรยเวทนาสุขรู้.................................เหตุใด
เป็นสุขเพราะคงไว.......................................อยู่ยั้ง
เกิดทุกข์ท่วมไฉน".......................................เพราะสุข แปรไป
สภาพสุขมิยงตั้ง..........................................เที่ยงไร้ปรวนแปร


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #264 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 10:53:08 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๘) ประมวลธรรม : ๖๑. จูฬเวทัลลสูตร

    ๓๓.โดยทุกขเวท์นารุก..........................จะประลุทุกข์เพราะตั้งอยู่แล
เปลี่ยนเป็นสิสุขได้แฉ...............................เพราะทุขะแปรมิเที่ยงฉาย

    ๓๔.กราย"อทุกขมสุขฯ"ชี้......................สุขมี เหตุใด
เป็นสุขเพราะทราบดี.................................ชอบรู้
จะเป็นทุกข์ทวี..........................................ทราบไป่ ความจริง
หาเที่ยงมิหลงจู้.........................................ยึดข้อง"กลาง"เฉย

    ๓๕.อารมณ์กิเลสมัวไหน........................สยนะไซร้ซิ"สุขเวท์ฯ"เอ่บ
"ราคานุสัย"กำหนัดเกย.............................ลุรติ"ราคะกาม"ติดใจ

    ๓๖.อนุสัยกิเลสแปล้..............................อันใด นอนเฮย
ในทุกข์เวท์นาไว.......................................ท่วมท้น
"ปฏิฆาฯขัดเคือง"ใจ..................................นอนนิ่ง ทุกข์เวท์นา
"อวิชชาฯ"มิทราบพ้น.................................อทุกข์ฯแล้"กลาง"แฉ

    ๓๗.ราคานุสัยไม่ได้นอน.........................ณ สุขะชอนซิทั้งหมดแล
เช่นกัน"ปฏิฆาฯ"แล้....................................มิศยะ"ทุกขเวท์ฯ"หมดเผย

    ๓๘.เกย"อวิชชาฯ"ไม่ได้..........................นอนแล หมดจด
ใน"อทุกขม์สุขฯ"แฉ....................................ครบไร้
ลุฌานสี่ละทุกข์แด.....................................ละสุข
สติสะอาด"วิชชา"ไซร้.................................ห่างพ้นตามนอน

    ๓๙.มีธรรมอะไรทิ้งเผล่...........................ณ สุขะเวทนาได้ทอน
ราคานุสัยพึงถอน.......................................ซิมละ"ราคะ"เหตุหมดหนา

    ๔๐.หาธรรมใดตัดทิ้ง.............................เวทนาทุกข์
"ปฏิฆาฯ"สลัดหนา.....................................รู้แท้
อดทนไม่โกรธพา......................................สติมั่น
กิเลส"ปฏิฆาฯ"แล้......................................หมดสิ้นทุกข์สลาย

    ๔๑.มีธรรมอะไรตัดชุก...........................มละ"อทุกขม์สุขเวท์ฯ"วาย
สงฆ์มีลุ"วิชชาฯ"ฉาย.................................ก็ลิ"มิสุข,มิทุกข์,กลาง"ผลาญ

    ๔๒.สงฆ์กรานอวิชฯทิ้ง..........................โทษ,คุณ เกิด,ดับ
เวทนามตามจริงรุน...................................สลัดพ้น
"มิเพลินเพลิดคิด"อดุลย์............................"กลาง"จ่อ ดีแล
ครา"วิชชา"เกิดล้น....................................อทุกข์ฯสื้นหมดไป

    ๔๓.สงฆ์ตัดลิกามชั่วผลาญ....................จะประลุฌานปฐมสุขไว
มี"ปีติ,ตรึก,ตรอง"ไกล................................เจาะมละ"ราคะฯ"เสียได้ครัน

    ๔๔.พลันสงฆ์ละทุกข์ได้.........................สุขวาง ตัดปลง
โสมนัส,โทมนัสจาง....................................ดับแล้
ลุฌานสี่ทุกข์ถาง.......................................สุขห่อน
"อุเบกขา"มีแท้...........................................ย่อมทิ้ง"อวิชชา"

    ๔๕.คู่เปรียบเจาะแย้งกันรุก....................ก็ดุจะ"ทุกข์"กะ"สุข"เทียบนา
คู่เปรียบสิคล้อยตามหนา...........................ประลุ"วิมุตติ,นิพพาน"แล

    ๔๖.แฉใดเป็นคู่แม้.................................เวทนาสุข
ก็ทุกข์เวทนาพา........................................เปรียบแย้ง
"อทุกขม์สุขฯ"หนา.....................................ทุกข์ปราศ มิสุข
มี"อวิชชา"เปรียบแกล้ง..............................ไม่รู้ความจริง

    ๔๗.คู่เปรียบ"อวิชชา"คือ........................ก็ภวลือเจาะ"วิชชา"ดิ่ง
ผู้มีกิเลสหนายิ่ง.........................................กะนฤชนกิเลสสิ้นผลาญ

    ๔๘.พานวิชชาคู่น้อม..............................คือใด
วิมุตติเปรียบไกล.......................................หลุดแปล้
อีกวิมุตติ์เทียบไว.......................................เคียงมุ่ง กับใด
"วิมุตต์"แกนธรรมแท้..................................สุดท้าย"นิพพาน"


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลายเมฆ, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6147
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 959



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #265 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:58:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๘) ประมวลธรรม : ๖๑. จูฬเวทัลลสูตร

    ๔๙.ศรัทธา"วิสาฯ"ถามไซร้.....................ก็ภวใดซิคู่"นิพฯ"ฉาน
"ธัมม์นาฯ"แถลงท่านผ่าน...........................เจาะจรลีสิไกลปัญหา

    ๕๐.ธัมม์นาฯมิอาจชี้...............................นิพพาน หมายสุด
ขอจุ่งทูลถามกราน....................................เพื่อรู้
พุทธ์องค์ตอบใดขาน.................................จำแม่น คำตอบ
เขาจึ่งขอบคุณจู้........................................เร่งเฝ้าพุทธ์องค์

    ๕๑.คราพุทธเจ้าทราบหนา.....................ขณะ"วิสาขะฯ"เล่าความบ่ง
ทรงตรัสวะ"ธัมม์นาฯ"คง............................ลุพหุปัญญะในธรรมแฉ

    ๕๒.แลเป็นตถาคตไซร้...........................ตอบเหมือน ธัมม์นาฯ
คำตอบเดียวกันเตือน.................................แน่แล้ว
ขอจงตรึกมิเชือน.......................................จำมั่น
"วิสาฯ"ชื่นภาษิตแผ้ว..................................พุทธ์เจ้าเชียวหนา ฯ|ะ

แสงประภัสสร

มจร. ๔. จูฬเวทัลลสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://share.google/8ORWXwzTaKv7eqNBC

พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน = คือ สถานที่สำหรับพระราชทานเหยื่อแก่กระแต อยู่ในเขตกรุงราชคฤห์
วิสาขะ= อุบาสกชื่อ วิสาขะ เคยเป็นสามี ของ ธัมมทินนาเถรี ก่อนออกบวช
ธัมม์นาฯ = ธัมมทินนาภิกษุณี เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นธรรมกถึก
วิสาขะอุบาสก = ถามคำถาม ต่อ ธัมมทินนาภิกษุณี เกี่ยวกับคำที่พระพุทธเจ้ากล่าว มีอะไรบ้าง
(๑) สักกายะ = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า คือ อุปาทานขันธ์ ๕ คือ กองอันเป็นอารมณ์แห่งความถือมั่น ได้แก่
(๑.๑) รูปูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือรูป
(๑.๒) เวทนูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือเวทนา
(๑.๓) สัญญูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือสัญญา
(๑.๔) สังขารูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือสังขาร
(๑.๕) วิญญาณูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ
(๒) สักกายสมุทัย = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความกำหนัด; มีปกติให้เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
~ ตัณหา ๓ = ความทะยานอยาก
(๒.๑) กามตัณหา - ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า (๒.๒) ภวตัณหา - ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้ จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ (๒.๓) วิภวตัณหา - ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
(๓) สักกายนิโรธ = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = ความดับตัณหาไม่เหลือด้วยวิราคะ; ความสละ; ความสละคืน; ความพ้น; ความไม่อาลัยในตัณหานั้น
~ วิราคะ = คือ ความคลายกำหนัด, ความไม่ติดพัน เป็นอิสระ
(๔) สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา = เป็นธรรมอะไร
-> ตอบว่า = อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบ (๔.๒) สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ (๔.๓) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ (๔.๔) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ (๔.๕) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ (๔.๖) สัมมาวายามะ - พยายามชอบ (๔.๗.) สัมมาสติ - ระลึกชอบ (๔.๘) สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตมั่นชอบ     
(๕) อุปาทาน กับ อุปาทานขันธ์ ๕ = เป็นอันเดียวกัน หรือต่างกัน
-> ตอบว่า = อุปาทาน กับ อุปาทานขันธ์ ๕ ทั้งไม่เป็นอันเดียวกัน ทั้งไม่ต่างกัน
~ อุปาทาน ๔ = คือ
(๕.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม
(๕.๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิ คือ ความเห็น
(๕.๓) สีลัพพัตตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลพรต
(๕.๔) อัตตวาทุปาทาน - ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา
~ เพราะฉะนั้น อุปาทานขันธ์ ๕ จึงกว้างกว่า อุปาทาน ๔ เพราะ อุปาทาน ๔ คือ โลภะเจตสิกและทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ อุปาทานขันธ์ ๕ (คือ เป็นส่วนของสังขารขันธ์)
~ กล่าวโดยสรุป อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นสภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของการยึดถือ ส่วนอุปาทาน ๔ เป็นสภาพธรรมที่เป็นตัวยึดถือ ยึดมั่นด้วยกิเลสคือ โลภะ และทิฏฐิ


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 16 17 [18]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.277 วินาที กับ 155 คำสั่ง
กำลังโหลด...