Username:
Password:
บ้านกลอนน้อยฯ
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล
>>
คำประพันธ์ แยกตามประเภท
>>
กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม
>>
อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า:
1
...
8
9
[
10
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา (อ่าน 22864 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
5545
ออฟไลน์
ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 845
|
|
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
«
ตอบ #135 เมื่อ:
เมื่อวานนี้
เวลา 02:47:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนิยตะ
คือ ธรรมเหล่าใดให้ผลไม่แน่นอน
อายตนะ ๒ = เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี; เป็นสัมมัตตนิยตะก็มี; เป็นอนิยตะก็มี
มิจฉัตตนิยตะ ~ การยึดมั่นในความคิด ความเห็น หรือทิฏฐิที่ผิดอย่างแน่วแน่ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หรือบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
สัมมัตตะนิยตะ ~ เป็นสภาวะโดยชอบ
เป็นสัมมัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย โดยให้ผลไม่มีระหว่างคั่นนั่นแหละ จึงชื่อว่า สัมมัตตนิยตา
อนิยต ~ (อ่านว่า อะ-นิ-ยด) ในพระวินัย เป็นสิกขาบทที่มีลักษณะ ไม่แน่นอน ว่าเมื่อภิกษุทำผิดแล้วจะปรับอาบัติในขั้นใด (ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์) ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระวินัยธรตามข้อเท็จจริงและมูลที่กล่าวหา มี ๒ สิกขาบท คือ (๑) การอยู่ในที่ลับตา (ที่กำบัง) กับสตรีสองต่อสอง (ปฐมอนิยต) (๒) การอยู่ในที่ลับหู (ที่เปิดเผย) กับสตรีสองต่อสอง (ทุติยอนิยต)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
หมายถึง ภาวะที่จิตไม่มีอารมณ์ ไม่ยึดติดสิ่งใด เป็นการปฏิบัติธรรมที่มุ่งให้จิตสงบจากสิ่งเร้าทุกชนิด ไม่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์
อายตนะ ๒ = เป็นมัคคารัมมณะก็มี; เป็นมัคคเหตุกะก็มี; เป็นมัคคาธิปติมัคคก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี
มัคคารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์มรรค ย่อมแสวงหา ย่อมค้นหาพระนิพพานอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมฆ่ากิเลสทั้งหลาย
มัคคเหตุกะ ~ ธรรมมีมรรคองค์ ๘ เป็นเหตุ
มัคคาธิปติ ~ มรรคเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านั้น ด้วยครอบงําให้เป็นไป
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอนุปปันนะ สัททายตนะ; เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที
อุปปันนะ ~ หมายถึงเป็นไปทั่วจําเดิมแต่อุปปาท(เกิดขึ้น) จนถึงภังคขณะ(กำลังดับ) อันยังไม่เลยไป
อุปปาท ~ คือ "ขณะที่เกิดขึ้น" เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสามขั้นตอน คือ อุปปาท (เกิดขึ้น) ฐิติ (ตั้งอยู่) ภังคะ (ดับไป)
ภังคขณะ ~ คือ ช่วงขณะที่จิตหรือรูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) กำลังดับลง หรือแตกสลายลง
อนุปปันนะ ~ ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น คือไม่ใช่อุปปันนะ
อุปปาทิ ~ ธรรมใดจักเกิดขึ้นแน่นอนเพราะเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุที่สําเร็จแล้ว
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ โดยเฉพาะเจาะจงถึง เสียงต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ให้จิตยึดหน่วงและรับรู้ได้
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาทีก็มี
ธัมมายตนะ ~ คือ สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ ๖ อย่าง ทำหน้าที่เป็น "ที่ต่อ" หรือสื่อกลางให้เกิดการรับรู้ทางใจ (มนายตนะ) ได้แก่ นามขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขาร) และสุขุมรูป ๑๖ รวมถึงนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ ส่วน ธัมมายตนะจัดเป็นอายตนะภายนอกที่ ๖ ซึ่งทำหน้าที่คู่กับมนายตนะที่เป็นอายตนะภายใน
อายตนะ ๑๑ = เป็นอดีตก็มี; .เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอดีตก็มี; เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต แม้เป็นปัจจุบันก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอตีตารัมมณะก็มี; เป็นอนาคตารัมมณะก็มี; เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี
อตีตารัมมณะ ~ คือ จิตที่ไปรับรู้อารมณ์ที่ตั้งอยู่ในกาลอดีต
อนาคตารัมมณะ ~ คือ การคิดรับรู้อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอนาคต
ปัจจุปปันนารัมมณะ ~ คือ ธรรมที่อาศัยเหตุนั้น ๆ เกิดขึ้น
อายตนะ ๑๐ = เป็นอวิตักกาวิจาระ
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมที่เข้าถึงสภาวะที่ว่างจากความคิดและตรึกตรอง เป็นสภาวะที่สงบและเรียบง่ายที่สุด
มนายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
สวิตักกสวิจาร ~ คือสภาวะทางจิตที่ มีทั้งวิตก (การตรึกนึก) และวิจาร (การพิจารณา ตริตรอง) สวิตักกสวิจารธรรม เป็นชื่อของธรรมะที่ประกอบด้วยวิตกและวิจาร ซึ่งพบได้ในปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
อวิตักกวิจารมัตตะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ประกอบด้วย วิจาร (การนึกคิดพิจารณา) เพียงอย่างเดียว แต่ ไม่มีวิตก (การตรึกตรองเบื้องต้น) เป็นสมาธิใน ทุติยฌาน สภาวะนี้จะไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แต่ยังคงมีการพิจารณาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่
รายนามผู้เยี่ยมชม :
ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
,
หยาดฟ้า
,
ลิตเติลเกิร์ล
,
ข้าวหอม
บันทึกการเข้า
..
สารบัญบทกลอน "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
5545
ออฟไลน์
ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 845
|
|
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
«
ตอบ #136 เมื่อ:
วันนี้
เวลา 10:46:44 AM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์
ธัมมายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมะที่ไม่มีทั้งวิตก (ความตรึก) และวิจาร (ความตรอง) เป็นสภาพธรรมที่ปราศจากการคิดปรุงแต่ง ไม่มีความลังเลสงสัย หรือการใช้ความคิดเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ; แม้เป็นสุขสหคตะ; แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ
ปีติสหคตทุกะ ~ ธรรมสหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ
สุขสหคตะ ~ สภาพความสุขที่ สหคตะ (ไปด้วยกัน, ประกอบกัน, ร่วมกัน) กับจิต หรือหมายถึง สุขที่เกิดร่วมกับจิต คือ สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้อารมณ์ต่างๆ
อุเปกฺขาสหคต ~ การมี อุเบกขา วางเฉย ประกอบอยู่ด้วย หรือ ประกอบกับอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่ยินดียินร้ายเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ
อายตนะ ๒ = เป็นปีติสหคตะก็มี; เป็นสุขสหคตะก็มี; เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะก็มี
ทัสสนนปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ได้แก่กิเลสสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นกิเลสประการต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ คือ สกทาคามีมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตตมรรค สภาวธรรม คือกิเลสประการต่างๆ ที่ถูกละได้ด้วยมรรค ๓ เบื้องบน เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น กิเลสที่เหลือเหล่านี้ที่ถูกละด้วยมรรค ๓ เบื้องบน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ
สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี
ทัสสนปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลส คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นกิเลสต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ (คือ สกทาคามีมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) กิเลสต่างๆ เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น
เนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง "ภาวนาที่ยังไม่สามารถละได้ด้วยปัญญา" ซึ่งตรงข้ามกับ "ทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ" ซึ่งหมายถึง การภาวนาที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจนละสิ่งควรละได้
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามี
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๒ =เป็นอาจยคามีก็มี; เป็นอปจยคามีก็มี; เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามีก็มี
อาจยคามิติกะ ~ ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
อปจยคามิโน ~ ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เนวาจยคามิโน ~ ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติ ปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวเสกขนาเสกขะ ~ เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่ (หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เป็นทั้ง เสขะ และอเสขะ)
เสขะ ~ คือผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล, ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล, ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค
อเสขะ ~ ผู้ไม่ต้องศึกษา เพราะศึกษาเสร็จสิ้นแล้วได้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คือ พระอรหันต์
อายตนะ ๒ = เป็นเสกขะก็มี; เป็นอเสกขะก็มี; เป็นเนวเสกขนาเสกขะก็มี
เสกขะ ~ พระอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษาอยู่ หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล
อเสขะ ~ (อ่านว่า อะ-เสก-ขะ) คือ พระอริยบุคคลระดับสูงสุดที่ได้ศึกษาไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) จบสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาอีก เพราะบรรลุอรหันตผลแล้ว เป็นผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์และวัฏสงสารได้อย่างสมบูรณ์
อายตนะ ๑๐ = เป็นปริตตะ
ปริตตะ ~ ธรรมที่ด้อยหรือคับแคบ เช่น ธรรมที่อยู่ในระดับกามาวจร
บันทึกการเข้า
..
สารบัญบทกลอน "แสงประภัสสร"
..
หน้า:
1
...
8
9
[
10
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา
-----------------------------
=> อ่านข้อกำหนด กฎระเบียบต่าง ๆ - สมาชิกใหม่ ทักทาย แนะนำตัวที่นี่
=> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม
=> ห้องกลอน คุณคนบอ มือสี่
=> สารบัญกลอน สมาชิกนักกลอน
-----------------------------
ห้องเรียน
-----------------------------
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์ ประเภทกลอน
=> ห้องเรียนฉันท์
=> ห้องเรียน กลบท
=> ห้องเรียน โคลงกลบท
=> ห้องศึกษา ภาพโคลงกลบท
=> ห้องศึกษา กาพย์ โคลง ร่าย
=> ห้องหนังสือ บ้านกลอนน้อย
=> ห้องฟัง การขับ เสภา และอื่น ๆ
-----------------------------
คำประพันธ์ แยกตามประเภท
-----------------------------
=> กลอน ร้อยกรองหลากลีลา
=> คำประพันธ์เนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
=> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม
=> กลอนเปล่าสบาย ๆ
=> กลอนจากที่อื่น และจากกวีที่ชื่นชอบ
=> โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต
=> กลบท
=> นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป
=> ห้องนั่งเล่นพักผ่อน
===> เส้นคั่นสวย ๆ
===> รูปภาพน่ารัก
กำลังโหลด...